วารสาร Holy News ฉบับที่ 1317

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  มิถุนายน  2021

 เรื่อง “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้  เกิดขึ้นกับฉัน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อเรื่องในวันนี้ คือ “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เกิดขึ้นกับฉัน” ฟังถ้อยคำแห่งความจริงวันนี้แล้ว จะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระ สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางอุปสรรค ปัญหา ความเลวร้ายต่างๆ เหล่านี้ ด้วยสันติสุขและความสงบสุขตลอดไปเลย

มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ขณะนี้ ก็ประสบปัญหาความทุกข์ยากลำบากเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียน ก็โดนหมด ถูกคุกคาม ตอนนี้เน้นที่สุด คือไวรัสโควิดระบาด บางคนถึงกับเสียชีวิตด้วยความทุกข์ทรมาน ไม่ใช่การทุกข์ทรมานทางกายอย่างเดียว จิตใจด้วย คือไม่มีญาติอยู่ข้างๆ ไม่มีเพื่อนสนิทอยู่ข้างๆ  ไม่มีคนรักอยู่ข้างๆ ก่อนสิ้นลม  อันนี้ความทุกข์ทางใจอย่างมากมาย  บางคนได้รับการรักษาให้หาย แต่ยังต้องใช้เวลา 2-3 เดือน หรือเป็นปีในการฟื้นฟูสุขภาพขึ้นมาใหม่ บางคนอยู่ในกลุ่มเสี่ยง  ก็ต้องไปกักตัว 14 วัน 21 วัน กี่วันก็ต้องลุ้นกันต่อไป  ธุรกิจค้าขายต่างๆ ก็ลำบากลำบน  รายได้เคยมี ก็หดหายไปหมด

มันเกิดอะไรขึ้น คริสเตียนก็เป็น ไม่ใช่ไม่เป็น ไม่ใช่ประเทศไทยที่เดียว ทั้งโลกเป็นอย่างนี้หมด  ขาดแคลนรายได้ รายได้ที่เคยมีก็หดหาย ก็ไม่พอ แถมจะไปไหนมาไหน ติดต่ออะไร ทำการค้าขาย เดินทาง ออกจากบ้านไป เหมือนออกสู่สงคราม  ตรงนี้ไปไม่ได้ ตรงนั้นไปไม่ได้ ตรงนี้อย่าไป  ตรงนั้นอย่าไป  มันเหมือนคนทั้งโลกกำลังติดคุกติดตะรางอยู่ นี่คือความทุกข์ลำบาก  ความกดดันที่มาถึงมนุษย์ในช่วงนี้ เฉพาะช่วงนี้เท่านั้น

ความทุกข์ลำบาก ความกดดันเหล่านี้ พุ่งตรงมาที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ สังเกตดู ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม  เป็นเป้าหมายใหญ่ที่ความทุกข์ลำบากเหล่านี้วิ่งเข้ามาหา ถ้าเป็นคริสเตียน ยิ่งจะถามในช่วงแบบนี้  คือมีสิ่งเลวร้ายอะไรบางอย่างเกิดชัดๆ หน่อย คริสเตียนก็มักจะถามว่า …

“ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เกิดขึ้นกับฉัน ที่เป็นลูกของพระองค์ ที่เชื่อในพระองค์แล้ว”

คริสเตียนก็มักจะใช้สิทธิของตัวเองในการถามแบบนี้ ซึ่งไม่ผิดเลยนะ  ตั้งแต่สมัยยุคคริสเตียนเริ่มต้น  จักรพรรดิเนโร คือจักรพรรดิ์ของโรม  ก็ข่มเหงคริสเตียน ตอนเริ่มต้นมีคริสเตียนใหม่ๆ  ทุกๆ สมัยมา ก็เป็นอย่างนี้  คือคริสเตียนมักจะบ่นว่าเราถูกข่มเหงรังแกเยอะ ซึ่งแม้กระทั่งปัจจุบัน  คริสเตียนก็ถูกข่มเหงรังแกคล้ายๆ แบบโรมข่มเหงรังแกคริสเตียนสมัยโน้นเหมือนกัน ซึ่งจริงๆ แล้วคิดดูกันให้ดีๆ เรามักจะคิดกันในแง่ของเราเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ  เราก็มองแต่พวกเราเอง ในกลุ่มเล็กๆ แต่ว่ากันตามตรงแล้ว ความทุกข์ลำบากที่ก่อโดยคนที่ข่มเหงรังแกเรา  มันก็มีผลกระทบไปถึงคนที่ไม่เป็นคริสเตียน ก็โดนด้วย

ยกตัวอย่างเช่น จักรพรรดิเนโร แห่งโรม ที่ข่มเหงรังแกคริสเตียนอย่างมากมาย เขาก็ทำสิ่งต่างๆ ที่ข่มเหงรังแกคนทั้งโลก ขณะนั้นเหมือนกัน บางกลุ่มชนที่เล็กหน่อย  โรมเข้าไปยึดอำนาจ แล้วก็ล้างเผ่าพันธุ์ไปเลย  ฆ่าตายหมดเลย  ซึ่งคนเหล่านั้น ก็ไม่ใช่คริสเตียน  ก็ถูกความทุกข์ยากลำบากที่เกิดจากการกระทำของจักรพรรดิเนโรในช่วงนั้น เหมือนกันกับคริสเตียนที่โดน ลองคิดถึงภาพตรงนี้ นี่คือความจริง

เพราะฉะนั้น ในปัจจุบัน เราก็เห็นคริสเตียนอย่างมากมาย ยังเป็นมะเร็ง  ยังประสบอุบัติเหตุ ในวันสงกรานต์ ยังเจอสิ่งเลวร้ายเหมือนคนอื่นๆ เขา ยังทุกข์ทรมาน  ยังเจอปัญหา ครอบครัวแตกแยก ไม่เชื่อฟัง  เหมือนคนที่ยังไม่เชื่อ เหมือนกันเลย  เราจะสังเกตเห็นอย่างนั้นจริงๆ

ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียน ยังต้องประสบอุปสรรคปัญหาในการดำเนินชีวิตต่างๆ เหมือนๆ กับคนอื่นๆ ในโลกใบนี้ ที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้าเลย มันเกิดอะไรขึ้น  ซึ่งทำให้บางครั้ง คริสเตียนบางคนก็อาจจะกระซิบ ไม่กล้าพูดดัง เกรงใจพระเจ้า  แต่บางคนสนิทกับพระเจ้ามาก  คริสเตียนผู้เชื่อคนนั้นอาจจะอยากตะโกนดังๆ  เพราะรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้ยิน หรือยังไงว่ามันทุกข์มาก อยากจะตะโกนถาม  อาจจะถามพระเจ้า หรือประชดถามตัวเอง  หรือถามคนข้างเคียงว่า …

“ทำไมเป็นเช่นนี้  ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้  เกิดขึ้นกับฉัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อแล้ว  พระเจ้าสถิตอยู่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว”

ใช่ไหม? บางทีเราอยากจะตะโกน เกรงใจพระเจ้า แต่ในวิญญาณข้างใน  ความคิดจิตใจข้างใน ตะโกนอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยอดีต มาจนถึงปัจจุบัน  และมันก็จะดำเนินอย่างนี้ต่อไป จนกระทั่ง ถึงวันสิ้นโลกใบนี้นั่นเอง  ก็คือความทุกข์ยากลำบากยังคงอยู่กับเรา  อยู่บนโลกใบนี้ ตราบที่โลกใบนี้ยังอยู่ ระบบของความบาปในโลกใบนี้ที่ครอบครองโดยมาร  จะเป็นศัตรูต่อต้าน ทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์  โดยผ่านทางมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ  แล้วมันก็จะทำอย่างนี้ตลอดไป เพราะมันเป็นศัตรูผู้เดียวของมนุษย์และพระเจ้า นี่คือความจริง ที่จะทำให้เราเป็นไท เรารู้แล้วว่าศัตรูเรา ก็คือมาร ซึ่งครอบครองด้วยระบบของบาปบนโลกใบนี้  ซึ่งต่อต้าน ต้องการทำลายเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ก็คือมวลมนุษยชาติทั้งปวง โดยกระทำการผ่านทางมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ  เดี่ยวเราค่อยๆ เรียนรู้ต่อไป

          คำถามก็คือ …

          (1)  ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้     เกิดขึ้นกับมนุษย์    ที่พระองค์ทรงบอกว่ารักมากมาย  ดั่งแก้วตาดวงใจ

          (2) พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่ลูกกำลังตกอยู่ในความเลวร้ายนั้น

นี่คือสองคำถามที่อยู่ในใจของผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว  หรือแม้แต่คนไม่เชื่อ บางครั้งก็คิดเหมือนกัน  เพราะเคยได้ยิน ที่บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ดี และรักมนุษย์ยิ่งนัก

เพราะฉะนั้นตอบคำถามข้อที่ 1 ก่อน … “ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เกิดขึ้นกับมนุษย์ ที่พระองค์ทรงบอกว่ารักมากมาย  ดั่งแก้วตาดวงใจ”

 

ในโรมบทที่ 5 บอกว่ามนุษย์ชั่วร้าย ตกลงไปในความบาป ขณะที่เป็นคนบาป เป็นคนชั่วอยู่นั้น พระเจ้าทรงสำแดงความรักต่อมนุษย์ โดยการประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อตายที่ไม้กางเขน  เพื่อช่วยเหลือให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ลำบาก ความบาป ความชั่วเหล่านั้น  นี่แหละความรักของพระเจ้าที่สำแดงออก โดยพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน

หรือในยอห์น 3:16 ที่เราได้เรียนรู้กันดี บันทึกไว้อย่างนี้ว่า … “เพราะพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก เพราะพระองค์ทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อมนุษย์จะไม่พินาศ อยู่ในความบาป  แต่ได้กลับมามีชีวิตนิรันดร์” นี่คือมั่นใจเลยว่าพระเจ้ารักเรามาก ดั่งแก้วตาดวงใจ

เพราะฉะนั้น ถ้าเราถามว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายนี้ เกิดขึ้นกับเรา ซึ่งเป็นมนุษย์ที่พระองค์ทรงรัก ดั่งแก้วตาดวงใจ  ก็อยากจะตอบดังต่อไปนี้  ตั้งใจฟังให้ดีๆ นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าที่กระทำให้เป็นอิสระ รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น  มันมาได้อย่างไร?

พระเจ้าอนุญาตให้เรารับสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น แต่พระองค์ไม่ประสงค์ให้เราประสบกับสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น

ถามว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ เกิดขึ้นกับมนุษย์ ก็ต้องตอบว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้เกิดขึ้น แต่พระองค์ไม่ต้องการ ให้มันเกิดขึ้นกับเราเลย

พระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายนี้เกิดขึ้นกับมนุษย์ แต่ไม่ประสงค์ให้มนุษย์ต้องพบกับสิ่งเลวร้ายเลย ค่อยๆ คิดตาม พระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น เพราะว่าพระเจ้าอนุญาตให้มนุษย์นั้นดื้อ ไม่เชื่อฟัง สิ่งเลวร้ายจึงเกิดขึ้น  สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นจากมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ไม่ได้มาจากพระเจ้า พอนึกออกไหม?

พูดง่ายๆ เหมือนกับเราเป็นพ่อแม่ เราเลี้ยงลูก แล้วก็เลี้ยงแบบให้เขามีอิสระ เราไม่ได้ไปล่ามโซ่ ผูกขาเขา ไม่ให้ไปไหน?  แล้วก็บอกว่าเขาเชื่อฟังเรามาก  ไม่ใช่อย่างนั้น ถูกไหม?  เรารักลูกของเรา เลี้ยงเขาเป็นลูก  ให้อิสรภาพเขาในการตัดสินใจ  จะเชื่อฟังหรือไม่ก็ตาม  เราก็ยังรักเขาเป็นลูก

ยกตัวอย่าง เราบอกลูกเราว่า …

“อย่าเดินเร็วๆ นะ ตรงนั้นมันลื่น”

แล้วเขาเดินไป  แล้วเดินเร็วด้วย วิ่งด้วย ไม่เชื่อฟัง เขาก็ลื่น แล้วล้มลง หัวแตก เลือดอาบ ถามว่าหัวแตก เลือดอาบ เราประสงค์ให้เกิดขึ้นไหม? เราไม่ประสงค์ แต่เราอนุญาตให้มันเกิดขึ้นไหม? อนุญาต เพราะเราอนุญาตให้เขามีอิสระในการที่จะเชื่อฟังเราหรือไม่เชื่อฟัง  เขาเป็นอิสระ พูดง่ายๆ ว่าเราอนุญาต เพราะเราไม่ได้ไปล่ามโซ่เขาไว้ แล้วบอกว่า … “

“อย่าวิ่งนะ ตรงนี้มันลื่น เดี๋ยวหกล้ม”

เช่นเดียวกัน พระเจ้าก็เป็นลักษณะนั้น ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเรา ก็คืออาดัม ต้นพันธุ์ของมนุษย์ทั้งปวง  พระเจ้าก็บอกอย่างนี้แหละ พระเจ้าทรงรักมาก  จึงบอกว่า …

“อย่าดื้อนะ  เชื่อฟังพ่อนะ จะได้ได้ดี”

แต่อาดัมก็ไม่เชื่อฟัง  ในสิ่งที่พ่อเตือนแล้ว เตือน เพราะหวังดี  เพราะรักใช่ไหม? เตือนบอกว่า…

“เชื่อฟังนะ อย่าดื้อนะ ถ้าวันใดเจ้าดื้อ ฝืนคำสั่งไปทำ เจ้าจะได้รับทุกข์ทรมาน ตาย เจ้าจะลำบากนะ”

ก็เหมือนเมื่อสักครู่นี้ที่บอกว่าถ้าเจ้าวิ่งไปตรงนั้นมันลื่น เจ้าจะหกล้ม หัวแตกนะ เหมือนกัน พระเจ้าสร้างอาดัมและเอวา และมนุษย์ทั้งปวงให้เป็นลูก  มีอิสระในการตัดสินใจ  จะเชื่อฟังพระองค์ก็ได้ ไม่เชื่อฟังพระองค์ก็ได้  จะเชื่อฟังพ่อหรือไม่เชื่อฟังพ่อก็ได้  เป็นอิสระ มีอิสรภาพในการตัดสินใจ เป็นลูก  ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์  ทำตามคำสั่งอย่างเดียว กดปุ่มก็สั่ง กดปุ่มให้รักพ่อ ก็รักพ่อๆ อย่างนั้นหรือ?  ไม่ใช่ เราก็รู้อยู่แล้ว  นี่แหละ เราต้องจำให้ดีๆ เลย  สั้นๆ ก็คือพระเจ้าอนุญาตให้เราดื้อ แต่ไม่ประสงค์ให้เราดื้อ

ในโรม 5:12 ได้บอกถึงผลของการไม่เชื่อฟังของมนุษย์ว่ามันเกิดขึ้นที่ไหน? และเมื่อไร? และเกิดขึ้นแล้ว เป็นเช่นไรที่พระเจ้าเตือนไว้แล้วว่า “อย่าๆ” แต่เราดื้อ เราเป็นผู้นำเอาความทุกข์ยากลำบาก  สิ่งเลวร้ายต่างๆ เข้ามาบนโลกใบนี้ ด้วยตัวของเราเอง ก็คือด้วยมนุษย์เอง  โรม 5:12 ได้บันทึกไว้อย่างนี้นะ …

โรม 5:12 “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

 

“ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก” ผมอยากจะยกตัวอย่าง อย่างนี้ เพราะว่าตอนนี้  ในช่วงขณะนี้ ในปีค.ศ.นี้ ไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า “ไวรัส” โดยเฉพาะ “ไวรัสโควิด-19”  เลยอยากยกคำว่าไวรัสมาให้เห็นชัดๆ มาเปรียบเทียบให้ดู

ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาป ไวรัสบาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และไวรัสบาป ได้นำเอาความตายมา ความตายตรงนี้ ก็คือเอาชีวิตของพระเจ้าที่มีอยู่ในวิญญาณของมนุษย์ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา ในเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ทุกคน  เอาวิญญาณที่เรียกว่าชีวิตนี้ ออกไปจากมนุษย์ ทำให้มนุษย์จากมีชีวิตของพระเจ้า ก็กลายเป็นไม่มีชีวิตของพระเจ้า เรียกว่าตาย

และชีวิตของพระเจ้า คือสิริของพระเจ้า  คือความสง่างาม ความดี  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า หายไปจากตัวจริงๆ ของมนุษย์  ก็คือในวิญญาณของเขา  นั่นเป็นเพราะไวรัสบาป ที่มันเข้ามา  แล้วมันเข้ามาที่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ตั้งแต่เริ่มต้น คืออาดัมและเอวา และไวรัสตัวนี้ ติดเชื้อกันต่อๆ มา โดยสายเลือดนี้ มีไวรัสบาปติดอยู่ ส่งต่อๆ กันมา โดยเริ่มจาก DNA แรกของมนุษย์เลย  เกิดมา ก็มี DNA ของไวรัสบาป มีอยู่แล้ว แล้วมันก็จะแสดงอาการของตัวไวรัสบาปนี้ออกมา เมื่อค่อยๆ เติบโต โรม 5:19 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

โรม 5:19 “เพราะการไม่เชื่อฟัง (ความดื้อ) ของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นคนบาป (ติดเชื้อ) ฉันใด การเชื่อฟัง (ยอมทำตามพระเจ้า) ของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นผู้ชอบธรรม (ได้รับการรักษาให้หายจากเชื้อบาป) ฉันนั้น”

 

“เพราะการไม่เชื่อฟัง ความดื้อของมนุษย์คนเดียว” อาดัม บรรพบุรุษของเรากับเอวา เพราะการไม่เชื่อฟัง  ก็คือความดื้อ พ่อเตือนแล้ว พระเจ้าเตือนแล้ว แต่ยังดื้ออยู่ใช่ไหม?  เพราะเราดื้อเอง  ทำให้เชื้อของบาปมันเข้ามา ทำให้คนเป็นอันมาก คือลูกหลานเหลนโหลน ที่จะเกิดจากเรามา  ในอนาคตนั้น ติดเชื้อนี้กันหมด ติดเชื้อไวรัสบาปตัวนี้ มาจากคนๆ เดียวเลย

ในนี้บอก ฉันใดก็ฉันนั้น  การเชื่อฟัง ยอมทำตามพระเจ้า ของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมาก เป็นคนชอบธรรม  มนุษย์คนเดียว คนนี้ ก็คือพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าองค์เดียว ที่พระองค์ได้ทรงยอมเสียสละ สภาวะพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนอย่างเรา  และกระทำตามที่พระเจ้าได้สั่งไว้  ได้บอกไว้ มาช่วยดูแลพวกเราทั้งหลาย มนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป  โดยให้พระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์  และให้ไปรับโทษของมนุษย์ทั้งปวง  ตายที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสหลุดพ้นจากเชื้อไวรัสบาปนั้น  เพื่อมารักษามนุษย์ให้หายจากบาป

พูดง่ายๆ ส่งพระเยซูมาเป็นหมอ มารักษาบาปให้กับมนุษย์นั่นเอง  ้ และพระเยซูก็ยอมเชื่อฟัง นี่ไง การยอมเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวเอง มนุษย์คนนั้น ก็คือพระเยซูคริสต์ ทำให้มนุษย์ทั้งปวง มีโอกาสได้หายจากเชื้อบาปนี้

เชื้อบาป หรือไวรัสบาปนี้ มีผล หรือเรียกว่าอาการ มีผลกระทบเกิดขึ้น จากไวรัสบาป ก็คือทำให้พระสิริของพระเจ้าหายไป อย่างที่ตะกี้นี้บอก ทำให้มนุษย์ไม่เห็นพระเจ้าอยู่ในสายตา คือทั้งๆ ที่รู้ว่ามีพระเจ้าอยู่ แต่ไม่เห็นพระเจ้าอยู่ในสายตา (ทางฝ่ายวิญญาณ)  เพราะว่าพระสิริของพระเจ้าได้หายไป  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้หายไป  ความดีงามของพระเจ้าได้หายออกไปจากวิญญาณข้างในของมนุษย์ทุกคนแล้ว

เชื้อบาป อาการออกมาอย่างนี้แหละ  และมันเป็นบ่อเกิดของการทำไม่ดี ตรงกันข้ามกับทางพระเจ้า ถ้าพระเจ้าเรียกว่าพระเจ้าดีงาม  สิ่งที่ตรงกันข้ามกับดีงามทั้งหมด มนุษย์ในใจอยากทำ เรียกว่าทำชั่วทั้งสิ้น  มันทำให้เกิดอาการเหล่านี้ขึ้นมา  ซึ่งถามว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้นไหม? อนุญาต เพราะเป็นไปตามที่บอกไว้แล้วไงว่าอย่าทำ ให้อิสระ ในการตัดสินใจ ในเมื่อตัดสินใจอย่างนี้ ก็รับผลของมันอย่างนี้  พระเจ้าไม่ได้เป็นคนต้องการให้มันเป็นอย่างนี้เลย

โรม 1:28-32 ได้บอกอย่างชัดเจนว่าเจ้าเชื้อไวรัสบาปนี้ มันมีผลมาถึงมวลมนุษยชาติอย่างไร? มีอาการออกมาอย่างไร?  ในอาการของมัน เมื่อติดเชื้อแล้ว  เหมือนกับพูดในปัจจุบัน ไวรัสโควิด-19 ใครๆ ก็รู้ดี  พอติดเชื้อไวรัสแล้วเกิดอะไรขึ้น? เกิดปวดหัว อาการไข้ ไวรัสไปกินอวัยวะต่างๆ  ในร่างกาย จนสุดท้ายไปกินที่ปอด เสียชีวิตอะไรอย่างนี้ นี่คืออาการ

ในทำนองเดียวกัน ลักษณะเดียวกัน ไวรัสบาปนี้  ทำให้เกิดอาการอะไรบางอย่าง ซึ่งพระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่ามนุษย์ทุกคน เมื่อติดเชื้อไวรัสนี้  ก็จะมีอาการเหล่านี้ เรามาดูสิว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไรว่าอาการเหล่านี้ เป็นอาการอะไรบ้าง ซึ่งบางคนก็โผล่อาการเหล่านี้ออกมา ไวรัสโควิด-19 ที่ติดเชื้อแล้ว บางคนก็ถูกกินปอด บางคนติดเชื้อแล้ว ก็ไม่ถูกกินปอด แต่ถูกกินที่อวัยวะส่วนอื่น  ระบบหายใจบกพร่อง ระบบเลือดบกพร่อง แล้วแต่มันจะวิ่งไปที่ไหน?

ในเชื้อไวรัสบาป  ที่บรรพบุรุษเรานำเข้ามา  ติดเชื้อ หมายถึงพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ  แต่เป็นอาการอย่างนี้ คือโรม 1:28-32 …

โรม 1:28-32 “28 ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากเขาไม่เห็นคุณค่าของการรู้จักพระเจ้า พระองค์จึงทรงปล่อยเขาให้มีจิตใจเสื่อมทราม ให้ทำสิ่งที่ไม่สมควร 29 พวกเขาจึงเต็มไปด้วยความเลว ความชั่วร้าย ความโลภโมโทสัน และความเสื่อมทรามสารพัดชนิด พวกเขามีแต่ความอิจฉาริษยา การเข่นฆ่า การแก่งแย่งชิงดี การล่อลวง และการคิดร้าย พวกเขาชอบนินทา 30 ใส่ร้ายป้ายสี เกลียดชังพระเจ้า หยาบคาย หยิ่งยโส และโอ้อวด พวกเขาคิดหาทางใหม่ๆ ในการทำชั่ว พวกเขาไม่เชื่อฟังบิดามารดาของตน 31 พวกเขาเป็นคนไร้สติ ไร้สัตย์ ไร้หัวใจ ไร้ความปรานี 32 แม้เขารู้กฎเกณฑ์อันชอบธรรมของพระเจ้าว่าผู้ที่ทำเช่นนั้น สมควรตาย เขาไม่เพียงยังคงทำสิ่งเหล่านี้(ตามธรรมชาติบาป) ต่อไป แต่ยังเห็นชอบกับผู้ที่ทำสิ่งเหล่านั้นด้วย”

 

“เนื่องจากเขา” คือใคร? คือมวลมนุษยชาติ เผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นเอง  ตกลงไปในความบาปแล้ว ติดเชื้อแล้ว พระเจ้ากำลังบอกความจริงกับเราว่าในโลกวิญญาณ  มนุษย์ตกอยู่ในสภาพเช่นไร? มนุษย์ไม่เห็นคุณค่าของการรู้จักกับพระเจ้า สัมพันธภาพกับพระเจ้า คือไม่เห็นพระเจ้าอยู่ในสายตานั่นเอง พระองค์จึงทรงปล่อยให้เขามีจิตใจเสื่อมทราม

“ปล่อยให้เขา” อย่างที่ตะกี้นี้บอก  ก็คือพระองค์ก็อนุญาต ทั้งๆ ที่ไม่ประสงค์เลย ไม่อยากให้ลูกของพระองค์เป็นอย่างนั้นเลย  เราไม่อยากให้ลูกของเราหัวแตก หน้าฉีก เพราะล้มลงเลย แต่เราอนุญาต ให้เขาตัดสินใจ เขาไม่เชื่อฟัง เขาได้รับตรงนี้ไป  ไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอย่างนั้นเลย เหมือนกัน พระองค์ทรงอนุญาตให้เขาติดเชื้อไวรัสบาป อาการเหล่านี้ คืออาการ อิทธิพล เรียกว่าพลังอำนาจของไวรัสบาป เมื่อติดเข้าไปแล้ว  เมื่อเป็นแล้ว มันจะทำให้มนุษย์มีอาการเหล่านี้ ก็คือทำให้มีจิตใจเสื่อมทราม

ฟังให้ดีๆ นี่คืออาการต่างๆ  ให้ทำสิ่งที่ไม่สมควรทำ ทำอะไรที่ไม่เป็นมนุษย์ ที่เราเคยคุยกันอยู่บ่อยๆ  ทำในสิ่งที่ไม่สมควร มวลมนุษยชาติเต็มไปด้วยความเลว ความชั่วร้าย นึกในใจ ขณะที่ผมอ่านไปทีละข้อๆ  นึกในใจว่าสิ่งเหล่านี้ มาจากเชื้อไวรัสบาป  ที่ทำให้มันเกิดขึ้น ในวิญญาณของมนุษย์ทุกๆ คน ความโลภโมโหสัน ความเสื่อมทรามสารพัดชนิด คือนับไม่หมด เต็มไปหมดเลย พวกเขามีแต่ความริษยา

เมื่อพูดถึงพวกเขาเมื่อไร? ท่านนึกถึงคำว่า “มวลมนุษย์” การอิจฉาริษยา การเข่นฆ่า การแก่งแย่งชิงดี การล่อลวง การคิดร้าย มนุษย์ชอบนินทา ชอบใส่ร้ายป้ายสี  เกลียดชังพระเจ้า หยาบคาย หยิ่งยโส โอ้อวด มวลมนุษย์คิดหาทางใหม่ๆ ในการทำชั่ว ยกตัวอย่างง่ายๆ  คิดหาทางใหม่ๆ แรกๆ เริ่มทำชั่วด้วยมีด ยกตัวอย่างง่ายๆ  มีดเอาไว้ป้องกันตัว เอาไปทำร้ายคนอื่นก็ได้ เห็นแก่ตัว อะไรอย่างนี้ จากมีดก็พัฒนาไปเป็นปืน จากปืนก็ไปเป็นปืนกล จากปืนกลก็ไปเป็นจรวด จากจรวดก็กลายเป็นระเบิดปรมาณู  จากระเบิดปรมาณูก็กลายเป็นอะไรบางอย่าง ที่เขาเรียกว่าอาวุธสารเคมี อาวุธเชื้อโรค คิดไปเยอะแยะมากมาย นี่ความใหม่ๆ ในการกระทำชั่ว เพราะข้างใน มันชั่ว ก็คิดแต่ความชั่วร้าย

มนุษย์ไม่เชื่อฟังบิดามารดาของตน อันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่เราบอก เด็กมันดื้อ มันไม่ธรรมดาก่อนที่มนุษย์จะอนุญาตให้เชื้อไวรัสนี้เข้ามา  เมื่อติดเชื้อไวรัสนี้เข้าไปแล้ว มันก็เรียกว่าเป็นอย่างนี้ มันธรรมดาของการติดเชื้อไวรัสนั้น  พวกเขาเป็นคนไร้สติ ไร้สัตย์ ไร้หัวใจ ไร้ความปราณี แม้เขารู้กฎเกณฑ์อันชอบธรรมของพระเจ้า

“รู้กฎเกณฑ์ของพระเจ้า” คือข้างในใจของเขา ในจิตใต้สำนึกเขารู้ว่ากระทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ถูกต้อง เรียกว่ากระทำบาป  สู้ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ได้เกิดจากตัวเขาจริงๆ มันเกิดจากไวรัสตัวหนึ่ง ที่เรียกว่าไวรัสบาป  เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการนี้ออกมา แม้เขาจะรู้ว่ามันไม่ดี มันจะเกิดความเสียหาย เขาจำเป็นต้องทำ เพราะถูกบังคับ  เพราะมันเป็นอาการของไวรัสตัวหนึ่ง  ในนี้ยังบอกว่า “เขาไม่เพียงทำสิ่งเหล่านี้  ตามธรรมชาติบาปต่อไป” ตรงนี้ คำว่า “ทำสิ่งเหล่านี้” ยังคงทำตามธรรมชาติบาปที่อยู่ข้างใน  ที่ติดเชื้อไวรัสมาแล้ว นั่นหมายถึงอย่างนี้  ยังทำต่อไป และยังเห็นชอบต่อผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ด้วย ก็คือต่างฝ่ายก็อยู่ในกงกรรมกงเกวียนของเชื้อไวรัสบาป อาการของเชื้อไวรัสบาปนี้ เหมือนกันทั้งหมด  พูดง่ายๆ พระเจ้ากำลังจะบอกเราว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในต้นไม้ ต้นเดียวกัน คือต้นไม้แห่งตระกูลอาดัม  ซึ่งติดเชื้อไวรัสบาปแล้ว

เชื้อไวรัสบาปนี้ มันติดตั้งแต่ต้นนี้แล้ว กิ่ง ก้าน สาขาต่างๆ ที่อยู่บนต้นไม้นี้  มันก็ติดเชื้อไปหมดนั่นแหละ  และเชื้อนี้ มันก็จะออกผลออกมาต่างกัน  ระหว่างกิ่งนั้น ก้านนี้ อาจจะออกแบบนี้ ออกแบบนั้น ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนถึงนินทาว่าร้าย ป้ายสี ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อยู่ในต้นเดียวกันทั้งหมด พูดง่ายๆ เมื่ออยู่ในต้นนี้ ก็จะทำอาการแบบนี้ คืออาการของการติดเชื้อไวรัสบาป เกิดความไม่สบายนั่นเอง  มาจากเชื้อไวรัสบาป

เพราะฉะนั้น การมารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่  ได้รับการอภัยโทษ จากบาปทั้งสิ้น  ได้รับพระพรต่างๆ นานัปการ ฝ่ายวิญญาณในสวรรค์ตามพระคัมภีร์บอกไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นจริงอยู่ แต่ว่าคริสเตียน ก็คือคนที่เชื่อพระเจ้า ที่ได้รับพระพรก็จริง แต่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังหายใจอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นโลกแห่งความวิปริตเสียหาย เต็มไปด้วยความบาป ซึ่งเป็นผลจากอิทธิพลของไวรัสบาปนี้  ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ศัตรูกับมนุษย์ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  ซึ่งมันคอยจดจ้อง คอยทำลายมวลมนุษยชาติตลอดเวลา ตราบใดที่มนุษย์คนนั้นยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า ก็ตาม มนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้  ก็ได้รับผลกระทบเหมือนๆ กัน ไม่มีผิดเลย

พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าเชื่อพระเยซู เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว จะไม่ต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ไม่เลย  จริงๆ แล้วพระองค์ทรงเตือนต่างหาก ด้วยว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว ท่านยังอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาอยู่แล้ว ไม่ใช่มาเป็นคริสเตียนแล้วมีความทุกข์มากขึ้น มีความสุขมากขึ้น  แต่ยังคงอยู่บนโลก ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากนี้ เหมือนเดิม ซึ่งเราได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ซึ่งแน่นอนจะมีวันหนึ่งที่เราจะไม่ต้องรับความทุกข์ยากลำบากอย่างนี้อีกแล้ว เพราะเราเป็น คริสเตียน  รู้จักพระเจ้าแล้วใช่ไหม? พระองค์ทรงสัญญา ก็คือในวันหนึ่งข้างหน้า  ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างมาใหม่ ซึ่งจัดเตรียมไว้ให้กับเรา  ซึ่งในโลกนั้น ไม่มีเชื้อไวรัสบาปอีกต่อไป ไม่มีมารอีกต่อไป นั่นแหละ ก็จะไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่มีผลของไวรัสบาปเหลืออยู่

เราลองคิดย้อนกลับไปเมื่อสักครู่นี้ ที่เราพูดกันว่าในยุคคริสเตียนตอนเริ่มต้น  สมัยคริสตจักรตอนเริ่มต้น สมัยยุคโรมันเรืองอำนาจ ที่เมื่อสักครู่นี้ที่เราคุยกันว่าคริสเตียนผู้เชื่อในยุคเริ่มต้น อดอยาก ลำบาก เพราะเกิดความกันดารไปทั่วโลก  คริสเตียนหรือไม่คริสเตียนก็อดอยากเหมือนกัน แต่เวลาเราเขียนถึง พูดถึงพี่น้องคริสเตียน ก็คิดว่ามีแต่พี่น้องคริสเตียนเท่านั้นที่อดอยาก มันอดอยากไปทั้งหมดนั่นแหละ โดนไปหมด หนีจากตาย จากการข่มเหงของจักรพรรดิ์โรมัน ซึ่งขณะนั้นถือว่าเป็นมหาอำนาจ เห็นแก่ตัว ก็เห็นแก่ตัวทุกคนแหละ เห็นแก่ตัวทุกประเทศแหละ มากหรือน้อย ก็อย่างที่บอกอยู่ในอาการของเชื้อไวรัสบาปทั้งนั้น ก็ข่มเหงกันไปทั่วแหละ อย่างที่บอกว่าเข้าไปครอบครองเลย โดยล้างเผ่าพันธุ์นี้ไปให้สิ้น แล้วก็ไปยึดมา อะไรต่างๆ เหล่านี้ มีหลายประเทศ หลายเผ่าพันธุ์ที่สูญหายไปเลยก็มี

อย่างอิสราเอลก็เคยเหมือนกับสูญสิ้นชาติไปแล้ว แล้วก็ได้กลับมาใหม่ มีกี่ประเทศ กี่ชาติที่เป็นอย่างชาวยิว ชาวอิสราเอล ถูกข่มเหงไปหมดแหละ รู้จักพระเจ้า หรือไม่รู้จักพระเจ้า เป็นคริสเตียน หรือไม่เป็นคริสเตียน  เพราะว่ามันเป็นความชั่วร้ายที่มาพร้อมกับไวรัสบาป  แล้วมาโผล่ผลต่างๆ ที่มนุษย์ แล้วก็ทำให้มนุษย์ทำชั่ว ทำร้ายซึ่งกันและกัน  ก่อให้เกิดความทุกข์ยากลำบาก เบียดเบียนซึ่งกันและกันนั่นเอง

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคของโรม ยุคของจักรพรรดิเนโร หรือแม้กระทั่งยุคของเริ่มต้นใหม่ๆ  ตั้งแต่ฟาริสี คนเคร่งศาสนายิวที่ข่มเหงรังแก ให้ความทุกข์ยากลำบากกับคริสเตียนตอนเริ่มต้นใหม่ๆ ตอนนั้น ล้วนมาจากเชื้อเดียวกัน คือเชื้อบาป ซึ่งกระตุ้นให้เขาทำเช่นนั้น กันทั้งนั้นเลย ไม่ว่ามากหรือน้อย คริสเตียนจึงเหมือนถูกข่มเหงรังแก แต่คริสเตียนมีภาษีมากกว่าตรงที่คริสเตียน มีความหวัง มีพลัง มีสันติสุข มีความปิติยินดีในโลกวิญญาณ ในใจของเขา ในขณะที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ถูกข่มเหงรังแกต่างๆ นานาเหล่านั้น  เขามีความหวังในใจ เต็มที่เลย เขารอคอยวันแห่งการไถ่ถอน  ครบถ้วนบริบูรณ์ คือวันที่พระเจ้า นำเขาออกจากร่าง ไปสู่โลกสวรรค์นิรันดร์ หรือวันที่พระองค์จะทรงไถ่มนุษย์ให้ครบถ้วนบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ก็คือวันที่โลกนี้สิ้นสุดลง และโลกใหม่เข้ามาแทนที่ ที่จะไม่มีบาป ไม่มีมาร ไม่มีเชื้อไวรัสอีกต่อไป ก็จะมีความสุขชั่วนิจนิรันดร์นั่นเอง

เพราะฉะนั้น คริสเตียนจึงมีความหวังในสันติสุขตรงนี้ คริสเตียนในยุคนั้น ที่ถูกข่มเหงรังแกอย่างหนักมาก อาจจะหนักมากกว่าในยุคปัจจุบันที่เราคิดว่าเราหนักมากแล้วนะ แต่ในยุคแรกนั้นลองคิดดูสิ ถูกใส่ร้ายป้ายสี นำไปขังคุก  นำไปให้สัตว์ร้ายกิน  หรือให้ไปสู้กับสัตว์ร้าย เป็นเกมให้คนเขาดู หรือไม่ก็ถูกเผาประจานบนไม้กางเขน บนต้นไม้  หรือถูกตัดคอ หรือถูกขังลืม  และไม่ใช่จับเฉพาะคริสเตียนเท่านั้น  จับทั้งครอบครัว ทั้งลูกเด็กเล็กแดงโดนหมดอะไรเหล่านั้น ทุกคนต้องหนีกันจ้าละหวั่น ทั้งหวาดกลัวเขาเหล่านั้น

ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าเขาเหล่านั้นมีใจที่เต็มไปด้วยความหวัง รอคอยโลกหน้าที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา  เรามีความเชื่อวางใจในพระเยซู ที่สถิตอยู่กับเรา  อย่างนี้เป็นต้น

คริสเตียนในขณะนั้น หลายคนตั้งคำถามเดียวกันอย่างนี้แหละ  เหมือนปัจจุบันและตลอดเสมอมา คำถามเดียวกันนี่แหละ ก็คือว่า …

“พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ทำไมพระองค์อนุญาตให้ความทุกข์ยากลำบากอันแสนสาหัส เกิดขึ้นกับลูกและครอบครัว พระองค์อยู่ไหน?”

เขาก็ถามเรื่องอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา …

“ทำไมพระองค์ไม่ช่วยให้รอดจากสถานการณ์เลวร้ายเหล่านั้น ช่วยให้รอดจากจักรพรรดิเนโร ช่วยให้รอดจากการข่มเหงของชาวยิวที่ยังไม่รู้จักพระองค์” … อะไรต่างๆ เขาก็ถามอย่างนี้

เรารู้แล้วตอนนี้ว่าความจริง ก็คืออิทธิพลของระบบบาปในโลกนี้ ซึ่งคลุมไปด้วยเชื้อไวรัสบาป เต็มไปหมดเลย ซึ่งเร่งปฏิกิริยา ยุแยงให้อาการมันกำเริบขึ้น โดยมารซาตานที่อยู่เบื้องหลัง  คอยเพิ่มให้อาการ ใส่ให้อาการ ที่มันมีอยู่แล้วให้มันเพิ่มพูนขึ้น  คือยุแยงให้มันเกิดขึ้น  สนับสนุนและยุแยงโดยมาร ผ่านทางความบาป ทำให้มนุษย์ เกิดความเสียหาย มารมันคอยมาเป็นผู้ต่อต้าน เป็นปฏิปักษ์กับมนุษย์ทุกๆ คนบนโลกใบนี้  คอยยุแยงตะแคงรั่ว ทำลายมนุษย์ นี่คือเป้าหมาย

แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่คริสเตียน ผู้เชื่อ ที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ทำการงานอยู่นั้น เหมือนมีภูมิ มีกำลัง เหนือกว่ามารที่อยู่ในโลก เหนือกว่าไวรัส ซึ่งอยู่ในโลกนี้  มีภูมิที่ชนะ ต่อต้านเชื้อไวรัสบาปอยู่แล้ว  ขณะที่ถูกข่มเหง ใส่ร้าย ทำให้เกิดความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เราก็อาจจะถามพระองค์ …

“ทำไมพระเจ้าทำให้เราเจ็บปวด เป็นทุกข์ขนาดนี้  ทำไมพระเจ้าให้ความเจ็บปวดเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา”

แต่ความจริง คือผู้ที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า  ความทุกข์ไม่ได้มาจากพระเจ้า ไวรัสตัวนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า  แต่เป็นมนุษย์เองต่างหาก ที่นำมันเข้ามาเอง เพราะไม่เชื่อฟัง ทำไมพระเจ้าให้เราถูกเนโรข่มเหง? ทำไมพระเจ้าให้เราทั้งครอบครัวต้องถูกเอาไปต่อสู้กับสัตว์ ให้สิงโตกิน? ทำไมพระเจ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น? ทำไมทำอย่างนั้นกับเรา? ผู้ที่ทำ คือเนโร … เนโรเป็นมนุษย์ ทำไมทำ เพราะเนโรติดเชื้อบาป และใครเร่งอาการของเนโรให้มากขึ้นเรื่อยๆ  มารที่อยู่เบื้องหลังคอยกระตุ้นเนโร ครอบงำเนโรให้กระทำ

ขณะที่เราซึ่งเป็นคริสเตียน ถูกข่มเหงรังแก ถูกใส่ร้าย  เจ็บปวด ทุกข์ทรมานในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราอาจจะถามพระเจ้าว่า … “ทำไมพระเจ้าถึงให้เราเจ็บปวด เป็นทุกข์” แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่พระเจ้าทำให้เราเจ็บปวด เป็นทุกข์ ผู้ที่ทำสิ่งเหล่านั้น ก็คือมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ  แต่เป็นมนุษย์ที่ยอมเป็นเครื่องมือของมาร เนื่องจากความบาปครอบงำอยู่ เชื้อไวรัสบาปครอบงำอยู่

เราจึงเห็นภาพชัดเจนว่าเมื่อยอมให้เป็นเครื่องมือของมาร มารก็จะใช้อาการของไวรัสบาป มาทำสิ่งเสียหายต่างๆ ทำความชั่วต่างๆ คนละเล็กคนละน้อย คนนั้นมาก คนนี้น้อย แล้วก็ทำสิ่งเสียหายให้กับโลกใบนี้  และมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้  ทำร้าย ทำลายซึ่งกันและกันนั่นเอง  ซึ่งคำว่ามารล่อลวง หลอกล่อให้มนุษย์ทำบาปนั้น มันรวมทั้งคริสเตียนก็อยู่ในนั้นด้วย ไม่ใช่รวมทั้งคริสเตียนเท่านั้น รวมทั้งตัวเราเองก็อยู่ในนั้นด้วย  บาปเล็กบาปน้อย บาปใหญ่ มันรวมมาทำให้สิ่งที่เสียหายเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แล้วอาจคิดว่าไม่ใช่ๆ  แต่เราก็คือส่วนหนึ่งนั่นแหละ เหมือนที่ตะกี้พระคัมภีร์ได้ยกตัวอย่าง ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนกระทั่งถึงนินทาว่าร้าย หรือความไม่เชื่อฟังพ่อแม่ จนกระทั่งถึงความโลภโมโทสันอะไรต่างๆ  การทำร้ายซึ่งกันและกัน นั่นแหละครับ

เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงในอดีต ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเนโร ก็แสดงว่าไม่ใช่จักรพรรดิเนโรเป็นผู้กระทำ แต่มารที่อยู่ข้างหลัง เบื้องหลัง คอยกระตุ้นให้เชื้อไวรัสบาป ที่อยู่ในเนโร ให้ทำอาการความชั่วร้ายมากมายไปหมดเหล่านั้นได้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ไม่ได้มาจากพระเจ้า

กำลังพูดถึงขณะนี้ โควิด-19 ที่หลายคนบอกว่าพระเจ้าเอาเข้ามา เพื่อลงโทษมนุษย์ พระเจ้าไม่ได้เอาเข้ามา  พอจะมองเห็นภาพแล้วใช่ไหม?  พระเจ้าไม่ได้เอาเข้ามาเลย หลายคนต่อว่าว่าพระองค์ทรงนำโควิด-19 มา แต่ความจริง คือความบาป มีอิทธิพลต่อมนุษย์ต่างหาก ที่เป็นบ่อเกิดของไวรัสโควิด-19 นี้ ถูกไหมครับ? ความจริง คือมนุษย์เองนั่นแหละ เป็นผู้นำเอาความบาปเข้ามา ในโลกนี้ เป็นเหตุให้ติดเชื้อและเสียหายไปทั้งโลก เพราะถูกมารหลอก มนุษย์อยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง อยากจะดูแลตัวเองตามที่มารมันหลอก แล้วเราก็หลง ตกลงไปในความบาปนั้น แทนที่จะยอมรับความจริงเหล่านี้ มารก็หลอกมนุษย์ให้กล่าวหาว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น ไปยุแยง เป็นมือที่ 3

“นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าให้เธอได้รับความทุกข์ยากลำบาก เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะนำเอาความทุกข์ยากลำบากเข้ามาสู่มนุษยชาติเพื่อลงโทษ”

ทั้งๆ ที่พระเจ้าได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าประทานพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อยกโทษบาปทั้งปวงให้กับมนุษยชาติไปแล้ว  มารก็หลอกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ  ทั้งทางกายหรือทางใจ หรือความทุกข์ยากลำบากในการหากินบนโลกใบนี้ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ ความเสียหาย แตกหักอย่างรุนแรง การฆ่ากัน การทำร้ายกัน ทำลายกัน การแตกแยกกันในครอบครัวเดียวกัน ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ  ความวิปริตเหล่านี้ ความสับสนวุ่นวาย  ความเละเทะของบนโลกใบนี้  ล้วนเกิดขึ้นจากมารล่อลวงมนุษย์ ให้ทำบาป นำเอาเชื้อไวรัสบาปเข้ามา ก่อเชื้อบนโลกใบนี้  โดยมนุษย์รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่พระเจ้าเลยที่ประสงค์ให้มันเป็นอย่างทุกวันนี้  มันเป็นอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์กลับเสียใจ และทุกข์ใจมากมายต่างหาก และรอคอยวันเวลาที่จะเยียวยา รักษาให้เราหาย จากเชื้อไวรัสบาปนี้  ซึ่งพระองค์ก็กระทำสำเร็จแล้ว  คือประทานพระเยซูคริสต์ลงมาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้หายจากบาป จะได้บังเกิดใหม่ และก็เตรียมโลกใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  ให้เรารออีกนิดหนึ่งเท่านั้น

สรุป ก็คือโศกนาฏกรรม ความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรมา เรียกอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ทั้งหมดนั้น สรุปว่าไม่ได้มาจากพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา มนุษย์ต่างหากที่ทำให้มันเกิดขึ้น มนุษย์เป็นคนนำเข้ามา โดยการถูกหลอก โดยมารซาตาน

เราจะจบลงแค่นี้ก่อน แล้วสัปดาห์ต่อไป  ค่อยมาตอบคำถามข้อที่ 2 “พระเจ้าอยู่ที่ไหน ในยามที่เราตกอยู่ในความกลัว ตกอยู่ในความทุกข์ลำบาก ความเลวร้ายนั้น พระเจ้าอยู่ที่ไหน?”  เราจะมาตอบข้อ 2 กันในสัปดาห์หน้า สำหรับสัปดาห์นี้ พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

พระเยซูผู้สถิตอยู่ในเราทั้งหลาย ที่เชื่อวางใจในพระองค์ และต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของเราแล้ว พระองค์กำลังจูงมือเราผ่านอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ที่ทำให้เรามีความรู้สึกกลัวท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังในขณะนี้ พระองค์สัญญากับเราว่าจะอยู่กับเราตลอดเวลาจะไม่ละทิ้งเรา รักและห่วงใยเราด้วยสุดหัวใจ และพระเยซูให้ความมั่นใจกับเราว่าพระองค์มีความสามารถที่จะนำพาเรา ผ่านสถานการณ์ความทุกข์ยากเหล่านี้ไปได้ด้วยดี อย่างแน่นอน

 

พระเยซูบอกว่า … “เรา​พูด​เรื่อง​พวกนี้​ เพื่อ​ว่า​คุณ​จะ​ได้​มี​สันติสุข ​เพราะ​คุณ​มี​ส่วนร่วม​ใน​ตัวเรา  ใน​โลกนี้​คุณ​จะ​มี​ปัญหา​เดือด​ร้อน​สารพัด แต่​ให้​เข้มแข็ง​ไว้ เพราะ​เรา​ชนะ​โลก​แล้ว”  ยอห์น 16:33 THA-ERV

 

พระเจ้าอวยพรครับ