วารสาร Holy News ฉบับที่ 1311

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  พฤษภาคม  2021

 เรื่อง “ความจริง 3 ประการ ที่ทำให้ท่านชนะโลก”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

 

เรื่องที่จะคุยในวันนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 แน่นอน  ณ เวลานี้ไม่มีข่าวอะไร ที่สำคัญไปกว่าข่าวนี้อีกแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นสื่อทุกชนิดในโซเซียลมีเดีย ในหนังสือพิมพ์ การพูดคุยในครอบครัว ที่ทำงาน ในหมู่เพื่อนฝูง เจอใครก็คุยแต่เรื่องโควิด-19 ไม่คุยไม่ได้

เมื่อปีเศษ ตอนแรกๆ ข่าวนี้ ไกลตัวเหลือเกิน เราก็เฉยๆ ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร? มาจากต่างประเทศ เสร็จปุ๊บ กระเถิบเข้ามาใกล้ๆ ประเทศแล้ว จากใกล้ๆ ประเทศ ก็เข้ามาในประเทศ จากเข้ามาในประเทศ ก็เข้ามาในจังหวัดของเรา  ยังไกลเราอยู่ พอเข้ามาในจังหวัดของเราแล้ว ก็เข้ามาในหมู่บ้านของเรา  เข้ามาในชุมชนของเรา แล้วก็เข้ามาในบ้านของเรา ตอนนี้เข้าไปในห้องนอนของเราแล้ว  เพราะฉะนั้น ไม่คุยไม่ได้ ไม่ให้ความสนใจไม่ได้เลย

และส่วนใหญ่จะคุยเรื่องอะไรกัน? พอพูดถึงโควิดจะมีข่าวสารออกมา ให้เราได้ยินได้ฟังกัน รับรู้กันในช่วงนี้  มันจะออกมาในรูปแบบใดในการคุยกัน

“โอ้โห! โควิดระบาดรอบนี้ น่ากลัวมาก น่ากลัวกว่าทุกครั้งที่เคยผ่านมาเลย  อันตรายมาก ยอดผู้ติดเชื้อยังไม่ลดเลย  คนเสียชีวิตก็มีอยู่ทุกวัน เพิ่มขึ้นทุกวัน ที่ทำงานก็มีคนติดหลายคน ก็ต้องกักตัวกันยุ่งไปหมดเลย  ที่ทำงานฉันก็มีคนติด ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันติดหรือไม่? ตอนนี้กำลังระวังอยู่ เพื่อนของเพื่อนเขาบอกไปติดมาแล้ว พี่ของเพื่อน เพื่อนของน้อง ญาติคนโน้นคนนี้ติดมาแล้ว ไปตรวจเชื้ออยู่ กำลังรอฟังผลอยู่ด้วยความตื่นเต้น เขาดีใจมากเลย ไม่ติด แต่หมอบอกว่าต้องไปตรวจอีกครั้งที่ 2  ซึ่งยังไม่แน่ใจ ก็ยังหวั่นๆ อยู่             แต่เพื่อนคนนี้ไปตรวจตั้งแต่วันแรกเลย ติดเชื้อ แต่ตอนนี้อาการก็ดีขึ้น คนนี้อาการไม่ดีขึ้นเลย”

อะไรอย่างนี้ มันสับสนวุ่นวาย  เต็มด้วยความวิตกกังวลทั้งสิ้น  แล้วยังมีเรื่องนี้อีก …

“ฉีดวัคซีนหรือยัง? ข่าวว่าฉีดตัวนี้ดี ตัวนั้นดี  ยี่ห้อนี้ดี ยี่ห้อนั้นไม่ดี จะเป็นหมอกันหมดแล้ว ตัวนี้มีผลข้างเคียงเยอะ”

ทางการก็ออกมารณรงค์ให้ประชาชนไปลงทะเบียนฉีดวัคซีนกันทุกคน เพื่อช่วยสังคม บางคนก็บอกว่า …

“อย่าไปฉีดเลย เพราะว่าไปฉีดอาจจะแพ้วัคซีน  บางคนฉีดไป แล้วตายก็มี”

อะไรอย่างนี้  เป็นบรรยากาศที่ต้องตัดสินใจและใกล้ตัวเราเข้ามาทุกที ซึ่งปกติแล้ว การฉีดวัคซีนเขาก็บอกว่ามีโอกาสแพ้บ้าง แต่มันน้อย แพ้แล้วยังมีวิธีการรักษาได้ นี่ทางการบอกมา ทางวงการแพทย์บอกมา แต่ถ้าติดเชื้อขึ้นมา มันอันตรายกว่าเยอะ อะไรอย่างนี้

นี่คือข่าวสาร ที่กระหน่ำเข้ามาในชีวิตของเราในขณะนี้ เข้ามาถึงห้องนอนเราแล้ว  ไม่รับรู้ไม่ได้ ไม่คิดไม่ได้ ไม่ฟังไม่ได้ เมื่อปีที่แล้วอาจจะไม่ฟังได้ แต่ปีนี้ ตอนนี้เข้ามาอยู่ในห้องนอนแล้ว  ตื่นขึ้นมา ก็ได้ยินจากหู จากความคิดข้างในออกมาแล้ว

เหล่านี้คืออะไร? คือสิ่งที่โลกกำลังตะโกนใส่เรา กำลังพูดใส่เรา ผ่านทางสถานการณ์ของโรคระบาดโควิด-19 และผลกระทบจากโควิด-19 นี่แหละ และผลกระทบต่างๆ นี้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้บ้าง ก็เกิดเป็นความกลัว ความวิตกกังวล  ความเห็นแก่ตัว ความแก่งแย่ง เรากำลังถูกโจมตี ถูกกระหน่ำ ถูกทิ้งระเบิดปรมาณู ด้วยข่าวร้ายต่างๆ รอบตัวเรา  สับสนไปหมด ผู้คนทั้งหลายบนโลกใบนี้ กำลังอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว หวาดระแวง โดยไม่สามารถช่วยตัวเองได้ หนีก็ไม่พ้น เพราะตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ผลกระทบของข่าวนี้  ก็เป็นผลกระทบไปถึงทุกคนบนโลกใบนี้เลยทีเดียว

ซึ่งบางคนก็บอกว่าข่าวร้ายนี้ เรื่องโควิดให้ระมัดระวังเรื่องการติดเชื้อ โรคโควิด-19 ไวรัสตัวนี้ ปรากฏว่าดูแลสุขภาพร่างกาย ป้องกัน  ด้วยความหวาดกลัว  หวาดระแวงอย่างมากเลย  ไม่ติดเชื้อโควิดหรอก แต่ไปติดเชื้ออย่างอื่นแทน เชื้อของความวิตกกังวล ความกลัว ความเครียด เสพสื่อมากเกินไป อย่างนี้  มันเป็นเรื่องจริง เกิดความเครียดขึ้นมา  เป็นโรคเครียดแทน โรคอื่นจะตามมาด้วย

วันนี้เราจะมาดูกันว่าในขณะที่โลกกำลังพูดกับเรา ตะโกนใส่เราด้วยข่าวสาร ด้วยข้อมูลแบบนี้  แล้วอีกฝั่งหนึ่งที่เรารู้จัก คือพระเจ้าของเรา พระเจ้ากำลังพูดอะไรใส่หูเรา กระชากใส่เรา ตะโกนใส่เรา ดึงเรากลับมาหาพระองค์อย่างไร? ไม่ให้เราหลงไปกับข่าวสาร  ข่าวร้ายของโลกใบนี้  และเราควรจะทำอย่างไรท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งตามสายตามนุษย์  รวมทั้งตัวเราเอง ซึ่งก็คือมนุษย์ เป็นสถานการณ์ที่หดหู่ หมดกำลังใจ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต เหลืออยู่เลย กลัววิตกกังวล

และถ้าเรามัวแต่หมกมุ่นอยู่แต่กับข่าวสารจากโลกใบนี้ที่ตะโกนใส่เรา  มัวแต่เสพข่าวสารบนโลกใบนี้อยู่  มัวแต่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่โลกกำลังพูดกับเรา สิ่งที่โลกกำลังกระหน่ำใส่จิตใจของเรา ความคิดของเรา ก็จะมีแต่ความห่อเหี่ยว มีแต่ความหวาดกลัว เพราะนี่คือเป้าหมายของมาร ที่ต้องการสื่อสารกับเราแบบนี้ นี่คือแผนการของมารที่จะส่งมาทำลายเรา ก่อนที่จะติดเชื้อไวรัสโควิด ติดก่อน ก็คือความวิตกกังวล ความกลัว และความเครียดทั้งหลาย

ในหนังสือโคโลสี 3:1-4 โดยเฉพาะข้อ 1 ได้บอกชัดเจน ตั้งแต่ 2,000 กว่าปีมาแล้ว ได้บันทึกเอาไว้ชัดเจนว่าจงจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน  ถ้าท่านได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านจงจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน … เบื้องบน คือที่ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์สถาน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า และท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์

พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเผื่อท่านเชื่อในพระเยซู และได้ตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน ได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม พร้อมกับพระเยซู ด้วยความเชื่อของท่าน ต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต  ท่านได้บังเกิดใหม่ นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้วในขณะนี้  ท่านก็จงจดจ่อไปที่ความจริงตรงนี้  ในเรื่องโลกวิญญาณนี้ว่าท่านได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว อย่าจดจ่อความคิดของท่านไปยังโลกใบนี้  บอกชัดเจน เตือนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่สมัยโน้น  ให้ฟังข่าวสารของพระเจ้า อย่าฟังข่าวสารของโลกใบนี้เยอะนัก ได้เตือนไว้โคโลสี 3:1-4 …

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

เพราะฉะนั้น หัวข้อเรื่องของการบรรยายในวันนี้ ผมจึงให้ชื่อว่า “ความจริง 3 ประการที่ทำให้ท่านชนะโลก” ซึ่งตามที่พระเยซูได้บอกไว้ในหนังสือยอห์นว่าโลกนี้ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก ได้บอกชัดเจน บอกเลยว่าบนโลกนี้  ในโลกนี้ ท่านดำเนินชีวิตอยู่นั้น  ท่านจะประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ปัญหาต่างๆ นานา เป็นเรื่องธรรมดา นี่คือความจริง และพระคัมภีร์ได้บอกเรา โลกกำลัง อยู่ในขบวนการการสูญสิ้นไป แต่จงชื่นชมยินดีเถิด  เพราะพระองค์ได้เอาชนะโลกแล้ว ในหนังสือยอห์น 16:33 ได้บันทึกเอาไว้ พระเยซูตรัสอย่างนี้แหละ พูดอย่างนี้กับเรา  นี่คือความจริง …

ยอห์น 16:33 “เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้พวกท่านจะมีความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เราได้ชนะโลกแล้ว”

 

“จงชื่นชมยินดีเถิด เราได้ชนะโลกแล้ว” ในโลกนี้ พวกท่านจะมีความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าโลกนี้ อยู่ในขบวนการการสูญสิ้น การพินาศอยู่ อยู่ในความทุกข์ ความลำบาก เนื่องจากความบาปที่มนุษย์เอาเข้ามาบนโลกใบนี้ ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ตั้งแต่อาดัมและเอวา สวนเอเดนไม่ได้เป็นสวนเอเดนอีกต่อไปแล้ว  พระเจ้าสร้างโลกใบนี้อย่างดีงาม  มันไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อนนี้อีกต่อไปแล้ว แต่มันล่มสลาย ไปสู่ความชั่ว ความเลว ความสาปแช่ง ความทุกข์ยาก ความลำบาก ซึ่งได้ถูกตัดสินไป ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ตั้งแต่ตอนโน้น จนมาถึงทุกวันนี้ แล้วมันกำลังจะไปสิ้นสุดตรงที่สิ้นสลาย สูญสิ้น พินาศ เพราะว่าโลกนี้ไม่ได้อยู่ในการดูแลของพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่วันโน้นเป็นต้นมา  สวนเอเดนไม่ได้เป็นของผู้ที่พระเจ้ากำหนดอีกแล้ว  พระเจ้าจึงส่งพระเยซูมาช่วยมนุษย์ที่อยู่ในโลกใบนี้ เพื่อให้หลุดออกจากความเสื่อมสูญ ความพินาศ จากนรกนั่นเอง  โลกนี้เหมือนนรก พูดง่ายๆ  พระเยซูได้ถูกส่งมาเกิดบนโลกใบนี้  เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากโลกใบนี้ ไปสู่โลกหน้า โลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างไว้  เตรียมไว้ให้กับลูกของพระองค์ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์

เพราะฉะนั้น โลกใบนี้จะมีแต่ความชั่วร้าย มีแต่ความเลว ตามที่ผมเกริ่นมาเมื่อตอนต้นว่าโลกเรานี้กำลังตกอยู่ภายใต้การกระหน่ำ โจมตี ให้เกิดความทุกข์ยากลำบากมากมาย อยู่ในความพินาศ ด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด หมายถึง ณ ขณะนี้  มันเป็นอย่างนี้มาตลอด สงครามโลก ก็คือการกระหน่ำของความชั่วร้ายบนโลกใบนี้  ที่กระหน่ำความทุกข์ยากเข้ามาสู่มนุษยชาติ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ครั้งนี้ก็กระหน่ำเรา อัดเรา บุกเรา โจมตีมนุษย์ด้วยสถานการณ์ระบาดของโควิดทั่วโลก มนุษย์ทุกคนได้รับเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น หัวข้อเรื่องในวันนี้อาจจะสามารถระบุเฉพาะเจาะจงในช่วงเวลานี้ได้เลยว่าความจริง 3 ประการที่จะทำให้ท่านสามารถเอาชนะโควิดได้  ความจริง 3 ประการนี้ จะทำให้ท่านเอาชนะสถานการณ์โควิดในขณะนี้ได้ ความจริง 3 ประการนี้ จะทำให้ท่านเอาชนะสถานการณ์ ผลกระทบจากโควิด-19 นี้ได้ ต้องจำตรงนี้เลย แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เดี๋ยวคนเอาตรงนี้ไปเจาะเฉพาะตัดตรงนี้ไป บอกว่าผมบอกว่าเอาชนะโควิดได้ หมายถึงไม่เป็นโรคโควิดแล้ว ไม่ติดเชื้อแล้ว

คำว่า “เอาชนะโควิด” ตรงนี้ ไม่ได้แปลว่าฟังการบรรยายในวันนี้ รู้ความจริง 3 ประการนี้ จบแล้ว ท่านไม่ต้องไปฉีดวัคซีนแล้ว แต่หมายถึงเอาชนะสถานการณ์ ไม่หมกมุ่นหรืออยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ด้วยความหวาดกลัว ด้วยความวิตกกังวล มันหมายถึงอย่างนั้น ท่านยังคงต้อง ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตามสติปัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ อย่างเช่น สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือเป็นประจำ เว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปในที่ชุมชน แออัด ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ยังต้องทำอยู่นะ ฉีดวัคซีนก็ยังต้องไปฉีดอยู่ ตามที่ทางการเขาแนะนำมา วงการแพทย์แนะนำมา หรือว่าจะไม่ฉีด ท่านก็ต้องไปใช้สติปัญญา คิดคำนวณเองอะไรต่างๆ แต่ต้องให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้ด้วย  แล้วสิ่งสำคัญ คือต้องอธิษฐาน เป็นเวลาที่เราต้องอธิษฐานมากกว่าปกติ อธิษฐาน ก็คือยิ่งทุกข์เท่าไร ก็ยิ่งอธิษฐานมากเท่านั้น

เราเข้ามาสู่เรื่องราวของวันนี้ “ความจริง 3 ประการที่จะทำให้เราชนะโลก” ชนะสถานการณ์ในขณะนี้ได้  ความจริง 3 ประการที่พระเจ้าพูดกับเรา  เราฟังโลกนี้พูดกับเรามาเยอะแล้ว ปีกว่าแล้ว ทุกวัน วันหนึ่งกี่ชั่วโมง เรามานั่งคิดดู เปิดดู เปิดฟัง ข่าวสารเรื่องเกี่ยวกับโควิดทั้งนั้น  แล้วท่านฟังพระเจ้าพูดกี่นาทีต่อหนึ่งวัน  ความจริง 3 ประการที่พระเจ้าพูดกับเรา  …

ประการที่ 1 พระเจ้าพระบิดา คือพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ตรัสว่า … “เราจะไม่ละเจ้า หรือทอดทิ้งเจ้าเลย”

พระเจ้าพระบิดาพูดกับท่านว่า … “เราจะไม่ละเจ้า หรือทอดทิ้งเจ้าเลย”

นี่คือความจริงที่พระเจ้ากำลังกับพูดกับเราขณะนี้ ฮีบรู 13:5 ได้พูดไว้อย่างนี้ …

ฮีบรู 13:5 “จงดูแลควบคุมลักษณะนิสัยของท่าน ให้หลุดพ้นจากการรักเงินทอง รวมทั้งความโลภ กิเลส ตัณหา และการรักสิ่งของบนโลก และจงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน เราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน เราจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

 

“จงดูแลควบคุมลักษณะนิสัยของท่าน ความประพฤติของท่าน ให้หลุดพ้นจากการรักเงินทอง” อยู่บนโลกนี้มีความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา แต่พระเจ้ากำลังแนะนำเราบอกว่าให้เราดูแลชีวิตของเรา โดยการดำเนินชีวิต โดยการไม่รักเงินทอง

เงินทอง คือทรัพย์สิ่งของบนโลกใบนี้ … “ไม่รัก” คือไม่รัก ไม่ได้หมายถึงไม่สำคัญ ทรัพย์สิ่งของบนโลกนี้ไม่สำคัญ เรายังต้องใช้ปัจจัยเหล่านี้อยู่ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ใช้ในทางที่ดีได้  ไม่รักเงินทอง หมายถึงมีได้ แต่พอดีๆ  ไม่ได้เป็นความจำเป็นที่สุด ที่จะต้องมี แต่มีได้ แต่ให้มันพอเพียง พอดีๆ รวมทั้งอย่าโลภในกิเลสตัณหา และรักสิ่งของบนโลก จงพอใจในทุกสิ่ง ในทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และที่เป็นอยู่ ก็หมายถึงให้เรามีความพอดีๆ  โลภได้ไหม? ได้ มนุษย์เกิดมามันต้องโลภอยู่แล้วล่ะ กิเลสตัณหามีไหม? มี ก็อยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องมีอยู่แล้ว  แต่ให้มันพอดีๆ  อย่าให้มันโลภ จนกระทั่งทำบาป อย่าให้มันมีกิเลสตัณหาจนกระทั่งทำบาป  และอย่าให้การรักสิ่งของบนโลก ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวทำบาป แต่จงพอใจในทุกสิ่ง ที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ทุกสถานการณ์ด้วย ไม่ว่าสถานการณ์เราจะสบายใจ (รู้สึกนะๆ)  สถานการณ์นี้รู้สึกชื่นชมยินดี  แฮปปี้  หรือสถานการณ์อย่างโควิด ก็ให้เรามีความพอใจ พอเพียงในการมีอยู่ เป็นอยู่ และพระเจ้าได้ตรัสว่าให้ทำอย่างนั้น เพราะพระเจ้าบอกว่า …

“เราไม่มีวันทอดทิ้งท่าน  และเราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน เราจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

“เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน” หมายความว่าเราจะไม่มีวันปล่อยให้ท่าน เป็นเด็กกำพร้า เป็นลูกกำพร้า ไม่มีพ่อมีแม่ ความลึกซึ้งตรงนี้ หมายถึงอย่างนี้  เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า จะไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อมีแม่ แต่นี่เราเป็นพ่อ อยู่กับเจ้า “เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า” ก็คือไม่ปล่อยเจ้าให้อยู่ตามลำพัง เพียงคนเดียว

พ่อแม่ดูแลลูกยังเล็กๆ อยู่ ผมเห็นภาพนี้ชัดเลย  ไม่ปล่อยให้ลูกอยู่ลำพังแต่คนเดียว เด็กอยู่ลำพังคนเดียวในห้อง หรือที่ไหนก็ตาม ร้องโวยวายหวาดกลัว แต่พ่อเข้าไปกอด แล้วบอก …

“รักน๊าๆ พ่อกอดอยู่น๊า พ่อไม่ได้ไปไหน? พ่ออยู่นี่ แม่อยู่นี่ พ่อและแม่อยู่นี่น๊า”

คือกำลังจะบอกว่า … “พ่อและแม่อยู่กับเจ้าเสมอ พ่อและแม่เป็นพ่อและแม่ของเจ้า เจ้าไม่ใช่เด็กกำพร้า”

“รักนะๆ” อย่างนั้นแหละ ก็คือภาพที่พระเจ้ากำลังพูดกับเราในขณะนี้ ในขณะที่เราอยู่ในสถานการณ์ดูเหมือนว่าเราอยู่ตามลำพังคนเดียว แต่เปล่าเลย พระเจ้า พ่อของเรา อยู่กับเรา โอบกอดเราอยู่ตลอดเวลา แล้วก็บอกกับเราว่า …

“โอ๋! รักนะ อย่ากลัวเลย ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อกำลังพาเจ้าเดิน เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว เจ้าไม่ต้องกลัวนะ”

ในขณะที่โลกถาโถมเราด้วยข่าวสารแห่งความกลัว แต่พ่อกำลังพูดกับเราด้วยความรักอย่างนี้แหละ และเป็นความจริงด้วย

ประการที่ 1 พระเจ้า ผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระบิดาพูดกับเราแล้ว ใช่ไหม? ตอนนี้มาถึงพระเยซู พระบุตร

          ประการที่ 2 พระเยซูพูดกับท่านในนาทีนี้  ในสถานการณ์โควิด-19 อย่างนี้ พระเยซู พระบุตรของพระเจ้ากำลังพูดกับท่าน พูดกับเราว่า … “เรากับพระบิดาได้อาศัยอยู่กับท่าน ในร่างกายของท่าน”

ยอห์น 14:23 “พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ถ้าใครรักเรา คนนั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วเราทั้งสอง จะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา”

 

“ถ้าใครรักเรา” ก็หมายถึงถ้าใครยอมรับพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด พ้นจากความบาปและความตาย จากความพินาศ และต้อนรับสิทธิ์นี้ ต้อนรับพระเยซูเข้ามาอยู่ในชีวิต เข้ามาอยู่ในร่างกายของตนเอง คนนั้นคือรักพระเยซู แล้วพระเยซูบอกว่าอย่างไร? ถ้าใครรักพระเยซู คนนั้นประพฤติตามคำของเรา คือยอมรับพระองค์ และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วเราทั้งสอง หมายถึงพระบิดากับพระบุตร พระเยซู เราทั้งสองจะมาหาเขา มาทำที่อยู่ จะมาอยู่กับเขา ในร่างกายของเขา มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา พระเยซูกำลังพูดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้ที่เชื่อในพระองค์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทันทีทันใดนั้น พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายเราออกจากอาดัม ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด  ในโลกวิญญาณเข้ามาอยู่ในความสว่าง เข้ามาอยู่ในสวรรค์ ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ มารวมกับวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เรียกว่าบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันและได้ตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับพระเยซู ที่ไม้กางเขน และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ร่วมกับพระเยซู และได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย  มันหมายถึงอย่างนั้น เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู

พระเยซูพูดว่าอย่างไร? พระเยซูบอกว่า “เรากับท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน” เป็นหนึ่งถึงขนาดไหน? หนึ่งถึงขนาด ใครที่ข่มเหงเรา (พระเยซู) แปลว่าใครที่ข่มเหงคนที่เชื่อในพระเยซู ผู้เชื่อที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ใครข่มเหงคริสเตียน ก็เท่ากับข่มเหงพระเยซู พูดง่ายๆ ใครทำอะไรต่อท่าน ผู้ที่เชื่อในเรา (ในพระเยซู) เท่ากับทำให้พระเยซู ถ้าเขาให้น้ำท่านแก้วหนึ่ง เท่ากับเขาให้น้ำพระเยซูแก้วหนึ่งเหมือนกัน มันหมายถึงอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น โควิดและข้อมูลข่าวสาร ที่กระหน่ำมาให้เราเกิดความกลัว และข่มขู่เราด้วยข่าวร้ายเหล่านี้ กำลังข่มขู่ ผลักดันให้เรากลัว กำลังผลักดันพระเยซูให้กลัว ข่มขู่พระเยซูด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น เพราะว่าเรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน

นี่คือประการที่ 2 จงจำเอาไว้เลยว่าพระบิดากับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่อาศัยกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา  ในวิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน

ประการที่ 1 พระเจ้า พระบิดา ผู้เป็นพ่อพูดกับเราแล้ว

ประการที่ 2 เราจำได้ ก็คือพระเยซู พระบุตรพูดกับเราแล้ว

ประการที่ 3 ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์พูดกับเรา ตอนนี้มาถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าพูดกับเราว่า … “ท่านเป็นลูกของพระเจ้า และเป็นทายาทของพระองค์ด้วย”

ท่านเป็นลูกของพระเจ้า ท่านเป็นทายาทด้วย อ่านโรม 8:15-17 …

โรม 8:15-17 “15 เพราะว่าพระวิญญาณที่พระเจ้าประทานมานั้น จะไม่ทรงให้ท่านเป็นทาส ซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่พระวิญญาณจะทรงให้ท่านมีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า โดยพระวิญญาณนั้น เราจึงร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ)” 16 พระวิญญาณนั้น เป็นพยานร่วมกับจิตวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า 17 และถ้าเราเป็นลูกแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์ ก็เพื่อจะได้ศักดิ์ศรี ด้วยกันกับพระองค์ด้วย”

 

ผมจะอธิบายให้ท่านฟัง บันทึกว่าเพราะว่าพระวิญญาณที่พระเจ้าประทานมานั้น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าได้ให้มา สำหรับเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระวิญญาณได้ถูกส่งเข้ามาในชีวิตของเรา  จะมาทำให้เราไม่ได้เป็นทาสของความบาป และความกลัวอีกต่อไป หลุดพ้นจากความบาป มันหมายถึงอย่างนั้น

พระวิญญาณได้ทำให้เราพ้นจากการเป็นทาส ไม่ต้องอยู่ในความกลัวอีกต่อไป  เราได้เลยเมื่อเรารับเชื่อแล้ว  เราเป็นคริสเตียน เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ มันหมายถึงอย่างนี้

ในนี้บอกว่าแต่พระวิญญาณได้ทรงให้ท่านมีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า คือพระวิญญาณที่ถูกส่งให้เรา ตอนเรารับเชื่อ เข้ามาทำให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า หมายถึงอย่างนั้น  พระวิญญาณได้ถูกส่งเข้ามา เพื่อผ่าตัดวิญญาณของเรา ให้วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณอุแว๊ เรียกว่าวิญญาณลูกของพระเจ้า  เรียกว่าเป็นตัวตนแท้จริงของเรา คือเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์นี่แหละ เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้  โดยพระเจ้า พระบิดา ผู้ส่งเข้ามาให้กับเรา โดยพระวิญญาณนั้น เราจึงได้บังเกิดใหม่ จึงร้องเรียกพระเจ้าได้ว่า “พ่อ … อับบา” พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พ่อแห่งวิญญาณของเราที่ให้เราบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์

มันหมายถึงอย่างนั้น เกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นเมื่อไร? เกิดเมื่อไร?  เกิดเมื่อวินาทีแรกที่เราเปิดใจ จริงใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  จากบาป ต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมาช่วยฉัน  บัดนี้ ฉันต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัวของฉัน นั่นแหละ ท่านพูดจบ ด้วยความเชื่อจริงๆ จากใจ ก็จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น  คือพระวิญญาณจะถูกส่งเข้ามาในวิญญาณของท่าน พระเจ้าทำการผ่าตัดให้ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ณ บัดนั้น และเป็นเลย  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

ฟังให้ดีๆ ในโลกวิญญาณ เมื่อเกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เกิดเลย เป็นลูกของพระเจ้าต่อไป ตลอดเวลาเลย  พระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่กับท่าน เมื่อตะกี้นี้ในประการที่ 1 และประการที่ 2 ที่พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูพูดกับท่าน เมื่อท่านเป็นลูกแล้ว ท่านก็เป็นเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นอีกแล้ว  ท่านเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  เมื่อท่านเป็นลูกของพระเจ้า เกิดใหม่แล้ว ไม่ว่าจากนั้นท่านจะมีความประพฤติเช่นใดก็ตาม ไม่ว่าต่อไปท่านจะเชื่อฟัง หรือดื้อต่อพระเจ้าบ้าง ทำบาปอยู่บ้าง ก็ตาม มันไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงความเป็นลูกของพระเจ้าของท่านได้อีกเลย พระเจ้าจะดูแลท่าน เลี้ยงดูท่าน ค่อยๆ สอนท่าน

คืออย่างนี้ ความจริงมีอยู่ว่าเรามนุษย์ทุกคนไม่สามารถพึ่งความดี กระทำความดี เพื่อเป็นลูกของพระเจ้าได้ เราไม่สามารถพึ่งในการกระทำดีของเรา  เพื่อที่จะเป็นลูกของพระเจ้าได้  แต่เราทำดี เพื่อจะได้มีสันติสุข มีความทุกข์น้อยลง ในโลกแห่งความชั่วร้ายเหล่านี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และทำให้เรามีความชื่นใจ เพราะว่าขณะที่เราทำดีนั้น พ่อของเรา  พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ พระบิดาของเรา และพระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณมีความชื่นชมยินดี ชื่นใจในเรา นี่หมายถึงอย่างนั้น แต่ถ้าเราพลาด ถูกล่อลวง กระทำตามกิเลสตัณหาเนื้อหนังของเรา จนกระทั่งไปทำบาป  พระเจ้าก็อภัยให้กับเราเรียบร้อยแล้ว อภัยไปตั้งนานแล้ว  อภัยก่อนล่วงหน้าเลย  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ก็เพียงแต่เราจะได้รับความทุกข์ ความลำบากมากขึ้น อย่างไม่น่าจะเป็นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ซึ่งมีความทุกข์ มีความชั่วร้ายอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น เราจึงให้ความสำคัญกับความประพฤติ ในการกระทำดีด้วยเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้พึ่งในการกระทำดี เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ เพื่อที่จะได้เป็นลูกของพระเจ้า เพราะมันทำไม่ได้อยู่แล้ว  เพราะไม่มีใครทำดีได้ครบถ้วน 100 % พระเยซูบอก พระองค์จึงได้ถูกส่งมา เพื่อช่วยคนที่อ่อนแอ ที่รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ เพราะไม่มีใครทำได้อยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น นี่คือข่าวสารจากพระเจ้าพูดกับเรา ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เป็นพี่เลี้ยงเรา  พูดกับเราอย่างนี้ แต่ในโลกใบนี้ มารยังคงกระทำการงานอยู่ มารยังคงดำเนินการงานของมันอยู่บนโลกใบนี้ แม้ว่ามันจะถูกตัดสินพิพากษาไปแล้ว  แต่มันยังอยู่ในขบวนการ การสิ้นสุด การลงโทษ ยังไม่ถึงเวลานั้น  มันจึงสามารถที่จะดำเนินการอยู่บนโลกใบนี้อยู่ได้

และมันทำวิธีใด? ก็ด้วยเล่ห์เดิมๆ ของมัน คือการขโมย ฆ่า และทำลาย  มีแค่นี้ มันไม่ได้สร้างอะไรใหม่เลย  มันเอาของเก่าของพระเจ้ามา แล้วก็บิด ทำให้มันเพี้ยนๆ ซะ  จากขาว มันก็ทำให้เป็นดำ หรือถ้าไม่ดำ มันก็ทำให้เป็นเทาๆ อะไรประมาณนั้น มันได้ชื่อว่าเป็นพ่อแห่งการโกหก เจ้าเล่ห์ มันใช้วิธีนี้แหละ วิธีเดียว ที่จะมาล่อลวงมนุษย์ ให้ไปสู่ความทุกข์ ความพินาศ ร่วมกับมัน ซึ่งถูกพิพากษาลงสู่นรก ลงสู่ความพินาศไปแล้ว กำลังรอขบวนการสำเร็จโทษนั่นเอง

ยกตัวอย่าง พระเจ้าสร้างอาดัมและเอวา บรรพบุรุษของเราใช่ไหม?  แล้วพระเจ้าบอกดีทุกอย่าง แล้วทุกอย่างก็ดีหมดแล้ว  แล้วพระเจ้าสั่งมนุษย์ว่า …

“อย่าไปกินนะ ถ้าวันใดเจ้าฝืนกินผลจากต้นไม้ต้นนี้ เจ้าจะต้องตาย”

ง่ายๆ พระเจ้าบอกว่า … “อย่ากินเลย อย่าทำนะ ถ้าทำวันใดเจ้าจะได้รับโทษถึงตายเลย มันส่งผลถึงตายเลย”

อย่างที่บอกว่า “ลูกเอ๋ย อย่าไปจับไฟฟ้านะ จับไปมันช๊อตตายเอานะ”

พูดด้วยความรัก เตือนด้วยความรัก  แต่มารมา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย

มันก็มาหลอกมนุษย์ว่า … “อุ้ย! ที่พระเจ้าบอกว่าตาย ไม่จริงหรอก วันใดที่เจ้ากินผลไม้นั้น เจ้าจะเหมือนพระเจ้า พระเจ้าไม่อยากให้เจ้าเหมือน”

อะไรอย่างนี้ คือแย้ง พระเจ้าบอกตาย มันบอกไม่ตายหรอก แล้วในที่สุด เราก็รู้อยู่แล้ว  บรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวา ก็ตกลงไปในการทดลอง ไปกินผลไม้ ไปทำในสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าอย่าทำ ก็ได้รับผลตามที่พระเจ้าบอกไว้ ก็คือตาย  ถูกตัดขาดออกจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า ตกสู่ความพินาศร่วมกับมารไป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา รวมทั้งลูกหลานเหลนโหลน และทรัพย์สิ่งของ บ้าน คือโลกใบนี้ทั้งใบ ก็ตกอยู่ในความพินาศ ร่วมกับมารไป มันก็ใช้วิธีนี้มา ทุกวันนี้มันก็ใช้วิธีนี้แหละ ใช่ไหม ในสถานการณ์โควิดอย่างนี้ มันก็ใช้วิธีนี้ …

“พระเจ้ามีจริงหรือ?” มันก็จะถามเรา

“ถ้าพระเจ้ามีจริง ทำไมพระเจ้าปล่อยให้ความทุกข์ยากลำบากอย่างโควิด เกิดขึ้นกับท่าน พระเจ้ามีจริงหรือเปล่า? ถ้าจริง ทำไมไม่ช่วย ผลกระทบจากโควิดที่ท่านได้รับ การค้าขายไม่ได้ ตกงานอีก เงินไม่พอใช้อีก  พระเจ้ามีจริงหรือ? พระเจ้าอยู่กับท่านหรือ?  พระเจ้าไม่ละทิ้งท่านจริงหรือ? ถ้าจริงทำไมไม่ช่วยท่าน ให้ผ่านไปด้วยดี ทำไมไม่ช่วยท่านให้มีเงินใช้  ทำไมไม่ช่วยท่านให้สามารถหลุดรอดพ้นจากเชื้อโควิด ดูๆๆๆๆๆ”

ดูอะไร? ดูตามที่มันชี้ แล้วมันก็จะส่งข้อมูลมาในสมองเรา …

“ดูสิ ผู้เชื่อคนนั้นยังติดโควิดเลย แล้วเธอเป็นใคร? เธอก็เป็นผู้เชื่อใช่ไหม? แล้วพระเจ้ามีจริงหรือ? ทำไมไม่ปกปักษ์คุ้มครองดูแล ผู้เชื่อยังติดโควิดเลยเห็นไหม?  ดูสิ ไปโบสถ์ยังติดเลย ไม่ใช่ติดโควิดธรรมดา คริสเตียนยังตายด้วยโควิดก็มี ไหนพระเจ้าบอกปกป้องคุ้มครองดูแลไง”

มันก็จะใช้วิธีเดียวกันนี่แหละ พระเจ้าบอกสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่ละทิ้ง ทอดทิ้งเรา มันก็จะบอก … “ไม่ละทิ้ง ไม่ทอดทิ้ง ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ”

หรือบางครั้ง มันก็จะบอกว่า … “อุ้ย! พระเจ้าเคยอยู่กับท่าน ตอนนี้ทิ้งท่านไปแล้ว”

พระเจ้าบอกไม่ทอดทิ้งท่าน  มันบอก … “ทิ้งแล้ว” มารผ่านสื่อมาบอก … “ทิ้งท่านไปแล้ว”

ทิ้งท่านไปเมื่อไร? … “ก็ดูสิ อธิษฐานก็ไม่อธิษฐาน ท่านจึงเกิดปัญหานี้ไง”

ทิ้งท่านไปแล้ว เมื่อไร? … “ดูสิ ท่านติดเชื้อโควิดใช่ไหม?  เพราะท่านอธิษฐานน้อย เพราะท่านไม่ไปโบสถ์เลย  เพราะท่านไม่ถวายทรัพย์ เพราะท่านไม่ๆๆๆๆๆ” อะไรเยอะแยะมากมายหมด

“เพราะท่านความเชื่อไม่พอ”

มันก็จะส่งข้อมูลเหล่านี้ มาใส่สมองเราตลอดเวลา  นี่คือวิธีกลเม็ดเด็ดพราย เจ้าเล่ห์ของมาร ทำให้เกิดความสงสัยในพระเจ้าของเรา พระเจ้าทิ้งเธอไปแล้ว พระเยซูไปจากเธอแล้ว พระเยซูบอกเป็นหนึ่งเดียวกัน  ไม่ได้เป็นหนึ่งแล้ว พระองค์ออกไปแล้ว เพราะเธอไปทำบาป ไม่บริสุทธิ์พอ  พระเจ้าเลยทิ้ง เพราะเดี๋ยวนี้ ชีวิตเธอไม่โอเคต่อไปแล้ว  ไม่โอเค เพราะว่าเธอไปโกหก ไปอิจฉาเขา แล้วยังไม่อภัยให้กับคนโน้น คนนี้ พระเจ้าเลยไม่พอใจ  ไปแล้ว ออกไปจากเธอแล้ว  อะไรเหล่านี้ ทำให้เราเกิดไขว้เขวในพระเจ้า แล้วเกิดความสงสัยในพระเจ้าของเรา

ซึ่งอะไรจะมาช่วยเหลือสถานการณ์อย่างนี้  มันยิงเอาความโกหก จะมาขโมย ฆ่าและทำลายเรา  พระเยซูบอกความจริงทำให้เราเป็นไท   ความจริง  คือโล่ป้องกันภัย  คือโล่ป้องกันลูกศรเพลิงที่มารพยายามยิงเข้ามา มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก มันเพียงแต่พยายามยิงจากข้างนอกเข้ามาในสมองในชีวิตของเรา  มันอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ข้างใน เราจากข้างใน ก็ต้องเอาโล่ป้องกันไว้  … โล่ คือความจริงคาดเอวไว้อย่างนี้ พระคัมภีร์สอนเรา

ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท เป็นอิสระจากความกลัว และความวิตกกังวล และการโกหกหลอกลวงของมารซาตานเหล่านี้แหละ  ความจริงจะนำท่านสู่ชัยชนะ ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือร้าย ตามสายตาของมนุษย์ก็ตาม แม้กระทั่งตามความคิดของเรา ก็ตาม ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้เรามีชัยชนะ

เพราะพระคัมภีร์ได้บอกไว้อย่างนี้แล้ว พระเจ้าบอกเราเรียบร้อยแล้วว่าผู้ชอบธรรม ก็คือลูกของพระเจ้า ที่บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เรียกว่าผู้ชอบธรรม … ผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิต ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ผู้ชอบธรรมจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย  ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก ไม่ใช่สัมผัสได้  ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้ยินจากโลกใบนี้  ซึ่งแย้งกับถ้อยคำพระเจ้า ผู้ชอบธรรม ลูกของพระเจ้าดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น  เชื่อ แม้จะเกินกว่าความคิดของเราจะเข้าใจ  เชื่อ แม้จะเกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์จะเข้าใจ เชื่อ แม้จะเกินกว่าความรู้สึกของเราที่จะเข้าใจ พูดง่ายๆ นะ แต่ทำยาก ที่เขาเรียกว่าหลับหูหลับตาเชื่อ  แต่เป็นในแง่ที่ดี

หลับหูหลับตา คือไม่มองในโลกใบนี้  ที่ปกคลุมโดยมาร ที่มันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  โลกใบนี้ทั้งใบ ระบบของโลกใบนี้  ที่อยู่ในการดูแลครอบครองของพญามาร เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า เพราะฉะนั้น มันจะทำทุกอย่าง เพื่อต่อต้านพระเจ้า  เราก็หลับหูหลับตาอย่าไปฟังมัน อย่าไปมองมัน  เขาเรียกว่าหลับหูหลับตาเชื่อในพระเจ้า

หลับหูหลับตาเชื่อในพระเจ้า คือหลับหูหลับตาเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเรา อธิบายให้เราฟังในพระคัมภีร์นั่นเอง ไม่ต้องเข้าใจ

มารจะบอก … “อย่างนี้จะเข้าใจได้อย่างไร? ไม่มีเหตุผล”

“ไม่รู้ ไม่ต้องมีเหตุผล ไม่ต้องอธิบาย”

“ทำไม คนนี้ เป็นคริสเตียน เชื่อด้วย อธิษฐานเยอะด้วย ยังติดโควิดเลย”

“ฉันก็ไม่รู้หรอก ฉันก็ไม่เข้าใจ แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา เขาเป็นลูกพระเจ้า พระเยซูอยู่กับเขา พระวิญญาณอยู่กับเขา เขาเป็นลูกพระเจ้า บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว  เอเมน นอกนั้น ฉันไม่รู้ ใครจะไปรู้หมดทุกอย่าง”

ถ้าเผื่อเกิดย้อนกลับไปได้ เมื่อตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ ตอนที่อาดัมและเอวาพูดอย่างนี้ ก็คงจบเลยนะ

“ทำไมไม่กินผลไม้?”

“พระเจ้าสั่งไม่ให้กิน วันใดเจ้ากิน เจ้าจะถึงตาย”

“เจ้าจะไม่ตายหรอก”

อาดัมน่าจะบอกว่า … “ฉันก็ไม่รู้หรอก ตายหรือไม่ตาย ฉันก็พอใจในทุกสิ่ง ทุกวันนี้ พระเจ้ารักฉันจะตาย ทุกอย่างก็ดีหมดแล้ว ไปให้พ้น ฉันไม่ต้องเข้าใจหรอก ทำไมถึงไม่ให้กิน”

“ทำไมถึงไม่ให้กิน ทำไมหวงไว้”

“ฉันไม่รู้หรอก ฉันไม่สนใจแก”

แทนที่จะไปฟังมัน ฟังมันมากๆ แล้วมันคล้อยตาม เพราะมันใช้เล่ห์ไง  ไม่ได้ด้วยเล่ห์ เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล เอาด้วยคาถา ไม่ได้ด้วยคาถา เอาด้วยการบีบบังคับ พยายามทุกอย่าง นี่คือวิธีการของมาร

เราไม่รู้อนาคต แต่เรารู้ว่าผู้ควบคุมอนาคตของเรา คือพระเจ้า  ผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เป็นคริสเตียนแล้วจริงๆ เกิดใหม่แล้วจริงๆ เราไม่รู้อนาคตหรอก

มารก็จะบอกว่า … “รู้จักพระเจ้า มีพระเจ้าอยู่ในตัวแล้ว 3 พระภาคอยู่ในตัวแล้ว ป่านนี้เธอต้องรู้หมดแล้ว ยิ่งกว่าหมอดูอีก เก่งแล้วเนี้ย”

พระคัมภีร์ไม่ได้พูดอย่างนั้น เราไม่รู้อนาคต แต่เรารู้ว่าผู้ควบคุมอนาคตทั้งหมดนั้น รวมทั้งของเราด้วย คือพระเจ้า  ไม่ใช่พระเจ้านั่งรอจะตอบคำอธิษฐานของเรา ไม่ใช่เราอธิษฐานอะไร แล้วพระเจ้าตอบเลย ตามที่เราขอ หรือตามที่เราต้องการ แต่เราต่างหากที่ต้องรอพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้ารอเรา  เราต้องรอพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเรา ให้เป็นไปตามความต้องการของพระองค์

เราต่างหากที่ต้องรอพระเจ้า ตอบคำอธิษฐานของเรา ให้เป็นไปตามความต้องการของพระเจ้า ฉะนั้น จงอดทน และรอพระเจ้า  ให้ทำตามแผนการของพระองค์ ไม่ใช่ตามแผนการของเรา หรือตามที่เราคิด หรือเราอยากได้  หรือความรู้สึกของเรา หรือสติปัญญาของเรา  หรือความเข้าใจของเรา  แม้จะไม่เข้าใจ แม้จะไม่รู้สึกอะไรต่างๆ แต่จงอดทนรอให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเรา ตามแผนการของพระองค์ เพราะเรารู้อย่างเดียวแค่นั้นพอ พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงรักเรามาก ดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ นี่คือถ้อยคำของพระเจ้าทั้งสิ้น เกินกว่าความคิดมนุษย์จะเข้าใจ เกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์ เขาถึงเรียกความเชื่อแท้จริงในพระเจ้า ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่หูได้ยิน ไม่ใช่ความรู้สึกว่า …

“ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ไม่ว่าฉันจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ถ้อยคำบอกแล้วว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ก็สถิตอยู่กับฉัน ไม่ใช่รู้สึกว่าพระเจ้าหายไปแล้ว พระเจ้าไม่อยู่ด้วย คือพระเจ้าไม่อยู่ด้วยแล้ว ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ด้วยหรือไม่อยู่ด้วย แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่ด้วย ฉันเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่ความรู้สึก”

นี่คือวิถีทางของคริสเตียน … “เพราะฉะนั้น ฉันรู้ว่าพระองค์ทรงรักฉันดั่งแก้วตาดวงใจ นี่คือความจริงที่ฉันยึดเอาไว้ ไม่ว่าสถานการณ์นั้น ฉันจะได้ยินข่าวสารอื่น  หรือมีความรู้สึกว่าพระเจ้าเกลียดฉัน พระเจ้าไม่พอใจฉันแล้ว พระเจ้าหนีฉันไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม ฉันหดหู่เหลือเกิน อธิษฐานไม่ได้ พระเจ้าคงไม่อยู่กับฉัน หรือข้อความแย้งอื่นๆ ก็ตาม ฉันไม่สนใจ ฉันสนใจอย่างเดียวว่า ฉันเชื่อ ฉันยืนอยู่บนถ้อยคำแห่งความจริงว่าพระเจ้าทรงรักฉันดั่งแก้วตาดวงใจ  และจะอยู่กับฉันตลอดไป  เอเมน”

เพราะฉะนั้น จงนิ่งเถิด และรับรู้ว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่กับเรา ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเราจะคิดอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะมีความกลัว หรือวิตกกังวลอยู่ก็ตาม จงนิ่งเถิด  และรับรู้ว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาค สถิตอยู่กับเรา  เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก และพระองค์ทรงอยู่ฝ่ายเรา อยู่ข้างเรา รักเรา กอดเราอยู่ตลอดเวลา ต้องรับความจริงเหล่านี้ แล้วฝังรากลึกของความจริงเหล่านี้ อยู่ในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไรก็ตาม ไม่ว่าโลกใบนี้จะแย้งกับความจริงนี้อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงยืนหยัดอยู่ในความจริงเหล่านี้

เพราะฉะนั้น ท่ามกลางสถานการณ์อะไรก็ตาม ความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม ที่ทำให้เราตกอยู่ในสภาวะคิดอะไรก็ไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ถูก อธิษฐานก็ไม่ได้ … อธิษฐานไม่ได้ โทรศัพท์หาศิษยาภิบาล หาผู้รับใช้ หาเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ  ที่เขายังมีแรงอยู่ มาร่วมใจกันอธิษฐานได้

เราอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์บางช่วง บางเวลา คิดอะไรก็ไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ถูก อธิษฐานก็ไม่ได้  ไม่มีกำลังใจ ไม่มีจิตใจจะอธิษฐานเลย แต่ขอให้ท่านจดจำ 3 ประการนี้ ที่พระเจ้ากำลังพูดกับเรา และพูดอย่างต่อเนื่องให้ได้ ก็แล้วกัน จำอะไรไม่ได้ จำแค่นี้พอ จำอะไรไม่ได้ ไม่เป็นไร ทำอะไรไม่ได้ ไม่เป็นไร จำแค่นี้พอ จำแค่ลางๆ ก็ยังดี คือ …

          ประการที่ 1 พระเจ้าพระบิดาตรัสว่า … “เราจะไม่ละเจ้าหรือทอดทิ้งเจ้าเลย”

          ประการที่ 2 พระเยซูตรัสว่า … “เรากับพระบิดาได้อาศัยอยู่กับท่าน ในร่างกายของท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว”

          ประการที่ 3 พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสว่า … “ท่านเป็นลูกของพระเจ้า และเป็นทายาทของพระองค์ด้วย”

นี่คือ 3 สิ่ง 3 ประการในคำพูดของพระเจ้าที่ขอให้ท่านจำไว้แค่นั้น

“จะเป็นหรือจะตาย จะหัวเราะหรือร้องไห้

จะอยู่ เพื่อจะรักจนหมดดวงใจ”

ใช่ไหม? ตอนนี้ต้องบอกว่าจะเป็นหรือจะตาย จะหัวเราะหรือร้องไห้ จะจดจำ 3 ประการนี้เอาไว้ คือ …

(1) พระบิดาไม่ละทิ้งเรา ไม่ทอดทิ้งเรา อยู่กับเราเสมอ โอบกอดเราอยู่

(2) พระเยซูบอกว่าพระองค์อยู่ในเรา  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย ใครทำอะไรเรา ก็เท่ากับทำกับพระเยซู

(3) พระวิญญาณบอกกับเรา ยืนยันกับเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า และไม่ได้เป็นลูกธรรมดา เป็นทายาทด้วย คือมีมรดกให้กับเรา เตรียมตัวไว้รับมรดก ครอบครองร่วมกับพระเยซู พี่ชายคนโตของเราชั่วนิรันดร์กาล

และเมื่อจำสิ่งที่พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคพูดกับเราได้อย่างนี้แล้ว จากนี้ต่อไป ก็เอามาสรุป พูดกับตัวเองเหมือนกับข้อความของพระเจ้าที่เขียนเอาไว้ในหนังสือฮีบรู 13:6 ดังนี้ว่า …

ฮีบรู 13:6 “ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจแน่วแน่ กล้าหาญว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว ข้าพเจ้าจะไม่หวาดหวั่นกับสถานการณ์ใดใด  มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?

 

คราวนี้มาถึงเราพูดกับตัวเองแล้ว ตะกี้เราฟังพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์พูดกับเราเต็มหู 2 ข้างทางฝ่ายวิญญาณ เต็มความคิดจิตใจทางฝ่ายวิญญาณ เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธาแล้ว  คราวนี้ถึงตาเราเอง พูดให้ตัวเราเองฟังว่า …

“ฉันมีความมั่นใจ แน่วแน่ กล้าหาญว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยเหลือฉัน ฉันจะไม่กลัว ฉันจะไม่หวั่นไหวกับสถานการณ์ใดใด มนุษย์หรือโควิดจะทำอะไรฉันได้เล่า? เอเมน”

“ฉันมีพระเยซู ฉันจะไม่หวั่นไหว             ฉันมีพระเยซู ฉันจะไม่หวั่นไหว

ดั่งต้นไม้งาม ปลูกไว้ริมลำธารน้ำ              ฉันจะไม่หวั่นไหว

ฉันไม่หวั่นไหว  ฉันจะไม่หวั่นไหว          ฉันไม่หวั่นไหว  ฉันจะไม่หวั่นไหว

ดั่งต้นไม้งาม ปลูกไว้ริมลำธารน้ำ              ฉันจะไม่หวั่นไหว”

เห็นไหม? ร้องเป็นเพลงยังได้เลย เพราะเราเกิดความมั่นใจ แน่วแน่ กล้าหาญจากถ้อยคำของพระเจ้าที่พูดกับเรา แล้วทำให้เราฮึดขึ้นมา ต่อสู้กับข่าวร้ายต่างๆ ที่บอกเข้ามา กระหน่ำเข้ามาในชีวิตของเราในขณะนี้ ผ่านทางโควิด-19 พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคกำลังจูงมือเราเดินผ่านโควิด-19 และผลกระทบจากโควิด-19 ด้วยความรัก ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ ทั้งหมดทั้งสิ้นของพระองค์ ความรักอันมั่นคงของพระองค์ และความดีของพระองค์จะอยู่ในเรา จะติดตามเราไปตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดชีวิตของเราบนโลกใบนี้ และไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาลเลยทีเดียว  พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ภายในจิตใจของผู้ที่ได้รับการชำระล้างบาปแล้ว ล้วนปรารถนาที่จะทำแต่สิ่งที่ดี ตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่ก็ยังคงต้องต่อสู้กับเนื้อหนังที่ยังคงมีเชื้อบาปอยู่ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ ตามที่อาจารย์เปาโล ได้คร่ำครวญไว้ว่า …

“ด้วยว่าการดีนั้น ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่ว ซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเอง เป็นผู้กระทำ” (โรม 7:19-20)

 

หลายคนก็ต้องเคยมีประสบการณ์แบบนี้ คือใจอยากจะทำดี ไม่อยากทำบาป แต่เนื้อหนังสู้ไม่ไหว และในที่สุด ผู้ที่มีพระวิญญาณคอยช่วยอยู่ ก็จะค่อยๆ ทำบาปน้อยลงเรื่อยๆ และในขณะเดียวกัน เรายังคงสามารถมั่นใจได้ว่าเราได้รับการอภัยแล้ว วิญญาณเราไม่เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว

 

พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีมนุษย์คนใดที่สมบูรณ์พร้อม  แม้ทางจิตวิญญาณจะได้รับความรอดแล้วก็ตาม  แต่ทางกายก็ยังมีเชื้อบาปอยู่  ยังต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาทางเนื้อหนังอยู่

 

แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ทรงโปรดอภัยให้เรา  และคอยอยู่เคียงข้างเรา  นำพาเราในทุกสถานการณ์  คอยช่วยเหลือและให้กำลังเรา ในการต่อสู้กับการล่อลวง และไม่ว่าเราจะผิดพลาดไปกระทำบาปแค่ไหนก็ตาม พระองค์ก็ไม่เคยปรับโทษเราอีกเลย แต่ยังคงอธิษฐานเพื่อเราอยู่เสมอ

 

ไบเบิลบันทึกไว้ว่า … “ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้ พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าและทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย” (โรม 8:34)

 

ขอพระเจ้าอวยพรครับ