คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2021
เรื่อง “พระเจ้าวิงวอนมนุษย์ทุกคนว่า … “กลับมาคืนดีกับพระองค์เถิด” …”
โดย นคร เวชสุภาพร
หัวข้อเรื่องการบรรยายในวันนี้ “พระเจ้าวิงวอนมนุษย์ทุกคนว่า “กลับมาคืนดีกับพระองค์เถิด” ซึ่งอยู่ใน 2 โครินธ์ 5:20 พระเจ้าวิงวอนมนุษย์ทุกคนว่ากลับมาคืนดีกับพระองค์เถิด มนุษย์ทุกคนเลย พระเจ้ากำลังส่งข่าวสารนี้มาบอกท่าน และบอกมานานแล้ว ความร้อนใจของพระองค์ ความเร่งรีบของพระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคนกลับมาคืนดีกับพระองค์ ง้อเราถึงขนาดนี้
ถ้าใครได้ยินได้ฟังคำบรรยายของผมในช่วง 2 ปีนี้ ก็จะรู้ถึงความจริงในถ้อยคำพระเจ้าแล้วว่ามนุษย์ทุกคนสามารถที่จะตัดสินใจเข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้เลยทันที เดี๋ยวนี้ ขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ทันทีเลย ผมจะอธิบายเรื่องนี้อยู่ 2 ปีอย่างลึกซึ้ง ชัดเจนมาก เพราะรู้ว่าพระเจ้าเร่งรีบ เร่งด่วน และห่วงใยมนุษย์มากๆ อย่างฟังข้อความในวันนี้ ที่ผมยกขึ้นมา จะทราบดีเลยใช่ไหม? ท่านรู้สึกอย่างไรที่ได้ยินว่าพระเจ้าวิงวอน ขอร้องมนุษย์ทุกคนว่า …
“กลับมาคืนดีกับเราเถิด กลับมาบ้านเถิด กลับมาเป็นลูกของเราเหมือนเดิมเถิด กลับมาอยู่ในสวรรค์เถิด”
คิดอย่างไร? ก็คิดเหมือนบรรดามนุษย์ทั้งหลายที่ได้ยินพระเจ้าพูดอย่างนี้ ก่อนหน้านี้ จนถึงปัจจุบัน ก็คือมนุษย์เป็นใครหนอ ที่พระองค์ทรงรัก ห่วงใย คิดถึงแต่เขา เป็นห่วงเป็นใยเขา มากถึงขนาดนี้ มนุษย์เป็นใครหนอ ที่พระเจ้ารักดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์เลยทีเดียว ถ้าใครได้ยินได้ฟังข้อความจากพระเจ้าอย่างนี้ แน่นอน เมื่อทุกคนฟังแล้ว คิดอย่างที่พระคัมภีร์บอกไว้แล้ว มนุษย์เป็นใคร? แล้วถ้าได้รับเป็นการส่วนตัว มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้าแล้ว คือเข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ติดสนิทกับพระเจ้าแล้ว ก็ยิ่งชัดเจนว่า …
“ฉันเป็นใคร? ลูกเป็นใครหนอ ที่พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ทรงรักมากมายถึงขนาดนี้”
นี่แหละ คือที่มาของเรื่องราวในวันนี้ ที่เราจะพูดคุยกัน เพื่อให้ซาบซึ้งถึงความรักของพระเจ้า แน่นอน ข้อพระคัมภีร์นี้ จึงเป็นข้อพระคัมภีร์ที่ดัง ฮิตตลอดทุกยุค ทุกสมัย ก็คือยอห์น 3:16 แต่วันนี้จะไปถึงข้อ 18 เพื่อจะเจาะลึกซึ้งถึงว่าเมื่อเรากลับคืนดีกับพระเจ้า แล้วเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่เชื่อในข่าวดีที่พระเจ้าส่งมาให้ ไม่กลับมาคืนดีกับพระองค์ จะเกิดอะไรขึ้น ทำไมพระเจ้าถึงห่วงใยเราขนาดนี้ ถึงขนาดเร่งรีบและขอร้อง วิงวอนให้เรารีบกลับใจมาหาพระองค์เถิด ลองอ่านกันดูนะ ยอห์น 3:16-18 …
ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักโลก ดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอด โดยพระบุตรนั้น 18 คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจในพระนาม พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
ในข้อที่ 16 บอกว่าเพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก คือรักมวลมนุษยชาติ รักสิ่งของที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นบนโลกใบนี้ เป็นบ้านของมนุษย์ รักมนุษย์ยิ่งนัก คือสำแดง โดยการประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น วางใจในพระเยซูจะไม่พินาศ
“ไม่พินาศ” หมายถึงไม่ต้องถูกลงโทษว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ต้องรับโทษ แต่กลับได้มีชีวิตนิรันดร์ ก็คือได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ ก็คือมีชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า
ข้อ 17 บอกว่าเพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ก็คือให้พระเยซูมาบังเกิดในโลกนี้ ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก คือไม่ได้มาเพื่อทำการพิพากษาลงโทษโลก ตามที่มนุษย์ถูกพิพากษาไปแล้ว หมายความว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงประทานพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะทำการพิพากษาครั้งสุดท้าย เพราะว่ามนุษย์อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว
พระเจ้าไม่ได้ประทานพระเยซูคริสต์มา เพื่อทำให้มนุษย์ต้องได้รับโทษ ตามที่ได้ถูกลงโทษไปแล้ว พูดง่ายๆ อย่างนี้นะ แต่มาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ซึ่งถูกลงโทษอยู่แล้วนั้น ให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษ เพราะขบวนการการลงโทษ ยังไม่เสร็จสิ้น ต้องรอการตัดสินครั้งสุดท้ายอีกทีหนึ่ง เขาเรียกว่าการพิจารณาครั้งสุดท้ายของขบวนการการลงโทษนั่นเอง ซึ่งการจะหลุดรอดพ้นนั้น รอดพ้นโดยพระบุตร คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น
ข้อที่ 18 ได้บันทึกไว้ คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกลงโทษ ก็แสดงว่าคนที่ไม่วางใจ ก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว คนที่วางใจในพระบุตร จะได้รับการอภัยโทษนั่นเอง โทษอะไร? โทษที่เป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า
ในนี้บอกว่าส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ คนที่ไม่เชื่อ ไม่ได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ไม่ได้วางใจในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ก็ถูกพิพากษา หมายถึงว่าคนที่ไม่ได้วางใจ ไม่ได้รับการช่วยให้รอด ก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว ก็ถูกพิพากษาลงโทษไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง เพราะว่าไม่ได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าส่งมา เพื่ออภัยโทษ เพื่อยกโทษบาปให้กับท่านนั่นเอง
พูดง่ายๆ สรุปตรงนี้ ก็หมายถึงว่ามนุษย์ทุกคนตกอยู่ในการพิพากษาลงโทษไปแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษมา พูดง่ายๆ ว่าถูกตัดสินประหารชีวิตไปแล้ว แต่รอขบวนการลงมือประหารนั่นเอง ตอนนี้อยู่ในคุกตาราง รอวันเวลาขบวนการเอกสารสำเร็จ ก็นำไปประหารชีวิต แต่ในขณะที่อยู่ในคุกตาราง อยู่ในการลงโทษ ถูกประหารชีวิต พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่ออภัยโทษให้ ถ้าเชื่อในพระเยซูคริสต์นี้ โทษการถูกประหาร ก็ได้รับการยกเลิก แล้วออกจากคุก ออกจากตาราง เป็นอิสระ นั่นมันหมายถึงตรงนี้
พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเจ้าไม่ได้ต้องการให้คนใดคนหนึ่ง คือมนุษย์คนใดต้องพินาศเลย พินาศ คือถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาป คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า เกลียดพระเจ้า พระเจ้าเป็นความสว่าง คนบาป ก็อยู่ในความมืด พระเจ้าเป็นความดี คนเกลียดความดี ก็คือคนชั่วนั่นเอง พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ แน่นอน คนที่เกลียดสวรรค์ ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ก็คืออยู่ในความพินาศ ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า พระเจ้าจึงอยากให้ทุกคนมาได้รับความรอด จากการถูกพิพากษาอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว โดยการได้รับการยกโทษจากพระองค์ ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ที่มาไถ่บาปให้กับเรา แล้วบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ในครอบครัวในสวรรค์ได้นั่นเอง หมายถึงอย่างนี้
พระเจ้าจึงต้องการมาก และเตรียมทางให้กับมนุษย์เรียบร้อยแล้ว คือส่งพระเยซูคริสต์มาบังเกิด เป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ เพื่อเปิดทางสู่สวรรค์ให้กับมนุษย์ เปิดทางให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่ เข้ามาเป็นหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระองค์ได้ พ้น เป็นอิสระจากการถูกตัดสินว่าเป็นคนบาป คนชั่ว ต้องอยู่ในความพินาศตลอดไปนั่นเอง
พระเจ้าเตรียมทาง และทางนั้นมีทางเดียว ก็คือทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ทรงประทาน เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมสิยาห์ พระเจ้าต้องการให้เราวางใจในพระบุตร คือพระเยซู ไม่ใช่พึ่งพาความดี ความรอบรู้ การกระทำของตนเอง เพราะกระทำอย่างไร มันก็ไม่มีทางครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นคนดีได้ หมดบาป หมดสิ้นเลย เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เราก็รู้ดี
เพราะฉะนั้น การบังเกิดใหม่ มาเป็นผู้บริสุทธิ์เลย โดยพึ่งพาความช่วยเหลือของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดของมนุษย์ทุกๆ คน พระเจ้าจึงวิงวอน ขอร้อง และให้ความสำคัญกับเรื่องการบังเกิดใหม่นี้มาก
พระเจ้าวิงวอนมนุษย์ทุกคนว่ากลับมาคืนดีกับพระองค์เถิด ก็คือมาบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มาอยู่ในครอบครัวของพระองค์เถิด พระองค์ทรงจัดเตรียมทางออกไว้เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
ขบวนการการเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มันมีลักษณะอย่างนี้ ทำไมเราต้องบังเกิดใหม่ ก็เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกไว้ว่าทางฝ่ายวิญญาณเราเกิดมา อยู่ในเชื้อสายของบรรพบุรุษที่เรียกว่าอาดัมและเอวา ซึ่งเป็นเชื้อสายที่เป็นบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า เกลียดพระเจ้า เกลียดชังความดีงาม เป็นทาสของความชั่วร้าย เป็นทาสมาร เราอยู่ในความพินาศ … พินาศ คือความชั่วร้าย ความตาย ความสาปแช่ง สิ่งที่ไม่ดี และเป็นอยู่อย่างนี้นิรันดร์
ฟังอีกที เราเกิดมาในฝ่ายวิญญาณ DNA ทางฝ่ายวิญญาณมาจากบรรพบุรุษเราที่อยู่ในความพินาศนิรันดร์ ถ้าเราไม่รีบย้ายสถานที่ ย้ายเผ่าพันธุ์ ย้าย DNA ของเรา ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ ตอนที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ เราจะต้องพบกับความพินาศนี้ ต้องถูกลงโทษ เนื่องจากความบาป ซึ่งความบาป ก่อให้เกิดความตาย และความชั่วร้าย ความสาปแช่ง และความพินาศ เราถูกพิพากษาลงโทษชั่วนิรันดร์ เราต้องรับโทษนี้ชั่วนิรันดร์ เพราะเราเกิดมาในคำสาปแช่ง เราเกิดมาในความบาปของบรรพบุรุษของเรา ซึ่งเป็นเชื้อสายส่งมาถึงเราทางวิญญาณ นี่เป็นความจริงที่เราต้องรับรับรู้
เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องย้าย ตัดสินใจย้ายออกจากความพินาศนี้ เข้ามาอยู่ในชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ในพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ทันที ตามกฎที่พระเจ้าวางไว้ว่าพระเยซูคริสต์ได้ถูกส่งมาบนโลกใบนี้ เพื่อเป็นต้นพันธุ์ของมนุษย์พันธุ์ใหม่ พระเยซูทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อพระเจ้าจะได้สร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่ขึ้นมา พันธุ์ใหม่ คือพันธุ์ที่รอดพ้น จากการถูกลงโทษ พินาศนิรันดร์นั่นเอง มารับชีวิตนิรันดร์ อยู่ในสวรรค์นิรันดร์กับพระเจ้าได้
มนุษย์พันธุ์ใหม่ ต้นพันธุ์ ก็คือพระเยซูคริสต์ มนุษย์พันธุ์เก่าที่ต้องอยู่ในความพินาศ ต้นพันธ์ ก็คืออาดัม มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องได้ยินข่าวประเสริฐนี้ และตัดสินใจเชื่อและวางใจ เพื่อจะได้ให้พระเจ้าย้ายวิญญาณ ตัวตนเราจริงๆ จากครอบครัวเผ่าพันธุ์เดิม คืออาดัม มาสู่ครอบครัวของพระเจ้า คือสวรรค์สถาน ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง
และสิทธิที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ คือต้นพันธุ์ใหม่ ของมนุษย์พันธุ์ใหม่ นำสวรรค์มาอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูคริสต์กระทำให้กับมนุษย์ทุกคน เพราะพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนของมนุษย์ เป็นหัวหน้า เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะได้รับสิทธินี้ ประโยชน์นี้ ก็จะต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น ทำไมต้องเน้นว่าเป็นมนุษย์ เพราะเป็นวิญญาณไม่ได้ หรือตามภาษาไทยเราเรียกว่าเป็นผีใช่ไหม? เป็นผีไม่ได้ ต้องเป็นมนุษย์ … มนุษย์กับผี กับวิญญาณต่างกันอย่างไร? พระเยซูบอกว่าผีไม่มีเนื้อหนัง ไม่มีร่างกายแบบนี้ ไม่มีเลือด เพราะมนุษย์ คือวิญญาณที่อยู่ในร่างกายแบบนี้เท่านั้น ที่เรียกว่ามนุษย์ มีสิทธิ์ที่จะใช้สิทธิที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำแล้ว ที่ไม้กางเขน คือนำเอาสวรรค์เข้ามาให้กับมนุษย์ และมนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ ย้ายจากอาณาจักรในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าความพินาศ คำสาปแช่ง ถูกลงโทษ ทุกข์นิรันดร์ มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้นั่นเอง ฮีบรู 9:27-28 ได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ …
ฮีบรู 9:27-28 “27 เหมือนที่มนุษย์ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว หลังจากนั้น ต้องพบกับการพิพากษา 28 พระคริสต์ก็ทรงถวายพระองค์เองครั้งเดียว เพื่อลบล้างบาปของประชาชน เป็นอันมาก และพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อรับแบกบาป แต่เพื่อนำความรอด มายังบรรดาผู้ซึ่งรอคอยพระองค์”
นี่คือกฎทางวิญญาณที่พระเจ้าทรงเป็นผู้ดูแลทุกอย่าง เหมือนกฎแรงดึงดูดของโลก มันมีอยู่จริงๆ นี่คือกฎของฝ่ายวิญญาณที่เป็นอยู่จริงๆ ซึ่งพระเจ้าสอนเรา เพื่อเราจะได้เรียนรู้ กฎทางฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้ คือมนุษย์ทุกคนตายแค่ครั้งเดียว แล้วพบกับการพิพากษา เรามาวิเคราะห์ตรงนี้กันดู
“มนุษย์ตายแค่ครั้งเดียว” คือวิญญาณออกจากร่าง เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีออกจากร่าง ไปตาย แล้วมาเกิดใหม่ ไม่มี พอออกจากร่าง ก็เจอกับการพิพากษา ซึ่งเราเรียนรู้แล้วว่ามันหมายถึงถูกลงโทษ รับโทษทัณฑ์ที่ถูกตัดสินไปแล้ว ครั้งนี้เป็นการปฏิบัติการแล้ว ถูกตัดสินว่าประหาร ครั้งนี้ประหารจริงแล้ว
มนุษย์ตายแค่ครั้งเดียว และหลังจากนั้น ถูกพิพากษาตัดสิน กระทำการ จบการลงโทษทัณฑ์ คือนำไปประหารนั่นเอง มันหมายถึงอย่างนั้น
พูดง่ายๆ ว่ามนุษย์ตายเพียงครั้งเดียว พอตายปุ๊บ ไปเจอกับการพิพากษาลงโทษครั้งสุดท้ายของเขา ก่อนรับโทษทัณฑ์ พูดง่ายๆ
คริสเตียนที่ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว คือผู้ที่รับเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว พระคัมภีร์บอกว่าทุกคน ควรจะมีความมั่นใจ 100% ตามถ้อยคำของพระองค์ว่าเมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาดเหมือนพระเจ้า และวิญญาณได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสรรค์กับพระเจ้าเดี่ยวนี้เลย ในพระคัมภีร์บอก
พระคัมภีร์บอกว่าควรจะรับรู้เรื่องนี้ว่าตอนที่เราอยู่ในโลกนี้ พอเราเชื่อในพระบุตร เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรสวรรค์เลย เดี๋ยวนี้ทันที แต่ปรากฏว่าหลายๆ คนอาจจะยังไม่เข้าใจตรงนี้ ยังมีความรู้สึกว่าเมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว เมื่อออกจากร่างแล้ว ยังต้องไปอยู่ในการพิพากษาหรือ? ตอนนี้ท่านก็พอจะทราบแล้วใช่ไหมครับว่าตามถ้อยคำเมื่อตะกี้นี้ที่เราเห็นชัดเจน เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นอิสระแล้ว จากการถูกลงโทษ เมื่อเป็นอิสระแล้ว ก็เป็นอิสระเลย ก็เป็นลูกพระเจ้า และอยู่ในสวรรค์เลย อยู่แล้ว ก็ไม่ได้ไปไหนอีกแล้ว เพราะพระเจ้าปกปักคุ้มครองดูแลเราอยู่ในสวรรค์ ไม่ได้กลับมาลงโทษอีก ท่านพอเข้าใจนะครับ
แต่เราพูดถึงหลายๆ คน ก็อยากจะตั้งคำถามว่าแล้วถ้าเกิดไม่เชื่อล่ะ ที่ตะกี้เราพูดถึงคนไม่เชื่อ ถ้าตายแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น วิญญาณของผู้คนเหล่านั้นที่ไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เมื่อถึงเวลาตาย คือวิญญาณออกจากร่างกายนี้แล้ว จะไปอยู่ที่ไหน?
ในฮีบรูที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ที่บอกว่า “มนุษย์ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว หลังจากนั้นต้องพบกับการพิพากษา” ก็คือหลังจากนั้น ต้องพบกับการลงโทษ ครั้งสุดท้าย พระคัมภีร์เรียกว่าตายครั้งที่สองนั่นเอง พินาศครั้งที่สอง คือถูกสั่งพินาศไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ปฏิบัติการพินาศจริงเลย ถูกสั่งให้ไปประหารชีวิตเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ถูกสั่งให้ไปประหารจริง
บันทึกไว้ชัดเจนว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาแล้ว ก็ต้องตายครั้งเดียว แล้วเมื่อตายแล้ว หลังจากนั้น ก็ต้องพบกับการพิพากษาลงโทษ วิญญาณออกจากร่างกาย วิญญาณและจิตใจที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ ออกจากร่างกายนี้ จะเห็นภาพว่าร่างกายนี้ ถูกฝัง ถูกเผา ตายไปแล้ว วิญญาณและจิตใจซึ่งเป็นตัวตนของเราจริงๆ นั้นยังอยู่ ไปอยู่ในมิติวิญญาณถูกไหม? เราก็รู้กันอยู่ตรงนี้ ถูกย้ายเข้าไปอยู่ในมิติวิญญาณ ซึ่งในมิติวิญญาณไม่มีกาลเวลา หมายถึงอยู่อย่างนั้นตลอดไป เมื่อตายแล้ว หลังจากนั้น พบกับการพิพากษา พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น
เมื่อตายแล้ว เข้าไปสู่มิติวิญญาณแล้ว พบกับการพิพากษา ที่เราเรียนรู้แล้วเมื่อตะกี้นี้ หมายถึงการถูกลงโทษทัณฑ์ ครั้งที่สอง ครั้งสุดท้าย ทางปฏิบัติการนั่นเอง ถูกนำไปประหาร เพราะก่อนหน้านี้ถูกตัดสินลงโทษบาปไปแล้ว เมื่อออกจากร่างไปแล้ว ไปสู่มิติวิญญาณ พบกับการลงโทษ สู่ความพินาศนิรันดร์นั่นเอง
นี่คือเหตุปัจจัยความจริงที่พระเจ้า จึงเศร้าใจ เป็นห่วงเป็นใย เรียกร้อง วิงวอน ขอร้อง ตื้อให้มนุษย์ทุกคนกลับมาหาพระองค์เถิด มารับความรอดเดี๋ยวนี้เลย ทันที เพราะรู้แล้วว่ามนุษย์ออกจากร่างไม่ได้ ถ้าเผื่อยังไม่เชื่อพระเยซู ออกจากร่างเมื่อไร ก็พบกับการถูกลงโทษ ครั้งสุดท้าย ไม่มีทางแก้ไขได้แล้ว พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่าเวลานั้นเวลานี้ แต่เรารู้อยู่แล้วว่าเมื่อออกจากร่างกายนี้ไปสู่มิติวิญญาณ ในมิติวิญญาณนี้ ไม่มีกาลเวลา แต่พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าต้องเจอ หรือต้องพบกับการพิพากษา การถูกลงโทษครั้งที่สองแน่นอน แล้วเป็นคำพูดในประโยคที่เราอ่านแล้ว เรารู้สึกเลยทันทีว่ามันเกิดขึ้นทันที มันไม่ต้องรอ เพราะว่าขณะอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้ มันก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว อยู่ในความบาปอยู่แล้ว ถ้าเราไม่เชื่อ ถูกไหมครับ?
นี่คือเหตุปัจจัยที่ทำไมพระเจ้าจึงจำเป็นต้องให้เราช่วยกันประกาศข่าวประเสริฐ เมื่อเรารู้ความจริงแล้ว หรือต้องวิงวอนขอต่อผู้คน ที่ยังไม่รู้ความจริง หรือรู้ความจริงแล้ว แต่ยังเฉยเมยกับเรื่องนี้อยู่ ให้รีบตัดสินใจ กลับมาหาพระองค์เถิด กลับมาเป็นลูกของพระองค์เถิด นี่แหละ คือความสำคัญ เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้คนใดคนหนึ่ง มาถึงซึ่งการถูกลงโทษให้พินาศนิรันดร์นั่นเอง
ทุกคนได้ถูกกำหนดอยู่ในกฎว่าตายจากโลกนี้ ออกจากร่างนี้ ได้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นทันทีสู่การพิพากษาลงโทษ ครั้งสุดท้าย คือตัดสินว่าเขาจะอยู่ในอาณาจักรไหน? ถ้าเขาไม่ตัดสินใจย้าย เขาก็จะอยู่ในความพินาศ เป็นการตัดสินว่าเขาอยู่ฝ่ายไหน? อยู่ในอาณาจักรไหน? อยู่ในพระคริสต์ เรียกว่าในสวรรค์ หรืออยู่ในอาดัม อยู่ในความพินาศ เมื่อวิญญาณของเขาออกจากร่าง สู่มิติวิญญาณ ก็พบกับความจริงนี้เลย เพราะในโลกวิญญาณ ไม่มีกาลเวลา เหมือนกับโลกใบนี้ที่พระเจ้าได้สร้างให้มีกาลเวลา มีวัน มีเดือน มีปี แต่ในโลกวิญญาณไม่มี เป็นอยู่อย่างไร? ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดกาล วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์คนใดอยู่ในความพินาศ อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า อยู่ในความทุกข์ทรมาน วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ แต่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระองค์ อยู่ในความดีงาม อยู่ในพระเยซูคริสต์ วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์นั่นเอง
เปาโลบอกอย่างนี้ว่า … “ข้าพเจ้าอยากออกจากร่างนี้เร็วๆ เพื่อจะไปพบกับพระเจ้า”
เปาโลผู้ซึ่งพระเจ้าเคยพาเข้าไปอยู่ในสวรรค์จริงๆ แล้ว มีประสบการณ์ในการเข้าไปอยู่ในสวรรค์จริงๆ ตอนเป็นอยู่ ได้มาบอกเราอย่างนี้ว่าในสวรรค์ดีกว่าเยอะ ถ้าเป็นไปได้ อยากจะออกจากร่างกายนี้ ย้ายมิติไปเท่านั้นเอง เปาโลและทีมงานจึงตั้งใจแน่วแน่และทุ่มเทประกาศข่าวดีนี้ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย เพราะรู้ถึงสิ่งนี้ และเป็นตัวแทนของพระเจ้า ขอร้องให้มนุษย์นั้นกลับมาคืนดีกับพระเจ้าเร็วที่สุด เท่าที่ทำได้ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไร? มนุษย์คนใดจะออกจากร่างนี้ไป วิญญาณออกจากร่าง และหมดสิทธิ์ในการตัดสินใจ เพราะฉะนั้น มนุษย์จำเป็นจะต้องตัดสินใจในเรื่องนี้ ก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่าง เพราะว่าเมื่อตายแล้ว เขาก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป เพราะฉะนั้น เราต้องตัดสินใจตอนที่ยังเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ในเรื่องนี้ ท่านจะเห็นภาพชัดเจน ถ้าไม่ตัดสินใจเกิดใหม่ วางใจในพระเจ้า กลับมาหาพระเจ้า เขาก็จะต้องอยู่ในบาป อยู่ในความชั่วร้าย อยู่ในการถูกลงโทษ ไม่มีใครช่วยได้เลย แม้แต่นิดหนึ่ง สิ่งเดียวเท่านั้น ที่อยู่ในบัญชีของเขา ก็คือความบาป การถูกลงโทษ เพราะเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นคนบาป แต่ถ้าเขาเชื่อในพระเยซู พระเจ้าก็จะให้เขาบังเกิดใหม่ ด้วยวิญญาณที่เป็นนิรันดร์ เหมือนพระเยซู สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว ในบัญชีของเขา เพราะพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ลบบาปทั้งสิ้นของเขาไปเรียบร้อยแล้ว ในฮีบรู 10:4 เขียนบันทึกไว้อย่างนี้ด้วยว่าเมื่อพระเยซูถวายตัวเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น สมบูรณ์แบบตลอดกาล พระเยซูตายที่ไม้กางเขนชำระบาปให้มนุษย์ทุกคน เพียงครั้งเดียว เพียงพอที่จะทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ สมบูรณ์ที่จะอยู่ในสวรรค์ได้ แต่มนุษย์คนนั้นต้องต้อนรับสิทธิของเขา ด้วยตัวเอง พระเจ้าจะไม่บังคับ แต่พระเจ้าวิงวอนขอร้อง ต้องการมากเลยให้เขาตัดสินใจ ย้ายข้างซะ เปลี่ยนข้างซะ มาบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ซะ เมื่อเขาย้ายข้างมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ หมดบาปแล้ว พระเจ้าตรัสว่า …
“เราจะไม่จดจำความบาปของเจ้าอีกต่อไป ตะวันออกห่างจากตะวันตกเท่าไร เราจะเอาบาปของเจ้าออกไปไกลจากเจ้าเท่านั้น”
ท่านลองคิดดูสิ ตะวันออก ตะวันตกไม่มีวันที่จะพบกันได้อีกเลย ก็คือบาปที่ถูกลบล้างออกไป ในวันที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์มันไม่มีทางกลับมาหาเราได้อีกเลย แม้แต่นิดเดียว ท่านจึงสมควรและมีคุณสมบัติครบถ้วน บริบูรณ์ บริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เพราะว่าได้รับการรักษาทางวิญญาณ ให้กลับคืนดีกับพระเจ้าอย่างเรียบร้อยไปแล้ว โดยการบังเกิดใหม่ รอดพ้นจากตัวตนเก่า ซึ่งถูกพิพากษาลงโทษ ประหารชีวิตไปแล้วนั่นเอง และสิ่งนี้ จะต้องเกิดขึ้นภายใต้ การเป็นมนุษย์ คือยังคงอยู่ในร่างกายนี้อยู่ คือต้องตัดสินใจก่อนที่จะตายนั่นเอง
เพราะฉะนั้น สรุปก็คือมี 2 ทาง …
ถ้าเชื่อในข่าวดี ก็ได้ย้ายวิญญาณของตนเอง ทันทีเลย เข้าไปสู่สวรรค์ นั่งกับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์ทันที ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่นั่นเอง
แล้วอีกฝั่งหนึ่ง ถ้าไม่เชื่อ เมื่อออกจากร่างไป เข้าไปสู่มิติวิญญาณ ก็ทันทีเหมือนกัน ก็อยู่ที่เดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อยู่ที่ไหนที่เดิม มนุษย์ทุกคนเกิดมาบาป พระคัมภีร์บอก อยู่ในความพินาศ อยู่ในความชั่วร้าย อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า อยู่ในความทุกข์ แสนสาหัสชั่วนิรันดร์
พระคัมภีร์ได้บันทึกถึงเรื่องเกี่ยวกับว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อมนุษย์คนใดคนหนึ่ง ไม่เชื่อในข่าวดีนี้ แล้วออกจากร่างไปอยู่ในโลกวิญญาณ เรียกว่าอยู่ในความพินาศ อยู่ในความตายนิรันดร์ เกิดอะไรขึ้น บันทึกไว้ในหนังสือวิวรณ์ 20:12-13 ว่า …
วิวรณ์ 20:12-13 “12 และข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตายทั้งผู้ใหญ่ ผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง หนังสือเล่มต่างๆ เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่ง ก็เปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต และผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตน ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น 13 ทะเล คืนคนตายที่อยู่ในทะเล ความตายและแดนมรณา ก็คืนคนตายที่อยู่ในนั้น และแต่ละคนถูกพิพากษาตามการกระทำของตน”
เรื่องระยะเวลา พระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้บอกชัดเจนว่าพบเมื่อไร? แต่ถ้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น? ไปเจอกับอะไร? อันนี้ในพระคัมภีร์ชัดเจนที่สุดเลย ก็คือเจอความพินาศนั่นเอง ผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษา ตามการกระทำของตน ตรงนี้คือจุดหลักของข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้
เมื่อออกจากร่างแล้ว ตายแล้ว เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาลงโทษ คือถูกประหารชีวิตอยู่แล้ว ตามการกระทำของตน … การกระทำของตน คือไม่ได้ย้ายครอบครัว ไม่ได้ย้ายเผ่าพันธุ์จากเดิม มาสู่พระเยซูคริสต์ ตอนที่มีชีวิตอยู่ นั่นหมายถึงตามการกระทำของตน ซึ่งคนที่ไม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็เป็นคนที่อยู่ในโทษทัณฑ์ตลอดไป
ซึ่งในข้อนี้ ผู้ที่ตายแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตน ข้อนี้มีการเข้าใจผิด และนำไปใช้ผิดเยอะมากมาย ทำให้ความจริง ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ผิดเพี้ยนไป
การพิพากษา คืออะไร? การพิพากษา การถูกลงโทษ ในโทษทัณฑ์ ซึ่งมีอยู่แล้ว เป็นอยู่แล้ว ตอนเป็นมนุษย์ และการพิพากษาลงโทษในข้อนี้ หมายถึงการพิพากษาลงโทษ รอบที่สอง ครั้งสุดท้ายนั่นเอง นำไปตัดหัวได้ พอเข้าใจไหม? ในหนังสือวิวรณ์ 20:12-13 ที่ตะกี้เราอ่าน มันหมายถึงอย่างนี้ ถูกพิพากษา หมายถึงถูกนำไปประหารแล้ว ถูกพิพากษาตรงนี้ หมายถึงการถูกพิพากษาครั้งสุดท้าย
และถามว่าครั้งแรกถูกพิพากษาไปเมื่อไร? ครั้งแรกถูกพิพากษาตั้งแต่ยังไม่เกิดเป็นมนุษย์เลย ถูกพิพากษาไปตั้งแต่อาดัมและเอวาล้มลงไปในความบาป ถูกพิพากษาและคำพิพากษานั้น การถูกลงโทษนั้น อาดัมถูกลงโทษ เราก็ถูกลงโทษหมดเลย เพราะเราเป็นลูกหลานของอาดัมทั้งนั้น มาจากอาดัม บรรพบุรุษของเรา พอจะเห็นภาพไหม? นั่นคือการถูกลงโทษ ถูกพิพากษาไปแล้ว ให้ประหารชีวิตไปแล้ว แต่รอกระบวนการยุติธรรม จากการจับตัวไปตัดหัว ระหว่างรอกระบวนการยุติธรรมนั้น เรายังมีโอกาส ได้รับการอภัยโทษ แต่ถ้าเราไม่ใช้สิทธิการอภัยโทษนั้น ซึ่งพระเจ้าประทานให้แล้ว ผ่านทางพระเยซู ถ้าเราไม่ใช้ เราก็อยู่ในโทษทัณฑ์นั้น เห็นภาพไหม?
พอวิญญาณออกจากร่าง กับการพิพากษา ตรงนี้หมายถึงการพิพากษาครั้งที่สองว่าเป็นผู้ถูกลงโทษ นำไปประหารนั่นเอง ชัดแล้วนะ
การพิพากษาครั้งที่สอง คือสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ คือยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนนั่นเอง เพราะฉะนั้น คริสเตียนไม่ต้องมายืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาแล้ว เพราะเขาพ้นโทษไปแล้ว สำหรับผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ที่ได้ย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ในสวรรค์ กลับมาคืนดีกับพระเจ้า ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เขาไม่ต้องได้รับการพิพากษานี้อีกแล้ว ไม่มีการพิพากษาครั้งที่สอง ไม่มีการนำไปประหารชีวิตอีกแล้ว เขาย้ายมาตั้งแต่แรกแล้ว พอจะเห็นภาพไหม?
เพราะฉะนั้น การพิพากษาเมื่อสักครู่ที่เราอ่านในหนังสือวิวรณ์ บทที่ 20 นี้ จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นสำหรับผู้คน ที่ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ ยังไม่เชื่อเท่านั้น ย้อนกลับไปอ่านในหนังสือยอห์น 3:18 ที่บอกว่า … คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา คนที่วางใจในพระเยซูคริสต์ ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ยังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ จะไม่ถูกพิพากษาครั้งที่สอง ครั้งแรกถูกพิพากษาไปแล้ว ครั้งที่สอง ไม่ต้องถูกพิพากษาอีก เพราะว่าเขาย้ายที่แล้ว เขาบังเกิดใหม่แล้วนั่นเอง เขาเป็นอิสระแล้ว ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว ข้อ 18 บอกตรง ชัด สำหรับคนที่ไม่ได้วางใจ ไม่ได้ย้ายมา ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อวิญญาณออกจากร่างไป ก็ถูกลงโทษอยู่แล้ว ต้องถูกนำไปประหารนั่นเอง เพราะเขาไม่ได้วางใจในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า นี่ชัดเจนเลย ผมจะพยายามค่อยๆ ไปทีละนิด ให้ท่านเห็นชัดเจน เห็นถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ ความสำคัญขนาดความเป็นความตาย พระเจ้าจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และทุกข์ใจมาก วิงวอนให้รับเอาความรัก ความเข้าใจนี้เข้าไปในจิตวิญญาณของเขา ให้เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซู
ในวิวรณ์ที่บอกว่า “ข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตายทั้งผู้ใหญ่ ผู้น้อยยืนอยู่ต่อหน้าพระที่นั่ง”
“บรรดาผู้ตาย” ตรงนี้ หมายถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ได้บังเกิดใหม่ เมื่อยังไม่ได้บังเกิดใหม่ เขาก็ยังคงตาย อยู่ในความบาปของเขา ในอาดัม ซึ่งเป็นเชื้อมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเขา คืออาดัมนั่นเอง ไม่เคยได้รับความรอด คือไม่เคยได้เชื่อและได้รับความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์เลย ซึ่งต้องมายืนอยู่ต่อหน้าพระที่นั่ง เพื่อรับการพิพากษาตัดสินครั้งสุดท้าย นำไปลงโทษนั่นเอง ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งที่สอง เป็นนิรันดร์จากนั้น ถ้าถูกลงโทษ ถึงความตาย ก็ไปอยู่ในความตายนิรันดร์ เขาก็อยู่ในความพินาศนิรันดร์ พระคัมภีร์บอก ไปอยู่ในที่ซึ่งไม่มีพระเจ้า อยู่ในความทุกข์ทรมาน บนโลกใบนี้ ก็ทุกข์ทรมานมากพออยู่แล้ว แต่ทุกข์ทรมานไม่นิรันดร์ มีจำนวนปีอยู่ แต่ถ้าเขาตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว ไปอยู่ในวิญญาณ การถูกประหาร การถูกตัดสินให้อยู่ในความพินาศ มันเป็นนิรันดร์กาลเลย ทุกข์ทรมานมาก พระเจ้าจึงห่วงใยมนุษย์มากยิ่งนัก
คราวนี้เรามาดู สำหรับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระบุตร ได้ย้ายจากเผ่าพันธุ์เดิมมาสู่เผ่าพันธุ์ใหม่ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระองค์ รับการกลับคืนดีกับพระเจ้าแล้ว ดูสิว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่าง อะไรเกิดขึ้น? วิวรณ์ 21:1-4 เป็นของเขา …
วิวรณ์ 21:1-4 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้ เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงาม รอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ ที่ประทับของพระเจ้า มาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขา และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขาจะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว”
ผู้ที่วางใจ เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ตั้งแต่มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อวิญญาณออกจากร่างไป วิญญาณก็อยู่ที่เดิมนั่นแหละ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เหมือนเดิม แต่เขาจะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่ไม่ต้องตาย ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน นึกภาพออกใช่ไหม เหมือนร่างกายของพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย และเมื่อได้รับร่างกายใหม่นี้แล้ว เขาก็อยู่ในโลกใหม่นี้ด้วย ฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไป บนโลกใบนี้จบสิ้นไปแล้ว ไม่มีความบาปอีกต่อไป เจ้าของความบาป ต้นเหตุของความบาป คือมารซาตาน ก็ถูกจับโยนไปในบึงไฟนรก ท่านพอจะมองภาพออกไหม? มีโลกใหม่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งไม่ใช่โลกเดิมอีกต่อไปแล้ว และเขาจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าอย่างนี้ชั่วนิรันดร์
ในนี้บอกว่า “พระองค์จะซับน้ำตาทุกหยดของพวกเขา”
ความทุกข์ลำบากที่เคยเกิดขึ้นกับเราตอนเป็นมนุษย์ เมื่อเราเข้าไปอยู่ในวิญญาณ พระเจ้าจะมาปลอบโยน มีสุขแล้ว นึกถึงภาพเมื่อเราออกจากร่างไปอยู่ในโลกวิญญาณ เราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระองค์จะเข้ามากอดเรา อันนี้เราจะดีใจขนาดไหน?
“จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้” ร่างกายไม่ต้องตาย ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องกลัวโควิด หรือโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ ไม่ต้องกลัวมะเร็ง ไม่ต้องกลัวอุบัติเหตุ ไม่ต้องกลัวอะไรต่อไปอีกแล้ว เพราะได้รับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู ไม่มีการร่ำไห้ ไม่มีการเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว ระบบเก่า คือระบบคำสั่งสาปแช่ง อยู่ในความบาป อยู่ในสวนเอเดน ที่ล่มสลายไปแล้ว อยู่ในความวิปริต อยู่ในความชั่วร้าย ซึ่งครอบครองอยู่เหนือโลกใบนี้ ซึ่งบัดนี้มันได้สูญสิ้นไปแล้ว มันได้จบไปแล้ว วันหนึ่งข้างหน้า โลกใบนี้จะสูญสิ้น ความบาป ความชั่วร้ายต่างๆ จะสูญสิ้นลงทั้งหมด แต่วิญญาณของมนุษย์จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานหรือไม่? หรือจะไปอยู่ในที่เดิม สูญสิ้นไปกับโลกใบนี้หรือเปล่า? ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นตัดสินใจเลือกที่อยู่ในสวรรค์ หรือเลือกที่จะอยู่ในความพินาศนั้นนิรันดร์ทั้งคู่ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระบุตร คือพระเยซู ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลในเรื่องการพิพากษาอีกต่อไป เพราะการพิพากษานี้ มันจบสิ้น ไปแล้ว สำหรับเรา เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เราได้รับการอภัยแล้ว พระเยซูแบกรับโทษของความบาปของเราไปหมดแล้ว เราใช้สิทธิของเราแล้ว เราหมดหนี้ หมดกรรมแล้ว เราไม่ต้องใช้หนี้กรรม หนี้โทษอะไรอีกต่อไป เราไม่มีความผิดบาป ไม่ได้ถูกลงโทษพิพากษาตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว
เมื่อเราตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่ได้อยู่ในความบาป ไม่ได้อยู่ภายใต้การถูกพิพากษาลงโทษอีกแล้ว ตั้งแต่มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ก็ไม่ได้ถูกลงโทษอีกแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์อีกต่อไปแล้ว ฮาเลลูยา ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ อยู่ในกฎวิญญาณของพระเยซูคริสต์ กฎของความรอดในพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยการกระทำของตนเอง เรารอดแล้ว และเป็นความรอดที่ได้รับตั้งแต่ตัดสินใจ ตอนนี้ ลมหายใจตอนนี้ และรอดไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ นี่มันเป็นอย่างนี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น 1:17 จึงได้บันทึกไว้อย่างชัดเจน อย่างนี้ว่า …
1 ยอห์น 4:17 “แบบนี้สิ ความรักของพระเจ้าถึงสำเร็จ ตามเป้าหมายของพระองค์ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตจิตวิญญาณ ที่เรามี ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์”
“มันต้องอย่างนี้สิ มันต้องแบบนี้” พระเจ้าทำให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เราเปิดใจต้อนรับสิทธิของเรา และใช้สิทธิของเราเข้ามาบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ จากความตายในวันที่สามเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ตั้งแต่ตัดสินใจเชื่อไปเรียบร้อยแล้ว หมายถึงอย่างนั้น
พอเป็นอย่างนั้นแล้ว เราก็มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ในวันพิพากษาครั้งที่สอง ครั้งสุดท้าย คือครั้งที่วิญญาณมนุษย์ออกจากร่างไป พบกับโลกวิญญาณ เราไม่ต้องพบกับการพิพากษา ถึงวันนั้น เพราะว่าเราบริสุทธิ์สะอาด เราไม่ได้ถูกลงโทษตั้งแต่ก่อนตาย เพราะเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราก็เป็นลูกพระเจ้าเหมือนเดิม เราก็ไม่ต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษา เพราะไม่มีการพิพากษาลงโทษเราอีกต่อไป จากโลกนี้ไป เราก็ไปอยู่ในสวรรค์เลย ไม่มีการมาพิพากษาเราอีกแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น
และในนี้ยังบอกอีกว่าเพราะขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตของเรา ก็เป็นชีวิตเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ชัดเจนไหม? เพราะชีวิตจิตวิญญาณ ที่เรามี ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์ต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาหรือ? เปล่าเลย ไม่จำเป็นอีกแล้ว เรามีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเท่าๆ กันกับพระเยซูคริสต์ มันหมายถึงอย่างนั้น พระเยซูจึงเรียกว่าพี่น้อง พ่อแม่ เพราะว่าเราเป็นพี่น้องร่วมกับพระองค์ ในครอบครัวของพระบิดา ก็คือพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าเดี๋ยวนี้เลยทันที ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นอย่างนี้แล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระองค์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด กลับคืนดีกับพระเจ้า ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ มันเกิดขึ้นแล้ว และเมื่อจากโลกนี้ไป เข้าสู่มิติทางโลกวิญญาณ มันก็จะเป็นจริงตามนี้แหละ จริงกว่านี้อีก ชัดกว่านี้อีก เพราะจะเห็นชัดเจนเลย เมื่อเรารู้อย่างนี้ เราพร้อมที่จะเจอพระเจ้า พระเยซูเร็วๆ เราก็มีความกระตือรือร้น ตื่นเต้น ที่จะออกจากร่างกายนี้ ก็คือที่จะตายจากโลกใบนี้ไป เราจึงไม่กลัวตาย เราจึงตื่นเต้นว่าเราจะได้พบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า เราจะได้พบกับโลกใหม่ เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจของความบาป ไม่ต้องถูกล่อลวงให้ทำบาป ไม่ต้องถูกความทุกข์ทรมาน ไม่ต้องอดอยาก ไม่ต้องลำบากลำบน ไม่ต้องพบกับโรคภัยไข้เจ็บ ความเจ็บปวดอะไรอีกต่อไป ใช่ไหม? เราก็ตื่นเต้นในสิ่งเหล่านี้ เพราะเรามั่นใจกับการอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ตั้งแต่ตอนนี้ มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้แล้ว เราก็รู้ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว มันก็เกิดความตื่นเต้นและไม่กลัว แล้วเรารู้ว่าเราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ชั่วนิรันดร์กาล เมื่อถึงวันพิพากษาเราก็ไม่ต้องมาพบกับการลงโทษครั้งสุดท้าย อย่างที่คนที่ไม่เชื่อเขาจำเป็นต้องพบ เราก็ไม่จำเป็นต้องไปพบแล้ว เพราะเราได้รับความรอดเรียบร้อยแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูแล้ว เราเป็นคนในครอบครัวของพระเยซูแล้ว
พระเยซูจึงตรัสว่า … “เราไม่รู้จักเจ้า ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับเจ้าเลย” เมื่อถึงวันนั้น วันที่ออกจากร่างไป
คนก็จะบอกว่า … “พระเยซูผมทำดีอย่างนั้น ทำดีอย่างนี้ ทำดีอย่างนั้น”
พระเยซูบอกว่า … “ถ้าอยู่บนโลกใบนี้ เจ้ายังไม่วางใจในเรา ยังไม่เปิดใจต้อนรับเราเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เราก็ไม่รู้จักเจ้าเลย เพราะเจ้าอยู่คนละขั้วกับเรา อยู่คนละครอบครัว อยู่คนละเผ่าพันธุ์ จะรู้จักกันได้อย่างไร? ความพินาศกับชีวิตนิรันดร์จะอยู่กันได้อย่างไร? ความมืดกับความสว่างจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? ความดีกับความชั่วจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ เราไม่รู้จักเจ้าหมายถึงอย่างนี้ เจ้าจะต้องตัดสินใจ กลับคืนดีกับพระเจ้า ด้วยการเชื่อและวางใจเราว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เจ้าจึงสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า มาบังเกิดใหม่และเป็นหนึ่งในครอบครัวเดียวกันกับเรา เราจะได้รู้จักเจ้าตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย รู้จักเจ้าตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย
ในทางวิญญาณ พอเราเปิดใจรับเชื่อ พระเยซูก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน รู้จักตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว เพราะฉะนั้น พระประสงค์ ความต้องการของพระเจ้า มีอย่างเดียวเท่านั้น ต้องการให้มนุษย์เปิดใจ วางใจในพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระองค์ทรงเปิดทางไปสู่สวรรค์ ด้วยการบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์เลย ณ บัดนี้ พระองค์จึงกระตือรือร้นต้องการ วิงวอนให้มนุษย์ทุกคนรู้ความจริงนี้ แล้วรับสิทธิของเขา ในการบังเกิดใหม่นี้ ไม่พึ่งพาในการกระทำของตนเอง หรือความคิด ความเข้าใจ หรือเหตุผลของตนเอง แต่จงวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดความคิด สุดกำลัง ไม่พึ่งพาความรอบรู้เหตุผลต่างๆ อันโน้น อันนี้ บนโลกใบนี้อีกเลย เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่เราต้องรีบตัดสินใจเดี๋ยวนี้เลย ใน 2 โครินธ์ 5:19-21 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
2 โครินธ์ 5:19-21 “19 พระเจ้าเองทำให้คนในโลกนี้กลับมาคืนดีกับพระองค์ โดยผ่านทางพระคริสต์ และยกโทษบาปให้กับพวกเขา พระองค์ได้มอบเรื่องการกลับคืนดีนี้ให้กับเรา เพื่อไปบอกคนอื่นๆ ต่อ 20 ดังนั้น เราจึงทำงานเป็นทูตของพระคริสต์ เพราะเชื่อมั่นว่าพระเจ้ากำลังขอร้องพวกคุณผ่านทางเรา เราขอวิงวอนคุณแทนพระคริสต์ว่า “กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด” 21 พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาป เพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า”
“พระเจ้าเองทำให้คนทั้งโลกกลับมาคืนดีกับพระองค์ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ และยกโทษบาปให้พวกเขาเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือข่าวดีมากๆ เลย กลับมาหาพระองค์เถิด เราขอวิงวอนคุณ แทนพระคริสต์ว่า “กลับมาคืนดีกับพระเจ้าเถิด” พระเจ้าผู้กระทำให้พระองค์ ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาป เพื่อเรา คือทำให้พระเยซูเป็นบาป รับบาปแทนเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เป็นคนดี เป็นลูกของพระเจ้าได้ บังเกิดใหม่ได้นั่นเอง เข้ามาอยู่ในสวรรค์ได้นั่นเอง”
… มีหญิงชราคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเครื่องบิน ปรากฏว่าเครื่องบินประสบกับวิกฤติ เครื่องยนต์เสียไป 1 เครื่อง เครื่องบินกำลังดิ่งลงข้างล่าง กัปตันก็กำลังพยายามหาทางที่จะแก้ไขอยู่ ผู้โดยสารเต็มลำ กรีดร้องจ้าละหวั่น กลัวไปหมด คุณยายท่านนี้ก็นั่งอยู่ หลับตา แล้วก็ยิ้ม
เจ้าหน้าที่ก็เข้าไปถามคุณยายว่า … “คุณยายทราบไหมว่าตอนนี้ กำลังเกิดอะไรขึ้น?”
เห็นคุณยายไม่ลืมตา แล้วก็นั่งยิ้มอยู่
คุณยายลืมตา แล้วก็บอกว่า … “ทราบค่ะ ทราบทุกอย่าง”
“แล้วทำไมคุณยายไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย คุณยายกำลังทำอะไรอยู่”
คุณยายก็บอกว่า … “ฉันกำลังยิ้ม คิดอยู่ในใจ”
“คุณยายคิดอะไรล่ะ คิดว่าเครื่องบินกำลังจะตกไหม? กำลังอธิษฐานกับพระเจ้าให้เครื่องบินไม่ตกใช่ไหม?”
คุณยายบอก … “เปล่าหรอก ฉันกำลังคิดว่าฉันจะไปพบหน้าพระเยซูคริสต์ และพบกับญาติพี่น้องคนอื่นๆ ที่ได้วางใจในพระเยซู ที่เข้าไปอยู่ในสวรรค์ก่อนหน้าฉัน ฉันก็คิดถึงพวกเขาเหมือนกัน ฉันกำลังคิด ตื่นเต้นเหลือเกินที่จะได้ไปพบกับพระเยซู พบหน้าพระเจ้า และพบพี่น้องที่เขาไปก่อนหน้านี้ แต่ขณะเดียวกัน ฉันกำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าฉันก็กำลังเป็นห่วงบรรดาผู้คนที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่ยังไม่รู้จักความจริง ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉันก็กำลังคิดในใจว่าฉันจะไปเป็นพยานในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร? พระเจ้าจะใช้ฉันอย่างไรในการเป็นพยานในเรื่องเกี่ยวกับการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ หลังจากรอดอย่างปาฏิหาริย์จากเครื่องบินตกครั้งนี้ ฉันกำลังคิดว่าฉันจะไปทางไหนดี มันดีทั้งคู่ ฉันจะได้มีโอกาสประกาศข่าวดี”
ปรากฏว่าอะไรดีกว่า มันดีทั้งคู่ แล้วแต่พระเจ้า
นี่คือผลของผู้ที่ย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาคืนดีกับพระเจ้าแล้ว ต้อนรับคำเชิญของพระเจ้า คือกลับคืนดีกับพระเยซูคริสต์ กลับคืนดีกับพระเจ้าแล้ว มาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น เทียบกันในขณะนี้ ในขณะที่โลกกำลังอยู่ในความวิตกกังวลอย่างใหญ่หลวง ในเรื่องเกี่ยวกับเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น? ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? จะตาย จะเป็น จะกิน จะอยู่อย่างไร? ลำบากขนาดไหน? ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระบุตร ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ท่านเข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว
ท่านก็จะมีความคิดว่าไม่ติดเชื้อ … ไม่ติดเชื้อ ท่านก็ขอบคุณพระเจ้า ที่ปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลเมตตาไม่ติดเชื้อ แล้วถ้าเกิดติดเชื้อขึ้นมาล่ะ ก็ขอบคุณพระเจ้า ได้เป็นพยานทางฝั่งพระเจ้า ก็ว่ากันไปตามขบวนการการรักษา และถ้าติดเชื้อถึงตายล่ะ ก็ขอบคุณพระเจ้า เพราะจะได้เข้าไปพักผ่อนอยู่ในสวรรค์ เห็นหน้าพระเจ้ากับพี่ๆ น้องๆ อีกหลายๆ คน ญาติพี่น้องที่เชื่อพระเจ้าและจากไปก่อนหน้านี้แล้ว จะได้เจอทักทายกัน และจะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล
เห็นไหม? ได้หมดเลย ได้ทุกสถานการณ์ ข้อสำคัญ ก็คือเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเดี๋ยวนี้เลย ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าพระเยซู และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค จะเข้ามาสถิตกับเราในร่างกายของเราเดี๋ยวนี้เลย วินาทีนี้เลยทันที เราจะไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป พระเจ้าจะจูงมือเราเดิน แม้ว่าโลกใบนี้จะเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน เต็มไปด้วยความชั่วร้าย แต่พระเจ้าจะนำพาเราเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นไปด้วยกันกับพระองค์ จะไปกลัวอะไรล่ะ เดินไป มีเป้าหมาย เพื่อปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ประกาศข่าวดี และเดินไปด้วยความมั่นใจในความรักของพระเจ้า ที่อยู่กับเรานิรันดร์ และเราอยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์นิรันดร์กาลนั่นเอง ก็แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้นเอง
บทเพลงที่จบสุดท้ายในวันนี้ ก็จะเป็นบทเพลงนี้แหละ ที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร? นี่คือปัจจุบันของเรา ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างนี้ และอนาคตของเรา ก็คืออยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานนิรันดร์กาลนั่นเอง
“เมื่อเดินผ่านหุบเขาเงาความตาย ไม่กลัวพระเจ้าทรงอยู่ด้วย
คฑาและธารพระกรปลอบโยน พระองค์สถิตอยู่ชูช่วย
แท้จริงความดี ความรักมั่นคง จะติดตามข้าตลอดไป
และข้าจะอยู่ในพระนิเวศน์ พระเจ้าของข้าเสมอไป”
เห็นไหมครับ? แม้จะเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราชบนโลกใบนี้ ซึ่งแน่นอนความทุกข์ยากลำบาก ความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ที่วิปริต มันกำลังสูญสิ้นไปทั้งหมด แต่เราสูญสิ้นไปกับมันไหม? สูญสิ้นไปแค่ร่างกายนี้เท่านั้น แต่วิญญาณจิตพระเจ้าสถิตอยู่ข้างใน และวันหนึ่ง เราจะได้รับร่างกายใหม่ เราไม่ได้สูญสิ้นไปกับมันเลย ไม่ได้พินาศไปพร้อมกับมัน เพราะเราย้ายข้างไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าแล้วตั้งแต่เดี๋ยวนี้ และพระเจ้าจะนำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ความรัก ความดีงามของพระองค์จะอยู่กับเราไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาล
นี่คือสิ่งดี และดีที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด จึงเรียกว่า Amazing Grace พระคุณอันอัศจรรย์ใหญ่หลวง ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ร้องด้วยความมั่นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเดี๋ยวนี้และไปถึงนิรันดร์อีกครั้งหนึ่ง
“เมื่อเดินผ่านหุบเขาเงาความตาย ไม่กลัวพระเจ้าทรงอยู่ด้วย
คฑาและธารพระกรปลอบโยน พระองค์สถิตอยู่ชูช่วย
แท้จริงความดี ความรักมั่นคง จะติดตามข้าตลอดไป
และข้าจะอยู่ในพระนิเวศน์ พระเจ้าของข้าเสมอไป”
พระเจ้าอวยพรครับ
**************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
“พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย” (1 เปโตร 2:24)
เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราได้รับการรักษาให้หายแล้ว คือวิญญาณเราไม่มีบาปหลงเหลืออ ยู่แล้ว แต่เนื้อหนังในร่างกายของเรา ยังคงมีเชื้อบาปอยู่ และอาจจะหันไปทำบาปได้อีก แต่เราก็ยังคงมั่นใจได้ ถึงความรอดทางวิญญาณที่เราได้รับมาแล้ว
คือทางฝ่ายร่างกาย เรายังคงเป็นคนบาป แต่ในทางวิญญาณ เราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราไม่เป็นคนบาป (ฝ่ายวิญญาณ) อีกต่อไปแล้ว เราได้รับชีวิตนิรันดร์แน่นอนแล้ว
พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูได้แบกรับเอาบาป (ทางวิญญาณ) ของเราออกไปหมดแล้ว … แต่ทางเนื้อหนัง เราก็ยังคงมีเชื้อบาปอยู่ และเชื้อบาปทางเนื้อหนัง ก็จะแสดงอาการของความบาปออกมา ผ่านทางความคิด จิตใจ คำพูด การกระทำ
แล้วเมื่อไหร่ ที่เราเผลอไปทำบาปตามเนื้อหนัง พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าประทานให้มาสถิตอยู่กับ เรา ก็จะช่วยเรา ย้ำยืนยันในถ้อยคำของพระเจ้า ให้เรามั่นใจว่าเราได้รับการอภัยแล้ว วิญญาณเราไม่มีเชื้อบาปแล้ว พระเยซูทรงเอาออกไปหมดแล้ว พระองค์ทรงแบกรับแทนเราหมดแล้ว และพระวิญญาณก็จะค่อยๆ นำพาเรา ขัดเกลาชีวิตเรา ให้ทำบาปน้อยลง (เราไม่ต้องรับโทษของความบาปทางวิญญาณอีกแล้ว แต่ผลหรือโทษของการกระทำบาปทางฝ่ายร่างกาย ทางโลก เราก็ยังคงต้องรับอยู่นะครับ คนละเรื่องกัน)
ไบเบิลบันทึกไว้ว่า … “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย” (โรม 8:1-2)
พระเจ้าอวยพรครับ