คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2021 เรื่อง “เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  มกราคม  2021

 เรื่อง “เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

เราจะมาบรรยายเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ต่อจากสัปดาห์ที่แล้วๆ มา เราเน้นกันถึงความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์ ในเรื่องของการเข้าสู่สวรรค์ เรื่องของความเชื่อว่าเมื่อเชื่อในการประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นใคร?  และพระองค์เป็นทางเข้าสู่สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า มาสู่มนุษย์ทุกคน  ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ  เมื่อได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้แล้ว เชื่อแล้ว เชื่อแล้วต้องมีการกระทำ อะไรบางอย่าง จึงจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเชื่อจริงๆ ไม่ใช่ฟังแล้วดี แล้วก็เฉยๆ  และสิ่งนั้น คืออะไร? สิ่งนั้น ก็คือต้องเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ  เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ช่วยฉันได้จริงๆ เมื่อเชื่อว่าพระเจ้าให้ของขวัญ และเปิดใจต้อนรับของขวัญทันที ซึ่งวิธีทำให้ได้รับของขวัญนี้  พระเยซูก็ได้พูดเอาไว้ด้วยว่าอย่างนี้ ในวิวรณ์ 3:19-20

หัวข้อเรื่องวันนี้คือ “เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู” เมื่อเชื่อในข่าวดีของพระเยซู และกระทำสิ่งหนึ่ง พิสูจน์ความเชื่อ ด้วยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ แล้ว พอเปิดใจแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น  เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู วิวรณ์ 3:19-20

วิวรณ์ 3:19-20 “19 เขาเหล่านั้น ที่เรารักอย่างสุดซึ้งและจริงใจ เราจะบอกกล่าวความผิดของพวกเขาจะติเตียน และอบรมสั่งสอนพวกเขา ดังนั้น จงกระตือรือร้นและตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ และจงกลับใจใหม่ 20 ดูเถิด เรายืนอยู่ที่ประตู และเคาะประตูเรียกแล้ว ถ้าผู้ใดได้ยินและได้ฟังเสียงของเรา และเปิดประตูรับเรา เราจะเข้าไปหาผู้นั้น และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานร่วมกับเรา”

 

“เขาเหล่านั้น ที่เรารักอย่างสุดซึ้งและจริงใจ” ก็คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ “เราจะบอกกล่าวความผิดของพวกเขาจะติเตียน และอบรมสั่งสอนพวกเขา ดังนั้น จงกระตือรือร้นและตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ และจงกลับใจใหม่”

ผู้ที่ได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์มาบอกทางไปสู่สวรรค์ด้วยความรักแล้ว จะต้องทำสิ่งหนึ่ง คือกระตือรือร้น ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา และกลับใจใหม่ มาพึ่งในพระองค์

และข้อ 20 ได้บันทึกชัดเจนบอกว่า … “เรายืนอยู่ที่ประตู และเคาะประตูเรียกแล้ว” เรียกแล้วเรียกอีก เรียกอยู่

“เรายืนอยู่ที่ประตู และเคาะที่ประตูใจของท่าน ถ้าผู้ใดได้ยินและได้ฟังเสียงของเรา และเปิดประตูรับเรา”

ก็คือเปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซู

“เราจะเข้าไปหาผู้นั้น และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา”

ก็คือเราจะเข้าไปอยู่อาศัยกับเขา ข้างในวิญญาณของเขา เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นครอบครัวของพระเจ้านั่นเอง และยืนยันด้วยถ้อยคำของพระองค์ ในยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสดังนี้ว่า …

ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเราเขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

 

“ผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังถ้อยคำของเรา” นั่นเอง

ถ้อยคำของเราที่บอกว่า …“ความสามารถของท่าน  ไม่มีทางทำให้ท่านเป็นคนดีพร้อม ดีเท่าๆ กับพระเจ้า  สามารถเข้าสู่สวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้”

ท่านทำไม่ได้หรอก ความชอบธรรม การเข้าสู่สวรรค์ ด้วยการกระทำของตนเอง  ด้วยความประพฤติของตนเอง ไม่มีทางเข้าไปได้หรอก  มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าสู่สวรรค์ไปหาพระเจ้าได้ ก็คือทางเรา ทางพระเยซู ซึ่งพระเจ้าพระบิดาได้ส่งเรามา เพื่อช่วยท่าน ให้เข้าสู่สวรรค์ได้ นี่คือคำของพระเยซู รวมๆ แล้ว เป็นอย่างนี้

ผู้ใดที่รักพระเยซู และเชื่อพระเยซูจริงๆ ก็ต้องเชื่อฟังคำสอนนี้ ก็คือไม่พึ่งพาความรอบรู้ การกระทำของตนเองอีกแล้ว แต่จะมาพึ่งพระเยซูผู้เดียวนั่นแหละ

และในนี้บอกว่าอย่างไร? … “พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

เมื่อเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน  เข้ามาอยู่ในร่างกาย  ในวิญญาณของเขา ผู้เชื่อนั้น มาเป็นครอบครัวเดียวกัน มาเป็นหนึ่งเดียวกัน  อยู่ด้วยกันกับเขาในวิญญาณทันที

และในหนังสือยอห์น 17:20-23 ที่สัปดาห์ก่อนโน้น เราเคยยกมายืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเราอย่างไร? เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เกิดอะไรขึ้น  ยอห์น 17:20-23 …

ยอห์น 17:20-23 “20 ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐาน เพื่อพวกเขาเท่านั้น แต่ข้าพระองค์อธิษฐาน เพื่อบรรดาผู้ที่เชื่อในข้าพระองค์ ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย 21 เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดาเจ้า พระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์ และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 22 เกียรติสิริ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน คือ 23 ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

 

สรุปง่ายๆ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าเมื่อใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู และเปิดใจต้อนรับพระเยซู มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูจะเข้ามาอยู่ในตัวเขา พอเข้ามาอยู่ในตัวเขาแล้ว ทำไม? แล้วพระองค์ทรงบอกว่าพระองค์กับพระบิดา คือพระเจ้าพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อคนนั้นมาเชื่อในพระเยซู … พระเยซูเข้าไปอยู่ในเขา พระเยซูกับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน  ทั้งเขาและพระเยซูจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ในขณะที่พระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา พระเจ้า ทั้งหมดจึงเป็นหนึ่งเดียวกันหมดเลย  ก็คือเราอยู่ในพระเยซู … พระเยซูอยู่ในเรา และเรากับพระเยซูก็อยู่ในพระบิดา พระบิดาก็อยู่ในเรา  เราทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกัน  จะเห็นชัดว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน และสง่าราศี พระสิริของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ก็ได้กลายเป็นสง่าราศี และพระสิริของเราด้วยเช่นเดียวกัน  จะบอกพระสิริหรือไม่พระสิริก็ตาม สิริ ความสง่างาม ก็เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา ที่ได้เกิดใหม่แล้วนั้น  และพระเจ้าก็จะรักเรา พระบิดาก็จะรักเรา  เท่าๆ กันกับรักพระเยซู นี่มันหมายความว่าอย่างนั้น

ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของพระเจ้าที่เข้ามาสถิตอยู่กับเรา  และเราบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้าอย่างนี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์แสวงหามานานแล้ว และมันยากมากเลย สมัยอดีต ในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าสถิตอยู่กับบางคนเท่านั้น สถิตนี้ ไม่ได้หมายถึงอยู่ข้างในนะ หมายถึงอยู่กับ “อยู่กับ” ก็คือให้กำลังอำนาจมาช่วยเหลือ โดยการอยู่ภายนอกร่างกาย และก็ไม่ได้อยู่ตลอดไป อยู่แบบไปๆ มาๆ

อย่างเช่น บุคคลพิเศษ พวกที่พระเจ้าจะใช้งาน  พระเจ้าก็จะไปอยู่ด้วยกับเขา ยกตัวอย่างเช่น พวกปุโรหิต  ผู้เผยพระวจนะ  พวกกษัตริย์ของอิสราเอล ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้  แล้วก็พวกนักรบบางคน ที่เป็นผู้นำ อย่างเช่น โยชูวา โมเสส  อาโรน กษัตริย์ดาวิด คนเหล่านี้เป็นต้น พระเจ้าอยู่ด้วยกันกับเขา ไม่ได้อยู่ในเขา แบบที่เรากำลังอ่านถ้อยคำของพระเยซูที่กำลังอธิบายให้ฟังว่าเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ทรงเข้ามอยู่ในร่างกายของเรา  เป็นวิญญาณหนึ่งเดียวกันกับเราข้างใน พระบิดาก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราด้วย  ทั้ง 3 พระภาค และรวมทั้งเรา ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งถ้าพูดถึงในอดีต มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย  ขนาดในสมัยพระคัมภีร์เดิม  เมื่อพระเจ้ามาสถิตกับคนบางคนในขณะนั้น ให้ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ทุกคนก็ตื่นเต้นแล้วแค่นั้น  และนี่มันมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระเจ้าเข้ามาสถิตในมนุษย์ ไม่ใช่บางคนแล้ว ทุกคน  … ทุกคนมีสิทธิ์

สมัยก่อนพระเจ้าทรงเลือกบางคน แล้วจำนวนน้อยมาก จะไปสถิตอยู่กับเขา  เพื่อทำการงานของพระองค์ แต่ตอนนี้พระเจ้าจะเข้ามาอยู่ในมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์  พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์เป็นหนทาง เพื่อว่ามนุษย์จะได้สามารถเข้าสวรรค์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เปิดใจให้พระเยซูคริสต์ แล้วพระเจ้าพระบิดาเข้าไปสถิตอยู่ในวิญญาณของเขา พระเจ้าได้ประทานสิทธิ์และโอกาสนี้ให้กับมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่บางคน มนุษย์ทุกคน

แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องกระทำ นั่นคือเขาต้องตอบสนองต่อของขวัญที่พระเจ้าให้ฟรีๆ นี้ คือต้องรับเอาไง พระเจ้าไม่สามารถไปเค้นคอ …

“ต้องรับนะ ต้องเอา ฉันจะเข้าไป”

พระเจ้า พระเยซูบอก พระองค์ทรงเข้าทางตรอก ออกทางประตู มาตามกฎระเบียบทุกอย่าง ไม่ใช่มาบังคับ ถึงแม้จะให้ฟรีๆ  และรู้ว่าดีอย่างไร?  รู้ว่ารักอย่างไรก็ตาม

“แต่เธอต้องตอบสนองด้วยตัวเธอเอง เธอต้องตัดสินใจด้วยตัวเธอเอง ฉันมีหน้าที่แค่เอาถ้อยคำพระเจ้าไปบอกเธอ เคาะประตูที่หัวใจของเธอตลอดเวลา ส่งคนไปแล้ว ส่งคนไปเล่า ส่งข้อความไปแล้ว รอว่าวันใดที่เธอจะเปิดใจ เปิดปุ๊บ ฉันจะเข้าไปอยู่ในตัวเธอ เป็นพระเจ้าข้างในเธอเลย”

คิดดูสิ ถ้าคนในอดีต สมัยอิสราเอล ในพระคัมภีร์เดิมได้ยินอย่างนี้ เขาคงตกใจมากเลย …

“มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้อย่างไร พระเจ้ามาสถิตอยู่ในเธอ เธอสะอาดเพียงใด พระเจ้าถึงอยู่ในเธอได้”

แต่พระเยซูคริสต์ทำได้  และพระองค์ทรงยืนยันในถ้อยคำของพระองค์เอง พูดเมื่อสักครู่นี้ ที่เราอ่านร่วมกัน

คราวนี้เราจะมาดูว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ในลักษณะขบวนการการปฏิบัติการ มันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ พอเราต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์เข้ามาอยู่ในร่างกายของเราด้วยวิธีใด เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยวิธีใด? พระคัมภีร์ได้อธิบายอย่างไร? แม้ว่าอาจจะไม่เข้าใจหมดตามสติปัญญาของมนุษย์ แต่เรายังพอได้เห็นคร่าวๆ ตามแต่ที่พระเจ้าทรงอธิบายให้ในถ้อยคำของพระองค์ในพระคัมภีร์

ในโลกวิญญาณ พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทันทีนั้น พระเจ้าได้ทำการผ่าตัด ย้ายวิญญาณของเราออกจากสถานที่หนึ่ง  ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าออกจากในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ ในพระเยซู โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ขบวนการนี้ เรียกกันเป็นภาษากรีก คือบัพติศมา “บัพติศมา” คือการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง คือการย้ายทางโลกฝ่ายวิญญาณ  โดยฤทธิ์เดช ถ้าบอกว่าโดยฤทธิ์เดช ก็ไม่ใช่ด้วยความสามารถของมนุษย์แล้ว ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เข้ามาในวิญญาณของมนุษย์ แล้วก็เริ่มย้ายวิญญาณเรา ซึ่งอยู่ในอดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรียกว่าบัพติศมา

“บัพติศมา” เป็นภาษากรีก แปลว่าจุ่มลงไป ดำมิดลงไป ฝังลงไป เพื่อที่จะเข้าเป็นส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน  เข้าส่วนร่วม เพื่อกลาย กลืน เป็นสิ่งเดียวกันของอะไรบางสิ่ง

และในนี้บอกว่า “บัพติศมา” เราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ ก็คือจุ่มเรา ดำมิดเรา ฝังเราเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซู

ย้ายเราออกมา ให้เรามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เรียกว่าบัพติศมา เราจะมาอ่านข้อพระคัมภีร์ที่พูดถึงอาการที่เกิดขึ้น  ขบวนการที่เกิดขึ้น  เมื่อตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เสด็จเข้ามาในวิญญาณ  ผ่าตัดวิญญาณของเรา แล้วทำอะไรกับเราบ้าง? โรม 6:3-6 จะพูดไว้ค่อนข้างชัดเจน เป็นขั้น เป็นตอน ก็เลยยกตัวอย่างตรงนี้มาให้อ่าน ให้เห็นชัดเจนขึ้น

โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์  ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

จำไว้ว่าบัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป ดำมิด ฝังลงไป เพื่อเข้าเป็นส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์  นึกในใจตรงนี้นะ

ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา ได้ถูกจุ่มลงไป  ดำมิดลงไป เพื่อเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็คือพระวิญญาณนำวิญญาณเราเข้าไปแล้ว

วันนี้ผมมีตัวอย่างให้เห็น เกิดอะไรขึ้น ท่านไม่รู้หรือว่า? ก็แสดงว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ท่านยังไม่ค่อยเข้าใจ ท่านไม่รู้ ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้จึงบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระวิญญาณเข้ามาในตัวท่านแล้ว กระทำการผ่าตัดวิญญาณท่านอย่างนี้ คือเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์

สาธิต ตุ๊กตาแม่ลูกดกของรัสเซีย  นี่คือพระเยซูคริสต์ (ตุ๊กตาแม่ลูกดกตัวใหญ่สุด) นี่คือผู้เชื่อ (ตุ๊กตาแม่ลูกดกตัวเล็กกว่านิดหนึ่ง) ในนี้บอกว่าท่านไม่รู้หรือ? ท่านผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้เชื่อ คือผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประจำชีวิตส่วนตัวของเขา ผู้เชื่อทั้งหลาย ท่านไม่รู้หรือว่าท่านได้รับ คือพระวิญญาณเป็นผู้กระทำให้ เราไม่ได้ทำเอง  เราทำเองไม่ได้ พระวิญญาณได้ทำการนำวิญญาณของท่าน ผ่าตัดวิญญาณของท่าน  เข้าไปเป็นส่วนร่วมอยู่ในพระเยซู

พอท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณจะทำอย่างนี้แหละ ตอนนี้ ท่านอยู่ในพระเยซู นี่เป็นการบัพติศมา โดยพระวิญญาณของพระเจ้า  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า หรือจะบอกไฟของพระเจ้า ก็ได้ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้กระทำการผ่าตัดวิญญาณท่าน เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ย้ายออกมาจากสถานที่หนึ่ง ที่อยู่ข้างนอกพระเยซู ที่เรียกว่าในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  ลองอ่านต่อไป ในนี้บอกว่าเราทั้งปวงที่ได้รับบัพติศมา ในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ พระเยซูคริสต์ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เราทั้งหลายก็ถูกตรึงไปด้วย เพราะเราอยู่ข้างใน ชัดเจน

ในข้อที่ 4 บอกว่า … “ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการบัพติศมาในความตาย”

ในนี้บอกว่า … “เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน แล้วร่างกายของพระองค์ที่เป็นศพ ที่ตายแล้วนั้น ถูกฝังไว้ในอุโมงค์”

ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ นั่นหมายถึงอย่างนั้น  นี่พระวิญญาณทำให้เกิดอย่างนี้ขึ้นทั้งนั้น

“เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย โดยฤทธิ์เดชของพระบิดา”

พระคัมภีร์บอกว่าโดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระบิดา เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ วันที่ 3 ฤทธิ์เดชอำนาจจากพระเจ้า ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย

ถามว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? (เอาแม่ลูกดกที่เป็นผู้เชื่อ เข้าไปอยู่ในตัวแม่ลูกดกที่เป็นพระเยซู) เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย ตอนที่พระเยซูถูกฝัง เราถูกฝังไว้ด้วย  ตอนที่พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เราก็เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย เราได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระเยซูด้วย ที่ไหน? ที่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในนี้

ข้อ 5 บอกว่า … “ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์” ก็คือถ้าเราได้มีส่วนบัพติศมากับพระองค์ ก็คือมีส่วนอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราก็จะมีส่วนร่วม ก็คือเราก็บัพติศมาอยู่ในพระองค์ ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายเหมือนกัน เหมือนกับพระองค์เลย เพราะเราอยู่ในพระองค์ เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงกับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดออกไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป

ก็คือย้อนกลับมาเมื่อตะกี้นี้ ตอนแรกเริ่มต้น ที่เราอยู่ในพระเยซู เราเป็นคนบาป และตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระเยซู ตัวเก่า วิญญาณเก่าของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณสกปรก ได้ตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน  และได้ถูกฝังไว้ และได้เป็นขึ้นจากความตาย  ในวันที่ 3  ร่วมกับพระเยซู เพราะเราได้ถูกบัพติศมา เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง เพื่อท่านจะได้เห็นชัดขึ้นว่าการบัพติศมาเป็นอย่างไร? เมื่อเราตอนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อันนี้ง่ายขึ้นนะ

ย้อนถ้อยคำพระเจ้าเมื่อสักครู่นี้ อีกทีหนึ่ง โดยการสาธิตให้ดู ท่านไม่รู้หรือว่าปกติท่านเป็นคนบาป ต้องชดใช้บาป หนี้กรรม เวรกรรม ไปจนไม่รู้กี่สิบชาติ ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดแน่นอน แต่พระเยซูมา เพื่อช่วยท่าน ให้รอดพ้นจากความบาป และเป็นหนทางให้ท่านไปสู่สวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ทางพระองค์เท่านั้น แล้วท่านเชื่อในคำพูดของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าที่พระองค์พูดนั้นเป็นจริง เชื่อพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ รวมทั้งฉันด้วย จริงๆ เมื่อท่านเชื่อจริงๆ  ท่านก็เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต้อนรับว่า …

“ข่าวดีนี้เป็นของฉัน ฉันเอาแล้ว ฉันจะไม่พึ่งพาการกระทำของตนเองอีกแล้ว แต่จะพึ่งพาพระคริสต์”

ทันทีทันใดนั้น ท่านก็เริ่มต้นกลายเป็นผู้เชื่อ ผู้เชื่อในข่าวดีจริงๆ คือได้กระทำการเปิดใจ พอเชื่อจริงๆ ปุ๊บ (ซองนี้ (ซองสีน้ำตาล A4) คือพระเยซู) พระวิญญาณก็เข้ามาในวิญญาณของท่าน จับวิญญาณของท่านผ่าตัด ใส่ลงไปในพระเยซู (จับเอาผู้เชื่อใส่เข้าไปในซองจดหมาย) เข้าส่วนเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เรียกว่าบัพติศมาท่านเข้าไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน

พระเยซูบอกว่าท่านกับเรา ก็คือท่านผู้ที่เชื่อกับเรา กับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วพระเยซูกับพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดา ก็หมายถึงพระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาค

พระวิญญาณบริสุทธิ์บัพติศมาท่าน เสร็จปุ๊บ พระเจ้า พระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์  และพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน (เข้าไปอยู่ในซองจดหมายนี้) นี่คือตอนที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาบัพติศมาเรา ด้วยวิธีอย่างนี้แหละ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระคัมภีร์บอก เข้ามาเป็นหนึ่ง แค่นั้นไม่พอ  ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำการปิดผนึก ซีลเลย ไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน? ผู้เชื่อทั้งหลาย ทันทีที่ท่านเชื่อ  เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณของท่านอยู่ในนี้ อยู่ในพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  อยู่ใน 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคนี้เลย แล้วแถมหุ้มห่อท่านไว้เรียบร้อย ปกปักคุ้มครองดูแลท่านทุกอย่าง มันเป็นอย่างนี้ นี่คือภาพที่ให้ท่านเห็นชัดเจน

แล้วตอนนี้เราจะมาดูสิว่าเมื่อเราเป็นหนึ่งแล้ว  ในพระคัมภีร์ได้เขียนถึงสถานะ ตำแหน่ง การเข้าไปอยู่ในครอบครัวพระเจ้า การเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระบิดา  อยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ตำแหน่งในวิญญาณ มันอยู่ตรงไหน? ของโลกวิญญาณนี้ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่างไร? เปิดไปหนังสือเอเฟซัส 1:18 อ่านข้อนี้ก่อน

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น  และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์  ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อและการรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

อาจารย์เปาโลก็เหมือนกับผมตอนนี้  คืออยากให้ผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ได้เห็นความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณบ้าง ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ทรงกระทำให้กับเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย มันเป็นอย่างไร? และในขณะเดียวกัน เพื่อที่จะให้ผู้คนที่ยังไม่เชื่อ ได้เห็นว่าเมื่อเขาได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า เมื่อเขาต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้น ในวิญญาณของเขา …

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (วิญญาณ คือตัวจริงๆ ของมนุษย์) สว่างขึ้น จะได้รับรู้ สำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวังและมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเรียกท่านเข้ามานั้น”

รู้เพื่อความมั่นใจว่าที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นทางไปสู่สวรรค์นั้น เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระองค์แล้ว เชื่อแบบเด็กๆ แล้ว มันเกิดขึ้นจริงๆ พอรู้ความจริงเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เรารับรู้มากขึ้น เราก็เกิดความมั่นใจขึ้นว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ

ต่อไปบอกว่าและรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันใหญ่ยิ่งรุ่งเรือง และมีค่าสุดของพระองค์ ที่ได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เมื่อท่านเชื่อพระเยซู บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในโลกวิญญาณ นอกจากไปสวรรค์แล้ว มันมีอะไรอีกเยอะแยะมากมาย

ในนี้จึงบอกว่าโดยผ่านทางการเชื่อ และการรับสิทธิของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่ไว้ พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ของมีค่าสูงสุด อันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง เต็มด้วยสง่าราศีของพระองค์ อะไรบ้างในโลกวิญญาณ  ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้  ดูต่อไป ข้อ 19-20

เอเฟซัส 1:19-20 “19 เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า 20 ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณที่กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเรา ผู้ซึ่งได้เชื่อและรับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

 

ข้อ 19 บอกว่าเพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด หาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า  อาจารย์เปาโลเขียนถึงผู้เชื่อใหม่ เป็นห่วงเป็นใยเขา อยากให้เขารู้เรื่องนี้ เรื่องฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาลที่ไม่มีขีดจำกัดของพระเจ้า เราเรียนมาหลายครั้งแล้ว ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดช เป็น Power เป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด นี่แหละ เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ท่านควรจะเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด หาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า

ข้อ 20 บอกว่าซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาล ทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเรา  ผู้ซึ่งได้เชื่อศรัทธา และใช้สิทธิของเรา คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ไถ่บาป ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดนี้ ได้กระทำการงาน อยู่ในตัวท่าน อยู่ในตัวผม ผู้ที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับพระเจ้า ที่ได้กระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย

ในนี้อธิบายต่อว่าฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้า มหาศาล ที่กระทำการงานอยู่ในเราทั้งหลายที่ได้รับเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เปิดใจต้อนรับพระเยซูเรียบร้อยแล้วนั้น เป็นฤทธิ์เดช อำนาจเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นฤทธิ์เดชอำนาจเดียวกัน

ต่อไป … และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  คือสูงมาก ในย่านฟ้าอากาศ ในสวรรค์ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ คือคำว่า “สวรรค์” หมายถึงท้องฟ้าที่ตาเรามองไม่เห็น ในชั้นบรรยากาศ เลยจากชั้นบรรยากาศไป ก็มีชั้นที่เรามองเห็น ดวงดาว แล้วเลยมองจากดวงดาวไป เขาเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์ต่างๆ หมายถึงตรงนี้ หมายถึงนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงครอบครองเหนือสวรรค์ต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด ตอนนี้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า และเราอยู่ในพระเยซู เราก็ได้นั่งอยู่ที่นั่นด้วยเช่นเดียวกัน นี่หมายถึงอย่างนั้น ตื่นเต้นลึกขึ้นเรื่อยๆ นะ ข้อที่ 21 …

เอเฟซัส 1:21  “ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณ ที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนามหรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่ แค่ในยุคปัจจุบันบนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วย”

 

ในตำแหน่งนี้ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน พระเยซูมีฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือ ฟังให้ดีๆ เหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบัน บนโลกนี้เท่านั้น  แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วย คือเป็นนิรันดร์เลย ความยิ่งใหญ่ ความมีตำแหน่งสูงสุด ครอบครองทั้งสวรรค์ และบนโลก วัตถุสิ่งของทุกอย่าง ทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น ทั้งสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง วิญญาณทุกดวง เป็นของพระเยซู ที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ในขณะนี้ และเป็นอยู่ตลอดไป และเราทั้งหลาย ผู้เชื่อนั้น อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระบิดาพระเจ้า พระบุตรพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์

ต่อไป ข้อที่ 22-23 เราต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นของเรา เราจะได้รู้จริงๆ ว่าตำแหน่งของเรา ตัวจริงๆ ของเราตอนนี้อยู่ที่ไหน? วิญญาณเราจริงๆ อยู่ที่ไหน? และเราจะอยู่ที่นั่นตลอดไป

เอเฟซัส 1:22-23  “22 และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้) 23 ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ ให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูได้ทำให้”

 

“และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์” เมื่ออยู่ใต้เท้าพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับอยู่ใต้เท้าของเรา ผู้เชื่อ ที่ได้รับการบัพติศมาเข้าส่วน อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้วด้วย เช่นเดียวกัน เอเมน

“และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศรีษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร”  คริสตจักร หมายถึงสถานที่สถิตของพระเจ้า ก็คือร่างกายของมนุษย์ที่เชื่อและใช้สิทธิในการไถ่บาป  ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเขา ก็คือเราผู้เชื่อศรัทธา ในการไถ่บาปของพระเยซู และเปิดใจต้อนรับพระเยซูนั่นเอง ให้ฤทธิ์อำนาจกับพระเยซูคริสต์ สูงสุด ยิ่งใหญ่ เป็นศีรษะ คือเป็นหัวหน้าของผู้เชื่อทั้งหลาย

ในข้อที่ 23 บอกผู้เชื่อทั้งหลายที่เรียกว่าคริสตจักร ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซู ก็คือเราทั้งหลายที่เชื่อศรัทธา  ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เปรียบเสมือนเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นศีรษะ ศีรษะกับร่างกายแยกออกจากกันไม่ได้ ฉันใด พระเยซูและเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อศรัทธา ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยผ่านทางการบัพติศมากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแหละ ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ ครบถ้วนของพระเยซู ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์  สมบูรณ์แบบให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ  และใช้สิทธิในการไถ่บาปที่พระเยซูได้ทำให้กับเขา เอเมน เมื่อเชื่อในข่าวประแสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ผู้เชื่อเหล่านั้น ก็จะกลายเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ ทั้งสิ้น แล้วยังแถมมีสิทธิอำนาจเท่ากับพระเยซู เพราะอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อยู่ในพระเจ้าพระบิดา กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราทั้งหลายก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มีสิทธิอำนาจสูงสุด ได้นั่งอยู่กับพระองค์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เป็นเช่นนี้แหละ

เหมือนในซองนี้ (ชูซองสีน้ำตาลขึ้น) เราก็อยู่ในซองนี้ พระเจ้าพระบิดา พระบุตรพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  และเราทั้งหลายที่อยู่ข้างในพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน สูงสุดขนาดไหน? และเป็นแล้ว ในนี้ และจะเป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดกาล ชั่วนิรันดร์เลย ขอบคุณพระเจ้า

อธิบายมาทั้งหมดนี้ เป็นของขวัญในฐานะลูกของพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นเลย ที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้มา เป็นของฟรีหมด เป็นของขวัญและได้รับทันทีครบถ้วน เมื่อเปิดใจต้อนรับแล้วตอนนี้ ก็ได้รับตอนนี้ เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ ในตำแหน่งนี้ทันทีเลย ไม่ต้องตายจากโลกนี้ไปก่อน แล้วจะเป็นอย่างนี้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์ ไม่มีการเสื่อมถอย จากนี้ไป และไม่มีการเพิ่มเติมจากนี้ไป ไม่ต้องแสวงหาอะไรเพิ่มเติมจากนี้ไป ไม่ต้องกลัวอะไร จากนี้ไป ไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติมให้เราบริสุทธิ์ขึ้น ไม่ต้องหาอะไรมาให้พระเจ้าพอใจ เพื่อจะได้แต่งตั้งให้เราสูงขึ้น  เราสูงอยู่อย่างนี้แล้ว ไม่มีทางเอาออกจากนี่ไปได้ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เรากระทำเอง พระเจ้ากระทำให้ทั้งสิ้นเลย เราเพียงแค่เปิดใจ ต้อนรับ รับเอาของขวัญนี้ไว้เท่านั้น เพียงแค่รู้ว่าตำแหน่งนี้เป็นอย่างไร? เพื่อจะได้มีความมั่นใจ เพื่อจะได้เอามาใช้สอยให้เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา  ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่รับรู้และขอบพระคุณ

พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์มาเพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข มาหาพระองค์สิ จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข  แอกของเราก็เบาสบาย ภาระของเราก็เบาสบาย แอกของเรา คือการมาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน มามีส่วนในตัวเรา การเข้ามาบัพติสมาในเรา มันทำให้ท่านสบาย ไม่มีภาระอะไรเลย มันหมายถึงอย่างนั้น มันง่ายนิดเดียวเลยจริงๆ ซึ่งง่ายขนาดนี้ ก็ยังมีหลายคนที่ไม่รับของขวัญนี้ ก็ไม่ทราบ ไม่เข้าใจว่าไปคิดมากถึงขนาดนั้น เป็นของขวัญจากพระเจ้า รับฟรีๆ เลย มีบางพวกก็ไม่รับของขวัญนี้ ได้ยิน ก็เฉยๆ ได้ฟังก็เฉยๆ ไม่กระทำ ก็คือไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันก็ไม่เกิดผลอะไร? มีบางพวก พระเยซูมาเคาะประตู เปิดประตูบ้านออกมา รับของขวัญไป  มีบางพวก พระเยซูมาเคาะประตู ไม่เปิดเลย มองอยู่ข้างนอกเฉยๆ พระองค์ก็นั่งเคาะ ยืนเคาะทุกวันๆ แต่มีบางคนที่เคาะ แล้วก็เปิดใจ เปิดเหมือนต้อนรับ เอาของขวัญเข้ามา เอาความรอดเข้ามา แต่ไม่ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ ไม่แกะกล่องของขวัญออกมา ไม่ใช้เลย

ยกตัวอย่างของขวัญนี้เป็นไอโฟนก็แล้วกัน บางคนเอาไอโฟนส่งมาให้หน้าบ้านบอกว่า …

“มีของขวัญฟรีๆ มาให้”

เอามาให้ถึงหน้าบ้าน คนก็จะบอกว่า … “เป็นไปได้อย่างไร ใครจะเอาของขวัญแพงๆ อย่างนี้มาให้ ไม่เอาหรอก ไม่จริงมั้ง”

ก็ไม่เปิดประตูบ้านสักที ไอโฟนก็วางอยู่หน้าบ้าน พร้อมทั้งผู้จัดส่งรอทุกวัน มาทุกวันๆ ไม่เปิด บางคนก็เปิด มันมีฟรีจริงๆ เอาๆ ก็เอาไอโฟนมา พอเอาไอโฟนมา โทรศัพท์อย่างเดียวเลย ไอโฟนมีค่ามากมายมหาศาล ทำอะไรก็ได้เยอะแยะมากมาย  โทรศัพท์อย่างเดียว ดีใจแล้ว พอแล้ว เปิดคู่มือใช้ จะรู้ว่ามันใช้อะไรได้อีกตั้งเยอะแยะ อย่างน้อยก็ไลน์ได้ เปิดยูทูปได้ ถ่ายรูปได้

เพราะฉะนั้น รู้อย่างนี้แล้ว ความจริงเหล่านี้จะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไท เมื่อเรารู้ตัวจริงๆ ของเรา แล้ววิญญาณของเราได้เกิดใหม่แล้ว นั่งอยู่กับพระเจ้า ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว  ในหนังสือยอห์น 4:4 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์  เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้”

 

ลูกๆ เอ๋ย ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดาแล้ว กับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว สูงสุดขนาดนี้แล้ว พวกคุณเป็นของพระเจ้า ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากซองนี้ (ซองสีน้ำตาลที่ใช้ยกตัวอย่าง) ได้เลย พูดง่ายๆ พระเจ้าไม่ยอมเด็ดขาด มีใครใหญ่กว่าพระเจ้าไม๊ล่ะ เพราะฉะนั้น พวกคุณจึงมีชัยชนะเหนือศัตรูทั้งหมด เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามันทั้งหลาย ที่อยู่ในโลก ยิ่งกว่ามารทั้งหลายที่อยู่ในโลก ยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก เพราะทั้งหมดนี้ ในซองนี้ (ซองสีน้ำตาลที่ใช้ยกตัวอย่าง) นี้เป็นจริง ที่จะอยู่ไปนิรันดร์กาล แต่ร่างกายเราอยู่เพียงชั่วคราว 80 ปี 90 ปี 100 ปี แล้วแต่ ที่เราพูดกันทั้งหมด เกิดในโลกฝ่ายวิญญาณ

ลูกๆ เอ๋ย ท่านเป็นของพระเจ้า  พระเจ้าที่อยู่ในคุณทั้งหลาย พระเจ้าที่อยู่ในเราทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าโควิด-19 ที่อยู่บนโลก เป็นใหญ่กว่าผลกระทบจากโควิด-19 เรื่องราวต่างๆ เยอะแยะมากมาย ที่เป็นความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เป็นใหญ่กว่าความอดอยากบนโลกใบนี้ เป็นใหญ่กว่าความกลัว ความวิตกกังวลทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าปัญหาปากท้อง เป็นใหญ่กว่าโรคระบาดอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย เป็นใหญ่กว่าความตายของร่างกายนี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นแน่ๆ ในวันหนึ่งข้างหน้า มันหมายถึงอย่างนั้น พระเจ้าที่อยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่บนโลกนี้ และพระองค์ก็ทรงอยู่กับเรา ทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราข้างในนี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน จูงมือเราเดินอยู่ทุกวัน คอยสอนเรา เฝ้าเรา รักเรามากเหลือเกิน ให้เวลากับเราตลอดเวลา ดูแลเราอย่างแก้วตาดวงใจของพระองค์

ฮีบรู 13:5-6 จึงได้เขียนอย่างนี้ ให้เรามั่นใจ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร?

ฮีบรู 13:5-6  “5 จงรักษาชีวิตของท่าน ให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง (รวมถึงความโลภ  กิเลสตัณหา และความอยากได้ทรัพย์สมบัติทางโลก)   และจงพึงพอใจในสิ่งที่ตนมี  และสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะพระเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า “เราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าล้มเหลว หรือท้อแท้สิ้นหวัง หมดหนทาง โดยไม่ช่วยเหลือเจ้า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า  เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า” 6 ดังนั้น เราจึงกล้าที่จะกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย  มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า”

 

ข้อความตอนนี้ เขียนไปถึงผู้เชื่อทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอิสราเอล ชาวยิวที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนัก ช่วงนั้น เกิดการกันดาร เศรษฐกิจหนักกว่าโควิด ไม่รู้กี่หมื่น กี่แสนเท่า ความทุกข์ทรมาน แล้วยังแถมถูกข่มเหงรังแก จากเรื่องของความเชื่อด้วย แล้วยังมีโรคระบาดอีกต่างหาก หนักกว่าปัจจุบันเยอะเลย เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงส่งข้อความนี้ ไปเพื่อบอกเขาทั้งหลายว่า …

“จงรักษาชีวิตของท่านให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง รวมถึงความโลภ กิเลสตัณหา และความอยากได้ทรัพย์สมบัติทางโลก และจงพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ และเป็นอยู่ เพราะพระเจ้าได้ตรัสแล้วว่า ‘เราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าล้มเหลว หรือท้อแท้ สิ้นหวัง หมดหนทาง โดยไม่ช่วยเจ้า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า”

ในสถานการณ์เช่นนี้ โควิด-19 ซึ่งเล็กกว่าเรื่องราวที่พระคัมภีร์ได้เขียนถึงในขณะนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น พระเจ้าพูดอย่างนี้แหละ  พระเจ้าได้ตรัสแล้วว่า … ‘เราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าล้มเหลว หรือท้อแท้ สิ้นหวัง หมดหนทาง โดยไม่ช่วยเจ้า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า’ ดังนั้น เราจึงกล้าที่จะกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย  มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า

สถานการณ์บนโลกใบนี้จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?  โควิดจะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?  ผลจากโควิดจะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า? ความทุกข์ลำบากบนโลกนี้จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า? ในเมื่อพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกันกับข้าพเจ้า และพระองค์ไม่ทอดทิ้งข้าพเจ้า พระองค์ทรงสัญญาไว้อย่างนี้แหละ” …  มันหมายถึงอย่างนั้น

อิสยาห์ 41:10  “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า (อยู่ในเจ้า) อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

นี่คือข้อความในอดีต ในพระคัมภีร์เดิม ตอนที่พระเยซูยังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ เรียกว่าพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์ชั่วคราว เรียกว่า “มาอยู่กับเจ้า” เพื่อช่วยเหลือ

บันทึกอย่างนี้ว่า “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

เป็นข้อความที่เล็งให้เห็นเหมือนกับข้อความที่เผยพระวจนะ เผยแผนการล่วงหน้าว่าอนาคตพระเยซูจะมาบังเกิด และทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงเลย คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็จะมาสถิตอยู่กับเขา อย่างที่เราได้เรียนรู้ในวันนี้ ดังนั้น เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว ก็อย่ากลัวเลย  เพราะเราอยู่กับเจ้า  ผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับเจ้า อย่ากลัวเลย ไม่ได้อยู่กับเจ้านะ ในสมัยอดีต อยู่กับเจ้า แต่ตอนนี้ ต้องบอกว่า … “เราอยู่ในเจ้า” … กับเจ้า และในเจ้า ไม่เหมือนกันนะ อยู่กับเจ้า คืออยู่เพียงชั่วคราว อยู่ข้างนอก เดี๋ยวก็ไป เดี๋ยวก็มา แต่เราอยู่ในเจ้า และจะไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย คือไม่ไปไหนแล้ว ปิดผนึกเรียบร้อย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เราอยู่ในพระเจ้า อยู่ตรงนี้ อยู่ข้างในนี้ พระคัมภีร์บอกชีวิตเราถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ไม่มีใครทอดทิ้งเราแล้ว อย่ากลัวเลย อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น เราชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา เราชูเจ้าขึ้น นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของเราในสวรรค์สถานแล้ว

โยชูวา 1:9  “เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘จงเข้มแข็ง และกล้าหาญเถิด อย่าหวาดกลัว อย่าท้อใจ เพราะไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าจะอยู่กับเจ้าที่นั่น”

 

นี่ก็เป็นเงาและเล็งให้เห็นถึงเมื่อพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว จะได้รับอย่างนี้แหละ พระเจ้าสั่งเรานะ ผู้ที่เชื่อว่า …

“เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘จงเข้มแข็ง และกล้าหาญเถิด อย่าหวาดกลัว อย่าท้อใจ เพราะไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าจะอยู่กับเจ้าที่นั่น”

นี่เฉพาะพูดถึงโยชูวาผู้เดียวนะ แต่ตอนนี้พระเจ้าพูดกับผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน ผู้เชื่อไปไหน พระเจ้าไปด้วย เพราะพระเจ้าอยู่ในท่าน ท่านอยู่ในพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีทางแยกจากกันเลย ไม่ต้องกลัวเลย ไปด้วยกัน พระเจ้าจะจูงมือเราเดิน

อย่ากลัวเลย ไม่ว่าอะไรก็ตาม อย่ากลัว พระเจ้าบอกกับเราวันนี้ และในสถานการณ์ต่างๆ ถ้าไม่กลัว ก็จะพึงพอใจในทุกสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ ที่ประสบอยู่ เมื่อไม่กลัว ก็จะเกิดความพอใจ เมื่อเกิดความพอใจ ก็จะแบ่งปันด้วยความรักแท้ ที่อยู่ภายใน ไปสู่ผู้คนรอบข้าง แม้สถานการณ์ตัวเองจะดูเหมือนไม่ดี แต่ไม่กลัวสักอย่าง ความทุกข์ยากลำบากในสถานการณ์ปัจจุบันจะดีขึ้นหรือไม่? เราไม่รู้ สถานการณ์นี้ โควิดอีกกี่ปี เราก็ไม่รู้ ผลของโควิดจะเยอะกว่านี้ไหม? เราก็ไม่รู้ แต่ที่เรารู้แน่ๆ คือเราสามารถให้ความรักแท้ของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในเรา เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ได้อย่างแน่นอน โดยการอธิษฐาน การวิงวอน และการแบ่งปันอะไรที่มีอยู่ แบ่งปัน แปลว่าแบ่งให้เท่าที่เรามีอยู่ ทำออกจากใจ ออกจากวิญญาณ  โดยพระเจ้านำ  ด้วยความรักแท้ จากภายในวิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าที่ได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย เราสามารถที่จะให้ความรักออกไป เหมือนที่พระเยซูคริสต์ให้ความรักออกไปได้ เพราะเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกันเลย เราจึงสามารถให้ด้วยความรักนี้ออกไปได้

สมัยก่อนนี้ เราสามารถให้ โดยปราศจากความรัก ให้เพราะสงสาร ก็มี ให้เพราะอยากดัง ก็มี ให้เพื่อหวังผลประโยชน์ ก็มี แต่เราไม่สามารถรัก โดยปราศจากการให้ได้ ก็คือเราไม่สามารถที่จะมีความรักเหมือนพระเยซูคริสต์ โดยไม่ให้ออกไปเลย มันเป็นไปไม่ได้  ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูแล้ว พระเยซูเป็นความรัก เราก็เป็นความรักเหมือนพระองค์ไม่มีผิด และมีสัญชาตญาณของความรัก นั่นคือการแบ่งปัน การให้ออกไป นอกจากนั้น เรายังมีธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูที่อยู่ภายใน คือธรรมชาติของการกระทำความดี การกระทำดีโดยธรรมชาติจากข้างในออกมา

นี่คือสำหรับผู้คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว และสำหรับผู้ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซู ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะเดินตามลำพัง เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ในขณะที่รอบข้างท่านมีปัญหาอย่างนี้  ท่านพร้อมที่จะอำลาจากโลกใบนี้ไป เผชิญกับโลกภายภาคหน้า โดยลำพัง เช่นนั้นหรือ? ท่านมั่นใจที่จะเดินตามลำพัง เพียงผู้เดียว มั่นใจในการกระทำดีของท่าน มั่นใจในความเชื่อของท่านอย่างนั้นหรือ? พระเยซูยังคงเคาะประตูใจของท่านตลอดเวลา ด้วยความรัก ความห่วงใยอย่างมากล้น ที่อยากจะเข้าไปช่วยเหลือท่านอย่างมาก อยากจะเข้าไปนำพาชีวิตของท่าน อยากจะไปจูงมือของท่านเดิน ไม่ใช่จูงมือเฉพาะ 2 ปี 3 ปี 4 ปี หรือสิ้นสุดบนโลกใบนี้  แต่จะจูงมือท่านเดิน ไปกับพระองค์ชั่วนิรันดร์ ไปจนถึงสวรรค์ของพระเจ้านิรันดร์กาล  พระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************

 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  มกราคม  2021

 เรื่อง “เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู”

โดย นคร   เวชสุภาพร

 

เราจะมาบรรยายเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ต่อจากสัปดาห์ที่แล้วๆ มา เราเน้นกันถึงความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์ ในเรื่องของการเข้าสู่สวรรค์ เรื่องของความเชื่อว่าเมื่อเชื่อในการประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นใคร?  และพระองค์เป็นทางเข้าสู่สวรรค์ เป็นของขวัญจากพระเจ้า มาสู่มนุษย์ทุกคน  ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ  เมื่อได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้แล้ว เชื่อแล้ว เชื่อแล้วต้องมีการกระทำ อะไรบางอย่าง จึงจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเชื่อจริงๆ ไม่ใช่ฟังแล้วดี แล้วก็เฉยๆ  และสิ่งนั้น คืออะไร? สิ่งนั้น ก็คือต้องเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ  เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  ช่วยฉันได้จริงๆ เมื่อเชื่อว่าพระเจ้าให้ของขวัญ และเปิดใจต้อนรับของขวัญทันที ซึ่งวิธีทำให้ได้รับของขวัญนี้  พระเยซูก็ได้พูดเอาไว้ด้วยว่าอย่างนี้ ในวิวรณ์ 3:19-20

หัวข้อเรื่องวันนี้คือ “เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู” เมื่อเชื่อในข่าวดีของพระเยซู และกระทำสิ่งหนึ่ง พิสูจน์ความเชื่อ ด้วยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ แล้ว พอเปิดใจแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น  เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู วิวรณ์ 3:19-20

วิวรณ์ 3:19-20 “19 เขาเหล่านั้น ที่เรารักอย่างสุดซึ้งและจริงใจ เราจะบอกกล่าวความผิดของพวกเขาจะติเตียน และอบรมสั่งสอนพวกเขา ดังนั้น จงกระตือรือร้นและตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ และจงกลับใจใหม่ 20 ดูเถิด เรายืนอยู่ที่ประตู และเคาะประตูเรียกแล้ว ถ้าผู้ใดได้ยินและได้ฟังเสียงของเรา และเปิดประตูรับเรา เราจะเข้าไปหาผู้นั้น และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานร่วมกับเรา”

 

“เขาเหล่านั้น ที่เรารักอย่างสุดซึ้งและจริงใจ” ก็คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ “เราจะบอกกล่าวความผิดของพวกเขาจะติเตียน และอบรมสั่งสอนพวกเขา ดังนั้น จงกระตือรือร้นและตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจ และจงกลับใจใหม่”

ผู้ที่ได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์มาบอกทางไปสู่สวรรค์ด้วยความรักแล้ว จะต้องทำสิ่งหนึ่ง คือกระตือรือร้น ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา และกลับใจใหม่ มาพึ่งในพระองค์

และข้อ 20 ได้บันทึกชัดเจนบอกว่า … “เรายืนอยู่ที่ประตู และเคาะประตูเรียกแล้ว” เรียกแล้วเรียกอีก เรียกอยู่

“เรายืนอยู่ที่ประตู และเคาะที่ประตูใจของท่าน ถ้าผู้ใดได้ยินและได้ฟังเสียงของเรา และเปิดประตูรับเรา”

ก็คือเปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซู

“เราจะเข้าไปหาผู้นั้น และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา”

ก็คือเราจะเข้าไปอยู่อาศัยกับเขา ข้างในวิญญาณของเขา เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นครอบครัวของพระเจ้านั่นเอง และยืนยันด้วยถ้อยคำของพระองค์ ในยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสดังนี้ว่า …

ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเราเขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

 

“ผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังถ้อยคำของเรา” นั่นเอง

ถ้อยคำของเราที่บอกว่า …“ความสามารถของท่าน  ไม่มีทางทำให้ท่านเป็นคนดีพร้อม ดีเท่าๆ กับพระเจ้า  สามารถเข้าสู่สวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้”

ท่านทำไม่ได้หรอก ความชอบธรรม การเข้าสู่สวรรค์ ด้วยการกระทำของตนเอง  ด้วยความประพฤติของตนเอง ไม่มีทางเข้าไปได้หรอก  มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าสู่สวรรค์ไปหาพระเจ้าได้ ก็คือทางเรา ทางพระเยซู ซึ่งพระเจ้าพระบิดาได้ส่งเรามา เพื่อช่วยท่าน ให้เข้าสู่สวรรค์ได้ นี่คือคำของพระเยซู รวมๆ แล้ว เป็นอย่างนี้

ผู้ใดที่รักพระเยซู และเชื่อพระเยซูจริงๆ ก็ต้องเชื่อฟังคำสอนนี้ ก็คือไม่พึ่งพาความรอบรู้ การกระทำของตนเองอีกแล้ว แต่จะมาพึ่งพระเยซูผู้เดียวนั่นแหละ

และในนี้บอกว่าอย่างไร? … “พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

เมื่อเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ เปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระเจ้าพระบิดา และพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน  เข้ามาอยู่ในร่างกาย  ในวิญญาณของเขา ผู้เชื่อนั้น มาเป็นครอบครัวเดียวกัน มาเป็นหนึ่งเดียวกัน  อยู่ด้วยกันกับเขาในวิญญาณทันที

และในหนังสือยอห์น 17:20-23 ที่สัปดาห์ก่อนโน้น เราเคยยกมายืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเราอย่างไร? เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เกิดอะไรขึ้น  ยอห์น 17:20-23 …

ยอห์น 17:20-23 “20 ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐาน เพื่อพวกเขาเท่านั้น แต่ข้าพระองค์อธิษฐาน เพื่อบรรดาผู้ที่เชื่อในข้าพระองค์ ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย 21 เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดาเจ้า พระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์ และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 22 เกียรติสิริ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน คือ 23 ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

 

สรุปง่ายๆ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าเมื่อใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู และเปิดใจต้อนรับพระเยซู มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูจะเข้ามาอยู่ในตัวเขา พอเข้ามาอยู่ในตัวเขาแล้ว ทำไม? แล้วพระองค์ทรงบอกว่าพระองค์กับพระบิดา คือพระเจ้าพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อคนนั้นมาเชื่อในพระเยซู … พระเยซูเข้าไปอยู่ในเขา พระเยซูกับเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน  ทั้งเขาและพระเยซูจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ในขณะที่พระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา พระเจ้า ทั้งหมดจึงเป็นหนึ่งเดียวกันหมดเลย  ก็คือเราอยู่ในพระเยซู … พระเยซูอยู่ในเรา และเรากับพระเยซูก็อยู่ในพระบิดา พระบิดาก็อยู่ในเรา  เราทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกัน  จะเห็นชัดว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน และสง่าราศี พระสิริของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ก็ได้กลายเป็นสง่าราศี และพระสิริของเราด้วยเช่นเดียวกัน  จะบอกพระสิริหรือไม่พระสิริก็ตาม สิริ ความสง่างาม ก็เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา ที่ได้เกิดใหม่แล้วนั้น  และพระเจ้าก็จะรักเรา พระบิดาก็จะรักเรา  เท่าๆ กันกับรักพระเยซู นี่มันหมายความว่าอย่างนั้น

ซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของพระเจ้าที่เข้ามาสถิตอยู่กับเรา  และเราบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเจ้าอย่างนี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์แสวงหามานานแล้ว และมันยากมากเลย สมัยอดีต ในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าสถิตอยู่กับบางคนเท่านั้น สถิตนี้ ไม่ได้หมายถึงอยู่ข้างในนะ หมายถึงอยู่กับ “อยู่กับ” ก็คือให้กำลังอำนาจมาช่วยเหลือ โดยการอยู่ภายนอกร่างกาย และก็ไม่ได้อยู่ตลอดไป อยู่แบบไปๆ มาๆ

อย่างเช่น บุคคลพิเศษ พวกที่พระเจ้าจะใช้งาน  พระเจ้าก็จะไปอยู่ด้วยกับเขา ยกตัวอย่างเช่น พวกปุโรหิต  ผู้เผยพระวจนะ  พวกกษัตริย์ของอิสราเอล ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้  แล้วก็พวกนักรบบางคน ที่เป็นผู้นำ อย่างเช่น โยชูวา โมเสส  อาโรน กษัตริย์ดาวิด คนเหล่านี้เป็นต้น พระเจ้าอยู่ด้วยกันกับเขา ไม่ได้อยู่ในเขา แบบที่เรากำลังอ่านถ้อยคำของพระเยซูที่กำลังอธิบายให้ฟังว่าเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ทรงเข้ามอยู่ในร่างกายของเรา  เป็นวิญญาณหนึ่งเดียวกันกับเราข้างใน พระบิดาก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราด้วย  ทั้ง 3 พระภาค และรวมทั้งเรา ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งถ้าพูดถึงในอดีต มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย  ขนาดในสมัยพระคัมภีร์เดิม  เมื่อพระเจ้ามาสถิตกับคนบางคนในขณะนั้น ให้ทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ทุกคนก็ตื่นเต้นแล้วแค่นั้น  และนี่มันมากกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระเจ้าเข้ามาสถิตในมนุษย์ ไม่ใช่บางคนแล้ว ทุกคน  … ทุกคนมีสิทธิ์

สมัยก่อนพระเจ้าทรงเลือกบางคน แล้วจำนวนน้อยมาก จะไปสถิตอยู่กับเขา  เพื่อทำการงานของพระองค์ แต่ตอนนี้พระเจ้าจะเข้ามาอยู่ในมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์  พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์เป็นหนทาง เพื่อว่ามนุษย์จะได้สามารถเข้าสวรรค์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เปิดใจให้พระเยซูคริสต์ แล้วพระเจ้าพระบิดาเข้าไปสถิตอยู่ในวิญญาณของเขา พระเจ้าได้ประทานสิทธิ์และโอกาสนี้ให้กับมนุษย์ทุกคน ไม่ใช่บางคน มนุษย์ทุกคน

แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องกระทำ นั่นคือเขาต้องตอบสนองต่อของขวัญที่พระเจ้าให้ฟรีๆ นี้ คือต้องรับเอาไง พระเจ้าไม่สามารถไปเค้นคอ …

“ต้องรับนะ ต้องเอา ฉันจะเข้าไป”

พระเจ้า พระเยซูบอก พระองค์ทรงเข้าทางตรอก ออกทางประตู มาตามกฎระเบียบทุกอย่าง ไม่ใช่มาบังคับ ถึงแม้จะให้ฟรีๆ  และรู้ว่าดีอย่างไร?  รู้ว่ารักอย่างไรก็ตาม

“แต่เธอต้องตอบสนองด้วยตัวเธอเอง เธอต้องตัดสินใจด้วยตัวเธอเอง ฉันมีหน้าที่แค่เอาถ้อยคำพระเจ้าไปบอกเธอ เคาะประตูที่หัวใจของเธอตลอดเวลา ส่งคนไปแล้ว ส่งคนไปเล่า ส่งข้อความไปแล้ว รอว่าวันใดที่เธอจะเปิดใจ เปิดปุ๊บ ฉันจะเข้าไปอยู่ในตัวเธอ เป็นพระเจ้าข้างในเธอเลย”

คิดดูสิ ถ้าคนในอดีต สมัยอิสราเอล ในพระคัมภีร์เดิมได้ยินอย่างนี้ เขาคงตกใจมากเลย …

“มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้อย่างไร พระเจ้ามาสถิตอยู่ในเธอ เธอสะอาดเพียงใด พระเจ้าถึงอยู่ในเธอได้”

แต่พระเยซูคริสต์ทำได้  และพระองค์ทรงยืนยันในถ้อยคำของพระองค์เอง พูดเมื่อสักครู่นี้ ที่เราอ่านร่วมกัน

คราวนี้เราจะมาดูว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ในลักษณะขบวนการการปฏิบัติการ มันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ พอเราต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์เข้ามาอยู่ในร่างกายของเราด้วยวิธีใด เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยวิธีใด? พระคัมภีร์ได้อธิบายอย่างไร? แม้ว่าอาจจะไม่เข้าใจหมดตามสติปัญญาของมนุษย์ แต่เรายังพอได้เห็นคร่าวๆ ตามแต่ที่พระเจ้าทรงอธิบายให้ในถ้อยคำของพระองค์ในพระคัมภีร์

ในโลกวิญญาณ พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทันทีนั้น พระเจ้าได้ทำการผ่าตัด ย้ายวิญญาณของเราออกจากสถานที่หนึ่ง  ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าออกจากในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ ในพระเยซู โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ขบวนการนี้ เรียกกันเป็นภาษากรีก คือบัพติศมา “บัพติศมา” คือการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง คือการย้ายทางโลกฝ่ายวิญญาณ  โดยฤทธิ์เดช ถ้าบอกว่าโดยฤทธิ์เดช ก็ไม่ใช่ด้วยความสามารถของมนุษย์แล้ว ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เข้ามาในวิญญาณของมนุษย์ แล้วก็เริ่มย้ายวิญญาณเรา ซึ่งอยู่ในอดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรียกว่าบัพติศมา

“บัพติศมา” เป็นภาษากรีก แปลว่าจุ่มลงไป ดำมิดลงไป ฝังลงไป เพื่อที่จะเข้าเป็นส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน  เข้าส่วนร่วม เพื่อกลาย กลืน เป็นสิ่งเดียวกันของอะไรบางสิ่ง

และในนี้บอกว่า “บัพติศมา” เราเข้าไปในพระเยซูคริสต์ ก็คือจุ่มเรา ดำมิดเรา ฝังเราเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซู

ย้ายเราออกมา ให้เรามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เรียกว่าบัพติศมา เราจะมาอ่านข้อพระคัมภีร์ที่พูดถึงอาการที่เกิดขึ้น  ขบวนการที่เกิดขึ้น  เมื่อตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เสด็จเข้ามาในวิญญาณ  ผ่าตัดวิญญาณของเรา แล้วทำอะไรกับเราบ้าง? โรม 6:3-6 จะพูดไว้ค่อนข้างชัดเจน เป็นขั้น เป็นตอน ก็เลยยกตัวอย่างตรงนี้มาให้อ่าน ให้เห็นชัดเจนขึ้น

โรม 6:3-6 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์  ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

จำไว้ว่าบัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป ดำมิด ฝังลงไป เพื่อเข้าเป็นส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์  นึกในใจตรงนี้นะ

ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา ได้ถูกจุ่มลงไป  ดำมิดลงไป เพื่อเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็คือพระวิญญาณนำวิญญาณเราเข้าไปแล้ว

วันนี้ผมมีตัวอย่างให้เห็น เกิดอะไรขึ้น ท่านไม่รู้หรือว่า? ก็แสดงว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ท่านยังไม่ค่อยเข้าใจ ท่านไม่รู้ ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้จึงบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระวิญญาณเข้ามาในตัวท่านแล้ว กระทำการผ่าตัดวิญญาณท่านอย่างนี้ คือเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์

สาธิต ตุ๊กตาแม่ลูกดกของรัสเซีย  นี่คือพระเยซูคริสต์ (ตุ๊กตาแม่ลูกดกตัวใหญ่สุด) นี่คือผู้เชื่อ (ตุ๊กตาแม่ลูกดกตัวเล็กกว่านิดหนึ่ง) ในนี้บอกว่าท่านไม่รู้หรือ? ท่านผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้เชื่อ คือผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประจำชีวิตส่วนตัวของเขา ผู้เชื่อทั้งหลาย ท่านไม่รู้หรือว่าท่านได้รับ คือพระวิญญาณเป็นผู้กระทำให้ เราไม่ได้ทำเอง  เราทำเองไม่ได้ พระวิญญาณได้ทำการนำวิญญาณของท่าน ผ่าตัดวิญญาณของท่าน  เข้าไปเป็นส่วนร่วมอยู่ในพระเยซู

พอท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณจะทำอย่างนี้แหละ ตอนนี้ ท่านอยู่ในพระเยซู นี่เป็นการบัพติศมา โดยพระวิญญาณของพระเจ้า  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า หรือจะบอกไฟของพระเจ้า ก็ได้ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้กระทำการผ่าตัดวิญญาณท่าน เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ย้ายออกมาจากสถานที่หนึ่ง ที่อยู่ข้างนอกพระเยซู ที่เรียกว่าในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  ลองอ่านต่อไป ในนี้บอกว่าเราทั้งปวงที่ได้รับบัพติศมา ในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์ พระเยซูคริสต์ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  เราทั้งหลายก็ถูกตรึงไปด้วย เพราะเราอยู่ข้างใน ชัดเจน

ในข้อที่ 4 บอกว่า … “ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการบัพติศมาในความตาย”

ในนี้บอกว่า … “เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน แล้วร่างกายของพระองค์ที่เป็นศพ ที่ตายแล้วนั้น ถูกฝังไว้ในอุโมงค์”

ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? เราอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ นั่นหมายถึงอย่างนั้น  นี่พระวิญญาณทำให้เกิดอย่างนี้ขึ้นทั้งนั้น

“เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ เช่นเดียวกับทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย โดยฤทธิ์เดชของพระบิดา”

พระคัมภีร์บอกว่าโดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระบิดา เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ วันที่ 3 ฤทธิ์เดชอำนาจจากพระเจ้า ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย

ถามว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน? (เอาแม่ลูกดกที่เป็นผู้เชื่อ เข้าไปอยู่ในตัวแม่ลูกดกที่เป็นพระเยซู) เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย ตอนที่พระเยซูถูกฝัง เราถูกฝังไว้ด้วย  ตอนที่พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เราก็เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย เราได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระเยซูด้วย ที่ไหน? ที่ในพระเยซูคริสต์ เราอยู่ในนี้

ข้อ 5 บอกว่า … “ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์” ก็คือถ้าเราได้มีส่วนบัพติศมากับพระองค์ ก็คือมีส่วนอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราก็จะมีส่วนร่วม ก็คือเราก็บัพติศมาอยู่ในพระองค์ ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายเหมือนกัน เหมือนกับพระองค์เลย เพราะเราอยู่ในพระองค์ เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงกับพระองค์แล้ว เพื่อกายบาปนั้น จะถูกขจัดออกไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป

ก็คือย้อนกลับมาเมื่อตะกี้นี้ ตอนแรกเริ่มต้น ที่เราอยู่ในพระเยซู เราเป็นคนบาป และตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระเยซู ตัวเก่า วิญญาณเก่าของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณสกปรก ได้ตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน  และได้ถูกฝังไว้ และได้เป็นขึ้นจากความตาย  ในวันที่ 3  ร่วมกับพระเยซู เพราะเราได้ถูกบัพติศมา เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง เพื่อท่านจะได้เห็นชัดขึ้นว่าการบัพติศมาเป็นอย่างไร? เมื่อเราตอนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อันนี้ง่ายขึ้นนะ

ย้อนถ้อยคำพระเจ้าเมื่อสักครู่นี้ อีกทีหนึ่ง โดยการสาธิตให้ดู ท่านไม่รู้หรือว่าปกติท่านเป็นคนบาป ต้องชดใช้บาป หนี้กรรม เวรกรรม ไปจนไม่รู้กี่สิบชาติ ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดแน่นอน แต่พระเยซูมา เพื่อช่วยท่าน ให้รอดพ้นจากความบาป และเป็นหนทางให้ท่านไปสู่สวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ทางพระองค์เท่านั้น แล้วท่านเชื่อในคำพูดของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าที่พระองค์พูดนั้นเป็นจริง เชื่อพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ รวมทั้งฉันด้วย จริงๆ เมื่อท่านเชื่อจริงๆ  ท่านก็เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ต้อนรับว่า …

“ข่าวดีนี้เป็นของฉัน ฉันเอาแล้ว ฉันจะไม่พึ่งพาการกระทำของตนเองอีกแล้ว แต่จะพึ่งพาพระคริสต์”

ทันทีทันใดนั้น ท่านก็เริ่มต้นกลายเป็นผู้เชื่อ ผู้เชื่อในข่าวดีจริงๆ คือได้กระทำการเปิดใจ พอเชื่อจริงๆ ปุ๊บ (ซองนี้ (ซองสีน้ำตาล A4) คือพระเยซู) พระวิญญาณก็เข้ามาในวิญญาณของท่าน จับวิญญาณของท่านผ่าตัด ใส่ลงไปในพระเยซู (จับเอาผู้เชื่อใส่เข้าไปในซองจดหมาย) เข้าส่วนเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เรียกว่าบัพติศมาท่านเข้าไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน

พระเยซูบอกว่าท่านกับเรา ก็คือท่านผู้ที่เชื่อกับเรา กับพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วพระเยซูกับพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดา ก็หมายถึงพระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาค

พระวิญญาณบริสุทธิ์บัพติศมาท่าน เสร็จปุ๊บ พระเจ้า พระบิดา พระวิญญาณบริสุทธิ์  และพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน (เข้าไปอยู่ในซองจดหมายนี้) นี่คือตอนที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เข้ามาบัพติศมาเรา ด้วยวิธีอย่างนี้แหละ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระคัมภีร์บอก เข้ามาเป็นหนึ่ง แค่นั้นไม่พอ  ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำการปิดผนึก ซีลเลย ไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน? ผู้เชื่อทั้งหลาย ทันทีที่ท่านเชื่อ  เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณของท่านอยู่ในนี้ อยู่ในพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  อยู่ใน 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคนี้เลย แล้วแถมหุ้มห่อท่านไว้เรียบร้อย ปกปักคุ้มครองดูแลท่านทุกอย่าง มันเป็นอย่างนี้ นี่คือภาพที่ให้ท่านเห็นชัดเจน

แล้วตอนนี้เราจะมาดูสิว่าเมื่อเราเป็นหนึ่งแล้ว  ในพระคัมภีร์ได้เขียนถึงสถานะ ตำแหน่ง การเข้าไปอยู่ในครอบครัวพระเจ้า การเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระบิดา  อยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ตำแหน่งในวิญญาณ มันอยู่ตรงไหน? ของโลกวิญญาณนี้ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าอย่างไร? เปิดไปหนังสือเอเฟซัส 1:18 อ่านข้อนี้ก่อน

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น  และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์  ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทางการเชื่อและการรับสิทธิ์ของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

 

อาจารย์เปาโลก็เหมือนกับผมตอนนี้  คืออยากให้ผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ได้เห็นความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณบ้าง ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ทรงกระทำให้กับเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย มันเป็นอย่างไร? และในขณะเดียวกัน เพื่อที่จะให้ผู้คนที่ยังไม่เชื่อ ได้เห็นว่าเมื่อเขาได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า เมื่อเขาต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า เมื่อเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้น ในวิญญาณของเขา …

“ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (วิญญาณ คือตัวจริงๆ ของมนุษย์) สว่างขึ้น จะได้รับรู้ สำแดงความรู้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวังและมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเรียกท่านเข้ามานั้น”

รู้เพื่อความมั่นใจว่าที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นทางไปสู่สวรรค์นั้น เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระองค์แล้ว เชื่อแบบเด็กๆ แล้ว มันเกิดขึ้นจริงๆ พอรู้ความจริงเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เรารับรู้มากขึ้น เราก็เกิดความมั่นใจขึ้นว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ

ต่อไปบอกว่าและรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี อันใหญ่ยิ่งรุ่งเรือง และมีค่าสุดของพระองค์ ที่ได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เมื่อท่านเชื่อพระเยซู บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในโลกวิญญาณ นอกจากไปสวรรค์แล้ว มันมีอะไรอีกเยอะแยะมากมาย

ในนี้จึงบอกว่าโดยผ่านทางการเชื่อ และการรับสิทธิของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่ไว้ พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ของมีค่าสูงสุด อันยิ่งใหญ่ รุ่งเรือง เต็มด้วยสง่าราศีของพระองค์ อะไรบ้างในโลกวิญญาณ  ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้  ดูต่อไป ข้อ 19-20

เอเฟซัส 1:19-20 “19 เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า 20 ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณที่กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเรา ผู้ซึ่งได้เชื่อและรับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

 

ข้อ 19 บอกว่าเพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด หาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า  อาจารย์เปาโลเขียนถึงผู้เชื่อใหม่ เป็นห่วงเป็นใยเขา อยากให้เขารู้เรื่องนี้ เรื่องฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาลที่ไม่มีขีดจำกัดของพระเจ้า เราเรียนมาหลายครั้งแล้ว ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดช เป็น Power เป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่สูงสุด นี่แหละ เมื่อท่านเชื่อในพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ท่านควรจะเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด หาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า

ข้อ 20 บอกว่าซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาล ทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเรา  ผู้ซึ่งได้เชื่อศรัทธา และใช้สิทธิของเรา คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ไถ่บาป ฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดนี้ ได้กระทำการงาน อยู่ในตัวท่าน อยู่ในตัวผม ผู้ที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับพระเจ้า ที่ได้กระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย

ในนี้อธิบายต่อว่าฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้า มหาศาล ที่กระทำการงานอยู่ในเราทั้งหลายที่ได้รับเชื่อ ในพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เปิดใจต้อนรับพระเยซูเรียบร้อยแล้วนั้น เป็นฤทธิ์เดช อำนาจเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นฤทธิ์เดชอำนาจเดียวกัน

ต่อไป … และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  คือสูงมาก ในย่านฟ้าอากาศ ในสวรรค์ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ คือคำว่า “สวรรค์” หมายถึงท้องฟ้าที่ตาเรามองไม่เห็น ในชั้นบรรยากาศ เลยจากชั้นบรรยากาศไป ก็มีชั้นที่เรามองเห็น ดวงดาว แล้วเลยมองจากดวงดาวไป เขาเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์ต่างๆ หมายถึงตรงนี้ หมายถึงนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงครอบครองเหนือสวรรค์ต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด ตอนนี้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า และเราอยู่ในพระเยซู เราก็ได้นั่งอยู่ที่นั่นด้วยเช่นเดียวกัน นี่หมายถึงอย่างนั้น ตื่นเต้นลึกขึ้นเรื่อยๆ นะ ข้อที่ 21 …

เอเฟซัส 1:21  “ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณ ที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนามหรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่ แค่ในยุคปัจจุบันบนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วย”

 

ในตำแหน่งนี้ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน พระเยซูมีฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือ ฟังให้ดีๆ เหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบัน บนโลกนี้เท่านั้น  แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วย คือเป็นนิรันดร์เลย ความยิ่งใหญ่ ความมีตำแหน่งสูงสุด ครอบครองทั้งสวรรค์ และบนโลก วัตถุสิ่งของทุกอย่าง ทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น ทั้งสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง วิญญาณทุกดวง เป็นของพระเยซู ที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ในขณะนี้ และเป็นอยู่ตลอดไป และเราทั้งหลาย ผู้เชื่อนั้น อยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระบิดาพระเจ้า พระบุตรพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์

ต่อไป ข้อที่ 22-23 เราต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นของเรา เราจะได้รู้จริงๆ ว่าตำแหน่งของเรา ตัวจริงๆ ของเราตอนนี้อยู่ที่ไหน? วิญญาณเราจริงๆ อยู่ที่ไหน? และเราจะอยู่ที่นั่นตลอดไป

เอเฟซัส 1:22-23  “22 และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้) 23 ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ ให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูได้ทำให้”

 

“และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์” เมื่ออยู่ใต้เท้าพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับอยู่ใต้เท้าของเรา ผู้เชื่อ ที่ได้รับการบัพติศมาเข้าส่วน อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้วด้วย เช่นเดียวกัน เอเมน

“และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศรีษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร”  คริสตจักร หมายถึงสถานที่สถิตของพระเจ้า ก็คือร่างกายของมนุษย์ที่เชื่อและใช้สิทธิในการไถ่บาป  ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเขา ก็คือเราผู้เชื่อศรัทธา ในการไถ่บาปของพระเยซู และเปิดใจต้อนรับพระเยซูนั่นเอง ให้ฤทธิ์อำนาจกับพระเยซูคริสต์ สูงสุด ยิ่งใหญ่ เป็นศีรษะ คือเป็นหัวหน้าของผู้เชื่อทั้งหลาย

ในข้อที่ 23 บอกผู้เชื่อทั้งหลายที่เรียกว่าคริสตจักร ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซู ก็คือเราทั้งหลายที่เชื่อศรัทธา  ที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู เปรียบเสมือนเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นศีรษะ ศีรษะกับร่างกายแยกออกจากกันไม่ได้ ฉันใด พระเยซูและเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อศรัทธา ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยผ่านทางการบัพติศมากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแหละ ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ ครบถ้วนของพระเยซู ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์  สมบูรณ์แบบให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ  และใช้สิทธิในการไถ่บาปที่พระเยซูได้ทำให้กับเขา เอเมน เมื่อเชื่อในข่าวประแสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ผู้เชื่อเหล่านั้น ก็จะกลายเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ ทั้งสิ้น แล้วยังแถมมีสิทธิอำนาจเท่ากับพระเยซู เพราะอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อยู่ในพระเจ้าพระบิดา กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราทั้งหลายก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มีสิทธิอำนาจสูงสุด ได้นั่งอยู่กับพระองค์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เป็นเช่นนี้แหละ

เหมือนในซองนี้ (ชูซองสีน้ำตาลขึ้น) เราก็อยู่ในซองนี้ พระเจ้าพระบิดา พระบุตรพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  และเราทั้งหลายที่อยู่ข้างในพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน สูงสุดขนาดไหน? และเป็นแล้ว ในนี้ และจะเป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดกาล ชั่วนิรันดร์เลย ขอบคุณพระเจ้า

อธิบายมาทั้งหมดนี้ เป็นของขวัญในฐานะลูกของพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นเลย ที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้มา เป็นของฟรีหมด เป็นของขวัญและได้รับทันทีครบถ้วน เมื่อเปิดใจต้อนรับแล้วตอนนี้ ก็ได้รับตอนนี้ เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ ในตำแหน่งนี้ทันทีเลย ไม่ต้องตายจากโลกนี้ไปก่อน แล้วจะเป็นอย่างนี้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์ ไม่มีการเสื่อมถอย จากนี้ไป และไม่มีการเพิ่มเติมจากนี้ไป ไม่ต้องแสวงหาอะไรเพิ่มเติมจากนี้ไป ไม่ต้องกลัวอะไร จากนี้ไป ไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติมให้เราบริสุทธิ์ขึ้น ไม่ต้องหาอะไรมาให้พระเจ้าพอใจ เพื่อจะได้แต่งตั้งให้เราสูงขึ้น  เราสูงอยู่อย่างนี้แล้ว ไม่มีทางเอาออกจากนี่ไปได้ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เรากระทำเอง พระเจ้ากระทำให้ทั้งสิ้นเลย เราเพียงแค่เปิดใจ ต้อนรับ รับเอาของขวัญนี้ไว้เท่านั้น เพียงแค่รู้ว่าตำแหน่งนี้เป็นอย่างไร? เพื่อจะได้มีความมั่นใจ เพื่อจะได้เอามาใช้สอยให้เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา  ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่รับรู้และขอบพระคุณ

พระเยซูจึงบอกว่าพระองค์มาเพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข มาหาพระองค์สิ จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข  แอกของเราก็เบาสบาย ภาระของเราก็เบาสบาย แอกของเรา คือการมาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน มามีส่วนในตัวเรา การเข้ามาบัพติสมาในเรา มันทำให้ท่านสบาย ไม่มีภาระอะไรเลย มันหมายถึงอย่างนั้น มันง่ายนิดเดียวเลยจริงๆ ซึ่งง่ายขนาดนี้ ก็ยังมีหลายคนที่ไม่รับของขวัญนี้ ก็ไม่ทราบ ไม่เข้าใจว่าไปคิดมากถึงขนาดนั้น เป็นของขวัญจากพระเจ้า รับฟรีๆ เลย มีบางพวกก็ไม่รับของขวัญนี้ ได้ยิน ก็เฉยๆ ได้ฟังก็เฉยๆ ไม่กระทำ ก็คือไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันก็ไม่เกิดผลอะไร? มีบางพวก พระเยซูมาเคาะประตู เปิดประตูบ้านออกมา รับของขวัญไป  มีบางพวก พระเยซูมาเคาะประตู ไม่เปิดเลย มองอยู่ข้างนอกเฉยๆ พระองค์ก็นั่งเคาะ ยืนเคาะทุกวันๆ แต่มีบางคนที่เคาะ แล้วก็เปิดใจ เปิดเหมือนต้อนรับ เอาของขวัญเข้ามา เอาความรอดเข้ามา แต่ไม่ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ ไม่แกะกล่องของขวัญออกมา ไม่ใช้เลย

ยกตัวอย่างของขวัญนี้เป็นไอโฟนก็แล้วกัน บางคนเอาไอโฟนส่งมาให้หน้าบ้านบอกว่า …

“มีของขวัญฟรีๆ มาให้”

เอามาให้ถึงหน้าบ้าน คนก็จะบอกว่า … “เป็นไปได้อย่างไร ใครจะเอาของขวัญแพงๆ อย่างนี้มาให้ ไม่เอาหรอก ไม่จริงมั้ง”

ก็ไม่เปิดประตูบ้านสักที ไอโฟนก็วางอยู่หน้าบ้าน พร้อมทั้งผู้จัดส่งรอทุกวัน มาทุกวันๆ ไม่เปิด บางคนก็เปิด มันมีฟรีจริงๆ เอาๆ ก็เอาไอโฟนมา พอเอาไอโฟนมา โทรศัพท์อย่างเดียวเลย ไอโฟนมีค่ามากมายมหาศาล ทำอะไรก็ได้เยอะแยะมากมาย  โทรศัพท์อย่างเดียว ดีใจแล้ว พอแล้ว เปิดคู่มือใช้ จะรู้ว่ามันใช้อะไรได้อีกตั้งเยอะแยะ อย่างน้อยก็ไลน์ได้ เปิดยูทูปได้ ถ่ายรูปได้

เพราะฉะนั้น รู้อย่างนี้แล้ว ความจริงเหล่านี้จะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไท เมื่อเรารู้ตัวจริงๆ ของเรา แล้ววิญญาณของเราได้เกิดใหม่แล้ว นั่งอยู่กับพระเจ้า ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว  ในหนังสือยอห์น 4:4 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์  เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้”

 

ลูกๆ เอ๋ย ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดาแล้ว กับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว สูงสุดขนาดนี้แล้ว พวกคุณเป็นของพระเจ้า ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากซองนี้ (ซองสีน้ำตาลที่ใช้ยกตัวอย่าง) ได้เลย พูดง่ายๆ พระเจ้าไม่ยอมเด็ดขาด มีใครใหญ่กว่าพระเจ้าไม๊ล่ะ เพราะฉะนั้น พวกคุณจึงมีชัยชนะเหนือศัตรูทั้งหมด เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามันทั้งหลาย ที่อยู่ในโลก ยิ่งกว่ามารทั้งหลายที่อยู่ในโลก ยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก เพราะทั้งหมดนี้ ในซองนี้ (ซองสีน้ำตาลที่ใช้ยกตัวอย่าง) นี้เป็นจริง ที่จะอยู่ไปนิรันดร์กาล แต่ร่างกายเราอยู่เพียงชั่วคราว 80 ปี 90 ปี 100 ปี แล้วแต่ ที่เราพูดกันทั้งหมด เกิดในโลกฝ่ายวิญญาณ

ลูกๆ เอ๋ย ท่านเป็นของพระเจ้า  พระเจ้าที่อยู่ในคุณทั้งหลาย พระเจ้าที่อยู่ในเราทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าโควิด-19 ที่อยู่บนโลก เป็นใหญ่กว่าผลกระทบจากโควิด-19 เรื่องราวต่างๆ เยอะแยะมากมาย ที่เป็นความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เป็นใหญ่กว่าความอดอยากบนโลกใบนี้ เป็นใหญ่กว่าความกลัว ความวิตกกังวลทั้งหลาย เป็นใหญ่กว่าปัญหาปากท้อง เป็นใหญ่กว่าโรคระบาดอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมาย เป็นใหญ่กว่าความตายของร่างกายนี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นแน่ๆ ในวันหนึ่งข้างหน้า มันหมายถึงอย่างนั้น พระเจ้าที่อยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่บนโลกนี้ และพระองค์ก็ทรงอยู่กับเรา ทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเราข้างในนี้ เป็นหนึ่งเดียวกัน จูงมือเราเดินอยู่ทุกวัน คอยสอนเรา เฝ้าเรา รักเรามากเหลือเกิน ให้เวลากับเราตลอดเวลา ดูแลเราอย่างแก้วตาดวงใจของพระองค์

ฮีบรู 13:5-6 จึงได้เขียนอย่างนี้ ให้เรามั่นใจ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร?

ฮีบรู 13:5-6  “5 จงรักษาชีวิตของท่าน ให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง (รวมถึงความโลภ  กิเลสตัณหา และความอยากได้ทรัพย์สมบัติทางโลก)   และจงพึงพอใจในสิ่งที่ตนมี  และสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะพระเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า “เราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าล้มเหลว หรือท้อแท้สิ้นหวัง หมดหนทาง โดยไม่ช่วยเหลือเจ้า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า  เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า” 6 ดังนั้น เราจึงกล้าที่จะกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย  มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า”

 

ข้อความตอนนี้ เขียนไปถึงผู้เชื่อทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอิสราเอล ชาวยิวที่กำลังเดือดร้อนอย่างหนัก ช่วงนั้น เกิดการกันดาร เศรษฐกิจหนักกว่าโควิด ไม่รู้กี่หมื่น กี่แสนเท่า ความทุกข์ทรมาน แล้วยังแถมถูกข่มเหงรังแก จากเรื่องของความเชื่อด้วย แล้วยังมีโรคระบาดอีกต่างหาก หนักกว่าปัจจุบันเยอะเลย เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงส่งข้อความนี้ ไปเพื่อบอกเขาทั้งหลายว่า …

“จงรักษาชีวิตของท่านให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง รวมถึงความโลภ กิเลสตัณหา และความอยากได้ทรัพย์สมบัติทางโลก และจงพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ และเป็นอยู่ เพราะพระเจ้าได้ตรัสแล้วว่า ‘เราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าล้มเหลว หรือท้อแท้ สิ้นหวัง หมดหนทาง โดยไม่ช่วยเจ้า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า”

ในสถานการณ์เช่นนี้ โควิด-19 ซึ่งเล็กกว่าเรื่องราวที่พระคัมภีร์ได้เขียนถึงในขณะนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น พระเจ้าพูดอย่างนี้แหละ  พระเจ้าได้ตรัสแล้วว่า … ‘เราจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าล้มเหลว หรือท้อแท้ สิ้นหวัง หมดหนทาง โดยไม่ช่วยเจ้า เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า’ ดังนั้น เราจึงกล้าที่จะกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดเลย  มนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า

สถานการณ์บนโลกใบนี้จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?  โควิดจะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า?  ผลจากโควิดจะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า? ความทุกข์ลำบากบนโลกนี้จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า? ในเมื่อพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกันกับข้าพเจ้า และพระองค์ไม่ทอดทิ้งข้าพเจ้า พระองค์ทรงสัญญาไว้อย่างนี้แหละ” …  มันหมายถึงอย่างนั้น

อิสยาห์ 41:10  “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า (อยู่ในเจ้า) อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

 

นี่คือข้อความในอดีต ในพระคัมภีร์เดิม ตอนที่พระเยซูยังไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ เรียกว่าพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์ชั่วคราว เรียกว่า “มาอยู่กับเจ้า” เพื่อช่วยเหลือ

บันทึกอย่างนี้ว่า “ดังนั้น อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น และจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าไว้ ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา”

เป็นข้อความที่เล็งให้เห็นเหมือนกับข้อความที่เผยพระวจนะ เผยแผนการล่วงหน้าว่าอนาคตพระเยซูจะมาบังเกิด และทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงเลย คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็จะมาสถิตอยู่กับเขา อย่างที่เราได้เรียนรู้ในวันนี้ ดังนั้น เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว ก็อย่ากลัวเลย  เพราะเราอยู่กับเจ้า  ผ่านทางพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับเจ้า อย่ากลัวเลย ไม่ได้อยู่กับเจ้านะ ในสมัยอดีต อยู่กับเจ้า แต่ตอนนี้ ต้องบอกว่า … “เราอยู่ในเจ้า” … กับเจ้า และในเจ้า ไม่เหมือนกันนะ อยู่กับเจ้า คืออยู่เพียงชั่วคราว อยู่ข้างนอก เดี๋ยวก็ไป เดี๋ยวก็มา แต่เราอยู่ในเจ้า และจะไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย คือไม่ไปไหนแล้ว ปิดผนึกเรียบร้อย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เราอยู่ในพระเจ้า อยู่ตรงนี้ อยู่ข้างในนี้ พระคัมภีร์บอกชีวิตเราถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ไม่มีใครทอดทิ้งเราแล้ว อย่ากลัวเลย อย่าท้อแท้ เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้น เราชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา เราชูเจ้าขึ้น นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของเราในสวรรค์สถานแล้ว

โยชูวา 1:9  “เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘จงเข้มแข็ง และกล้าหาญเถิด อย่าหวาดกลัว อย่าท้อใจ เพราะไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าจะอยู่กับเจ้าที่นั่น”

 

นี่ก็เป็นเงาและเล็งให้เห็นถึงเมื่อพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว จะได้รับอย่างนี้แหละ พระเจ้าสั่งเรานะ ผู้ที่เชื่อว่า …

“เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘จงเข้มแข็ง และกล้าหาญเถิด อย่าหวาดกลัว อย่าท้อใจ เพราะไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้าจะอยู่กับเจ้าที่นั่น”

นี่เฉพาะพูดถึงโยชูวาผู้เดียวนะ แต่ตอนนี้พระเจ้าพูดกับผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน ผู้เชื่อไปไหน พระเจ้าไปด้วย เพราะพระเจ้าอยู่ในท่าน ท่านอยู่ในพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีทางแยกจากกันเลย ไม่ต้องกลัวเลย ไปด้วยกัน พระเจ้าจะจูงมือเราเดิน

อย่ากลัวเลย ไม่ว่าอะไรก็ตาม อย่ากลัว พระเจ้าบอกกับเราวันนี้ และในสถานการณ์ต่างๆ ถ้าไม่กลัว ก็จะพึงพอใจในทุกสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ ที่ประสบอยู่ เมื่อไม่กลัว ก็จะเกิดความพอใจ เมื่อเกิดความพอใจ ก็จะแบ่งปันด้วยความรักแท้ ที่อยู่ภายใน ไปสู่ผู้คนรอบข้าง แม้สถานการณ์ตัวเองจะดูเหมือนไม่ดี แต่ไม่กลัวสักอย่าง ความทุกข์ยากลำบากในสถานการณ์ปัจจุบันจะดีขึ้นหรือไม่? เราไม่รู้ สถานการณ์นี้ โควิดอีกกี่ปี เราก็ไม่รู้ ผลของโควิดจะเยอะกว่านี้ไหม? เราก็ไม่รู้ แต่ที่เรารู้แน่ๆ คือเราสามารถให้ความรักแท้ของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในเรา เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ได้อย่างแน่นอน โดยการอธิษฐาน การวิงวอน และการแบ่งปันอะไรที่มีอยู่ แบ่งปัน แปลว่าแบ่งให้เท่าที่เรามีอยู่ ทำออกจากใจ ออกจากวิญญาณ  โดยพระเจ้านำ  ด้วยความรักแท้ จากภายในวิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าที่ได้ถูกเปลี่ยนไปแล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเลย เราสามารถที่จะให้ความรักออกไป เหมือนที่พระเยซูคริสต์ให้ความรักออกไปได้ เพราะเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกันเลย เราจึงสามารถให้ด้วยความรักนี้ออกไปได้

สมัยก่อนนี้ เราสามารถให้ โดยปราศจากความรัก ให้เพราะสงสาร ก็มี ให้เพราะอยากดัง ก็มี ให้เพื่อหวังผลประโยชน์ ก็มี แต่เราไม่สามารถรัก โดยปราศจากการให้ได้ ก็คือเราไม่สามารถที่จะมีความรักเหมือนพระเยซูคริสต์ โดยไม่ให้ออกไปเลย มันเป็นไปไม่ได้  ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูแล้ว พระเยซูเป็นความรัก เราก็เป็นความรักเหมือนพระองค์ไม่มีผิด และมีสัญชาตญาณของความรัก นั่นคือการแบ่งปัน การให้ออกไป นอกจากนั้น เรายังมีธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูที่อยู่ภายใน คือธรรมชาติของการกระทำความดี การกระทำดีโดยธรรมชาติจากข้างในออกมา

นี่คือสำหรับผู้คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว และสำหรับผู้ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซู ท่านแน่ใจหรือว่าท่านจะเดินตามลำพัง เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ในขณะที่รอบข้างท่านมีปัญหาอย่างนี้  ท่านพร้อมที่จะอำลาจากโลกใบนี้ไป เผชิญกับโลกภายภาคหน้า โดยลำพัง เช่นนั้นหรือ? ท่านมั่นใจที่จะเดินตามลำพัง เพียงผู้เดียว มั่นใจในการกระทำดีของท่าน มั่นใจในความเชื่อของท่านอย่างนั้นหรือ? พระเยซูยังคงเคาะประตูใจของท่านตลอดเวลา ด้วยความรัก ความห่วงใยอย่างมากล้น ที่อยากจะเข้าไปช่วยเหลือท่านอย่างมาก อยากจะเข้าไปนำพาชีวิตของท่าน อยากจะไปจูงมือของท่านเดิน ไม่ใช่จูงมือเฉพาะ 2 ปี 3 ปี 4 ปี หรือสิ้นสุดบนโลกใบนี้  แต่จะจูงมือท่านเดิน ไปกับพระองค์ชั่วนิรันดร์ ไปจนถึงสวรรค์ของพระเจ้านิรันดร์กาล  พระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************