คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2020 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 1 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27 กันยายน  2020

 เรื่อง “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติ  ไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ตอน 1

โดย  นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อเรื่องในวันนี้ คือ “รอดโดยพระคุณ ความประพฤติไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” ถามใคร? ถามตัวเอง ไม่ต้องถามคนข้างๆ เป็นเรื่องที่ผู้เชื่อทุกคน เคยถูกตั้งคำถามอยู่เสมอๆ ส่วนใหญ่จะเจอคำถามประมาณว่า …

“มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ทำบาปได้  ใช่ไหม?”

“เป็นคริสเตียนแล้ว จะทำอะไรก็ได้  ใช่ไหม?”

“จะทำตัวอย่างไร? ประพฤติอย่างไรก็ได้ ใช่ไหม?”

“ไม่ผิด ไม่บาป ไม่ต้องรับโทษอีกต่อไป  ใช่ไหม?”

“พระเจ้าอภัยให้ตลอด  ใช่ไหม?”

อะไรประมาณนี้ มีผู้เชื่อหลายคน ที่เวลาเจอคำถามอย่างนี้ อึ้งไปเลย ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ทั้งๆ ที่บางครั้งรู้  ข้างในมันเป็นอะไร?  แต่ไม่รู้จะตอบอย่างไร?  จะตอบว่าไม่ใช่  ผิด  ก็ไม่ได้  เพราะเรารู้อยู่ว่าเราปราศจากบาปแล้ว 100% ในพระเยซูคริสต์ ทั้งบาปในอดีต  บาปในปัจจุบัน  บาปในอนาคตทั้งหมด ได้รับการชำระจนหมดสิ้น  เรียบร้อยแล้ว  โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์   เราต้องยืนยันตรงนั้น มันไม่ผิด  มันก็ถูกนะ  แต่ครั้นจะตอบว่า …

“ใช่ ถูกต้องแล้ว  เป็นคริสเตียนทำบาปได้ สบาย อย่างไรก็ไม่ผิดบาปหรอก พระเจ้าอภัยให้เสมอ”

มันก็เขิน ไม่กล้าพูด มันไม่น่าจะใช่นะ ไม่อย่างนั้น เราก็จะเจอคำถามอย่างนี้อยู่บ่อยๆ ในชีวิตของเรา แม้กระทั่งตัวเราเอง บางทีเรายังถามตัวเราเองว่าอย่างไรดี วันนี้ก็เลยมาทบทวนเรื่องนี้กัน

คำถามประเภทนี้ เป็นคำถามที่ตอบสั้นๆ ไม่ได้หรอก ถ้าจะต้องตอบ ต้องตอบกันแบบละเอียด ยาว ถึงจะเข้าใจอย่างถูกต้องจริงๆ เพราะฉะนั้น แม้เราจะเป็นผู้ที่เชื่อนานแล้วก็ตาม ถ้าเราไม่สนใจในเรื่องละเอียดเหล่านี้  เราก็ตอบไม่ได้เหมือนกันนะ เพราะมันละเอียดอ่อนมากในการจะตอบ มันมีส่วนโน่นนิด นี่หน่อย อะไรต่างๆ เพราะฉะนั้น มันต้องใช้เวลา ในการเรียนรู้ และสนใจด้วย ว่ามันเป็นอย่างนี้  เราจึงสามารถที่จะกล้าพูดด้วยปากของเรา ตอบให้ถึงใจ เติมรสชาติให้เข้มข้น สำหรับผู้ที่สงสัย ผู้ที่เขาถามเราว่าความหวังใจของเราในพระเยซูคริสต์ คืออะไร? เราจะได้ตอบเขาได้อย่างเต็มที่ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าเติมรสชาติในการตอบให้มันเข้มข้น  ก็คือเรารู้ละเอียด เราตอบได้ เพราะฉะนั้น ก็ตั้งใจกันนิดหนึ่ง สำหรับเรื่องนี้

บางคนก็พยายามจะอธิบาย เพื่อจะตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้ พยายามด้วยตัวเอง อันนี้ไม่ใช่สติปัญญาพระเจ้า เราจึงได้ยินคำตอบแบบแปลกๆ จากปากของคนที่เชื่อพระเจ้า หรือเป็นคริสเตียนแล้วบ่อยๆ ซึ่งมันไม่ได้ตรงกับถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์เลย แต่เขาก็ตอบไปอย่างนั้น เขาไม่รู้จะพูดอย่างไร? จริงๆ ไม่พูดเลยดีกว่า พูดไปแล้วมันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าในความเชื่อของเราในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์  มันก็น่าจะไม่ตอบดีกว่า ไม่รู้ซะยังจะดีกว่า ดีกว่าไปตอบผิดๆ ทำให้คนเกิดความเข้าใจผิด ความคิดและเหตุผลของมนุษย์ทั้งนั้นที่เขาตอบ เพราะว่าเขาคิดแบบมนุษย์ มันจะตอบออกมาเป็นแบบมนุษย์ ซึ่งมันก็แย้งกับอะไรต่างๆ ในพระคัมภีร์เยอะแยะ เช่น คุ้นๆ ไหมครับที่บอกว่า …

“เราได้รับความรอดนิรันดร์แล้วก็จริง แต่รางวัลที่เราจะได้รับในสวรรค์ มันจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราบนโลกใบนี้ด้วย” … ซึ่งมันไม่จริง

พระเยซูบอกรางวัลที่เราจะได้ ทุกคนได้เท่ากับหมด ไม่ว่าจะเชื่อมาก เชื่อน้อย ทำมาก ทำน้อย ทำอะไรบนโลกใบนี้ รางวัลเมื่ออกจากร่างนี้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ได้รับเท่ากันหมด รางวัลนั้น คือความรอดจากการเป็นทาสซาตาน ทาสของบาป กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า เหมือนกันหมดเลย อย่างนี้เป็นต้น

เห็นไหม? ตอบแบบผิดๆ ก็ทำให้คนเชื่อแบบผิดๆ พอผิดนิดหน่อย มันก็เหมือนกลัดกระดุม เม็ดแรกผิด ต่อไป มันก็ผิดเยอะแยะ วุ่นวายไปหมดเลย ตอบกันไม่ถูกเลยว่าทำไมถ้อยคำพระเจ้าแย้งกันเองในพระคัมภีร์ มันก็กลายเป็นอย่างนี้

หรือที่บอกว่า … “ถ้าเราเผลอไปทำบาปผิดเมื่อไร? ก็ให้เราสารภาพกับพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะอภัยให้”

ซึ่งก็ผิดอีกแหละ ไม่ตรงกับพระคัมภีร์อีก เพราะพระคัมภีร์บอกว่า …

“พระเจ้าอภัยให้เรียบร้อยแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ครั้งเดียวเป็นพอ ที่พระองค์ถวายตัวเองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง ครั้งเดียวเป็นพอ” ในหนังสือฮีบรูบอก

แต่เราบอกว่า … “ทำบาปไป ต้องสารภาพต่อพระเจ้าทุกๆ ครั้ง”

มันก็ไม่ตรง อย่างนี้เป็นต้น เพราะว่าเขาไม่รู้จะตอบอย่างไร? เขาก็ต้องตอบแบบความคิดสติปัญญามนุษย์ อ้าว! ทำบาปผิดไป ก็ต้องขอการอภัยจากพระเจ้าสิ แล้วในพระคัมภีร์เขียนบอกว่าข่าวดีของพระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ ชำระบาปเราทั้งสิ้น ทั้งหมด ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว แล้วมันแย้งกันเอง ทำอย่างไร? ก้มหน้า ไม่รู้เรื่อง ไปดีกว่า มันจะเป็นอย่างนี้นะ

บางที … “เชื่อ”

“เชื่อว่าอะไร?”

“เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ไถ่บาปเราเรียบร้อยแล้ว หมดทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เชื่อ แต่ว่าถ้าทำผิดบาปไป ก็ต้องสารภาพบาป ขออภัยบาป จากพระเจ้า”

“อ้าว! ทำไมแย้งกันอีก”

ตัวคนๆ เดียวกันนั่นแหละ

วันนี้เลยจะมาคุยเรื่องนี้อย่างละเอียด เผื่อว่าต่อไปนี้ ใครไปถูกถามคำถามเหล่านี้ว่า …

“เป็นคริสเตียนแล้ว ทำบาปได้สบายเลยใช่ไหม?”

ฟังวันนี้จบแล้ว เราสามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์เลย ผมจะพยายามอธิบายให้ละเอียดที่สุด เท่าที่จะทำได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะละเอียดยิ๊บเลย ต้องพระวิญญาณสอนท่านแต่ละวันๆ ไปเรื่อยๆ ท่านก็จะรู้เรื่องนี้ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ ถ้าท่านสนใจเรียนรู้ว่ามันคืออะไร? พระคัมภีร์จะสอนท่านทีละวันๆ เติบโตไปเรื่อยๆ กับพระองค์ แต่อย่างไรก็ตาม หัวข้อเรื่องนี้ ผมก็จะพยายามทำให้ละเอียดที่สุด เท่าที่จะทำได้

เรามาเริ่มต้นที่หัวใจของข่าวประเสริฐ หรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือเราสามารถรอดจากโทษของความบาปต่างๆ ได้ เป็นของประทานพิเศษให้กับเรา โดยเราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นเลย

นี่คือหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำดีของเราเลย แม้แต่นิดเดียว พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ แค่พึ่งในพระเยซูคริสต์ การกระทำการงานของพระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำของเราเลย นี่คือหัวใจของข่าวดีของพระเยซู

การพยายามทำความดีให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ให้สะอาดหมดจด 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้านั้น มันเป็นไปไม่ได้ มันทำไม่ได้ ทำอย่างไรไม่ให้มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว นิดหนึ่งก็ไม่ได้ คิดยังไม่ได้เลย เราจึงจำเป็นต้องเชื่อและวางใจในพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ คือพระเยซูคริสต์ แปลว่าผู้ช่วยให้รอด

โดยผ่านทางความเชื่อนี้ เราจึงสามารถบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ซึ่งวิญญาณ คือตัวตนจริงๆ ของเรา ที่ตาเรามองไม่เห็น แต่ตัวตนจริงๆ ที่จะอยู่ตลอดไป คือวิญญาณ เราจึงสามารถเป็นผู้บริสุทธิ์ วิญญาณดีงาม ในสายพระเนตรพระเจ้าได้  ด้วยการเกิดใหม่  ผ่านทางความเชื่อ  ในพระเยซูคริสต์ เอเฟซัส 2:8-9 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

เอเฟซัส 2:8-9 “8 เพราะโดยพระคุณ  ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้น จากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่ได้ประทานให้”

 

“ที่เรารอด ก็รอด โดยพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ การกระทำของเรา หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติ กฎหมายต่างๆ ของพระเจ้า ให้ถูกต้อง เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีงามของตัวเองได้”

ในภาษาเดิม ตรงนี้แปลว่าอย่างนี้ จะไม่มีใครมาบอกเลยว่า …

“ฉันรอดไปอยู่ในสวรรค์ได้ เพราะฉันทำดี เยอะกว่าเธอตั้งเยอะ”

ไม่มีเลยสักคน นี่แหละคือเหตุผลที่ผมบอกว่าพอไปอยู่ในสวรรค์แล้ว รางวัลเท่ากันหมดทุกคนแหละ ก็คือไม่มีใครดีสักคนเลย รอด เพราะความเชื่อในพระเยซูทำให้ทั้งนั้น แล้วจะมาอวดอ้างว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นเขา ไปอยู่ข้างบนจะได้แมนชั่นใหญ่กว่า ได้บ้านที่ใหญ่กว่า เป็นตำแหน่งที่ใหญ่กว่า อยู่ใกล้พระเจ้ามากกว่าเราหรือ? เราทำน้อยกว่าหรือ? ไม่ใช่เลย เพราะเราต่างต้องพึ่งพระเยซูทั้งนั้น

ความรอด ไม่ได้อยู่ในการกระทำดีของตัวเราเอง ตรงนี้แหละ ตรงที่คนไม่เชื่อ คิดด้วยสติปัญญามนุษย์ ไม่เข้าใจตรงนี้ เข้าใจยากมากเลย อธิบายเรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ตลอดชีวิตไม่จบเลยนะ ไม่ต้องพึ่งความดี ก็หมายถึงเราไม่สนใจความดีอย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นแล้ว พระเจ้าไม่ให้ความสำคัญ ไม่ให้ความสนใจกับการประพฤติและการกระทำของเราบนโลกใบนี้หรือ?  ถูกไหม? เขาก็จะถามว่า …

“อย่างนี้ พระเจ้าก็ไม่สนใจว่าเราจะทำอะไรก็ได้หรือ? เชื่อแล้วเนี้ย”

นี่ความคิดมนุษย์ ก็จะเป็นเหตุผลแบบมนุษย์อย่างนี้แหละ

เมื่อเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าได้ทำให้ตัวเก่า ก็คือวิญญาณเก่าของเรา วิญญาณเก่าที่สกปรก ที่อยู่ในความบาป เป็นทาสมาร พระเจ้าได้กระทำอย่างนี้ คือเอาวิญญาณสกปรก ตัวเก่าของเรา ตรึงตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ แล้วก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ และได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่เรารับเชื่อพระเจ้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  คือเราอยู่ในสวรรค์  ในฐานะลูกของพระเจ้า  เป็นทายาทของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ เดี๋ยวนี้เลย และจะอยู่ตรงนี้นิรันดร์กาล ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีสิ่งใด อำนาจใด หรือผู้ใดจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะตรงนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าเอง และพระองค์ก็ไม่ทำด้วย หรือเป็นตัวเรา ก็ทำไม่ได้

วิญญาณเราบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จากการบังเกิดใหม่ เกิดแล้วเกิดเลย เปลี่ยนไม่ได้ เปลี่ยนอย่างไร? เราจะทำอย่างไร มันไม่เกี่ยวกันแล้ว

อ้าว! ถ้าอย่างนั้น ความประพฤติไม่สำคัญหรือ? มาตรงนี้อีกแล้ว เห็นไหมว่ามันจะหนีไม่พ้นตรงนี้แหละ จากพื้นฐานของความจริง ในพระคัมภีร์ เราไม่ว่าจะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างไรก็ตาม จะทำบาปผิดขนาดไหน ก็ตาม พระเจ้าก็ได้ให้อภัย ในความผิดพลาดเหล่านั้นไปล่วงหน้า หมดสิ้นแล้ว  โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ซึ่งหลั่งไปแล้ว จบแล้ว

นี่คือความจริง เอาความจริงก่อน แล้วเดี๋ยวความเข้าใจของเรา ในฐานะมนุษย์ เราค่อยๆ สืบคลานเข้าไปหาว่ามันคืออะไร? พระเจ้าอภัยบาปทั้งหมดเลย ไม่ว่าเราจะทำอะไรทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่บาปที่จะทำในอนาคตที่เรารู้ล่วงหน้าด้วยว่าเราจะทำ เดี๋ยวเราจะเรียนต่อไปว่าบาปที่เราตั้งใจทำ ก็มี เรายังไม่โตพอ เราอาจจะทำสิ่งเหล่านั้นได้ แต่ความจริงในพระคัมภีร์บอก เราได้รับการอภัยไปก่อนหน้าแล้ว คือเราได้บังเกิดใหม่ เราเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเลย คือเรารอดจากโทษของบาปผิดทั้งหมดแล้ว เพราะเราไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไป  ด้วยพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเรา ด้วยการกระทำของพระผู้ช่วยให้รอด ที่มีพระนามว่าพระเยซู แปลว่าผู้ช่วยให้รอด

คนก็จะถามว่า … “อ้าว! ถ้าอย่างนั้น การกระทำผิดบาป ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นกับเราเลยอย่างนั้นหรือ? เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม มันจะไม่มีผลอะไร เกิดขึ้นกับเราเลย อย่างนั้นหรือ?”

ซึ่งคำตอบของคำถามนี้ สามารถตอบได้ทั้ง “ใช่” และ “ไม่ใช่”

“ใช่” คือกฎในทางวิญญาณ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในทางวิญญาณ เราเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะทำอะไร มันก็ไม่เกี่ยวกับการที่เราเป็นลูกพระเจ้าไปแล้ว

“เราเป็นลูกพระเจ้าไปแล้ว”

ตอบว่าจริงการกระทำบนโลกใบนี้ ไม่มีผลกับการเป็นลูกพระเจ้าของเราเลย ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นลูกพระเจ้าน้อยลง ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็นลูกพระเจ้าครึ่งเดียว ไม่ได้ทำให้เราเป็นลูกพระเจ้า 20% ไม่ได้ทำให้เราหลุดออกจากการเป็นลูกพระเจ้า กลายเป็นทาสมารไปอีกได้ เป็นไม่ได้อีกแล้ว เราอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าแล้ว

เพราะฉะนั้น คำตอบคือ “เป็นอย่างนั้นจริงๆ แหละ ที่ท่านเข้าใจนะ”

เพราะที่เมื่อกี้ย้ำแล้วว่าไม่มีสิ่งใดกระทำให้เราขาดจากความรัก ออกจากพระหัตถ์ของพระเจ้า หลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย ไม่ว่าจะเป็นอำนาจใด ผู้ใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง สถานะการเป็นลูกของพระเจ้าของเราได้ มันเที่ยงแท้ถาวรนิรันดร์และอยู่ในการควบคุมดูแลของพระเจ้า เราบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากบาป เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เป็นวิญญาณเดียวกัน ถ้าเราสูญสิ้นไป พระเจ้าก็สูญสิ้นไปด้วย เพราะเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าเราสูญไป เปลี่ยนแปลงได้ พระเยซูก็เปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นชีวิตของเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน เห็นไหมครับ?

ดังนั้น คำตอบ เราสามารถตอบคำว่า “ใช่” ได้

แต่ตอบว่า “ไม่ใช่” ได้ไหม? ได้ คือความประพฤติและการกระทำของเรา ก็จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ด้วยจริงๆ ซึ่งถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ได้เตือนเรา ถึงผลร้ายที่จะตามมา ที่เราจะต้องรับไว้ ในการกระทำอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ทางกฎของโลกวัตถุ การตอบสนอง จากการกระทำผิดบาป กระทำไม่ถูกต้อง ตามกฎของโลกวัตถุนี้ ยังคงมีอยู่ และเราทุกคน จะต้องรับผลของมันตามมา จากการไม่เชื่อฟังคำเตือน คำสอนของพระเจ้าบนโลกใบนี้ พระองค์บอกอย่าทำอย่างนี้นะ อันตราย มันไม่ดีต่อชีวิตเรา เราจะได้รับโทษ มันได้รับจริงๆ ด้วย ไม่ใช่เราผู้เชื่ออย่างเดียว ผู้ไม่เชื่อก็ได้รับเหมือนกันหมดทุกคน พระเจ้าเป็นผู้พิพากษา ไม่ลำเอียง

ซึ่งแม้ว่าเราจะอยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้าแล้วก็ตาม ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ ปรับโทษใดๆ แก่ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เราได้รับการชำระจนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ปราศจากบาปใดๆ แล้วก็ตาม แต่เหล่านี้เป็นผลในโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ผลทางวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

แต่ก็ยังมีผลทางโลกวัตถุ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก ที่เป็นผลตามมา ถ้าเราประพฤติไม่ตามกฎของโลกใบนี้ เราก็ต้องว่ากันไปตามนั้น ความประพฤติและการกระทำของเรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จึงสำคัญ มีผล มันตอบตรงนี้ได้

ถ้าสำคัญ พระเจ้าก็ต้องให้ความสำคัญมาก ถูกไหม? ในโรม 8:1-2 บันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 8:1-2   “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

คริสเตียนหลายคน ผู้เชื่อหลายคน ก็เอาข้อความนี้ เข้าใจผิด สับสน เรื่องผลของโลกวิญญาณ และผลของโลกวัตถุ เรื่องกฎของวิญญาณและกฎของวัตถุ เอามาสับสนกัน หลายคนเอาถ้อยคำนี้ไปใช้อย่างผิดๆ เยอะแยะไปหมดเลย  ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่นขับรถ ผิดกฎจราจร …

“ดังนั้นไม่มีการลงโทษใดๆ แก่ฉันผู้อยู่ในพระเยซูคริสต์”

ตรงตามพระคัมภีร์ ตรงไหม? ตรงสิ เมื่อตะกี้เราอ่าน ยังตรงเลย โรม 8:1 ใช่ไหม? ดังนั้น ไม่มีการลงโทษใดๆ ขับรถ รู้สึกสบายใจ ไม่มีการลงโทษ ฉันเป็นอิสระแล้ว พอขึ้นรถ เริ่มต้น ก็ …

“อิมมานูเอล อิมมานูเอล” แปลว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย แล้วจริงหรือเปล่า? จริง เราเชื่อแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย อิมมานูเอลอยู่ในตัวฉัน  สันติสุข ค่อยๆ ขับไป ตามกฎหมายเขาไม่ให้เกิน 70-80 ในเมือง เท่านี้พอแล้ว ไม่เกิน 100 เพราะพระเยซูอยู่ด้วย สบายใจ ขับ 70 – 80 ไปเรื่อยๆ ชักจะไม่ทันประชุมแล้ว รถติด เร่งขึ้นมาหน่อยไหม? เอาสัก 100 … ไม่ช้าและไม่สาย ไม่รีบร้อนตามใจฉัน พระองค์ดีต่อฉัน และทรงทันเวลาเสมอ … ขับไป ร้องไป เริ่มเป็นร้อยหนึ่ง มองนาฬิกา ยังถูกกฎหมายอยู่นะ  อย่างไรก็ทัน พระเจ้านำพาอยู่แล้ว ไม่สายอยู่แล้ว

ปรากฏว่ามันสาย เราออกมาสาย ดูนาฬิกาไปเรื่อยๆ ร้องเพลงไปเรื่อยๆ เพลงก็ชักอยากจะเปลี่ยนแล้วอ่ะ ไม่รีบร้อนตามใจฉัน  ตะกี้นี้ตามใจพระเจ้า ทำตามกฎระเบียบหมดเลย ตอนนี้ อยากจะทำตามใจฉัน เปลี่ยนเพลง … ในพระนามพระเยซู ในนามพระเยซู เราเป็นผู้มีชัย … ใช้นามพระเยซูสั่งการเลย ใครเคยสั่ง คุ้นๆ สั่งการให้ไฟแดงเป็นไฟเขียวปุ๊บ สั่งให้ถนนว่างปุ๊บ เร่ง แซงซ้ายแซงขวา 110 ไป 120 ขณะนั้นที่เราร้องอิมมานูเอล ตั้งแต่ 70, 80 พระเยซูเริ่มไปอยู่ข้างหลังแล้วนะ พระเยซูออกจากตัวเราไปอยู่เบาะท้าย เตรียมเผ่นแล้ว จริงๆ พระเยซูอยู่ที่เดิม แต่เราเผ่นหนี เราไม่เชื่อแล้ว เราหลุดออกจากการทรงสถิตแล้ว ไม่ใช่พระเยซูไปหรอก แต่เขาพูดกันเล่นๆ ว่าพระเยซูไปอยู่เบาะหลังแล้ว เรายัง … ในพระนามพระเยซู … นึกว่าพระเยซูอยู่กับเรา เราทำผิดกฎ แล้วพระเยซูไปแล้ว เราเองไม่ระลึกถึงพระเยซูที่สถิตอยู่ในเรา เหมือนตอนแรกๆ ที่สงบๆ เห็นชัดไหม?  120 มันผิดกฎหมายแล้ว

ปรากฏว่าเราสั่งการดี ถนนโล่ง แต่มันสายแล้ว เหยียบเร่งเต็มที่เลย เป็น 130, 140 … ลูกมาแล้ว อยู่ในลานวิสุทธิ์ จิตใจและมือชูสรรเสริญ … คือลูกมาแล้ว วิญญาณลูกจะออกจากร่างแล้ว คือมันมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้พร้อมเสมอ เพราะผลที่เราเริ่มจะได้รับ เพราะเราไม่เชื่อฟัง เราทำผิดกฎระเบียบ พระเจ้าเตือนเราตั้งแต่เราขับ 60, 70 แล้ว แล้วก็ให้กฎหมายบ้านเมืองเตือนเราว่าผิดกฎหมายแล้ว เขาก็วิเคราะห์กันมาแล้วว่าขับอยู่ในเมือง ควรไม่เกินเท่านี้ ออกนอกเมือง ไม่ควรเกินเท่านี้ เขาบอกมาแล้ว แล้วเรายังไปฝืนกฎเหล่านั้น ทั้งๆ ที่ก็บอกว่า … ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่ผู้ที่อาศัยในพระเยซู … ฉันเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซู ไม่ต้องลงโทษ เราก็ต้องได้รับโทษเหล่านั้น จากการฝืนกฎระเบียบของโลกใบนี้ เห็นไหม?

และยังมีอีกหลายๆ อย่าง นี่ยกตัวอย่างอันนี้ให้เห็น มันชัด เพราะว่าเราอยู่กับเรื่องนี้เยอะมาก เตือนแล้วไม่ฟัง พระเจ้าเตือนผ่านทางเยอะแยะมากมายไปหมดเลย หรือบางอย่างเราทำฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง เรื่องอื่นๆ ชัดเจนมากเลย กฎหมายออกมาใหม่ ในการที่จะยับยั้ง จำกัดโรคระบาด  ก็คือกฎหมายโรคระบาดโควิดออกมา รัฐบาลประกาศฉุกเฉินให้มีกฎหมายเหล่านี้ ทุกคนห้ามออกจากบ้าน ในเวลา 6 โมงเย็น เคอร์ฟิว จะไปไหนต้องใส่หน้ากากอนามัย จะไปรวมอยู่ในที่เดียวกัน ต้องใส่หน้ากากอนามัยอะไรต่างๆ เหล่านั้น

“ฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์อยู่ในตัวฉัน เชื้อโรค ไวรัสโควิดมาทำอะไรฉันไม่ได้ เพราะฉันไล่มันทุกวัน ฉันอัดมันทุกวัน ฉันมีความเชื่อ ในนามพระเยซู ฉันสั่งขับไล่มันทุกวัน ฉันไม่มีวันติดหรอก เพราะฉะนั้น ฉันไม่ต้องทำตามกฎที่กฎหมายบอกว่าออกจากบ้าน ให้ใส่หน้ากากอนามัย ให้ระมัดระวังตัวเองอย่างไร? ฉันไม่ทำตาม ฉันเป็นคริสเตียน เข้าใจไหม? พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ปกคลุมฉันอยู่”

แล้วถูกจับไหม? ถูกจับ ต้องโดนลงโทษไหม? ต้องโดน แค่โดนลงโทษแค่นั้นไม่พอ แต่มันทำให้สังคมเสียหาย นี่เห็นชัดๆ มันทำให้สิ่งที่เขาทำตอนนั้น ที่เขาเข้าใจผิด เกิดความเดือดร้อนไปถึงคนอื่น เชื้อโรคติดคนอื่น อะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นพาหะ นำพาเชื้อโรคไประบาด ทั้งโบสถ์ ทั้งที่ประชุมอื่นๆ เยอะแยะมากมายไปหมด ก็เพราะว่าเข้าใจผิดอย่างนี้ สับสนเรื่องโลกวิญญาณกับโลกวัตถุ สับสนกัน สิ่งนี้พระเจ้าชอบไหม? ไม่ชอบ แต่ใครชอบ ศัตรูพระเจ้าชอบ คือมารซาตาน มันก็ปั่นหัวให้มนุษย์บนโลกใบนี้ ทำอย่างนี้แหละ มันก็เกิดความชั่วร้าย เกิดความเสียหายบนโลกใบนี้ อย่างขับรถเมื่อสักครู่นี้ พอเราขับ 130 เกิดอุบัติเหตุ ไม่ใช่เราเป็นคนเดียว แล้วไปทำให้คนอื่น เขาเดือดร้อนด้วย ไปชนคนอื่นเขา ไปทำให้เขาเสียชีวิต หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้น

สมมติว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวของใครคนใดคนหนึ่ง เราไปชนเขาตาย ครอบครัวเขาเดือดร้อนไปแล้ว ท่านเห็นไหมว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่ผลของการกระทำของเราบนโลกใบนี้ มันมีส่วน มีความสำคัญอย่างยิ่ง และพระเจ้าให้ความสำคัญมากเลย อย่างนี้เราจะเห็นชัด

การทำผิดศีลธรรม ผิดจริยธรรม บางทีมันไม่เห็นชัด ไม่ได้มีกฎหมายมาควบคุมว่านี่ผิด อย่างเช่นเราไปโกหก อิจฉาริษยาเขา มันไม่เห็น แต่มันร้ายกาจมากเลย ความอิจฉา ในพระคัมภีร์บอกไว้ มันสามารถทำร้าย ทำลาย เยอะแยะมากมายไปหมด ผู้คนรอบข้าง โดยที่แอบอยู่ในตัวของคนๆ หนึ่ง โดยไม่มีคนรู้เลยว่าคนนี้ร้ายกาจขนาดนี้ เราเห็นชัดเจน

ศีล 5 ยิ่งชัด ฉันเป็นผู้เชื่อแล้ว ฉันมีอิสรภาพในการทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ในพระคัมภีร์บอก มีอิสรภาพในพระเยซูคริสต์ ศีลฉันไม่ต้องไปสนใจเลย  ไม่มีผลอะไรกับฉัน ใครบอก ห้ามฆ่าคน แล้วเราไปฆ่าคนตาย เราไปทำร้ายคน โดนไหมละ โดนด้วย ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เราไปพูดปด ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนด้วย เรากินเหล้าเมายา เอะอะโวยวาย ทำให้เดือดร้อนไปหมด เราเพิ่มความบาป ความสกปรกบนโลกใบนี้ ให้เลอะเทอะขึ้น ซึ่งพระเจ้ามีความสุขไหม? ไม่มีความสุข พอใจไหม? ไม่พอใจ ทุกข์ใจไหม? ทุกข์ใจ

นี่คือสิ่งที่เราต้องคำนึกถึง ผลร้ายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ตั้งใจไว้ให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ผลร้ายที่ตามมาอันดับแรกเลย ที่สำคัญมากๆ ซึ่งจะเป็นผลร้ายอื่นๆ เรียงแถวกันเข้ามาเยอะแยะมากมายไปหมด สำหรับชีวิตเรา  และชีวิตคนอื่นๆ รอบข้างเราบนโลกใบนี้

อันดับแรก ก็คือการดับพระวิญญาณ เดี๋ยวเราจะมาเรียนรู้กัน การดับพระวิญญาณ ทำให้พระวิญญาณเสียใจ ทุกข์ใจ เราไม่สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา พร้อมกับทำตามการนำของระบบของโลกนี้ ผ่านทางกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของเราได้ ทำพร้อมกันไม่ได้ เพราะพระวิญญาณกับเนื้อหนัง เป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกัน พระวิญญาณกับเนื้อหนัง นำพร้อมๆ กันไม่ได้ เราต้องตัดสินใจให้ใครคนใดคนหนึ่ง ฝั่งใดฝั่งหนึ่งเป็นผู้นำเรา ต้องเลือกข้าง ข้างใดข้างหนึ่ง

ในขณะที่เราตัดสินใจกระทำตามอิทธิพลของความบาป ในกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ตัดสินใจจะให้เขานำ เราก็ต้องรับผลที่ตามมา ซึ่งก็คือในขณะนั้น ขณะที่เราให้กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังเป็นผู้นำ เราก็จะพลาดจากน้ำพระทัยพระเจ้า คือการสำแดงชีวิตพระเยซูคริสต์ ที่สถิตอยู่ในเรา ที่ผมบอกเรื่องขับรถ พระเยซูออกมานั่งที่เบาะหลังแล้ว ก็คือเราหลุดจากการทรงสถิตของพระเจ้า พระเจ้า พระเยซูยังอยู่ในตัวเรา เป็นวิญญาณเดียวกันกับเราเหมือนเดิม แต่เราเอง หลุด ทิ้งพระองค์ไป ไปอยู่กับกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ให้กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังนำ

ความหมาย คือเรากำลังทำให้พระเจ้าทุกข์ใจ เสียใจ การดับพระวิญญาณ คืออย่างนี้ คือทำให้พระเจ้าเสียใจ ทุกข์ใจ และมีผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมาในชีวิตของเรา และเกี่ยวเนื่องถึงคนอื่นรอบข้างเราด้วย บนโลกใบนี้ เริ่มความบาป ความยุ่งเหยิงบนโลกใบนี้

ยกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นชัด เช่นความโกรธ พระเจ้าไม่ต้องการให้เราโกรธ ถ้าเราให้พระวิญญาณนำ เราจะโกรธน้อย หรือไม่โกรธเลยก็ตาม ความโกรธ ขุ่นเคือง ไม่ให้อภัย การใส่ร้าย ความอิจฉา ความโลภ ซึ่งทำลายความสัมพันธ์ให้เสียหาย ความสัมพันธ์กับใครก็ตาม ก่อให้เกิดความบาปมากขึ้นบนโลกใบนี้ แทนที่จะได้การสำแดงชีวิตแห่งความรัก ความเมตตา ความสงบของพระเยซู ที่สถิตอยู่กับเราภายในออกมา ซึ่งจะทำให้โลกใบนี้สงบ ลดความบาปบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า เรากลับไม่เชื่อ เราดับพระวิญญาณ ซึ่งมันแปลว่าอย่างนี้ อาจารย์เปาโลจึงเตือน อธิบายถึงเรื่องนี้ไว้อย่างนี้ 1 เธสะโลนิกา 5:16-22 …

1 เธสะโลนิกา 5:16-18  “16 จงมีความสุข และมีความชื่นชมยินดี ภายในจิตใจ อยู่เสมอ  17 จงหมั่นอธิษฐาน ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ 19 อย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ 20 อย่าลบหลู่คำเผยพระวจนะ 21 จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี  22 จงหลีกห่างความชั่วทุกชนิด”

 

จะเห็นได้ชัดว่าตั้งแต่ข้อ 16-18 ก่อนข้อ 19 อาจารย์เปาโลกำลังจะบอกอย่าดับพระวิญญาณทำอย่างไร?

พอเริ่มต้นข้อ 19 บอกว่า “อย่าดับพระวิญญาณ” การดับพระวิญญาณ คือการไม่ให้พระวิญญาณนำเรา สอนเรา เราจะดำเนินชีวิตด้วยตัวเราเอง ผ่านทางระบบของโลกนี้ ซึ่งควบคุมโดยมาร ผ่านทางกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของเรานั่นเอง

การดับไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างเช่น ในข้อ 16 เมื่อตะกี้นี้ ที่เราอ่าน ก็คือเราไม่ชื่นชมยินดีในการสำแดงชีวิตของพระเยซูคริสต์ในตัวเรา  เราไม่เอ็นจอย เราไม่ชื่นชมยินดี อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราชื่นชมยินดีอยู่เสมอๆ ตลอดเวลาเลย ชื่นชมยินดีได้อย่างไรในเมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ ชื่นชมยินดีในวิญญาณเรา ที่เราเป็นลูกพระเจ้า เราเกิดใหม่แล้ว เราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราอยู่ในสวรรค์แล้ว ชื่นชมยินดีตรงนี้ ก็หมายถึงจดจ่ออยู่ที่พระเยซูที่สถิตอยู่ในเรา ในโลกวิญญาณ

การดับไฟพระวิญญาณ คือเราไม่ชื่นชมยินดีแล้ว เราเริ่มละห่างแล้ว เราเริ่มทิ้งพระเยซูแล้ว เราเร่ง 120 แล้ว เราเริ่มร้องเพลง … “ในพระนามพระเยซู ในพระนามพระเยซู” … ชักมันใหญ่แล้ว ชักรีบร้อนทำตามตัวเอง แทนที่จะร้อง … “อิมมานูเอล” … ขับ 60, 70 ไปเรื่อยๆ

ผมพยายามยกตัวอย่างเหล่านี้มา เพื่อให้ท่านเห็นและเข้าใจว่ามันคืออะไร? จะพยายามพูดซ้ำ บ่อยๆ เพราะเรื่องนี้ มันชัดมาก

ในข้อ 17 หมั่นอธิษฐาน พูดคุย วิงวอน จำได้ไหม ในหนังสือฟิลิปปีบอกไว้ อย่าวิตกกังวลในสิ่งใดๆ เลย แต่จงอธิษฐาน วิงวอนและขอบพระคุณ ไม่อธิษฐาน พูดคุยกับพระเจ้า ไม่วิงวอน ไม่ขอบพระคุณ พูดง่ายๆ ก็คือไม่ติดต่อกับพระเยซู ไม่ติดต่อกับพ่อของเราอยู่เสมอๆ เปาโลบอก  ไม่ติดต่อกับพระองค์ พูดคุยกับพระองค์อยู่เสมอๆ ไม่ใช่ตั้งคิวไว้ อธิษฐานเช้า กลางวัน เย็น  ไม่ใช่ตั้งคิวอธิษฐาน 6 โมงเช้าขึ้นมาอธิษฐาน ไม่ใช่อย่างนั้น คำว่า “ไม่หยุดหย่อน” ตรงนี้ หรือเสมอๆ ตรงนี้ หมายถึงเป็นปกติวิสัยของเรา เหมือนเรามีพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์อยู่ แล้วเรารักท่าน สนิทสนมกับท่าน ตื่นเช้ามาคุยบ้าง บางวันก็ไม่ได้คุย แต่ก็ติดต่อกันอยู่ตลอด มันหมายถึงอย่างนั้น ให้ระลึก ตระหนักอยู่เสมอว่าพ่อเรา อยู่กับเราตลอดเวลา มันหมายถึงอย่างนั้น

การดับพระวิญญาณ ก็คือการไม่ทำอย่างนี้ ไม่สนใจพ่อของเรา ไม่สนใจในการทรงสถิตของพระเจ้า  ที่อยู่ในเรา ไม่สนใจว่าวิญญาณ แท้ๆ ของเรา ตัวตนแท้ๆ อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว เราไม่สนใจ เราไม่ตระหนัก นี่แหละ คือการดับพระวิญญาณ ซึ่งเป็นผลร้ายแรงที่สุด เพราะเราก็จะเริ่มห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่พระเจ้าก็สถิตอยู่ในเรา

ในข้อ 19 จึงบอกว่าอย่าดับพระวิญญาณ คือพระเจ้าเตือนแล้วไม่ฟัง เตือนตั้งแต่เหยียบไปถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ใช่ไม่เตือน กฎหมายก็บอกแล้วไม่ให้เกินนี้ ไม่ได้ยินหรือ? ต้องให้พระเจ้ามาพูดข้างหู ให้ได้ยินชัดหรือ! นี่แหละ พระเจ้าบอกแล้วบอกอีก อาจจะบอกผ่านทางกฎหมาย อาจจะบอกผ่านทางทีวี ที่เขาเกิดอุบัติเหตุ เขาเขียนกัน บอกอยู่นั้นแหละ เราเถียงไม่ได้ว่าไม่บอก พระเจ้าต้องการให้เรารับสิ่งที่ดีที่สุด เห็นไหม? เราดับพระวิญญาณ เราไม่ฟัง ไม่สนใจ ซึ่งเราคิดว่าเราเผลอไปอะไรก็ตาม พระเจ้าเตือนแล้ว พออย่างนี้ เราดับพระวิญญาณ พระเจ้าก็เกิดความเสียใจ ทุกข์ใจ ซึ่งมันไม่ได้หมายถึงบางคนเข้าใจผิด พอดับพระวิญญาณแล้ว พระเจ้าจะกริ้ว จะโมโห จะลงโทษเรา เราไปดับพระวิญญาณ เราไปลบหลู่พระวิญญาณ ไม่ใช่อย่างนั้น คนละเรื่องกันเลย พระเจ้าเสียใจ ทุกข์ใจ เพราะแทนที่เราจะได้สิ่งที่ดีๆ เราจะได้รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตของเรา เราจะทนทุกข์มากขึ้น นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทุกข์ใจ เพราะพระเจ้ารักเราอย่างแก้วตาดวงใจของพระองค์ ต้องการให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

ท่านเห็นภาพชัดเจนไหม? เพราะพระองค์ทรงห่วงใย ท่านลองคิดย้อนไปว่าพระเจ้ามีหลักการ ความรักต่อมวลมนุษย์ขนาดไหน? นี่ขนาดย้อนไปสมัยปฐมกาล ในสมัยบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา ซึ่งพระเจ้ารักดั่งแก้วตาดวงใจเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงเตือนแล้ว บอกแล้ว …

“อาดัม-เอวาเชื่อฟังนะ ถ้าไม่เชื่อฟัง ก็จะเกิดโทษแบบนี้ๆ นะ อย่าไปกินนะ  อย่าฝ่าฝืนนะ  เชื่อเถอะ เชื่อพ่อ แล้วก็จะได้ดีเอง”

แต่ในที่สุด บรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวาก็พลาด ดื้อ ไม่เชื่อ พอไม่เชื่อ ก็เกิดโทษ ต้องรับโทษ กฎบอกไว้แล้วว่าอย่า ความตาย คำสาปแช่ง ก็เข้ามาสู่ชีวิต ความเลวร้ายต่างๆ มาสู่ชีวิต แล้วพระเจ้าโกรธกริ้วหรือ? ไม่ใช่เลย พระเจ้าเสียใจที่อาดัมและเอวาดับพระวิญญาณ ก็คือไม่เชื่อฟังคำเตือน ไปฟังมาร  เอาตัวเองเป็นใหญ่ แทนที่จะทำตามพระเจ้า ก็เลยตกลงไปในความบาป แล้วพระเจ้าทุกข์ใจ เสียใจ ถึงขนาดรีบหาทางช่วยเหลืออย่างเด็ดขาด ตั้งแผนการต่างๆ เพื่อที่จะช่วย ให้รอดพ้นจากความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ซึ่งต้องได้รับ

นี่พระเจ้ามีความรักต่อเราอย่างนี้แหละ ยังเห็นชัดอีกนะ พอทำบาปไปปุ๊บ เกิดความละอาย เพราะความบาปเข้ามา ก็เกิดรู้ตัวเองเปลือยกายอยู่ ความรู้ทำให้เกิดความละอาย  พระเจ้าเมตตาขนาดไหน? รีบไปนำหนังสัตว์มาคลุม เพื่อเขาจะได้ไม่อาย คือหาทางทุกอย่างที่จะช่วยลูกตัวเอง ให้หลุดพ้นจากการพลาดเหล่านั้นไป นี่คือหัวใจของพระเจ้า

เราจึงเห็นว่านี่คือความรักของพระเจ้า อย่าเข้าใจผิดว่าพอเราดับพระวิญญาณ พระเจ้าจะกริ้วเรา จะลงโทษเรา ไม่ใช่เลย คนละเรื่องเลย เหมือนพ่อแม่เตือนเราเรื่องมอเตอร์ไซด์ โดยเฉพาะลูกที่เป็นวัยรุ่นผู้ชาย อย่าขี่เลยๆ เป็นห่วง กลัว ทุกข์ใจมาก เมื่อเห็นลูกขี่มอเตอร์ไซด์ เพราะรู้ว่ามันอันตราย มันควรเป็นจักรยานมากกว่า มอเตอร์ไซด์ไม่ควรมีเลย จะรีบไปไหน? พูดกันตรงๆ พูดไปอาจจะเป็นประโยชน์ด้วย จักรยานก็อันตราย ถ้าเร็วมาก เกิดอุบัติเหตุได้ พอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็ยังถือว่ามันน้อย มันสุดวิสัยแล้ว ก็คือจักรยาน ถ้าไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ ขี่ได้ทั่วๆ ไป ก็ 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็เร็วเยอะแล้ว ล้มไปก็เจ็บมาก อาจรักษาเป็นปีๆ แต่มอเตอร์ไซด์ขึ้นไปถึง เริ่มวิ่ง อย่าว่า 15 เลย แค่เคลื่อนนิดหนึ่ง ก็ 30 เข้าไปแล้ว อย่างน้อย ก็ต้อง 50, 60 ขึ้นไปแล้ว

แล้วภาษาพ่อแม่ที่เป็นห่วง ถ้าเราขับรถยนต์มันเหล็กหุ้มเนื้อ แต่ขี่มอเตอร์ไซด์ มันเนื้อหุ้มเหล็ก คือเนื้อไปแขวนอยู่บน 2 ล้อ ไม่ว่าน้ำท่วม ฝนตก ถนนลื่น กะลา ทราย อิฐ ปูน อะไรต่างๆ โคลน  หรือรถเฉี่ยว มันเยอะมากไปหมดเลย ที่จะต้องระวัง เราใช้เพราะอะไร? เพราะเราฝืนจากกฎธรรมชาติ เพราะเราอยากเร็วๆ ตามใจเรา เราอยากจะเร่งให้มันตามใจเรา เราอยากให้มันเร็ว ไปไหนก็ได้ อยากจะเร็ว รถติด รถยนต์ต้องใช้เวลา 3 ชั่วโมง แต่ใช้มอเตอร์ไซด์ ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว สมมติ เราจะเซฟ 2 ชั่วโมงไว้ แต่เราหารู้ไม่ว่าเราเสียไปอีกประมาณ 20 ปี 30 ปี เราต้องเป็นคนพิการไป เพราะเราไม่เชื่อพ่อแม่ เราไม่เชื่อพระเจ้าที่บอกเราให้เราระมัดระวังสิ่งเหล่านี้ นี่พูดเลยไปถึงคนไม่เชื่อด้วยนะ แม้เราเชื่อแล้วก็ตาม เราควรจะมีการใคร่ครวญ

ผมเชื่อว่าเราอธิษฐานกับพระเจ้า พระเจ้าคงไม่ให้เราหรอก ขอบคุณพระเจ้า อธิษฐานขอมอเตอร์ไซด์ พระเจ้าให้คันใหญ่มาเลย ผมว่าไม่น่าจะใช่ พระเจ้าน่าจะให้รถเก๋งมามากกว่า ถึงจะเก่าสักหน่อย ก็ยังดี เพราะมันเป็นเหล็กหุ้มเนื้อ โอกาส อันตรายมันน้อย แล้วก็อย่าขับรถเร็วเกินกฎหมายอะไรอย่างนี้ ยกตัวอย่างให้ฟัง

เพราะฉะนั้น ถามว่าพระเจ้าต้องการอย่างนั้นหรือ? ต้องการให้เราไปเร็วๆ มากๆ อย่างนั้นหรือ?  พระองค์เตือนแล้ว เตือนอีก เตือนผ่านทางพ่อแม่ของเรา เตือนผ่านทางผู้คนรอบข้าง วิชาการต่างๆ แล้วก็เตือนผ่านกฎหมาย อย่างที่บอกตะกี้นี้ กฎหมายเขาไม่ให้เกิน 100 ถึงทางโค้งไม่เกิน 40, 50 ในหมู่บ้านไม่ให้เกิน 30 แล้วก็ทำตาม ถามว่าไม่เตือนหรือ? ต้องรอให้พระเจ้าปรากฎมาชัดเจนเลย  เตือนอย่างนั้นหรือ? อย่างนั้นจะเรียกว่าโดยความเชื่อได้อย่างไร? ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อได้อย่างไร?

สิ่งสำคัญที่สุด ที่เราจะต้องจำให้แม่น จำให้ขึ้นใจ  คือต้องฟังให้ดีๆ เลยนะว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป ไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ไม่ได้อยู่ภายใต้พระพิโรธของพระเจ้า ภายใต้การพิพากษาลงโทษของพระเจ้าแล้ว แม้ว่าเราจะไม่เชื่อฟัง และได้รับโทษของการไม่เชื่อฟังบนโลกใบนี้ก็ตาม เรายังคงเป็นลูก อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่พระเจ้าทนุถนอม รักดั่งแก้วตาดวงใจ และพระเจ้าอยู่ข้างเราๆ อย่าคิดว่าเกิดอะไรไม่ดีเข้ามา …

“โอ! พระเจ้าลงโทษฉัน ทำให้ฉันขาหัก พระเจ้าลงโทษฉัน ส่งโควิดมา เพื่อให้ฉันกลับใจใหม่ พระเจ้าลงโทษฉัน เพื่อฉันจะได้เชื่อฟังพระองค์”

ไม่มี ไม่ใช่อย่างนั้นเลย มันเป็นผลที่เราจำเป็นต้องได้รับจากกฎบนโลกใบนี้ กฎของวัตถุ แต่พระเจ้าคอยจะหาทางแก้ไข เปลี่ยนแปลง ช่วยเหลือเรา หลุดออกมา เหมือนดังที่ยกตัวอย่าง สมัยอาดัม เหมือนกัน การดับพระวิญญาณ  คือการเพิกเฉย  ไม่สนใจต่อการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ นี่คือการดับพระวิญญาณ ไม่สนใจในการที่พระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปเรา แล้วทำให้เราบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า ไม่สนใจที่จะเชื่อฟัง ทำตามระบบของวิญญาณ ตัวตนใหม่ของเรา ที่อยู่ในพระคริสต์ ไม่สนใจ พระเจ้าบอกไว้ สอนไว้ในพระคัมภีร์เยอะแยะว่าในพระเยซูคริสต์ เราควรจะทำอย่างไร? แต่ยังคงดำเนินชีวิตตามระบบเดิม คือระบบของความบาปและความตาย ซึ่งทำให้เราต้องรับโทษ สิ่งที่ไม่ดี เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ซึ่งพระเจ้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย พระองค์ต้องการให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด

เพราะฉะนั้น เราจะไปทางทิศไหน? เราจะให้ความสนใจไหม? กับโลกวิญญาณ ที่เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ถ้าเราให้ความสนใจ เราจะได้ยินเสียงพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ  เราจะได้ยินคำเตือนอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะดับไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับการจดจ่อ ความคิดจิตใจของเราไปที่เบื้องบน หรือไปที่โลกใบนี้ อันไหนมากกว่ากัน มันมี 2 แห่งเท่านั้นเอง  ถ้าเราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ เขาเรียกว่าเบื้องบนนั้นว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระคัมภีร์บอกให้เราจดจำเหล่านี้ไว้ดีๆ เราก็จะทำพลาดน้อยลง เราก็จะดับไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์น้อยมาก แต่ถ้าเราจดจ่อน้อย เรากำลังจดจ่อกับโลกใบนี้ โดยไม่มีทางเลี่ยงอื่น ถ้าเราไม่จดจ่อ ทางโลกเบื้องบน มันก็จดจ่อฝ่ายโลก มันไม่มีทางไม่จดจ่อเลย อยู่เฉยๆ ไม่มีๆ ต้องเอาทางใดทางหนึ่ง ข้างใดข้างหนึ่ง ถ้าจดจ่อฝ่ายโลกมากๆ เดี๋ยวท่านก็ทำตามแบบโลกนี้ แล้วท่านก็จะได้รับผลของมัน ตามที่ได้ทำลงไป

ผมถึงให้ทำนับพระพร ขอบคุณพระเจ้า ที่ให้ไปอ่าน ให้ไปท่อง ให้ไปพูด ให้จำจนขึ้นใจว่าขอบคุณพระเจ้าในเรื่องอะไรบ้าง ในเรื่องเบื้องบน ในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ที่พระองค์ทรงกระทำให้เราแล้ว ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้าได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้าได้รับการชำระแล้ว ขอบคุณพระเจ้าได้เป็นลูกของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่ได้นั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงจูงมือลูกเดินตลอดเวลา ในทุกวันนี้ ผ่านหุบเขาเงามัจจุราชบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย อะไรแบบนี้ตลอดเวลา ก็เพื่อให้เราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราจะได้ไม่ลืม และจะได้ยินเสียงพระเจ้าชัดเจน จะได้ไม่ดับพระวิญญาณ

เช่นพระเจ้าต้องการให้เราได้ดี ให้เราให้อภัยแก่ผู้อื่น ไม่แค้นเคืองใจ รีบๆ อภัยให้เขาสะ ไม่ใช่อะไรหรอก มันเป็นประโยชน์กับลูกเอง ถ้าเราไม่เชื่อฟัง เราก็ได้รับผลเอง เดือดร้อนเอง เครียดเอง ความดันขึ้นสูง เครียด โรคภัยอื่นๆ เข้ามาถามหา แถมอิทธิพลยังทำให้มีผลข้างเคียง ทำให้คนอยู่ข้างๆ หนีหมดเลย  เพราะเราโกรธ เราโมโห เราอาจทำอะไรผิดพลาดเยอะแยะมากมาย เราต้องได้รับโทษเหล่านั้น ใช่เขาทำผิดจริงๆ ทำให้เราโกรธ แต่เราผิดมากมายที่เราไปโกรธ พอเราโกรธปุ๊บ จากการเป็นคนถูก เลยกลายเป็นคนผิดเลย ผิด เพราะเราไปหว่านในความโกรธเหล่านั้น ที่พระเจ้าบอกอย่าไปทำเลย อภัยให้เขาเถิด อะไรอย่างนี้ นอนก็ไม่หลับ คิดดูสิ พระเจ้าต้องการให้เราทนทุกข์อยากนั้นหรือ? ไม่ต้องการ ต้องการให้เราอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุข เท่าที่ทำได้ และสงบสุขที่สุด เท่าที่ทำได้

เมื่อเราไม่เชื่อฟังพระเจ้าที่พระเจ้าเฝ้าสอนเรา  คอยแนะนำเรา ผ่านทางคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ ที่สั่งสอนเรา และแนะนำเรา เราก็ต้องทนทุกข์ รับโทษนั้นเอง ซึ่งในข้อที่ 21 และ 22 ที่ตะกี้เราอ่านร่วมกัน ที่บอกว่า …

“จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี  จงหลีกห่างความชั่วทุกชนิด”

ก็คือเมื่อสนใจ ให้พระวิญญาณนำพาชีวิตของเรา ไม่ดับพระวิญญาณ อธิษฐาน วิงวอน ขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอๆ ชื่นชมยินดีในการที่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ชื่นชมยินดีที่เราเป็นลูกพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่ในพระเจ้าแล้วตลอดเวลา ถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็จะยึดมั่นในสิ่งที่ดี และมีสติปัญญา จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะสอนเรา จะบอกเราว่าอะไรดี อะไรชั่ว เราจะเห็น เราจะรู้จักแยกแยะว่าอะไรไม่ถูกต้อง อะไรเป็นวิญญาณที่ไม่ดี อะไรเป็นวิญญาณที่ดี โดยสติปัญญาจากพระเจ้า และขณะเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะให้กำลังเรา ในการกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ตามสติปัญญาพระเจ้าได้อีกด้วย

นี่แค่พระคัมภีร์เพียงไม่กี่ข้อ  ในวันนี้ ที่ยกมา จะเห็นชัดว่ามันสำคัญอย่างไร? ทำไมเปาโลจึงต้องสอนสิ่งเหล่านี้ ทำไมเปาโลไม่มานั่งสอนให้เราไล่ผี ผีแห่งความโกรธออกไป ผีแห่งความเจ็บไข้ได้ป่วยออกไป พวกท่านทั้งหลายเมื่อเชื่อแล้ว จงไล่ผีเหล่านี้ออกไปหมดเลย ไม่ใช่เลย มันอยู่ที่ท่านตั้งใจจะเชื่อฟังใคร? จะให้ใครนำมากกว่า ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จะเอาโลกวิญญาณมาตั้ง และอยากได้วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้  โดยใช้สิทธิอำนาจทางโลกวิญญาณมาสั่งการบนโลกใบนี้ มันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป มันมีกฎของมัน กฎของโลกวัตถุ มันก็มีกฎของมัน ที่เราต้องรับไว้ ทำอะไรลงไปอย่างไร? บันทึกไว้อย่างไร? เราก็ต้องได้รับตามนั้น เช่นเดียวกันกับในโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณมีกฎของโลกวิญญาณว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ ผู้นั้นเมื่อเชื่อในพระบุตร พระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลง เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ว่าใครก็ตามทำอย่างนี้ก็ได้หมด ถูกใช่ไหม?

ในโลกวัตถุก็เช่นเดียวกัน ใครหว่านในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องได้รับโทษต่างๆ เหล่านั้น พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ช่วยได้แค่พยายามหาทางประคับประคองให้ ค่อยๆ มีความอดทน มีกำลังที่จะรับโทษของตัวเอง ในการตัดสินใจกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องในโลกใบนี้ไป เพราะฉะนั้นมี  2 ทางเลือก ให้เราเลือกเอา แต่อย่างที่บอกว่าพระเจ้าต้องการให้เรา อย่าดับไฟพระวิญญาณ เชื่อฟังพระองค์

แล้วเดี๋ยวสัปดาห์เรามาเรียนกันต่อ มีอีกหลายๆ อย่างที่เราควรจะเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าทำอย่างไร เราถึงจะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าได้? ทำอย่างไรเราถึงจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุขมากที่สุด เท่าที่เป็นไปได้ ตามน้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้เราเป็น ใช่เรามีสันติสุข มันความสุขนิรันดร์ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์สถาน ซึ่งเราจะอยู่กับพระเจ้าตลอดไป อยู่โลกใหม่ ที่งดงาม ไม่มีความบาปมาล่อลวงเราอีกแล้ว แต่นั่นมันคืออนาคต แล้วในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่มีทั้งความบาป คำสาปแช่ง ความวิปริตต่างๆ บนโลกใบนี้ เราจะอยู่อย่างไรที่จะให้มันเดือดร้อนตัวเองและผู้คนรอบข้างน้อยที่สุด เราจะสำแดงพระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่ในเรา ให้ฉายแสงออกมา เป็นความรัก ความเมตตา  เป็นแสงสว่างให้กับผู้คนบนโลกใบนี้ และอะไรต่างๆ รอบข้างเราบนโลกใบนี้ ให้งดงามที่สุด ได้อย่างไร? เราจะมาเรียนรู้กันต่อไป พระเจ้าอวยพรครับ

 

***********************