คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2020 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 42 โดย วราพร คงล้วน

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  กันยายน  2020

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 42

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้ เราก็ยังอยู่ในเรื่องของอย่ากลัวเลย ในพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นถ้อยคำของพระเจ้าที่พูดกับคนอิสราเอลหลายๆ ครั้งเมื่อเผชิญกับปัญหาอุปสรรค เจอกับคนมารบกวน แล้วก็เข้ามาหาพระเจ้า พระเจ้าก็จะตรัสกับคนของพระองค์ว่า … “อย่ากลัวเลย” … เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วย อยู่ข้างๆ เพื่อที่จะช่วยเหลือประชากรของพระองค์ ในยุคสมัยเดิม พระเจ้าไม่ได้อยู่ในคนอิสราเอล แต่ก็คอยวนเวียนช่วยเหลือตลอดเวลา ไม่ว่าคนอิสราเอลจะเจอความทุกข์ยากลำบากอะไร พระเจ้าก็จะยื่นพระหัตถ์มาช่วยเหลือเสมอ

วันนี้เรามาดูในหนังสือ 2 พงศาวดาร 20:1-30 บอกไว้อย่างนี้ เรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องราวของกษัตริย์ในยูดาห์อีกพระองค์หนึ่ง ที่มีชื่อว่าเยโฮชาฟัท

คราวที่แล้วเราเรียนเรื่องของกษัตริย์เฮเซคียาห์ ที่ชาวอัสซีเรียมาต่อสู้ แล้วเฮเซคียาห์เข้าไปหาพระเจ้า ขอความช่วยเหลือ แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยเหลือเขาให้พ้นจากศัตรู

อีกครั้งหนึ่งกษัตริย์เยโฮชาฟัทก็เจอในเรื่องราวเดียวกัน แต่ว่าเป็นอีกกลุ่มคนหนึ่งที่เข้ามาสู้รบกับคนอิสราเอล เรามาดูว่าคนกลุ่มนี้ คือใคร?

2 พงศาวดาร 20:1-3 “1 และอยู่มาภายหลัง  คนโมอับและคนอัมโมน  และคนเมอูนี  บางคนพร้อมกับเขาทั้งหลาย  ได้ขึ้นมาทำสงครามกับเยโฮชาฟัท 2 มีคนมาทูลเยโฮชาฟัทว่า  “มีคนหมู่ใหญ่มาสู้รบกับฝ่าพระบาทจากเอโดม  จากฟากทะเลข้างโน้น  และดูเถิด  เขาทั้งหลายอยู่ในฮาซาโซนทามาร์”  (คือเอนกาดี) 3 และเยโฮชาฟัทก็กลัว   และมุ่งแสวงหาพระเจ้า   และได้ทรงประกาศให้อดอาหารทั่วยูดาห์

 

เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อมีชนโมอับกับอัมโมนยกทัพใหญ่มาสู้รบกับคนอิสราเอล เมื่อกษัตริย์เยโฮชาฟัทได้ยินปุ๊บ เกิดความกลัว มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เราอยู่ดีมีสุข อยู่ดีๆ ใครก็ไม่รู้ยกทัพมากองใหญ่เลย มาเพื่อที่จะสู้รบ ทำให้สันติสุขหรือความสงบสุขในบ้านเมืองหายไป ก็เกิดความกลัว

กษัตริย์เยโฮชาฟัท เมื่อเกิดความกลัวปุ๊บ ก็วิ่งเข้าไปแสวงหาพระเจ้า แล้วขอบคุณพระเจ้ามากๆ ที่กษัตริย์เยโฮชาฟัทได้คิดถึงพระเจ้าก่อนใคร คราวที่แล้วกษัตริย์เฮเซคียาห์ ยังไม่คิดถึงพระเจ้าก่อนนะ  พอคนอัสซีเรียมาสู้รบปุ๊บ เขาก็ไปขอเจรจาสงบศึก แล้วก็ถูกปรับอย่างมากมาย จนเงินในท้องพระคลังถูกเอาไปหมด แล้วแถมไปลอกทองพระวิหารไปด้วย ขนาดนั้น กษัตริย์อัสซีเรียยังไม่ยอม ยังมาท้าทาย มาว่ากล่าวกษัตริย์อย่างแรง เมื่อถูกว่ากล่าวเยอะ ทนไม่ไหว ใช้กำลังตัวเองไม่ได้แล้ว ต้องเข้าไปหาพระเจ้า

แต่กษัตริย์เยโฮชาฟัทไม่เหมือนกัน พอเกิดศึกสงครามปุ๊บ กษัตริย์เยโฮชาฟัทคิดถึง พระเจ้าก่อนเลย เขาวิ่งเข้าไปหาพระเจ้า เข้าไปหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า แล้วก็ประกาศให้ประชาชนทั้งหมดอดอาหาร

การอดอาหารเป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่คนอิสราเอลได้สำแดงถึงความทุกข์ยากลำบาก ความต้องการที่จะหาพระเจ้าจริงๆ ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้าจริงๆ แล้วหลายครั้ง ไม่เพียงแต่อดอาหารอธิษฐานเท่านั้น ก็ยังมีการเอาขี้เถ้าซัดใส่ศีรษะตัวเอง เอาเสื้อกระสอบมาใส่อะไรอย่างนี้ เป็นการสำแดงให้พระเจ้าเห็นว่าตอนนี้ทุกข์มากเลย พระองค์เจ้าข้า ต้องการความช่วยเหลืออย่างแรงจากพระเจ้า กษัตริย์เยโฮชาฟัทก็หาพระเจ้า แล้วก็เรียกให้คนอดอาหารอธิษฐาน

2 พงศาวดาร 20:4-6 “4 และยูดาห์ได้ชุมนุมกันแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า  เขาทั้งหลายพากันมาจากหัวเมืองทั้งสิ้นแห่งยูดาห์  เพื่อแสวงหาพระเจ้า 5 และเยโฮชาฟัทประทับยืนอยู่    ในที่ประชุมของยูดาห์    และเยรูซาเล็ม  ในพระนิเวศของพระเจ้า  ข้างหน้าลานใหม่ 6 และตรัสทูลว่า  “ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย  พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าในฟ้าสวรรค์หรือ  พระองค์มิได้ปกครองเหนือบรรดาราชอาณาจักรของประชาชาติหรือ  ในพระหัตถ์ของพระองค์มีฤทธิ์และอำนาจ  จึงไม่มีผู้ใดต่อต้านพระองค์ได้”

 

คนยูดาห์มารวมตัวกันในพระนิเวศน์ของพระเจ้า สมัยก่อนคนอิสราเอล เมื่อต้องการหาพระเจ้า เขาจะวิ่งเข้ามาที่กรุงเยรูซาเล็ม มาที่พระวิหาร หรือบางคนไม่สามารถเดินทางมาได้ เขาก็จะหันหน้าไปที่พระวิหารของพระเจ้า เพื่อที่จะอธิษฐาน

คนกลุ่มใหญ่ในยูดาห์ร่วมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เมื่อมีความทุกข์ยากลำบาก เมื่อมีศึกสงคราม ก็มาแสวงหาพระเจ้า แล้วสิ่งที่กษัตริย์เยโฮชาฟัทได้อธิษฐานกับพระเจ้า คือได้บอกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระเจ้าที่เขารู้จัก เป็นพระเจ้าที่ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด แล้วเขารู้ว่าไม่มีความช่วยเหลือที่ไหนที่จะสามารถช่วยเขาให้รอดพ้นได้ นอกจากพระเจ้าผู้เดียว

2 พงศาวดาร 20:7 “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย  พระองค์มิได้ทรงขับไล่ชาวแผ่นดินนี้ ออกไปเสียให้พ้นหน้าอิสราเอลประชากรของพระองค์หรือ  และทรงมอบไว้แก่เชื้อสายของอับราฮัมมิตรสหายของพระองค์เป็นนิตย์”

 

ก่อนที่คนอิสราเอลจะมายึดครองแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินคานาอันก็จะมีชนชาติอื่นๆ มากมายเยอะแยะที่ไม่ใช่ชนอิสราเอลครอบครองอยู่ แล้วพระเจ้าก็ให้ครอบครอง เพื่อว่าจะได้รักษาแผ่นดินไว้  พี่น้องนึกออกไหมค่ะ ถ้าแผ่นดินไหนไม่มีคนอยู่ ก็จะรกร้าง ก็จะแห้งแล้ง ไม่มีใครทำอะไรทั้งหมด พระเจ้าก็อนุญาตให้ผู้คนเหล่านี้ ยังคงอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับคนอิสราเอล พอถึงวาระที่พระเจ้าจะให้คนอิสราเอลยึดครองแผ่นดินคานาอัน คือตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าให้โมเสสนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ พระเจ้าก็จะประทานแผ่นดินแห่งน้ำผึ้งและน้ำนม เป็นแผ่นดินที่สมบูรณ์มากให้กับคนอิสราเอลเข้าไปยึดครอง แต่เหตุว่าคนอิสราเอลไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าบอก เขาก็เลยต้องวนเวียนในถิ่นทุรกันดาร 40 ปี จนโมเสสตายจากไป ก็ยังไม่ได้เข้าแผ่นดินคานาอัน ได้แค่เห็นด้วยตาเท่านั้น แล้วโยชูวาก็เป็นคนที่พระเจ้าใช้ให้พาคนอิสราเอลเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน แต่กว่าที่คนอิสราเอลจะได้เข้าไปยึดครองแผ่นดินคานาอัน ต้องมีการสู้รบปรบมือมากมายที่พระเจ้าทรงเป็นผู้นำทัพ

พระเจ้าจะทรงตรัสเลยว่าถ้าไปสู้รบกับตรงนี้ ต้องทำแบบนี้ แล้วถ้ารบชนะต้องทำอย่างไร? บางทีพระเจ้าก็ให้ฆ่าคนหมดเลย ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ลูกเล็กเด็กแดง ให้ฆ่าให้หมด แม้แต่สิงสาราสัตว์ก็ให้ฆ่าให้หมด แล้วก็เข้าไปยึดครอง บางทีพระเจ้าก็ให้ฆ่าแต่คน ให้สัตว์เก็บไว้ คนอิสราเอลสามารถเอามาใช้ได้  บางทีพระเจ้าก็เอาแต่ผู้ชายฆ่าให้ตาย เหลือเด็กกับผู้หญิงอะไรก็แล้วแต่ แต่ละที่พระเจ้าก็จะมีคำสั่งที่ไม่เหมือนกัน เราไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร? แต่สิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ เป็นอย่างนั้น แล้วคนอิสราเอล ถ้าช่วงไหนที่เขาเชื่อพระเจ้าจริงๆ ก็คือทำตามที่พระเจ้าบอกเลย พระเจ้าบอกให้ทำลายทุกอย่างหมดเลย แม้แต่เสื้อผ้าเงินทอง ให้ทำลายหมดเลย

ถ้าเขาเชื่อฟัง พระเจ้าก็นำเขาต่อไป แต่จะมีช่วงที่คนอิสราเอลไม่เชื่อฟัง บางคนแอบเก็บของเอาไว้ ของแค่นิดเดียวเอง ทำให้ครั้งต่อไป เมื่อเขาไปสู้รบสงคราม เขาก็แพ้ พอแพ้ปุ๊บ โยชูวาก็รู้แล้ว มันต้องมีอะไรผิดปกติ เพราะพระเจ้าสัญญาแล้วไงว่าพระเจ้าจะพาคนอิสราเอลไปยึดครองแผ่นดินทั้งหมด มันต้องชนะมันแพ้ได้อย่างไร? พอแพ้ปุ๊บ ก็ไปอธิษฐานกับพระเจ้า พระเจ้าก็จะบอกว่า …

“เหตุที่แพ้ เพราะมีคนโน้นคนนี้ไม่เชื่อฟังเรา  ไปทำสิ่งที่เราห้าม”

ถ้าพี่น้องไปอ่านพระคัมภีร์เดิม ในช่วงที่คนอิสราเอลไปยึดครองแผ่นดินคานาอัน เราจะเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ทรงนำคนอิสราเอลมาตลอด แล้วก็จะมีช่วงจังหวะแต่ละอย่าง แต่ละที่ แต่ละจุดประสงค์ที่พระเจ้าได้พาไป แล้วจะมีคำสั่งที่มันไม่เหมือนกันทุกอัน

สิ่งที่พระเจ้าสำแดงให้เราเห็น ก็คือพระองค์ต้องการความเชื่อฟังจากคนอิสราเอล ในยุคปัจจุบัน ในยุคพระคุณของเราเหมือนกัน พระองค์ก็ต้องการความเชื่อฟังจากพวกเราทุกๆ คน ซึ่งเราเชื่อวางใจในพระเจ้า แล้วพระองค์ต้องการให้เดินอย่างมั่นคง มีความเชื่อวางใจในพระเจ้า ที่เรารู้จัก ที่พระองค์ทรงเลือกสรรเรามาให้เป็นลูกของพระองค์

นี่ก็คือยุคของเราที่เต็มล้นด้วยพระคุณ ด้วยความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา เราก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่เหมือนคนยุคเดิม พระเจ้าไม่ได้อยู่ข้างในเขา ก็ยังคงต้องต่อสู้กันด้วยกำลังของตัวเขาเอง

แล้วกษัตริย์เยโฮชาฟัทก็มาอธิษฐานพระเจ้า … “เห็นไหมพระองค์บอกแล้วไงว่าพระองค์จะให้แผ่นดินเหล่านี้ ให้แก่บรรพบุรุษของเรา และลูกหลานของเรา ที่จะยึดครอง”

2 พงศาวดาร 20:8-9  “8 และเขาทั้งหลายได้อาศัยอยู่ในนั้น  และได้สร้างสถานนมัสการแห่งหนึ่งในนั้นถวายพระองค์  เพื่อพระนามของพระองค์ทูลว่า 9 ‘ถ้าเหตุชั่วร้ายขึ้นมาเหนือข้าพระองค์ทั้งหลายจะเป็นดาบ  การพิพากษา  หรือโรคระบาด  หรือการกันดารอาหาร  ข้าพระองค์ทั้งหลายจะยืนอยู่ต่อหน้าพระนิเวศนี้ และต่อพระพักตร์พระองค์ เพราะพระนามของพระองค์อยู่ในพระนิเวศ  และร้องทูลต่อพระองค์ในความทุกข์ใจของข้าพระองค์ทั้งหลาย  และพระองค์จะทรงฟังและช่วยให้รอด’

 

สมัยก่อน ก็คือต้องมาที่พระนิเวศน์นี้แหละ แล้วก็มาร้องทูล บอกถึงความทุกข์ใจ สิ่งที่ได้เผชิญ แล้วต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า คนอิสราเอลสมัยก่อน ก็จะเจอ ไม่ว่าปัญหาอะไร ใหญ่น้อยเท่าไร? เกิดมีขึ้น พวกเขาก็จะมาที่พระนิเวศน์ของพระเจ้า เพื่อที่จะอธิษฐานกับพระเจ้า

2 พงศาวดาร 20:10  “ดูเถิด  บัดนี้คนอัมโมน  และโมอับ  และภูเขาเสอีร์  ผู้ซึ่งพระองค์ไม่ทรงยอมให้คนอิสราเอลบุกรุก  เมื่อเขามาจากแผ่นดินอียิปต์  และผู้ซึ่งเขาได้หลีกไปมิได้ทำลายเสีย”

 

พระเจ้าให้เก็บกลุ่มคนนี้ไว้ ไม่ให้ทำลาย ถ้าเป็นที่อื่น พระเจ้าก็ให้ทำลายนะ อย่างไปบุกเมืองเยรีโค พระเจ้าก็ให้ฆ่าหมดเลย กลุ่มคนเหล่านี้ พอเข้ามาอยู่ในแผ่นดินคานาอัน พระเจ้าบอกอย่าไปยุ่งกับเขา ปล่อยให้เขาอยู่ไปอย่างนั้นแหละ ปรากฏว่าอยู่ไปอยู่มายกทัพ จะมาตีคนอิสราเอล

กษัตริย์เยโฮชาฟัทก็เลยมาอธิษฐานกับพระเจ้า … “กลุ่มนี้แหละที่พระเจ้าบอกไม่ต้องไปยุ่งกับเขา แต่ตอนนี้เขามายุ่งกับเราแล้ว”

2 พงศาวดาร 20:11  “ดูเถิด  เขาทั้งหลายได้ให้บำเหน็จแก่เรา  ด้วยมาขับเราออกเสีย  จากแผ่นดินกรรมสิทธิ์ของพระองค์  ซึ่งพระองค์ประทานให้แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นมรดก”

 

ให้ของขวัญชิ้นงามเลย ให้อยู่ในแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินที่พระเจ้าให้กับเรา เราอนุญาตให้เขาอาศัยอยู่ แต่เขาให้รางวัลเรา

เห็นไหม? จากที่เป็นคนมาอาศัยด้วย กลายเป็นว่า …

“ไม่เอาแล้วเจ้าของ ฉันจะไล่ออกไปเลย”

กษัตริย์เยโฮชาฟัทก็มาอธิษฐานกับพระเจ้าตรงๆ แบบนี้แหละ …

“เห็นไหม? พระองค์เจ้าข้าเกิดเรื่องแล้ว เรื่องเป็นแบบนี้ แล้วพระองค์จะว่าอย่างไร?”

2 พงศาวดาร 20:12  “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์  พระองค์จะไม่ทรงกระทำ  การพิพากษาเหนือเขาหรือ  เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีฤทธิ์ที่จะต่อสู้ คนหมู่มหึมานี้  ซึ่งกำลังมาต่อสู้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย  ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด  แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์

 

อันนี้สุดยอด อันนี้คือเป็นกุญแจหลักของคนของพระเจ้า ที่มาบอกกับพระเจ้าว่า …

“เราไม่รู้จะทำอย่างไร? คนมาเยอะขนาดนี้ เราไม่มีกำลังที่จะต่อสู้เขา แพ้อย่างเดียวเลย แต่สิ่งที่เรามี คือพระเจ้า แล้วสายตาของพวกเราจะไม่ละไปจากพระองค์เลย ดวงตาเราจะเพ่งที่พระองค์”

นี่คือสิ่งที่กษัตริย์เยโฮชาฟัทได้อธิษฐานกับพระเจ้า

2 พงศาวดาร 20:13-14  “13 ในระหว่างนั้นคนทั้งปวงของยูดาห์  ก็ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าพร้อมกับภรรยาและลูกหลานของเขา 14 และพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมา    สถิตกับยาฮาซีเอลบุตรเศคาริยาห์  ผู้เป็นบุตรเบไนยาห์  ผู้เป็นบุตรเยอีเอล  ผู้เป็นบุตรมัทธานิยาห์ เป็นคนเลวีเชื้อสายของอาสาฟ  เมื่อท่านอยู่ท่ามกลางที่ประชุมนั้น”

 

สมัยก่อน พระเจ้าจะเลือกเผ่าเลวีไว้ เพื่อที่จะติดต่อสื่อสารกับพระเจ้า เวลาที่พระเจ้าคุย พระเจ้าไม่คุยกับกษัตริย์ ไม่คุยกับคนธรรมดา แต่พระเจ้าจะคุยกับเชื้อสายของอิสราเอล ซึ่งเป็นเผ่าเลวีที่พระองค์เลือกสรรมา เป็นครั้งๆ ไป ที่พระเจ้าจะเสด็จลงมาสถิตกับผู้เผยพระวจนะ แล้วก็ให้ผู้เผยพระวจนะเป็นคนบอกต่อสิ่งที่พระองค์ต้องการให้คนอิสราเอลได้รับรู้

ผิดจากปัจจุบัน ตรงที่เราไม่ต้องรอให้พระเจ้าเสด็จลงมา เราไม่ต้องอธิษฐานขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เราติดปาก ตอนนี้ไม่กล้าอวยพร … “ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” … เพราะว่ามันไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า ไม่ต้องอวยพรว่าขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เพราะพระเจ้าอยู่กับเราแล้ว มันยากมากที่จะแก้ แต่พอเรารู้ความจริง เราก็อยากจะแก้ พี่น้องลองคิดดูนะ ดิฉันเชื่อพระเจ้ามาจะ 35 ปีแล้ว แล้วก็ถูกสอนตรงนี้มาตลอด แล้วเวลาอธิษฐาน ก็จะบอกว่า …

“ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกัน”

ซึ่งพระเจ้าบอก … “ฉันอยู่กับเธอแล้ว เธอมาขอทำไม?”

ถ้าเราขอแบบนี้ ก็แปลว่าเราไม่เชื่อว่าพระเจ้าอยู่ด้วย เราจึงต้องขอไง ยากมากเลยกว่าเราจะแก้ แล้วมันก็จะลืม ลืมประจำ แต่พอนึกขึ้นได้ เราก็จะอธิษฐานใหม่ …

“ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่กับเรา ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงให้เราเป็นลูก ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงประทานความชอบธรรมให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้เราเป็นอิสรภาพจากความบาป และความตายเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูได้ทำทุกอย่างเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า เราสามารถที่จะเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระพรที่พระองค์ได้ทรงเตรียมไว้ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว”

“เรียบร้อยไปแล้ว” แปลว่าเรามีอยู่ในคลังแล้ว เราไม่ต้องขอพระพร เรานั่งทำอย่างเดียว คือนับพระพร

ยากนะกว่าเราจะเปลี่ยน แล้วตอนนี้ คือตัวดิฉันเองก็ลืมๆ บางทีเราเข้าใจนะว่าความจริงคืออย่างนี้ แต่ว่าด้วยความเคยชินของปากเรา ที่เราพูดเป็นประจำมา 30 กว่าปี พี่น้องคิดดูว่าอย่างนี้ แล้วอยู่ดีๆ พอพระเจ้าเปิดให้เราเห็นความจริงปุ๊บ มันต้องเปลี่ยน พอรู้ความจริง ก็ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนคำพูดจากคำว่า …

“ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

ไม่ได้แล้ว ตอนนี้ไม่ต้องขอ เพราะพระเจ้าอยู่ด้วย ขอพระเจ้าอวยพร ก็ไม่ต้อง เพราะพระเจ้าอวยพรเราอยู่แล้ว อะไรอย่างนี้ มันยากมากเลย ตอนนี้เวลาพิมพ์อะไร คำขอจะหายไป

“พระเจ้าอวยพรนะคะ”

คือมันต้องใช้เวลา ใช้พลังอย่างแรงที่เราจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือความคิดของเรา ที่เราถูกปลูกฝังมานานมาก ที่เราใช้คำพูดอันนี้ ซึ่งเราอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ แต่ถ้าเรามาทบทวนจริงๆ มันสำคัญมากเลย ถ้าเราพูดอย่างที่เดิมๆ เราพูด คือ …

“ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

แปลว่าเราไม่เคยเชื่อเลยว่าพระเจ้าอยู่ในพวกเราทุกคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า  เราถึงต้องขอ  มันเป็นการยากมาก สำหรับตัวดิฉันเองด้วย ที่มายืนสอนตรงนี้ เราต้องพยายามที่จะพูดให้ชัดเจน และเข้าใจให้ชัดเจนว่าความเป็นจริงที่พระเจ้าทรงเปิดเผยสำแดงให้เราเห็นว่าจริงๆ เราเป็นคริสเตียนแล้ว จริงๆ เรารับมาแล้วทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ ในโลกวิญญาณ แล้วมันจะส่งผลออกมาเป็นโลกวัตถุ ที่พอเราเชื่ออย่างนี้ปุ๊บ ความคิดเราจะเปลี่ยนไป เหมือนลักษณะ ถ้าจะเปรียบเทียบครอบครัวง่ายที่สุด คือเราเป็นลูกของบ้านไหน? เราไม่เคยรู้สึกสงสัยในความรักของพ่อแม่เลย เพราะว่าพ่อแม่จะจัดเตรียมทุกอย่างให้กับเรา ตื่นเช้าขึ้นมา เราไม่ต้องไปนั่งกังวลว่าเช้านี้เราจะต้องหาอะไรกิน พ่อแม่ก็เตรียมให้เราเสร็จแล้ว แถมในปัจจุบันไม่ได้เตรียมเสร็จเฉยๆ ต้องขอร้องให้มากินด้วย ช่วยมากินหน่อยลูก อะไรอย่างนี้ พี่น้องนึกภาพออกไหม? บางทีพ่อแม่เตรียมเสร็จ ทำไมลูกเรา วันนี้ไม่กิน อะไรอย่างนี้

พอเราเห็นภาพชัดเจน ในความเป็นมนุษย์ เป็นลูกก็คือลูก ต่อให้ลูกเราทำอะไรเกเรขนาดไหน? เราไม่เคยมีความคิดว่าจะตัดเขาออกจากความเป็นลูก อย่างไรเขาก็เป็นลูกเรา ต่อให้เขาผิดขนาดไหน? เราเศร้า เราก็ยังอธิษฐานเผื่อเขา ขอพระเจ้าเมตตาช่วยเขาด้วย ให้กำลังเขาด้วย พอเราเห็นภาพตรงนี้ มันเป็นภาพที่พระเยซูบอกว่าขนาดมนุษย์ยังรักลูกของตัวเองขนาดนี้ ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด ที่พระเจ้าทรงรักเรามากขนาดไหน? ฉะนั้น ตอนนี้เข้าใจเลยว่าที่พระเยซูบอกว่าถ้าเรารู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยเราให้เป็นไท มันเป็นอย่างนี้จริงๆ พอเราเป็นอิสระ เราไม่ต้องมานั่งกังวล ไม่ต้องมานั่งผวาตลอดเวลา …

“วันนี้ฉันทำอย่างนี้ แล้วพระเจ้าจะรักฉันไหม?”

พระเจ้าก็ยังคงยืนยัน … “ต่อให้เธอทำชั่วขนาดไหน ฉันก็ยังรักเธอ เพราะว่าฉันเลือกเธอมาแล้ว”

นี่คือความจริง แล้วพอเรารู้ความจริงว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? ข้างในเรารู้เลยว่าเราไม่อยากจะทำชั่ว ไม่อยากจริงๆ เราอยากจะทำสิ่งที่ดี เพื่อตอบสนองความรักของพระเจ้า ไม่ใช่ทำสิ่งที่ดี เพื่อเราจะได้รับความรอด อันนั้นไม่ใช่ ถ้าเราคิดว่าเราต้องทำโน่นนี่นั่น เพื่อเราจะได้รับความรอด อันนั้น เราเดินผิดทางเลย เราขึ้นรถเมล์ผิดสาย แล้วเราก็จะกู่ไม่กลับเลย คือมันจะไปไกลมาก แต่ถ้าเรารู้ว่าที่เราทำทุกวันนี้  ที่เราเชื่อฟังพระองค์ เพราะเรารักพระองค์  เพราะพระองค์ให้เราหมดทุกอย่างแล้ว เราไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว คือหมดจนขนาดชีวิตของพระองค์เอง ยังให้เราเลย แล้วเราจะไปกลัวอะไรล่ะ เราจะไปสงสัยอะไรกับความรักของพระเจ้า ไม่ต้องสงสัย เรารู้ว่าอย่างไร พระเจ้าก็รักเรา

พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บ ท่าทีในการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราจะเปลี่ยน เมื่อก่อนเราอาจจะคิดว่าเราต้องๆ ทำอย่างนี้ เพื่อให้พระเจ้ารัก ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เรารู้ว่าพระเจ้ารักอยู่แล้ว เราอยากทำ เพราะเรารักพระองค์ เราอยากให้พระองค์มีความสุข แค่นั้น ดังนั้น ท่าทีมันจะกลับกัน แบบขาวกับดำ หน้ามือหลังมือเลย พอเรารู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็ช่วยๆ กัน บางทีมันเผลอ มันลืม ก็จะกลับไปที่เดิม พวกเราพอรู้ความจริง ก็ต้องช่วยกัน

คนอิสราเอลสมัยก่อน ต้องใช้ความสามารถของตัวเอง ต้องใช้กำลังของตัวเอง เพื่อที่จะยืนหยัดอยู่ในหนทางที่ถูกต้องของพระเจ้า เพื่อที่จะให้พระเจ้ารักและพระเจ้าช่วยเหลือ พระเจ้าสถิตอยู่ นั่นคือความยากลำบากของคนยุคนั้น ก่อนที่พระเยซูมาตายแทนเราบนไม้กางเขน ก่อนยุคพระคุณ

ฉะนั้น คนอิสราเอลพอเขาเดินตามพระเจ้า พระเจ้าก็มาช่วยเขาเป็นช่วงๆ พอเขากบฏต่อพระเจ้า คือไม่เอาพระเจ้าแล้ว ไปติดตามพระอื่น  ก็จะมีภัยพิบัติมา จริงๆ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าเรามีพระเจ้า สิ่งชั่วร้ายมันมาไม่ถึง จริงๆ สิ่งชั่วร้ายมันมีอยู่รอบตัวเราอยู่แล้ว พอเราเอาพระเจ้าออกไปปุ๊บ สิ่งชั่วร้ายมันก็วิ่งเข้ามาตะครุบเรา นี่เรื่องปกติเลย ไม่ได้หมายความว่าพอไม่เอาพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าลงโทษ กฎมันมีอยู่แล้ว ไม่มีพระเจ้า เราต้องสู้ด้วยตัวเอง  ฉะนั้น เราไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับสิ่งชั่วร้ายบนโลกใบนี้ เราก็ต้องเจอภัยพิบัติ อันนี้คือสมัยก่อนเขาเป็นแบบนี้

กษัตริย์เยโฮชาฟัทก็วิ่งเข้ามาหาพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็มาสถิตอยู่กับผู้เผยพระวจนะ แล้วก็มาพูดกับคนอิสราเอล

พี่น้องอาจจะสงสัย สมัยก่อนเขาไม่มีนามสกุล อย่างสมมติว่าเขาเรียกชื่อดิฉัน วราพร คงล้วน รู้เลยว่าใคร? แต่สมัยก่อนไม่มีนะ ต้องไล่ยาวตั้งแต่ คนนี้เป็นลูกคนนี้ คนนี้เป็นลูกคนนี้ๆๆๆๆๆๆ โยงมาจนถึง เป็นเชื้อสายของเลวี อะไรอย่างนี้

2 พงศาวดาร 20:15  “และเขาได้พูดว่า  “ยูดาห์ทั้งปวงและชาวเยรูซาเล็มทั้งหลาย  กับกษัตริย์เยโฮชาฟัท  ขอจงฟัง  พระเจ้าตรัสดังนี้แก่ท่านทั้งหลายว่า  ‘อย่ากลัวเลย  และอย่าท้อถอยด้วยคนหมู่มหึมานี้เลย  เพราะว่าการสงครามนั้นไม่ใช่ของท่าน  แต่เป็นของพระเจ้า”

 

พระเจ้าเข้ามายืนยันกับเยโฮชาฟัทกับคนยูดาห์ทั้งกลุ่มเลยว่าการสงครามนี้ ไม่ใช่เป็นของพวกเธอ แต่เป็นของพระองค์เอง

2 พงศาวดาร 20:16  “พรุ่งนี้เช้าจงลงไปต่อสู้กับเขา  ดูเถิด  เขาจะขึ้นมาทางขึ้นที่ตำบลศิส  ท่านทั้งหลายจะพบเขาที่ปลายหุบเขา  ทางตะวันออกของถิ่นทุรกันดารเยรูเอล”

 

พระเจ้าบอกชัดเจน ละเอียดยิ๊บเลย

2 พงศาวดาร 20:17  “ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องสู้รบในสงครามครั้งนี้  โอ  ยูดาห์  และเยรูซาเล็ม  จงเข้าประจำที่  ยืนนิ่งอยู่และดูชัยชนะของพระเจ้า  เพื่อท่าน’   อย่ากลัวเลย    อย่าท้อถอย   พรุ่งนี้จงออกไปสู้กับเขาและพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน”

 

พระเจ้าบอกว่า … “พรุ่งนี้ ฉันจะอยู่กับพวกเธอ แล้วการสงครามนี้ ไม่ใช่ของพวกเธอด้วย พระเจ้าจะจัดการเอง”

แต่ว่าเขาต้องทำ เขาก็ยกกองทัพไป แต่เราขอบคุณพระเจ้า การยกกองทัพของกษัตริย์เยโฮชาฟัท เขาไม่ได้ยกกองทัพไป เพื่อสู้รบ เรามาดูว่าเขาทำอะไร?

2 พงศาวดาร 20:18-19  “18 แล้วเยโฮชาฟัทโน้มพระเศียรก้มพระพักตร์ของพระองค์  ลงถึงดิน  และยูดาห์ทั้งปวงกับชาวเยรูซาเล็ม   ได้กราบลงต่อพระเจ้า  นมัสการพระเจ้า 19 และคนเลวี  จากพงศ์พันธุ์โคฮาท  และพงศ์พันธุ์คนโคราห์  ได้ยืนขึ้นถวายสรรเสริญแด่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วยเสียงอันดัง

 

พอได้ยินสิ่งที่พระเจ้าตรัส ทุกคนลุกขึ้น แล้วตรงนั้น ในที่ที่ประชาชนอยู่ มีคนเลวีด้วย มีพวกปุโรหิตที่พระเจ้าได้เลือกสรรไว้ เขาลุกขึ้นมาโห่ร้อง สรรเสริญพระเจ้า

2 พงศาวดาร 20:20  “และเขาทั้งหลายได้ลุกขึ้นแต่เช้า  และออกไปในถิ่นทุรกันดารถึงเทโคอา  และเมื่อเขาออกไป  เยโฮชาฟัทประทับยืนและตรัสว่า  “ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย  จงฟังข้าพเจ้า  จงวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน  และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่  จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์  และท่านจะสำเร็จผล”

 

การเชื่อฟัง เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตของคนอิสราเอล  แล้วก็ในปัจจุบันของพวกเราเช่นเดียวกัน ฉะนั้น กษัตริย์เยโฮชาฟัทบอกประชาชนให้วางใจในพระเจ้า ถ้าเขาวางใจในพระเจ้า พวกเขาจะตั้งมั่นคงอยู่ได้ และถ้าเขาเชื่อฟังผู้เผยพระวจนะ คือเชื่อว่าพระเจ้าทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะ บางคนไม่เชื่อ ผู้เผยพระวจนะพูด

“ฉันไม่เชื่อหรอก พระเจ้าตรัสผ่านเธอ พระเจ้าน่าจะตรัสผ่านฉันด้วย”

แต่ปัจจุบัน พระเจ้าทรงตรัสผ่านพวกเราทุกๆ คน เพราะพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงตรัสกับเรา พูดกับเราทุกคน เพียงแต่ว่าเราจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน บางทีหูเราตึง หูอื้อ พระเจ้าพูด แล้วไม่ได้ยิน แต่ว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะคุยกับเราทุกคน

ฉะนั้น กษัตริย์เยโฮชาฟัทก็บอกชนชาติอิสราเอล ให้เชื่อฟังผู้เผยพระวจนะด้วย  เพราะว่าผู้เผยพระวจนะไม่ได้พูดเอง แต่พระเจ้าเป็นคนสั่งให้พูด ถ้าทำตามผู้เผยพระวจนะ ก็แปลว่าเขาเชื่อฟังพระเจ้าด้วย ก็จะเกิดผลสำเร็จ

2 พงศาวดาร 20:21  “และเมื่อพระองค์ได้ปรึกษากับประชาชนแล้ว  พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งบรรดาผู้ที่จะร้องเพลงถวายพระเจ้า  และแต่งกายด้วยเครื่องบริสุทธิ์สรรเสริญพระองค์  ขณะเมื่อเขาเดินออกไปหน้าศัตรู  และว่า  “จงถวายโมทนาแด่พระเจ้า  เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์”

 

อันนี้พี่น้องอาจจะแปลกใจตรงที่ว่าออกไปสู้รบ จริงๆ แล้วเอาทหารนำหน้าใช่ไหม? ต้องทหารใส่เสื้อเกราะ ต้องมีอาวุธยุทธโธปกรณ์ไปต้านรับศัตรู แต่กษัตริย์เยโฮชาฟัททำกลับกัน ก็คือแต่งตั้งคนที่จะถวายเสียงเพลงให้กับพระเจ้า ก็คือร้องเพลงนมัสการพระเจ้า การนมัสการพระเจ้าเป็นการเชื่อและวางใจพระองค์ว่าเชื่อแล้วล่ะ พระองค์บอกว่าวันนี้การรบไม่ใช่เป็นของพวกเรา พระองค์จะเป็นผู้สู้รบแทนเรา ฉะนั้น เขาก็เลยนมัสการพระเจ้า ร้องเพลงถึงความรักมั่นคงของพระองค์ ที่มีอยู่เหนือชนชาติอิสราเอล

2 พงศาวดาร 20:22 “และเมื่อเขาทั้งหลายตั้งต้นร้องเพลงสรรเสริญ  พระเจ้าทรงจัดกองซุ่มคอยต่อสู้กับคนอัมโมน  โมอับ  และชาวภูเขาเสอีร์  ผู้ได้เข้ามาต่อสู้กับยูดาห์  ดังนั้น เขาทั้งหลายจึงแตกพ่ายไป”

 

คนอิสราเอลยังไม่ได้ทำอะไรเลย เริ่มต้นด้วยการสรรเสริญพระเจ้า ร้องเพลงถวายแด่พระเจ้า พอเสียงนมัสการร้องขึ้นมาปุ๊บ พระเจ้าทำการงานของพระองค์เลย พระเจ้าก็ส่งกองซุ่มไปให้คนโมอับ คนอัมโมน คนภูเขาเสอีร์ ก็คือพระเจ้าจะทำให้คนกลุ่มนี้ แทนที่เขาจะมาสู้รบกับอิสราเอล เขาก็สู้กันเอง

2 พงศาวดาร 20:23 “เพราะว่าคนของอัมโมนและของโมอับได้ลุกขึ้น  ต่อสู้กับชาวภูเขาเสอีร์  ทำลายเขาเสียอย่างสิ้นเชิง  และเมื่อเขาทั้งหลายทำลายชาวเสอีร์หมดแล้ว  เขาทั้งสิ้นช่วยกันทำลายซึ่งกันและกัน”

 

คือ 2 กลุ่มสู้กันก่อน แล้วค่อยทำลายกันและกันเอง ก็คือมาไม่ถึงคนอิสราเอล 2 กลุ่มสู้กับกลุ่มหนึ่ง พอกลุ่มหนึ่งแพ้ 2 กลุ่มหันหน้ามาสู้กันเอง จนตายหมดเลย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ เพื่อคนอิสราเอล

2 พงศาวดาร 20:24 “เมื่อยูดาห์ขึ้นไปอยู่ที่เนินสูงที่ในถิ่นทุรกันดาร  เขามองตรงไปที่คนหมู่ใหญ่นั้น  และดูเถิด  มีแต่ศพนอนอยู่บนแผ่นดิน  ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้”

 

คือตายเรียบเลย

2 พงศาวดาร 20:25 “เมื่อเยโฮชาฟัท และประชาชนของพระองค์มาเก็บของเสียจากเขาทั้งหลาย  เขาพบสัตว์เป็นจำนวนมาก  ข้าวของ  เสื้อผ้า  และของมีค่าต่างๆ  ซึ่งเขาเก็บมามากสำหรับตัว  จนขนไปไม่ไหว  เขาเก็บของที่ริบได้เหล่านั้นสามวัน  เพราะมากเหลือเกิน”

 

เวลาคนจะยกกองทัพไปต่อสู้ เขาก็ต้องมีเสบียง มีของมีค่า มีอะไรเยอะแยะมากมาย คิดดูว่ากองทัพใหญ่มาก 3 กองทัพ เดินทางมา เพื่อที่จะรบกับคนอิสราเอล ข้าวของเขาจะเยอะมากเลย ปรากฏว่าพระเจ้าให้เขาสู้รบกันเอง จนตายหมด พอตายหมด กษัตริย์เยโฮชาฟัทกับประชาชนไปดู ของเต็มเลย แล้วตรงนี้ พระเจ้าไม่ได้บอกว่าให้ทำลายสิ่งเหล่านั้นให้หมด แต่พระเจ้าอนุญาตให้เขาเก็บไปใช้ ของเยอะ จนขนกันไม่ไหว เก็บ 3 วัน 3 คืนยังเก็บกันไม่หมดเลย พี่น้องลองนึกภาพว่ามันเยอะขนาดไหน?

2 พงศาวดาร 20:26-30 “26 ในวันที่สี่เขาทั้งหลายได้ชุมนุมกันที่หุบเขาเบราคาห์  ด้วยที่นั่นเขาสรรเสริญพระเจ้าเพราะพระพร  เพราะฉะนั้น  เขาจึงเรียกที่นั้นว่าเบราคาห์  จนถึงทุกวันนี้ 27 แล้วเขาทั้งหลายกลับไปคนยูดาห์และเยรูซาเล็มทุกคน  และเยโฮชาฟัททรงนำหน้า  กลับไปยังเยรูซาเล็มด้วยความชื่นบาน  เพราะพระเจ้าได้ทรงกระทำให้เขาเปรมปรีดิ์เย้ยศัตรูของเขา 28 เขาทั้งหลายมายังเยรูซาเล็มด้วยพิณใหญ่  และพิณเขาคู่และแตร  ยังพระนิเวศของพระเจ้า 29 และความกลัวพระเจ้ามาอยู่เหนือบรรดาราชอาณาจักรของประเทศทั้งปวง  เมื่อเขาได้ยินว่าพระเจ้าทรงต่อสู้ศัตรูของอิสราเอล 30 แดนดินของเยโฮชาฟัทจึงสงบเงียบ  เพราะว่าพระเจ้าของพระองค์ประทานให้พระองค์มีการหยุดพักสงบอยู่รอบด้าน”

 

นี่คือพระคุณในยุคของพระเดช ที่พระเจ้ายังคงรักคนอิสราเอล ยังคงดูแล ช่วยเหลือคนอิสราเอลมาตลอด และพระเจ้าองค์นี้ เป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน อดีต ปัจจุบัน และในอนาคตข้างหน้า แล้วพระเจ้าองค์นี้ได้ทรงวางแผนการที่ล้ำเลิศไว้สำหรับมนุษยชาติ ตั้งแต่มนุษย์เริ่มล้มลงในความบาป แล้วพระองค์ก็เตรียมการให้คนกลุ่มหนึ่งที่ได้ชื่อว่าอิสราเอล ที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรรไว้ และอนุญาตให้พระผู้ช่วยให้รอด ได้มาเกิดในคนกลุ่มนี้ ในเผ่าพันธุ์นี้ แล้วมาถึงยุคของเรา เป็นยุคที่สิ่งที่พระองค์กำหนดไว้ ได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 กว่าปีมาแล้ว และพระพรตรงนี้ พระเจ้ายังคงมีให้กับมนุษยชาติ ไม่ใช่เพียงพวกเราเท่านั้น พวกเราจะเป็นเหมือนแกะ 99 ตัวที่เมื่อเช้าเราเรียน แกะ 99 ตัวที่อยู่ในคอกของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว ได้รับพระคุณ ได้รับพระพรจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว แต่ยังมีแกะที่หลงหายไป 1 ตัวที่พระเยซูได้ตรัสเอาไว้ ก็คือผู้คนในโลกใบนี้ ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ประเทศทั่วโลกใบนี้ ผู้คนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระนามของพระองค์ ผู้คนที่พระเจ้ายังคงแสวงหาเขาอยู่ แล้วให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศออกไปถึงผู้คนเหล่านั้น

เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับโควิด ทำให้เทคโนโลยีได้กระจายออกไป ทำให้ผู้คนได้แสวงหาพระเจ้ามากขึ้น ทำให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ได้ประกาศไปเยอะขึ้น มีกลุ่มคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้าจับเป็นกลุ่ม เป็นก้อน หนุนจิตชูใจกัน คุยเรื่องพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงดูแลเรา พระองค์ทรงเลือกเรา ทรงเรียกเรา และขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงนำพาย่างเท้าของพวกเราตลอดเวลา นี่คือพระคุณ เป็นพระพร บางครั้งเราไม่เข้าใจหรอก แต่พอมีปัญหาปุ๊บ สิ่งแรก เราอาจจะ … ทำไมมันเกิดขึ้นๆ แต่พอเราย้อนมาดูจริงๆ เราก็ขอบคุณพระเจ้า เพราะเรารู้ว่าทุกสิ่ง เราไม่สามารถควบคุมได้ ถ้ามันจะเกิด มันก็เกิด เหมือนโรคภัยไข้เจ็บ มันจะเกิดมันก็เกิด แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า เรามีท่าทีแบบไหน? เรามีท่าทีที่ขอบพระคุณพระองค์ สำหรับสิ่งสารพัดไหม? สามารถไหมที่จะขอบคุณพระเจ้า แม้ว่าการเป็นอยู่ของเราจะลำบากขึ้น

ลำบากขึ้นจริงๆ นะพี่น้อง ไม่ว่าเราจะออกไปข้างนอก มันก็ลำบาก ลำบากตรงที่ว่าเมื่อก่อนเราเดินตัวปลิวออกไปได้ เราจะไปขึ้นรถ ลงเรือ เราสบายๆ จะไปแออัดยัดเยียดเราก็แฮปปี้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ พอออกไป ทุกข์แรก คือต้องใส่หน้ากากอนามัย หายใจไม่ออก ทุกข์ที่สอง คือเราเดินทางไปไกลไม่ได้ เพราะว่าถ้าอยู่ในชุมชนเยอะๆ เราก็ไม่อยากเสี่ยง ก็คือไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปเสี่ยง ในที่แออัดยัดเยียด เราอาจจะเจอแจ็คพอร์ตไปติดโรคมา พี่น้องอย่าคิดว่าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราใช้ชีวิตแบบล่อแหลม แล้วเราจะไม่ติดโรค ไม่จริงนะคะ ต่อให้เราเป็นคริสเตียน ถ้าเราไม่รักษากฎ หรือไม่ทำตามกฎในปัจจุบัน ที่เขาบอกว่าใส่หน้ากากอนามัยมันปลอดภัยที่สุดนะ เชื้อโควิดมันไม่สามารถวิ่งเข้ามาในตัวของเรา เราอาจจะใช้ความเชื่อแบบผิดๆ ไม่เป็นไรเลย เราเป็นคริสเตียน หน้ากากเราไม่ใส่หรอก เราจะออกไปในที่ชุมชน เราจะไปเดินพาหุรัต สำเพ็งที่เบียดกัน พี่น้องเคยไปเดินสำเพ็งต้นเดือนไหม? ดูอะไรไม่ได้เลย เขาเบียดกันเป็นปลากระป๋อง แล้วเราไม่ต้องเดิน เราจะถูกไถไป ตลอดเวลา นึกภาพออกไหม?

เราจะไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้นเหมือนเดิมไม่ได้ เราจะคิดว่าไม่เป็นไรหรอก พระเจ้าอยู่ในเรา อย่างไรพระเจ้าก็ปกป้องคุ้มครองเรา พระเจ้าปกป้องเรานะ แต่เราก็ต้องดูแลส่วนของเราด้วย ที่เราจำเป็นต้องดูแล ฉะนั้น ยังคงหนุนใจพี่น้อง ถ้าไม่มีความจำเป็นอะไรมากมาย ก็อย่าไปโลดโผนโจรทยานมากจนเกินไป ออกข้างนอก ก็ระวังนิดหนึ่ง ถ้ายังแฮปปี้ที่จะออกข้างนอก ก็ใส่หน้ากากอนามัย

เราขอบคุณพระเจ้าที่เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่สามารถทำให้ความเชื่อ หรือความรักที่เรามีต่อพระเจ้าลดน้อยถอยลง หรือสั่นคลอน แล้วคนที่อยู่ในพระเจ้าจริงๆ เรายังเรียนรู้ที่จะขอบคุณพระเจ้าได้อยู่  ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ

 

****************************