คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2020
เรื่อง “ท่านจะพึ่งตนเอง หรือพึ่งพระเยซู” ตอน 1
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับพี่น้อง ก่อนจะเริ่มเรียนรู้กันในวันนี้ ผมจะทวนที่เราเรียนรู้กันในครั้งที่แล้ว ซึ่งสำคัญมาก จาก 1 เธสะโลนิกา 5 ที่บอกว่า …
1 เธสะโลนิกา 5:16-18 “16 จงมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 จงหมั่นอธิษฐาน ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่แหละ คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว”
คือได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้ว นี่มันสำคัญมาก
ครั้งที่แล้ว เราได้ใช้ชื่อเรื่องว่าจงขอบคุณพระเจ้าให้เป็นนิสัย หมายความว่าทำให้เป็นประจำ สม่ำเสมอ จนเกิดเป็นความเคยชิน เป็นนิสัยประจำชีวิต ประจำตัวไปเลย หรือทำจนติดเป็นสันดาน จริงๆ คำนี้ดีนะ แต่เอาไปใช้ในทางไม่ดีเลย พอบอกว่าสันดาน นึกไปในทางไม่ดี เป็นสันดาน คือเป็นธรรมชาติชีวิตของเรา
ชีวิตของผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว จะขอบพระคุณพระเจ้าเป็นนิสัย มันหมายถึงอย่างนั้น ไม่ใช่ฟังจบไปครั้งที่แล้ว แล้วก็ไม่ไปทำ มันก็ไม่ได้ฝึกฝน มันก็ไม่เกิดเป็นนิสัย ธรรมชาติจริงๆ ก็ไม่ปรากฏออกมาในชีวิตของเรานั่นเอง
และที่บอกว่านี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ คือ ไม่ใช่เป็นเพราะพระเจ้าต้องการให้เราขอบพระคุณพระเจ้า เพื่อพระองค์จะได้รับเกียรติ แต่มันเป็นประโยชน์ต่อเราเองในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ การกระทำอย่างนี้ ให้เป็นนิสัย มันดีต่อชีวิตเรามากมายมหาศาล
วันนี้ก็เลยจะมาเน้นเรื่องนี้ว่าอยากให้ทุกคนได้ฝึกฝนจริงจังในการขอบพระคุณพระเจ้า ที่ได้เรียนรู้กันมา ครั้งที่แล้ว มีประมาณ 21 ข้อว่าพระพรนานัปการในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้อาศัยอยู่แล้ว ให้เรารับรู้ จดจำให้ขึ้นใจ ทำอย่างไร? 21 ข้อนี้ เราควรจะไปทำการขอบพระคุณ นับพระพรเหล่านี้ ให้เป็นนิสัยประจำตัวเลย เพื่อชีวิตเราจะได้อยู่ดีมีสุข และมีสันติสุข และรับใช้พระเจ้าได้ดีที่สุด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไปฝึกให้ได้นะ ตอนนี้ผมและทีมงานคริสตจักรได้ทำการ์ด 21 ข้อนี้ขึ้นมา เป็นการ์ดสมุดพกติดตัวก็มี และเป็นแผ่นใหญ่ก็มี ใครอยากได้ให้ขอได้ที่สำนักงานคริสตจักร และนอกเหนือจากนั้น กำลังทำเป็นคลิปวีดีโอ ลงในยูทูป ให้ทุกคนได้ใช้ในการฟัง ในการเอาไปคร่ำครวญ เอาไปฝึกฝน ในการนับพระพร ขอบคุณพระเจ้า ในแต่ละวันให้เป็นนิสัยด้วย
และเมื่อท่านสามารถนับพระพร ฝ่ายวิญญาณที่ได้รับจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้า สามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี จนเป็นนิสัยแล้ว มั่นใจได้เลยว่าสันติสุขที่แท้จริง จะปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของท่าน ในพระเยซูคริสต์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างแน่นอน 100% ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนอยากได้มากที่สุด คือสันติสุข ความสงบสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั่นเอง
สำหรับการบรรยายในวันนี้ เราก็จะมาฉีดวัคซีน เพิ่มภูมิคุ้มกันในเรื่องโลกวิญญาณ ผมเชื่อว่ามาถึงวันนี้แล้ว เราได้เรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณกันมาจนละเอียดลึกซึ้ง มากพอสมควร ว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา ในโลกวิญญาณ ในฐานะเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณ เรามีสถานะ เรามีตัวตนเป็นอย่างไร? ผมเชื่อว่ามาถึงตรงนี้แล้ว เรียกว่าสมาชิกประจำ ที่ติดตามการบรรยายมาตลอด น่าจะเข้าใจได้มากมายแล้วว่าพระพรทางฝ่ายวิญญาณ ในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ตามที่พระเจ้าได้บอกเรา อธิบายให้เราฟัง ตามที่พระเยซูได้สอนเราทั้งหมดในหนังสือพระคัมภีร์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ซึ่งตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน สัมผัสแตะต้องไม่ได้ แต่ด้วยความเชื่อ และการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสามารถเห็นได้ โดยตาวิญญาณของเรา ที่เปิดออก สัมผัสได้ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์
และด้วยความรู้เก่าๆ ของเรา ที่เคยได้ยิน เคยได้ฟังมา หลายครั้ง เราได้ยินได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า แบบมันไม่เห็นจะตรงกับเรื่องพระพร โลกฝ่ายวิญญาณที่พระเยซูสอนเลย ทำไมมันแตกต่างกันอย่างนั้น ความเชื่อและความคิดเดิมๆ ที่มันอาจจะยังฝังอยู่ลึกๆ ในใจของเรา บางครั้งเวลาที่เราอ่านเจอถ้อยคำพระเจ้า หรือได้ยินได้ฟังคนที่เขาพูดถึงถ้อยคำพระเจ้า ก็อาจเกิดความสับสนได้
“เอ๊ะ! มันไม่เห็นตรงกับพระพรที่เรานับกัน ในแต่ละวัน จนเป็นนิสัยแล้วเลย ทำไมเป็นอย่างนี้”
อะไรต่างๆ เหล่านี้ วันนี้ จึงมาอัดฉีด เพิ่มพูนภูมิคุ้มกัน ถามว่าคุ้มกันอะไร? การต่อต้าน ความสับสนทางโลกวิญญาณ ซึ่งมารถนัดนัก ก็คือมาขโมย เอาความจริงไปจากเรา ผู้ที่ได้รับความจริงจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้วนั้น
เรานับพระพรทางฝ่ายวิญญาณ เรากำลังรักษาความจริงของพระเจ้าในพระคัมภีร์เอาไว้ มารมีหน้าที่มาคอยขโมยเอาความจริงนี้ออกไป เพื่อฆ่าและทำลาย ทำลายเราไม่ได้ ก็ทำให้เราเสียผลประโยชน์ไป แล้วก็ไปทำลายผู้อื่นแทน ก็คือเราก็ไม่ได้เป็นพยาน ไม่ได้ประกาศข่าวประเสริฐที่เป็นฤทธิ์เดชอำนาจจริงๆ ของพระเยซูคริสต์ ให้ทุกคนได้เป็นอิสระได้เท่าที่ควร นึกภาพออกใช่ไหม? มารจึงพยายามมาก แม้ว่าไม่สามารถทำให้เราไปลงนรก ไปเป็นทาสมันได้อีกแล้วก็ตาม แต่มันทำให้เรา เป็นลูกพระเจ้าที่เป็นง่อย ไม่สามารถที่จะประกาศข่าวดีได้ เพราะไม่มีความจริงแท้ๆ อยู่ในชีวิตของเรานั่นเอง
เพราะฉะนั้น หัวข้อการบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อว่า “ท่านจะพึ่งตนเอง หรือพึ่งพระเยซู” อย่างที่บอกตอนต้นว่าเราจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจกันเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับว่าเรารอด โดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการกระทำ อันนี้ชัดเจน แต่หลายครั้งเราได้ยินคนพูด หลายครั้งเราคิดเองด้วย และหลายครั้งเราทำเองด้วยว่ามันจะไปเกี่ยวข้องกับความรอดของเราด้วย โดยไม่รู้ตัว แต่พอไปเจอถ้อยคำพระเจ้าในบางแห่ง เอ๊ะ ตรงนี้มันแปลว่าอะไร? เราก็คิดว่ามันควรจะแปลว่าเราควรจะพึ่งพระเยซูสิ เพราะรอดโดยพระคุณ แต่ทำไมเวลาคนอธิบาย มักจะอธิบายไปในทางที่ให้เราทำ เพื่อความรอดของตัวเราเองล่ะ
เพราะว่าเราเคยตีความหมายแบบนั้นไว้ในอดีต ตอนที่เรายังไม่รู้ความจริงมากนัก แต่ตอนนี้เรารู้ความจริง เรามาตีความหมายเหมือนเดิม เราก็รู้สึก มันขัดกันกับความจริงที่เราฝึกฝนทุกวัน ที่เรานับพระพรทุกวันว่าเราเป็นใคร? อันนี้มันผิดปกติ ใช่ไหม? เราก็จะเริ่มไขว้เขว นั่นแหละ คือการย่องเข้ามาขโมย เอาความจริงนี้ออกไป ความจริงจะทำให้เราเป็นไท การถูกขโมยความจริง ทำให้เราต้องโทษอยู่ ทั้งๆ ที่เราควรจะเป็นไท เราก็เลยอยู่ในกรงขัง
วันนี้ผมจะยกตัวอย่างบางแห่ง จริงๆ มันเยอะไปหมดเลย ทุกหน้าของหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ ทั้งหมดเลย ที่พระเยซูพูด และในจดหมายฝากของอัครทูตต่างๆ ได้บอกความจริงกับเราทั้งหมด แต่ถ้าเราถูกขโมยความจริงไป เราจะตีความผิด ง่ายๆ ก็คือว่าความรอด รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการกระทำ อยู่ในสวรรค์ ก็ไม่ใช่เพราะเราทำเอง มันจะอยู่ตรง แถวๆ นี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น หลายคนที่ยังตีความหมายไม่ถูกต้อง วันนี้ลองมาดูว่ามันเป็นเช่นไร? อย่าลืมผมย้ำอยู่ตลอดว่าถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น อยากจะอธิบายให้ตัวเองเข้าใจ อยากจะอ่านเข้าใจความจริงว่าพระเจ้ากำลังพูดอะไรกับเรา เล็งไปที่โลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น จะไม่ถูกหลอก และสิ่งที่พระเยซูได้ตรัส หรือได้สอนไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ของพระเจ้าที่กำลังมาตั้งอยู่ ตอนที่พระองค์ยังไม่ตายที่ไม้กางเขน พระองค์ประกาศถึงอาณาจักรสวรรค์ ในโลกวิญญาณที่กำลังมาตั้งอยู่ จะตั้งอยู่ต่อเมื่อพระองค์กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ที่พระองค์ทรงตรัสว่าสำเร็จแล้ว นั่นแหละ คือสวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว สวรรค์อยู่ที่ไหน? อยู่ในโลกวิญญาณ ตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ
เพราะฉะนั้น ถ้าเมื่อไรท่านไปอ่านเจอ หรือใครพูดกับท่าน ที่อ้างถึงคำพูด คำสอนของพระเยซู แล้วโยงไปถึงเรื่องโลกวัตถุ โยงไปถึงว่าท่านต้องทำอะไรบ้าง? ฟันธงได้เลยว่ามันผิดปกติ มันทะแม่งๆ กำลังถูกขโมยความจริงหรือเปล่า? ลองตั้งข้อสังเกตไว้ มาดูตัวอย่างในหนังสือมัทธิว บทที่ 5 ที่พระเยซูพูดถึงเรื่องบทบัญญัติ มัทธิว บทที่ 5 บันทึกว่าเมื่อพระองค์ทรงเริ่มต้นประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ เริ่มต้นพูดอย่างนี้ และพูดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเสร็จสิ้นที่ไม้กางเขน จนกระทั่งเดินอยู่กับมนุษย์ตอนหลังเป็นขึ้นจากความตาย และอีก 40 วันก็จะพูดเรื่องเดิมอีก ย้ำเข้าไปอีก และจะบอกว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาจะอธิบายให้ท่านเข้าใจเอง ตอนนี้ท่านอ่านไม่เข้าใจมากหรอก เพราะท่านยังไม่เกิดใหม่ รอก่อน รอพระวิญญาณจะเป็นผู้ยืนยัน สอนท่านในสิ่งที่เราได้กล่าวกับท่านในวันนี้
ก่อนจะอ่าน ให้รู้ว่าอย่างที่เคยแนะนำไว้ ถ้าจะอ่านพระคัมภีร์ อยากรู้เรื่องราวพระคัมภีร์
(1) พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น
(2) เวลาจะอ่าน ให้รู้ว่าที่เรากำลังอ่านนี้ มันเหมือนกับเราทำผิดกฎหมายอยู่นะ ในปัจจุบัน คือเรากำลังไปอ่านอีเมล์ของคนอื่นเขา อีเมล์เขาเขียนกัน แล้วเราไปแอบอ่าน นึกออกใช่ไหมว่าเขามีเขียนอะไรถึงเราบ้าง? มีอะไรเกี่ยวกับเราไหม? มันเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เรากำลังจะอ่านมัทธิว บทที่ 5 ต้องรู้ว่าพระเยซู กำลังพูดกับใคร? มีอะไรที่พูดถึงเราบ้างไหม?
“เรา” หมายถึงเราที่นั่งอยู่ขณะนี้ หรือกำลังกล่าวถึงใคร? กลุ่มชนที่ฟังเป็นใคร? ในมัทธิว บทที่ 5 พระเยซูกำลังพูดกับกลุ่มชนที่เป็นชาวยิว พี่น้องของพระองค์ พี่น้องทางสายเลือด คือพระองค์ทรงเกิดมาในชุมชนของชาวยิว นึกในใจว่าทั้งหมดนี้ กำลังพูดกับชาวยิว จะได้เห็นชัดๆ เป็นจดหมาย ที่พระเยซูพูดกับชาวยิว แล้วเราไปแอบฟังว่ากำลังพูดกับชาวยิวว่าอย่างนี้ และมีพูดอะไรถึงเราบ้าง? นี่คือสิ่งที่เริ่มต้น ให้เราเห็นภาพชัดเจน
มัทธิว 5:17-20 “17 “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน 19 ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้ แม้ข้อเล็กน้อยที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นเดียวกัน ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติ และสั่งสอนตามคำบัญชาเหล่านี้ จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์ 20 เพราะเราบอกท่านว่าหากความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าของพวกฟาริสี และเหล่าธรรมาจารย์แล้ว ท่านจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน”
พอเรารู้เบื้องหลังว่าพระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว มีทั้งประชาชน คนธรรมดาทั่วๆ ไป มีชาวยิวที่เป็นธรรมาจารย์ คือคนที่รู้เกี่ยวกับบทบัญญัติของพระเจ้า ในสมัยโมเสส ที่จดบันทึกไว้เยอะแยะไปหมด พูดง่ายๆ ว่ารู้เรื่องบัญญัติทางศาสนา ยังมีฟาริสีอีก ฟาริสีคือพวกปฏิบัติเคร่งในบทบัญญัติต่างๆ เหล่านี้ เคร่งมาก แล้วยังมีปุโรหิต ผู้รับใช้พระเจ้า ยิ่งรู้มากเลย กำลังคุยกับคนเหล่านี้ ท่านมองเห็นภาพแล้ว อ๋อ! เวลาฟัง ให้นึกถึงภาพไปด้วย ให้มีจินตนาการว่าพระเยซูนั่งอยู่บนโขดหิน แล้วก็ประกาศออกไป คนฟังเต็มไปหมด มีคนหลายประเภทอย่างนี้
ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ไม่ได้เป็นชาวยิว ควรจะหายเหนื่อยและเป็นสุข ตามที่พระเยซูบอกว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูมา เพื่อให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข แต่ถ้าเราถูกตีความไม่ถูกต้อง แทนที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข กลายเป็นเพิ่มภาระหนัก เราเหนื่อยกว่าเก่าอีก พระเยซูบอกว่าแม้อักษรที่เล็กที่สุด สักตัวหนึ่ง หรือสักขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายไป จากหนังสือบทบัญญัติ ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเหล่านี้ แม้ข้อเล็กน้อยที่สุด และสอนคนอื่นให้ทำเช่นนี้ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุด ในอาณาจักรสวรรค์
ฟังปุ๊บ เหนื่อย นึกว่ามาเชื่อพระเยซูแล้ว จะเป็นอิสระ หนักว่าเก่าอีกคราวนี้ จุดๆ หนึ่งและขีดๆ หนึ่ง ก็ต้องทำตามหมดเลย เห็นไหม? พอตีความผิด ตีความไม่ถูก เริ่มรู้แล้ว ไม่ใช่เกี่ยวอะไรกับเรา เกี่ยวกับคนที่เป็นยิว ที่ถือบัญญัติอยู่ ในสมัยโมเสส และถือมาตลอดเวลา และพระเยซูกล่าวอย่างนี้ เพื่ออะไร? เขาจำเป็นต้องรักษาบทบัญญัตินั้นทั้งหมด จุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง ลบเลือนไม่ได้เลย
แล้วถ้อยคำต่อจากตรงนี้ ยังบรรยายอย่างละเอียดเลยว่าการกระทำแบบไหนที่ถือว่าเป็นการฝืน หรือละเมิดบทบัญญัติ และพระเยซูทำให้บทบัญญัตินั้น เต็มที่เลยว่าที่คุณคิด ยังไม่ถึงครึ่งเลย ที่จริงๆ บทบัญญัตินั้น มันหมายถึงตรงนี้ น้ำพระทัยพระเจ้า มันหมายถึงตรงนี้ ให้บัญญัติพระเจ้ามันเข้มข้นขึ้น เพื่อว่าชาวยิวจะได้รู้ว่าอะไรที่พระเยซูต้องการ พระเยซูต้องการบอกเขาว่าเขาทำไม่ได้หรอก คุณรักษาให้ครบถ้วน 100% ไม่ได้ จุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่ง ไม่มีการผิดพลาดเลย เป็นไปไม่ได้หรอก พระเยซูกำลังพุ่งเป้า ไปที่นี่
บอกชาวยิวอย่างนี้ว่าอาณาจักรสวรรค์เป็นอย่างไร? เพราะเขายังคงคิดอยู่ในใจว่าเขาเป็นคนที่พิเศษกว่าชาวโลกคนอื่นๆ ก็คือพวกต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวยิว ชาวยิวเขามีความมั่นใจ เขามีความภูมิใจ เขามีความเย่อหยิ่งในใจว่าเขาเป็นชนชาติพิเศษ มีอารยธรรมสูง เขาเป็นคนที่รู้จักพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า เขารู้จักพระเจ้า เป็นผู้มีอารยธรรมสูงส่งมาก คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ที่ไม่ใช่ชาวยิว สมัยหลายพันปีก่อน เขาถือว่าคนเหล่านี้เป็นคนป่า เขาไม่คบด้วย เป็นคนละเกรดกัน เขาเลยเย่อหยิ่งในตัวเขาว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมกว่ามนุษย์คนอื่นๆ ที่สมควรที่จะได้รับพระกรุณาจากพระเจ้า นี่คือความเย่อหยิ่ง
พระเยซูกำลังจะบอกเขาว่าบทบัญญัติที่เขากำลังทำอยู่ ความชอบธรรมที่เขา พึ่งตัวเองว่าจะทำดี ตามนั้น มันทำไม่ได้หรอก พระเยซูก็ยกตัวอย่างบางอันขึ้นมา ที่เป็นบทบัญญัติที่ชาวยิวรู้จักกันดีว่าชาวยิวต้องทำตามนี้ ถ้าไม่ทำตามนี้ เป็นบาป ซึ่งเขาก็กำลังพยายามทำอยู่ หลายพันปี คือความชอบธรรมที่พระเจ้าพอใจ
พระเยซูก็ยกมาให้ดูเลยว่า …
บทบัญญัติที่บอกว่าอย่าฆ่าคน แต่พระเยซูบอกว่าผู้ใดโกรธเคืองพี่น้องของตน จะถูกตัดสินลงโทษ
ถ้าผู้ใดพูดดูหมิ่นพี่น้องของตน จะต้องถูกนำตัวขึ้นศาล
และถ้าผู้ใดพูดว่า “ไอ้โง่” อาจจะต้องโทษถึงไฟนรก
พวกนั้นเขาบอกว่าฉันถือศีล ตามที่กฎบัญญัติบอกแล้วห้ามฆ่าคน
พระเยซูบอกคำว่า “ห้ามฆ่าคน” ในสายพระเนตรพระเจ้า หมายถึงบอกไอ้โง่ ก็เท่ากับเป็นคนฆ่าคนแล้ว
ตกใจ ไม่เคยฆ่าคน แต่เคยว่าไอ้โง่ไหม? เคยไม่ให้อภัยคนอื่นไหม? และทำได้ไหม? นี่นึกออกไหม? ชาวยิวฟังแล้วสะดุ้ง คนที่สะดุ้งมากที่สุด คือธรรมาจารย์ ฟาริสี และปุโรหิต เพราะเขาคิดว่าเขาบริสุทธิ์ เขาไม่เคยฆ่าคนเลย แต่เขายังรังเกียจคนจน เขายังรังเกียจคนที่เป็นบาปอยู่เลย
ข้อต่อไป พระเยซูบอกว่าบทบัญญัติที่บอกว่าอย่าล่วงประเวณี แต่พระเยซูบอกว่าผู้ใดมองผู้หญิงด้วยใจกำหนัด ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจของเขาแล้ว พวกชาวยิวตกใจ โดยเฉพาะคนที่รักษาบทบัญญัติไว้ ไม่เคยล่วงประเวณีเลย ตามบทบัญญัติ แต่เคยคิดบ้างไหมว่าคนนี้สวย คนนี้หล่อ และทำได้ไหม? เห็นหรือยังว่าทำไม่ได้ พระเยซูกำลังบอกพวกเขาในความเป็นจริง
พระเยซูบอกว่าบทบัญญัติที่บอกว่าอย่าผิดคำสาบาน แต่จงทำตามที่ได้ถวายปฏิญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระเยซูบอกว่าจงอย่าสาบานเลย ในบัญญัติเดิมบอกว่าพวกเขาชอบสาบาน ให้สาบานอย่างนี้ แต่พระเยซูบอกไม่ต้องสาบาน อะไรใช่ก็คือใช่? อะไรไม่ใช่ ก็บอกไม่ใช่ พูดความจริงออกมาเลย ไม่ต้องกลัว ทำได้ไหม? ไม่ได้ ไม่มีอะไรทำได้สักอย่าง
บทบัญญัติที่บอกว่าตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่พระเยซูเพิ่มเติมให้อีกว่าอย่าต่อสู้กับคนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย จงให้แก่ผู้ที่ขอท่าน และอย่าเมินหนีผู้ที่ต้องการจะขอยืมจากท่าน ฟาริสีทำได้ไหม? ชาวยิวทำได้ไหม? สิ่งที่พระเจ้าต้องการ คือจุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่งในบทบัญญัตินี้จะไม่ลบเลือนหายไป ถ้าเขามาขอยืมจากท่าน ท่านไม่ใช่ ไม่ให้ยืมอย่างเดียว ท่านให้ยืม แล้วยังให้ไปอีก ทำได้ไหม? เขาตบแก้มขวาของท่าน เขาทำร้ายท่าน ไม่ใช่ให้อภัยเขาอย่างเดียว เอาแก้มซ้ายให้ด้วย จะทำอีกหรือเปล่า? ทำได้ไหม? รักอย่างไม่มีเงื่อนไข ทำได้หรือเปล่า? พูดง่ายๆ รักอย่าง No ไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย ทำได้ไหม? รักอย่างไม่มีข้อแม้ว่า “แต่ว่า” ไม่มีแต่เลยได้ไหม? ก็คือไม่ได้
บทบัญญัติที่บอกว่าจงรักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศัตรู นี่บทบัญญัติ แต่พระเยซูบอกว่าพระเจ้าต้องการให้เราบริสุทธิ์เหมือนพระองค์ ก็คือจงรักศัตรูของท่าน และอธิษฐานเผื่อบรรดาผู้ที่ข่มเหงท่าน ไม่ใช่อภัยอย่างเดียว ต้องรักศัตรู ถึงขนาดอธิษฐานให้เขา คือรักเขา ไม่ได้คิดอะไรเลย อภัยให้ไม่พอ แถมยังช่วยเขาอีก
แล้วก็จบลงที่คำสุดท้าย เป็นคำประกาศิตบันทึกเอาไว้ ปั้มเอาไว้เลยว่าพวกท่านทำไม่ได้หรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟาริสี ที่เคร่งครัดในสิ่งเหล่านี้ ที่พยายามทำตาม แล้วนึกว่าตัวเองแน่แล้ว ตัวเองดีแล้ว ผวาไปเลย พูดไว้อย่างนี้ว่า …
ในมัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น ท่านจงดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงดีพร้อม”
พูดง่ายๆ ท่านต้องบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ท่านถึงจะถูกเรียกว่าเป็นลูกของพระเจ้าได้ ท่านอยากอยู่ในสวรรค์ใช่ไหม? ท่านอยากจะเป็นลูกของพระเจ้าใช่ไหม? ท่านต้องบริสุทธิ์เท่ากับพระเจ้า ดีเท่ากับพระเจ้า เก็บข้าวของเดินหนีพระเยซูเลย โกรธมาก ใครจะไปทำได้ พระเยซูพูดจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น นี่เรื่องจริงๆ เลยว่าถ้าท่านทำอย่างนี้ได้ ท่านถึงจะอยู่ในสวรรค์ได้ ท่านต้องบริสุทธิ์เท่าพระเจ้า ท่านจึงไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ไปคุยกับพระเจ้าได้ รับใช้พระเจ้าได้นั่นเอง
ความหมายที่เราคุ้นเคยในอดีต ที่ได้รับการสอนต่อๆ กันมายาวนาน ก็คือเมื่อมาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูลบล้างบาปแล้ว ให้อภัยเราแล้ว เพราะฉะนั้น จากนี้ไป เราต้องพยายามทำตัวให้บริสุทธิ์ ไม่ทำบาปอีก เพื่อจะได้เหมือนพระเจ้า ทำให้ได้ตามที่พระเยซูสอนเมื่อตะกี้นี้ เพราะพระเยซูบอกแล้วว่าพระองค์ไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติไง แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติเหมือนกันนี้เลย ก็คือถ้าเราสามารถทำตามบัญญัติในทุกข้อได้ คือไม่ทำบาป ไม่ทำผิดบทบัญญัติเลยแม้แต่นิดเดียว เราก็จะรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป ไม่ต้องรับโทษของความผิดบาปอีกต่อไป
แล้วถ้าสอนเราแบบนี้ ทำได้ไหม? นี่พูดถึงตัวเราเอง มนุษย์ทุกคน เราก็ทำไม่ได้สิ เราก็เหมือนชาวยิวนั่นแหละ ใครจะไปทำได้ ชาวยิวเขารู้จักก่อน ก็ยังทำไม่ได้ แต่พระเยซูตายที่ไม้กางเขนแล้ว แล้วเรายังไปตีความอย่างนั้น มาบอกให้เราต้องทำอย่างนี้ ต้องทำตัวให้บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ใครจะไปทำได้ ถูกไหม?
แล้วคิดดูนะว่ามันเป็นไปได้ไหมครับ ว่าที่มนุษย์จะสามารถรักษาบทบัญญัติให้ครบถ้วน สมบูรณ์ โดยไม่ทำผิดอะไรแม้แต่ครั้งเดียว เป็นไปได้ไหม? เอาแค่ง่ายๆ ท่านรู้ไหมว่าที่พูดเมื่อสักครู่นี้ ที่พระเยซูบอกบทบัญญัตินั้น เฉพาะของยิวนะ 613 ข้อ รักษาให้ครบหมดได้ไหม? มันเป็นไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งบทบัญญัติที่เรารู้จักกัน อย่างเช่นบัญญัติ 10 ประการ แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้ว บัญญัติ 10 ประการ ถือว่าเป็นกฎหมายหลัก แต่ยังมีบทบัญญัติอื่นอีกมากมาย ที่พระเยซูยกตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ให้ฟัง ตั้งแต่เรื่องการถวายเครื่องสัตวบูชา พิธีกรรมต่างๆ การเข้าสุหนัต การถวายทรัพย์ การรักษาความสะอาด หรือแม้กระทั่งอาหารที่รับประทาน อะไรทานได้ อะไรทานไม่ได้ มีกำหนดไว้ในบทบัญญัติทั้งหมดเลย มันทำได้ไหม? ไม่ได้
ถ้าเรามาเทียบกับปัจจุบัน เราเป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ถ้ามาสอนกับเราแบบนี้ ตีความหมายตรงนี้ผิดๆ เราก็ตกนรกกันทุกคน เพราะวันอาทิตย์เรายังเล่นไลน์อยู่เลย ตกนรกง่ายเลย เรายังเปิดยูทูปอยู่เลย สมมตินะ วันสะบาโตเปลี่ยนเป็นวันอาทิตย์ จริงๆ วันสะบาโต สมัยก่อน เป็นวันเสาร์ สมมติว่าวันอาทิตย์ คุณมาโบสถ์อย่างเดียว แล้วกลับบ้าน นิ่งๆ ไม่ต้องทำอะไร? ห้ามดูทีวีเลย กลับไปเจอแมวกำลังตกน้ำ ห้ามช่วย ปล่อยให้มันตายไป นี่มันคือบทบัญญัติ
และหลักเกณฑ์ คือต้องปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อเท่านั้น จึงได้เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกพระเจ้าได้ คือไม่ผิดแม้แต่ข้อเดียว ผิดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะจุดๆ หนึ่ง และขีดๆ หนึ่ง ในถ้อยคำพระเจ้า จะไม่สูญหายไป จนกว่ามันจะถูกทำให้สำเร็จ พูดง่ายๆ ว่าถ้าไม่ได้ครบ 100 ก็เท่ากับศูนย์ นึกออกใช่ไหม? ไม่ใช่ได้ 99.99 แล้วใช่ ไม่ใช่ จุดๆ หนึ่งหายไป ก็ถือว่าผิดหมด ยากอบ 2:10 ย้ำตรงนี้ให้ฟัง
ยากอบ 2:10 “เพราะผู้ใดทำตามบทบัญญัติทั้งหมด แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิดเท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด”
ย้ำยืนยันตอนที่พระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว นี่คือในหนังสือจดหมายฝาก ยากอบได้บันทึกเอาไว้
ใครเคยดูยูทูปแล้วรู้สึกคนนี้หล่อ คนนี้สวยบ้าง? หรือใครเดินๆ ผ่าน แล้วรำคาญเขาจริง แค่คิด มีไหม? หรือใครเคยมีความรู้สึกหมั่นไส้ ตานี่จริง พูดทีไร ไม่เข้าหูคน นั่นแหละ กำลังพลาดจุดๆ หนึ่งไปแล้ว เพราะฉะนั้น มีความผิด เท่ากับเป็นคนบาปแล้ว
ลองคิดดู ชาวยิวฟังพระเยซูพูดตรงนั้น ฟังแล้ว ชาวยิวจะมีท่าทีอย่างไรบ้าง? เขาคงคิดในใจว่า …
“ใครจะไปทำได้”
แต่พระเยซูกำลังบอกว่า … “ทำได้ โดยเราเป็นคนทำ ไม่ใช่พวกนายเป็นคนทำ”
อย่าไปพึ่งตนเอง เหมือนที่หัวข้อเรื่องที่ผมตั้งขึ้นมา ท่านจะพึ่งการกระทำของตนเอง หรือพึ่งพระเยซู พระเยซูบอกมาพึ่งเราสิๆ มาพึ่งเรา
ข่าวประเสริฐถูกประกาศให้กับชาวยิวก่อนเลย ตามพระคัมภีร์บอกไว้ ชาวยิว คือพวกแรกที่พระเจ้าเลือกสรรเอาไว้ เพราะฉะนั้น ข่าวดีเรื่องสวรรค์จะถูกประกาศให้กับชาวยิวก่อน ชาวยิวเหมือนพี่ชายคนโต คือพวกเรา คนต่างชาติ ถือว่าเป็นน้องคนเล็ก ซึ่งพี่ชายอิจฉามาก เป็นคนป่า แต่มาได้เท่าเราเลย เป็นคนออกไปผลาญทรัพย์ เหมือนบุตรน้อยหลงหาย เป็นคนออกไปทำลายชื่อเสียงของพระเจ้า ไปสำมะเลเทเมา ไม่ได้รักษาศีล รักษากฎบัญญัติเลย แต่อยู่ดีๆ พระเจ้ารับมาเป็นลูกเท่ากันกับเราเลย เป็นไปได้อย่างไร? พระเยซูบอกเป็นได้สิ ไม่มีใครมาอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้าได้เลยสักคนหนึ่ง โดยการกระทำของเขาเอง ทุกคนพึ่งพระเยซูหมด เพราะฉะนั้น ถ้าพึ่งพระเยซู มันก็เท่ากันหมดแหละ เพราะพระเยซูตาย เพื่อมนุษย์ทุกคนครับ อย่าไปอิจฉาน้องเขาเลย พระเจ้าให้เกียรติแล้ว เป็นพี่ชายคนโตแล้ว ก็รับไปเถอะ จงดีใจที่น้องเหมือนตายไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับมาใหม่ มันเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ชาวยิวทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางทำได้หรอก แค่พูด “ไอ้โง่” ก็บาปแล้ว แค่มองเห็นก็บาปแล้ว แค่โกรธก็บาปแล้ว แล้วทำอย่างไร? ก็ต้องพยายามหาวิธี พยายามทำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ต่อไป ในอดีตนะ ถ้าไม่มีทางใหม่ที่พระเยซูวางไว้ให้ว่าพระองค์มาทำแทนเรา ทุกคนก็ต้องทำต่อไป พึ่งบารมีของตัวเองต่อไป พึ่งการกระทำของตัวเองต่อไป พยายามเหลือเกินที่จะไม่โกรธใคร? ที่จะไม่เกลียดใคร? ที่จะไม่พูดออกจากปากว่าไอ้โง่เอ่ย? พยายามทุกวิถีทาง วันสะบาโต ก็พยายามเก็บตัวที่สุด เท่าที่จะทำได้ ก็เลยปลีกตัวจากสังคม ไปอยู่ในป่าคนเดียว เพื่อจะรักษาบทบัญญัติตามที่พระเยซูกำลังบอก เพราะรู้ว่าต้องทำให้มันครบทุกจุด ทุกขีด มันจึงจะได้อย่างนั้น ก็พยายามทำ เรียกว่าสะสมบารมีตัวเองไปเรื่อยๆ
ซึ่งความหมายที่แท้จริงของพระคัมภีร์ตรงนี้ พระยซูบอกว่า … “อย่าคิดว่าเรามาล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ เราไม่ได้มาล้มล้าง แต่มาทำให้มันสำเร็จครบถ้วน เราไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี เลิกไป ไม่ใช่ เราบอกว่ามันดีมากเลย แต่ว่าเราทำมันไม่ได้ต่างหาก”
พระเยซูกำลังบอกว่าพระองค์เคารพกฎมากกว่าพวกฟาริสีอีก มากกว่าพวกธรรมาจารย์ที่ให้กฎเป็นสิ่งสำคัญมาก ให้มากถึงขนาดที่ว่าให้เคารพ แม้ขีดๆ หนึ่ง จุดๆ หนึ่ง ก็ต้องทำ แต่เราทำไม่ได้ใช่ไหม? พระเจ้ามีทางอื่น มีพระคุณให้กับเรา
การมาหาพระเยซู การมาเชื่อในพระเยซู มาพึ่งในพระเยซู คือการเคารพในกฎบัญญัติเหล่านั้นมากที่สุดเลย เพราะเคารพมาก จึงรู้ว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องทำ แต่เราทำไม่ได้ เห็นไหม? เราจึงมาพึ่งพระเยซู เพราะเรารู้ว่ามันสำคัญมากไง ถ้าเรารู้ว่ามันไม่สำคัญ เราก็ไม่สนใจ พระเยซูเราก็ไม่สนใจ ก็ทำกันต่อไป แต่นี่เรารู้ว่ามันสำคัญ เราอยากจะบริสุทธิ์อย่างนั้น โดยมาพึ่งพระเยซู พระเยซูทำให้เราเกิดใหม่ เดี๋ยวเราจะเรียนรู้กันต่อไป
กาลาเทีย 3:10-14 “10 คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่ง ที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ” 11 เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยบทบัญญัติ เพราะว่าคนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ 12 บทบัญญัติไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ แต่ “ผู้ใดที่ทำสิ่งเหล่านี้ จะมีชีวิตอยู่โดยสิ่งเหล่านี้” 13 พระคริสต์ได้ทรงไถ่เรา พ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว” 14 พระองค์ทรงไถ่เรา เพื่อว่าพระพรที่มีแก่อับราฮัม จะมาถึงคนต่างชาติโดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าโดยความเชื่อ เราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา”
“คนทั้งปวงที่พึ่งการกระทำตามบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า ‘ขอแช่งทุกคน ที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”
จุดๆ หนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็ต้องทำให้ได้ครบหมด จะมาบอกว่าทำได้ตั้ง 99.99% แล้ว อีกจุดหนึ่งทำไม่ได้ เพราะว่ายังคิดไม่ดีอยู่ ไม่ได้ ก็เท่ากับสอบตก
สรุป คือคำสาปแช่งจะมีแก่คนที่ไม่ทำตามบทบัญญัติอย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง
คำสาปแช่งจะมีแก่คนที่สอบไม่ครบ 100 คะแนนนั่นเอง ท่านจะเข้าสอบ โดยตัวเองหรือไม่? ท่านมั่นใจไหมว่าท่านทำข้อสอบได้ครบ 100% ในชีวิตนี้ พระเยซูกำลังบอกอย่างนั้นแหละ บอกกับชาวยิวตอนนั้นนะ ในมัทธิว เราเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่จะเข้าสอบในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เรามั่นใจไหมว่าเราสอบได้ 100 คะแนนแน่นอน ไม่มีข้อใดที่เราทำผิดแน่นอน ไม่เคยทำบาป ไม่เคยคิดไม่ดีกับใคร? ตลอดชีวิตของเราเลย เรามั่นใจไหม? ถ้าเรามั่นใจ เข้าสอบเลย สอบได้ไปสวรรค์เลย พระเยซูบอกไปสวรรค์ ไม่ใช่ไปสวรรค์แบบธรรมดานะ ในสวรรค์จะเรียกว่าเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ใหญ่กว่าใครเพื่อนเลย ถ้าท่านทำได้ แล้วทำได้ไหม? ไม่ได้
แต่ถ้าไม่แน่ใจ รู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าไปเหนื่อยเลย มาพึ่งพระเยซู พึ่งคนหนึ่งที่เขาช่วยเราได้ เราช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว เมื่อเรารู้ เราต้องหาคนอื่นมาช่วยเรา ใครบ้างในโลกใบนี้ ที่บอกว่าเขาช่วยเราตรงนี้ได้ ก็ไปหาคนนั้นแหละ และมีใครที่พูดตรงนี้ มีอยู่ท่านเดียว ที่บอกว่าตัวเรามีนามว่า “พระผู้ช่วยให้รอด” ไม่มีชื่อตัวเองอยู่เลย ชื่อของพระองค์เอง ก็คือชื่อพระผู้ช่วยให้รอด มาช่วยให้รอด พระเยซูเป็นพระเจ้าที่ไม่มีชื่อ พระเยซูแปลว่าผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าประทานให้
มาช่วยเราไม่ต้องสอบ ใช้เส้นครับ มนุษย์จึงไม่สามารถที่จะรับได้ ไม่เข้าใจ ใช้เส้นได้อย่างไร? ก็นี่แหละ ทำอย่างนี้ มีเส้น มนุษย์จึงไม่เข้าใจตรงนี้ ก็พยายามคิดเอาเองว่าไม่ยุติธรรม จะไปสวรรค์ได้อย่างไร? แค่เชื่อเอา คนที่ทำแทบตาย ก็ไปลงนรก ก็มันเป็นบัญญัติ เป็นกฎอย่างนั้น จะทำอย่างไร? มันทำไม่ได้จริงๆ เหมือนมีค่าเท่ากับมนุษย์บอกว่า …
“ไม่ยุติธรรมเลย คนทำดีแทบตาย ตกจากที่สูง แรงดึงดูดของโลกพาตาย ตกตึกตาย คนนี้ทำดีมากเลย ตกตึกตายเลย แรงดึงดูดของโลกไม่ควรจะดูดเขาลงมาเลย คนเลวน่าจะดูดมากกว่า”
แต่คนเลวนั้นเขาใส่เชฟตี้เบลท์อยู่ เขาเลยได้รับการช่วยเหลือให้รอด มนุษย์ก็จะคิดอะไรแบบนี้เสมอ ไม่ยุติธรรม พระเยซูจึงบอกนี่คือความคิดทั้งหลายของมนุษย์บนโลกใบนี้ ซึ่งถูกมารขโมยเอาความจริง ถูกปิดบังตา มนุษย์ส่วนใหญ่จึงคิดอย่างนี้ ส่วนน้อยจึงมาพึ่งพระเจ้า พึ่งพระเยซู พระเยซูจึงบอกว่าคนส่วนใหญ่จึงไปทางกว้าง คนส่วนน้อยจึงมาทางแคบ ทางแคบ คือทางพระเยซู วางทุกสิ่งลง แล้วพึ่งในพระเยซูอย่างเดียว แต่คนที่คิดตามเหตุผลตามความคิดของมนุษย์อย่างนี้ๆ ใช้สติปัญญาของมนุษย์ มันเยอะ พระเยซูบอกคนส่วนใหญ่จึงไปทางกว้างกันหมด แห่กันไปทางนั้น ต้องทำอันนี้ ต้องทำอันนั้น ต้องรักษากฎตรงนี้ ต้องรักษาระเบียบตรงนั้น ตรงนั้นอย่าทำ ตรงนี้อย่าทำ ตรงนี้ทำ
พอมีคนมาบอกว่า … “เชื่อพระเยซูอย่างเดียว ได้รับความรอด”
“เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่รู้จักพึ่งตัวเองเลย”
ใช่ไหม? เราก็คือคนส่วนใหญ่นั่นแหละ ที่จะไปทางกว้าง แต่ขอบคุณพระเจ้า เราพยายามไปทางกว้าง แล้วมันเหนื่อย ในที่สุด ด้วยพระคุณความเมตตาของพระเจ้า เปิดตาวิญญาณให้เรา เอาทางแคบนี้แหละ ขอพึ่งพระเยซู จบ เกิดใหม่
เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว พระเยซูกำลังสอนเราว่าไม่ว่าจะเป็นชาวยิว หรือมนุษย์บนโลกนี้ก็ตาม เราจำเป็นต้องเคารพกฎบัญญัติ หรือกฎหมายทางฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า กฎแห่งศีลธรรม อย่างเคร่งครัดด้วย เราต้องเคารพทุกคนเลย เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาลนี้ ไม่มีการลำเอียง แรงดึงดูดโลก ก็ดูดทั้งคนชั่วและคนดี ดวงอาทิตย์ก็ส่องลงมาที่คนชั่วและดี กฎเรื่องความบาปและความตาย ลงมาที่มนุษย์ ไม่ว่าจะทำดีหรือชั่ว ก็โดนหมดทุกคน
เพราะฉะนั้น เราต้องเคารพกฎหมาย รักษาบทบัญญัติทางฝ่ายวิญญาณนี้อย่างเคร่งครัด แต่พระองค์ก็ทรงชี้ให้เราเห็นว่าเรารู้ดีอยู่แล้วว่าเราไม่สามารถทำตามกฎบัญญัติเหล่านี้ได้ เราต้องผิดกฎหมายนั้นอย่างแน่นอน และเมื่อผิดกฎหมาย ก็ต้องถูกลงโทษ เราจึงจำเป็นต้องหาผู้ช่วย หาเส้นสาย แต่เราจะมีความรู้สึก ไม่ซื่อตรงเลย หาเส้นสายได้อย่างไร? เราต้องหาเส้นสาย หาผู้ช่วยให้เราหลุดพ้นจากกรงกรรม กรงเกวียนตรงนี้ จากกฎนี้ คือช่วยเรา ทำให้เราบริสุทธิ์ สะอาดได้อย่าง ครบถ้วนบริบูรณ์ โดยไม่ต้องเข้าไปสอบด้วยตัวเอง และวิธีการเดียว ก็คือเชื่อและวางใจในพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงประทานให้เราเรียบร้อยแล้ว คือผู้ช่วยให้รอด คือพระองค์นั่นเอง ที่กำลังพูดกับชาวยิวในขณะนั้น ในหนังสือมัทธิว พระองค์พูดต่อไปเรื่อยๆ ว่าพระองค์คือผู้นั้นแหละ …
“มาหาเราสิ เราจะพาท่านไปพบกับพระบิดา”
แต่พระองค์ทรงรู้ว่าพวกเขาไม่เข้าใจหรอก แต่วันหนึ่ง เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในเขาแล้ว เขาจะรู้เรื่องเหล่านี้เอง ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว เมื่อเขารู้แล้ว เขาจะยอมถ่อมใจ สยบตัวเอง มารับการช่วยเหลือหรือไม่? หรือจะพึ่งการกระทำของตนเองต่อไปว่า …
“ฉันดีแล้ว ฉันรักษากฎระเบียบบัญญัติได้เยอะแยะ มากกว่าคนนั้นตั้งเยอะ สมควรไปอยู่ในสวรรค์ มากกว่าคนบาปเหล่านั้น”
หรือไม่? ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคน จึงได้รับความรอด จากการถูกลงโทษ เพราะเหตุของการมีเชื้อบาป หรือการทำบาปของตนเอง ด้วยความรอดนี้เท่านั้น คือรอด โดยพระคุณพระเจ้า ไม่ใช่รอด โดยการพึ่งการกระทำของตนเอง
โรม 3:20 “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”
บทบัญญัติที่พระเจ้าให้บันทึกเอาไว้ ในหนังสือของโมเสส พระเยซูบอกว่าบทบัญญัตินั้น มีไว้เป็นเหมือนเครื่องเอ็กซ์เรย์ว่าคุณมีโรคอะไร? มีโรคจริงๆ เอ็กซ์เรย์มาแล้ว ปอดทะลุ มีมะเร็งอยู่ในนั้น เอ็กซ์เรย์มาแล้ว หัวใจโต ล้มเหลว แต่เอ็กซ์เรย์ไม่สามารถช่วยให้ท่านหายจากการเป็นมะเร็ง หายจากโรคหัวใจนั้นได้ ท่านจำเป็นต้องรู้ว่าท่านเป็นโรคอะไรก่อน บัญญัติเหล่านี้เป็นตัวฟ้อง เป็นตัวบอกท่านว่าท่านเป็นอะไร? แต่รักษาท่านไม่ได้หรอก ครั้งต่อไปท่านไปหาเครื่องเอ็กซ์เรย์ ท่านก็ตาย ถ้าท่านรู้ว่าท่านเอ็กซ์เรย์มาแล้ว ป่วย ครั้งต่อไป ท่านไปโรงพยาบาล ท่านต้องไปหาหมอ
แล้วถามว่าเครื่องเอ็กซ์เรย์ดีไหม? ดี จะได้รู้ว่าเราป่วยเป็นโรคอะไร? แต่เอ็กซ์เรย์ช่วยได้แค่นั้นเอง เราต้องไปหาหมอ 1 เปโตร 2:24 บอกไว้แล้วว่าหมอเป็นใคร?
1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลาย ไว้ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”
เพราะฉะนั้น ให้มาหาหมอ หมอ ก็คือพระเยซู พระเยซูผู้รักษาท่านให้หายได้ พระเยซูมา เพื่อรักษาเราให้หายจากบาป พระเยซูมา เพื่อพระเจ้าจะได้มีหนทางฆ่าพวกเราได้ คือให้พวกเรานั้นตายต่อบาป เราเป็นทาสบาป ติดบาป เพราะฉะนั้น เราจำเป็นต้องตายต่อบาป เพื่อจะได้เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ได้ โรม 6:11 จึงได้บอกอย่างนี้ วิธีการรักษาของพระเจ้า ก็คือ …
โรม 6:11 “จงถือว่าตัวท่านเอง ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์”
“จงถือว่า” ตรงนี้ แปลว่า “จงรับรู้”
“จงรู้เถิดว่าตัวท่านเอง ตายต่อบาป” ตัวเก่าเราที่เป็นทาสบาป ที่ต้องทำบาป ต้องทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น ที่ละเมิดกฎบัญญัติ หลายขีด หลายจุดตรงนั้น จงรับรู้เถิดว่ามันได้ตายไปแล้ว บาปทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว กฎระเบียบทำอะไรท่านไม่ได้แล้ว และท่านได้มีชีวิตใหม่ เกิดใหม่แล้ว เป็นชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า คือสามารถเข้ากับพระเจ้าได้แล้ว ในพระเยซูคริสต์
“ตายต่อบาป” มีความหมายว่าอย่างไร? ง่ายนิดเดียว สมมติว่าเราฆ่าคนตาย ขึ้นศาลอ่านประมวลกฎหมายต่างๆ เรียบร้อยแล้วว่าเราได้รับโทษ ในการฆ่าคนตายนั้น ต้องถูกประหารชีวิต พรุ่งนี้นำตัวเราไปประหารชีวิต ไปตัดคอ กฎหมายสั่งไว้อย่างนั้น ศาลสั่งไว้อย่างนั้นว่าเราต้องถูกตัดคอ ในวันพรุ่งนี้ ปรากฏว่าคืนนี้ เราเป็นลม ช็อคตายไปก่อน พอเราตายไป กฎหมายยังอยู่ไหม? อยู่ โทษของกฎหมายที่บอกว่าเราจำเป็นต้องถูกตัดคอยังอยู่ไหม? อยู่ สรุปแล้วเราถูกตัดคอไหม? ไม่ถูก เพราะว่าตายไปก่อนแล้ว ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้ายอดเยี่ยม
เราตายต่อบาปแล้ว จงรับรู้ว่าตัวเก่าเราตายไปแล้ว ตัวเก่าที่ละเมิดจุดๆ หนึ่ง ขีดๆ หนึ่ง มันตายไปแล้ว บัดนี้เราเกิดใหม่แล้ว เรามีรหัสพันธุกรรมใหม่ ที่มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว สะอาด หมดจด บริสุทธิ์แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังอยู่ในที่เดิม ก็คือในอาดัม ที่เราเคยได้เรียนรู้กัน ก็ยังต้องอยู่ในกฎหมายอยู่ ก็ต้องถูกตัดคอ แต่ถ้าตายแล้ว มาเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ไม่ต้องถูกลงโทษแล้ว เพราะพระคัมภีร์บอกเอาไว้ ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เพราะเป็นพระคุณของพระเจ้า ประกาศแล้ว เพราะถือว่าตัวเก่าเขาตายไปแล้ว นี่เขาเกิดใหม่แล้ว เอเมน
สำหรับชาวยิวที่ได้ฟังพระเยซูพูด กฎ 613 ข้อ เป็นตัวฟ้องพวกเขาเอง เขารู้จักกฎเหล่านี้ดี โดยเฉพาะพวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสี รู้ดี กฎ 600 กว่าข้อ ที่เขาได้ยินได้ฟังมา เขาบันทึกมา เขาตั้งใจทำมา เป็นตัวฟ้องร้อง กล่าวโทษพวกเขาในชีวิตเขา ในใจเขาว่าเขาเป็นคนละเมิดกฎ คือเป็นคนบาปที่สมควรได้รับการลงโทษ เพราะเขารู้ว่าหลายจุด หลายขีดเลย เขาทำได้มากที่สุดแค่ 612 ข้อ สมมติ เพราะฉะนั้น กฎเหล่านี้ เป็นตัวฟ้องพวกเขา
คราวนี้ เราก็จะถามว่าแล้วพวกเราคนต่างชาติล่ะ เราไม่ได้ถือกฎบัญญัติของโมเสส เราไม่เคยถวายสิบลด เราไม่เคยเอาสัตว์ไปบูชายันต์ แล้วกฎของเรามีที่ไหน? พระคัมภีร์บอกเรียบร้อยเลย ในหนังสือโรม บทที่ 2 บอกว่าสำหรับชาวยิว กฎเหล่านี้ เป็นตัวฟ้องเขา แต่สำหรับคนต่างชาติ กฎถูกเขียนไว้ในจิตใต้สำนึกของเรา เรารู้ว่าเราทำอะไรไม่ดีข้างใน เราจึงรู้ว่าตัวเองบาป เราคนไทยจึงบอกว่า …
“โอ๊ย! เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง หมดบาปสักทีหนึ่ง เมื่อไรจะชดใช้หนี้เวรกรรมหมดสักที เกิดชาติหน้าขอให้ใช้หนี้ให้หมดสักทีหนึ่ง”
เพราะเรารู้ว่าเรายังเป็นคนบาป ต้องใช้หนี้ตามกฎหมายอยู่
เพราะฉะนั้น กฎหมาย ศีลธรรมที่อยู่ในใจของมนุษย์ทั่วๆ ไปที่ไม่ใช่ชาวยิว เป็นตัวฟ้องเราว่าเราเป็นคนละเมิดกฎ เป็นคนบาป สำหรับชาวยิว ก็คือศิลาจารึก ที่เขียนบทบัญญัติ สมัยโมเสสที่เขียนบนศิลา ในหินสลัก ไว้ว่ากฎข้อ 1 จงมีพระเจ้า, อย่ามีรูปเคารพ, จงรักเพื่อนบ้าน อะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นตัวยืนยัน ฟ้อง แต่สำหรับคนต่างชาติ จิตใต้สำนึกฟ้องร้อง ยืนยันกฎบัญญัติพระเจ้าที่เขียนไว้ในใจ ที่เขาต้องทำตาม ที่เราต้องทำตาม ครบทุกจุดทุกขีด ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% จึงจะเป็นลูกของพระเจ้า จึงจะสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ต้องสอบให้ได้ครบ 100 ถ้าไม่ครบ 100 ตก แต่มีทางเลือกให้ ตอนพระเยซูมา คือถ้ารู้ว่าสอบไม่ได้แน่ๆ ก็อย่าเข้าไปสอบ ใช่ไหม? หาตัวช่วย หาเส้นสาย คือพระเยซู
สำคัญที่สุดอันดับแรก เมื่อเรารับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าได้ทำให้เรา ที่ตะกี้นี้บอก คือเราตายต่อบาป แล้วก็มารับใช้พระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์ คำว่า “รับใช้” นี้คือตายต่อบาป แล้วมาเข้ากันได้กับพระเจ้า มาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในวิญญาณ บริสุทธิ์เหมือนพระองค์นั่นเอง เราไม่สามารถรับใช้พระเจ้า มาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า มาติดต่อกับพระเจ้าได้ โดยการตั้งใจทำความดี เพราะมันทำไม่ได้อยู่ ทำอย่างไรก็สกปรก เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ สกปรกมาก สกปรกน้อย มันก็คือสกปรก เข้าไม่ได้ ก็คือเข้าไม่ได้นั่นเอง จะไปเถียงทำไม? จะไปหาเหตุหาผลทำไมว่า …
“ฉันทำได้มากกว่าคนนี้ ฉันทำได้ 99.99% ฉันขอเข้าไปหน่อยได้ไหม?”
ก็มันไม่ได้ ไปที่ด่านที่ท่าอากาศยาน ไปเถียงกับเขา เข้าด่านจะมีเครื่องเอ็กซ์เรย์ เครื่องตรวจ เรามีกระดุมเม็ดหนึ่งเป็นโลหะ มันก็ดัง ห้ามเข้า
“ฉันมีกระดุมเม็ดเดียวเอง เล็กนิดเดียวเอง คนนั้นเขามีตั้งเยอะแยะ ฉันมีนิดเดียว ขอเข้าไปหน่อยนะ”
“ไม่ได้ มีเสียงไม่ได้ ต้องเอากระดุมออก”
อีกคนมาบอก … “ฉันมีแค่เข็มนิดเดียวเอง”
เครื่องมันร้องใหญ่เลย ต้องหาให้เจอเข็มนั้น ไม่อย่างนั้น ก็เข้าไม่ได้ อย่างนี้จะไปเถียงกับพระเจ้าเหรอ
นี่แหละ มนุษย์เราคิดอย่างนี้ว่า …
“ฉันทำตั้งเยอะแล้ว ฉันสมควร”
ก็มันระเบียบ มันกฎทางฝ่ายวิญญาณ มันเป็นเช่นนั้น เราเคารพไม่ดีกว่าหรือ? เพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเอง
มันเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ โดยการกระทำของเราเอง เราจึงพูดกันเสมอ พูดเล่นๆ แต่มันกลายเป็นจริง เมื่อเราทำอะไรไม่ได้ เรารู้ว่าชาตินี้ เราก็ทำไม่ได้ เราพูดกันเล่นๆ ว่าอย่างไร? สมมติว่าคนนี้อยากร้องเพลง แต่ร้องเพลงเพี้ยนเหลือเกิน อยากเป็นนักร้อง เราก็จะบอกคนนั้นว่า …
“ไปเกิดใหม่ซะ”
ถูกไหม? นี่เราพูดเล่นๆ แต่มันเป็นจริง พระเยซูพูดอย่างนั้นแหละ ทำไม่ได้หรอก อยากจะบริสุทธิ์ เข้าสวรรค์ด้วยตัวเอง ทำอย่างไรก็ไม่ได้ ดูแล้วมันสกปรกเต็มที มีทางเดียวเท่านั้น คือไปเกิดใหม่ซะ มันเป็นจริงนะ เกิดใหม่ในพระองค์ โรม 14:23 จึงได้บอกไว้อย่างนี้ ชัดเจนเลยว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่ได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มันเป็นบาป มันสกปรกทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ในทางกลับกัน ก็คือถ้าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราทำอะไร มันก็ไม่บาปเลยสักนิดเดียว แล้วค่อยมาเรียนรู้ต่อไปว่าพระคุณของพระเจ้า ไม่ได้ตั้งใจให้เราทำบาป ถึงได้มาส่งเสริมให้เราทำบาป ซึ่งเราก็ทำอยู่แล้ว แต่พระคุณของพระเจ้า เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว จะทำให้เรามีกำลังลดบาปลง ไม่ทำมากเหมือนแต่ก่อนนี้
โรม 14:23 “แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากินก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามความเชื่อ และการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป”
“การกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป” ท่านเห็นไหม? ก็เพราะว่าเราเลือกจะสอบด้วยตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะความเชื่อในพระเยซูมาเป็นผู้ช่วยให้เรารอด สอบอย่างไร ก็ไม่มีรอดหรอก มันก็บาป แต่ถ้าเราบอกเราไม่สอบแล้ว เราไม่เอา เราจะเอาผู้ช่วยอย่างเดียว เอาพระคุณอย่างเดียว ด้วยความเชื่อนี้ มันก็ไม่มีบาป บริสุทธิ์อย่างเดียว ไปอยู่กับพระเจ้าเลย เอเมน
สมมติว่าถ้าเราให้ออกไปสิบล้าน ในสายตาของมนุษย์ทั้งหมดเลยในโลกใบนี้ คนนี้ดีมาก ให้ไป ร้อยล้านเลย ให้ไปหมื่นล้านดอลลาร์ ช่วยคนจน พิสูจน์แล้วว่าจากใจจริงๆ เลย ประชาชน คนในโลกทั้งหมด สรรเสริญมากเลย แต่เขาไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ถามว่าตามพระคัมภีร์นี้ เป็นบาปไหม? เป็น เพราะใครจะรู้ข้างนอกดูดีมากเลย แต่ในใจเขาอาจจะกำลังทำ เพื่ออะไรบางอย่าง ประโยชน์ของตัวเองทั้งสิ้น ถ้าไม่มีพระเยซู ก็ทำเพื่อตนเอง ผลประโยชน์ของตนเอง โดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะทำเพื่อเสริมบารมี ก็คือทำเพื่อตนเอง แต่ถ้าเผื่ออยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว จะให้ไปสักเหรียญหนึ่ง หรือบาทหนึ่ง แต่ให้ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เขาทำเพื่อพระเยซูคริสต์ต่างหาก ท่านพอเข้าใจใช่ไหม? ออกไปช่วยเหลือผู้อื่นที่ด้อยโอกาส ที่กำลังเดือดร้อนต่างๆ ดูดีไปหมด ใครๆ ในโลกนี้เห็นก็บอกว่าอย่างนี้ดีมากๆ แต่เขาคิดในใจเขาทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อเสริมบารมี เพื่อจะได้ไปสวรรค์ได้ ซึ่งก็เป็นท่าทีที่ผิด มันก็เป็นบาป ท่านพอจะมองเห็นหรือยัง?
การกระทำดีในสายตามนุษย์ แม้จะเอกฉันท์ในโลกใบนี้ มองดูแล้วว่าดีแน่นอน แต่ถ้าด้วยท่าทีที่ผิด มันก็เป็นบาปทั้งสิ้น ผมไม่ได้พูด พระเยซูพูด และพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น ท่าทีที่ผิด คือท่าทีที่พึ่งตนเอง สอบด้วยตนเอง ท่าทีที่ถูก ก็คือพึ่งในพระคริสต์ เชื่อและวางใจในพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด ไม่สอบเองแล้ว ให้พระเยซูช่วย พูดตรงๆ เลย ใช้เส้น ใครจะว่าอย่างไรไม่รู้ คริสเตียนทั้งหลายใช้เส้นทั้งนั้นแหละ ตัวเองทำไม่ได้ ใช้เส้นสายพระเยซู พระเยซูก็ยินดีที่จะคอยช่วย เพราะว่าพระองค์รับหน้าที่นี้ จากพระเจ้าพระบิดาแล้วว่าประทานพระเยซูคริสต์มาเป็นผู้ช่วยให้รอด จากการสอบตก อยากสอบเอง ก็เชิญ
ฉะนั้น เมื่อรู้ว่าเราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว ได้รับสิ่งทั้งหมด เป็นพระพรนานัปการแล้ว ก็ทำให้ไม่ต้องขวนไขวหาอะไร เพื่อตัวเองอีกต่อไป เห็นไหม? จะให้ออกไปร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ก็ไม่ได้เพื่อตัวเองอีกต่อไปแล้ว แต่กำลังให้อยู่ในการรับใช้พระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์ ในพระเยซูคริสต์ มันออกมาเป็นธรรมชาติ เมื่ออยู่ในพระคริสต์ ทำอะไรด้วยความเชื่อในพระคริสต์ มันก็จะไม่ทำ เพื่อตนเองอีกต่อไป …
“เพราะฉันไม่ต้องการอะไรแล้ว ฉันได้รับหมดแล้ว จะไปทำอะไรเล่า อยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปทำอะไร เพื่อไปสวรรค์เล่า ฉันจะไปทำเพื่อสวรรค์ทำไม? แต่ฉันทำดี เพราะเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าให้ฉันทำ ทำดี เพราะพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในใจ ทำดี เพราะฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ทำดี เพราะพระวิญญาณกำลังนำฉันอยู่ ไม่ใช่ทำดี เพราะสั่งสมบารมี จะไปสอบ ฉันสอบได้แล้ว เอเมน อยู่ในสวรรค์แล้วด้วย”
คนที่เชื่ออย่างนี้ จึงมีชีวิตอยู่เพื่อพระคริสต์ เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่กำลังของเรานะ แต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาเรา อยู่เพื่อพระคริสต์ อยู่เพื่อผู้อื่น ด้วยพลังความรักนิรันดร์ ที่พระเจ้าใส่ลงมาในจิตใจ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ในวิญญาณของเรา และความคิดจิตใจใหม่ของเรา ที่เหมือนพระคริสต์ ตรงนี้ต่างหากที่เป็นกำลังของเรา เพราะในพระคริสต์เราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว วางใจในพระองค์แล้ว ในพระคริสต์ เราเต็มไปด้วยความหวังที่จับต้องได้ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ต้องมีความหวังอนาคตแล้ว ความหวังเราจับต้องมองเห็นได้เลยว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีที่ติใดๆ เลย ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักมากมาย เรียบร้อยไปแล้ว เดี๋ยวนี้เลย เป็นแสงสว่าง เป็นพลังอำนาจของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะจูงมือฉันเดินกับพระองค์ เพื่อรับใช้พระองค์ตลอดเวลา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จนกว่าจะเสร็จงาน ตามแผนการของพระองค์ในชีวิตฉันนั่นเอง เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
****************************