คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2020
เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 41
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อเรื่องอย่ากลัวเลย คำว่า “อย่ากลัวเลย” เราจะสามารถหาได้จากถ้อยคำของพระเจ้าทั้งเล่ม ในแต่ละจังหวะ ในแต่ละช่วงชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ไม่ว่าจะอดีต คือบรรพบุรุษของเรา อิสราเอล มาจนถึงพระคัมภีร์ใหม่ มาจนถึงพวกเราทุกคน ในทุกวันนี้ พระเจ้าก็ทรงตรัสกับเราเสมอว่าอย่ากลัวเลย อย่างเช่นในวิกฤตขณะนี้ เราก็ฟันฝ่ามาจะสิ้นปีแล้วนะ เราเจอเรื่องโควิดตั้งแต่ปลายปีที่แล้วมานิดๆ แล้วก็ค่อยๆ มาจนเดือนมีนาคม ก็เริ่มหนักเข้า กลางเดือนมีนาคม ก็ไม่ให้สมาชิกมานมัสการที่โบสถ์เลย เพื่อป้องกันพวกเรา เพื่อความปลอดภัย เราเพิ่งให้สมาชิกมานมัสการที่โบสถ์ สิ้นเดือนนี้ ก็จะครบ 2 เดือน แต่ว่ามันก็จะมีข้อจำกัดมากมาย พี่น้องก็ต้องใส่หน้ากากอนามัย บางทีก็หายใจไม่ออก แต่เราก็ต้องทำ แล้วเราก็หนุนใจพี่น้องที่อายุเยอะหน่อย ที่ใส่หน้ากากอนามัยไม่ไหว มาอยู่ในนี้ไม่ไหว ก็ให้อยู่ที่บ้าน นมัสการพระเจ้าพร้อมกับพวกเรา ซึ่งพระพรมีเท่ากันเลย พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยกับเรา ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่นี่ หรือพี่น้องที่อยู่ที่บ้าน ก็ไม่ได้รับพระพรน้อยกว่ากัน เราจะได้รับพระพรไปด้วยกัน เอเมน
วันนี้ก็จะนำเรื่องของกษัตริย์องค์หนึ่ง ในอิสราเอลมาเล่าสู่กันฟัง คือกษัตริย์เฮเซคียาห์ ซึ่งถ้าพี่น้องได้อ่านพระคัมภีร์เดิมก็จะรู้จักชื่อของกษัตริย์เฮเซคียาห์อย่างดี
ในหนังสือพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าตรัสกับกษัตริย์ดาวิดว่าถ้าลูกหลานของกษัตริย์ดาวิดยังคงสัตย์ซื่อกับพระเจ้า ดำเนินชีวิตที่ดีงาม และติดตามพระเจ้า ไม่ไปติดตามพระอื่น พระองค์ก็จะทรงอวยพรให้มีผู้หนึ่ง ที่จะมานั่งบนบัลลังก์ พอมาถึงกษัตริย์ซาโลมอน ก็เริ่มปันใจออกห่าง เพราะกษัตริย์ซาโลมอนมีมเหสีเยอะ มีนางสนมเยอะมาก จากที่มีภรรยาเยอะ ก็มีพระของภรรยาแต่ละคน ขนกันมา และกษัตริย์ซาโลมอนก็ไม่ได้ตั้งมั่นอยู่ในพระเจ้าอย่างเต็มที่ ในช่วงปลายชีวิตของพระองค์ พอเป็นอย่างนี้ พระเจ้าก็บอกว่าจะทรงแยกอาณาจักร ซึ่งในยุคของกษัตริย์ซาโลมอน ก็ยังอยู่ดีมีสุข พระเจ้าก็ยังไม่ได้ทำอะไร ยังแฮปปี้ แต่พอหลังจากษัตริย์ซาโลมอน พระเจ้าก็แยกอาณาจักรออกมาเป็นยูดาห์กับอิสราเอล
แล้วถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์ เราจะเห็นว่ากษัตริย์ฝั่งของยูดาห์จะมีกษัตริย์ดีบ้าง ชั่วบ้าง สลับกันไป แต่ส่วนของฝ่ายอิสราเอล ก็คือไม่ได้เป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดเลย เป็นของขุนนาง ก็จะมีแต่กษัตริย์ชั่วทุกพระองค์เลย ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ พระองค์ก็รู้ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่พระองค์ก็ยังคงรักษาเผ่าพันธุ์ของกษัตริย์ดาวิดไว้ เพื่อแผนการที่พระองค์ได้วางไว้ สำหรับพระเยซูคริสต์ในอนาคตข้างหน้าว่าพระองค์จะต้องมาเกิดในเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด ต้องคงไว้ เผ่าพันธุ์หนึ่ง แล้วพระเจ้าก็ให้เผ่ายูดาห์ มี 2 เผ่าของคนอิสราเอล ดำเนินมาเรื่อยๆ กษัตริย์บางองค์ ก็เอาใจออกห่างพระเจ้า กบฏกับพระเจ้า ไปบูชาพระอื่นเยอะแยะมากมาย
มาจนถึงกษัตริย์เฮเซคียาห์ เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรของพระเจ้า ก็คือไปทำลายล้างพวกพระ พวกแท่นบูชาอะไรเยอะแยะมากมาย แล้วก็นำคนอิสราเอลให้กลับมานมัสการพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเหมือนเดิม พอพระองค์ทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรของพระเจ้า กำลังก็เข้มแข็ง ตอนนั้นคนยูดาห์ ก็เป็นเหมือนเมืองขึ้นของชาวอัสซีเรีย
พอเข้มแข็งปุ๊บ กษัตริย์เฮเซคียาห์ก็เลยกบฎกับอัสซีเรีย ฉันไม่ส่งส่วยแล้ว ไม่ส่งเครื่องบรรณาการไปให้ ก็แข็งข้อ ปรากฏว่าการแข็งข้อในครั้งนั้น ทำให้กษัตริย์อัสซีเรียยกกองทัพมาล้อมเมือง พอล้อมเมือง กองทัพสู้ไม่ไหว ก็ถูกยึดเมือง พอถูกยึดเมือง กษัตริย์เฮเซคียาห์ตกใจ เราคิดว่าเราคิดถูกแล้วนะ ไปกบฏกับเขา คราวนี้ทำไงดี ก็เลยไปเจรจาขอสงบศึก ก็ต้องไปจ่ายค่าปรับด้วยเงิน ด้วยทอง เยอะแยะมากมาย ขนาดที่ในท้องพระคลังถูกขนไปหมดเลย ไม่พอยังไปลอกทองคำจากพระวิหาร ประตูพระวิหาร ตรงไหนที่มีทองคำ แงะเอาไปหมดเลย เอาไปจ่ายหนี้ ไปชดใช้ค่าเสียหาย
กษัตริย์เฮเซคียาห์ทำขนาดนี้ และบอกกษัตริย์อัสซีเรียว่า …
“เราผิดไปแล้ว ยกโทษให้นะ ถอยทัพไปเถอะ อย่ามายุ่งกับเราเลย เราจะอยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัว เดี๋ยวเราจะส่งเครื่องบรรณาการให้”
แต่กษัตริย์อัสซีเรียไม่ยอมเลิกรา เรามาฟังถ้อยคำของพระเจ้า ในสิ่งที่กษัตริย์อัสซีเรียได้พูดกับกษัตริย์เฮเซคียาห์ ซึ่งท้าทายพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่อย่างไร? ใน 2 พงศ์กษัตริย์ 18:28-37 บอกว่า …
2 พงศ์กษัตริย์ 18:28-37 “28 แล้วรับชาเคห์ร้องตะโกนเสียงดังเป็นภาษายูดายว่า “จงฟังพระวจนะของพระมหาราชา คือพระราชาแห่งอัสซีเรีย 29 พระราชาตรัสดังนี้ว่า ‘อย่าให้เฮเซคียาห์ลวงเจ้า เพราะเขาจะไม่สามารถช่วยกู้เจ้า จากพระหัตถ์ของพระองค์ 30 อย่าให้เฮเซคียาห์กระทำให้เจ้าพึ่งพระเจ้า โดยกล่าวว่า ‘พระเจ้าจะทรงช่วยกู้เราแน่ และจะไม่ทรงมอบเมืองนี้ไว้ ในมือของพระราชาแห่งอัสซีเรีย’ 31 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะพระราชาแห่งอัสซีเรีย ตรัสดังนี้ว่า ‘ดีกันเถอะน่ะ และออกมาหาเรา แล้วทุกคนจะได้กินจากเถาองุ่นของตน และทุกคนจะกินจากต้นมะเดื่อของตน และทุกคนจะดื่มน้ำ จากที่ขังน้ำของตน 32 จนเราจะมานำเจ้าไปยังแผ่นดิน ที่เหมือนแผ่นดินของเจ้าเอง เป็นแผ่นดินที่มีข้าวและเหล้าองุ่น เป็นแผ่นดินที่มีขนมปังและสวนองุ่น แผ่นดินที่มีมะกอกเทศและน้ำผึ้ง เพื่อเจ้าทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่และไม่ตาย และอย่าฟังเฮเซคียาห์ เมื่อเขานำเจ้าผิดไปโดยกล่าวว่าพระเจ้าจะทรงช่วยกู้เราทั้งหลาย 33 มีพระแห่งประชาชาติองค์ใด เคยช่วยกู้แผ่นดินของตน ให้พ้นจากพระหัตถ์ของพระราชาแห่งอัสซีเรียได้หรือ! 34 พระของเมืองฮามัทและเมืองอารปัดอยู่ที่ไหน? พระของเมืองเสฟารวาอิม เฮนาและอิฟวาห์อยู่ที่ไหน? เขาได้ช่วยกู้สะมาเรียจากมือของเราหรือ! 35 พระองค์ใดในบรรดาพระทั้งหมดของประเทศทั้งหลาย ได้ช่วยกู้ประเทศของตนจากมือของเราหรือ! พระเจ้าจึงช่วยกู้เยรูซาเล็มจากมือของเราได้’” 36 แต่ประชาชนนิ่งไม่ตอบเขาสักคำเดียว เพราะพระบัญชาของพระราชามีว่า “อย่าตอบเขาเลย” 37 แล้วเอลียาคิมบุตรฮิลคียา ผู้บัญชาการราชสำนัก และเชบนาห์ราชเลขาและโยอาห์บุตรอาสาฟเจ้ากรมสารบรรณ ได้เข้าเฝ้าเฮเซคียาห์ด้วยเสื้อผ้าฉีกขาด และกราบทูลถ้อยคำของรับชาเคห์”
รับชาเคห์เป็นข้าราชการของกษัตริย์อัสซีเรีย คือได้เงินไปแล้ว อะไรก็เรียบร้อยไปแล้ว ก็ไม่ยอม ก็ยังมาระราน มาพูดจาสามหาว มาพูดจาดูหมิ่นว่า …
“อย่าไปเชื่อเฮเซคียาห์นะ บอกว่าพระเจ้าของพวกเธอช่วยเธอได้ ไปดูสิ ประเทศไหนเขามีพระเยอะแยะมากมาย ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนที่ช่วยกู้ประเทศเหล่านั้นได้ เพราะว่าแพ้สงครามหมดเลย อัสซีเรียยึดหมดเลย”
ซึ่งในถ้อยคำเหล่านี้ เป็นการประกาศสงคราม ไม่ใช่ประกาศสงครามกับกษัตริย์เฮเซคียาห์ แต่กำลังประกาศสงครามกับพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ตอนแรกข้าราชการของเฮเซคียาห์บอกว่า …
“อย่าพูดภาษายูดายเลย อย่าให้พวกประชาชนรู้ความ เดี๋ยวเขาจะแตกตื่นตกใจ”
ยิ่งเอาใหญ่เลย พูดภาษายูดาย แล้วพูดแบบแรงๆ ว่า …
“พวกเธออย่าไปเชื่อกษัตริย์ของเธอนะ มายอมจำนนกับฉัน เธอจะได้มีกินมีใช้ มีทุกอย่างอุดมสมบูรณ์”
สิ่งที่กษัตริย์อัสซีเรียได้ทำ เป็นสิ่งที่ท้าทายพระเจ้ามากๆ ฉะนั้น ข้าราชการของเฮเซคียาห์ทุกข์ใจมาก คนสมัยก่อน พอทุกข์ใจ เขาก็จะฉีกเสื้อผ้า บางทีฉีกเสื้อผ้าไม่พอ ใส่ผ้ากระสอบ บางทีเอาขี้เถ้าซัดบนศีรษะ เป็นการสำแดงว่าเสียใจมาก มันไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เพราะว่าสิ่งที่คนของกษัตริย์อัสซีเรียพูด มันเป็นเรื่องจริงหมดเลย ก็คือทุกประเทศ ไม่มีพระของประเทศไหนสามารถสู้กษัตริย์อัสซีเรียได้ เพราะถูกโจมตีจนระเนระนาด แม้แต่สะมาเรีย ก็ถูกตีแตกไปเรียบร้อยแล้ว
เพราะฉะนั้น เมื่อเข้ามาหากษัตริย์เฮเซคียาห์ เรามาดูว่ากษัตริย์เฮเซคียาห์ทำอย่างไร? 2 พงศ์กษัตริย์ 19:1-20
2 พงศ์กษัตริย์ 19:1 “เมื่อกษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงได้ยิน พระองค์ก็ทรงฉีกฉลองพระองค์เสีย และทรงเอาผ้ากระสอบคลุมพระองค์ และเสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า”
นี่คือเคล็ดลับ ก่อนหน้านั้น กษัตริย์เฮเซคียาห์คงลืมคิดว่าตัวเองมีพระเจ้า มีพระยะโฮวาห์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าของเรา ผู้ทรงสามารถช่วยเราได้ ไม่ทันคิด คิดแต่ความคิดของตัวเอง เราไปเจรจาสงบศึกก่อนแล้วกัน ปรากฏว่าสิ่งที่ตัวเองทำด้วยมือ มันไม่เกิดผลสำเร็จ ตอนนี้ทำไงล่ะ เงินทองในท้องพระคลังก็หมดแล้ว ในพระวิหารก็ถูกขูดไปหมดแล้ว ต้องทำอย่างไร? ก็เลยต้องวิ่งไปหาพระเจ้า
จริงๆ แล้ว มนุษย์เป็นอย่างนี้แหละ เวลาเราเจอปัญหา อันดับแรกเราต้อง คิดด้วยสมองตื้นๆ ของเราเอง คิดใหญ่ เราควรจะแก้ไขอย่างไร? เราควรจะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างไร? ไปหาใครมาช่วยเหลือเรา เยอะแยะมากมาย พอไม่เกิดผลสำเร็จ ถึงหันหน้ากลับมาหาพระเจ้า ซึ่งก็เหนื่อยนะ เสียเวลา แต่เรายังขอบคุณพระเจ้า ที่เฮเซคียาห์ยังนึกขึ้นได้มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เป็นพระเจ้าของพระองค์ แล้วก็วิ่งเข้ามาหาพระองค์
2 พงศ์กษัตริย์ 19:2-6 “2 และพระองค์ทรงใช้เอลียาคิม ผู้บัญชาการราชสำนัก และเชบนาห์ราชเลขา และมหาปุโรหิตคลุมตัวด้วยผ้ากระสอบ ไปหาผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ บุตรอามอส 3 เขาทั้งหลายเรียนท่านว่า “เฮเซคียาห์ตรัสดังนี้ว่า ‘วันนี้เป็นวันทุกข์ใจ วันถูกติเตียนและอดสู เด็กก็ถึงกำหนดคลอด แต่ไม่มีกำลังเบ่งให้คลอด 4 ชะรอยพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านคงได้ยิน ถ้อยคำของรับชาเคห์ ผู้ซึ่งพระราชาแห่งอัสซีเรียนายของเขา ได้สั่งมาให้เย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และจะทรงขนาบถ้อยคำ ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านได้ทรงสดับ เพราะฉะนั้น ขอท่านอธิษฐาน เพื่อส่วนชนที่เหลืออยู่นี้’” 5 เมื่อข้าราชการของกษัตริย์เฮเซคียาห์มาถึงอิสยาห์ 6 อิสยาห์ก็บอกเขาทั้งหลายว่า “จงทูลนายของท่านเถิดว่า ‘พระเจ้าตรัสดังนี้ว่าอย่ากลัว เพราะถ้อยคำที่เจ้าได้ยินนั้น ซึ่งข้าราชการของพระราชาของอัสซีเรีย ได้กล่าวหยาบช้าต่อเรา”
คำพูดตรงนี้ชัดเจนมากเลย สิ่งที่ถ้อยคำของกษัตริย์อัสซีเรียสั่งให้ข้าราชการมากล่าวหยาบช้ากับคนอิสราเอล พระเจ้าถือว่าเขากำลังกล่าวหยาบช้ากับพระองค์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอิสราเอลเลย เขาดูหมิ่นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
สมัยก่อน กษัตริย์ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า เวลาจะเข้าเฝ้าพระเจ้า ก็ต้องไปหาผู้เผยพระวจนะ ไปขอให้ผู้เผยพระวจนะ ช่วยทูลพระเจ้าว่าตอนนี้ มีเรื่องทุกข์ใจ ลำบากมากเลย ให้พระเจ้าช่วยหน่อยเถิด อิสยาห์ก็เลยบอกกับคนที่มา ให้กลับไปทูลกษัตริย์เฮเซคียาห์ว่า …
“ไม่ต้องกลัว ในคำขู่ของกษัตริย์อัสซีเรีย เพราะว่าเขาไม่ได้ขู่เธอ เขาไม่ได้ดูหมิ่นเธอ แต่เขากำลังดูหมิ่นฉัน กำลังท้าทายฉันอยู่ (คือพระเจ้า)”
ในถ้อยคำตรงนี้ เราจะเห็นภาพที่ชัดเจนมาก ในพระคัมภีร์ใหม่บอกว่าถ้าใครทำร้ายเรา เท่ากับคนนั้น ทำร้ายพระเยซู ฉะนั้น ถ้ามีใครทำร้ายเรา เราไม่ต้องไปต่อสู้ หรือไปทำอะไร จนวุ่นวาย อธิษฐานกับพระเจ้า เพราะว่าเขาไม่ได้ทำร้ายเรา เขากำลังทำร้ายพระเจ้าของเรา ซึ่งพระเจ้าจะทรงปกป้องเราเอง
2 พงศ์กษัตริย์ 19:7-11 “7 ดูเถิด เราจะบรรจุจิตใจอย่างหนึ่งในเขา เพื่อเขาจะได้ยินข่าวลือ และกลับไปยังแผ่นดินของเขา และเราจะให้เขาล้มลงด้วยดาบ ในแผ่นดินของเขาเอง’” 8 รับชาเคห์ได้กลับไป และได้พบพระราชา แห่งอัสซีเรียสู้รบเมืองลิบนาห์ เพราะเขาได้ยินว่าพระราชาออกจากลาคีชแล้ว 9 และเมื่อพระราชาทรงทราบเกี่ยวกับทีรหะคาห์ พระราชาแห่งเอธิโอเปียว่า “ดูเถิด เขาได้ยกออกมาสู้รบกับพระองค์แล้ว” พระองค์จึงส่งผู้สื่อสารไปเฝ้าเฮเซคียาห์ทูลว่า 10 “เจ้าจงพูดกับเฮเซคียาห์พระราชาแห่ง ยูดาห์ดังนี้ว่า ‘อย่าให้พระเจ้าของท่าน ซึ่งท่านพึ่งนั้น ลวงท่านว่าเยรูซาเล็มจะมิได้ถูกมอบไว้ในมือของพระราชา แห่งอัสซีเรีย’ 11 ดูเถิด ท่านได้ยินแล้วว่า ‘บรรดาพระราชาแห่งอัสซีเรียได้กระทำอะไรกับแผ่นดินทั้งสิ้นบ้าง ทำลายเสียหมดอย่างสิ้นเชิง ส่วนท่านเองจะช่วยกู้ให้พ้นหรือ!”
ก็คือตอนที่ผู้สื่อสารกลับไป พระราชาอัสซีเรียก็กำลังสู้รบกับเมืองโน้นเมืองนี้อยู่ แล้วก็ยึดได้ด้วย ก็เลยส่งสารกลับมาถึงเฮเซคียาห์ว่า …
“อย่าไปโดนหลอกนะ พระเจ้าเธอไม่สามารถช่วยได้หรอก เห็นไหม? ฉันไปที่ไหน ฉันชนะหมดเลย ฉะนั้น อย่าหือนะ อย่าคิดว่าพระเจ้าของเธอสามารถช่วยเธอได้”
2 พงศ์กษัตริย์ 19:12-13 “12 บรรดาพระของบรรดาประชาชาติ ได้ช่วยกู้เขาให้พ้นหรือ! คือประชาชาติ ซึ่งบรรพบุรุษของเราได้ทำลาย คือโกซาน ฮาราน เรเซฟ และประชาชนของเอเดน ซึ่งอยู่ในเทลอัสสาร์ 13 พระราชาของฮามัท พระราชาของอารปัด พระราชาของเมืองเสฟารวาอิม เฮนาและอิฟวาห์อยู่ที่ไหน’”
พระราชาทั้งหมดที่กล่าวนามมาหมด ได้พ่ายแพ้ต่อกษัตริย์อัสซีเรียหมดเลย
2 พงศ์กษัตริย์ 19:14 “เฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายจากมือของผู้สื่อสาร และทรงอ่าน และเฮเซคียาห์ได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้า และทรงคลี่จดหมายนั้นออกต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า”
ตอนนี้มาเป็นจดหมาย
2 พงศ์กษัตริย์ 19:15-16 “15 และเฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานต่อเบื้องพระพักตร์ พระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้ทรงประทับเหนือเครูบ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งบรรดาราชอาณาจักรของแผ่นดินโลก พระองค์แต่องค์เดียว พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 16 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเงี่ยพระกรรณสดับ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกพระเนตรทอดพระเนตร และขอทรงฟังถ้อยคำของเซนนาเคอริบ ซึ่งเขาได้ใช้มา เย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์”
คราวที่แล้วทุกข์ใจรอบหนึ่งแล้ว ทีนี้มาเป็นจดหมายเลย ก็ไม่ไหวแล้ว วิ่งมาที่พระนิเวศน์ของพระเจ้าคลี่จดหมาย เหมือนเราได้จดหมาย แล้วเราก็ไปพระนิเวศน์ของพระเจ้า แล้วบอกพระเจ้า …
“พระเจ้าดูสิ เขามาท้าทายพระเจ้าถึงขนาดนี้ ที่บอกว่าไม่มีพระองค์ไหนในแผ่นดินนี้ สามารถที่จะช่วยกู้ประเทศไหนให้พ้นจากมือของเขาได้เลย
2 พงศ์กษัตริย์ 19:17-18 “17 ข้าแต่พระเจ้าเป็นความจริงที่พระราชาแห่งอัสซีเรีย ได้กระทำแก่ประชาชาติทั้งหลาย และแผ่นดินของประชาชาตินั้นร้างเปล่า 18 และได้เหวี่ยงพระของประชาชาตินั้นเข้าไฟ เพราะเขามิใช่พระ เป็นแต่ผลงานของมือมนุษย์ เป็นไม้และหิน เพราะฉะนั้น เขาจึงถูกทำลายเสีย”
เห็นไหม กษัตริย์เฮเซคียาห์เข้าใจถึงความจริงที่ว่าไม่ว่าพระอะไรก็ตาม ที่ถูกเอ่ยนามในโลกใบนี้ เป็นแค่ไม้และหิน ไม่มีอำนาจพอที่จะช่วยผู้คนเหล่านั้นให้พ้นจากมือของกษัตริย์อัสซีเรียได้ แต่ว่าพระเจ้าที่กษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงนับถือ คือพระยะโฮวาห์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นพระเจ้าผู้ทรงครอบครอง ควบคุมกัลป์จักรวาลนี้ เป็นพระเจ้าผู้ทรงสามารถที่จะกระทำทุกสิ่งให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ นี่เป็นความเชื่อ ณ เวลานั้นของกษัตริย์เฮเซคียาห์ ก็เลยต้องเอาจดหมายไปยื่นให้พระเจ้าดูว่า …
“เห็นไหมๆ เขาพูดขนาดนี้ แต่ว่าลูกไม่เชื่อหรอก เพราะพระของทั้งหมดบนแผ่นดินนี้เป็นแค่ไม้ และหิน ช่วยเขาไม่ได้ แต่ว่าพระเจ้าที่ช่วยลูกได้ คือพระยะโฮวาห์ พระเจ้าที่ลูกรู้จัก และเชื่ออยู่”
นี่คือสิ่งที่กษัตริย์เฮเซคียาห์ได้ทรงกระทำ
2 พงศ์กษัตริย์ 19:19-20 “19 ฉะนั้น บัดนี้ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นมือของเขา เพื่อราชอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลกจะทราบว่าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าแต่พระองค์เดียว” 20 แล้วอิสยาห์บุตรอามอสได้ใช้ให้ไปเฝ้า เฮเซคียาห์ทูลว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่าเราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าเรื่องเซนนาเคอริบ พระราชาแห่งอัสซีเรียแล้ว”
พระเจ้ารับฟัง พระเจ้าได้ยินแล้ว พระองค์จะเป็นผู้จัดการเรื่องทั้งหมดให้
ใน 2 พงศ์กษัตริย์ 19:32-37 บอกว่า …
2 พงศ์กษัตริย์ 19:32-33 “32 “เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงตรัสเกี่ยวกับพระราชา แห่งอัสซีเรียดังนี้ว่าท่านจะไม่เข้าในนครนี้ หรือยิงลูกธนูไปที่นั่น หรือถือโล่เข้ามาข้างหน้านคร หรือสร้างเชิงเทินสู้มัน 33 ท่านมาทางใด ท่านจะต้องกลับไปทางนั้น ท่านจะไม่เข้ามาในนครนี้” พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
นี่คือคำเผยพระวจนะของพระเจ้า ที่พระองค์บอกกับอิสยาห์ ให้ไปบอกกษัตริย์เฮเซคียาห์ว่าพระเจ้าบอกอย่างนี้แหละว่ากษัตริย์อัสซีเรียไม่สามารถเข้ามายึดเมืองนี้ได้ มาทางไหน? ให้กลับไปทางนั้นเลย นี่คือคำตรัสของพระเจ้า
2 พงศ์กษัตริย์ 19:34 “เพราะเราจะป้องกันนครนี้ไว้ เพื่อให้รอด เพื่อเห็นแก่เราเอง และเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา”
เราขอบคุณพระเจ้านะ ทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำ เพื่อเห็นแก่พระองค์เอง เพื่อให้น้ำพระทัยของพระองค์เองสำเร็จ และเพื่อเห็นแก่ดาวิด ที่พระองค์บอกว่าพระองค์จะดูแลเชื้อสายของดาวิดให้ไปจนถึงจุดหมายปลายทาง แผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ สำหรับพระเยซูคริสต์ ในอนาคตข้างหน้า
ในข้อที่ 35 เรามาดูว่าพระเจ้าทำอย่างไร?
2 พงศ์กษัตริย์ 19:35-36 “35 และอยู่มาในคืนนั้น ทูตของพระเจ้าได้ออกไป และได้ประหารคนในค่ายแห่งคนอัสซีเรียเสีย หนึ่งแสนแปดหมื่นห้าพันคน และเมื่อคนลุกขึ้นในเวลาเช้ามืด ดูเถิด พวกเหล่านี้เป็นศพทั้งนั้น 36 แล้วเซนนาเคอริบ พระราชาแห่งอัสซีเรียก็ได้ยกไป และกลับบ้าน และอยู่ในนีนะเวห์”
เห็นไหม? มนุษย์ไม่ต้องทำอะไร การสงครามนี้ไม่ใช่เป็นของเรา แต่เป็นของพระเจ้าล้วนๆ เลย พระเจ้าบอกเฮเซคียาห์ว่าไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ เดี๋ยวพระองค์จัดการเอง แล้วให้เชื่อมั่นว่ากษัตริย์เซนนาเคอริบจะไม่สามารถเข้ามายึดเมืองนี้ได้เลย กรุงเยรูซาเล็มจะยังคงอยู่ และพระเจ้าก็เป็นผู้จัดการกับคนเหล่านี้เอง ในค่ำคืนเดียว พระเจ้าทรงฆ่าคนถึง 185,000 คน ซึ่งคนเหล่านี้เป็นทหารกล้าทั้งหมด พอคนที่เหลืออยู่ลุกขึ้นมาตกใจ ซากศพเต็มไปหมดเลย กษัตริย์ก็เลยต้องยกทัพกลับบ้านไปเลย ตามที่พระเจ้าบอกว่า …
“เจ้ามาทางไหน? เจ้าจะกลับไปทางนั้น”
2 พงศ์กษัตริย์ 19:37 “และอยู่มา เมื่อท่านนมัสการใน นิเวศของพระนิสรคพระเจ้าของท่าน อัดรัมเมเลคและชาเรเซอร์ โอรสของท่านประหารท่านเสียด้วยดาบ และหนีไปยังแผ่นดินอารารัต และเอสารฮัดโดนโอรสของท่าน ขึ้นครอบครองแทนท่าน”
เห็นไหม? จุดจบของเซนนาเคอริบ ในขณะที่กำลังนมัสการพระเจ้าของตัวเอง โอรสของตัวเอง ก็มาฆ่ากษัตริย์ให้ตาย แล้วโอรสอีกองค์หนึ่ง ก็มาขึ้นครองราชย์
เราจะเห็นภาพของพระเจ้า ที่ทรงช่วยกู้คนอิสราเอล ในอดีตเป็นอย่างไร? ปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้น ซึ่งพระเจ้าบอกว่าปัจจุบัน เราได้พระพรมากกว่า ตรงที่เรามีพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา คนสมัยกษัตริย์เฮเซคียาห์ยังต้องพึ่งพากำลังของตัวเอง พึ่งผู้เผยพระวจนะ ต้องพึ่งแบบอกสั่นขวัญแขวนตลอดเวลา มีการสู้รบปรบมือตลอดเวลา แต่ในยุคปัจจุบัน เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าได้ทำสิ่งสารพัดให้กับเรา สำเร็จแล้ว การช่วยกู้ที่พระเจ้าได้วางแผนการไว้ตั้งแต่ปฐมกาลมาจนถึงพระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ได้สำเร็จแล้ว และปัจจุบันที่พวกเราได้เชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาอยู่ในเรา แล้วถ้อยคำของพระเจ้า บอกว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไปที่ไหน? พระเจ้าไปด้วย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปไหน ไปด้วยกัน ไปกับเราทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าเราทุกข์ เราสุข ไม่ว่าเราบุกน้ำ ไม่ว่าเราลุยไฟ พระเจ้าไปด้วย แล้วพระองค์บอก พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเรา อย่างที่พระนามของพระองค์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นองค์อิมมานูเอล คือทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา
ฉะนั้นความจริงเหล่านี้ มันจะฝังลึกเข้าไปในวิญญาณของเรา ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ เราจะได้อิสรภาพอย่างชัดเจน ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอุปสรรคในช่วงเวลานี้ เชื่อมั่นว่าพี่น้องหลายๆ คน เจอความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกิน การอยู่ เรื่องของสุขภาพร่างกาย เรื่องของเศรษฐกิจอะไรทุกอย่างเลย มันประเดประดังมาหมด อย่างที่บอก ถ้าเกิดปัญหา ไม่ว่ามีโรคระบาด หรือปัญหาเรื่องของเศรษฐกิจ คนทั่วไปเจอ คริสเตียนก็ต้องเจอ คริสเตียนไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไรกว่าคนอื่น ที่ว่าพอคนอื่นเจอ เราไม่เจอ ไม่ใช่ เราก็เจอ เราก็อยู่ในข้องเดียวกัน แต่สิ่งที่เรามี คือเรามีพระเจ้า ผู้ทรงพระชนม์อยู่ เป็นพระเจ้าผู้ทรงรักเรา ทรงเลือกเรา และบอกเราว่าเราเป็นลูกของพระองค์ พระองค์จะทรงดูแลย่างเท้าของเรา ไม่ว่าเราจะไปไหน? มาไหน? พระองค์ดูแลเราตลอด แม้ว่าหลายครั้งเราจะเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช แต่พระเจ้าบอกว่าคทาและธารพระกรของพระองค์ จะประคับประคองเราไป อย่างไร พระเจ้าไม่ทิ้งเราแน่นอน ให้เราเชื่อและวางใจ ยึดพระเจ้าเอาไว้
มีอันหนึ่ง (นี่ความคิดส่วนตัวของดิฉันนะ) ว่าแม้จะต้องตาย เกาะขาพระเจ้าไว้ ตายเป็นตาย เพราะว่ายังไง ก็ต้องตาย ถ้าไม่ตายวันนี้ อีก 10 ปี ก็ตาย อีก 1 ปี อาจจะตาย อีก 20 ปี ก็อาจจะตาย คือตายวันไหน มีค่าเท่ากัน อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก ถ้าเราอยู่ ก็เพื่อรับใช้พระเจ้า ถ้าเราตาย ก็ได้กำไร
ฉะนั้น การที่เรามีชีวิตอยู่ ที่เรายังเกาะพระเจ้าไว้แน่น ไม่ว่าเราจะเจอปัญหายากขนาดไหน? เราจะไม่ทิ้งพระเจ้า เหมือนกับที่พระเยซูบอกถ้าเรารักชีวิต เราก็จะเสียชีวิต รักชีวิตที่สุขสบายบนโลกใบนี้ ไม่เอาดีกว่า อยู่กับพระเจ้าไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย ทุกข์ลำบากเหมือนเดิมเลย แต่ให้พี่น้องรับรู้เถิด ทุกข์ลำบากแค่โลกใบนี้เท่านั้น แค่ร่างกาย แต่วิญญาณข้างในเรามีความสุข เรามีสันติสุข เราเจริญขึ้นทุกวัน อย่างที่พระเจ้าบอกเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน ทุกข์บนโลกใบนี้ ไม่สามารถที่จะสั่นคลอนความเชื่อที่เรามีในพระองค์ ถ้าเรารู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? พระเจ้าเลือกเรามาเป็นลูกของพระองค์ แล้วพระองค์จูงมือเราไป แล้วพระองค์บอกว่าพระองค์ไม่ทิ้ง … ไม่ทิ้ง ก็คือไม่ทิ้ง ไม่ต้องห่วงว่า …
“ตอนนี้ เราลำบากขนาดนี้ สงสัยพระเจ้าหายไปแล้ว”
ไม่หายนะคะ พระเจ้ายังอยู่ในเรา อยู่ในนี้ คอยช่วยเหลือเราตลอดเวลา แล้วในยามที่มืดแปดด้าน เราจะเห็นแสงเล็กๆ ที่พระเจ้าจะนำพาเรา ฉายไปให้เราเห็นว่าเรายังมีความหวัง มีหนทางที่เราจะสามารถต่อสู้ฟันฝ่าต่อไปได้ ในโลกใบนี้
หนุนใจพี่น้อง อดทนอีกนิดหนึ่ง ตอนนี้เรื่องโควิดก็ยังไม่ซา เศรษฐกิจก็ยังไม่กระเตื้อง หรือเราก็ยังคงต้องใช้ชีวิตแบบนี้ พอเดินออกข้างนอก ต้องใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันตัวเอง ป้องกันคนอื่น ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นความเคยชินของเรา มันทุกข์ประมาณหนึ่ง แต่ว่ามันก็คงไม่ทุกข์เกินกว่าที่เราจะรับได้ ถ้าเรารู้สึกว่าไม่ไหว ออกไปข้างนอกนานเกินไป เราหายใจไม่ออก ก็ไม่ต้องออกไปก็ได้ หรือพี่น้องต้องออกไป ก็รีบๆ ไปทำธุระ แล้วก็รีบๆ เข้าบ้าน พอเราอยู่ในบ้าน อยู่ของเราเอง เราก็ไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัย
นี่คือวิธีที่เราจะสามารถป้องกันทั้งตัวเราเอง ทั้งเพื่อนฝูง ที่อยู่รอบข้างเราด้วย ก็ช่วยกัน คนละไม้คนละมือ เราจะร่วมมือกันผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
************************************