คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2020 เรื่อง “เคล็ดลับนับพระพร และขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  สิงหาคม  2020

 เรื่อง “เคล็ดลับนับพระพร  และขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สวัสดีครับพี่น้อง  สัปดาห์ที่แล้วได้เรียนรู้กัน ความหมายของการนับพระพรทีละอัน แต่นับในมุมใหม่ ที่แตกต่างจากเดิมที่เราได้เรียนรู้ และเคยฝึกกันมาตั้งหลายๆ ปี หรือตั้งแต่เข้ามารู้จักพระเจ้า ตั้งแต่วันแรกแล้วก็ตาม เป็นความหมายที่ตรงตามพระคัมภีร์เลย  จากเมื่อก่อนที่เราคุ้นเคยกันกับการมองหาพระพร นับพระพรที่พระเจ้าทรงประทานให้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พูดง่ายๆ ว่าตามตามองเห็น เช่น พระพรในการหายโรค พระพรในการเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง การงาน การเงินดี หรือแม้กระทั่งพระพร แห่งความปลอดภัย ความรอดจากอุบัติเหตุ หรือสิ่งเลวร้ายอะไรต่างๆ เราก็ขอบคุณพระเจ้า เราก็นับพระพรเหล่านั้น ในอดีตใช่ไหมครับ แต่จริงๆ พระคัมภีร์ไม่ได้ให้เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับอย่างนั้น เพราะมันไม่แน่นอน ขืนไปจดจ่ออยู่ที่ขอบคุณพระเจ้าในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในสิ่งที่ตาเรามองเห็น เราสัมผัสได้  เราจะถูกหลอก แล้วเราจะไม่สามารถขอบพระคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี

แต่มาถึงวันนี้ เราได้เข้าใจใหม่ว่าพระคัมภีร์สอนให้เรานับพระพรทางฝ่ายวิญญาณที่พระเยซูได้กระทำให้เราแล้ว ที่ไม้กางเขน ซึ่งเราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว หมดเลย เพื่อให้เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก เราก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความจริงใจ และเป็นธรรมชาติ เป็นปกติวิสัยของเราเลย นับพระพรได้จริงๆ ไม่ต้องเสแสร้ง ไม่ต้องพยายามบังคับตัว ไม่ต้องเคร่งเครียด เคร่งครัดที่จะต้องทำตามคำสั่งพระเจ้า  ตามคำที่พระเจ้าบอกไว้ในพระคัมภีร์บอกให้ขอบคุณพระเจ้า เราก็ฝืนที่จะขอบคุณพระเจ้า  ซึ่งหลายครั้ง ถ้าเราจดจ่อไปที่ผิด นับพระพรในที่ผิด เราจะฝืนมาก และเราจะขอบคุณพระเจ้าไม่ได้ หลายคนไปจดจ่อเอาสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แล้วจะนับพระพร บางครั้งมันเจอสถานการณ์ที่เลวร้าย แล้วก็จะมีคนมาให้กำลังใจเรา มาถึงมากอดคอเรา หรือมาอธิษฐานให้เรา แล้วก็บอกว่า …

“นะ นะ นะ”

นะอะไร? … “ขอบคุณพระเจ้าสิ”

ใครจะไปขอบคุณไหวตอนนั้น  ถ้ามองดูสถานการณ์ ไม่มีใครขอบคุณได้หรอก ถึงแม้จะขอบคุณได้ เราก็จะทำหน้าเบ้ๆ แล้วก็จะหันไปหาเขาบอกว่า …

“อาจารย์ ผมขอบคุณพระเจ้า” กัดฟันขอบคุณพระเจ้า

มันจะเป็นอย่างนี้ แต่พระคัมภีร์ไม่ได้ให้เราทำอย่างนั้น พระเจ้ามีสิ่งที่ดีกว่า ให้เรานับพระพรในสิ่งที่ถูกต้อง

ประเด็นสำคัญในการที่จะไม่ฝืนใจ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ในการขอบคุณพระเจ้า ที่เราเน้นกันในสัปดาห์ที่แล้ว คือพระพรทางฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าได้ประทานให้เราผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยแล้ว เท่ากันหมดทุกคน ได้รับแล้วๆ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร? พระพรทางฝ่ายวิญญาณนานัปการ พระองค์ทรงประทานให้เราเรียบร้อยแล้ว และประทานให้เราทุกคน ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่ากันหมดทุกคนเลย  ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อเก่า ผู้เชื่อใหม่ ผู้รับใช้หรือไม่รับใช้ ตามความคิดของมนุษย์ จริงๆ รับใช้ทุกคนแหละ รับใช้มาก รับใช้น้อย ทุกคนสามารถนับพระพรจากพระเจ้าได้เท่าๆ กันหมดเลย ไม่มีใครได้รับพระพรมากกว่าหรือน้อยกว่าใครเลย  เพราะว่าพระพรนี้ จะได้มากหรือได้น้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเลย แม้แต่นิดเดียว

พระคัมภีร์ได้บันทึกว่าพระพรนานัปการในฝ่ายวิญญาณนี้ ได้ประทานให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระคุณในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับการกระทำของท่าน หรือของฉัน  หรือของมนุษย์เลย แม้แต่นิดเดียว ย้ำอีกครั้งหนึ่ง เราจะได้รู้ว่าพระพรนี้ มันเป็นจริงแน่เลย เพราะว่าเราต่างก็ถูกเรียกมาเป็นลูกของพระเจ้าเท่าๆ กันหมด เพราะฉะนั้น เป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าก็รักเราเท่ากันหมด จริงไหม?  เพราะในพระคัมภ์บอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ไม่ลำเอียง พระเจ้าแห่งความรัก เรามีลูก 10 คน เราจะรักลูกทั้ง 10 คนเท่ากันไหม? เท่ากัน นี่ขนาดเราเป็นมนุษย์ที่เป็นคนบาป เรายังคิดอย่างนั้นเลย

วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันต่อในหัวข้อเรื่อง “เคล็ดลับนับพระพร และขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์”

จริงๆ แล้วเคล็ดลับของการนับพระพร และขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์มีอยู่นิดเดียวเอง ครั้งที่แล้วได้เกริ่นไว้ให้นิดหนึ่ง เป็นตัวอย่าง ซึ่งจริงๆ มันง่ายมากเลย เคล็ดลับ คือเราหรือท่านอยู่ในพระคริสต์

“ฉันได้อยู่ในพระคริสต์”

เคล็ดลับ ก็คือท่านอยู่ในพระเยซูคริสต์หรือเปล่า? ในใจ ท่านก็ต้องรู้แล้วว่า …

“ใช่? ฉันเชื่อแล้ว ฉันเชื่อพระเจ้า”

ผู้เชื่อทุกคน ก็คือผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกชัดเจน เยอะแยะ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาประทานให้มนุษย์ มาไถ่มนุษย์ที่ไม้กางเขนและเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เขาได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรหนึ่งในโลกวิญญาณ อาณาจักรแห่งความมืด ที่เรียกว่าอาณาจักรในอาดัม … ในอาดัม ก็คือในบรรพบุรุษของเรา  เริ่มต้นมนุษยชาติ คืออาดัม เขาได้ถูกย้ายในโลกฝ่ายวิญญาณ คือในอาดัม ซึ่งเขาอยู่อาศัยก่อนที่จะเชื่อพระเยซูคริสต์ เขาได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรในอาดัม ซึ่งเป็นความมืด เป็นความบาป เป็นทาสมาร เข้ามาอยู่ในอาณาจักรวิญญาณที่เป็นแสงสว่าง ตรงกันข้ามเลย เป็นแสงสว่าง ไม่บาป เป็นผู้ชอบธรรม สะอาดหมดจด พระคัมภีร์เรียกอาณาจักรนี้ว่าอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ เขาได้ถูกย้ายมาอยู่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าท่านจะเห็นหรือไม่เห็น จะรู้สึกหรือไม่รู้สึก จะรู้สึกขนลุกหรือไม่ขนลุก แต่เมื่อใดก็ตาม เมื่อท่านเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่ได้ประกาศถึงท่าน บอกว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาปให้กับท่าน เชื่อว่าพระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่าน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับท่าน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระคัมภีร์บอกถ้าท่านเชื่ออย่างนั้น  ท่านได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้ถูกย้ายอย่างที่ตะกี้ผมบอกเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าท่านจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก เข้าใจหรือไม่เข้าใจ ไม่สำคัญ วิญญาณของท่านได้ถูกย้ายออกมา อย่างนั้นแล้ว

และก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่ามนุษย์ท่านใด หรือใครก็ตามบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นความจริงตรงนี้หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าใครก็ตามบนโลกใบนี้ จะอยู่ที่ไหน? อยู่ประเทศอะไร? เป็นชนชาติอะไรก็ตาม? ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เรื่องความจริงนี้ เขาหรือมนุษย์คนนั้น ต้องอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นอาณาจักรแสงสว่าง หรือเป็นอาณาจักรที่เป็นความมืด ไม่ว่าจะอยู่ในอาดัมหรือในพระเยซูคริสต์ เขาจะต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง  เพราะมันเป็นความจริง เหมือนกับกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก  เหมือนกับโลกนี้กลม ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคนป่าที่อยู่ในเขา ที่ไม่เคยเห็นอะไรเลยก็ตาม ไม่มีข้อมูล ไม่มีวิชาการอะไรก็ตาม จะเชื่ออะไรก็ตาม ความจริงว่าโลกใบนี้กลม มันก็คือความจริง ความเชื่อของเขาไม่สามารถมาเปลี่ยนความจริงได้

เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน ก็คือผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ที่เราบอกกันตะกี้นี้ว่าเราเชื่อแล้ว เรารู้แล้ว ไม่ใช่เรารู้สึกนะ เรารู้ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าพระคริสต์ เราอยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่าสวรรค์สถานที่มองไม่เห็น แต่มันเป็นความจริง พระคัมภีร์จึงบันทึกเอาไว้อย่างนั้น

สำหรับผู้เชื่อทุกคน ที่มาเชื่อพระเจ้า ก็อยากจะรู้น้ำพระทัยพระเจ้า คืออะไร? สรุปอยู่ใน 1 เธสะโลนิกา ซึ่งวันนี้ ผมจะอ่านให้ท่านฟัง แปลมาจากภาษาเดิม ซึ่งใกล้เคียงกับภาษาเดิมรุ่นแรกเลย ตั้งแต่สมัยเป็นภาษากรีก เข้าใจง่ายขึ้น 1 เธสะโลนิกา 5-16-18

1 เธสะโลนิกา 5:16-18  “16 จงมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 จงหมั่นอธิษฐาน ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่แหละ คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์”

 

นี่คือฉบับอรรถาธิบาย ที่ฟังง่ายและละเอียดขึ้น  อธิบายไปในตัว

“จงมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ” หมายถึงเป็นปกติวิสัย เป็นธรรมชาติ

“จงหมั่นอธิษฐาน ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ” ก็คือเป็นธรรมชาติ เป็นปกติวิสัย

“จงขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร” จงขอบคุณพระเจ้าให้มันเป็นธรรมชาติ เป็นปกติวิสัยของเรา

“เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว” นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ นี่พระเจ้าต้องการให้เราเป็นอย่างนี้ เพราะนี่คือความจริงที่พระเจ้าได้ทำให้เรียบร้อยแล้ว

พระประสงค์ของพระเจ้า  สำหรับท่านทั้งหลายผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรของโลกฝ่ายวิญญาณที่เป็นแสงสว่าง อยู่ในสวรรค์แล้ว

ใครอยู่ในสวรรค์แล้ว? ทำอย่างถึงได้อยู่ในสวรรค์ ก็ฉันเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ท่านเชื่อหรือยัง? เชื่อแล้ว นี่คือเคล็ดลับ ก็คือท่านอยู่ในพระคริสต์ (หรือเปล่า?)? ท่านต้องรีบตอบทันทีว่า …

“แน่นอน ฉันอยู่ในพระคริสต์”

มาขยายความมากขึ้น “อยู่ในพระคริสต์” ก็คืออยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในพระคริสต์ ก็คืออยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว

สัปดาห์ที่แล้ว เราได้ทิ้งท้ายกันไว้ว่าขนาดเปาโลผู้ที่ได้ไปสวรรค์มาแล้ว ไปเห็นมาแล้ว เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเรา ยังเป็นผู้ที่อยากให้เรารู้เรื่องนี้ เหมือนที่พระเจ้าอยากให้เรารู้เลย นี่คือหัวใจของเปาโลในการประกาศข่าวประเสริฐ พอใครเชื่อ เขาจะพยายามพาผู้เชื่อมาหาความจริงตรงนี้ให้ได้ เพราะเขารู้ว่าเมื่อรู้ความจริงตรงนี้ เมื่อเข้าใจความจริงตรงนี้ มันหลุด มันเป็นอิสระ เหมือนที่พระคัมภีร์บอกว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท

ตัวอย่างของอาจารย์เปาโลผู้ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้าย มานับไม่ถ้วน ถูกข่มเหง ถูกตามล่า ถูกเฆี่ยนตี ถูกจับติดคุก อื่นๆ อีกมากมาย ที่ไม่ได้เขียนในพระคัมภีร์ แต่ก็สามารถร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าได้ และมาสอนเราให้มาขอบคุณพระเจ้าอย่างนี้ได้ และเปาโลต้องการให้เราทุกคน ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ได้รู้ความจริงเรื่องนี้ ได้รู้เคล็ดลับอันนี้ ที่ทำให้เปาโลสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกสถานการณ์ คำตอบ ก็คือเพราะว่าเปาโลรู้ตัวอยู่เสมอ เป็นปกติวิสัยเลยว่าเขาอยู่ในพระคริสต์ นี่แหละคือเคล็ดลับ

เปาโลผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นมา ซึ่งมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นจริงว่าโลกใบนี้ มันมีแต่ทุกข์ สุขแท้จริงไม่มี ยิ่งไปอยากได้สุข ยิ่งทุกข์ใหญ่เลย เคล็ดลับ ก็คือเปาโลรู้ตัวเสมอว่าเขาอยู่ในพระคริสต์ เขาอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ใช่เขารู้อย่างเดียวนะ  เขารู้มากกว่าคนอื่นทั่วๆ ไปบนโลกใบนี้ เพราะนอกจากเขาจะใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้านี้แล้ว พระเจ้ายังพาเขาเข้าไปในพระคริสต์ เข้าไปในโลกวิญญาณ เข้าไปในสวรรค์ตรงนี้ ไปเห็นมาจริงๆ กับตา ซึ่งเปาโลบอกว่าจะไปด้วยร่างกายนี้หรือไม่ก็ไม่รู้ ไม่อยากจะคุย ไม่อยากจะยกตน แต่พระเจ้าพาเขาเข้าไป  เพื่อจะได้ออกมา เป็นพยานให้กับเราว่าพระคัมภีร์ที่พูดไว้ เป็นจริง มีจริง และเป็นอย่างนั้นจริงๆ จับต้องมองเห็นได้ เพียงแต่เราเป็นมนุษย์ที่เสียหายทางร่างกายนี้ไปแล้ว ตาฝ่ายวิญญาณบอดไปแล้ว หูฝ่ายวิญญาณบอดไปแล้ว การสัมผัสทางฝ่ายวิญญาณบอดไปแล้ว เห็นอะไรแต่ลางๆ แม้มาเชื่อพระเจ้าได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้วก็ตาม ก็ไม่สามารถมองทะลุเข้าไปเห็นอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าอาณาจักรฝ่ายวิญญาณได้ ซึ่งมันมีอยู่จริงๆ

เหมือนกับผมตอนนี้ ถ้าผมถอดแว่น มองไป 500 เมตร ผมมองไม่เห็นใครนะ

ผมก็จะบอกว่า … “ไม่เห็นมีคนมาเลย”

แต่เด็กๆ อายุ 20 เขาอาจจะมองไป แล้วบอกว่า … “มีคนเดินมา 4 คน”

“มีที่ไหนเล่า ก็ดูอยู่ ไม่เห็นมีเลย”

ถามว่าผมเถียงเพราะอะไร? ก็ผมเห็นอย่างนั้นจริงๆ คือผมไม่เห็นไง แล้วเจ้าเด็กคนนั้น เขาโกหกผมเหรอ ไม่ได้โกหก เพราะเขาเห็นจริงๆ มันมีอยู่จริงๆ ความสามารถของเรามันด้อยมาก พระคัมภีร์จึงบอกให้เราเชื่อพระเจ้าให้เกินกว่าความคิด ความเข้าใจของเรา ของมนุษย์ทุกคน เพราะเราอ่อนแอมาก เราด้อยไปเยอะ เราดูอะไรก็ไม่เห็นในโลกวิญญาณ เราไม่เข้าใจเลย เราจะใช้สัมผัสอย่างเดียว ถ้าไม่เห็น ไม่เชื่อ เป็นพันๆ ปีมาแล้ว ถ้าไม่เห็น ไม่เชื่อว่าโลกกลม พระคัมภีร์บอกไว้ตั้งนานแล้ว จนกระทั่งมนุษย์เจริญรุ่งเรือง จนสามารถไปมองเห็นลงมาจากยานอวกาศ เห็นโลกกลมๆ เหมือนกับผมที่ตะกี้นี้ มีคนเดินมา 4 คนจริงๆ เพราะไปทำแว่นมาแล้วไง เทคโนโลยีได้ทำให้ผมมองเห็นความจริงเยอะขึ้นว่า …

“ไกลๆ มีคนเดินอยู่ 4 คนจริงๆ  หนูพูดถูก”

แต่ถ้ารอขนาดนั้น เราไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าทั้งหมด  เราจะลงนรกซะก่อน ที่จะมีอะไรเจริญรุ่งเรืองมาพัฒนาวัตถุอะไรต่างๆ มาทำให้เรามองเห็นในโลกฝ่ายวิญญาณได้ว่าสวรรค์มีจริง ในพระเยซูคริสต์มีจริง อาณาจักรแห่งความมืดมีจริง อาณาจักรแห่งความสว่างมีจริง เราจะรอให้ถึงวันนั้นเหรอ มันจะไม่ถึงนะสิ มันจะถึงนรกซะก่อน

นี่คือประสบการณ์ของเปาโลที่ได้ไปเห็นสวรรค์มาแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร? ตาจะมองเห็นเป็นเช่นไร? หูจะได้ยินเป็นอะไร? ความรู้สึกจะเป็นอย่างไร? จะต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน? ผู้เชื่อทุกคน หรือเปาโลก็สามารถจดจ่อความคิดไปที่โลกวิญญาณว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว เราจึงสามารถนับพระพรได้ และขอบพระคุณพระเจ้าได้ เป็นปกติวิสัย เป็นธรรมชาติเลย สามารถจะชื่นชมยินดี สามารถอธิษฐาน พูดคุยกับพระเจ้า สามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี เกินกว่าความคิดของมนุษย์ทั้งหลายที่จะเข้าใจ เกินกว่าความรู้สึกต่างๆ เพียงเราจดจ่อความคิดเราไปที่สวรรค์ เบื้องบนเท่านั้น ไม่ใช่จดจ่อที่ฝ่ายโลก อะไรที่มันกำลังเกิดอยู่ ไม่ใช่ไปจดจ่อตรงนั้น แล้ววิธีที่จะฝึกตรงนี้ ก็คือไม่จดจ่อมันทั้งสองอันเลย เพราะถ้าเราไปจดจ่อในสิ่งที่ดูดี มันก็อดไม่ได้ ถ้าเกิดมันไม่ดีขึ้นมา เราก็จะไปจดจ่อที่มัน

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะจดจ่ออยู่ที่ไหนก็ตาม มันก็จดจ่ออยู่ที่นั่น ก็คือจดจ่ออยู่ที่โลกใบนี้ มันมีทั้งโอกาสดีบ้าง? และโอกาสไม่ได้บ้างในสถานการณ์บางอย่างก็ดี ตามตามนุษย์ดี ถ้าเราไปจดจ่อ เราก็กำลังจดจ่ออยู่ฝ่ายโลก พระคัมภีร์บอกอย่าให้เราไปจดจ่อเลย ฝ่ายโลก ไม่ว่าสถานการณ์นั้น มันจะดี เราก็เฉยๆ มันไม่ดี เราจะได้เฉยๆ เหมือนกัน ถ้ามันดี เราไม่เฉย  เรายิ่งไปจดจ่อมันมาก เวลามันไม่ดีมา เราจะรับไม่อยู่  เราก็จะไปจดจ่อมันมาก มีเงินเยอะ พระเจ้าอวยพร มีทรัพย์สินเยอะ มีรายได้ดี ขอบคุณพระเจ้า มองมันใหญ่ จดจ่อมันใหญ่ และใจก็ไปอยู่ที่ทรัพย์นั้น อยู่ฝ่ายโลกนั้น พอมันถึงวันเวลาของโลกใบนี้ แน่นอน มันไม่มีอะไรแน่นอน โควิดมา ตกงาน บริษัทเจ๊ง รับไม่ได้ ทำร้ายตัวเอง นึกภาพเห็นไหม?

พระคัมภีร์จึงให้เราจดจ่อไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ เพราะมันไม่เปลี่ยนแปลง เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า มันมีแต่ดีและดีขึ้น ดีและดียอดเยี่ยม ดีตลอดไป นี่แหละคือเคล็ดลับ ซึ่งในสวรรค์ ในเบื้องบนตรงนี้ ก็คือในพระเยซูคริสต์ จดจ่อความคิด ตั้งความคิดไปที่ในพระเยซูคริสต์ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ในสวรรค์ที่เราเป็นอยู่ เราเป็นลูกของพระเจ้าอยู่เดี๋ยวนี้เลย ไม่ใช่รอไปสวรรค์ ไม่ใช่รออยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ในอาณาจักรนี้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เราไม่เห็น เอเฟซัส 1:3  เปาโลจึงยืนยันความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างนี้ว่าในพระเยซูคริสต์ ทำไมเราต้องไปจดจ่ออยู่ที่นั้น เปาโลไปเห็นอะไรมา ถึงมาเล่าให้เราฟังตรงนี้ เอเฟซัส 1:3

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ แก่เราทั้งหลาย ในสวรรค์สถาน”

 

ในสวรรค์สถาน จำไว้เลยนะ พอบอกในสวรรค์สถาน ก็คือในโลกวิญญาณที่ตาเรามองไม่เห็น  หูเราไม่ได้ยิน  แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับคนที่รักพระองค์

สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายวิญญาณ นานัปการ หมายถึงทั้งหมด เรียบร้อยแล้ว ที่เราต้องใช้อะไรบ้าง? เราเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งหมดให้เราบริบูรณ์ ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว ที่ไหน? ที่ในประเทศหนึ่งก็ได้  อาณาจักรหนึ่งก็ได้ ที่มีชื่อว่าในพระคริสต์ คือในสวรรค์ตรงนี้แหละ ที่เราใช้คำว่าสวรรค์ ก็เพราะว่าเรารู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี มนุษย์ก็ใช้คำว่าสวรรค์ เพราะฉะนั้น ในสิ่งที่ไม่ดี ในโลกฝ่ายวิญญาณ มนุษย์ก็ใส่คำว่านรกเข้าไป

ในพระเยซูคริสต์ เรามีครบหมดทุกอย่างแล้ว  ถ้าเราจดจ่อ สถานที่ที่เรามีครบหมดทุกอย่างจริงๆ แล้ว เราก็แฮปปี้ตลอด เราก็สามารถตาม 1 เธสะโลนิกา บทที่ 5 ได้ว่าชื่นชมยินดี มีความสุขได้ ขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี พูดกับพระเจ้า คุยกับพ่อ กระหนุงกระหนิง ไม่ใช่มาโอดครวญว่าทำไมเป็นอย่างนั้น? ทำไมเป็นอย่างนี้ นึกภาพออกไหม? มันเป็นไปได้ มันเป็นเคล็ดลับที่นำพาเราไปสู่สันติสุข ความสุขจริงๆ ได้เลย ถ้าเราหลุดออกจากโลกใบนี้ เข้าไปมิติโลกฝ่ายวิญญาณ  เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้เลย  ไม่ต้องรอตาย  นี่คือความจริง

เปาโลใช้คำว่าคาดเข็มขัด เราจึงควรคาดเข็มขัดแห่งความจริงนี้ แล้วรับรู้ เฝ้านับพระพรฝ่ายวิญญาณ ทุกๆ ประการนี้ ทุกวัน จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ นับมันทุกวัน ตื่นขึ้นมา ก็ …

“ทำไมฉันร่ำรวยมหาศาลขนาดนี้ แล้วไม่มีการจนอีกต่อไปเลย ขอบคุณพระเจ้า สง่าราศีของฉันยิ่งใหญ่เหลือเกิน ขอบคุณพระเจ้า ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันไม่ต้องไปแสวงหาสวรรค์ที่ไหนแล้ว ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว ฉันได้อยู่แล้ว ไม่ใช่จะไปอยู่”

เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ต้องขอพระพรจากพระเจ้า เพราะมันมีอยู่แล้ว ให้เรานับ … นับ แสดงว่ามันมีแล้ว เพียงแต่ตาเนื้อเรามองไม่เห็น มือเนื้อเราแตะต้องไม่ได้ แต่พอเราหลุดเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ  ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราจับต้องมองเห็นได้ เหมือนฮีบรู 11:1 บอกไว้ว่าความเชื่อ คือความหวังที่จับต้องมองเห็นได้ เราแค่นับพระพร เพราะพระเยซูได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน และเราได้รับเรียบร้อยแล้ว ในพระพรต่างๆ เหล่านี้

ถ้าเผื่อว่าเรามั่นใจว่าเราได้ตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เลือกที่จะอยู่ในอาณาจักรแห่งสวรรค์ อาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว โดยเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เชื่อในพระเยซูคริสต์ ถ้าเราเชื่อแล้ว พระเจ้าก็ประทานพระพรทางฝ่ายวิญญาณนานัปการให้เราเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน

และถ้าเรานับพระพรอย่างนี้ อยู่ทุกวันๆ เรากำลังทำอะไรรู้ไหม? ไม่ใช่สร้างความสุขให้เราอย่างเดียว เรากำลังเป็นพยานฝ่ายพระเยซู เรากำลังอยู่ข้างพระเยซู กำลังรับใช้พระเยซูว่าที่พระเยซูประกาศที่ไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว นั่นนะ มันเป็นจริงๆๆๆๆ นอกเหนือจากเราได้รับแล้ว สิ่งหนึ่ง ก็คือเราได้รับใช้พระเจ้าอยู่ว่าถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ที่พระเยซูพูด ผู้แรกที่เป็นผู้ประกาศข่าวดีนี้ บนไม้กางเขน บอกว่า … “สำเร็จแล้ว” มันสำเร็จแล้วจริงๆ เพราะฉะนั้น เราจึงร้องเพลงเมื่อตะกี้นี้

นับพระพรของฉันดูทีละอัน           นับพระพร ซึ่งพระเยซูประทาน

นับพระพรนั้น  นับดูทีละอัน          นับพระพรของฉัน ซึ่งพระเยซูได้ทำให้แล้ว

ร้องทุกเช้า ร้องทุกวัน ร้องตลอดเวลา อาบน้ำ ก็ร้องไป เอเมนไหม? เป็นหวัด ก็ร้องไป เป็นโควิดก็ร้องได้ ถ้าฝึกอยู่บ่อยๆ

สรุปรวม ในข้อต่อไปนี้ พูดถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระเยซูคริสต์ เปาโลก็จะเรียบเรียงให้เรา เพราะหนังสือเอเฟซัสนี้พูดถึงพระพรนานัปการฝ่ายวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ที่ผู้เชื่อทั้งหลายได้รับเรียบร้อยแล้วนั้น คร่าวๆ มีอะไรบ้าง? ในเอเฟซัส 1:4 เปาโลไปเห็นอะไรมาในพระคริสต์ จึงอยากให้เรารู้ในสิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ มันเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นอยู่แล้ว

เอเฟซัส 1:4 “เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ให้บริสุทธิ์ ปราศจากที่ติ ในสายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก”

 

เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ได้เลือกเราทั้งหลายเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ เป็นลูกที่รักส่วนพระองค์ แต่ละคน นี่เป็นความรู้สึกเดียวเลย ถ้าใครมีลูกแล้ว จะเข้าใจเรื่องนี้ ต่อให้เรามีลูก 10 คน หรือ 20 คน 2 คน หรือกี่คนก็ตาม? เรารักลูกของเราแต่ละคนเท่าๆ กัน แต่ละคนเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว เป็นหัวใจของเรา มันหมายถึงอย่างนี้

ถามว่าเลือกไว้ที่ไหน? ในพระคริสต์ ก็คือเลือกมนุษย์ทั้งหลายทุกคน เข้ามาอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก แต่ละคนในสวรรค์ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรของพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์ เลือกทุกคนนะ ไม่ใช่เลือกเฉพาะบางคน พระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก ไม่ต้องการให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต้องไปสู่ความพินาศ แต่มาได้รับชีวิตนิรันดร์ มาอยู่กับพระองค์ในสวรรค์สถาน พระองค์ต้องการเช่นนั้น แต่มันขึ้นอยู่กับมนุษย์ต้องเป็นผู้ตัดสินใจเอง พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้เป็นหุ่นยนต์ บังคับอะไรก็ได้ อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่ พระเจ้าให้การตัดสินใจที่เป็นอิสระ เป็นบุคคล เป็นตัวตนของเขา เพราะฉะนั้น เขาจะเลือกก็ได้ ไม่เลือกก็ได้ แต่พระองค์ทรงเลือกและอยากให้ทุกคนมาเป็นลูกของพระองค์ มาอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ ในพระคริสต์

เพราะฉะนั้น ในขณะที่คนนี้ยังไม่เชื่อ นึกว่าเขาไม่เชื่อ แล้วพระเจ้าจะลงโทษเขา ไม่ใช่เลย ไม่ใช่พระเจ้าลงโทษ แต่เป็นความบาปต่างหากที่ลงโทษ เพราะในพระคัมภีร์บอกแล้วว่าความบาป ก่อให้เกิดความตาย ผลของความบาป ก็คือความตาย ความตายรวมความ ก็คืออยู่ในที่ตรงกันข้ามกับที่มีพระเจ้า ก็คือนรกนั่นเอง  ส่วนพระเจ้ารักมนุษย์ยิ่งนัก รักมนุษย์ทุกคน ต้องการให้เขามาสู่ความรอดในพระเยซูคริสต์ จึงส่งพระเยซูมาเคาะประตู เคาะหัวใจ เคาะๆ ตลอดเวลาว่า …

“กลับมาเถิดๆ เรารักเจ้า”

พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ในนี้บอกว่าพระเจ้าเลือกเราก่อนสร้างโลก รักเราอย่างดวงใจ ดั่งแก้วตาของพระองค์ ก่อนสร้างโลกเลยนะ ถามว่าทำไมต้องก่อนสร้างโลก ก็เพราะพระเจ้าไม่มีเวลากำหนด ไม่มีอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พระองค์ทรงเป็นนิรันดร์ ไม่มีกำหนดเวลา เกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นเลย คือพระองค์ต้องการ เหมือนคนอยากจะมีลูก ไม่ใช่อยากมีลูกปีนี้ นั่นคือคนธรรมดา ที่บอกว่าอยากจะมีลูกปีนี้ เรามีจำกัดด้วยวันและเวลา แต่พระเจ้าไม่มีจำกัด พระเจ้าต้องการเป็นลูกของพระองค์ ในนี้ เขียนบอกว่าตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ก็คือสำหรับพระองค์ไม่มีเวลา ให้มาอยู่กับพระองค์ เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ได้รับการชำระในสายพระเนตรของพระองค์นะ ไม่ใช่ชำระเราให้สะอาดบริสุทธิ์เฉยๆ แต่ชำระสะอาดบริสุทธิ์ ขนาดพระเจ้ามองมาบริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเยซูเลย  ด้วยความรัก

เอเฟซัส 1:5-6 “5 พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์ 6 เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่ง ซึ่งพระองค์ประทานให้เราเปล่าๆ อย่างเหลือล้นในพระองค์ ผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า”

 

ด้วยความรัก เห็นไหมครับ เลือกเราไว้ ในพระเยซูคริสต์ เพื่อการสรรเสริญและพระคุณสูงส่ง ซึ่งพระองค์ประทานให้เราเปล่าๆ อย่างเหลือล้น ก็คือเราไม่ต้องทำอะไรด้วยตัวเราเองเลย

อย่างที่ตะกี้นี้ผมยกตัวอย่างให้ว่าเหมือนเราจะมีลูก เราไม่เคยคิดว่าเราจะมีลูก เพื่อตัวเราเอง เพราะเรารักเขา มันหมายถึงอย่างนั้น เขาไม่ต้องทำอะไรเลย เราก็อยากจะมีเขาแล้ว เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรให้เราเลยสักนิดหนึ่ง เราก็รักเขาเสียแล้ว คล้ายๆ อย่างนั้น

เอเฟซัส 1:7 “ในพระเยซู เราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า”

 

เห็นไหมครับ? ในพระเยซูคริสต์นี้ ในสวรรค์นี้  เมื่อเรารับเชื่อแล้ว เราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ คือได้รับการอภัยโทษบาป ตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า หมดเรียบร้อย จบไปเลย ครั้งเดียวเป็นพอเลย เราได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้น ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคตก็ตาม เราได้รับการอภัยไปเรียบร้อยแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

เอเฟซัส 1:8 “ซึ่งพระองค์ ได้ประทานแก่เราอย่างเหลือล้น ด้วยสติปัญญาและความเข้าใจทั้งปวง”

 

ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราอย่างเหลือล้น ด้วยสติปัญญาและความเข้าใจทั้งปวง คือพระองค์ทรงเข้าใจเราดี ไม่ว่าเราจะคิดอย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงรักเราและรู้จักเราดีกว่าในพระเยซูคริสต์

เอเฟซัส 1:9 “และพระองค์ทรงให้เรารู้ความล้ำลึกแห่งพระดำริของพระองค์ ตามที่พอพระทัย ซึ่งทรงมุ่งหมายไว้ในพระคริสต์”

 

พระองค์ทรงเปิดเผยแผนการอันล้ำลึก ในโลกฝ่ายวิญญาณ ให้เราได้รู้ เมื่อเราเริ่มเชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรพระเยซูคริสต์ พระองค์จะเปิดเผยสิ่งต่างๆ อันล้ำลึกให้กับเราทั้งหลาย ง่ายๆ ก็คือเราเชื่อ เราเข้าใจว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าได้อย่างไร? เราจะเชื่อได้อย่างไร ถ้าพระเจ้าไม่ช่วยเรา เราจะเข้าใจตรงนี้ได้อย่างไรว่าขณะที่เราเดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า

เอเฟซัส 1:10 “พระดำริของพระองค์  ก็คือเมื่อถึงกำหนดเวลา  พระองค์จะทรงรวมสิ่งสารพัด  ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก  ไว้ภายใต้พระคริสต์  ผู้ทรงเป็นศีรษะ”

 

ท่านลองคิดดูว่าเราใหญ่ขนาดไหน?  เราอยู่ในพระคริสต์ ในฐานะลูกของพระเจ้า ครอบครองอาณาจักรของพระคริสต์ หรืออาณาจักรสวรรค์นี้ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู ในสวรรค์สถานนี้ และในนี้บอกว่าเมื่อถึงกำหนดเวลา พระองค์จะทรงรวบรวมสิ่งสารพัด ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกนี้ ไว้ภายใต้พระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะ ไว้ภายใต้อาณาจักรของพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นหัวหน้าของเราทั้งหลาย  “เป็นศีรษะ” ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระองค์เป็นศีรษะ เราเป็นร่างกาย ยกตัวอย่างให้เป็นบุคคลหนึ่ง แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าเราได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เราได้ผสมปนเป ได้จุ่มลงไป ได้บัพติศมาวิญญาณของเราลงไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว

เอเฟซัส 1:11 “ในพระองค์ เรายังได้รับการทรงเลือกตามที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ตามแผนการของพระองค์ ผู้ทรงกระทำให้ทุกสิ่ง เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของพระประสงค์ของพระองค์

 

ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ยังได้ทรงเลือกตามที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ตามแผนการของพระองค์ ผู้ทรงกระทำให้ทุกสิ่ง เป็นไปตามจุดหมายของพระประสงค์ของพระองค์ “ทุกสิ่ง” หมายถึงทุกสิ่งบนโลก และทุกสิ่งในโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดเลย ทั้ง 2 โลก ให้รวบรวมทั้งหมดมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ แล้วมีเราเป็นผู้ปกครองร่วมกับพระเยซู

เอเฟซัส 1:12 “เพื่อเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นพวกแรกที่มีความหวังในพระคริสต์ จะได้สรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”

 

ตรงนี้เปาโลกำลังบอก “เพื่อเราทั้งหลาย” คือเปาโลเป็นชาวยิว เพื่อชาวยิวทั้งหลายเป็นพวกแรกที่มีความหวังในพระคริสต์ จะได้สรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์ พวกยิวเป็นพวกแรกที่มีโอกาสเข้าไปสู่สวรรค์ในพระคริสต์นี้ ก่อนใครเพื่อนเลย เดี๋ยวดูต่อไปในสวรรค์มีใครอีก

เอเฟซัส 1:13 “และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อ ก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้”

 

ตะกี้นี้บอกว่าพวกเรา ก็คือยิว และท่านทั้งหลาย ก็คือผู้ที่หนังสือจดหมายนี้ ที่เปาโลเขียนไปหาเขา ผู้เชื่อในเอเฟซัส ก็คือผู้เชื่อในพระเยซู หมายถึงใครก็ตาม ที่เชื่อในพระเยซู รวมทั้งเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย ว่าถ้าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป เราก็เป็นผู้หนึ่งในจำนวนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ให้เข้าไปในพระคริสต์ ในสวรรค์นี้ โดยประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามาเป็นมัดจำเลย ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เมื่อเรารับเชื่อในข่าวดีนี้ปุ๊บ พระวิญญาณของพระเจ้าจะเสด็จเข้ามาอยู่ในร่างกายของเราเลย แล้วเข้ามาสอนเราในเรื่องของพระเจ้าทันที เป็นมัดจำ

ถามว่า “เป็นมัดจำ” เพราะอะไร? เพราะว่าจะได้พาเราไปดูสิ่งต่างๆ เยอะแยะมากมายในทรัพย์สมบัติต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณนานัปการที่พระเจ้าทรงประทานให้เรียบร้อยแล้ว ต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ รอไว้วันหนึ่งข้างหน้า ถึงจะครบถ้วน

เอเฟซัส 1:14 “ผู้เป็นมัดจำ ค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้า จะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”

 

“ผู้ได้รับมัดจำ” หมายถึงว่าเราได้รับมัดจำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ยืนยันว่าเราเป็นลูกพระเจ้า และได้รับพระพรเหล่านี้ แต่เนื่องจากเรายังอยู่ในร่างกายที่ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ และยังอยู่บนโลกใบนี้ที่ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ สำหรับสวรรค์สถาน ในอนาคต เพราะว่าโลกใบนี้ และร่างกายที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันต้องคำสาป อยู่ในการเสื่อมโทรม อยู่ในการสูญสิ้นไปในวันหนึ่งข้างหน้า และพระเจ้าได้จัดเตรียมร่างกายใหม่ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ผู้เชื่อทั้งหลายที่อยู่ในสวรรค์ ในโลกวิญญาณ ร่างกายใหม่ของเรา ก็จะเป็นร่างกายสวรรค์ด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ร่างกายนี้อีกต่อไป จะเป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องมีความตาย ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์อะไร?อีกต่อไปเลย  และพระเจ้าก็จะให้เราอยู่ในสวรรค์สถาน ที่เป็นโลกใหม่ด้วย โลกนี้ ที่ตกอยู่ในคำสาปแช่ง เสียหายไป  ก็สูญสิ้นไป และโลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ ก็จะเข้ามาแทนที่ เป็นโลกที่ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความลำบาก ไม่มีความโศกเศร้าเสียใจ และไม่มีมาร ไม่มีความบาปอีกต่อไป

นี่แหละคือความครบถ้วนบริบูรณ์ และถามว่าเรามีความหวังได้อย่างไร? ก็ในพระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งทรงสถิตอยู่กับเราตอนนี้แล้ว เมื่อเราจดจ่อไปที่โลกฝ่ายวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะคอนเฟิร์ม จะยืนยันตรงนี้เองว่าสิ่งต่างๆ ที่เรากำลังทุกข์อยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ ในร่างกายนี้ เดี๋ยวมันก็จบไป มีร่างกายใหม่ให้เราเรียบร้อยแล้ว มีโลกใหม่ที่ดีกว่านี้ เป็นเหมือนสวรรค์สถานให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน มันหมายถึงอย่างนี้

ก็ขอบคุณพระเจ้าได้ไง อยู่บนโลกใบนี้ก็ทุกข์ตาย  ถ้าไม่มีความหวัง แล้วจะอยู่บนโลกใบนี้ถึงเมื่อไร? อยู่ในร่างกายนี้ มันทุกข์ มีแต่เกิด แก่ เจ็บ และก็ตาย เสื่อมโทรมไปทุกวัน แต่ขอบคุณพระเจ้า เสื่อมโทรมไป เพื่อที่จะได้เกิดเป็นร่างกายใหม่ในวันหนึ่งข้างหน้า ที่พระเจ้าเตรียมร่างกายนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูตอนเป็นขึ้นจากความตาย เพราะเราเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

นี่คือสิ่งที่เปาโลอยากจะให้เราพอที่จะเห็นภาพในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นเช่นไร?  เพื่อเป็นเคล็ดลับให้กับเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพื่อให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน จดจ่อไปที่สวรรค์ จดจ่อไปที่ในพระคริสต์ที่เราได้อยู่แล้ว จากความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ซึ่งรวมๆ แล้ว ผมก็คัดออกมานิดหนึ่ง ตะกี้นี้ที่อ่านไปทั้งหมดว่ามีอะไร …

  1. ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก
  2. ชำระเราให้บริสุทธิ์ ปราศจากที่ติ ในสายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก
  3. รับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์
  4. เราได้รับการไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ คือ ได้รับการอภัยโทษบาปตลอดไป
  5. ทรงให้เรารู้ความล้ำลึก แห่งพระดำริของพระองค์ ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู
  6. ได้รับการทรงเลือก ตามที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ตามแผนการของพระองค์
  7. ได้ร่วมอยู่เป็นประชากรของพระองค์คนหนึ่ง เป็นลูกของพระองค์ท่านหนึ่งในพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์นี้เรียบร้อยไปแล้ว
  8. เราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา  จนกว่าคนของพระเจ้า   จะได้รับการไถ่   ก็คือเราจะได้รับร่างกายใหม่ โลกใหม่ ที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เมื่อตอนที่วาระของโลกใบนี้สิ้นสุดลง ก็คือมนุษย์คนสุดท้าย มาเชื่อในพระเจ้า ได้ยินข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้ เมื่อพระเยซูคริสต์กลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เอเมน

นี่นับพระพร ก็จะไม่หมดอยู่แล้วนะ แล้วในพระคัมภีร์ไม่ได้จบอยู่แค่นี้  มันยังมีอีก ในหนังสือจดหมายฝากอื่นๆ อีกมากมายที่ได้บันทึกถึงเรื่อง “ในพระเยซูคริสต์” เราก็มีหน้าที่ไปตรวจดู เมื่อไรก็ตามที่เห็นเขียนคำว่า “ในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นอะไรก็ตาม” เราก็จดเอาไว้  แล้วก็จำเอาไว้ ได้มากเท่าไร ก็เอาเท่านั้น มันสำคัญตรงที่ต้องจดจำให้ได้ว่าเป็นเช่นไรในภาพรวม

เปาโลอยากให้ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทุกคน ผู้เชื่อในข่าวประเสริฐทุกคน ได้รับรู้ถึงเรื่องพระพรในพระเยซูคริสต์ ในฝ่ายวิญญาณอย่างมาก เขาปรารถนา เพราะเขารู้ว่านี่เป็นเคล็ดลับที่ทำให้ผู้เชื่ออยู่รอด และปลอดภัย เป็นสุขต่อการถูกล่อลวงต่างๆ บนโลกใบนี้ มีสันติสุขบนโลกใบนี้ ไม่ถูกขโมยเอาสันติสุขไป  ไม่ถูกขโมยเอาความสงบไป ไม่ถูกขโมยเอาความจริงไป ดูสิว่าเปาโลต้องการมากขนาดไหน? อยากมากขนาดไหน? ที่อยากให้ผู้เชื่อรับรู้เรื่องนี้ ในเอเฟซัส 1:15-17 ดูสิว่าอาจารย์เปาโลท่านมีความรู้สึกอย่างไร?

เอเฟซัส 1:15-17 “15 ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ยินถึงความเชื่อของท่านในพระเยซูเจ้า และความรักของท่านที่มีต่อประชากรทุกคนของพระเจ้า 16 ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้งเพราะท่าน และเฝ้าอธิษฐานเผื่อท่าน 17 ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีพระวิญญาณแห่งสติปัญญาและการสำแดง เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น”

 

เห็นไหมครับ?  เมื่อเปาโลรู้ว่าใครมาเชื่อพระเจ้าและเอาจริงเอาจังกับพระเจ้า ได้เกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ จากความเชื่อของเขาในข่าวดีนี้ เขาทำอะไร? …

“ข้าพเจ้าเพียรทูล”

ก็คืออธิษฐานด้วยความขยัน ความเพียร ขอพระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ขอทรงโปรดให้ท่านเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง ทางด้านกิจการงาน มีสุขภาพแข็งแรง ไปไหนมาไหน มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่ อันนี้เราคิดเอง

ทำไมเปาโลไม่อธิษฐานอย่างนั้น ข้าพเจ้าเพียรอธิษฐานให้ท่าน ให้อยู่รอดปลอดภัย ให้มีสุขภาพแข็งแรง ให้มีความสงบสุขในครอบครัว  ทำไมไม่อธิษฐานอย่างนั้น ไม่ใช่อธิษฐานอย่างนั้นไม่ดีนะ ผมกำลังถามท่านว่าเราลองมาคิดกันดูว่าทำไมเปาโลไม่อธิษฐานเหมือนอย่างที่เราอธิษฐาน ก็แสดงว่าเปาโลก็รู้ว่าสิ่งที่เราอธิษฐาน เมื่อตะกี้นี้ มันก็ดีอยู่หรอก แต่มันมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้น สำคัญกว่ามากเลย  เปาโลจึงเพียร ขยัน อดทนที่จะอธิษฐานให้เราได้ตรงนั้น เพราะถ้าได้ตรงนั้น  สิ่งที่เราอธิษฐานที่ตะกี้มา ก็ได้หมด คือเราเข้าใจ เราจะมีสันติสุข

“ขอให้ท่านมีพระวิญญาณแห่งสติปัญญา”

ตรงนี้ไม่ใช่พระวิญญาณ เป็นวิญญาณแห่งสติปัญญา

“ขอให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น”

ให้ท่านได้รับวิญญาณแห่งสติปัญญา วิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ทางโลกวิญญาณ เกิดขึ้นจากความรู้ข้างในของท่าน ออกมาข้างนอก  คือให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนท่าน ให้ท่านเจริญเติบโต รู้ว่าอะไรที่อยู่ในพระคริสต์ อะไรที่อยู่ในสวรรค์ ให้ท่านสามารถมีตาฝ่ายวิญญาณทะลุเข้าไปเห็นมิติอีกมิติหนึ่ง ที่เรียกว่ามิติวิญญาณให้ได้ตามพระคัมภีร์ที่บันทึกเอาไว้ เป็นความจริงเหล่านี้ ซึ่งสำคัญมาก ถึงได้เพียรอธิษฐานตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายก็ต้องมานั่งคิดใหม่แล้วนะ เราควรจะอธิษฐานให้กับเพื่อนเรา พี่น้องของเราที่เชื่อในพระเจ้าอย่างไรดี? ที่เราคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มากกว่าเยอะกว่าการอธิษฐานตามแบบเดิมๆ ที่ทั่วๆ ไป ซึ่งดีอยู่แล้ว แต่มาเน้นตรงนี้ ให้เหมือนที่เปาโลอยากให้เราทำ

เอเฟซัส 1:18 “ข้าพเจ้ายังขอให้ตาใจของท่านสว่าง เพื่อท่านจะได้รู้ถึงความหวังที่ทรงเรียกท่านมานั้น รู้ถึงความมั่งคั่งแห่งมรดกอันรุ่งเรืองของพระองค์ สำหรับประชากรของพระองค์”

 

ภาษาเดิมคือ … “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานให้ตาฝ่ายวิญญาณของท่าน วิญญาณของท่าน ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่านนั้นแหละ สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า  ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น ก็คืออยู่ในพระคริสต์นั้น และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่และรุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่านแล้ว”

“ท่าน” คือใคร? คือผู้ได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์แล้ว ชอบธรรม ปราศจากบาปแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว

ทั้งหมดนี้ผ่านทางความเชื่อและรับสิทธิของท่าน ที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้กับท่าน คือเชื่อในข่าวดีนี้ ก็ได้รับตรงนี้แล้ว ได้รับแล้วๆ ผมพยายามเน้นคำว่า “แล้ว” ซึ่งมันสำคัญมากๆ

เอเฟซัส 1:19 “และรู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สุดหาใดเทียบ สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ฤทธานุภาพนี้ เป็นเหมือนพระราชกิจ แห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”

 

อธิษฐาน  เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้  ท่านเพิ่งเชื่อใหม่ เพิ่งเข้ามาอยู่ในสวรรค์ ในพระคริสต์  อาจารย์เปาโลจึงอธิษฐานขอให้พระวิญญาณสอนท่าน ให้เข้าไปในวิญญาณของท่าน เพราะความรู้เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ลี้ลับในโลกฝ่ายวิญญาณ สามารถเรียนรู้ได้ทางเดียว คือทางวิญญาณ จากข้างใน ไม่ใช่จากข้างนอก ต้องจากข้างในออกมา ไม่ใช่จากตามองเห็น  หูได้ยิน ไม่ใช่ ต้องจากข้างในก่อน

เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ตรงนี้มันแปลว่าอย่างนี้  ไม่รู้ว่าจะเขียนว่าอะไรแล้ว คำแปลอันเดิม ภาษาเดิมเขาบอกว่าเพื่อท่านจะได้เรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่ อภิมหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า  รับรู้ถึงฤทธิ์อำนาจนี้ของพระเจ้า

เอเฟซัส 1:20 “ซึ่งทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และให้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน”

 

ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ที่ยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด ในข้อที่ 20 บอก … ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ  พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเราผู้เชื่อเรียบร้อยไปแล้ว กำลังทำการงานอยู่ตอนนี้  ไม่ใช่รอให้ฤทธิ์เดชอำนาจนี้เข้ามา แต่มันมีอยู่แล้ว ให้ท่านรับรู้ ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนท่านในฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเราผู้เชื่อ ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว และเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังงานที่ยิ่งใหญ่มหาศาล อันเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในย่านฟ้าอากาศ สวรรค์สถานต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ ฤทธิ์เดชอำนาจที่เราเคยอ่านในพระคัมภีร์ในวันอีสเตอร์ที่บอกว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นจากความตาย หลุมฝังศพเปิดออก ฤทธิ์อำนาจนั้น ที่ทำให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ฤทธิ์เดชอำนาจนั้น ตอนนี้กระทำการงานอยู่ในวิญญาณของเราทั้งหลายผู้ที่ได้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูไปแล้ว

ฤทธิ์อำนาจที่ทำให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย และฤทธิ์เดชอำนาจเดียวกันนี้ ที่ทำให้พระเยซูได้รับการแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ครอบ ครองอาณาจักรทั้งหมดในสวรรค์นั้น ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ อยู่ในเรา ผู้เชื่อ อยู่ในวิญญาณของเรานั่นแหละ รับรู้ไว้เถิดว่าเรายิ่งใหญ่ขนาดไหน? เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เราไม่ต้องทำอะไรเลย สิ่งเหล่านี้พระเยซูทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

เอเฟซัส 1:21 “สูงส่งยิ่งเหนือเทพผู้ครอง และเทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และเหนือทุกนามที่เขาเอ่ยขึ้น ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคหน้าด้วย”

 

อย่าเพลินไปคิดว่ากำลังพูดถึงพระเยซูคริสต์ นี่กำลังพูดถึงเราผู้เชื่อนะ เราควรจะรับรู้สิ่งนี้ พอฟังเพลินๆ ไป มันไม่กล้าไง มันใหญ่ขนาดนั้น ฉันถอยลงมาดีกว่า ให้พระเยซูเป็น นี่กำลังพูดถึงเราผู้เชื่อ ฤทธิ์เดชอำนาจนั้น ที่ทำในพระเยซูคริสต์ เหมือนกันเลย  ทำงานอยู่ในเราแล้วตอนนี้ เราได้เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูเลย เรามีสง่าราศีเหมือนพระเยซูเลย  พระเจ้าได้พาเปาโลเข้าไปในโลกวิญญาณ ได้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้ว่ามันเป็นจริงด้วย แล้วลงมา เล่าให้เราฟัง เป็นพยานให้เราฟัง แล้วเขียนบอกเราว่าเราเป็นอย่างนั้นแล้ว ไม่ใช่รอตาย แล้วค่อยเป็น เป็นตั้งแต่เดี๋ยวนี้แล้ว แต่ว่ากันตามตรง เหมือนเราตายไปแล้ว เพราะพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อตอนเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้ตายต่อบาปตอนนั้นแล้ว  ตายเพื่อจะได้เป็นขึ้นจากความตายได้

ข้อ 21 ในภาษาเดิม เขาบอกว่า … “ในตำแหน่งนี้ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในสถานที่เรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ หรือเราเรียกกันว่าในสวรรค์สถานนี้  ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด พระเยซูเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น เพราะฤทธิ์เดชอำนาจเดียวกันเลย ที่ทำงานอยู่ในเรา

ในตำแหน่งนี้พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ นี่แปลมาจากภาษาเดิม เป็นคำต่อคำเลย นึกออกใช่ไหมสถานที่ต่างๆ บนโลกใบนี้  ทวีปโน้น ทวีปนี้ ประเทศโน้น ประเทศนี้ มีวิญญาณครอบครองอยู่ แต่ในนี้บอกว่าพระเยซูมีสิทธิยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกใบนี้

แค่นั้นไม่พอ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ นี่แปลจากภาษาเดิมเลยนะ ในโลกวิญญาณ มีวิญญาณต่างๆ ที่ใช้สิทธิอำนาจอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้เยอะแยะ แต่พระเยซูคริสต์และเรามีอำนาจเหนือเหล่าวิญญาณเหล่านี้ทั้งหมด เหนือพลังอำนาจการครอบครองในโลกวิญญาณนี้ ที่เรามองไม่เห็นนี้ มีอำนาจมืดครอบครองอยู่ ในพระคัมภีร์บอกมาร ก็ยังทำการงานอยู่บนโลกใบนี้ แต่เรามีอำนาจในพระเยซูคริสต์เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม ไม่ว่ามันจะทำงานผ่านทางมนุษย์หรือไม่ก็ตาม ในพระเยซูคริสต์เรามีฤทธิ์เดชอำนาจอยู่เหนือมากเลย

แค่นั้นไม่พอเหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น ไม่ว่ามนุษย์จะตั้ง หรือวิญญาณจะตั้งขึ้นมา ชื่ออะไรก็ตาม ในพระเยซูคริสต์เรามีอำนาจอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด อย่างเช่น อาจารย์เปาโลอาจจะนึกถึงนามบาอัล เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น เหนือสิทธิอำนาจ และฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่ เหนือฤทธิ์เดชอำนาจที่ถูกตั้งขึ้นบนโลกใบนี้ มันจะตั้งใครก็ตามในโลกวิญญาณ มันอาจจะตั้งคนนี้เป็นหัวหน้าตรงนั้นตรงนี้ ครอบครองโดยวิญญาณต่างๆ ที่เป็นสมุนของมาร เป็นกองทัพของมาร แต่มันไม่มีอำนาจอยู่เหนือพระเยซูคริสต์และเราทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์เลย

และในนี้บอกว่าสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้าอันนี้ ฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูที่กระทำการงานอยู่ในเราผู้เชื่อแล้ว สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชสูงสุดของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์นี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบันที่เรากำลังพูดถึงเท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไปในอนาคต ในโลกฝ่ายวิญญาณ คืออยู่นิรันดร์ เราครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งการเป็นขึ้นจากความตายอันนี้ ณ ปัจจุบันอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ปกครองครอบครองอาณาจักรสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว และจะอยู่ที่นี่ จะครอบครองอย่างนี้  ยิ่งใหญ่อย่างนี้ นิรันดร์ โลกจะสิ้นสุดไป แต่เราจะอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ที่โลกนะ เราจะอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระเยซูคริสต์นิรันดร์ แค่นี้ก็นับพระพรกันไม่ไหวแล้ว เยอะไปหมดเลย

เอเฟซัส 1:22 “และพระเจ้าทรงให้สิ่งสารพัดอยู่ใต้พระบาทพระคริสต์ และทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือทุกสิ่ง เพื่อคริสตจักร”

 

และพระเจ้าทรงให้สิ่งสารพัด ทั้งในโลกวัตถุ และโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ ก็คือใต้เท้าเราด้วย และพระเจ้าได้แต่งตั้งให้พระเยซูเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีอำนาจสูงสุด เป็นศีรษะอยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร ก็คือเป็นหัวหน้าของเราอีกทีหนึ่ง เราเป็นร่างกาย คริสตจักรคือร่างกายของพระองค์ ก็คือพระองค์ทรงเป็นหัวหน้า และเราก็เป็นน้องๆ ทั้งหลาย ร่วมครอบครองกับพระองค์

คริสตจักรทั้งหลาย คือผู้ที่เชื่อ ที่ได้ใช้สิทธิในการไถ่บาป ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้แล้ว พอได้ใช้สิทธิปุ๊บ  เขาก็ได้กลายเป็นผู้เชื่อ เขาก็ได้กลายเป็นคริสตจักรของพระเยซู เป็นส่วนหนึ่งของพระเยซู เป็นชีวิตในพระเยซูคริสต์เลย อยู่ในพระเยซูเลย

เอเฟซัส 1:23 “อันเป็นพระกายของพระองค์ ซึ่งบริบูรณ์ด้วยพระองค์ผู้ทรงให้ทุกสิ่งบริบูรณ์ในทุกทาง”

 

ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ หมายถึงคริสตจักร เราผู้เชื่อ ก็เหมือนพระองค์ ซึ่งเป็นความบริบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซู เห็นไหมความบริบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซู คือพระเยซูและรวมทั้งเราทั้งหลาย  ผู้เชื่อ คือความครบถ้วนบริบูรณ์

พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์ ฟังให้ดีๆ ความสมบูรณ์แบบ ให้กับเรา ผู้ที่เชื่อทั้งหลาย ที่ได้ใช้สิทธิในการไถ่บาป ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้แล้ว ที่ไม้กางเขน พระเยซูคริสต์ได้เติมเต็มความบริสุทธิ์ให้กับเราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ให้เราสมบูรณ์แบบเลย เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เป็นเหมือนพระองค์เลย เป็นน้องๆ พระองค์เลย เราทั้งหลาย คือผู้ที่ตัดสินใจเชื่อในข่าวดี และได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เคล็ดลับคือในพระคริสต์ เราจึงนับพระพรในพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว และพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังนำเราผู้เชื่อทั้งหลาย ให้ไปรู้ความจริงเหล่านี้  ที่เปาโลก็อยากให้เรารู้ด้วย และนับพระพรเหล่านี้ และขอบคุณพระเจ้า และมีความชื่นชมยินดีในพระพรที่พระเจ้าประทานให้เรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์นี้แหละ

ถ้าสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในใจ และจดจ่อมันอยู่ตลอดเวลา มันจะเกิดอะไรขึ้น ลองคิดดูสิ พระเยซูได้กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วทุกประการ ที่อ่านมาทั้งหมด เพียงแต่จงรับรู้ จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ แล้วก็นับพระพรเหล่านี้ในฝ่ายวิญญาณนี้ ทีละอันๆ ทุกวัน ด้วยท่าทีของการขอบพระคุณ ชื่นชมยินดี พูดคุยกับพระเจ้า คืออธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ เป็นลูกที่กระหนุงกระหนิงกับพระเจ้า ให้มันเป็นชีวิตของเรา  ให้เป็นปกติวิสัย เป็นธรรมชาติ ในฐานะที่เป็นลูกที่พระเจ้ารัก และคุยกับพระเจ้ากระหนุง กระหนิง ไม่ใช่เข้าไปหาพระเจ้า แบบเป็นหน้าที่ วันนี้ต้องอธิษฐาน 3 เวลา ก่อนกินข้าว ต้องอธิษฐาน ไม่ใช่อย่างนั้น ให้มันเป็นธรรมชาติ เป็นปกติวิสัย มันจะออกมาได้ เมื่อท่านนับพระพรเหล่านี้ ท่านเข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เปาโลอยากให้เราได้รู้ ตามที่พระวิญญาณกำลังนำพาเราไปนี้

ทั้งหมดนี้ คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือน้ำพระทัยพระเจ้า ความต้องการของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ผู้เชื่อทั้งหลาย ลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

******************