คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 8 “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กรกฎาคม  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 8

“วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ  ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

วันนี้เราก็ยังคงอยู่ในซีรี่ย์ “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ (เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ)” ตอนที่ 5 เราได้เรียนรู้มาตั้ง 4 ตอนแล้ว ก็ได้รู้เยอะแล้ว เรารู้ว่าเมื่อเรารับรู้ความจริง จดจ่อความคิดของเราไปที่เบื้องบน ก็คือจดจ่อไปที่สวรรค์สถาน หมายถึงในโลกวิญญาณ มองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น คือเบื้องบน เราก็จะได้รู้ว่าความจริงของสถานะตัวตนของเรานั้นเป็นใคร? อยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร ในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าบอกเรา บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล มีหลักฐานแน่นอน ในสวรรค์ของพระเจ้า  ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราก็จะรู้ว่าเรามีทุกสิ่งที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว ไม่ขัดสนอะไรเลย มีแค่พระเยซูเท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว

นี่คือความจริงรวมๆ สั้นๆ ในโลกวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ ถ้าผู้ที่เชื่อแล้ว ในข่าวประเสริฐของพระเยซู เขาก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ เอเฟซัส 1:3 ได้บอกไว้ เราไม่ขาดแคลนเลย เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร?

เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลาย ในสวรรค์สถาน”

 

“ผู้ประทานพระพรฝ่ายวิญญาณนานัประการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลาย ในสวรรค์สถาน” ให้แก่เราเรียบร้อยไปแล้ว ในสวรรค์ ก็คือในโลกวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จับต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ เมื่อเราเชื่อในพระเยซู

เพราะฉะนั้น แต่ก่อนนี้เราเคยแก้ไขสถานการณ์บนโลกใบนี้ ด้วยการอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ทูลขอต่อพระเจ้าช่วยเอาความทุกข์ลำบากออกไปจากชีวิตของเราด้วย ทูลขอพระเจ้าให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างไม่มีความทุกข์ ไม่มีความลำบาก ซึ่งเป็นไปตามความหวังของเรา ความต้องการของเรา ในใจของเราอยากจะได้อย่างนี้  ถูกไหม? แต่มาถึงวันนี้ เมื่อเรารู้ความจริงในโลกวิญญาณแล้ว ได้รับรู้ว่าพระเจ้ารักเรามากขนาดไหน?  พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระองค์ทรงเต็มไปด้วยฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระคุณของพระองค์ที่มีสำหรับเราแต่ละคนมันเพียงพอ สำหรับเราเสมอ ในทุกสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ และรวมทั้งสติปัญญาอันล้ำเลิศของพระองค์ และการทรงสถิตของพระองค์ที่อยู่กับเราเสมอ ในท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราสามารถทำได้ดีกว่าแต่ก่อนมากมายนัก ก็คือการไว้วางใจ มอบภาระทุกสถานการณ์ ทุกความผิดหวัง ความเสียใจ  ทุกความเจ็บปวดทรมานในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มอบให้กับพระเจ้าทรงนำ ทรงรับผิดชอบแทนเราด้วยเถิด  เป็นผู้รับผิดชอบชีวิตของเราจากนี้ต่อไปเลย  อย่างนี้เขาเรียกว่าการไว้วางใจ … การไว้วางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ ในทุกสถานการณ์ ก็คือการส่งมือของเราที่เชื่อฟังต่อพระองค์ ให้พระองค์จูงเราเดินในแต่ละวัน ให้พระองค์ทรงนำไป และเราสามารถขอบคุณพระองค์ได้ในทุกๆ สถานการณ์ที่พระองค์ทรงจูงมือเราไป พอเรารับรู้แล้ว ก็เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าสถานการณ์นั้นจะท่ามกลางความทุกข์โศก เศร้าโศก ความทรมานก็ตาม ในสถานการณ์เหล่านั้น  เราก็จะจดจ้องมองไปที่เบื้องบน เห็นไหมครับ?

ในสถานการณ์ท่ามกลางความทุกข์โศก ความทรมานเหล่านั้น ความเสียใจเหล่านั้น ความผิดหวังจากโลกใบนี้ เหล่านั้นที่เราอยากได้นั้น เราก็เฝ้าจดจ่อไปที่เบื้องบน ในโลกวิญญาณ ตามที่พระเจ้าแนะนำ แล้วก็สามารถขอบคุณพระองค์ได้ว่าเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้เกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว ได้อยู่ในสวรรค์นิรันดร์แล้ว พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราเสมอตลอดเวลาในขณะนี้แล้ว เอเมน นี่ไง เราสามารถขอบคุณพระเจ้าในสิ่งที่เรามีแล้ว เราได้เรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ ให้เราจดจ่อ จดจ้องไปในสิ่งที่เรามีอยู่ เราเป็นอยู่แล้วเดี๋ยวนี้ แล้วมันดีเลิศมากเลย ถึงแม้ว่าบนโลกใบนี้เราต้องเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช เราก็ไม่กลัวอันตราย ไม่กลัวความชั่วร้าย ความทุกข์ยากลำบากใดๆ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราด้วย นี่การมองไปที่เบื้องบน มองไปที่โลกวิญญาณ  ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ

การบรรยายในวันนี้จะเป็นเรื่องการวางใจในพระเจ้า ด้วยสิ้นสุดใจ ตอนที่ 5 ในหัวข้อ “วางใจในพระเจ้า ด้วยสิ้นสุดใจ ในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ทั้งหมด (โลกใบนี้ที่ล่มสลายลงแล้วในความบาปและคำสาปแช่ง)” เรามาเรียนรู้กัน จากอัครทูตเปาโล ผู้มีประสบการณ์ในการเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าพาไปทัวร์สวรรค์เรียบร้อยแล้ว  ใครจะมาบอกเราได้มากกว่าเปาโล ไม่มีแล้ว เป็นเพียงผู้เดียวในโลกนี้ ที่พระเจ้าได้พาเข้าไปในโลกวิญญาณ  ในเบื้องบนที่เราพูดถึง ในสวรรค์ที่เราบอกกัน ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ยังไม่ตายนะครับ เปาโลได้ถูกพาเข้าไป และพระเจ้าคงได้อธิบายให้ฟัง มันเป็นอย่างนี้  ที่บอกให้เชื่อ ให้มองไปที่เบื้องบนมันเป็นอย่างนี้ เพื่อว่าเจ้าจะได้กลับลงไปบนโลกใบนี้ แล้วไปสอนบรรดาผู้คนให้เขามองในสิ่งที่มองไม่เห็น มองไปที่เบื้องบน เตือนเขาให้จดจ่อ จดจำให้ขึ้นใจ ในสิ่งที่อยู่เบื้องบน อยู่ที่สวรรค์นี้ จดเอาไว้ เป็นอย่างนี้ๆ

เพราะฉะนั้น เปาโลจึงมีประสบการ์ในเรื่องนี้มาก เป็นผู้เดียวที่เราควรจะฟังว่าทัศนคติของท่านว่าอย่างไร? เมื่อลงมาบนโลกใบนี้แล้ว เมื่อเทียบกับสวรรค์ ที่ท่านได้ไปทัวร์มา โรม 8:18 ได้พูดไว้อย่างชัดแจ๋ว เริ่มต้นที่เปาโลบอกถึงประสบการณ์ว่าเมื่อเรารู้ว่าเราได้รับความรอด พระเมตตาจากพระเจ้า รอดด้วยพระคุณของพระเจ้า มาเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้วนั้น ทัศนคติในเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ไม่ว่าความทุกข์ขนาดไหนก็ตาม มันเทียบได้ไหมกับพระพรที่เราได้รับ หรือความเป็นแล้วที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว คือการเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ที่อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่ในเบื้องบนแล้ว มันเทียบกันไม่ได้เลย

โรม 8:18 “ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบัน เทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งจะทรงสำแดงในเรา”

 

“ฉันเห็นว่าความทุกข์ยากของฉันในปัจจุบัน เทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งจะทรงสำแดงในฉัน”

นี่คือทัศนคติ นี่คือคอนเชปในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของเปาโล ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เรากำลังอดทนรับอยู่ในปัจจุบันนั้น มันไม่สามารถมาเทียบกับความชื่นชมยินดี ในสง่าราศีและพระสิริของพระเจ้า ที่เราได้รับจากพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในอนาคตอันใกล้นี้ แน่นอนเลยทีเดียว ในโลกวิญญาณ ที่เรามองไปเบื้องบน เราได้รับแล้วในโลกวิญญาณ  เราอยู่ในสวรรค์แล้วก็จริง แต่มันยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน เปาโลได้ไปเห็นความครบถ้วนบริบูรณ์แล้วในสวรรค์ จากการทัวร์ พระเจ้าพาไป จึงลงมาบอกพวกเราว่าเทียบกันไม่ติดเลย

เปาโลกำลังเปรียบเทียบความทุกข์ยากลำบาก การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ของผู้เชื่อที่อยู่ในโรม ในสมัยนั้นว่าความทุกข์ยากลำบากของเรา ที่อยู่ในโรม ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว มันเทียบกันไม่ได้กับสง่าราศีและพระสิริของพระเจ้าที่สมบูรณ์ครบถ้วนหรอก แล้วถามว่าผู้เชื่อที่อยู่ในโรม ที่อาจารย์เปาโลพูดถึงนี้ มีความทุกข์มากขนาดไหน?  ลองมาเทียบดูสิว่ากับเราใครทุกข์เยอะกว่ากัน นี่สมัยเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว คริสตจักรเริ่มต้น ผู้เชื่อเพิ่งจะเริ่มต้น หนักขนาดไหน? ถูกข่มเหงรังแก ถูกใส่ร้าย โดยจักรพรรดินีโร … นีโรก็ตั้งตัวเองเหมือนพระเจ้าในสมัยโน้น คนต้องเรียกว่าเป็นพระเจ้า แปลเป็นภาษาไทยว่าเป็นพระเจ้า แล้วก็ข่มเหงคริสเตียน รวมทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในสมัยนั้น ก็ข่มเหงคริสเตียน หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือใส่ร้ายคริสเตียนว่าเป็นผู้วางเพลิง เผากรุงโรม แล้วก็จับคริสเตียนไปทรมาน ติดคุก ย่างไฟ ฆ่าให้ตาย อะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมด และอาจารย์เปาโลเขียนไปบอก ความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ที่ต้องหนีกระเจิง วิ่งกระเจิง ไม่มีที่อยู่อาศัย ถูกข่มเห่งรังแก มันเทียบไม่ได้กับสง่าราศีในโลกวิญญาณ ที่เราได้รับจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว และจะได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในอีกไม่ช้า

ถ้าเทียบกับผู้เชื่อในปัจจุบัน ความทุกข์ยากลำบากต่างกันไหม? 2,000 ปีที่แล้ว มีการข่มเหงรังแกแบบนี้ เยอะแยะมากมาย แต่ความเจริญเติบโตของโลกใบนี้  มันยังไม่มากเหมือนปัจจุบัน โลกยังเสียหาย ยังเน่าเฟะ น้อยกว่าทุกวันนี้ ในระหว่าง 2,000 ปีมานี้ มันเน่าลงไปเรื่อยๆ ทั้งด้านสังคม ทั้งด้านธรรมชาติ ทั้งด้านโรคภัยไข้เจ็บ ทุกอย่างพัฒนาไปทางเละตุ้มเป๊ะไปหมดเลย ปัจจุบันถ้าเทียบถึงการข่มเหง อาจจะไม่มีเหมือนกับในสมัยกรุงโรม แต่สิ่งที่มีมากกว่าในสมัยกรุงโรม ก็คือความทุกข์ยากลำบากทางด้านสังคม บางคนก็ทุกข์ทรมาน ด้วยความเจ็บปวด อย่างแสนสาหัส ในเรื่องของความแตกแยกในสถาบันครอบครัวบ้าง ในสถาบันสามีภรรยาหย่าร้าง เด็กเล็กๆ ถูกทอดทิ้ง ทุกข์ยากลำบาก หรือการถูกโกง แบบแปลกๆ โรคภัยไข้เจ็บที่มาอย่างแปลกๆ ปัญหาทางสังคมที่มาอย่างแปลกๆ บางคนล้มลงไปในเศรษฐกิจการเงิน ซึ่งสมัยก่อนไม่มีอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ได้ถูกปลูกฝังเรื่องของวัตถุนิยมเข้ามามากมาย จนกระทั่งทนทุกข์ทรมานไม่ไหว ถึงขนาดต้องทำลายชีวิตของตัวเอง เนื่องจากล้มลงในเรื่องเศรษฐกิจการเงิน เพราะความโลภมีมากกว่าสมัยก่อนเยอะ เพราะว่าโลกทั้งใบ ถูกผลักลงไปสู่วัตถุนิยมมากขึ้น ทุกคนเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น มีโรคเครียดด้วย มีโรคซึมเศร้า มีโรควิตกกังวล มีโรคเขาเรียกว่าเหน็ดเหนื่อย มีโรคที่เรียกว่าไม่มีสันติสุข ไม่มีความสงบ รวมทั้งที่เกิดขึ้นกับตนเองและเกิดขึ้นกับคนที่เรารักและห่วงใย และมันเกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราจะเห็นว่าโลกใบนี้มันเป็นอย่างนี้อยู่ตอนนี้

เพราะฉะนั้น มันจึงไม่แตกต่างอะไรกับสิ่งที่ผู้เชื่อในโรมเผชิญอยู่ในขณะนี้ มันแตกต่างกัน เพียงแต่เหตุการณ์เท่านั้น แต่ความทุกข์ลำบากในใจ ในการดำเนินชีวิตไม่ต่างกันเลย ซึ่งทั้งหมดของความทุกข์ และปัญหาเหล่านี้ มันหาคำตอบไม่ได้ ไม่มีวิธีแก้ไข และมนุษย์ทุกคนต้องทนทุกข์รับมันไว้ หมายถึงไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ อย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น คริสเตียนก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ดวงอาทิตย์ส่องลงมา ก็ส่องให้คนที่เชื่อกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเหมือนกัน ฝนตกลงมา คนเชื่อพระเจ้าก็เปียกเหมือนกัน ถ้าไม่มีร่ม

หลายครั้งสิ่งที่เกิดเหล่านี้ เราเป็นคริสเตียน เราก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าเหตุใดมันถึงเป็นอย่างนั้น มีคนมาปรึกษา เราก็ไม่รู้ว่าจะบอกเขาว่าอย่างไรว่าเพราะอะไรมันถึงเกิดอย่างนั้น เราก็ได้แต่หนุนใจ ปลอบโยนจิตใจกันเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม พระเจ้าบอกกับเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้  มันเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น มันมีวันสิ้นสุดลง

ในขณะที่เปาโลบอกว่าพระเจ้าบอกเราอย่างนั้นว่ามันมีวันสิ้นสุดลง ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่ตัวตนที่แท้จริงข้างในของเรา ก็คือวิญญาณของเรา เรารู้แล้วว่ามันเต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม ที่มีแต่ความงาม ความดี ความยอดเยี่ยมเรียบร้อยไปแล้วในวิญญาณของเรา ในขณะนี้ด้วย พูดง่ายๆ ว่าในขณะนี้เลยทีเดียว ตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ของเราในโลกวิญญาณ มันสวยสดงดงาม เป็นลูกของพระเจ้าที่เต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้า เพียงแต่รอวันที่จะสำแดงออกมาครบถ้วนเท่านั้นเอง รอวันที่จะสำเร็จบริบูรณ์เท่านั้นเอง เรารู้อยู่แล้วว่าข้างในเรายอดเยี่ยมขนาดไหน? เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมที่บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

นี่คือสิ่งที่เป็นจริง ที่ตาเรามองไม่เห็น แต่อยู่ภายในร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ซึ่งกำลังแก่ชรา เสื่อมโทรมสู่ความตายนี่แหละ ถ้าใครเถียง ลองดูเส้นผม มันดำขึ้นทุกวันไหม? หรือว่ามันขาว ผิวหนังท่านมันเหี่ยวลงทุกวัน หรือว่ามันค่อยๆ ตึงขึ้นเรื่อยๆ

ก็มีคำพูดเล่นๆ ว่าพออายุมากขึ้น แก่แล้ว เส้นสายทุกอย่างตึงหมดเลย มีอย่างเดียวที่ไม่ตึง คือผิวหน้า มันเหี่ยว

เมื่อเรามองดูภายนอกเป็นอย่างนี้ คือร่างกายของเราบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน ความแก่ชรา ความวุ่นวายสับสน การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราก็จะเกิดคำถามที่เราหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมโลกวิญญาณถึงต่างกับโลกวัตถุอย่างมากมายขนาดนี้ โลกวิญญาณ พระเจ้าบอก สวยสดงดงามมาก เป็นลูกพระเจ้าที่ไม่มีวันตายแล้ว แต่ทำไมโลกใบนี้มันทารุณอย่างนี้ พระเจ้าก็เลยตอบเรา โดยผ่านอาจารย์เปาโลให้มีประสบการณ์ แล้วลงมาพูดกับเรา สรุปก็คือบอกว่า …

“ทนอีกสักหน่อยเถอะลูกเอ่ย อีกไม่นาน ภายนอก คือโลกวัตถุและร่างกายของเรา จะถูกเปลี่ยนไป เพื่อให้เข้ากันได้กับสง่าราศีอันงดงามของเรา  คือพระเจ้าที่ได้อยู่ในวิญญาณของเจ้าแล้วในขณะนี้นั่นแหละ อีกไม่นาน ข้างนอกข้างในมันจะเข้ากันได้ดี”

ร่างกายใหม่ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับเรา จะเป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี แห่งพระสิริของพระเจ้า เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย  เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บป่วย เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน โศกเศร้าอีกต่อไป และพระเจ้าได้เตรียมโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ที่ดีกว่าสวนเอเดนให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว อดทนรออีกสักแป๊บเดี๋ยวเอง

นี่คือคำตอบที่เปาโลได้รับจากพระเจ้า ได้มาบอกพวกเราว่าเมื่อเทียบกันกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้แล้ว เราควรจะคิดอย่างไร มองไปในโลกวิญญาณ เราคิดอย่างไร? ดังนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในปัจจุบันนี้ มันจึงเป็นการต่อสู้กันอย่างรุนแรง ระหว่างความหวังในโลกวิญญาณ ในสิ่งที่เรารับรู้ และมันเป็นจริงแล้วในใจ ในเบื้องบน ในสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระคัมภีร์เขียนแล้ว ซึ่งมันดียอดเยี่ยมที่สุด กับประสบการณ์ภายนอกในความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความเจ็บปวดในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความเลวร้าย ความชั่วร้ายที่สุด บนโลกใบนี้ เช่นเดียกัน ในวิญญาณจึงเต็มไปด้วยความงดงามที่สุด แต่บนโลกใบนี้ เต็มด้วยความชั่ว เลวร้ายที่สุด ซึ่งมีพระเยซูคริสต์ผู้มีชัยชนะเหนือโลก อยู่ข้างเรา และสถิตอยู่ในเรา นี่แหละ คือภาพเป็นจริงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของผู้เชื่อทั้งหลายว่าเราชนะแล้ว โดยพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา แต่เรายังอยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้อยู่ ดังนั้น ความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ ในสง่าราศี ในโลกวิญญาณของเรา ที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้วนั้น  และเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้แล้ว จึงเป็นคำตอบให้กับเรา ในเรื่องของความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ปัญหาต่างๆ ความยุ่งยากต่างๆ ที่เรากำลังเผชิญทั้งหมด ที่เราไม่มีคำตอบ แต่เรามีความหวังในพระเยซูคริสต์ แม้เราจะเป็นผู้เชื่อ เรายังไม่สามารถตอบได้เลย แต่เรามีความหวังในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่หาคำตอบในการเผชิญปัญหาความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ แต่หาความหวัง คนที่ไม่มีความหวัง คือคนที่ยังไม่รู้จักพระเยซู ยังไม่ได้เชื่อในนามของพระเยซูคริสต์ ถ้าเชื่อแล้ว จะมีความหวังในพระเยซูคริสต์ ที่จะเผชิญกับความจริงของความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ได้ ว่าความทุกข์ยากลำบากมันก็เป็นจริงๆ หนีไม่พ้น แต่เราก็มีความหวังในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูสถิตอยู่ในเราแล้ว เราชนะโลกนี้ไปแล้ว เอเมน ฟีลิปปี 4:13 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

ฟีลิปปี 4:13 “ข้าพเจ้าเผชิญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”

 

“ข้าพเจ้าหรือฉันจึงเผชิญทุกสิ่งได้ ทุกสถานการณ์ ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย  จะเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม โดยองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า องค์พระเยซูคริสต์ที่สถิตกับข้าพเจ้า”

เพราะฉะนั้น มีพระเยซูคริสต์ผู้เดียว ก็เพียงพอแล้ว สำหรับการเผชิญกับทุกสถานการณ์ ความหวังเราจึงอยู่ที่พระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่ในเรา และคือชีวิตของเรานั่นเอง

เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เราอาจพบกับความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งไม่มีใครสามารถช่วยเราได้ ในความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน แม้กระทั่งหมอก็ช่วยไม่ได้ แต่เรามีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา จูงมือเราเดิน เป็นกำลัง เป็นสติปัญญา เป็นชีวิตของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ใช่เรามาเชื่อพระเจ้า แล้วพระเจ้าปล่อยให้เราเดินคนเดียว ไม่ใช่ แต่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายนี้ และดำเนินไปด้วยกันกับเรา ไม่ได้ปล่อยให้เราเผชิญอยู่บนโลกใบนี้เพียงคนเดียว เปล่าเลย สมัยก่อนที่เรายังไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราเดินคนเดียว เผชิญกับปัญหาบนโลกใบนี้ ความทุกข์ยากบนโลกใบนี้  ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ต้องเผชิญอยู่ แต่พอมาเชื่อพระเยซูแล้ว ก็ยังต้องเผชิญอยู่ธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาตรงที่ขณะนี้ เราเผชิญด้วยพระเยซูคริสต์ที่สถิตอยู่ในเรา เอเมน มีตัวช่วย และตัวช่วยบอกว่าเขาชนะโลกนี้แล้ว เต็มไปด้วยฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พอไหม? จบไหม?

ความหวังในความสุขนิรันดร์ ในร่างกายใหม่ และโลกใหม่นี้ เป็นความหวังที่อยู่ในใจ ในวิญญาณ ไม่ได้เป็นความหวังที่ขึ้นกับสถานการณ์ รอบข้างบนโลกใบนี้ ที่เรากำลังเผชิญในปัจจุบัน ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ก็ตาม จะเป็นเช่นใด เรายังคงมีความเชื่อในความหวังที่จับต้องมองเห็นได้ในพระคริสต์ ไม่เปลี่ยนแปลง

เรามีความหวังที่จับต้องมองเห็นได้ หมายถึงอะไร? ปกติความหวัง โดยทั่วๆ ไป มันจับต้องมองไม่เห็นนะ มันเป็นอนาคต ถูกไหม? แต่พอเรามีความหวัง ที่เต็มไปด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ มันกลายเป็นความหวังที่จับต้องมองเห็นได้เลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น เดี๋ยวนี้นั่งอยู่ที่นี่ เราเป็นลูกพระเจ้าที่ได้เกิดใหม่แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ มันไม่เห็น เรายังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่โบสถ์อยู่อย่างนี้  เหมือนเดิมเลย แต่พอมีความหวังและความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เรารู้ทันทีว่าขณะที่เรานั่งอยู่ที่โบสถ์นี้ วิญญาณเราก็นั่งอยู่ที่สวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้า นี่คือความหวังในสไตล์ของผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ คือความหวังที่จับต้องมองเห็นได้

เปาโลผู้มีประสบการณ์ในการไปทัวร์สวรรค์มาแล้ว เล่าความจริงในโลกวิญญาณด้วยความตื่นเต้นให้เราฟังต่อ นึกถึงภาพว่าขณะที่ท่านอ่านสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดให้ฟัง คือประสบการณ์ที่อาจารย์เปาโลได้เห็นมา อัครทูตเปาโลคงจะตื่นเต้นมากเลย ที่ได้เอาข้อความเหล่านี้มาหนุนใจ มาบอกให้กับผู้เชื่อทั้งหลายรู้ว่าพระเจ้าทรงรักและห่วงใย และเตรียมอะไรไว้ให้กับท่าน มันเทียบกันไม่ได้กับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้เลย …

โรม 8:19-22 “19 สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจดจ่อรอคอย ให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ 20 เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไร้ค่าไป ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มัน ต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว ด้วยมีความหวัง 21 ว่าสรรพสิ่งเหล่านั้น จะได้รับการปลดปล่อยจากการผูกมัดให้ต้องเสื่อมสลาย และจะถูกนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ ของบรรดาบุตรของพระเจ้า 22 เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง กำลังคร่ำครวญ ราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตร จนถึงปัจจุบันนี้”

 

คิดดูว่าอาจารย์เปาโลตื่นเต้นขนาดไหน? อาจารย์เปาโลเล่าให้ฟังว่าไม่ใช่อาจารย์เปาโลตื่นเต้นอย่างเดียว แต่แม้กระทั่งสรรพสิ่งทั้งหลายที่ถูกสร้างขึ้น ยังตื่นเต้นมากเลย ไปกับเราด้วย ในความจริงนี้ และมีความหวังในเรื่องนี้ เช่นเดียวกัน … ความหวังในเรื่องสง่าราศีที่ครบถ้วนบริบูรณ์ของผู้เชื่อในพระคริสต์ ที่พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วในสวรรค์นั้น ในอนาคตอันใกล้ สรรพสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ไม่ว่าก้อนหิน ก้อนดิน ใบหญ้า สัตว์ทุกอย่างครบ เขารู้ เขาก็ตื่นเต้นเหมือนกัน มีความหวังในเรื่องนี้เหมือนกัน ในนี้บอกว่า …

“ต่างก็ครวญครางอยากจะถึงวันนั้นจริงๆ วันที่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าจะสำแดงสง่าราศีครบถ้วนบริบูรณ์อย่างนี้ออกมา เพื่อว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็จะได้รับการทรงสร้างขึ้นใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน”

โลกและธรรมชาติบนโลก สรรพสิ่งต่างๆ ในโลก สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา ดวงดาว ก้อนหิน ก็จะได้รับการไถ่ให้เป็นอิสระ จากความเสื่อมโทรม คำสาปแช่ง เหมือนกันกับผู้เชื่อทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เขาก็เลยต่างรอคอยท้องฟ้าใหม่กับโลกใหม่ ท้องฟ้าใหม่ ก็คือที่เรามองไปที่ท้องฟ้า มีเมฆ มีดวงดาว มันเป็นใหม่เอี่ยม โลกใหม่ ก็หมายถึงสรรพสิ่ง ธรรมชาติทุกอย่างในโลกใบนี้ ตั้งแต่ก้อนหินจนกระทั่งสัตว์ และร่างกายใหม่ของมนุษย์

เพราะฉะนั้น ตรงนี้ที่บอกว่าสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสร้าง กำลังคร่ำครวญ ราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตร จนถึงปัจจุบันนี้ ลองคิดดูสิ อาจารย์เปาโลบอกว่าความจริงบนโลกวิญญาณ คือสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าสร้างขึ้นบนโลกใบนี้ นกในอากาศ ปลาในน้ำ สัตว์ทั้งหลาย ต้นไม้ทุกชนิด ก้อนหิน ก้อนดิน เมฆ น้ำ อะไรเหล่านี้ ต่างก็ครวญคราง เหมือนกับเจ็บท้องจะคลอดบุตร ตั้งแต่เมื่อมันถูกสาปแช่ง ตั้งแต่อาดัมและเอวาถูกลงโทษ ไม่เชื่อในพระเจ้าคำสาปแช่งได้ลงมาบนโลกใบนี้ ตั้งแต่วันนั้นมา สิ่งที่เป็นธรรมชาติที่ดีงามเหล่านี้ มันตกอยู่ในคำสาปนี้ และมันครวญครางอยากจะเป็นอิสระสักทีหนึ่ง มาจนถึงปัจจุบันนี้ ปัจจุบันที่เขียนในนี้ คือเมื่อเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วมาถึงปัจจุบันนี้เลยไปอีก 2,000 ปี มันก็ยังครวญครางอยู่ แล้วมันใกล้คลอดแล้ว ราวกับเจ็บท้องใกล้คลอดบุตร ผมก็ไม่เคยคลอดนะ ถามว่ามันเจ็บขนาดไหน? เขาบอว่ามันเจ็บสุดๆ มันทรมานสุดๆ แต่มันทรมานด้วยความหวัง ยินดีชัดเจนว่าอีกไม่นานเกินรอ ความทุกข์ทรมานนั้น จะกลายเป็นความชื่นชมยินดี เพราะจะได้เห็นลูกของตัวเอง แม่ผู้ให้กำเนิดก็จะมีความรู้สึกอย่างนี้  ทนได้สุด เพราะว่าเดี๋ยวจะเจอหน้าลูกแล้ว อยู่ในท้องมา 9 เดือน มันค่อยๆ ทรมานมากขึ้นเรื่อยๆ มันทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ เดือนที่ 1 เดือนที่ 2 เดือนที่ 3 เดือนที่ 4 … เดือนที่ 9 หนักสุด นอนก็อาจจะหลับไม่สนิท หลับไม่ได้ด้วย หลับๆ ตื่นๆ หายใจก็ไม่ได้ แต่เขามีความรู้ มีความหวังว่าอีกไม่นานจะได้พบกับลูก จะพบกับความชื่นชมยินดี จนกระทั่งวันคลอด เจ็บสุด สุดท้าย โลกใบนี้ มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ ถ้าเมื่อไรท่านเห็นว่าความทุกข์ยากลำบากในสมัยก่อน มันน้อยกว่าสมัยปัจจุบัน มันมาถูกทางแล้ว

ในสมัยโรมที่อาจารย์เปาโลเขียนไป อาจจะเหมือนคนท้อง ตีสัก 3 เดือน แต่มาถึงตอนนี้ 2,000 ปีผ่านมา ทุกวันนี้ ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้มันวุ่นวายมากมาย มันอาจจะเป็น 9 เดือน กำลังจะคลอดแล้ว มันน่าจะดีใจ ยิ่งวันผ่านไปเท่าไร? โลกใบนี้มันเละตุ้มเป๊ะมากเท่านั้น มันเสียหายมากเท่านั้น มันเกิดความชั่วร้ายบนโลกใบนี้มากมายทวีคูณขึ้น เพราะมันใกล้คลอดแล้วอย่างไรล่ะ สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น คร่ำครวญ จนถึงปัจจุบัน ราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตร

และความจริงเหล่านี้ ก็เลยเป็นคำตอบว่าทำไม โลกใบนี้จึงมีแต่ความเลวร้าย ชั่วร้ายมากมายขนาดนี้ และมากขึ้นทุกวัน และหลายคนไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็จะบอกว่า …

“พระเจ้าอยู่ไหนล่ะ ทำไมปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ทำไมไม่ทำอะไรสักอย่าง”

แต่อยากจะบอกความจริงกับท่านว่าพอเห็นอย่างนี้ ท่านจะรู้เลย ชัดเจนเลยว่าความชั่วร้ายไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากโลกใบนี้ และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ถูกมารหลอก โดยผ่านทางมนุษย์ ผู้เป็นเจ้าของโลกใบนี้ และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ได้มอบสิทธิอำนาจนี้ไว้ให้กับมาร มารคือต้นกำเนิดของความชั่วร้ายทั้งปวง คือการขโมย ฆ่าและทำลาย มีแต่ความเลวร้าย มันจึงครอบครองบนโลกใบนี้ และดำเนินการบนโลกใบนี้ด้วยความเลวร้าย ชั่วร้าย รอวันที่จะหมดสิทธิ์หรือถูกตัดสินให้ลงไปอยู่บึงไฟนรกเท่านั้น ซึ่งมันมีวันสิ้นสุดลง

เพราะฉะนั้น ความชั่วร้ายอะไรต่างๆ เหล่านี้ จึงไม่ได้มาจากพระเจ้า มาจากมาร ผ่านทางความสาปแช่ง ความบาปต่างๆ ที่ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้  แต่วันหนึ่งข้างหน้า โลกใหม่ และร่างกายใหม่ที่เราจะได้รับ และจะอยู่ในโลกใหม่นั้น มันไม่มีบาปอีกต่อไป  ไม่มีความชั่วร้ายอะไรอีกต่อไปเลย เพราะตัวชั่วร้ายได้ถูกกำจัดออกไปเรียบร้อยแล้ว ถูกโยนลงไปอยู่ในบึงไฟนรกเรียบร้อยแล้ว และโลกใบนี้ก็ได้รับการไถ่ ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการไถ่ออกมาหมดเลย นอกจากมนุษย์แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้รับการไถ่ มาอ่านดูต่อไป

โรม 8:23 “ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่เราเอง ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณ ก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ขณะที่เราจดจ่อรอคอยการทรงรับเราเป็นบุตร คือการไถ่ร่างกายของเราให้รอด”

 

เปาโลบอกชัดเจนเลย เห็นภาพชัดเจนเลยว่าเราผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พอเชื่อพระเยซูปุ๊บ พอเชื่อในข่าวดีปุ๊บ มันได้เกิดใหม่ในวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว ถึงแม้จะอยู่ในร่างกายเก่า อยู่บนโลกใบนี้ก็ตาม แต่ในวิญญาณเราเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็คือการบังเกิดใหม่นั้น พระเจ้าได้หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการเป็นขึ้นจากความตาย อยู่ในร่างกายที่เสื่อมโทรมนี้แล้ว ในโลกวิญญาณ ในร่างกายที่เรานั่งอยู่ทุกวันนี้ บนโลกใบนี้ มีเมล็ดพันธุ์แห่งการเป็นอมตะ เมล็ดพันธุ์แห่งการเป็นขึ้นจากตายอยู่ในร่างกายเราตอนนี้ อยู่ในวิญญาณของเรา ในขณะนี้แล้ว แล้ววันหนึ่งเมล็ดพันธุ์นี้มันจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นร่างกายใหม่ที่เต็มด้วยสง่าราศี เป็นร่างกายใหม่ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์แบบเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย เราก็จะมีร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์ อย่างนั้นทันที ซึ่งเป็นความหวังที่สรรพสิ่งทั้งหลาย ที่ตะกี้นี้บอกว่าครวญครางอยากเห็น ถามว่าอยากเห็นใคร? อยากเห็นพวกเรามนุษย์ผู้เชื่อทั้งหลาย ได้รับร่างกายใหม่ ได้รับการเป็นขึ้นจากความตายอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เสียทีหนึ่ง สง่าราศีจะได้ปรากฏ เพราะว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าหลังจากนั้นโลกใหม่ถึงจะมาได้ เพราะฉะนั้น เขาก็เลยรอเรา พอเรามาก่อน เขาจะได้ตามมา ถ้าเราไม่มาสักที เขาก็มาไม่ได้ พอมองภาพเห็นไหม? สรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งสัตว์ ท่านรักแมวไหม? ท่านรักสุนัขไหม? ถ้าท่านรักสุนัข รักแมว จงรู้ไว้ ในความคิดของมัน กำลังบอกว่า …

“เมื่อไร เจ้านายจะได้รับร่างกายใหม่สักที ฉันจะได้รับการสร้างใหม่ด้วย”

ทุกอย่างบนโลกใบนี้  ต้นไม้ที่ท่านชอบ ต้นอะไรก็ตาม เขากำลังพูดกับท่านว่า …

“เมื่อไรเธอจะได้รับการสร้างใหม่สักที ปรากฏเป็นร่างใหม่ ที่เป็นสง่าราศี เหมือนพระคริสต์สักที ฉันจะได้รับการสร้างใหม่ ให้เป็นเหมือนสมัยเอเดน ดีกว่าเก่าอีก สง่าราศีสวยกว่าเก่า”

ดอกกุหลาบคงจะดอกเท่าตุ่ม ไม่ใช่มีแค่ 7 สี มันคงมีสีสันมากกว่านั้นเยอะแยะมากมาย

นี่คือสิ่งที่เปาโลมีประสบการณ์ ไปดูมาแล้ว แล้วมาเล่าให้เราฟัง ตื่นเต้นขนาดไหน? แค่นั้นไม่พอ โรม 8:24-25 อ่านต่อไป

โรม 8:24-25 “24 เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน”

 

“แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้นด้วยความอดทน” เราหวังอะไร? เราหวังในร่างใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องมีความกลัว ไม่ต้องมีความวิตกกังวล ไม่ต้องมีบาปมารังควานเราต่อไป เราหวังในสิ่งเหล่านี้ เป็นจริง เราจึงสามารถอดทนได้ เพราะว่ามันมีความหวังในสิ่งที่มองไม่เห็นตอนนี้ แต่ตอนนี้เป็นจริง เปาโลไปเห็นความเป็นจริงมาแล้ว จึงมาบอกเรา ให้เรายึดมั่นในความเป็นจริงนี้ ในความหวังนี้ และมีความอดทน

โรม 8:26-27 “26 ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณทรงช่วยเราในยามเราอ่อนแอ เราไม่รู้ว่าเราควรอธิษฐานขอสิ่งใด แต่พระวิญญาณเอง ทรงอธิษฐานวิงวอนแทนเรา ด้วยการคร่ำครวญ ที่ไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยาย 27 และพระเจ้าผู้ทรงชันสูตรใจของเรา ทรงรู้พระทัยของพระวิญญาณ  เพราะพระวิญญาณทรงอธิษฐานวิงวอน แทนประชากรของพระเจ้า ตามพระประสงค์ของพระเจ้า”

 

ในขณะที่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ พบกับความทุกข์ยาก ปัญหาต่างๆ นานา แม้พระเจ้าจะสถิตอยู่กับเราก็จริง แต่มันทุกข์ มันทุกข์จริง ของจริง ในขณะที่เรามีความทุกข์หนัก เคยไหม? ทุกข์มากๆ สับสน อ่อนแอ ความเชื่อน้อยลง ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? เบื่อพระเจ้า เซ็งพระเจ้า พูดไม่ออก สรรเสริญพระเจ้าไม่ได้ ร้องเพลงก็ไม่อยากร้อง เจอหน้าผู้เชื่อ ก็ไม่อยากเจอ ใครมาอธิษฐาน ก็ไม่อยากจะฟังด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่เราเผชิญอยู่นั้น ให้รู้เลยว่าพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราไม่ทอดทิ้งเรา  เปาโลบอกไม่ทอดทิ้งเรา ความทุกข์ลำบากนั้น มันเป็นเรื่องจริง หลายครั้งในชีวิตจะต้องเจอแน่ๆ มันเป็นเรื่องธรรมดาของความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ที่ปกคลุมไปด้วยบาปแล้ว  และผู้คนอีกมากมายทั้งที่เชื่อและไม่เชื่อ วุ่นวายไปหมด เพราะฉะนั้น วันหนึ่งเราจะมีปัญหาในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นแน่ๆ ว่าพระเจ้าหายไปไหน?  แต่พระเจ้าบอกพระองค์ไม่ได้หายไปไหน? พระองค์ยังอยู่ในเรานั่นแหละ สถิตอยู่ในเรา พระองค์จะเป็นผู้อธิษฐานให้กับเราเอง ขณะที่เราพูดอะไรไม่ออก พูดเป็นคำก็ไม่ได้ อธิษฐานก็ไม่เป็น เบื่อแล้ว พระวิญญาณรู้ว่าน้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับเราตอนนั้นเป็นอย่างไร? จะอธิษฐานแทนเรา พระองค์จะช่วยเราอธิษฐานในสถานการณ์นั้นๆให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ดีกว่าเราอธิษฐานเองอีก

โรม 8:28 “และเรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดี แก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์  คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”

 

และเรารู้ว่าที่เกิดทุกข์ยากลำบากที่วุ่นวาย ปัญหาสับสน กลัว เบื่อ เซ็ง ไม่อยากเข้ามาหาพระเจ้าเลย ซึ่งพระเจ้าไม่ได้ถือสาเลย เป็นส่วนหนึ่งในความทุกข์ยากลำบากของเรา ขณะที่บางวัน เรามีความเชื่อเต็ม ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า อะไรก็ดูดีไปหมดทุกอย่างเลย ในนี้บอกว่าเรารู้ว่าไม่ว่ามันจะเซ็งหรือไม่เซ็ง ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี ในสายตาของเรา ที่เรากำลังเผชิญบนโลกใบนี้ พระเจ้าทรงสามารถ สำคัญตรงนี้ พระเจ้าสามารถกระทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เซ็งบ้าง อะไรต่างๆ เหล่านั้น ทำงานร่วมๆ กัน ให้เป็นผลดีสำหรับชีวิตเราเสมอ อย่างแน่นอน ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วย ตามแผนการของพระองค์ที่วางไว้สำหรับเรา เราไปถึงแผนการนั้นอย่างแน่นอน โดยพระเจ้า ไม่ใช่ตัวเรา

โรม 8:29-30 “29 เพราะบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ล่วงหน้าแล้ว พระองค์ก็ทรงกำหนดไว้ก่อนแล้ว ให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรหัวปี ท่ามกลางพี่น้องมากมาย 30 และบรรดาผู้ที่ทรงกำหนดไว้ก่อนนั้น พระองค์ก็ทรงเรียกด้วย บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเรียก พระองค์ก็ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วย บรรดาผู้ที่ทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงให้รับพระเกียรติสิริด้วย”

 

พระเจ้าผู้ทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าชีวีตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตรงนี้พูดไม่ใช่เป็นส่วนตัว แต่เป็นส่วนรวม แต่สามารถโยงมาเป็นส่วนตัวได้ คือตรงนี้ กำลังพูดถึงผู้ที่พระองค์ทรงแต่งตั้ง เลือกไว้ ก็คือกำหนดไว้ล่วงหน้า คือพระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคน ไม่พินาศ และมาถึงซึ่งความรอดในพระเยซูคริสต์ โดยมีกลุ่มแรกก่อน เรียกว่ากลุ่มชาวยิว หรือพวกอิสราเอล กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่เป็นคนต่างชาติ ไม่ใช่อิสราเอล มนุษย์ทั้งหมด มีอยู่ 2 กลุ่มเท่านั้นเอง

กลุ่มแรกพระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ก็คือเรียกชาวยิว มาก่อน เป็นต้นกำเนิดที่จะติดสนิทกับพระองค์ วางแผนไว้ว่าให้พระเยซูมาบังเกิดในชาวยิว

และกลุ่มที่ 2 ก็คือมนุษย์ที่เหลือทั้งหมดที่ไม่ใช่ยิว ก็เลือกไว้ด้วย ทั้งสองกลุ่มเลือกไว้เพื่อเป็นตามน้ำพระทัยของพระองค์ คือมาเป็นลูกของพระองค์ มาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ มาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ มันหมายถึงอย่างนี้ มาเป็นผู้ชอบธรรม ปราศจากบาปในพระเยซูคริสต์

โรม 8:31-34 “31 เช่นนี้แล้ว เราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้น แก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตา ประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ ก็พระเจ้าเอง ทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้ พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย”

 

“พระองค์ผู้ไม่ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทั้งหลาย พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตา ประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ?”

พูดง่ายๆ ว่าแม้กระทั่งพระเยซูคริสต์ ลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักมาตั้งแต่กำเนิด ตั้งแต่นานแล้ว พระองค์ยังยอมสละให้มาทนทุกข์ทรมาน  เพื่อไถ่บาปเราที่ไม้กางเขน แล้วมีอะไรอีกไหมที่พระองค์จะไม่ให้เรา พระองค์ให้เราทุกสิ่ง สารพัดสิ่ง ให้เห็นถึงความรักของพระเจ้า พระเจ้าคงบอกเปาโลให้มาบอกพวกเราทั้งหลายว่าพระองค์ทรงรักเราแล้ว เรามีค่าในสายพระเนตรของพระองค์เท่าไร? พูดตรงๆ แล้ว มากเท่ากันกับพระเยซูเลย เอาพระเยซูมาแลกยังยอมเลย ท่านลองคิดดูสิว่าคุณค่าของท่านมีเท่าไร? แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ใครจะมาฟ้องร้องบุตรที่พระเจ้าทรงเลือกได้

ในนี้บอกว่า … “และพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว เป็นอยู่ ณ วันนี้แล้ว บัดนี้พระองค์ทรงประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเรา”

มันแปลว่าอย่างนี้ว่าและทรงเป็นผู้แก้ต่าง เป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจในการแก้ต่างให้กับเรา ไม่ว่าเรื่องอะไรต่างๆ นานา ใครบอกเราไม่ดี ใครบอกๆ ไหนๆ พระเยซูที่อยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระเจ้าประทานสิทธิอำนาจให้ทั้งหมด ตั้งแต่เป็นขึ้นจากความตายแล้วนั้น พระองค์กำลังอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า คอยมองดูชีวิตของเรา และใครมาว่าเรา …

“คนนี้เลว”

“เลวที่ไหน ฉันชำระเขาด้วยโลหิตของฉัน ตอนนี้สะอาดหมดจด เป็นน้องฉันแล้ว ถ้าเธอบอกว่าเขาเลว เธอกำลังว่าฉันเลวเหรอ”

สมมติว่ามีทูตสวรรค์ สมมติว่ามีมารมาฟ้องร้อง บอก …

“พระเจ้า นครทำไมเลวอย่างนี้”

“นครเลวได้อย่างไร เขาเป็นเหมือนฉันเลย ถ้าเธอบอกนครเลว ฉันพระเยซูก็เลวด้วยสิ”

มารมันหน้าม้านเลย เห็นไหม? แม้แต่ตัวเราเอง ยังตำหนิตัวเราเองไม่ได้เลย  แม้เราจะบอกว่า …

“ทำไม ฉันเป็นคนเลวอย่างนี้”

“พระเยซูบอกไม่เลว เลวที่ไหน? ถ้าเธอบอกเลว เมื่อไร เธอกำลังว่าฉันนะ เพราะเธอเป็นเหมือนฉันแล้ว เธอกับฉันบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นวิญญาณเดียวกัน เธอบอกตัวเธอเองเลว อ้าว! ฉันก็เลวไปด้วยสิ … น้องเอ๋ย น้องอย่าไปเชื่อมาร น้องไม่ได้เลวตามนั้นหรอก” พอเข้าใจไหม?

“ฉันเป็นคนเลว ดูสิ เป็นผู้เชื่อแล้ว วันนี้ขับรถออกไปข้างนอก ยังว่าเขาอยู่เลย ยังโมโหใส่เขา โกรธเขา ดูสิ ไปด่าเขาเสียๆ หายๆ ฉันทำไมเลวอย่างนี้”

พระเยซูแก้ต่าง … “เฮ้ย! ไม่เลวๆ เลวที่ไหนล่ะ เธอเหมือนฉัน เธอไม่มีวันเลวเลย”

เปาโลไปได้ประสบการณ์ตรงนี้มาจากสวรรค์ กำลังมาบอกเราว่า … “ไม่เลวเลย” … พระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราแล้ว พระเยซูอยู่ในสวรรค์สถานกับพระเจ้า คอยเป็นทนายความ แก้ต่างให้กับเราเสมอในทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น เราเป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักมาก และพระองค์ทรงอยู่ข้างเราตลอดเวลา ไม่มีใครที่ไหน? ที่จะสามารถมาทำร้ายเราได้เลย แม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งตัวเราเอง ยังทำร้ายตัวเราเองไม่ได้เลย

โรม 8:35-36 “35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้ ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบ อย่างนั้นหรือ 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลาย เผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า”

 

พูดง่ายๆ 2 ข้อนี้ สรุปว่าเพราะฉะนั้น ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา รักเรามากขนาดนั้นแล้ว พระเยซูแก้ต่างที่เบื้องขวาของพระเจ้าให้กับเราตลอดเวลา ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก การหลอกลวง การล่อลวงบนโลกใบนี้ ที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ มีใครที่ไหน? ที่จะเอาเราออกไปจากพระเจ้าได้ ไม่มีทาง ในความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ พระเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลา นำพาเราเดินผ่านความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบากเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องความคิด เรื่องความบาป หรือเรื่องความทุกข์ยากลำบาก เมื่อถูกข่มเหงก็ตาม พระเจ้าอยู่กับเรา พาเราผ่านไป  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรเราได้

เปาโลยกตัวอย่างตัวเอง ก็คือความทุกข์ร้อน ยากลำบาก การถูกข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภัยอันตราย คมดาบ ก็คือสิ่งที่อัครทูตเปาโลและอัครทูตยุคแรกๆ ต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เขาบอกว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถแยกเขาออกจากความรักของพระเจ้า ที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้เลย แกะที่นำเอาไปฆ่า ก็หมายถึงว่าเจ้าของมองดูอยู่ เมื่อถึงเวลาของเรา เราต้องจากโลกนี้ไป พระเจ้าก็ดูเราอยู่นั่นแหละ ไม่ต้องห่วงว่าจะไปวิธีใด พระองค์ทรงทราบดี รับได้แน่นอน เมื่อถึงวันเวลานั้น  …

โรม 8:37 “เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย”

 

“เปล่าเลย” คือในสถานการณ์ทุกข์ยากลำบากที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ที่บอกมันหนีไม่พ้น ทุกคนต้องโดน เรา ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต คือไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูทนเหน็ดเหนื่อยอะไรต่างๆ เอาชัยชนะมาให้กับเรา เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย  เห็นไหม? ยังยืนยัน พระองค์ทรงรักเรา อยู่ข้างเรา ข้อ 38-39 ยิ่งชัดเจน จะได้สบายใจ จะได้วางใจในพระเจ้าได้เสียที

โรม 8:38-39 “38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์ หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด  ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

 

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงเลย ข้าพเจ้าจึงมั่นใจ ข้าพเจ้าได้เห็นมาแล้ว พระเจ้าบอกแล้ว มั่นใจได้เลยว่าตราบใดที่ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ตัดสินใจเชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูแล้ว ท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับท่าน และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ท่านเชื่อแค่นี้ พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกเหนือจากนั้น วางใจในพระเจ้า … พระเจ้าบอกให้ท่านจงเชื่อมั่นเลยว่าถ้าท่านทำแค่นั้นแล้ว ท่านก็จะได้รับในฐานะลูกของพระเจ้า ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่จะได้รับร่างกายใหม่ อยู่ในโลกวิญญาณ และจะอยู่ในโลกใหม่ ที่เรียกว่าสวรรค์ใหม่ ในเวลาอันใกล้นี้

ในนี้จึงบอกว่า … “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตาย หรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์ หรือวิญญาณชั่วตัวใดที่จะมาหลอกลวงท่าน ไม่ว่าจะอยู่ในปัจจุบัน หรือในอนาคตก็ตาม หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ คือไม่สามารถเอาเราออกไปจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในวิญญาณได้ ไม่มีทาง เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ตั้งแต่ เมื่อวันที่เรารับเชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เป็นพระมาซีฮาห์ของเรา นั่นแหละวันนั้น เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ และจากวันนั้นมา ก็ไม่มีใครเอาเราออกไปจากวิญญาณของพระเจ้าได้ ไม่มีใครเอาเราออกไปจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ได้ แม้แต่ตัวเราเองก็ยังเอาออกไปไม่ได้เลย เราได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืดในอาดัม มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เรารับเชื่อ ไม่มีใครที่ไหน? ไม่มีมารที่ไหน? การโกหกหลอกลวงจากมารที่ไหน จะมาเอาเราออกไปจากนี้ได้อีกแล้ว เราอาจจะถูกหลอกลวงโกหก ให้มีความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้บ้าง แต่มันไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงความจริงในโลกวิญญาณว่าเราเป็นอย่างนี้  ตามที่พระเยซูคริสต์ได้บอกเราตอนที่พระเจ้าบอกเราผ่านทางเปาโลนี้ได้ ไม่มีทางเลย เอเมน

ไม่มีสิ่งใดที่จะพรากเราออกจากความรักอันอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อเราได้เลย ไม่มีๆ บอกว่าไม่มี เราอาจจะถูกหลอกลวง ล่อลวง เด็กๆ ไม่รู้เรื่อง เป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้ ในการดำเนินชีวิต แต่ในวิญญาณ มันได้สำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว และมันจะเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ในการเป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้รับความรอดเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้น ให้เราวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ เกินกว่าความคิดและความเข้าใจของตนเอง และก็พักสงบ ชื่นชมยินดี และมีความสุขใจ สุขกายในการดำเนินชีวิตให้มากที่สุด มีสันติสุข มีความสงบสุขในการดำเนินชีวิตอยู่ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ในขณะนี้ ก่อนเลย อยู่กับพระเจ้า พระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในฐานะลูกของพระองค์ตั้งแต่ตอนนี้เลย มีสันติสุข มีความสงบสุข สบายกาย สบายใจว่า …

“ฉันเป็นลูกของพระเจ้า อยู่กับพระองค์แล้วตอนนี้ในสวรรค์ แต่รอให้ครบถ้วนบริบูรณ์ เสร็จสมบูรณ์แบบนั้น รอร่างกายใหม่อีกไม่นานเกินรอ”

สรุป ก็คือจงวางใจพระเจ้า และอย่ากังวลในสิ่งใดๆ เลย อย่ากังวลแม้กระทั่งว่าฉันกำลังอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าหรือไม่? เอ๊ะ! ฉันอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าหรือเปล่า? พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำพระทัยพระเจ้า อยู่ในวิญญาณท่านเรียบร้อยไปแล้ว พระหัตถ์ของพระองค์จูงมือท่านเดินอยู่ ทุกเสี้ยววินาที แม้บางครั้ง เราอาจจะล้มลง และบาดเจ็บในความดื้อบ้าง พระองค์ก็ทำแผลให้เรา ปลอบโยนเรา แล้วก็พยุงเราขึ้นมา แล้วก็เดินตามทางของพระองค์ต่อไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ประสบการณ์ที่ผ่านความทุกข์ยากลำบากจะทำให้เกิดความอดทน อุตสาหะ และเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าจะสามารถใช้ได้

เพราะฉะนั้น จงวางใจ เดินไปกับพระองค์ เรียนรู้ด้วยการผิดพลาดบ้าง ด้วยความเผลอบ้าง ไม่เป็นไร แล้วค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ รับรู้ว่าเรากำลังอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าแล้วตอนนี้ นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในเรา วางใจในพระองค์ มั่นใจในความสามารถของพระองค์เถิดว่าพระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีในเราแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จอย่างแน่นอน เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ดังนั้น อย่ากังวลในการตัดสินใจ ไม่ว่าตัดสินใจอะไรก็ตาม อย่ากังวล ทำไปด้วยความเชื่อ

ในวันหนึ่งๆ จะมีการตัดสินใจ เป็นร้อย เป็นพันครั้งในชีวิตของมนุษย์ ตั้งแต่วันนี้ก้าวเท้าซ้ายดี หรือก้าวเท้าขวาดี นี่พูดถึงมนุษย์ทั่วไป  เราผู้เชื่อก็เหมือนกัน จะเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาดี จะทำอันนั้นดีไหม? จะทำอันนี้ดีไหม? เอ๊ะจะอธิษฐานดี หรือไปดูทีวีดีกว่า? จะร้องเพลงนมัสการดี หรือร้องเพลงชาวโลกดี? จะมาโบสถ์ดีหรือไม่ดีวันนี้? จะโกรธดีหรือไม่ดี? มันเยอะแยะไปหมด แล้วอะไรดีหรือไม่ดี อย่าไปคิดมันมากนักเลย พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา นึกถึงพระเจ้าแล้วจะทำอะไรก็เชิญทำไปเถอะ ทำด้วยความเชื่อในข้างในของท่านว่าพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของท่าน ท่านจะตัดสินใจไปไหน? ไปไม่พ้นหรอก วันนี้ตัดสินใจไม่อยากจะมาโบสถ์ ก็ไม่ต้องมา  แต่มาก็ดีนะ  จะได้เป็นเพื่อนกัน

ท่านคิดอยากจะทำอะไรในวันนี้  ขออย่างเดียว คือขอให้ท่านเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  ที่พระเจ้าทรงประทานให้ท่าน เป็นพระเจ้า ที่มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่านเท่านั้น พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระท่าน และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ขอให้ท่านเชื่อครั้งเดียว จากใจจริง แค่นี้เพียงพอแล้ว ที่เหลือไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพระเจ้านำไปเอง แล้วบางทีตัดสินใจผิด ก็ไม่เป็นไร ล้มลงไป เจ็บบ้าง เดี๋ยวพระเจ้าก็พยุงขึ้นมา แล้วก็จะสอนเรา ผิดเพราะอะไร อย่างนี้อย่างนั้น  วันหลังก็อย่าไปทำอย่างนี้นะ โอเค ไป จูงใหม่ เดินไป ก็เป็นประสบการณ์ในชีวิตของเราอีกแล้วครับ อย่างนี้มันสบายใจกว่าไหม? ที่จะมาคอยระแวง …

“นี่น้ำพระทัยหรือเปล่า? วันนี้ฉันทำอะไร?”

ไม่ต้องพักผ่อนกันพอดี ไม่ต้องหายเหนื่อยและเป็นสุข ความเชื่อและวางใจ ที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ มันทำให้เกิดความอดทนนาน พอเกิดความอดทนนาน แล้วเกิดความอุตสาหะ พอความอุตสาหะ ในพระคัมภีร์บอกว่าจะเกิดอุปนิสัยใหม่ เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ที่จะมีกล้ามเนื้อฝ่ายวิญญาณที่เข้มแข็ง ที่พระเจ้าจะได้สามารถใช้ได้ ใช้ในการสำแดงฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ สำแดงแสงสว่างของพระองค์ ซึ่งเป็นความรักของพระองค์ ความเมตตาของพระองค์ออกไปยังบรรดาผู้คนรอบข้างในชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ท่านจะไปไหน ก็สำแดงความรัก สำแดงพระเจ้าออกจากชีวิตของท่าน มันหมายถึงอย่างนี้ มันจะสำแดงออก ตอนที่ท่านทนทุกข์ลำบาก กล้ามเนื้อใหญ่โต ถ้าท่านอยู่สบายๆ แบบโลกใบนี้ ไม่มีโอกาสได้สำแดงหรอก มันจะสำแดงกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของท่านมากกว่า ท่านพอเข้าใจไหม?

เพราะฉะนั้น จงวางใจในพระเจ้าเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ และจงจำไว้ว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเรา คือพระเจ้า เป็นพระเจ้าที่แสนดี อยู่ฝ่ายเราเสมอ และพระเยซูคริสต์ทรงรักเราดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ และอยู่กับเราตลอดเวลา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************