คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2017
เรื่อง “สวัสดีวันเด็ก ปี 2017”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้ถ้าจะให้เข้าบรรยากาศต้องพูดว่าอย่างไร? ใครรู้บ้าง? ต้องบอกว่า “สวัสดีวันเด็ก” ใช่ไหม? แต่มองไป ต้องบอกว่า “สวัสดีคนเคยเด็ก” เพราะส่วนใหญ่เป็นคนเคยเด็กทั้งนั้น เด็กมีไม่กี่คน แต่ว่าพวกเรา ถึงแม้ว่าจะเลยวันเด็กมานานแล้วแต่ บางคนก็บอกว่าเลยวันเด็กมานาน บางคนในที่นี่บอกว่าเลยวัยเด็กมานานนนนนน มากเลย แต่ส่วนใหญ่ก็จะใช้ชีวิตร่วมกับเด็ก บางคนเป็นพ่อแม่ บางคนเป็นปู่ย่า ตายาย ทวด ลุงป้า น้าอาเยอะแยะไปหมดแล้ว มีลูกมีหลาน ต้องอยู่ร่วมกับเด็ก มีใครบ้างที่ไม่มีประติสัมพันธ์ ไม่มีร่วมกับเด็กเลย มีไหม? ไม่มีเนอะ อย่างน้อยก็เป็นอาเป็นน้า
มีไหมสมัยนี้มองดูเด็กๆ แล้วก็บ่น หรือตั้งคำถามว่าอย่างนี้ว่า …
“เด็กสมัยนี้ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้นะ”
หรือไม่ก็ “สมัยเราเด็กๆ ไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย เราตอนเด็กๆ ไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย”
แล้วส่วนเด็กๆ พอผู้ใหญ่บ่น เด็กๆ ก็จะบอกว่า “ผู้ใหญ่นะเอ้าท์ ไม่มีเทรนเลย”
รู้จักไหมเอ้าท์ แปลว่าอะไร? ไม่มีเทรนเลย อะไรก็แล้วแต่ ผมก็ไม่รู้ประมาณนี้ คือพูดง่ายๆ เชย ไม่มีเหตุผล นั่นแหละ แต่เขามีคำศัพท์ของเขา เขาหันตาดูกัน แล้วเขาพูดกันบางอย่าง ผมไม่รู้หรอก แปลว่าอะไร? แต่รู้ว่า “คุณนะเชย” ระวังนะ ใครมีลูก มีหลาน ก็คอยสังเกต ถ้าเขาหันไปซุบซิบ นั่นแหละ แสดงว่าเขากำลังนินทาคุณ
อย่างสมัยก่อน เวลาพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่พูดคำเดียวว่า “ไม่” ทุกคนหยุดหมดเลย ไม่มีใครกล้าเถียง ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง บางครั้ง ก็ไม่พูดด้วยซ้ำ แค่มองตา ชำเรืองนิดหนึ่ง หยุดทันที นั่นมันสมัยโน้นนะครับ แต่เด็กสมัยนี้เป็นไง? ถ้าบอกว่า “ไม่ อย่าทำ” ถึงให้มองตาถลนเลย ก็ยังทำอยู่ ก็จะสวนกลับทันทีเลย พอบอกว่า “อย่า” เขาจะสวนกลับทันทีเลย “ทำไมๆ?” ไม่ใช่ว่าเขาดื้อนะ ทำไม จะให้เขาหยุดทำไม? อธิบายให้เขาฟังสิ มีเหตุผลอะไร? นี่เด็กปัจจุบัน หยุด ก็จะหยุด ไม่ใช่ เดี๋ยวก่อน ฟังก่อน แม่ไม่มีเหตุผลเลย อธิบายก่อนสิ มันคืออะไร? ถ้าสมัยก่อนมีเหรอ โต๋เต๋มีเหรอ ทำไม โดนดิ แต่ตอนนี้ต่อให้มองตาถลน ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
นี่คือปัญหาช่วงวัยของคน Generation gap ที่ทำให้คนในครอบครัว ในสังคมที่มีมุมมองความคิด ความเข้าใจ พื้นฐานการตัดสินใจที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ไม่รัก ไม่ใช่ไม่ชอบ ไม่ใช่ไม่ดี แต่มันไม่เข้าใจกันนั่นเอง ฟังอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร? แต่จริงๆ แล้ว นี่คือปัญหาใหญ่ของครอบครัวและสังคมในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคมคนไทย คนแถบเอเชีย ยิ่งเยอะใหญ่ เพราะคนไทยและคนเอเซียส่วนใหญ่จะอยู่ร่วมกัน แบบครอบครัวใหญ่ๆ มีสมาชิกหลายๆ รุ่นอยู่ร่วมกัน และในสังคมไทยและในสังคมเอเซียก็ยังยึดติดอยู่กับระบบอาวุโส ชนชั้น ค่อนข้างมาก นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน วันเด็กต้องมาคุยเรื่องนี้ เพราะเราต้องอยู่กับเด็กตลอดไป แล้วเราต้องพึ่งเขาในอนาคตด้วย ไม่ใช่พึ่งเขาในอนาคต ตอนนี้ก็พึ่งอยู่แล้วล่ะ
ดังนั้น หากทุกฝ่ายสามารถทำความเข้าใจกันได้ ไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม มันก็ทำให้เกิด เขาเรียกว่า Gap ช่วงวัยที่ต่างกัน มันไม่มีปัญหา มันยังคุยกับพอสื่อกันรู้เรื่อง ถูกหล่อหลอมมาอย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ให้มีพฤติกรรมบ่งบอกถึงความจริงใจซึ่งกันและกัน ตรงนี้เขาหมายความว่าอย่างไร? ไม่ตีความหมายผิดว่าอย่างนี้เรียกว่าดื้อ อย่างนี้เรียกว่าแม่ไม่รัก อย่างนี้เรียกว่าพ่อไม่รัก ตีความหมายผิดหมดเลย อย่างนี้มันก็จะเกิดปัญหา ทำให้สังคมไม่สามารถอยู่ด้วยกัน เป็นครอบครัวใหญ่ๆ
ถามว่า “สังคม” คืออะไร? สังคมเราทุกวันนี้ ก็คือครอบครัว ครอบครัวหนึ่ง ท่านสังเกตสิครับ ครอบครัวเรา ก็คือสังคมหนึ่ง สถาบันครอบครัวเล็กๆ บ้านเรา ก็คือครอบครัว ออกไป มาโบสถ์ ก็คือครอบครัว อยู่ในประเทศไทย ประเทศไทยทั้งหมด ก็คือครอบครัว ไปข้างนอกโลกทั้งหมด ก็คือครอบครัว … ครอบครัวคืออะไร? คือครอบด้วยครัว ก็คือครอบด้วยผู้คนมากมาย มีปฏิสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์ มีความติดต่อกัน แล้วถ้ามันไม่เข้าใจกัน มันเกิดอะไร? มันเกิดปัญหา มันไม่มีความสุข วันนี้จึงเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง สนุกมากเลยนะ
… มีอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้อธิบายไว้ถึงลักษณะของสังคมปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร? ทั้งโลกเป็นอย่างนี้หมดว่าแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม เรียกว่า 4 Generation จำได้ไหม Generation ที่ผมบรรยายเรื่องพระเจ้าว่าในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงครอบครองอยู่ อาณาจักรของพระองค์อยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์ คำว่า “ทุกชั่วชาติพันธุ์” คือ Generation to Generation จาก Generation ไปสู่ Generation หนึ่ง คืออยู่ตลอดเลย พระเจ้าครอบครองและควบคุมบังคับทุกอย่างอยู่ทั้งหมดนี้
คำว่า Generation ไปสู่ Generation น่าจะแปลว่าวัยหรือยุค หรือชั่วอายุก็ได้ พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ชั่วอายุ”
พระเจ้า อาณาจักรของพระองค์ทรงอยู่เหนือ จากชั่วอายุหนึ่งไปยังชั่วอายุหนึ่งตลอดจนนิรันดร์
ชั่วอายุหนึ่ง คืออะไร? เรามาดูนะครับว่าอาจารย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าอย่างไร? แบ่งไว้อย่างไร? มีอยู่ 4 Generation คือ 4 ยุคในปัจจุบัน แบ่งได้เป็น 4 ยุค
กลุ่มที่ 1 หรือยุคที่ 1 หรือเรียกว่า Generation ที่ 1 เป็นกลุ่มที่เป็นผู้อาวุโสในยุคปัจจุบัน เป็นอาวุโสในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เป็นคนนแก่ในยุคปัจจุบันนะ ฟังให้ดีๆ เป็นอาวุโสในยุคปัจจุบัน คือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี พ.ศ.2489 – ช่วงอายุที่เกิดในปี พ.ศ.2507 คืออายุประมาณ 71 – 53 ปี บางคนก็ถามว่าถ้าเกิน 71 ขึ้นไปล่ะ ก่อน 2489 เรียกว่าซุปเปอร์อาวุโส อันนั้นเขาไม่นับแล้ว เหลือน้อย ไม่ใช่เวลาเหลือน้อยนะ แต่คนอยู่อย่างนี้ น้อย เขาเลยไม่นับ
เขาเรียกกลุ่มนี้ว่า “กลุ่มยุคสงครามโลกครั้งที่ 2” กลุ่มอาวุโส ซึ่งประเทศต่างๆ เร่งผลิตประชากรมาช่วยพัฒนาประเทศที่กำลังบอบช้ำจากสงคราม พูดง่ายๆ คือสงครามเกิด ผู้ชายตายไปเยอะ คนตายไปเยอะแยะมากมาย แล้วก็ต้องการคนงานเยอะแยะมาช่วยกันฟื้นฟูประเทศ ก็เลยเชียร์กันให้มีลูกเยอะๆ เขาเรียกกันว่ายุคลูกดก ภาษาอังกฤษจะชัดมาก เขาเรียกว่ายุค “Baby Boomer (ยุคลูกดก)” คือยุคที่ยุให้มีลูกเยอะๆ หรือภาษาในปัจจุบันเรียกยุคนี้ว่า Gen B
คนที่อายุ 53 ขึ้นไป เรียกว่ายุค Gen B ซึ่งคนในยุคนนี้จะได้เห็นความลำบากลำบนของพ่อแม่ เพราะเกิดสงคราม เห็นความแร้นแค้นของพ่อแม่ จึงทำให้เกิดความอดทนสูง สู้งาน ใช้ชีวิตเรียบง่าย เป็นคนที่เก็บออม มากกว่าการใช้สอย ถูกหรือไม่ถูก? ถูก ถูกมาก แล้วเก็บไว้ให้ใคร?
และเนื่องจากในยุคนั้น ใน Gen B ยังไม่เทคโนโลยีทันสมัย เหมือนปัจจุบัน ความรู้ต่างๆ จึงตกอยู่กับชนชั้นผู้นำ หรือชั้นปกครอง ที่เรียนมาเยอะๆ เรียนจากเมืองนอกบ้าง อะไรบ้าง? จึงทำให้คนในยุค Gen B ยังยึดถือในระบบชนชั้น รับฟังคำสั่งจากผู้นำ หรือหัวหน้างานที่มีความรู้มากกว่าตัวเอง เป็นอย่างนั้นจริงๆ
กลุ่มที่ 2 เรียกว่า Generation X หรือ Gen-X ซึ่งเป็นคนวัยทำงานในปัจจุบันเกิด พ.ศ.2508 -2522 คืออายุประมาณ 52 – 38 ปี กลุ่มนี้เรียกว่า Gen-X เป็นผลจากการผลิตประชากรล้นในยุคก่อนหน้า เสียใจหรือดีใจไหมรู้ เป็นผลจากการผลิตประชากรจนล้นในยุคก่อน จึงมาเริ่มคุมกำเนิดในยุคนี้ ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีเริ่มทันสมัย และแพร่หลายมากขึ้น ทำให้คนกลุ่มนี้ เริ่มมีความอดทนน้อยลง และมักจะตั้งคำถามว่า …
“ทำไม ชีวิตต้องทน”
ในเมื่อมีโอกาส และตัวเลือกมากขึ้น ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นนั่นเอง เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะในบ้านมีลูกน้อยกว่าแต่ก่อนนี้ มี 2 คน แต่ก่อนนี้มีตั้งนานคน Gen ก่อนหน้านี้ คนในยุคคนนี้ยังทำงานด้วยตัวเอง ยึดระบบชนชั้นเหมือนกัน แต่น้อยลงแล้ว เก็บออมและใช้เท่าที่มี เลือกทำงานที่ชอบ รักอิสระ และเริ่มมีความคิดสร้างสรรแบบออกนอกกรอบ ถูกหรือไม่ถูก?
กลุ่มที่ 3 Generation Y หรือ Gen-Y เป็นวัยนักศึกษาจนถึงเริ่มทำงาน ในยุคปัจจุบันนี้ เกิดพ.ศ.2523 – 2540 อายุ 37 – 20 ปี Gen-Y คนกลุ่มนี้เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยและแพร่หลายแล้ว ทำให้มีความอดทนน้อยลงไปอีกกว่า Gen-X สมาธิสั้น มักเปลี่ยนงานบ่อย คน Generation จะไม่ชอบเรื่องชนชั้นแล้วคราวนี้ ทั้งในเรื่องการทำงาน และการใช้ชีวิต เด็กยุคนี้ชอบการทำงานที่เป็นทีมเวิร์ค ทำงานร่วมกันมากกว่าการฟังคำสั่งจากหัวหน้างานคนเดียวหรือฟังจากผู้นำอย่างเดียว และไม่ชอบการบังคับขู่เข็ญจากพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ เข้าใจไหม? นี่พูดแทนวันเด็กนะ วันนี้วันเด็ก พูดให้เขาหน่อย เด็กที่อายุโตแล้ว ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปจนถึงอายุ 37 เขาบอกว่า …
“เขาไม่ชอบการบังคับขู่เข็ญจากพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่” เข้าใจไหม?
กลุ่มที่ 4 Generation Z หรือ Gen-Z เกิดหลัง พ.ศ.2540 จนกระทั่งหนึ่งวัน เมื่อวานนี้ อายุตั้งแต่ 19 ปีลงมา เขาเรียกว่า Gen-Z ในบ้านเรามีเยอะนะ เป็นกลุ่มวัยตั้งแต่แรกเกิดถึงมัธยมศึกษา คนกลุ่มนี้ เกิดมาด้วยการเลี้ยงดูที่เพียบพร้อม รายรอบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และแพร่หลาย เพียงกระดิกนิ้ว ก็ได้สิ่งของที่ต้องการ ทำให้คนกลุ่มนี้ มักทำในสิ่งที่ชอบ รักความสะดวกสบาย ไม่ชอบพิธีการ
“ฉันชอบโบสถ์ แต่ฉันไม่ชอบพิธีการ อาจารย์อย่ามากเกิน”
และรุ่นนี้ Gen-Z เขาสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เราบอกอ่านหนังสือ แล้วยังฟังเพลงอีก แล้วยังแถมเล่นเกมส์ไปด้วยในตัวพร้อมกัน แล้วจะไปรู้เรื่องได้อย่างไร? สมัยพ่อไม่เป็นอย่างนี้เลย เดี๋ยวนี้เขาเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น เพื่อนทำ 5 อย่างเลย ล้างชามไปด้วย ล้างชาม เล่นไลน์ โอ๊ย! ทุกอย่างเลย ดูแลไปในตัว ทำได้ แต่เราสมัยก่อน ไม่ได้ นี่คือความสามารถผิดกัน
กลับมาที่คำถามว่า … “วัยรุ่นสมัยนี้ ทำไมไม่เชื่อฟังพ่อแม่” …
ก็เพราะคนยุคนนี้ ไม่ชอบเรื่องชนชั้นไง เพราะฉะนั้น หากพ่อแม่ หรือผู้ปกครองปรับวิธีการเลี้ยงดูให้เด็กรู้สึกว่าเหมือนเป็นเพื่อน มากกว่าความเป็นพ่อแม่ เด็กก็จะค่อยๆ เปิดใจเข้าหา จะเห็นว่าหากบ้านใดที่ผู้ใหญ่ฟังเด็กมากๆ บ้านนั้น เด็กก็จะรักผู้ใหญ่มาก ใช่ไหม? เราต้องเข้าไปเป็นเพื่อนเขา ไม่ใช่เข้าไปเหมือนแต่ก่อนนี้แล้ว มันคนละยุคแล้ว ผู้ใหญ่บางคนมักคิดว่าตัวเองอาบน้ำร้อนมาก่อน พยายามยัดเยียดความเป็นตัวเองให้กับเด็ก แต่ปัจจุบัน สภาพการมันไม่ได้เป็นไปตามนั้นแล้ว มันเปลี่ยนไปแล้ว หากยังฝืนยึดความเห็นตัวเองเป็นใหญ่ แล้วก็ยัดเหยียดอย่างนั้นให้เด็ก ผู้ใหญ่อาจกลายเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมของเด็ก และเขาจะหันไปสนใจสมาท์โฟน คอมพิวเตอร์ อะไรแล้วแต่เยอะแยะไปหมด เขาไม่สนใจคุณ เขาก็คิดคุณเหมือนสภาพแวดล้อม เหมือนต้นไม้ มันจะเป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ไม่รัก ความเป็น Gep คือสื่อสารกันไม่เข้าใจ
นี่คือวันเด็กนะ จึงเอามาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเราจะได้ปรับตัวให้เข้ากับเขา จะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
และคำถามที่ว่า … “ทำไมเด็กสมัยนี้ ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบทำอะไรหลายๆ อย่าง บางครั้ง อ่านหนังสือไปด้วย ฟังเพลงไปด้วย ทำอะไรไปด้วย”
อาจารย์ท่านนี้บอกว่าตรงนี้ก็เป็นเพราะความสามารถของคนยุคนี้ ความสามารถมันพัฒนาขึ้น มีความสามารถทำอะไร? หลายๆ อย่างเวลาเดียวกัน คือพัฒนาขึ้น แต่ละยุคพัฒนาขึ้น เขาสามารถทำได้ ยิ่งเป็นสิ่งที่เขารักด้วย เขายิ่งทำให้มากหลายอย่าง และแม้จะทำหลายอย่าง ผลงานก็ออกมาดี ซึ่งผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ผู้ใหญ่ควรจะเข้าใจสิ่งนี้ เขาทำได้หลายอย่าง
คิดดูนะ บางทีผมก็งงเหมือนกันนะ “โต๋จะเป็นนักเล่นเปียโน ดูแลนิ้ว สมัยพ่อนะ เล่นเปียโน แล้วทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ต้องไปฝากธนาคารไว้ แล้วก็ประกันภัยชีวิตของนิ้ว นิ้วหักไม่ได้ ไปไหนต้องระวัง”
นี่มีที่ไหน? เล่นเปียโน ไปเล่นบาส … บาสกับเปียโนสมัยก่อน มันไม่ได้กันเลยนะ ห้ามเด็ดขาด เป็นสิ่งที่ห้ามเด็ดขาด เป็นเรื่องจริง อะไรที่เกี่ยวกับนิ้ว นิดหนึ่งก็ไม่ได้ แต่กันนี้ไปเล่นบาส แตะลูกบอล แค่นั้นไม่พอ วันดีคืนดีเตะบอลอีก เตะบอล อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นเยอะ
“โธ่ พ่อ โต๋เตะแบบพอมันส์”
พอมันส์ เตะอย่างไง ลูกบอลจะสั่งมันได้เหรอ เตะกับกลุ่มคนที่ไม่รุนแรง อะไรประมาณนั้น เขาดูแลตัวเองได้ แค่นั้นไม่พอ ไปฟิตเนตอีกต่างหาก จะเอาเวลาที่ไหนไป ยกเวต แค่นั้นยังไม่พอ จำไม่ได้ เยอะเหลือเกิน ผมจำไม่ได้ แต่เขาทำได้ แต่เป็นนักเล่นเปียโน
ทุกคนมาถาม ลูกเล่นเปียโน เก่งจังเลย ไม่กล้าพูดกับเขา ไม่ได้ซ้อมเลยครับ นี่เรื่องจริง แต่เขาทำได้ เขาไม่เหมือนคนในยุคก่อน ไม่ใช่เขาเก่งหรือไม่เก่ง เขาเป็นคนในยุคนี้ ไม่ใช่ยุคผม ยุคผมวันทั้งวันเล่นแต่กีต้าร์ เล่นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะต้องซ้อมแต่กีต้าร์ เพราะยุคผมได้แค่นั้น ตอนนี้เลยมา 2 ยุคแล้ว มาถึงยุคเขา เขาทำได้หลายๆ อย่าง ไม่ใช่ว่าเก่งหรือไม่เก่ง แต่เพราะเป็นคนในยุคนี้ เราต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ผมก็ต้องบอกว่า …
“ไม่ได้ อยากจะเล่นดนตรี ก็ต้องเล่น เปียโนต้องดูแลให้ดีๆ อย่าไปทำอย่างอื่น”
เขาก็อึดอัดๆ ไม่ใช่ มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว เขาทำได้ ต้องไว้ใจเขา แรกๆ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ทุกวัน ต้องบ่นกันทุกวัน
“เล่นเปียโนต้องระวังนิ้ว”
เขาก็ไปเล่น ดึกดื่นไปเตะบอล คิดดูสิ เขาไปเตะบอลที่สนามบอล ตอนไหน? สมัยก่อน เราก็เตะตอนตี 5 … 6 โมงเช้า 8 โมง นี่เขาไปเตะตอนไหนรู้ไหม? 4 ทุ่ม เขาว่างตอนนั้น เพราะก่อนหน้านั้น เขาไปทำอย่างอื่นเยอะแยะไปหมด เขาว่างตอนนี้ เพราะเพื่อนๆ เขาว่างตอนนี้ เตะตอน 4 ทุ่มจนถึงเที่ยงคืน ตี 1 เตะจริงๆ อย่างนี้ แล้วตอน 2 ทุ่มอยู่ไหน? อยู่ที่สนามบาส เล่นบาส อย่างนี้ แล้วที่เขาไปเตะบอล สนามหญ้าเทียม เขารู้จักหญ้าจริงไหม? ไม่รู้จัก เขามองสนามเขาก็รู้ว่าหญ้าเทียมยี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้ ราคาเท่าไร? พอไปเจอหญ้าจริงๆ อะไรอ่ะ
ความแตกต่าง แตกต่างขนาดไหน? ท่านเห็นไหม? ถ้าเราไม่เข้าไป พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ไม่เข้าไปอย่างนี้ ท่านจะถูกเอ้าท์ไปเรื่อยๆ ถูกทิ้งไปเรื่อยๆ ไกลๆ แล้วท่านก็จะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง แล้วไม่มีโอกาสที่จะชี้แนะแนวทางอะไรบางอย่าง ที่ท่านคิดว่าดี หรือว่าประสบการณ์ของท่าน ในทางที่เขาสามารถรับได้ให้กับเขาอีกต่อไป เพราะคุยกันไม่รู้เรื่องนั่นเอง
อาจารย์สรรเพชร ชัยสิริยะสวัสดิ์ จึงเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ให้ข้อสรุปไว้อย่างนี้ว่า …
“คนแต่ละรุ่น มีความคิดและพฤติกรรมที่ต่างกัน แน่นอนเวลาทำอะไร อาจจะดูขัดหูขัดตา แต่ก็อยากให้รู้และเข้าใจธรรมชาติ เพื่อการอยู่ร่วมกันที่ดีของสังคม”
สรุปท้ายตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจ อย่าไปบ่นเขา เวลาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ อยู่กับแม่ทุกวัน อยู่กับพ่อทุกวัน เวลาเรียกกัน ส่งไลน์มาเรียก ลงมากินข้าว แทนที่จะมาพูด เวลาจะไป ก็พ่อไปแล้วนะ ไม่ได้พูดนะ ส่งไลน์มา
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์แม่”
เมื่อเช้าก็เจอ แทนที่จะพูด ไม่พูด ส่งไลน์มาแฮปปี้เบิร์ดเดย์
แล้วส่งอะไรมาอีก “รักนะจุ๊บๆ”
ก็จูบจริงๆ ก็ได้ เจอกันทุกวัน เดี๋ยวเย็นนี้ก็มาจุ๊บสักนิด ไม่ได้เดี๋ยวลืม ตอนกลางคืนมากลับดึก แม่นอนแล้ว
เราต้องเข้าใจ ไม่ใช่ทำเป็นงอน “ลูกไม่เข้ามาหาเลย แต่ก่อนนี้ยังมา”
เขาโตแล้ว เขาก็ไปของเขาสิ “เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมาหาเลย แต่ก่อนยังมาสวัสดี ตอนนี้ส่งแต่ไลน์มา”
ไม่รับไลน์ เดี๋ยวอีกหน่อย เขาไม่ส่งไลน์ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ฝึกหัดเล่นไลน์ ถ้าแม่ไม่มีไลน์ เขาก็ไม่มีจะส่งให้ เพราะฉะนั้น เราต้องไปฝึกเล่นไลน์ เพื่อเขาจะส่งต่อ คุยกับเราได้บ้าง เอเมน ขอให้มีความสุขกับวันเด็ก วันครอบครัวนะครับ
****************************