คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง
เรื่อง “ท่านคิดว่าพระเจ้าโหดร้ายจริงหรือ” ตอน 2
วันที่ 19 พฤษภาคม 2020
สวัสดีค่ะพี่น้องที่รักในพระเยซูคริสต์ทุกท่าน วันนี้เป็นคลิปต่อจากครั้งที่แล้ว เรื่องอานาเนียกับสัปฟีรา
เรามีข้อสงสัยกันนะคะ ถ้าเราบอกว่าพระเจ้าไม่โหดร้าย ดิฉันมั่นใจว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ที่ฆ่าอานาเนียและสัปฟีรา แล้วอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้น?
ดิฉันก็ได้ถกกันกับพี่น้องผู้รับใช้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมอานาเนียและสัปฟีราถึงตกใจตายไปเลย เรามีข้อสงสัยว่าอานาเนียกับสัปฟีรานั้น เป็นผู้เชื่อจริงหรือเปล่า? เขามาร่วมงาน มาสมัครสมานสามัคคีกับผู้เชื่อ โดยมีเปโตรเป็นผู้นำในเวลานั้น ในกลุ่มนั้น แล้วอานาเนียกับสัปฟีราก็ขายที่ดิน แล้วก็เอาเงินที่ดินมาถวาย แต่ข้อสังเกตคือเปโตรบอกว่าอานาเนียทำไมถึงให้ซาตานครอบงำจิตใจ ทำไมถึงทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องนั่นเอง ที่โกหกว่าเงินที่เอามาถวายนั้น เป็นเงินทั้งก้อนของการขาย เพราะว่าการขายที่ดิน การมีทรัพย์สมบัติอะไรก็ตาม พระเจ้าไม่มีกฎเกณฑ์ที่จะเอาอะไรจากท่านเลย เพราะพระเยซูไถ่หมดแล้ว ไม่มีการสาปแช่งว่าทำไม่ถูกอย่างโน้นอย่างนี้ ความรอดก็มาโดยพระโลหิตไถ่ของพระเยซู เราตายกับพระเยซูที่ไม้กางเขน ตั้งแต่วันที่พระเยซูถูกตรึง แล้วพระเยซูไม่ได้ตายเปล่าๆ พระองค์เป็นขึ้นมา พระองค์ก็นำเรากลับคืนมากับพระองค์ พระเยซูด้วย ดังนั้น ก็ไม่มีเรื่องของการปรับโทษ ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่คนที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ จึงเป็นที่น่าสังเกตและน่าคิดว่ามันไม่ใช่การลงโทษของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันไม่ใช่การลงโทษที่มาจากพระเจ้า
เราคิดว่าถ้าอาจารย์เปโตรมองเห็นภายในว่าอานาเนียกับสัปฟีรานั้น อยู่ภายใต้การนำของซาตานหรือมาร ไม่ใช่การนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แสดงว่าเขาก็เป็นเช่นเดียวกับยูดาส ที่อยู่ในการนำของซาตานหรือมารตลอดเวลาที่ร่วมงานกับพระเยซู
แล้วสิ่งที่น่าคิด ก็คือยูดาส พี่น้องคงจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อมาเรียเหมือนกัน ได้เอาน้ำหอมชโลมเท้าพระเยซู แล้วเอาผมมาเช็ดเท้าพระเยซู แล้วยูดาสก็บอกว่า …
“น้ำหอมแพงๆ อย่างนี้ เอามาเททิ้งเปล่าๆ ได้อย่างไร? เอาไปขาย จะได้เอาเงินไปช่วยคนจน”
เบื้องหลัง ก็คือว่ายูดาสอยากได้เงินเยอะๆ ไว้ในถุงใส่เงินของเขา เพราะเขาเป็นคนถือเงินของกลุ่ม เป็นเหรัญญิกกลุ่มก็ว่าได้ และเราก็เห็นชัดว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่ง มารก็เข้าสิงยูดาสและทำร้าย โดยการให้เขามาจับพระเยซูไปตรึง
แล้วสิ่งที่น่าสนใจและชัดเจนว่าเขาอยู่ใต้อำนาจของมารจริงๆ ก็คือว่ายูดาสไม่ได้กลับใจ แม้ว่าเขาจะเสียใจในการกระทำของเขา แทนที่เขาจะมาขอพระเจ้าเมตตา ให้พระเจ้ายกโทษ กลับใจใหม่ เขาก็ไปฆ่าตัวตาย
เรื่องของอานาเนียกับสัปฟีราน่าจะคล้ายคลึงกัน เพราะว่าคนที่มาร่วมขบวนการอยู่ในผู้เชื่อ ไม่ได้แปลว่าเชื่อจริงๆ บางคนก็มาลองดู บางคนก็มาดูว่ามีอะไรดีๆ แต่อานาเนีย สัปฟีราก็อาจจะหวังว่าจะได้เป็นคนดูแลการเงินก็ได้ ถ้าเอาเงินมาวางเยอะๆ แล้วทำตัวเหมือนกับว่าศักดิ์สิทธิ์ ฉันอุทิศถวายหมดทุกอย่างแล้วนะ ให้หมดเลย ฉันคงเป็นที่ยอมรับ เขาอาจจะคิดอย่างนั้น อาจจะได้ตำแหน่งที่ดี ในการดูแลคนผู้เชื่อ ในการจัดสรรเงินของผู้เชื่อ ก็เลยทำแบบนี้ ทำตามกิเลสนั่นเองว่าอยากจะได้เป็นใหญ่ อยากจะได้เป็นผู้นำ อยากจะได้เป็นคนสำคัญ เป็นที่ยกย่องผู้คนทั้งหลายรู้ว่าเอาเงินก้อนโตมาถวาย ต้องเป็นที่เคารพนับถือของผู้คน ของผู้เชื่อ แม้แต่อัครทูต แต่อัครทูตตรงกันข้าม ไม่ได้นับถือ แต่ประจานเลยว่าท่านอยู่ใต้อำนาจของมาร
ถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างไร? ในความคิดที่เรียกว่าสภาพจิตใจของมนุษย์ เวลาถูกจับโกหกได้ เวลาถูกจับผิดได้ ตกใจมาก ดิฉันก็เชื่อว่าทั้งอานาเนียและสัปฟีราตกใจจนช็อคคิดว่าตัวเองวางแผนไว้ดีแล้ว แต่กลายเป็นว่าโกหกพระเจ้าไม่ได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์บอกอาจารย์เปโตรว่าสิ่งที่เขาเล่าว่าถวายทั้งหมดนั้นไม่จริง แค่เพียงส่วนเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พี่น้องต้องเข้าใจว่าไม่ได้หมายความว่าเรามีอะไร เราก็ต้องเอามาถวายหรือบริจาคให้ทั้งหมด พระคัมภีร์บอกว่ามันเป็นของท่าน ท่านจะให้เท่าไร จงให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ด้วยฝืนใจ แต่จงให้ด้วยเต็มใจ พระเจ้าจึงจะอวยพร เต็มใจให้แค่นี้ ก็บอกว่าแค่นี้ ก็จะไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่มันต้องมีแรงบันดาลใจ หรือมีแรงผลักดันเบื้องหลังว่าอยากจะเป็นใคร? อยากจะให้เงินที่ถวายไปก้อนนี้ ผลักดันให้ตัวเอง มีตำแหน่ง มีหน้ามีตา เป็นที่ยอมรับนับถือของกลุ่มคนนี้ ดังนั้นเมื่อทำลงไป มันถูกจับได้ ก็ตกใจช็อค
ดิฉันเคยเล่าไว้ในสมัยก่อนๆ ว่าวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าร่างกายของเราเป็นไฟฟ้า 1 เซล มี 7 ล้านโวลต์ เพราะฉะนั้น ร่างกายของแต่ละคนเป็นไฟฟ้าแรงสูงมากเลย แต่ไม่ได้มีความเสียหาย หรือทำร้ายใคร เพราะพระเจ้าสร้างเรามาอย่างนั้น แล้วในวิทยาศาสตร์วงการแพทย์ก็บอกว่าเวลาที่เราช็อคตกใจ สามารถจะเกิดไฟฟ้าลัดวงจร แล้วไฟฟ้าลัดวงจรทำให้ตายได้ ธรรมดาแล้วไฟฟ้าเดินอยู่ปกติในร่างกายเรา ไหลเวียน ดูแลเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย แล้วก็มีสายดิน คือขาเราไฟฟ้าจะลงปลายเท้าลงดินไป เราก็จะปลอดภัย ไม่มีการช๊อตอะไร แต่ถ้าตกใจมากๆ ก็จะมีอาการเกิดขึ้น คือกระแสไฟนั้น แทนที่จะลงดิน กลับพุ่งไปที่หัวใจเลย พอพุ่งไปที่หัวใจเลย เรียกว่าตายทันทีได้ อันนี้ทางการแพทย์บอกไว้
ดังนั้น ดิฉันเข้าใจว่าน่าจะสรุปได้ว่าอานาเนียกับสัปฟีรา ช็อคสุดขีด ถูกจับได้ ถูกจับโกหก เตรียมจะวางแผนเป็นใหญ่ เป็นผู้ดูแลการเงิน ลงทุนไปก่อน เดี๋ยวเอาคืนทีหลัง หยิบคืนทีหลัง ถ้ามีโอกาสเป็นใหญ่ในกลุ่มนี้ แผนไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย เพราะว่าพระเจ้าทรงทราบ พระเจ้าจับโกหกได้ก่อน เขาก็ช็อคตกใจทั้งสามีภรรยาตายคาที
ดังนั้น ดิฉันก็ขอยืนยันว่าความรักของพระเจ้ามั่นคง ยืนยงเป็นนิตย์ พระเจ้ายกตัวอย่าง บุตรน้อยหลงหาย ก็คือให้รู้ว่าความรักของพระเจ้าประเสริฐ นิรันดร์และถาวร เป็นลูกก็เป็นลูกตลอด จะผิดบาปชั่วดีอย่างไร ก็รัก และพร้อมที่จะรับกลับคืน กลับบ้าน ถ้าอานาเนียกับสัปฟีราเป็นลูกพระเจ้าจริง เชื่อพระเจ้าจริง ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาจริง ก็หมายความว่าพระเจ้าต้องไม่ทำร้าย แต่ที่เขาตายไป ก็เป็นเรื่องของตัวเขาเอง ที่ทำร้ายตัวเอง เหมือนคนที่ป่วยเป็นโรค NCD คือโรคที่เกิดจากความเสียหายที่เราทำตัวเราเอง เช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ มะเร็ง พวกนี้เป็นโรคที่เกิดจากเราทำตัวเอง เหตุการณ์นี้ก็เหมือนกัน ก็ไม่ต้องมีคนอื่นมาทำ เท่ากับว่าอานาเนียกับสัปฟีราก็ทำร้ายตัวเอง ไฟฟ้าลัดวงจร แทงเข้าหัวใจ ตายคาที
ขอพระเจ้าเมตตาให้เราเข้าใจและรู้จักแยกแยะว่าอะไรมาจากอะไร? ไม่ใช่ทุกอย่าง เราโทษพระเจ้าผู้เดียวหมดเลย เกิดอะไรไม่ดี ก็พระเจ้าลงโทษ เกิดอะไรไม่ดี ก็พระเจ้าสาป ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ใหม่ เราต้องยืนยันให้ได้เลย ยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าพระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าประทานพระคุณให้เรา อภัยตั้งแต่ 2,000 ปีแล้ว ที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน อภัยให้เรา และจบเลย ไม่มีถือโทษโกรธอีก การกระทำของเราที่ไม่ถูกต้องในโลกนี้ ก็สิ่งใดที่หว่านออกไป ก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ผลมันจะกลับมาเป็นบทเรียนให้เรา แก้ไขตัวเอง แต่ไม่ใช่พระเจ้าลงโทษ ขอพระเจ้าเมตตาค่ะ
**************************