คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง เรื่อง “ท่านคิดว่าพระเจ้าโหดร้ายจริงหรือ” ตอน 1 วันที่ 8 พฤษภาคม 2020

คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง

เรื่อง “ท่านคิดว่าพระเจ้าโหดร้ายจริงหรือ” ตอน 1

วันที่ 8 พฤษภาคม 2020

 

สวัสดีค่ะพี่น้องที่รักในพระเยซูคริสต์ทุกท่าน วันนี้ดิฉันอยากจะหนุนใจ ในเรื่องของความกลัว  พี่น้องคงได้ยินแล้วว่าพระองค์ไม่ได้ให้วิญญาณแห่งความกลัว แต่ให้วิญญาณแห่งความรัก  วิญญาณแห่งความคิดจิตใจที่ดีแก่เรา แต่มีข้อพระคัมภีร์อยู่ตอนหนึ่งที่เป็นที่น่าวิตกกังวลของพี่น้อง คริสเตียนหลายท่านทีเดียว ถ้าเราไม่เข้าลึกถึงบริบท หรือความจริงเรื่องของถ้อยคำพระเจ้า ถ้าเราอ่านผิวเผิน  เราก็จะตกใจ เราก็จะคิดว่าพระเจ้าโหดร้าย  พระเจ้าฆ่าใครก็ได้ อย่างนั้นหรือ?  เชื่อแล้ว ก็ยังน่ากลัวขนาดนั้นหรือเปล่า?

ในหนังสือกิจการ เป็นการพูดถึงการเริ่มต้นของคริสตจักรและข่าวประเสริฐที่อัครทูตพากันประกาศ  เราดูกิจการบทที่ 5 กัน เรื่องของคู่สามีภรรยา ที่ชื่ออานาเนียกับสัปฟีรา ดิฉันจะอ่านให้ฟัง แล้วคุยให้พี่น้องเข้าใจว่าคืออะไร?

กิจการ 5:1-11 “1 มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับสัปฟีราภรรยาของเขา ก็ได้ขายที่ดินผืนหนึ่งด้วย 2 เขาได้เก็บเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่อตนเอง ซึ่งภรรยาของเขาก็รู้ดี แต่นำเงินที่เหลือมาวางแทบเท้าของอัครทูต 3 แล้วเปโตรจึงกล่าวว่า “อานาเนียเอ๋ย เหตุใดซาตานจึงครอบงำใจของท่าน จนท่านมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเก็บเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้ เพื่อตัวท่านเอง? 4 ก่อนที่จะขายที่ดินนี้เป็นของท่านไม่ใช่หรือ? เมื่อขายแล้วเงินก็อยู่ในอำนาจของท่านไม่ใช่หรือ? อะไรหนอทำให้ท่านคิดทำเช่นนี้? ท่านไม่ได้มุสาต่อมนุษย์ แต่มุสาต่อพระเจ้า” 5 เมื่ออานาเนียได้ยินเช่นนี้ก็ล้มลงสิ้นชีวิต คนทั้งปวงที่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกรงกลัวยิ่งนัก 6 แล้วพวกคนหนุ่มจึงออกมาห่อศพเขาและนำออกไปฝัง

7 หลังจากนั้นราวสามชั่วโมง ภรรยาของเขาก็เข้ามา โดยที่ยังไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้น 8 เปโตรถามนางว่า “จงบอกเราเถิด ท่านกับอานาเนียขายที่ดินได้เงินเท่านี้หรือ?” นางตอบว่า “ใช่ ได้เท่านี้เจ้าค่ะ” 9 เปโตรจึงกล่าวกับนางว่า “เหตุใดท่านจึงเห็นพ้องกัน ที่จะลองดีกับพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า? ดูเถิด! เท้าของบรรดาผู้ฝังศพสามีของท่านก็อยู่ที่ประตู และพวกเขาจะหามท่านออกไปด้วย” 10 ทันใดนั้นเองนางก็ล้มลงสิ้นชีพแทบเท้าเปโตร เมื่อเห็นว่านางตายแล้ว พวกคนหนุ่มก็เข้ามาหามศพออกไปฝังข้างสามีของนาง 11 ทั่วทั้งคริสตจักรและคนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์เหล่านี้พากันเกรงกลัวยิ่งนัก”

 

พี่น้องอาจจะรู้สึกว่านี่มันคืออะไร?  พระเจ้าต้องเป็นอะไรที่เราต้องตัวสั่น ไม่กล้าเข้าใกล้อะไรแบบนี้หรือเปล่า?

ซึ่งไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้าทั้งหมดที่พระองค์เรียกเราว่าลูก ที่พระองค์คร่ำครวญถึงความรักที่มีต่อเรา ที่พระองค์ถึงกับยอมส่งพระบุตร มาสิ้นพระชนม์ ตายบนไม้กางเขน  รับโทษ รับบาปของเราไป แล้วพระเยซูก็เป็นขึ้นมาใหม่ มีชีวิตอยู่ในพวกเรา พี่น้องสงสัยไหม? ดิฉันเคยสงสัย แต่ไม่กล้าถามใคร? แต่วันนี้ดิฉันเข้าใจเหตุการณ์นี้แล้ว

พี่น้องสังเกตดูนะคะ ดิฉันเคยเล่าให้พี่น้องฟังว่าสาวกของพระเยซูคริสต์ มี 12 คน 11 คนปกติดี เดินตามทางของพระเจ้าด้วยความหวัง ด้วยความเชื่อฟัง แต่มี 1 คนที่ทรยศ  ใครก็ตามที่ทรยศ ไม่ได้หมายความว่าฉับพลันนั้น รู้สึกทรยศเลย  ต้องทำให้มันสะใจหรือเดินตามเกมที่ไม่ใช่ทางของพระเจ้า พี่น้องทราบไหมค่ะ เรามาดูข้อนี้นะ ข้อที่ 3 เปโตรถามอานาเนียว่า …

          “ทำไมซาตาน จึงควบคุมใจของเจ้าให้โกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์”

พี่น้องนึกภาพออกไหมค่ะว่าใครที่ซาตานจะควบคุมใจของเขาได้? ก็คือคนของซาตานนั่นเอง คนของพระเจ้า ซาตานควบคุมไม่ได้ พระเจ้าบอกว่ามาแตะต้องผู้เชื่อไม่ได้  เพราะว่าพระเจ้ารักเรา  พระเยซูถึงบอกว่าใครจะมาหยิบฉวยเราผู้เชื่อ ลูกของพระองค์ คนของพระองค์ ออกไปจากพระองค์ก็ไม่ได้ พระองค์ไม่อนุญาต แล้วอยู่ดีๆ ถ้าเป็นคนของพระเจ้า  ทำไมซาตานจึงคุมใจของอานาเนียได้  แปลกไหมค่ะ แล้วถ้าพูดถึงคนที่ทรยศต่อพระเยซู ยูดาสทรยศต่อพระเยซู หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าซาตานเข้าครอบครองใจเขา ควบคุมจิตใจเขา เขาจึงทรยศต่อพระเยซู นี่ก็เป็นข้อคิดอันหนึ่ง ที่พระเยซูและพระเจ้าให้เรารู้เรื่องของสาวก 12 คนนี้  เพราะว่ามันจะมีแทรกซึมอยู่ตลอดเวลา ในท่ามกลางคนของพระเจ้า ก็จะมีคนของมารแทรกซึมอยู่ เราจะรู้ก็ต่อเมื่อ  มีการสำแดงอาการหรือปฏิกิริยา หรือการกระทำบางอย่างที่ยืนยันว่าอันนี้ ไม่ได้มาจากพระเจ้า

ดังนั้น พี่น้องไม่ต้องตกใจ คนที่มารจะใช้ได้ ควบคุมได้ จะไม่มีพระเจ้าอยู่ในใจ ไม่มีพระเยซูอยู่ในใจ เขาไม่ได้อาศัยอยู่ในพระเยซู ไม่มีการปรับโทษเราทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะเราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณ แห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระ พ้นจากกฎแห่งบาปและความตายแล้ว

เราจะขายที่ดิน แล้วเราจะถวายหรือไม่ถวาย ไม่ใช่ความผิด สำหรับลูกๆ ของพระเจ้าที่เชื่อพระเจ้า  เราอยากถวาย เราอาจจะถวาย 10%  20  %  หรือ 100%  ก็อยู่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวอยู่ในใจของเรา ทำงานอยู่ในใจของเรา  บอกเราให้ทำ แล้วเราก็ทำตาม  ถ้าเราไม่ทำตาม เราเถียงกับพระเจ้า  พระองค์ก็มีวิธีหว่านล้อม มีวิธีที่จะชักจูงให้เรา ทำตามจนได้ พระองค์ไม่ฆ่าเรา เพราะไม่อย่างนั้น พระเยซูคงไม่ตายแทนเราไปเรียบร้อยแล้ว ให้พี่น้องคิดถึงภาพบุตรน้อยหลงหาย พี่น้องจะเข้าใจชัดเจนมาก

ในพระคัมภีร์บันทึกเรื่องบุตรน้อยหลงหาย … ลูกชายคนเล็กได้ขอมรดกจากพ่อ  แล้วก็ออกไปเที่ยวกิน สำมะเรเทเมา จนหมดเนื้อหมดตัว แล้วก็คิดถึงพ่อ  ก็อยากกลับบ้าน เพราะถ้าอยู่ที่บ้านกับพ่อนั้น  อย่างไรก็ไม่อดตาย อย่างไรก็มีกิน พี่น้องไปอ่านดูให้ละเอียดเลยนะ พี่น้องจะเห็นว่าพระเจ้า ก็คือพ่อคนนั้น ที่ยืนคอยอยู่ที่ปากทางทุกวัน นั่งคอยทุกวัน พระคัมภีร์บันทึกว่าพ่อเห็นลูกแต่ไกลว่าเดินเข้ามาหา พ่อไม่ได้รอ พ่อไปต้อนรับ นั่นคือพระเจ้าของเรา  พระเจ้าไม่ลงโทษ เมื่อเราทำผิด เพราะพระเยซูรับโทษนั้นไปทั้งหมดแล้ว

ดิฉันเล่าเรื่องนี้ ไม่อยากให้พี่น้องกลัวว่าเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน มาจากการลงโทษของพระเจ้า ไม่ใช่ มีแต่มารที่คอยลงโทษ คอยฟาดฟัน  แล้วถ้าท่านไม่รู้ว่าเป็นงานของมาร ท่านก็จะบอกว่าพระเจ้าใจร้าย  ท่านก็จะบอกว่าพระเจ้าเอาอีกแล้ว พระเจ้าไม่อยากให้เรามีความสุข อยากให้เราต้องกลัวจนตัวสั่น ลนลาน ไม่ใช่นะคะ พระเจ้ารักเรา รักเรามากเหลือเกิน

ในพระคัมภีร์เดิมก็พูดถึงว่าพระเจ้ารักเราอย่างสุดซึ้ง ดื่มด่ำ อาจารย์เปาโลเปรียบเทียบความรักของเราลูกๆ ของพระเจ้ากับพระเจ้าว่าเหมือนกับความรักของสามีภรรยาถวิลหากันทุกวัน  คิดถึงกันทุกเวลา นั่นแหละพระเจ้าคิดถึงเราทุกเวลา  อยู่กับเราตลอด อยู่ที่เราจะรับรู้พระองค์ไหม? เราจะเมินเฉยต่อพระองค์ หรือรับทราบว่าพระองค์กำลังคุยอะไรกับเรา พระเจ้ารักพวกเรา  ไม่มีข้อแม้จริงๆ ถ้ามีข้อแม้ ก็หมายความว่าการที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวคงไม่พอ  แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูตายบนไม้กางเขน เพื่อเราครั้งเดียวพอ แล้วมอบชีวิตนิรันดร์ให้กับพวกเรา คือชีวิตของพระเจ้า ให้กับพวกเราที่เชื่อ เข้ามาอยู่ในเรา  แต่พระองค์ไม่สามารถให้ชีวิตนิรันดร์แก่คนที่เป็นเครื่องมือของมาร หรือเป็นลูกของมารได้  และคนเหล่านั้น เขาก็แอบแฝงเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า

เหมือนที่พระเยซูยกอุปมาว่าเจ้าของที่ดินหว่านข้าวลงไปในนา แล้วมารก็มาหว่านวัชพืชลงไปด้วย พระเจ้าก็เมตตา ไม่ได้ถอนทิ้ง เพราะไม่อย่างนั้นจะเสียหายหมดทั้งข้าวที่ดีๆ จะหมดไปพร้อมวัชพืช พระองค์รอให้ทุกอย่างเติบโต เห็นชัดว่าอะไรเป็นอะไร พระเยซูบอกว่าเราจะเห็นคนได้ชัด ที่ผลของเขา  เมื่อปลูกข้าวก็ต้องออกรวงมาเป็นข้าว ไม่ใช่เป็นวัชพืชที่ไร้คุณค่า

เราขอบคุณพระเจ้า ไม่อยากให้พี่น้องวิตก กังวล ทุกข์ร้อน พระองค์บอกว่าอย่าทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย  ให้เราทูลทุกอย่างกับพระเจ้าของเรา พระองค์บอกพระองค์ทรงห่วงใยเรา พระองค์บอกให้เราโยนภาระให้กับพระองค์ ไม่ต้องกลัว แต่ถ้าถามว่าพระเจ้าทำให้เราสำเร็จฝ่ายวิญญาณ แล้วมันมีผลออกมาทางฝ่ายที่มองเห็น  คือฝ่ายวัตถุบนโลกนี้ไหม?

พี่น้องดิฉันเคยบอกแล้วว่าการกระทำทุกอย่างบนโลกนี้ ก็มีผลสนองต่อการกระทำนั่น แบบกฎของโลก  ถ้ามีใครสักคนหนึ่งฆ่าคนตาย  โดยไม่เจตนาก็ตาม  เขาก็ต้องถูกศาลพิพากษาลงโทษ ถ้าเราพูดไม่ดี กับใครสักคนหนึ่ง เราก็หว่านความเกลียดชังลงไปในใจ ถ้าเราอยากดีกับเขา ก็ไปขอโทษเขา  การคืนดีก็จะกลับมา อาจจะสนิทสนมกันมากกว่าเดิม หรืออย่างน้อย ก็ทำให้คลื่นกระแสลบ สลายหายไปได้  นี่แหละความรักของพระเจ้า  ไม่มีข้อแม้ ก็ไม่มีจริงๆ แต่เราต้องเก็บเกี่ยวในสิ่งที่เราหว่านไปบนโลกนี้ มันเป็นกฎธรรมชาติ ขอพระเจ้าเมตตาทุกคนค่ะ

 

*******************