คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2020 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 6 “วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ เรื่องการกินการอยู่ 2” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  กรกฎาคม  2020

 เรื่อง “แนวทางการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ 4 ขั้นตอน” ตอน 6

“วางใจพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจ    เรื่องการกินการอยู่ 2”

โดย นคร  เวชสุภาพร

สวัสดีครับ หัวข้อคำบรรยายวันนี้มีชื่อว่า “จงจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก” หลังจากที่มีคำถามกันเข้ามา หลายสัปดาห์ก่อน ถึงเรื่องแนวทางในการดำเนินชีวิตว่าหลังจากที่เขาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  ควรทำตัวอย่างไร? ควรดำเนินชีวิตอย่างไร? ซึ่งผมก็ได้สรุปคร่าวๆ ไปแล้วว่าง่ายๆ มีอยู่ 4 ขั้นตอน ก็คือ …

 

เชื่อแล้ว  …   รับรู้    … วางใจ    …. อธิษฐาน

 

เริ่มจากเชื่อแล้ว เราได้เรียนไปหลายสัปดาห์เยอะแล้วนะครับว่าความรอดที่เราได้รับมานั้น เป็นพระคุณจากพระเจ้า ที่เราได้รับผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่การกระทำ  เชื่อด้วยใจ และรับด้วยปาก ตามโรม 10:9-10 และเมื่อเชื่อแล้ว ลำดับต่อไป  ก็คือให้รับรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเรา เมื่อรับเชื่อแล้ว เป็นใคร? อยู่ที่ไหน ในพระคริสต์?

ในพระคริสต์ ก็คือในสวรรค์ ในโลกวิญญาณ เรามีความหวังใจอะไรในพระคริสต์นี้บ้าง? พระเจ้าสัญญาอะไรบ้าง? ตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นใคร? และวิธีการรับรู้ ทำอย่างไร?

วิธีการรับรู้ ก็คือให้จดจ่อไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน เมื่อเรารับรู้แล้วว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของเราตอนนี้ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู วิธีการแสดงออกมาว่ารับรู้ความจริง และตำแหน่งของเราตรงนี้ ก็คือการ จดจ่ออยู่กับตำแหน่งนี้แหละ ที่พระคัมภีร์บอกเรา ที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเกิดใหม่แล้ว เราอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร?

พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องบน ในโลกวิญญาณ ที่ซึ่งตัวตนจริงๆ ของเราที่จะอยู่นิรันดร์เดี๋ยวนี้ทันทีเลย ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  คือในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพียงแต่ตาเรามองไม่เห็น หูเราไม่ได้ยิน แต่มันมีอยู่จริงๆ  และมันจริงยิ่งกว่าโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ด้วยซ้ำไป พระคัมภีร์สอนเราอย่างนั้น สิ่งที่เรามองเห็น มันจะอยู่ชั่วคราว มันดับสูญไป แต่สิ่งที่มองไม่เห็น ในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอก มันจะอยู่อย่างนี้ และอยู่ต่อไป และอยู่ถาวรนิรันดร์ พระเจ้าจึงให้เราจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นนิรันดร์

วันนี้ เราจะมาคุยกันตรงนี้ให้ละเอียดขึ้นว่าที่บอกว่าจดจ่อความคิดของท่าน ไปที่เบื้องบน ไม่ใช่ฝ่ายโลก หมายความว่าอย่างไร? ก่อนอื่น เรามาดูความหมายของคำว่า “จดจ่อ” ก่อน

ถ้าแปลตามพจนานุกรม “จดจ่อ” แปลว่า “มีใจฝักใฝ่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีสมาธิ หรือเอาใจมุ่งมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือสิ่งนั้นๆ” ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า “Set your mind” ก็คือปรับจูน จูนความคิดนั่นเอง หรือตั้งจูนความคิดของท่าน แปลตรงๆ เป็นอย่างนั้น เราจะได้รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร?

ผมจะลองยกตัวอย่างนิดหนึ่งให้ท่านสังเกตดูคำว่า “จดจ่อ” มันมีลักษณะอย่างไร? จริงๆ เร้าอยู่เป็นประจำในชีวิตของเราทุกวันนี้

สมมุติว่ามีนักศึกษาสาวคนหนึ่ง กำลังไปเรียนหนังสือตามปกติตอนเช้า ขึ้นรถเมล์ไม่มีที่นั่ง ก็เลยต้องโหน มือต้องโหนอยู่ รถวิ่งเร็ว ทุกครั้งจะถึงที่ศึกษา ก็จะบอกกระเป๋ารถเมล์ว่า …

“น้องๆ จอดป้ายด้วย”

เป็นปกติ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยืนเพลินๆ อยู่ คนก็เยอะ ปรากฏว่าเหลือบไปเห็นแขนเสื้อข้างที่โหนอยู่มันขาด มองเห็นรักแร้ ก็รู้สึกเขินอาย ไม่รู้ทำอย่างไร? ก็มองอยู่นั่นแหละ

“แหม! วันนี้ ไม่น่าจะใส่ตัวนี้มาเลย มีใครเห็นไหม? อายเขาจะตาย ดูสิ”

อายรักแร้ตัวเอง  ก็จดจ่อ ตลอดทาง คิดแต่อย่างนั้น เมื่อไรจะถึงสักที นั่งก็ไม่ได้นั่ง จะมีใครเห็นรักแร้เราไหม? อายเขาจะตาย รักแร้ๆๆๆๆๆๆ ก็จดจ่ออยู่ที่รักแร้ของตัวเอง ปรากฏว่าพอถึงที่หมายที่จะต้องลง ก็ตะโกนไปบอกกระเป๋ารถว่า …

“รักแร้ จอดป้ายด้วย”

นี่แหละ คือสิ่งที่เราไปจดจ่ออยู่ มันจะเป็นอย่างนี้ จนลืมสิ่งต่างๆ ไปเลย ลืมชีวิตประจำวันเราไป ซึ่งเราทำมาตลอด  แต่ขณะที่จดจ่ออยู่นั้น มันไปจดจ่อเอารักแร้ อย่างนี้เป็นต้น

หรืออีกอันหนึ่ง บางคนชอบ ยุคนี้เป็นยุคดิจิตอล ยุคมือถือ ยุคไลน์ ยุคเล่นเกมส์ ยุคสังคมก้มหน้า ทุกคนก็ดูแต่มือถือของตัวเอง ก็คือการจดจ่ออยู่ที่มือตลอดเวลา ใครมาพูดข้างๆ เหมือนได้ยิน แต่ไม่ได้ยิน เพราะว่าถ้าจะได้ยินให้ชัด และรู้ว่าทำอะไรนั้น ต้องหยุดออกจากมือถือที่ดูมาตลอด เป็นเวลาชั่วโมงหนึ่ง 2 ชั่วโมง ตั้ง Set mind ใหม่ แล้วมาฟังว่าคนที่มาพูด พูดอะไร? ไม่อย่างนั้น ก็เข้าใจผิด

ยกตัวอย่าง พ่อกำลังดูมือถืออยู่ ลูกมาถาม …

“จะไปหรือเปล่า?”

กำลังแชทกับเพื่อนอยู่ … “ไม่ไปหรอกวันนี้”

ลูกก็ไปเอง กลับมาปรากฏว่างอนใหญ่เลย … “ไหนบอกจะพาไป ทำไมไม่ไป”

ลูกตอบว่า … “อ้าว! ก็ถามแล้ว บอกว่าไม่ไป”

“พูดที่ไหนเล่า”

เห็นไหม? พูดไป เพราะว่าจิตใจมันจดจ่ออยู่ที่กำลังแชทอยู่กับเพื่อนว่าไม่ทำอะไร? ไม่ๆๆๆ ก็ตอบไปว่าไม่ ทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่รู้เลย ตอบอะไร? จำไม่ได้ด้วยซ้ำไป

นี่แหละคือคำว่า “จดจ่อ” รู้แล้วนะว่าจดจ่อ คืออะไร? แม้ว่าจะฟังดู แล้วมันเหมือนเรื่องตลกๆ แต่ก็ทำให้เราเห็นว่าเมื่อเราจดจ่อและมุ่งมั่น มีสมาธิกับสิ่งใดก็ตาม สิ่งนั้นมันจะสะท้อน ทำให้เราทำอะไรก็ตามที่เราจดจ่ออยู่นั้น เราจดจ่ออยู่ที่รักแร้ ปากก็สั่งว่ารักแร้จอดป้ายด้วย  เห็นไหมครับ?

เพราะฉะนั้น  การที่เราจดจ่อกับสิ่งใด มันก็จะสะท้อน นำพาเราออกมาสู่การประพฤติ การกระทำ การแสดงออกของเรา ในร่างกายนี้นั่นเอง เช่น ถ้าเรากำลังสนใจ จดจ่ออยู่กับการเล่นโทรศัพท์ เราก็จดจ่อแต่เรื่องนั้น พอลูกมาถาม เราก็เอาคำตอบของในสิ่งที่จดจ่ออยู่นั้น มาบอกกับลูก ซึ่งมันผิดความประสงค์ ความต้องการเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราตกลงว่าเราจะไป แต่เราตอบว่า “เราไม่ไป” เห็นหรือยังว่ามันอันตรายขนาดไหน?  พระเจ้าจึงต้องการให้เราจดจ่ออยู่กับเบื้องบน ในที่ที่เราอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ เมื่อเราเชื่อและบังเกิดใหม่ ตอนนี้ยุคโควิดชัดเจนมาก โควิด ทำให้คนไปจดจ่ออยู่กับเบื้องล่างมากเลย ไม่ใช่เบื้องบน ไปจดจ่ออยู่กับฝ่ายโลก จดจ่ออยู่กับข่าวสาร การเมือง โรคมันถึงไหนแล้ว แทนที่จะจดจ่ออยู่กับสวรรค์ ก็ไปจดจ่ออยู่กับสถิติเพิ่มกี่คน? ไม่ใช่รับรู้ไม่ได้ รับรู้กับการจดจ่อไม่เหมือนกันนะ

รับรู้ คือรับรู้เฉยๆ ข่าวสารว่ามีอะไร? เชื้อติดเท่าไร? อย่างไร? ก็พอแล้ว  แต่บางคนจดจ่อ ทั้งเช้า ทั้งกลางวัน ทั้งเย็น ข่าวเล่าแล้วเล่าอีก ฟังซ้ำไปซ้ำมา แล้วเอาไปคิดตามอีก ในที่สุด ก็เกิดความคิดสั่งการให้ร่างกายทั้งหมดตึง เครียด กลัว กังวล เห็นไหมครับ? สั่งมาจากความคิดที่เราไปจดจ่ออยู่กับไม่ใช่เบื้องบน จดจ่ออยู่กับโควิดนี้ อันตรายต่างๆ เหล่านี้

แล้วที่พระคัมภีร์บอกให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน ในสวรรค์สถาน สิ่งที่อยู่เบื้องบน คือสวรรค์สถานในโลกวิญญาณ ที่ที่วิญญาณของเราอยู่กับพระเจ้าแล้ว ตอนนี้ ตามที่เราได้เรียนมาว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว เราได้ถูกย้ายเข้าไปในสวรรค์แล้ว และสิ่งเหล่านี้ ความจริงเหล่านี้ เราไปหาได้ จากบันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และเป็นพยานยืนยันด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่ให้เราเกิดใหม่ และสถิตอยู่กับเราในวิญญาณของเรานั้นเอง ลองมาดูว่าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าตำแหน่งของเรา ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างไรบ้าง? โคโลสี 3:1-4 …

โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว  ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน  ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

 

“จดจ่อ  จดจำ  จนขึ้นใจ”  นี่คือความจริงที่พระวิญญาณบริสุทธิ์บอกเราว่าในโลกวิญญาณ ตัวตนแท้จริงของเรา คือวิญญาณของเราอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไรบ้าง? เพราะฉะนั้น เราจะจดจ่ออีกวิธีหนึ่งที่ง่ายว่าเคล็ดลับในการจดจ่อนี้  ช่วยให้เราจดจ่อได้มากขึ้น และเป็นจริง เป็นจังมากขึ้น ในความจริง ในโลกวิญญาณ ตามที่พระเจ้าบอกเรา ก็คือให้เปลี่ยนสรรพนามที่ 3 คือ “ท่าน” ให้เป็น “ชื่อของเรา” ให้เป็นตัวเรา ใส่ชื่อท่านลงไปในนั้น

ยกตัวอย่างเช่น “ในเมื่อพระเจ้าได้ทรงให้นคร (ใส่ชื่อท่าน)  เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว”

เห็นไหม มันเห็นชัดขึ้นเยอะเลยนะ ลองเปลี่ยนสิ ลองใส่ชื่อตัวเองลงไป

“ในเมื่อทรงให้นคร (คือพระเจ้าให้) … (ใส่ชื่อท่าน) … เป็นขึ้นกับพระคริสต์ ก็จงให้ใจของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) …  จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า จงให้ความคิดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) …  จดจ่อกับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก เพราะนคร … (ใส่ชื่อท่าน) …  ตายแล้ว (ตัวเก่าตายไปแล้ว วิญญาณเก่าตายไปแล้ว) และบัดนี้ ชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) …  ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) …  ปรากฏ เมื่อนั้นนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย” เฮ้ๆๆๆๆๆๆ

นี่แค่ครั้งแรก ท่านเริ่มฝังความจริงลงไปในความคิดจิตใจของท่านแล้ว นี่แหละ คือการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ นี่แหละของใหม่ ข้อมูลใหม่ที่พระเจ้าสอนเราว่าในโลกวิญญาณ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้เปลี่ยนแปลงเป็นอะไรบ้าง?

ถามว่าทำไมเมื่อเชื่อแล้ว พระเจ้าต้องการให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่ ด้วยการจดจ่อความคิดไปที่เบื้องบน ความจริงในโลกวิญญาณ ก็เพื่อที่เราอยู่บนโลกใบนี้ด้วยชัยชนะโลกนี้ ที่พระเยซูทำให้แล้ว และเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า วัตถุประสงค์ของพระองค์ และสามารถขอบพระคุณพระองค์ในสิ่งทั้งมวล ได้ตามที่พระองค์ทรงสอนว่า … “จงขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ในทุกสิ่งได้” … มิฉะนั้น เราอาจจะขอบคุณไม่ค่อยออก

เพราะเนื่องจากร่างกาย ความคิด จิตใจ  และวิญญาณของเรา คือตัวตนของเราตอนนี้ ได้บังเกิดใหม่แล้วก็จริง ถูกชำระจนสะอาดหมดจดแล้ว ก็จริง ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ วิญญาณบังเกิดใหม่แล้ว ความคิดจิตใจบังเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าประทานให้ใหม่เอี่ยมเลย สำหรับร่างกายแม้ว่าจะเป็นร่างกายเดิม แต่พระเจ้าทรงชำระ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์จนสะอาดหมดจด เป็นพระวิหารของพระองค์ ที่พระองค์ทรงสามารถรับได้ มาสถิตอยู่ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ยังคงได้รับอิทธิพลของความบาปที่ปกครองอยู่บนโลกใบนี้ ผ่านทางมารได้อยู่ โดยส่งกระแสของอิทธิพลนี้ ผ่านทางอวัยวะต่างๆ ในร่างกายของเรา ผ่านทางความคิดของเรา ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่สุด ถ้าความคิดไม่สั่ง มันก็ไม่ทำ

ถ้าเราไปจดจ่อบนโลกใบนี้  ก็เสร็จมารเลย เพราะมารพยายามที่จะส่งอิทธิพล ที่มันมีในการครอบครองโลกใบนี้อยู่ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกชื่อมารว่า god of this world ซึ่งเป็นผู้บงการสิ่งชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ด้วยอิทธิพลของความบาปนั่นแหละ มารมันก็พยายามเอาอิทธิพลนี้ ส่งเข้ามาในความคิด ผ่านเข้ามาในร่างกาย ภาษาพระคัมภีร์เขาเรียกว่าผ่านทางกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง ผ่านทางอวัยวะต่างๆ ซึ่งมันคุ้นเคยกับของเดิมอยู่ ก่อนที่เราจะเชื่อพระเจ้า มันคุ้นเคยอยู่ มันเป็นของเดิม ความคิดเดิม ร่างกายที่เคยประพฤติปฏิบัติ มันคุ้นๆ อยู่ สมองยังจำได้ว่าเคยทำอย่างนี้ ก่อนเกิดใหม่ พระเจ้าบอกว่าตรงนี้ ก็คือสงครามฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นในชีวิตของคริสเตียนทุกคน ชีวิตของผู้เชื่อทุกคนว่าแม้มีชัยชนะอยู่เหนือโลกใบนี้ก็จริง แต่มันจะคอยส่งกระแสเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ที่ความคิดและเนื้อหนังร่างกายของเรา ให้ทำตามมัน พูดง่ายๆ

มาดูโคโลสี 1:13-14 ก็บอกความจริงอย่างนี้ ซึ่งเราจะต้องรับรู้และจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ นี่คือความคิดใหม่ ที่เราต้องคิดบ่อยๆ จดจ่ออยู่เรื่อยๆ Set ความคิดนี้  Set mind  นี้ ไว้ตรงความจริงตรงนี้ คือถ้อยคำพระเจ้า

โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด  และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

พระเจ้าได้ย้ายเราออกจากนรก ในวิญญาณ บนโลกใบนี้ ย้ายเข้ามาสู่โลกวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ มาอยู่กับพระองค์เรียบร้อยแล้ว และเราได้รับการชำระ ได้รับการอภัยโทษ ได้รับการไถ่บาป  หมดจดเรียบร้อยไปแล้ว นิรันดร์ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว พูดง่ายๆ เราหมดบาปแล้ว หมดเกลี้ยงเลย ไม่เหลือเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อรู้ความจริง ต้องจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ เอาไว้ 3 จอ. ว่ามันเป็นอย่างนี้

“ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ และจะอยู่ตลอดไปด้วย เพราะฉันได้รับการไถ่บาป หมดเวร หมดกรรมชั่วนิรันดร์แล้ว เอเมน”

นี่ตัวอย่าง แต่จริงๆ ในพระคัมภีร์มีเยอะแยะ ถึงตำแหน่งของเรา และการเปลี่ยนแปลงที่ได้มาบังเกิดใหม่แล้ว เป็นเช่นไร? เราต้องจดจำ จดจ่อ จนขึ้นใจ สิ่งเหล่านี้ไว้ ทิตัส 3:5 ที่เราอ่านกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ทิตัส 3:5 “พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราได้ทำ แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่ และการทรงสร้างขึ้นใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

บอกกับตัวเองเลย จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจเอาไว้เลยว่าผ่านทางการชำระ แห่งการบังเกิดใหม่  และการทรงสร้างขึ้นใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ตอนที่เรารับเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ลองอ่านตาม …

“พระองค์ได้ช่วยนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ให้รอด ผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่ และการทรงสร้างขึ้นใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน”

1 เปโตร 1:3 บันทึกไว้อย่างนี้ … “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

 

จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจตรงนี้ไว้ นี่คือความจริงว่าเราเป็นใคร? ใส่ชื่อตัวเองเข้าไป เพื่อจะได้มั่นคง จะได้แข็งแรงในการจดจ่อความจริงนี้

“สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) … บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

2 โครินธ์ 5:17 เอาเนื้อๆ ในพระคัมภีร์มีเยอะมากมาย นี่คือเนื้อๆ ความจริง ก็คือ …

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป  สิ่งใหม่ได้เข้ามา”

 

ใส่ชื่อท่านเข้าไปเลย จริงๆ ตรงนี้ “เหตุฉะนั้น” ภาษาเดิมเขาบอกว่า “จงมองให้เห็นเถิด” คือมันมองไม่เห็น มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

“จงมองให้เห็นเถิด ถ้านคร … (ใส่ชื่อท่าน) … อยู่ในพระคริสต์แล้ว การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา” เอเมน

(1) ทั้งใหม่เอี่ยมถอดด้ามเลย ทั้งตัวเป็นของนครเดี๋ยวนี้ คือทั้งร่างกาย ก็เป็นวิหารของพระเจ้า ถึงแม้จะเป็นร่างกายเดิม แต่ได้ถูกสร้างใหม่ คือได้ถูกชำระจนสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ สมกับที่จะเป็นพระวิหารของพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ ที่เรียกว่าโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ เข้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร? ถ้ามันไม่บริสุทธิ์สะอาด ร่างกายเราสะอาดบริสุทธิ์มากๆ ทีเดียว มากเท่ากับพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ชำระเรา  หลั่งที่ไม้กางเขน ร่างกาย ก็บริสุทธิ์สะอาดใหม่ แต่เป็นร่างกายเดิม  ที่จะมีใหม่กว่านี้ ในอนาคต ซึ่งดีกว่านี้อีก

(2) ความคิดจิตใจก็ใหม่เอี่ยมถอดด้ามเลย

(3) วิญญาณก็ใหม่หมด

บอกตัวเองเลยว่า … “ฉันเป็นคนใหม่จริงๆ”

เรามาดูเอเฟซัส 2:4-6 ก็เหมือนกัน ยิ่งตื่นเต้นใหญ่ บนตำแหน่งเราว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้า แล้วเราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซู ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์สถานแล้ว ต้องพูดอย่างนี้ให้ตัวเราเองฟังบ่อยๆ ทุกวันๆ ให้รับรู้ตลอดเวลา

เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง)  โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

ต้องย้ำความคิด อย่างนี้ ข้อมูลใหม่อย่างนี้ ลงมาในความคิดของเราให้มากๆ เพราะแม้ว่าเราบังเกิดใหม่แล้วก็จริง แต่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ลองใส่ชื่อตัวเอง

“เนื่องด้วยความรักอันใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อนครผู้เดียว … (ใส่ชื่อท่าน) …”

เฉพาะตอนที่เราคุยนะ เราก็เห็นแก่ตัวหน่อย แบบบริสุทธิ์ ใส่ชื่อตัวเองไป มันจะได้ชัด

“พระเจ้ารักนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … มาก พระเจ้าผู้นี้ ผู้เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา อันอุดม จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเก่าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ได้ตายไปแล้วในบาป อยู่ในนรก คือนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ได้รับความรอด จากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง โดยพระคุณของพระเจ้า โดยที่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ไม่ได้ทำอะไรเลย โดยพระคุณ และพระเจ้าได้ทรงทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) … คือตรงวิญญาณของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … เป็นขึ้นจากความตาย คือได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ได้บังเกิดใหม่ในวันที่ 3 นั่นแหละ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงจับวิญญาณของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ตัวของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ได้นั่งอยู่ที่สวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระองค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์”

ตอนนี้เป็นอย่างนี้แล้ว ต้องย้ำความจริงเหล่านี้ว่าเราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว แต่อย่างที่บอก ที่ตามองเห็น มันยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันเลยอยากจะเชื่อโลกใบนี้มากกว่า อยากจะเชื่อสิ่งที่ตามองเห็น หูได้ยิน มือจับต้องได้มากกว่าสิ่งที่พระเจ้าพูดเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมด เป็นโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น แต่พระเจ้าบอกมีอยู่จริง และมันจริงยิ่งกว่าโลกใบนี้ที่มันกำลังสูญสิ้นไป โลกวิญญาณมันจะอยู่นิรันดร์

มันก็ลำบากใจนะ บางครั้งก็ถูกล่อลวงให้อยากจะอยู่กับโลกที่มองเห็นเดี๋ยวนี้มากกว่า อยากจะสบายเดี๋ยวนี้ เหมือนที่มารล่อลวงให้เรา มองวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ เพื่อที่จะล่อลวงเราไปให้ติด แล้วก็จดจ่อกับสิ่งเหล่านั้น แล้วก็ตายไปพร้อมกับมัน แล้วก็ดับสูญไปพร้อมกับโลกใบนี้ ดับสูญไปพร้อมกับคำสาปแช่ง แต่พระเจ้าไม่ต้องการอย่างนั้น พระเจ้าต้องการให้ชีวิตเราดี ดีตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย มันดีไปตลอดแล้ว แต่อยู่บนโลกใบนี้ ก็ดีด้วย

มีสิ่งหนึ่งที่ฝังไว้อยู่ในชีวิตของมนุษย์ ตามที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมาใหม่ๆ คือมนุษย์ อยากจะอยู่อย่างสบายๆ ง่ายๆ เหมือนอย่างที่พระเจ้าได้กำหนด ให้กำเนิดมนุษย์ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มต้น ที่ยังไม่ได้ล้มลงไปในความบาป คืออาดัมและเอวาตอนที่อยู่ในสวนเอเดน ไม่ได้ล้มลงไปในความบาป อยู่อย่างสบายมากเลย คือดูแลสวน แม้กระทั่งจิตใจตอนนี้ คนดูแลสวนยังมีความสุขเลย แต่สวนไม่เหมือนสมัยก่อน มันมีความสุขในยุคนั้น

เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงมีลึกๆ ในใจ รักสบาย อยากสบาย ซึ่งไม่ผิดเลย มันเป็นธรรมชาติ เราจึงอยากจะควบคุมสถานการณ์ และเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันที่ให้มันเป็นไปตามเรา คืออยู่อย่างสบายๆ ทำอะไรก็ตามใจตัวเองได้ เหมือนอย่างที่เคยอยู่ในสวรรค์ ในสวนเอเดน แต่ความจริง ก็คือมนุษย์ทั้งโลกใบนี้ ในขณะนี้ ตกลงไปในความบาป คำสาปแช่งแล้ว พระเจ้าบอกมันลงไปในความชั่วร้ายแล้ว มนุษย์ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ ที่เรียกว่าสวนเอเดนอีกต่อไปแล้ว มันเป็นความชั่วร้าย มันไม่มีความสุขความสบายจริงๆ หรอก มันถูกหลอก

นี่คือความจริงที่พระเจ้าพยายามจะบอกพวกเราที่เป็นมนุษย์ ที่อยู่บนโลกใบนี้ โลกนี้ ได้กลายเป็นโลกที่ไม่น่าอยู่อีกต่อไปแล้ว เปรียบเสมือนนรก ที่มีแต่ความชั่วร้าย มีแต่ความสับสนวุ่นวาย ทุกอย่างเป็นไปตามการนำ หรือการครอบครองของมาร ซึ่งมีแต่ขโมย ฆ่า และทำลาย เจ้าแห่งความชั่วร้าย เป็นเจ้าของโลกนี้ไปแล้ว แล้วพระเจ้าบอกอย่างไร? แต่ว่าจงดีใจเถิดว่าพระเยซูได้ชนะมารแล้ว ได้ช่วยมนุษย์ให้พ้นจากการเป็นทาสของมารแล้ว พ้นจากนรกบนโลกใบนี้แล้ว พระเจ้าได้นำสวรรค์มาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ 2,000 ปีแล้ว บอกอย่างนั้น วิญญาณของมนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู พระเจ้าได้ย้ายเขาเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว ย้ายโลกใบนี้ที่เป็นนรก ไปอยู่สวรรค์

ทั้งหมดนี้ พระเจ้าบอกมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ คือวิญญาณ และจิตใจได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้วจริงๆ แต่ยังคงอาศัยอยู่ในร่างเดิม ซึ่งแม้ร่างเดิมนี้ ก็เป็นวิหารของพระเจ้านะ แต่ร่างเดิมยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งพระเจ้าบอกมันเป็นนรกอยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง ความวุ่นวาย สับสน เสียหาย วิปริต เขาเรียกว่าอัพ ไซด์ ดาว์น มันอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีเหตุ มีผล คนทำดี ได้ดีมีที่ไหน? คนทำชั่วได้ดี มีถมไป อะไรประมาณนั้น เดากันไม่ถูกเลย แล้วแต่มาร แล้วเราจะไปเชื่อมันได้อย่างไร พระเจ้าบอกมารมีแต่ขโมย ฆ่าและทำลาย ความชั่วร้ายทั้งหมดบนโลกใบนี้ และในมหาจักรวาลนี้ เกิดจากมารเพียงผู้เดียว และแผ่ขยายออกไป

พระเจ้าบอกเพราะฉะนั้น การอยู่ในสวรรค์ที่พระเจ้าช่วยแล้ว มันต้องรอกำหนดเวลา ที่พระเยซูกลับมาพิพากษาโลก พิพากษามาร  ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดของโลกแห่งความชั่วร้ายนี้ ของวันแห่งการสูญสิ้นของโลกใบนี้นั่นเอง พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าให้เรารอก่อน แต่มนุษย์รอไม่ไหว อย่างที่บอก จิตใจมันอยากจะสบาย  พอบอกว่าอยู่ในสวรรค์ ดีใจ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ตอนนี้อยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ใช่ รอก่อน อยู่บนโลกใบนี้ ก็อยู่อย่างโลกนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา  แต่ก็อยู่บนโลกนี้ อย่างเหมือนคนไม่เชื่อ เหมือนกันนั่นแหละ คืออยู่ท่ามกลางการหลอกลวง ความชั่วร้ายของมารบนโลกใบนี้ ความทุกข์ลำบาก พระเยซูจึงบอกว่าท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็อยู่ด้วยความทุกข์ยากลำบาก  เหมือนกับคนอื่นเขาแหละ แต่จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะว่าเรา (หมายถึงพระเยซูและเรานั่นเอง) ได้ชนะโลกนี้แล้ว

พระเจ้าได้สร้างสรรพสิ่งและโลกใบนี้ใหม่ ไว้เรียบร้อยแล้ว สวยงามกว่าสมัยสวนเอเดน ที่ยังไม่ได้ตกลงในความบาปด้วยซ้ำไป แต่ให้เรารอก่อน มันยังไม่ปรากฏตอนนี้ มันจะปรากฏเมื่อพระเยซูคริสต์กลับมาอีกที กลับมาพิพากษามาร มันไม่ใช่ตอนนี้ ให้เรารอก่อน แต่เรารอลำบากนะ เราอยาก

“มาเชื่อพระเจ้า มันต้องได้อย่างนี้สิ ไหนบอกอยู่ในสวรรค์แล้วไง” … เถียงพระเจ้าอีก

เพราะฉะนั้น ต้องเอาสิ่งเหล่านี้  คือความจริงเหล่านี้เข้าไปในความคิด และเปลี่ยนแปลงคอนเชป หรือความคิดจิตใจตัวเองเสียใหม่ เอาความคิดเก่าๆ เดิมๆ ออกไปว่าโลกนี้จะมีความสุข ถ้าเรามีเงินเยอะๆ ถ้าเราสุขภาพแข็งแรงมากๆ มันโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น

สรุป ก็คือให้เราจดจ่อความคิดของเราไปที่การเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ นั่นคือเป้าหมายของเรา วันที่สิ้นโลกนี้ คือเป้าหมายของเรา สิ้นโลกนี้ หรือเราสิ้นก่อน วิญญาณเราออกจากร่างก่อน เราไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว มันก็สิ้นเหมือนกัน สิ้นสุดการงานรับใช้พระเจ้าบนโลกใบนี้ คือวันที่เราจะได้รับร่างกายใหม่  คือร่างกายที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่มีสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ตอนเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3  เป็นร่างกายเหมือนพระเจ้าเลย ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องเจ็บป่วย ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไป  เพราะจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว รอร่างกายใหม่ แล้วไม่ใช่แค่ร่างกายใหม่อย่างเดียว พระเจ้าจัดเตรียม สร้างโลกใหม่ไว้รอแล้ว โลกเก่าที่อยู่นี้ ที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายของมารซาตาน มันจะถึงวันเวลาแห่งการสิ้นสุด มันตั้งอยู่ก็จริง แต่มันก็ไปสู่การเสื่อมสลาย  แล้วพระเจ้าได้สร้างสรรพสิ่งใหม่ทั้งหมด บนโลกใหม่ ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว โลกใหม่ ก็คือสัตว์ใหม่ ต้นไม้ใหม่ หินใหม่ น้ำใหม่ ฟ้าใหม่ ใหม่หมดเลย ตัวเราเอง ก็ร่างกายใหม่ เอเมน ชัดเจนไหม? นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่านครเยรูซาเล็มใหม่ ตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์ วิวรณ์ 21:1-7 อ่านแล้วจะเห็นที่อยู่ของเราในอนาคต อันใกล้นี้ ฮาเลลูยา เราจะได้มีความสุข นี่แหละคือสวรรค์แท้จริง

วิวรณ์ 21:1-7 “1 และข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว 2 ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงให้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงามรอรับผู้เป็นสามี 3 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “บัดนี้ที่ประทับของพระเจ้ามาอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตกับพวกเขา เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของพระองค์ และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับพวกเขาและเป็นพระเจ้าของพวกเขา 4 พระองค์จะทรงซับน้ำตาทุกๆ หยดของพวกเขา จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป เพราะระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว” 5 พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นตรัสว่า “เรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่!” และตรัสอีกว่า “จงเขียนสิ่งนี้ลงไป เพราะข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้” 6 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย 7 ผู้ที่มีชัยชนะจะได้รับทั้งหมดนี้ เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา”

 

ผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าแล้ว นี่เป็นของท่าน นี่คือความจริงในโลกวิญญาณว่าท่านได้รับตรงนี้แล้ว ต้องจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ นี่ขนาดยังไม่ขึ้นใจ จดจ่อนิดเดียววันนี้ อ่านไปครั้งเดียว บางคนพึ่งจะอ่าน คนเชื่อใหม่ๆ พึ่งอ่านไปครั้งเดียว ขนลุกเลย ปิติยินดีมากเลย ทั้งๆ ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในอาคารอภิสุทธิสถานเดิมนี้ ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในบ้านท่านขณะนี้ ท่านแค่อ่านตรงนี้ ท่านยังรู้สึกกระชุ่มกระชวย นี่แหละคือความหวังของคนที่เชื่อในพระเจ้า นี่คือความหวังของคริสเตียนแท้จริง ไม่ใช่ความหวังที่อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าให้เราจดจ่อในโลกวิญญาณ เพื่อไม่ให้เราจดจ่อบนโลกใบนี้ที่มารมันพยายามหลอกลวง ล่อลวงเราไปในความไม่แน่นอนบนโลกใบนี้ ในความสูญสิ้น ดับสูญไป ท่านเอาอันนี้มาใส่ชื่อท่าน แล้วท่านจดจำตรงนี้ไว้ตลอดเลย จดจ่อแล้วให้มันขึ้นใจ  ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตามนี้ แต่ให้รู้ว่าความหมายมันอย่างนี้

“และนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … เห็นฟ้าใหม่และโลกใหม่ เพราะฟ้าเดิมและโลกเดิมได้ดับสูญไปแล้ว ทะเลก็ไม่มีอีกแล้ว นคร … (ใส่ชื่อท่าน) … เห็นนครบริสุทธิ์ คือเยรูซาเล็มใหม่ที่พระเจ้าทรงได้เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ นครนี้ได้รับการตระเตรียมไว้เหมือนเจ้าสาวแต่งกายงดงาม รอผู้เป็นสามี”

นี่คือประเพณีชาวยิวแต่งงานนะครับ  คือคืนวันแต่งงาน เจ้าสาวจะต้องแต่งงามที่สุด …

“และนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่าบัดนี้ พระที่นั่งของพระเจ้ามาอยู่กับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … แล้ว พระองค์จะสถิตอยู่กับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … และผู้เชื่ออื่นๆ ของพระองค์ พระเจ้าเองจะทรงอยู่กับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … และเป็นพระเจ้าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ตลอดไป พระองค์จะซับน้ำตาทุกหยดของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … จะไม่มีความตาย หรือการคร่ำครวญ หรือการร่ำไห้ หรือความเจ็บปวดรวดร้าวอีกต่อไป ระบบเก่าได้ผ่านพ้นไปแล้ว พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งตรัสว่าเรากำลังสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่ และตรัสอีกว่าจงเขียนสิ่งนี้ลงไป ข้อความเหล่านี้เที่ยงแท้และเชื่อถือได้

พระองค์ตรัสกับนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ว่าทั้งหมดนี้ มันสำเร็จแล้ว พระเยซู คือพระเจ้า คืออัฟฟ่าและโอเมก้า เป็นปฐมและอวสาน ผู้ใดกระหาย พระเยซูจะให้ผู้นั้นดื่มจากธารน้ำพุแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย  นคร … (ใส่ชื่อท่าน) … ผู้ได้รับชัยชนะพร้อมกับพระเยซูไปแล้ว ได้รับทั้งหมดนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราจะเป็นพระเจ้าของนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … และนคร … (ใส่ชื่อท่าน) … จะเป็นบุตรของเรา” เอเมน

เอาไปใคร่ครวญ เอาไปคิด เอาไปจดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ เหมือนกับที่เล่นเกมส์ เหมือนกับเล่นแชทบนมือถือ ลืมวันลืมคืน ทำอย่างนี้ได้ไหม? ถามว่าได้ แล้วจะทำไหม? คิดดูก่อน

พระคัมภีร์สอนเรา  พระเจ้าสอนเราบอกว่าสิ่งที่ไม่ควรจดจ่อเลย สำคัญที่สุด ก็คืออย่าจดจ่อไปที่ฝ่ายโลก แล้วคนก็ถามว่าฝ่ายโลก คืออะไร? เราจะมาดูคร่าวๆ วันนี้ ไม่ต้องไปเรียนมันละเอียดมากหรอก ฝ่ายโลกมันชั่วร้าย  สิ่งฝ่ายโลก ก็คืออาณาจักรของความมืด บนโลกใบนี้ ไม่ได้หมายถึงไม่มีแสงไฟสว่าง หรือไฟฟ้าเสีย หมายถึงโลกวิญญาณ อาณาจักรแห่งความมืด คือนรกนั่นเอง ถ้าเปรียบในโลกวิญญาณ ที่เราอยู่กับพระเจ้า คือสวรรค์ ตรงนี้ก็คือนรก อาณาจักรแห่งความมืด ที่มีมารครอบครองอยู่ เต็มไปด้วยความบาป คำสาปแช่ง ความทุกข์ลำบาก การขโมย ฆ่า และทำลาย ความเสียหาย ความตาย การล่อลวงด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติ และความสุขสบายบนโลกใบนี้ นี่แค่คร่าวๆ ให้เราเห็นชัด อย่าไปจดจ่อกับมัน เป็นทางผ่านเฉยๆ

โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา              ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้               ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่         ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้                 ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ไม่ต้องไปสร้างมัน ไม่ต้องไปก่อมัน ไม่ต้องไปเก็บอะไรไว้ เพราะมันจะสูญสิ้นไป พระคัมภีร์บอกว่าขณะที่เราจากโลกนี้ไป เราไม่ได้เอาอะไรไปเลย สักอันหนึ่ง ไม่มีทางเอาอะไรไปจากโลกใบนี้เลย เราตายไปพร้อมกัน อย่าให้มันหลอกให้เราสร้างสิ่งของไว้บนโลกใบนี้ สร้างรากฐานไว้บนโลกใบนี้ เราควรสร้างรากฐานไว้บนศิลา คือพระเยซูคริสต์ต่างหาก

ฝ่ายโลก คือความคิดตามระบบวิสัยบาป ธรรมชาติบาป ที่ปกคลุมโลกนี้อยู่ โดยการนำของมาร ซึ่งพระคัมภีร์ใช้เรียกว่าเนื้อหนัง … เนื้อหนังไม่ใช่ตัวอีกแล้ว เนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป ที่มารซาตานใช้ เป็นอำนาจ มาบังคับเคี่ยวเข็ญให้มนุษย์ทำบาป แต่เราไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไปแล้ว เราหลุดจากการเป็นทาสแล้ว เราได้รับการช่วยให้รอด จากการเป็นทาสมารไปแล้ว

เนื้อหนัง คือศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า สรุปง่ายๆ คือดื้อและไม่เชื่อฟัง นี่คือเนื้อหนัง จำไว้ว่าเนื้อหนังไม่ใช่ตัวเรา เนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป  ที่พยายามมาผลักดัน ที่พยายามมาชักจูงเรา ให้เป็นศัตรู อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า ให้เราดื้อต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟังทุกประการ นี่เรียกว่าเนื้อหนัง

และพระคัมภีร์บอกว่าอย่าไปยึดเกาะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันกำลังร่วงไป มันเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง มันอยู่แค่ชั่วคราว มันอยู่แค่แป๊บเดียว มันกำลังไปสู่การดับสูญ ถ้าเราไปยึดอยู่กับมัน เราก็สูญไปกับมันด้วย เราก็เต็มไปด้วยความทุกข์ แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว แล้วเรายังไปยึดติดกับมัน ไปมองมัน ถูกมันล่อลวง ยิ่งไปจดจ่ออยู่กับมันมากๆ ก็ถูกดึงไปเชื่อมัน เกิดความทุกข์ แม้วิญญาณ ความคิดจิตใจเราจะรอดแล้ว ไปสวรรค์แล้วก็จริง แต่เราอยู่บนโลกใบนี้เหมือนอยู่กับไฟเลย  เหมือนอยู่บนนรกเลย ยิ่งคนที่ยังไม่ได้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ ยังไม่ได้ถูกย้ายมาอยู่ในสวรรค์ ยิ่งแย่ใหญ่เลย  ยิ่งเป็นทาสมารอยู่ ก็ถูกมันล่อลวงอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยวิธีการต่างๆ นานา ฝังตัวเองอยู่ในโลกใบนี้ ในที่สุด ก็จะดับสูญไปกับมัน พระคัมภีร์บอกเราว่าโลกและทุกสิ่งบนโลก กำลังดับสูญไป มันอยู่ในระหว่างทางกำลังดับสูญ มันอยู่ในขบวนการกำลังดับสูญ มันอยู่ในขบวนการกำลังสลายไป มันอยู่ในขบวนการกำลังลงนรกถาวรนิรันดร์ เมื่อวันนั้นมาถึง 2 เปโตร 3:3-15

2 เปโตร 3:3-15 “3 ก่อนอื่นท่านต้องเข้าใจว่าในยุคสุดท้าย จะมีคนชอบเยาะเย้ย มาเยาะเย้ย และทำตามตัณหาชั่วของตนเอง 4 พวกเขาจะกล่าวว่า “ไหนล่ะ ‘การเสด็จมา’ ที่ทรงสัญญาไว้? นานมาแล้วตั้งแต่บรรพบุรุษของเราตายไป ทุกอย่างก็ดำเนินไปเหมือนที่เป็นมาตั้งแต่เริ่มสร้างโลก” 5 แต่เขาจงใจลืมความจริงที่ว่า นานมาแล้ว โดยพระดำรัสของพระเจ้าฟ้าสวรรค์ก็มีขึ้นและแผ่นดินโลกก็ก่อตัวขึ้นมาจากน้ำ โดยมีน้ำล้อมรอบ 6 น้ำเหล่านี้เองที่ท่วมทำลายโลกในครั้งนั้น 7 โดยพระดำรัสเดียวกันนี้ ฟ้าสวรรค์และโลกปัจจุบันก็ถูกสงวนไว้ให้ไฟเผาผลาญ ถูกเก็บไว้เพื่อวันแห่งการพิพากษา และความหายนะของคนอธรรม 8 แต่อย่าลืมข้อนี้เพื่อนที่รัก คือสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วหนึ่งวันก็เหมือนหนึ่งพันปี และหนึ่งพันปีก็เหมือนหนึ่งวัน 9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเชื่องช้า ที่จะทำตามพระสัญญาอย่างที่บางคนคิด แต่ทรงอดทนต่อท่าน เพราะพระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ใดพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ 10 กระนั้นวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนขโมย ที่ลอบเข้ามา โดยไม่มีใครคาดคิด ฟ้าสวรรค์จะหายวับไปด้วยเสียงกัมปนาท และโลกธาตุทั้งหลายจะถูกไฟเผาทำลาย นั่นคือแผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในนั้นจะถูกทำลายสิ้น 11 ในเมื่อทุกสิ่งจะถูกทำลายลงเช่นนี้ พวกท่านควรจะเป็นคนแบบไหน? พวกท่านควรดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์ และอยู่ในทางพระเจ้า 12 ขณะที่พวกท่านเฝ้ารอ และเร่งวันแห่งพระเจ้าให้มาโดยเร็ว วันนั้นฟ้าสวรรค์จะล่มสลายด้วยไฟและโลกธาตุต่างๆ จะหลอมละลายในความร้อน 13 แต่ด้วยการยึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์ พวกเรากำลังเฝ้ารอฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ซึ่งเป็นที่พำนักของความชอบธรรม 14 เช่นนั้นแล้วเพื่อนที่รัก ในเมื่อท่านกำลังเฝ้ารอสิ่งนี้อยู่ จงพยายามทุกวิถีทาง ที่จะให้พระองค์ทรงเห็นว่าท่านปราศจากข้อด่างพร้อย ไร้ตำหนิและมีสันติสุขในพระองค์ 15 จงระลึกว่าที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงอดกลั้นพระทัยไว้ ก็เพื่อให้คนทั้งหลายมีโอกาสได้รับความรอด เหมือนที่น้องเปาโลที่รักของเราได้เขียนจดหมายมาถึงท่าน ด้วยสติปัญญาที่พระเจ้าประทาน”

 

ข้อ 9 บอกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเชื่องช้า ที่จะทำตามพระสัญญาอย่างที่บางคนคิด”

พระองค์บอก พระองค์จะมาพิพากษา เอาโลกใหม่มาให้ใช่ไหมครับ?

“แต่ทรงอดทนต่อท่าน เพราะพระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ใดพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่”

คือรอ ต้องการให้ผู้คนบนโลกใบนี้ ที่ยังไม่เชื่อข่าวดีของพระเจ้า ไม่เชื่อในพระเยซู ยังไม่ได้เกิดใหม่ ให้เขาได้มาเชื่อและได้เกิดใหม่ซะ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะรอก็ตาม อยากให้เขาเกิดใหม่ก็ตาม แต่มันมีวันนั้นจริงๆ วันนั้น คืออะไร? ข้อ 10 บอก …

ข้อ 10 “กระนั้นวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเหมือนขโมย ที่ลอบเข้ามา โดยไม่มีใครคาดคิด ฟ้าสวรรค์จะหายวับไปด้วยเสียงกัมปนาท และโลกธาตุทั้งหลายจะถูกไฟเผาทำลาย นั่นคือแผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในนั้นจะถูกทำลายสิ้น”

ขโมยเข้ามา ไม่มีใครรู้ตัวเลย หลับกันสนิท นึกว่าดีแล้ว มาได้ทุกเมื่อ ทุกวัน ทุกเวลา ก็คือมาได้ทุกเสี้ยววินาที

ฟ้าสวรรค์ หมายถึงฟ้าที่เรามองเห็น มองขึ้นไปเห็นนกบิน เขาเรียกว่าฟ้า ฟ้าสวรรค์ หมายถึงฟ้า และสวรรค์ หมายถึงสวรรค์บนดิน หมายถึงว่ามองขึ้นไปจากนี้ เห็นนก เรียกว่าฟ้า และมองจากฟ้าขึ้นไป เห็นเมฆ ลอยขึ้นไป เห็นดวงดาวต่างๆ ฟ้าอีกเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้ ทั้งดวงดาว ดวงอาทิตย์ และฟ้าบนโลก ที่มีเมฆ ก็จะดับสูญไปสิ้น ถูกเผาทำลายไป นั่นคือแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งในนั้นจะถูกทำลายสิ้น ท่านอ่านดูตรงนี้แล้วจะเห็นอะไร? ฟ้าสวรรค์จะหายแว๊บ หมายถึงเที่ยวเดียวเลยนะครับ ไม่เหมือนบางคนบอกว่าโควิด ไม่ใช่โควิด โควิดตั้งนาน  อันนี้หมายถึงฟ้าสวรรค์ ทั้งโลกใบนี้ ทั้งสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ จะถูกเปรี้ยง แว๊บหายไปเลย เสียงเดียว ในนี้บอกกัมปนาท โห้! กัมปนาท มันเหมือนบิ๊กแบงก์ และโลกธาตุ คือธาตุวัตถุ สิ่งของบนโลกใบนี้จะดับสูญ เป็นไฟเผาผลาญ เกลี้ยงไปเลย นั่นคือแผ่นดินและสรรพสิ่งในนั้นจะถูกทำลายสิ้น

ในเมื่อทุกสิ่งบนโลกใบนี้จะถูกทำลาย  ท่านควรจะเป็นคนแบบไหน?  ควรจะดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์อย่างไรในทางพระเจ้า  ควรจะจดจ่อไปที่นั่นหรือไม่? ไม่ควรจดจ่อไปที่มันแล้วใช่ไหม? นี่พระเจ้าจะมาได้ต่อเมื่อพระเจ้าอยากจะให้คนที่ไม่เชื่อ ได้รับเชื่อ จะรู้ได้อย่างไรว่ามันถึงเวลาของพระเจ้าแล้ว พูดง่ายๆ อ่านแล้ว ก็คือมันเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที อาจจะเป็นอีก 1 นาทีข้างหน้านี้ เกิดกัมปนาท เปรี้ยง โลกใบนี้และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ถูกทำลายจนหมดสิ้น

เพราะฉะนั้น นี่ก็พูดไปถึงคนที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดด้วย อย่าเสี่ยงๆ ในนี้บอกพระเจ้ามาอย่างขโมย ก็คือไม่มีใครรู้ นึกไม่ถึง คิดไม่ถึง คาดไม่ถึง เปรี้ยงเดียว จบ คนที่เชื่อแล้ว ก็ได้ไปสวรรค์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล แต่ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ก็อย่าไปจดจ่อกับมัน ถูกมันล่อลวงให้หลงไป เพราะว่าถูกล่อลวงให้หลงไป ก็ทำให้ชีวิต แม้ว่าจะไปสวรรค์ก็จริง แต่อย่างที่บอกไว้ว่ามันไม่มีความสุขเท่าที่ควร แล้วไม่ให้พระเจ้าใช้ชีวิตเราให้เป็นประโยชน์ในการนำผู้อื่นมารับเชื่อ มาสู่สวรรค์เหมือนกับเราอย่างนี้ ได้มากเท่าที่ควร เพราะฉะนั้น อย่าหลงทาง อย่าไปจดจ่อ สนใจกับมันมากนักบนโลกใบนี้ เพราะมันกำลังดับสูญไป แป๊บเดียว

ในนี้ยังบอกว่า 1 วันของพระเจ้าเท่ากับ 1 พันปีของมนุษย์ พูดง่ายๆ ก็คือเวลาของพระเจ้าไม่เท่ากับเวลาของเรา ไม่เหมือนเวลาของเรา เราบอกว่าเป็นพันปี พระเจ้าบอกว่าแค่วันเดียวเอง

มีชายคนหนึ่งเขาถามพระเจ้าว่า … “เงินร้อยล้าน สำหรับพระเจ้า เท่ากับเท่าไร?”

พระเจ้าก็ตอบว่า … “ร้อยล้านเหรอ ตัวเลขในสวรรค์กับตัวเลขในโลกนี้ มาเทียบกันไม่ได้หรอกลูกเอ๋ย มันต่างกันลิบลับเลยล่ะ  ร้อยล้านก็เทียบเท่ากับบาทหนึ่งมั้ง”

ชายคนนั้น ก็เลยบอกพระเจ้า … “พระเจ้า อย่างนั้น ลูกอธิษฐานขอสักบาทสิ”

พระเจ้าบอก … “ได้ สบายมากอยู่แล้วลูกเอ๋ย รอแป๊บหนึ่ง รอ 1 วินาที”

1 วินาทีอาจจะ 100 ปี พระเจ้าบอกให้รอแป๊บเดียวเอง พระองค์บอกอดทนนิดเดียว แล้วพระองค์ก็อดทน ไม่อยากจะทำลายโลกเลย เพราะยังมีมนุษย์ที่ยังไม่เชื่ออยู่ แต่มันจะมีวันเวลาที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วจริงๆ เราไม่รู้ว่าวันไหน?  พระเจ้าจึงบอกคนที่เชื่อแล้ว รอแป๊บหนึ่ง อดทนต่อความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดา โลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า มันก็ทุกข์ยากลำบากอย่างนี้แหละ มารมันไม่เคยปลดปล่อย ไม่เคยยอมให้ใครสักคนหนึ่งมีความสุขบนโลกใบนี้ เพราะมันมีหน้าที่ของมันที่จะขโมย ฆ่า และทำลายทุกคนที่เป็นของพระเจ้า รวมทั้งสรรพสิ่งด้วย ทั้งสัตว์ ก้อนหิน ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมด ก็ถูกทำลาย โดยความชั่วร้ายของมารด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงบอกให้อดทนอีกแป๊บเดียวนะ ลูกเอ๋ย เดี๋ยวความสุขนิรันดร์ก็จะมาถึงแล้ว โลกใหม่ ร่างกายใหม่ ที่จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยไปแล้ว อดทนรออีกแป๊บเดียว

เพราะฉะนั้น ให้เราอดทน พอเราเกิดความเจ็บป่วย มนุษย์ถูกสาปแช่งบนโลกใบนี้แล้ว มารทำให้มนุษย์ร่างกายเสียหายไปหมดแล้ว ร่างกายมันต้องเกิดความเจ็บป่วยเสียหาย ไปสู่ความตาย เป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ อดทนหน่อยลูกเอ๋ยแป๊บเดียวเอง  จะได้รับร่างกายใหม่  เพราะฉะนั้น ยามเจ็บป่วย จึงต้องอธิษฐานกับพระเจ้า แล้วอดทน  มันเจ็บปวด ก็อดทนเอา มันมีวันหยุดของมัน ขาดแคลนเงินไม่พอใช้ อดทน ยิ่งตอนนี้ โควิดทำให้การงานไม่ดี ตกงานบ้าง อะไรต่างๆ เหล่านั้น เป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ ที่เสียหายไปแล้ว เพราะฉะนั้น อดทนนะลูกเอ๋ย อดทนๆ เพราะเรามีความหวังใจแน่นอนในชีวิตนิรันดร์  ชีวิตในสวรรค์สถานที่เราได้อยู่แล้วในสวรรค์ และจำได้อยู่อย่างถาวรนิรันดร์ด้วยโลกใหม่ ที่ไม่มีอย่างนี้อีกแล้ว ถูกเขาเอาเปรียบอะไรต่างๆ จะโกรธเขาอะไรต่างๆ เหล่านั้น  ก็ต้องอดทนไว้ลูกเอ๋ย อดทนไว้ อย่าไปเชื่อมารมัน นั่นคือวิถีทางของโลก ไม่ว่าอะไรต่ออะไรอีกหลายๆ อย่างบนโลกใบนี้

ยกตัวอย่างง่ายๆ อีกอันหนึ่ง สุดท้าย นี่คือต้องอดทน เห็นชัดเลย มารก็หลอกเรา การกินเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องกิน เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง ให้สุขภาพร่างกายอยู่ได้ แล้วมนุษย์ก็ชอบกินของอร่อยอยู่แล้ว พระเจ้าสร้างให้เรามากินของอร่อย แต่มารมันทำให้เสียหายไปหมดแล้ว ถูกหลอกด้วยมาร กินของอร่อย แต่มันทำลายสุขภาพตัวเอง เราก็ต้องพยายามอดทน รู้ว่ากินมันอร่อยจริง แต่มันเป็นพิษต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายสุขภาพไม่ดี ก็กินให้มันน้อยหน่อย ต้องใช้ความอดทนเหมือนกัน จะกินข้าวเหนียวทุเรียน ก็อดทนหน่อย กินมันน้อยหน่อย ถ้ากินมาก เราก็เป็นทุกข์ แม้ไปสวรรค์ก็จริง แต่มันทุกข์แบบไม่สมควรที่จะทุกข์

คล้ายๆ กันอย่างนี้  ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง แล้วค่อยมาเรียนรู้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่าการดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าสอนเราอย่างนี้ ไม่จดจ่อลงไปในโลกฝ่ายวัตถุ มันมีประโยชน์ต่อเรา เป็นพระพรต่อเรามากเพียงใด ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************