คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2020 เรื่อง “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว” ตอน 3 “จงเกิดใหม่” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  มิถุนายน  2020

 เรื่อง “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว”

ตอน 3 “จงเกิดใหม่”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ วันนี้เป็นตอนสุดท้ายของเรื่องสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ตอนที่ 3 จงเกิดใหม่ (ซะ) ตั้งใจฟังให้ดีๆ เหมาะสำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว  และเหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่เชื่อด้วย ซึ่งสำคัญมากกว่าผู้ที่เชื่อแล้วซะอีก เพราะฉะนั้น ต้องฟังทั้งสองกลุ่ม กลุ่มที่เชื่อแล้ว  กลุ่มที่ฟังอยู่ ยังไม่เชื่อ และกลุ่มที่ฟังอยู่แล้ว เอ๊ะ สวรรค์อยู่ที่นี่แล้วจริงๆ เหรอ หากันมาตั้งนาน อย่างที่ผมบอก เรื่องของข่าวประเสริฐของพระเยซู เรื่องพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณเพียงอย่างเดียวเลย  ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับมนุษย์บนโลกใบนี้

เราได้ฟังมาตลอดว่าผู้ที่จะได้รับความรอดจากบาป รอดจากการตกนรก และได้รับสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้มากมาย อย่างเช่นสวรรค์เป็นต้น มีหนทางเดียว คือเขาเหล่านั้น หรือเขาคนนั้นจะต้องบังเกิดใหม่ 2 ตอนที่แล้ว เราพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาต้องบังเกิดใหม่ ซึ่งวันนี้ เราจะมาคุยกันว่าการบังเกิดใหม่ หมายความว่าอย่างไร? และทำไมต้องบังเกิดใหม่ด้วย สาเหตุหลักที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้มนุษยชาติตกจากสวรรค์ ลงมาอยู่ตรงกันข้ามกับสวรรค์ ก็ตกลงมาอยู่นรก คำสาปแช่ง หรือเรียกว่าความบาป ความตาย มันเป็นสาเหตุที่ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่การกระทำชั่ว หรือการกระทำดีของเขาคนนั้น ของมนุษยชาติ ในพระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดจาก เกิดมาเป็นเลย  เกิดจากครรภ์มารดา คลอดออกมา วิญญาณก็อยู่ในความบาป อยู่ในความตาย อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าความมืด หรือเราเรียกว่านรกนั่นเอง คือไม่มีพระเจ้าอยู่ที่นั่น

เพราะฉะนั้น สาเหตุหลัก ก็คือไม่ได้อยู่ที่การกระทำ  แต่อยู่ที่การเกิดมาเป็น เกิดมาเป็นบาปเลย อยู่ในความตาย อยู่ในอาณาจักรมืดเลย  เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว และก็ได้รับรู้ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเมื่อเขาบังเกิดใหม่ ในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูบอก ขณะนี้ เขาอยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ต้องรอให้เขาตายไปก่อน แต่ตอนนี้เขาเดินอยู่บนโลกใบนี้ แต่วิญญาณเขาอยู่ในสวรรค์แล้ว ถ้าเขารู้อย่างนี้ เขาก็จะชื่นชมยินดีในชีวิตบนโลกใบนี้อย่างสบายๆ  สามารถเผชิญทุกสถานการณ์ได้ ในชีวิต ไม่ว่าจะดีขนาดไหน หรือเลวขนาดไหน ตามที่พระคัมภีร์บอกว่า …

“ข้าพเจ้าสามารถเผชิญทุกสถานการณ์ได้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เสริมกำลังให้ข้าพเจ้า พาข้าพเจ้าได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว อะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เขาไม่สะทกสะท้าน เพราะเขารู้ว่าการอยู่บนโลกใบนี้มันแป๊บเดียวชั่วคราว แต่การที่เขาอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ อยู่ในสวรรค์แล้ว มันอยู่ถาวรนิรันดร์เลย เพียงแต่มีขีดกั้นนิดเดียว ระหว่างมิติของโลกวัตถุนี้กับมิติทางฝ่ายวิญญาณ นิดเดียว กั้นไว้ด้วยร่างกายเก่าที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้”

พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อร่างกายนี้สิ้นสุดลง หมดงาน คือตายไป วิญญาณออกจากร่าง ก็อยู่ที่สวรรค์เหมือนเดิม แต่เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  เขาถึงไม่กลัวไง?  คนที่เชื่อในพระเจ้า ที่เป็นผู้บังเกิดใหม่ในอดีต อย่างเช่นอัครสาวก หรือผู้เชื่อในสมัยยุคแรกๆ หรือตั้งแต่โน้นมาจนถึงทุกวันนี้ มีเยอะแยะมากมาย เขาสามารถเผชิญกับความรุนแรง ความท้าทายอย่างมากมาย ตามที่พระเจ้าได้ใช้เขา บางคนบอกว่าไม่กลัวเลย บางคนถูกตัดคอ บางคนถูกตรึงที่ไม้กางเขน อย่างทุกข์ทรมาน บางคนถูกนำไปเผาไฟทั้งเป็น  บางคนถูกนำไปข่มเหงรังแก ไปสู้กับสัตว์ร้าย ให้สัตว์ร้ายกัดกินอะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่เขาเหล่านี้ไม่สะทกสะท้านถึงสิ่งเหล่านั้นเลย เพราะเขารู้ว่าเขาเป็นวิญญาณ และอยู่ในสวรรค์แล้ว และเขามีคอนเชปในชีวิตว่าถ้าตาย หมายถึงวิญญาณ ถ้าออกจากร่าง ก็ได้กำไร ก็ดีกว่าอยู่อีก  เพราะว่าจะได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย แล้วก็หมดทุกข์หมดโศก ไม่ต้องรับใช้พระเจ้า ไม่ต้องทำงานอีกต่อไปแล้ว ท่านพอมองเห็นไหมครับ?

เพราะฉะนั้น การได้รับรู้ว่าเดี๋ยวนี้ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว สำหรับผู้ที่เชื่อแล้วนะ  จึงมีความสำคัญมากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ไม่มีอะไรมาทัดเทียมได้เลย เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอกเราว่าใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว จงจดจ่อความคิดของท่านตลอดวันตลอดคืนที่เบื้องบน ที่ในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใคร?  ท่านเป็นลูกพระเจ้า ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว

เพราะว่าขณะที่พวกเขารับรู้ว่าตัวตนแท้จริงของเขาอยู่ในสวรรค์ แสดงว่าเขารับรู้แล้วว่าตัวตนแท้จริงของเขาตามที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ ได้บันทึกเอาไว้ เป็นประวัติศาสตร์มนุษยชาติว่ามนุษย์นั้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณ มีจิตใจและอาศัยในร่างกายนี้เพียงชั่วคราว  เพราะร่างกายนี้กำลังไปสู่ความตายนั่นเอง และมีอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณบ้าง

ในโลกวิญญาณเขารู้ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น เพราะเขาอ่านในพระคัมภีร์  พระคัมภีร์พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เขารู้ว่าถ้าเขาตายลง หรือวิญญาณออกจากร่าง ก็คือแค่เปลี่ยนมิติไปสู่มิติฝ่ายวิญญาณชัดเจน ไม่มีอะไรขวางกั้น  เห็นโลกวิญญาณอย่างชัดเจนแจ่มใส ไม่มัวๆ อย่างวิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่รับรู้แบบนี้ได้ และเข้าใจเรื่องนี้ได้  ก็จะมีความหวังใจที่เรียกว่าความหวังใจที่เป็น now แปลว่าเดี๋ยวนี้  เป็นความหวังใจเดี๋ยวนี้ พระคัมภีร์จะไม่เหมือนความหวังใจของโลกที่เขาบอกว่า …

“เราหวังว่าเราจะมีรถคันหนึ่ง เราหวังว่าเราจะประสบความสำเร็จ”

มันเป็นอนาคตทั้งหมด แต่พระคัมภีร์ในความหวังตรงนี้ เป็นความหวังที่เป็น faith หมายถึงความเชื่อศรัทธา ความหวัง + กับความเชื่อศรัทธา มันจะกลายเป็นจริง ก็คือมันจับต้องมองเห็นได้ ในสิ่งที่เราหวัง แม้จะมองไม่เห็น แต่มันจับต้องมองเห็นได้ ที่ความสัมผัสทางฝ่ายวิญญาณของเรา  เพราะเรารู้เราเป็นวิญญาณ เราสัมผัสจับต้องได้ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว

สิ่งที่เราหวังไว้ คืออะไร?  เราจะอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ มันจับต้องมองเห็นได้  ก็เพราะความหวังนี้แหละ  เพราะฉะนั้น ใครที่รู้ความจริงตรงนี้ ก็จะมีความสุขสมบูรณ์ คิดไม่เหมือนกับคนในโลกนี้แล้ว ก็จะไม่กลัวความตาย ไม่กลัวความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าอะไรก็ตามบนโลกใบนี้ ไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว พระเจ้าอยากจะพาผู้เชื่อทั้งหลาย ที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มาสู่ความจริงตรงนี้ เพื่อเขาจะได้มีสันติสุข ความสงบสุขบนโลกใบนี้ ที่เกินกว่ามนุษย์จะคิดและจะคาดได้

คราวนี้ทำอย่างไรถึงจะได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ หลายคนก็พอรู้บ้าง วันนี้มาเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งว่าแล้วทำอย่างไรถึงได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้เลย ยอห์น 3:3-6 …

ยอห์น 3:3-6 “3 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า  “เราบอกความจริงกับท่านว่าถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า”  4 นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “คนชราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร จะเข้าไปในท้องของแม่ครั้งที่สอง แล้วเกิดใหม่ได้หรือ” 5 พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่าถ้าใครไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ คนนั้นจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้  ที่เกิดจากเนื้อหนัง ก็เป็นเนื้อหนัง  และที่เกิดจากพระวิญญาณ  ก็เป็นวิญญาณ”

 

พระเยซูพูดชัดเจน ใครจะเข้าสวรรค์ต้องผ่านการบังเกิดใหม่ ถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้าได้ ถ้าใครไม่ได้เกิดจากน้ำ หมายถึงเกิดจากครรภ์มารดา อยู่ในน้ำคร่ำ ก็คือเป็นมนุษย์ ใครก็ตามที่เป็นมนุษย์ คนนั้นอยากจะเกิดใหม่ ไม่ใช่คลานเข้าไปสู่ครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่ง  แต่ต้องบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเธอ คนนั้นจึงจะเข้าแผ่นดินของพระเจ้าได้ เนื้อหนัง ก็เป็นเนื้อหนัง คือเกิดจากเนื้อหนัง เกิดจากร่างกายนี้ เกิดจากแม่ ก็มีเนื้อหนังที่เราเห็นเป็นร่างกาย เป็นเลือดเนื้อ แต่เกิดจากวิญญาณ คือบังเกิดใหม่ ก็เป็นวิญญาณของเธอที่เกิดใหม่ หมายถึงอย่างนี้

แล้วขบวนการเป็นอย่างไร? ก็อย่างที่เรารู้ ขบวนการ เริ่มต้นด้วยการรับรู้ข่าวดีของเรื่องพระเยซูว่าพระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสบังเกิดใหม่ ใครที่เชื่อข่าวดีนี้  เชื่อในสิ่งที่พระเยซูพูด พอเชื่อปั๊บ พระเจ้าก็ทำการบัพติศมา

บัพติศมา แปลว่าจุ่มลง มุดลงไป  พระเจ้าก็จับวิญญาณคนนั้น จุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์ เรียกว่าบัพติศมาเขาเข้าในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เมื่อพระองค์ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน คนที่อยู่ในพระองค์ก็ถูกตรึงด้วย เมื่อพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ คนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็ถูกฝังไปด้วย เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 วิญญาณของคนๆ นั้นที่อยู่ในพระเยซู ก็เป็นขึ้นมาใหม่ จากความตายด้วยเช่นเดียวกัน การเป็นขึ้นมาใหม่ นั้นก็คือการเกิดใหม่ คือเข้าสวรรค์ตรงนี้แหละ

 

          ลองถามตัวเองสิว่าเราเกิดใหม่หรือยัง? เกิดใหม่ไม่ต้องจับต้องมองเห็นได้ เพราะว่ามันมองไม่เห็น มันเป็นโลกวิญญาณ ถ้าท่านมั่นใจว่าท่านเชื่อในข่าวดีของพระเยซู เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาปให้กับมนุษย์ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ถ้าท่านมั่นใจว่าท่านเชื่ออย่างนี้ วิญญาณท่านบังเกิดใหม่แล้ว ตอนนี้ ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เรียนรู้ ที่จะรับรู้ว่าท่านเป็นใคร? อยู่ในสวรรค์แล้ว เป็นอย่างไร? ชาวสวรรค์เขาทำกันอย่างไร?  อนาคตเป็นอย่างไร?

ขบวนการของการบังเกิดใหม่ มันเกิดในวิญญาณ ในจิตใจที่ติดกับวิญญาณ  ส่วนร่างกายที่เราเห็นๆ กันอยู่นี้ ยังคงเป็นร่างกายเดิมที่ต้องตาย เพราะบาป  ต้องกลับคืนสู่ดินไป  ในวันหนึ่งข้างหน้า  อาจจะอีกไม่กี่ปี แต่ร่างกายที่เราเห็นๆ กันอยู่ ที่บอกอยู่อีกไม่กี่ปีนี้  ที่จะต้องตายนี้  ขณะที่เราเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว พระเจ้าก็ชำระร่างกายที่ต้องตายให้สะอาดหมดจด เพื่อเป็นวิหารของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ จะมาสถิตอยู่ และรวมทั้งวิญญาณของตัวเองที่สะอาดบริสุทธิ์แล้วอยู่ในนั้น

เพราะฉะนั้น ร่างกายเราที่เห็น มันสะอาดหมดจด โดยการชำระ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เพื่อมอบเราเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เพื่อเป็นวิหารของพระเจ้า  รอวันที่เราจะได้รับร่างกายถาวรนิรันดร์ เมื่อวันที่พระเยซูเสด็จกลับมาอีกที นั่นคือภายหน้า เพราะฉะนั้น การเกิดใหม่ คือการเกิดทางวิญญาณจิตใจที่เกิดใหม่ทันที  ส่วนร่างกายที่จะเกิดใหม่นั้น  รอให้พระเยซูคริสต์กลับมาอีกทีหนึ่งก่อน รออนาคตข้างหน้า  จริงๆ ว่ากันตามจริง ผมไม่อยากจะพูดเลย แต่ใบ้ให้นิดหนึ่งก็ได้ว่าจริงๆ แล้วทางโลกวิญญาณของพระเจ้า ในมิติโลกวิญญาณ  มันไม่มีเวลา ไม่มีวัน ไม่มีเดือน ไม่มีปี มันเกิดขึ้น ก็คือเกิดขึ้นเลย  จริงๆ ร่างกายของท่าน ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซู มันเป็นอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านอยู่ในร่างกายนี้ จึงไม่สามารถสัมผัสอยู่ในโลกวิญญาณได้เท่านั้นเอง เราไปดูในทิตัส 3:5

ทิตัส 3:5 “พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด  ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราได้ทำ  แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่ และการทรงสร้างขึ้นใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

 

เห็นไหมครับ พระองค์ทรงช่วยให้เรารอดจากโทษของความบาป รอดจากนรก  รอดจากคำสาปแช่ง  ไม่ใช่ เพราะความชอบธรรมที่เราทำ  ก็คือไม่ใช่การกระทำดีของเรา ไม่ใช่การประพฤติของเรา แต่เป็นความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ที่เป็นพระมาซีฮาห์ ที่เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติต่างหากล่ะ  ในนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน  พระองค์ทรงช่วยให้รอด ผ่านทางการชำระเรา แล้วก็ให้เราบังเกิดใหม่ ชำระโดยการตายของพระเยซูบนไม้กางเขน  และการบังเกิดใหม่ พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราก็ได้เป็นขึ้นมาด้วย บังเกิดใหม่  โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ทำให้เราเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่  เข้าไปในสวรรค์ของพระเจ้าเลยทีเดียว ตั้งแต่วันที่เรารับเชื่อวันแรก 1 เปโตร 1:3 ก็ได้บันทึกไว้อย่างนี้เช่นเดียวกัน

1 เปโตร 1:3 “สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลาย บังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตาย ของพระเยซูคริสต์”

 

พอเราถูกจุ่มลงไป บัพติศมาเราลงไปในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซู พอพระเยซูตาย เราก็ตายด้วย  พระเยซูอยู่ในอุโมงค์ เราก็อยู่ในอุโมงค์ด้วย  พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย ก็คือเกิดใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน ฮาเลลูยา ไม่ต้องทำอะไรเลย  ไม่ใช่จากการกระทำของเราเลย  เราเกิดใหม่ด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ในนี้บอกว่าพระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่

วิธีทำ ก็คือจุ่มเรา บัพติศมาเราลงไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ทันทีเลย เมื่อพระองค์ตาย เราตายด้วย  ฝังๆ ด้วย เป็นขึ้นมาใหม่ เราเป็นด้วย  เราอยู่ในพระเยซูนั่นเอง  ในนี้บอกให้เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

ความหวังอันยืนยง ก็คือการได้บังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เหตุจากการเป็นขึ้นจากความตายในพระเยซูคริสต์ แล้วเราอยู่ในการเป็นขึ้นจากความตายนั้น เราเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย  1 เปโตร 1:23 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 เปโตร 1:23  “เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่เกิดจากเมล็ดพันธุ์อันเสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์อันไม่รู้เสื่อมสลาย คือพระวจนะของพระเจ้า อันทรงชีวิตและยืนยงถาวร”

 

เกิดจากเมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีทางสลายได้เลย คือเมื่อท่านเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้ว ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว ท่านจะอยู่ในสวรรค์ตลอดไป มันแปลว่าอย่างนี้  มันไม่เปลี่ยนแล้ว มันเกิดมา เมล็ดพันธุ์ไม่เสื่อมแล้ว ไม่สูญหายแล้ว ไม่มีตาย เป็นนิรันดร์ เมื่อท่านเป็นลูก ก็เป็นลูกเลยทีเดียว ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นแล้ว ไม่ใช่ เดี๋ยวเป็นลูกแล้ว อีก 3 วันรู้สึกไม่อยากจะมาโบสถ์ มีคนบอกท่านไปลงนรกอีก กลายเป็นลูกมารอีก เป็นไปไม่ได้แล้ว ท่านอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า อยู่ในกำมือของพระเจ้า อยู่ในคอกของพระเยซูแล้ว ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากความรักของพระเจ้าที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้เลย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระองค์บอกว่าเราจะไม่ล่ะเจ้าและไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย  เราจะอยู่กับเจ้าไปตลอด จนสิ้นยุค ยุคไหน ก็อยู่ตลอด  มันแปลว่าอย่างนี้

ตามที่พระคัมภีร์บอก ตามที่เราได้เรียนรู้กันว่าสิ่งที่มองเห็น เกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น พูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่อยู่ในโลกวิญญาณเป็นผู้บงการให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ที่เรามองเห็น โลกวัตถุนี้ ก็คือสิ่งที่มองเห็นบนโลกวัตถุนี้  เกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น  คือในโลกวิญญาณควบคุมอยู่เหนือสิ่งที่มองเห็นอยู่บนโลกนี้ ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็นนั้น มันมีจริงๆ  มันเกิดขึ้นจริงๆ  และพระคัมภีร์พระเจ้าสอนเรา บอกเราในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น  ที่ผมบอกว่าเราจะอ่านพระคัมภีร์ ศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย จงมองให้เห็นเถิด จงมองไปที่โลกวิญญาณ  อย่าใช้ความคิดสติปัญญาของมนุษย์ อย่าใช้ปรัญญาของมนุษย์ อย่าใช้ความรู้แบบมนุษย์ มันจะไม่เข้าใจ อย่าตีความแบบมนุษย์ ตามที่ตามองเห็น ไม่ใช่อย่างนั้น  จงมองให้เห็นเถิดว่าข้อความแต่ละข้อความที่เราอ่านนั้น อะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันหมายถึงอะไร?  มันบ่งบอกอะไรในโลกวิญญาณบ้าง ตรงนี้แหละสำคัญมาก

ตามพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้นจริงๆ ว่าโลกวิญญาณเป็นตัวกำหนดโลกวัตถุ และโลกวิญญาณสำคัญมากจริงๆ แล้วพระองค์ทรงชี้ให้เราเห็นว่าในโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น  และเรากำลังเรียนรู้เรื่องสวรรค์ อยากรู้ไหมว่าในโลกวิญญาณ ที่บอกเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่ที่ไหน?  สถานะเราเป็นอย่างไร?  หมายถึงผู้เชื่อนะ  เกิดใหม่แล้ว เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เรากำลังอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซู พระเยซูอยู่ที่นั้น วิญญาณเราก็อยู่ที่นั่นด้วยเลยทันที ในสวรรค์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า  โคโลสี 1:13-14 …

โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป  คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

ท่านพอมองเห็นภาพหรือยังว่าในโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น? … เพราะพระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด” ย้ายเราออกมาจากอาณาจักรของความมืด  จากคำสาปแช่ง ความบาป  จากนรกนั่นเอง  และได้ทรงนำเรา ก็คือได้ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง  เป็นที่รักของพระองค์ ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ มันมีการเคลื่อนย้ายกันในโลกวิญญาณ ขณะที่เราเชื่อในข่าวดีของพระเจ้า แค่เชื่อด้วยใจและพูดด้วยปากว่าเราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ไถ่บาปเราได้ และเชื่อว่าพระเจ้าส่งพระเยซูมา และพระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ในวันที่ 3 เชื่อจริงๆ แค่นี้เอง

ในพระเยซูคริสต์นี้  เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา  ในพระเยซู ในสวรรค์นี้ จบไปเลย บาปเราได้ถูกยกไปแล้ว  สะอาดหมดจดแล้ว เราจึงเข้าไปสู่สวรรค์ได้ เห็นไหมครับ โลกวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น  ขณะที่เราเชื่อในพระเจ้า เราถูกย้ายจากนรก มาอยู่ในสวรรค์ ย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในความสว่าง ย้ายจากคำสาปแช่งมาอยู่ในพระพรของพระเจ้า นานานับประการ ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้  โคโลสี 3:1 …

โคโลสี 3:1 “ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว  ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

 

พระเจ้าบอกว่าในเมื่อท่านเชื่อแล้ว ท่านเกิดใหม่แล้ว  ท่านไม่รู้เรื่องใช่ไหม? พระเจ้าเริ่มสอนท่านบอกว่าถ้าท่านได้รับเชื่อเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าก็ทรงให้ท่านทั้งหลายที่เชื่อแล้วเป็นขึ้นใหม่  บังเกิดใหม่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน  ก็คือสิ่งที่อยู่ในโลกวิญญาณ จดจ่อไปที่โลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

พระคริสต์ประทับอยู่ และท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็อยู่กับพระเยซูที่นั่นแหละ จดจ่อเรื่องนี้  คิดใคร่ครวญเรื่องนี้ ทั้งวันทั้งคืน แล้วพระวิญญาณก็จะพาท่านไปรับรู้สิ่งต่างๆ มากมายในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนที่พระเยซูยังเดินอยู่บนโลกใบนี้  พระองค์บอกว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าท่านจะไม่เข้าใจหรอก แต่รอให้วันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่กับท่าน ทำให้ท่านเกิดใหม่แล้ว  วันนั้น พระวิญญาณจะสอนท่าน ท่านจะเข้าใจแล้วว่าที่พระเยซูพูดนั้น มันหมายถึงอะไร? มันหมายถึงเรื่องความรู้เรื่องโลกวิญญาณ ที่ท่านจะได้รับรู้ เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ถ้าไม่บังเกิดใหม่ ก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะฉะนั้น อย่าลืมจดจ่อความคิดของท่านไปที่เบื้องบน คือตำแหน่งของท่านในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใคร? อยู่ที่ไหน?  เป็นอย่างไรบ้างในโลกวิญญาณ เอเฟซัส 2:4-6 …

เอเฟซัส 2:4-6  “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์  และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”

 

นี่ชัดเจนเลย … “ท่านทั้งหลายได้รับความรอด จากการถูกลงโทษ จากคำสาปแช่ง  รอดจากความบาป ความตาย รอดจากนรก ด้วยพระคุณ” … ก็คือไม่ได้โดยการที่เราทำเอง แต่โดยที่พระเจ้ารักเรา ทำให้เราฟรีๆ … และพระองค์ทรงให้วิญญาณของเรา ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจับเราไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในนี้เป็น tenes หรือเป็นประโยคที่บอกว่าทำตอนที่เรารับเชื่อ ทันที เดี๋ยวนี้  และตอนนี้ ก็อยู่ที่นั่น เมื่อท่านเชื่อแล้ว  ไปไหนก็ไม่ได้แล้ว แก้ไขก็ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้แล้ว เกิดเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เกิดตลอดไป อยู่ที่นั่นตลอดไป ไม่มีวันที่จะกลับไปกลับมา ไม่มีวันเลย  ท่านจะอยู่ที่นั่นตลอดไปเป็นนิตย์ เอเมน

พระเจ้าไม่ได้ให้พระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน ยกโทษบาปแค่นั้น แต่สำคัญกว่านั้น คือยกโทษบาปแล้ว ยังคงได้เปลี่ยนแปลงวิญญาณของเรา ผ่าตัดวิญญาณของเรา  ทำให้เราได้เกิดใหม่  มีส่วนเข้าร่วมในพระสิริของพระเจ้า พระลักษณะของพระเจ้า  คือวิญญาณของเราเกิดใหม่ มี DNA ของพระเจ้า พระเยซูคริสต์อยู่ในนั้น เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นสปี่ซี่เดียวกันกับพระองค์เลย ตัวนี้มันสำคัญกว่าในโลกวิญญาณ มากกว่าการไถ่บาป

การไถ่บาปเป็นจุดเริ่มต้น ไม่ไถ่บาปไม่ได้ พอไถ่บาปปุ๊บ ก็ให้ท่านบังเกิดใหม่ โดยการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  คือไถ่บาป การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซูคริสต์ในวันที่ 3 คือการให้ท่านบังเกิดใหม่ ท่านได้รับทั้งคู่ไปเลย เป็นแพ๊คเกจ ผมแปลว่าอย่างนี้

“ดังนั้น ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หรือข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว คนๆ นั้น ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่”

เดี๋ยวผมพาท่านไปเห็นจริงๆ ไม่ใช่ผมพูดเองนะ เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่แล้ว  ไม่ใช่รอให้เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ แต่เป็นแล้ว ใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้กระทำให้วิญญาณคนนั้น ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ แท้ๆ ของเขานั้น  ที่จะอยู่ไปตลอดนั้น  ได้เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่  ซึ่งผมให้ชื่อว่าพันธุ์สวรรค์ พันธุ์พระคริสต์ ก็ได้  เราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่

แล้วพันธุ์เก่าเราคืออะไร? พันธุ์เก่า เราก็คือพันธุ์นรก พันธุ์การสาปแช่ง พันธุ์อาดัม … อาดัม คือบรรพบุรุษของมนุษยชาติ ที่ตกลงไปอยู่ในความบาป เราจะอยู่พันธุ์ไหน?  ถ้าเราไม่ย้ายมาอยู่พันธุ์พระเยซูคริสต์เราก็อยู่ในพันธุ์เดิม  พันธุ์อาดัม ก็อยู่ในนรก แต่ถ้าเราเชื่อแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราก็กลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่แล้ว เป็นพันธุ์สวรรค์ พันธุ์พระคริสต์ 2 โครินธ์ 5:17 บันทึกอย่างนี้ชัดเจนว่า …

2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ การทรงสร้างใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว สิ่งเก่าได้ล่วงไป สิ่งใหม่ได้เข้ามา”

 

เพราะฉะนั้น ผู้ใดก็ตามที่ได้เกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ ผู้ใดก็ตามที่ได้ถูกนำเข้ามาในพระคริสต์ ก็เป็นผู้ที่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว ภาษาเดิมตรงนี้ แปลว่ามนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ ก็คือมนุษย์พันธุ์ใหม่นั่นเอง สิ่งเก่าๆ ก็คือตัวที่เป็นพันธุ์เก่า  ก็ล่วงไปทั้งหมด ทุกสิ่งเป็นใหม่เอี่ยมทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณก็เป็นวิญญาณใหม่ ความคิดจิตใจ ก็เป็นความคิดจิตใจใหม่ ร่างกาย แม้ว่าจะเป็นร่างกายเดิมอยู่ ก็ได้รับการชำระให้เป็นวิหารของพระเจ้า  และมีร่างกายใหม่ เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันหนึ่งที่เราจากร่างกายนี้ ทิ้งร่างกายนี้  วันนั้นแหละ ร่างกายใหม่เราก็จะไปสวม มีไว้เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่เรากำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณข้างในของเราเป็นลูกพระเจ้า เดินอยู่กับพระเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา  นี่มนุษย์พันธุ์ใหม่ แท้ๆ  และร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า  คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา ไปไหน ไปด้วยกันตลอดเวลาเลย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จึงเรียกว่ามนุษย์พันธุ์ใหม่  ถูกสร้างใหม่ เพราะฉะนั้น ก็หมายถึงว่ามนุษย์พันธุ์ใหม่นี้  อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว  เป็นของสวรรค์แล้ว  ไม่ได้เป็นของโลกใบนี้ที่เรากำลังเดินอยู่ ที่ตามองเห็นได้ แต่ก่อนนี้ เราเป็นของโลก เราเป็นของอาณาจักรเดิม เราเป็นมนุษย์พันธุ์เก่า แต่ตอนนี้ เราเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เป็นมนุษย์ของสวรรค์ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว มันชัดเจนนะครับ

แม้ว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ก็ตาม  แต่ในโลกวิญญาณ  ที่เราจะอยู่ตลอดไปนั้น เราอยู่ในอาณาจักรสวรรค์เรียบร้อยแล้ว  พระคัมภีร์บอกว่าโลกวัตถุที่เราจับต้องมองเห็นได้ ต้นไม้ใบหญ้า  น้ำ หิน ภูเขา บ้าน รถ อะไรต่างๆ  แม้กระทั่งร่างกายเรา  อยู่ในขบวนการการเสื่อมสลาย  ค่อยๆ สลายไปเรื่อยๆ  จากมนุษย์เมื่อหลายพันปีก่อนมีอายุ 900 ปี ตอนนี้มาเหลือ 50, 60, 70 ปี มันจะน้อยลงไปเรื่อยๆ  มันอยู่ในระหว่างการสิ้นสุด สูญเสียไป พระคัมภีร์บอกว่าโลกใบนี้อยู่ในการสูญสิ้น  มันอยู่ในความตาย อยู่ในการดับไป พูดง่ายๆ ชัดๆ อย่างคนไทย คุ้นคำนี้ ก็คือโลกใบนี้ และโลกวัตถุใบนี้ มันอยู่ในการเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วมันตั้งอยู่ แล้วมันกำลังดับสูญไป ใครไปไว้ใจมัน ใครไปอยู่กับมัน  ไปลงนรกกับมันด้วย สูญสิ้นไป  แต่ในโลกวิญญาณเป็นนิรันดร์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าเน้นให้เราจดจ่อไปที่โลกวิญญาณ คือสวรรค์ ที่เราได้อยู่กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เป็นลูกของพระองค์แล้ว ให้เราจดจ่อที่นั่น มันสำคัญกว่าเยอะ  1 เปโตร 2:11 ได้บันทึกไว้อย่างนี้

1 เปโตร 2:11 “เพื่อนที่รัก ผู้อยู่ในฐานะคนต่างด้าว และคนแปลกหน้าในโลกนี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้ละทิ้งตัณหาชั่ว ซึ่งต่อสู้กับวิญญาณจิตของท่าน”

 

“เพื่อนที่รัก” คือเพื่อนที่เชื่อในพระเจ้า เชื่อในข่าวประเสริฐนี้ ที่เกิดใหม่แล้วทั้งหลาย เพื่อนที่รัก พี่น้องที่รัก ผู้อยู่ในฐานะ คนเชื่อแล้วอยู่ในฐานะคนต่างด้าวและคนแปลกหน้าในโลกนี้ คนที่ดำเนินชีวิต แบบโลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเขา ตรงนี้มันแปลว่าอย่างนั้น  ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างโลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเราอีกแล้ว เราไม่ใช่ของบ้านเมืองนี้อีกแล้ว  บ้านเกิดของเราและตัวจริงๆ ของเราอยู่ที่สวรรค์แล้ว  โลกนี้ไม่ใช่บ้านอีกต่อไปแล้ว แต่บ้านของเราอยู่ในสวรรค์ อยู่เดี๋ยวนี้เลย  เพียงแต่พระเจ้าให้เราอยู่ในร่างกายนี้  เพื่อพระองค์จะใช้ร่างกายนี้ กระทำการงานของพระองค์ เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อนำพาผู้คนทั้งหลาย เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง เพื่อนำพาผู้คนทั้งหลาย พี่น้องของเรา  คือมนุษย์ทั้งหลายทั่วๆ ไป ที่ยังไม่ได้ยินข่าวประเสริฐ ได้มีข่าวดีไปถึงเขา  แล้วเขาเชื่อ เขาก็จะได้บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในสวรรค์เหมือนกับเรา

เพราะฉะนั้น เราต้องนึกในใจตรงนี้ตลอด ร้องเพลงนี้ …

โลกนี้ไม่ใช่บ้านเรา              ฉันเพียงอาศัยชั่วคราว

สมบัติฉันสะสมไว้               ที่ในสวรรค์เบื้องบน

ทูตสวรรค์ร้องเรียกอยู่         ณ ประตูบนวิมาน

และฉันรู้ว่าโลกนี้                 ไม่ได้เป็นบ้านฉันเลย

มีคนบอกว่าคนเราเกิดมา ก็มีบาปเวรกรรมติดตัวมาแล้ว โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย ส่วนใหญ่รับได้ เกิดมาทุกข์นะ มีเวร มีกรรม ก็ชดใช้กันไป  เขาเรียกว่ายอมรับไป แต่ตอนที่พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์จะทำให้เราบังเกิดใหม่  พ้นจากบาป กลับมาเป็นลูกพระเจ้า  อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเลยเดี๋ยวนี้  พระเจ้าทำให้เราบังเกิดใหม่ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เหมือนกัน เรากลับไม่เชื่อ มันเป็นไปได้อย่างไร?  พูดง่ายๆ เถียงนั่นเอง รับไม่ได้  ตะกี้นี้บอกชดใช้เวรกรรมรับได้ แต่ตอนนี้บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย  มาเชื่อเท่านั้น เปลี่ยนสถานที่ให้บังเกิดใหม่  รับไม่ได้ บางท่านอาจจะแย้งว่าบังเกิดใหม่ได้อย่างไรล่ะ  มาอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร?  ยังทำบาปอยู่เลย ความประพฤติยังไม่ดีเลย  นิสัยแบบนี้ ไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร?  ยังกินเหล้า เมายา ยังโกหกชาวบ้านเขาอยู่เลย ยังโกรธชาวบ้านเขาอยู่เลย  จะไปอยู่สวรรค์ได้อย่างไร?  บางคนก็เถียง

ฟังให้ดีนะ เมื่อท่านบังเกิดใหม่  เป็นลูกพระเจ้า  ซึ่งบางครั้ง อาจพลั้งเผลอไปทำบาป  แต่ก่อนหน้านี้  ตอนที่ท่านยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่เกิดใหม่  ท่านเป็นทาสมาร  ท่านตกอยู่ในความบาป  ท่านเป็นคนบาป  ที่บางครั้งก็อาจจะทำดี  เห็นหรือยัง เพราะฉะนั้น ไม่ว่าตอนที่ท่านบังเกิดใหม่แล้ว หรือก่อนที่จะบังเกิดใหม่  สังเกตให้ดีๆ ว่าทั้งสองสถานะนี้ เราต้องเกิดก่อน แล้วจึงทำดีหรือทำชั่ว  ไม่ใช่ทำดีทำชั่วก่อน แล้วจึงเกิด

เพราะฉะนั้น การเกิดใหม่จึงสำคัญ  ยกตัวอย่าง เพื่อให้ท่านเข้าใจง่ายๆ พ่อแม่ให้เราเกิดเป็นลูก เพราะว่าอยากมีลูกไว้ชื่นชม เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่มี DNA ที่มาจากท่านทั้งสอง ไม่ใช่เพราะจากเราทำดี  ก็คือไม่ใช่จากความประพฤติของเรา  เช่นเดียวกัน พระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์ เพราะความรัก ต้องการมีลูก ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ที่มาจากพระองค์ เพื่อรัก ทนุถนอมไว้ชื่นชมเหมือนกัน  ไม่ใช่ เพราะเราทำดี การประพฤติของเราดี จึงสมควรเป็นลูก ชัดมากเลย

สรุปรวมความ เรื่องสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว  ทั้ง 3 ตอนนี้ ก็คือย้ำยืนยันว่าโลกวิญญาณ คือสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น มีอยู่จริงๆ ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ คือวิญญาณ  มองไม่เห็นด้วยตา แต่มันมีอยู่จริงๆ  เป็นอยู่จริงๆ  และบัดนี้ วิญญาณของคนเชื่อในข่าวดีของพระเยซู ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกว่า ตำแหน่งของเขา คือได้อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว กับพระเจ้า เชื่อปั๊บ เข้าสู่สวรรค์ปุ๊บ ทันทีเลย พระคัมภีร์บอกว่าในโลกวิญญาณ สำคัญมาก ผู้ที่เชื่อแล้ว สำคัญน้อยกว่าผู้ที่ยังไม่เชื่อในข่าวดีนี้ ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อันนี้สำคัญกับท่านมากกว่าด้วยซ้ำไป ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งเป็นเหมือนลายแทง เหมือนเป็นประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทั้งหมด จากพระผู้สร้าง ได้เขียนไว้ว่ามีโลกที่เรามองไม่เห็น ที่เรียกว่าโลกวิญญาณอยู่ 2 แห่งเท่านั้นเอง หรือเรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ 2 อาณาจักร

                   อาณาจักรแห่งความสว่าง                            อาณาจักรแห่งความมืด

ความชอบธรรม                                                        ความบาป

มีชีวิตนิรันดร์                                                            ความตาย

มีสุขนิรันดร์                                                              คำสาปแช่ง

อยู่กับพระเจ้า                                                            ความทุกข์

เป็นลูกพระเจ้า                                                          เป็นทาสมาร

อาณาจักรแรก คืออาณาจักรเก่า ซึ่งเป็นที่อยู่ของวิญญาณแรกเกิด มนุษย์ทุกคนเกิดมาปุ๊บ ก็อยู่ในอาณาจักรเก่านี้แหละ คืออาณาจักรแห่งความมืด ที่เต็มไปด้วยความบาป ความตาย  คำสาปแช่ง ความทุกข์ และต้องเป็นทาสมาร ชั่วนิรันดร์  ซึ่งเรียกว่านรกนั่นเอง เกิดมา ก็อยู่ในนรกแล้ว

อาณาจักรที่สอง เรียกว่าอาณาจักรใหม่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คืออาณาจักรสวรรค์ หรืออาณาจักรแห่งแสงสว่างที่มีแต่ความชอบธรรม มีชีวิตนิรันดร์ มีสุขนิรันดร์ อยู่กับพระเจ้า ในฐานะลูกของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง

พูดง่ายๆ ว่าในโลกวิญญาณมี 2 อาณาจักร  คือนรกกับสวรรค์ อันเก่า ก็คือนรก  อันใหม่ คือสวรรค์  และสิ่งสำคัญ ก็คือเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ  ดังนั้นวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรเก่า หรืออาณาจักรใหม่ เขาต้องอยู่ที่แห่งใดแห่งหนึ่งแน่นอน หนีไม่พ้น เถียงไม่ได้  แล้วไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก เชื่อหรือไม่เชื่อ ก็มีแรงดึงดูดของโลกอยู่  โยนของลงไป มันก็ตกลงมาอยู่ เพราะมีแรงดึงดูดของโลกจริงๆ เชื่อไม่เชื่อ ทำบาป ได้รับโทษๆ  เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ไถ่ ก็พ้นโทษ เป็นกฎของวิญญาณนี้

มนุษย์ทุกคน  เมื่อแรกเกิดจากครรภ์มารดา วิญญาณก็อยู่ในอาณาจักรเก่า ซึ่งถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น ก็จะอยู่ในอาณาจักรเก่านี้ตลอดชั่วนิรันดร์ ดับสูญไปกับโลกวัตถุนี้เลย เพราะฉะนั้น เรื่องพระเยซู จึงเรียกว่าข่าวดี เกือบ 2,000 ปีแล้ว พระเจ้าประทานอาณาจักรใหม่ หรือเรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ ที่ดีกว่ามากมาย ผ่านทางพระเยซูคริสต์ให้กับมวลมนุษยชาติ เรียบร้อยแล้ว 1,990 ปี สวรรค์มาตั้งอยู่เรียบร้อยแล้ว สวรรค์มาสถาปนาบนโลกใบนี้ เรียบร้อยแล้ว ให้มนุษย์ได้เลือกเอา เป็นสิทธิที่มนุษย์มีอยู่ แต่จำเป็นต้องเลือกและต้องตัดสินใจเองว่าจะย้ายจากอาณาจักรเดิม หรือไม่ย้าย  ไม่มีใครช่วยท่านตัดสินใจได้เลย ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่  หรือใครก็ตาม ไม่สามารถช่วยท่านได้ ท่านต้องเป็นผู้ตัดสินใจเอง  แม้แต่พระเจ้ายังไม่สามารถบังคับท่านได้  ได้แต่เคาะประตู อ้อนวอน เปิดใจเถิด มาเป็นลูกของเรา กลับมาที่เดิม กลับมาสวรรค์ ตามหาทางอยู่ตลอดเวลา ท่านไปไหนก็ตามๆ เคาะประตูอยู่เรื่อย ท่านปฏิเสธไม่รู้กี่ครั้ง ก็ไม่เคยโกรธ ไม่เคยเกลียด ไม่เคยโมโห ไม่เคยอะไรเลย ยังคงตามเคาะประตู …

“เมื่อไรจะเปิดใจสักที เราจะได้เข้าไป ทำให้เจ้าเกิดใหม่ อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม  เมื่อสมัยที่เรามีเจ้าใหม่ๆ”

เพราะฉะนั้น พระเจ้ายังไม่สามารถบังคับเราได้ เราแต่ละคนต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะยอมให้พระเจ้าย้ายวิญญาณเรามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์หรือไม่ โดยการยอมรับเชื่อในข่าวดีนี้  พระเจ้าก็เข้ามาทำในสิ่งที่ต้องการได้ พูดง่ายๆ ถ้าท่านเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เท่ากับบอกพระเจ้าว่า …

“พระเจ้า ลูกไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว มันไม่ไหวแล้ว มันนรกชัดๆ  บนโลกใบนี้ ลูกสะสมบารมีด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว  เหนื่อยแล้ว ขอช่วยลูกที ย้ายไปอยู่ในสวรรค์” อะไรแบบนี้

อยากรู้ว่าสวรรค์มีสภาพหน้าตาเป็นอย่างไร? ผมก็เลยเอาหนังสือสดุดี บทที่ 23 ซึ่งเป็นนิมิตที่พระเจ้าบอกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า  แผนการของพระองค์ที่ช่วยมนุษย์  ให้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ เป็นนิมิตที่พระเจ้าได้ให้กษัตริย์ดาวิด มองเห็นภาพล่วงหน้าว่าสวรรค์ที่เกิดขึ้นในอนาคตมีสภาพเป็นอย่างไร? เอาแบบคร่าวๆ พอ นี่บอกไว้ล่วงหน้าประมาณ 1,000 ปีก่อนที่สวรรค์จะมาตั้งอยู่จริงๆ เป็นนิมิตที่เป็นภาพ ที่มันยังไม่เกิดขึ้นจริงๆ  จนถึงวันที่พระเยซูมาทำให้สำเร็จ เมื่อ 1,991 ปี ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ ภาพนั้นก็ได้เกิดขึ้น เป็นจริงแล้ว เมื่อ 1,990 กว่าปีมาแล้ว และเป็นจริงมาจนถึงทุกวันนี้เลย  และจะเป็นจริงอย่างนี้เสมอตลอดสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน ที่ผมบอกแล้ว เป็นวิญญาณ ไม่มีเวลา เป็นอยู่อย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นเลย

ให้รับรู้ว่าตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ เรียกง่ายๆ ว่าสวรรค์บนดิน  วิญญาณเราอยู่ในสวรรค์แล้ว ร่างกายยังอยู่บนโลกใบนี้ ที่มันเสียหาย มันวิปริตไปเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าปล่อยให้มันสูญเสีย เสียหายไป แล้วมันสู่ขบวนการของการดับสูญไป  มันเกิดขึ้นและมันตั้งอยู่ และมันกำลังดับไป  กำลังสูญสิ้นไป เนื่องจากคำสาปแช่ง ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษอาดัม

เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันก็จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ได้เต็มไปด้วยความราบรื่นตลอด ปราศจากอุปสรรคตลอด อย่างที่พระเยซูบอก ท่านดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เจอกับความทุกข์ยากลำบาก  เป็นเรื่องธรรมดา  ถึงคนไม่เชื่อ ก็เจออยู่ดี เพราะโลกใบนี้มันเสียหายไปแล้ว มันก็เป็นความทุกข์แค่ระยะสั้นๆ เพราะมันไม่สามารถเทียบชีวิตนิรันดร์ ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา 3 พระภาค นำพาเรา จูงมือเราเดินตลอดเวลา ด้วยพระคุณของพระองค์ และพระองค์บอกว่าพระคุณและความสามารถ ฤทธิ์เดชของพระองค์ เพียงพอเสมอสำหรับชีวิตของเรา  ที่จะดำเนินบนโลกใบนี้ได้  ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัว มาดูเพลงเลย  เนื้อเพลงขึ้นต้นว่า …

พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่รัก             พระคุณพระองค์ไม่สูญหาย

ข้าไม่ขัดสนลำบากมากนัก             เพราะทรงพิทักษ์รักษาไว้

นึกถึงภาพในปัจจุบัน เดี๋ยวนี้  เป็นอย่างนี้ พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และบอกเราอย่างนี้  พระเจ้าเป็นผู้เลี้ยง ให้กษัตริย์ดาวิดได้เห็นภาพ เปรียบเทียบกับตอนที่เขาเลี้ยงแกะ นึกภาพออกนะครับ พระคุณของพระองค์ไม่สูญหาย

ไม่ขัดสนลำบากมากนัก ก็คือไม่ทุกข์ยากลำบากมากนัก ทุกข์ยากลำบากบ้าง และในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  วิญญาณของเราก็ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ในข้อต่อไปที่เขียนว่า …

พระองค์ทรงทำให้ข้านอนลง                     ในทุ่งที่หญ้าเขียวสดมี

ทรงนำวิญญาณข้าไปริมธาร                     ทรงเลี้ยงด้วยทิพ อาหารดี

พระองค์ทรงฟื้นจิตวิญญาณข้า                   เมื่อข้าขัดขืนพระบัญชา

พระองค์ทรงนำในทางชอบธรรม              เพราะเห็นแก่นามพระองค์เจ้า

พูดง่ายๆ ว่าพระองค์ทรงให้เราได้พักผ่อนอยู่ในการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ พระองค์ทรงฟื้นจิตวิญญาณของเรา นำเราไปสู่ทางชอบธรรมของพระองค์

เมื่อเดินตามหุบเขาเงาความตาย                 ไม่กลัวพระเจ้าทรงอยู่ด้วย

คฑาและธารพระกรปลอบโยน                  พระองค์สถิตอยู่ชูช่วย

พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้า                  ต่อหน้าต่อตาของศัตรู

ทรงเจิมศีรษะข้าด้วยน้ำมัน                       ขันน้ำของข้าก็ล้นอยู่

และบรรทัดสุดท้าย สำคัญที่สุด ความรัก ความดีงาม พระเมตตาคุณของพระเจ้า พ่อที่รักเรามาก จะอยู่กับเรา จะติดตามเราตลอดไป  และเราจะอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระนิเวศน์ของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อยู่ในสวรรค์ที่นี่แล้ว และอยู่ตลอดไป ในเนื้อเพลงร้องว่า …

แท้จริงความดีความรักมั่นคง                     จะติดตามข้าตลอดไป

และข้าจะอยู่ในพระนิเวศ                           พระเจ้าของข้าเสมอไป

เอาเพลงนี้ไปร้องบ่อยๆ  และจงมองให้เห็นเถิดว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ เราอยู่ในบทเพลงนี้แล้ว วิญญาณเราอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

 

**************************