คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2020
เรื่อง “พระเยซูฟื้นแล้ว ฉันฟื้นด้วย”
ตอน 3 “ฉลอง 1990 ปี อิสรภาพของมวลมนุษยชาติ”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีพี่น้อง เรายังอยู่ในเช้าสัปดาห์สำคัญ เรายังอยู่ในบรรยากาศของการฉลองอีสเตอร์อยู่ อย่างที่เราคุยกันไปแล้วว่าวันอีสเตอร์ เป็นวันประกาศชัยชนะ ครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด แห่งประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ เพราะฉะนั้น ขนาดการแข่งขันกีฬา ระดับประเทศ หรือระดับโลก ธรรมดา โอลิปิก ใครได้รางวัลมา เขายังฉลองกันเป็นเดือนๆ แต่นี่ระดับชัยชนะมหาจักรวาล จะไม่ฉลองใหญ่โตกว่านั้นหรือ?
วันนี้เราก็จะมาฉลองกันต่อ เป็นการฉลองวันแห่งการประกาศอิสรภาพครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งสำคัญที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ คือการประกาศอิสรภาพทางฝ่ายวิญญาณ ที่ประกาศโดยพระเยซูคริสต์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ และเป็นขึ้นจากความตายในวันอาทิตย์ นี่คือข่าวดีมาถึงมนุษยชาติทุกคน
ข่าวดีต้องตะโกนนะ “มีข่าวดีมาบอก” เหมือนคนขายของเขาตะโกนดังลั่นเลย …
“มีข่าวดีมาบอก สำเร็จแล้ว มนุษยชาติเป็นอิสรภาพแล้ว” บรรยากาศควรจะเป็นอย่างนี้
คือหลังจากพระเยซูได้รับชัยชนะ เป็นผู้มีชัยในการทำศึกสงครามกับพวกมารเรียบร้อยแล้ว กับบาป กับความตาย ผลที่เกิดขึ้น คือมวลมนุษยชาติได้รับอิสรภาพ ที่ผมเล่าในครั้งที่แล้วว่าเดิมพันของการต่อสู้ครั้งนี้ คืออิสรภาพของมนุษยชาติ ถ้าพระเยซูชนะ มนุษย์ก็ได้รับการเป็นอิสระจากมาร กลับคืนสู่บ้านของเขา คือพระเจ้า กลับคืนสู่สวรรค์ได้ ถ้ามารชนะ มนุษย์ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของมาร เป็นทาสมาร อยู่ในความบาป ความตาย อยู่ในนรกต่อนั่นเอง
เพราะฉะนั้น วันอีสเตอร์ นอกจากจะเป็นการประกาศชัยชนะของพระเยซูคริสต์แล้ว ยังเป็นการประกาศอิสรภาพของมวลมนุษยชาติด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมทั่วโลกเขาจึงเฉลิมฉลองวัน อีสเตอร์อย่างมากมาย บางแห่งเป็นเดือนเลยนะ ตื่นเต้นมากกว่าวันคริสตมาสอีก มีหลายแห่งที่ผมเคยไปสัมผัสมาจริงๆ
และหัวข้อในการพูดคุยในวันนี้จึงมีชื่อเรื่องว่า “ฉลอง 1990 ปี อิสรภาพของมวลมนุษยชาติ” เอเมน บางท่านอาจกำลังสงสัยว่าทำไมต้อง 1990 ปี เพราะส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการนับปี ค.ศ. ปีนี้ก็คือ 2020 ใช่ไหมครับ? เพราะฉะนั้น วันอีสเตอร์แรกก็ต้องผ่านมา 2020 ปีแล้ว อะไรประมาณนั้น
แต่จริงๆ แล้วตามที่บันทึกไว้ เราเริ่มต้นนับค.ศ.1 เมื่อพระเยซูอายุ 3 ปี และตอนที่พระเยซูถูกตรึงและสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน ตอนนั้นมีอายุ 33 ปี ก็คือถูกตรึงที่ไม้กางเขน เมื่อปี ค.ศ. 30 สรุปว่าอีสเตอร์แรกผ่านมาแล้ว 1990 ปี 2020-30 =1990 ปี จึงเป็นการฉลอง 1990 ปี แห่งการประกาศอิสรภาพทางฝ่ายวิญญาณของมวลมนุษยชาติ นี่แหละมีข่าวดีมาบอก 1990 ปีมาแล้วนะ แล้วยังบอกต่อไป จนถึงวันสุดท้าย
วันสุดท้าย คือเมื่อไร? เราไม่รู้ แต่พระคัมภีร์บอกตอนนี้ เป็นช่วงเวลาแห่งความรอด ช่วงเวลาแห่งพระคุณที่พระเจ้า ได้ประทานให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้ รีบกลับใจเสียใหม่ มารับเอาสิทธิหรือชัยชนะที่พระเจ้า พระเยซูทำให้เรา โดยด่วน เพราะจะมีวันหมดโปรโมชั่น ทุกอย่างก็จบกัน คนไหนที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ ก็เท่ากับอดได้รับสิทธิ์นั้นไปเลย แทนที่จะชนะก็แพ้ ดังนั้น ต้องระมัดระวังตรงนี้ด้วย
และพระคัมภีร์ก็ได้บันทึกเอาไว้ล่วงหน้าว่าทั้งหมดนี้ เป็นแผนการของพระเจ้า ที่ได้วางไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระเยซูได้พูดตรงนี้เองว่าพระองค์มาเพื่ออะไร? ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ประมาณอายุ 30 พระองค์ได้เริ่มต้นประกาศว่าพระองค์เป็นใคร? มาทำอะไรบนโลกใบนี้? จุดประสงค์ของพระองค์มาเพื่ออะไร? แน่นอนอย่างที่เรารู้ มาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคน ให้กลับบ้าน ไปอยู่กับพ่อเขา ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้นั่นเอง นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงประกาศเริ่มต้น ใน 3 ปีสุดท้ายของพระองค์บนโลกใบนี้ ลูกา 4:16-21 …
ลูกา 4:16-21 “16 พระองค์เสด็จมายังเมืองนาซาเร็ธ ที่ซึ่งทรงเติบโตขึ้น และในวันสะบาโตพระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอย่างที่ปฏิบัติเป็นประจำ และทรงยืนขึ้นอ่านพระธรรม 17 เขาส่งม้วนพระคัมภีร์อิสยาห์ให้พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่ออกมา ก็พบข้อความที่เขียนไว้ว่า 18 “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่ผู้ยากไร้ พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่ผู้ถูกจองจำ และให้คนตาบอดมองเห็น ให้ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ 19 ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” 20 จากนั้น พระองค์ทรงม้วนหนังสือส่งคืนแก่เจ้าหน้าที่แล้วประทับนั่งลง สายตาทุกคู่ในธรรมศาลาก็จ้องมองมาที่พระองค์ 21 พระเยซูทรงเอ่ยขึ้นว่า “ในวันนี้ พระคัมภีร์ตอนนี้เป็นจริงแล้วตามที่ท่านได้ฟัง”
ย้อนกลับไปประมาณ 1990 ปี นึกภาพสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ ที่ลูกาบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยโน้น ก่อนหนังสือลูกาอีก บันทึกไว้ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม หรือพันธสัญญาเดิม โดยผู้เผยพระวจนะที่มีชื่อว่าอิสยาห์ว่าพระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูคริสต์ให้มาประกาศแก่มวลมนุษยชาติทั้งหลาย
ถามว่าประกาศอะไร? คือประกาศอิสรภาพแก่ผู้ที่วิญญาณถูกครอบงำ เป็นทาสของความบาป ให้คนตาบอดมองเห็น ก็คือให้คนที่ตาบอดฝ่ายวิญญาณ เพราะความผิดบาป ให้สามารถเป็นอิสระ ตามองเห็นพระเจ้า มารู้จักพระเจ้าได้ และสุดท้าย ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ ก็คือปลดปล่อยผู้ที่อยู่ใต้อำนาจการเป็นทาสของมารซาตาน ให้เป็นอิสระนั่นเอง
นี่พระเยซูบอกว่าพระองค์มาทำงานนี้แหละ ซึ่งรวมความหมายทั้งหมด ก็คือพระเจ้าทรงเจิมตั้งพระเยซูไว้ เพื่อให้มาประกาศอิสรภาพ อภัยโทษให้แก่มวลมนุษยชาตินั่นเอง ให้มนุษยชาติได้รับอิสรภาพจากการเป็นทาสของความบาป และความตาย ให้สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า
พูดแบบเข้าใจง่ายๆ แบบภาษาเรา ก็คือเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า ที่ได้ประกาศนิรโทษกรรมให้กับมวลมนุษยชาติทั้งหลายนั่นเอง
ถามว่าการประกาศนี้ มาถึงมนุษยชาติ เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย? ข่าวดี ประกาศอิสรภาพให้กับผู้ที่ถูกจองจำ ประกาศการนิรโทษกรรม โดยพระเจ้า ให้กับมวลมนุษยชาติ
และในข้อที่ 19 เขียนไว้อย่างนี้ว่า … “ให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
ตรงนี้ต้องเติมว่า “เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นเหลือ” พระคัมภีร์ใช้คำนี้ คือนอกจากได้รับการนิรโทษกรรม เป็นอิสระจากการเป็นทาสแล้ว ยังรับเรามาเป็นลูกของพระองค์อีกด้วยต่างหาก เข้าใจใช่ไหมครับ? เป็นพระคุณซ้อนพระคุณจริงๆ นอกจากอภัยให้กับเราแล้ว ยกโทษให้กับเราแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ ยังรับเรามาเป็นลูกของพระองค์ด้วย อย่างนี้เรียกว่าข่าวดีไหม? ต้องตอบว่าข่าวดีมาก ไม่ใช่ข่าวดีธรรมดา Amazing Grace พระคุณซ้อนพระคุณสำหรับเรา ข่าวดีนี้สำหรับมนุษยชาติ คือมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มีสิทธิ์ มีส่วนตรงนี้ทุกๆ คน ไม่ว่าท่านจะเชื่อในข่าวดีนี้หรือไม่เชื่อก็ตาม แต่ท่านมีส่วนในข่าวดีนี้ ท่านมีสิทธิในข่าวดีนี้ ทั้งนั้น
มนุษย์ทุกคนได้รับอิสรภาพไปแล้ว 1990 ปี พระเยซูจึงบอกว่าข่าวดีนี้ควรและต้องถูกประกาศออกไปเรื่อยๆ เริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม ไปถึงแคว้นยูเดีย ไปถึงประเทศชาติใกล้ๆ แล้ววนออกไปกว้างออกไปเรื่อยๆ จนสุดปลายแผ่นดินโลก ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น ก็คือสุดปลายแผ่นดินโลก ไม่รู้สุดตรงไหน? ข่าวดีนี้จะต้องถูกประกาศอกกไป และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ใน 1990 ปี ที่ผ่านมา ที่เราได้เรียนชัดๆ วันนี้
จุดเริ่มต้นของยุคพระคุณซ้อนพระคุณนี้อยู่ตรงไหน? คือนับจากวันที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน เมื่อ 1990 ปี ที่แล้ว ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่ายุคใหม่เริ่มต้น ยุคใหม่เริ่มต้นเมื่อ 1990 ปีที่ผ่านมา เป็นยุคที่มนุษย์ได้รับนิรโทษกรรมจากพระเจ้า บอกว่าเป็นยุคใหม่ เพราะฉะนั้น ทุกคนก็จะคิดว่ายุคเก่าคืออะไรล่ะ ถ้าบอกยุคใหม่ ก็แสดงว่ามันต้องมียุคเก่าถูกไหม? ก่อนจะเปลี่ยนเป็นใหม่ มันก็ต้องมีเก่ามาก่อน เรามาดูนิดหนึ่ง ผมจะสรุปให้เล็กๆ สั้นๆ
ยุคเดิม/พันธสัญญาเดิม ยุคใหม่/พันธสัญญาใหม่
(ระบบเดิม / กฎเดิม) (ระบบใหม่ / กฎใหม่)
มีอาดัมเป็นหัวหน้าครอบครัว มีพระเยซูคริสต์เป็นหัวหน้าครอบครัว
ยุคเดิม พันธสัญญาเดิม กฎเดิม มีอาดัมเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นต้นพันธุ์ เป็นตัวแทน เป็นบรรพบุรุษ ก็ว่าได้
พอพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เข้าสู่ยุคใหม่ พระคัมภีร์เรียกว่ามนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่ เข้าสู่ยุคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งเรียกกันว่าระบบใหม่ หรือกฎใหม่ ซึ่งมีพระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นต้นพันธุ์ใหม่ และเป็นตัวแทนของมนุษยชาติในยุคใหม่นี้
ท่านเห็นภาพแล้วนะ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ผมจะพาท่านไปดูในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ซึ่งจะยืนยันว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้จริงๆ นี่คือความจริงที่พระเจ้าได้สอนเรา ในฮีบรู 9:15 …
ฮีบรู 9:15 “ด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อบรรดาผู้ที่ทรงเรียกนั้นจะได้รับมรดกนิรันดร์ ซึ่งทรงสัญญาไว้ เพราะพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เป็นค่าไถ่ เพื่อปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากบาป ซึ่งได้ทำภายใต้พันธสัญญาเดิม”
พันธสัญญาใหม่ คือพระคริสต์ หรือพระเยซูเป็นคนกลาง ก็คือเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นตัวแทน และที่เขียนว่าบรรดาผู้ที่ทรงเรียก หมายถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงเรียกทุกคน มาเพื่อจะได้สิทธินี้ สิทธินี้ ก็คือจะได้สิทธิ์ภายใต้พันธสัญญาใหม่ สิทธิ์นั้น ก็คือได้รับมรดกนิรันดร์ ได้รับการไถ่ ได้รับการปลดปล่อยจากบาปและโทษของความบาป ซึ่งได้ทำภายใต้พันธสัญญาเดิม บาป คือความผิด บาป ก็คือถูกต้องโทษ ต้องชดใช้
บาปเมื่อตอนที่เราอยู่ภายใต้พันธสัญญาเดิม ก็คือใครก็ตามที่ทำผิดกฎบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้เพียงนิดเดียว ก็ถือว่าทำผิดทำบาป ต้องได้รับโทษของความบาป คือความตาย และอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ก็คืออยู่ในนรกนั่นเอง ในที่สุด ซึ่งมนุษย์ทุกคนก็รู้ดีว่าไม่มีทางเลยที่จะสามารถทำได้ครบ ก็คือไม่มีใครเลยที่ไม่ทำบาป เพราะมันเป็นทาสบาปอยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจอยู่แล้ว ที่สุดก็ทำบาปอยู่ดี จึงไม่มีใครทำได้เลย เพราะจริงๆ ว่ากันตามตรงแล้ว ในสมัยนั้น พระคัมภีร์เดิมได้บันทึกไว้ว่ามีกฎบัญญัติ เอาแค่ที่บันทึกได้ อันที่บันทึกไม่ได้ ยังไม่ได้เขียน เช่น กฎนี้อย่าทำ มี 600 กว่าข้อ ไม่ใช่ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 อะไรอย่างนั้น นี่ศีล 600 กว่าข้อ จะต้องทำให้ได้ครบหมดทุกข้อ จึงจะสามารถพ้นจากบาปได้ ทำผิดข้อเดียว ก็เท่ากับทำผิด 600 ข้อ เพราะว่ายังเป็นบาปอยู่
สรุปคือภายใต้พันธสัญญาเดิม ที่มีอาดัมเป็นตัวแทนเรา เป็นหัวหน้าครอบครัวเรา มนุษย์ทุกคนบาปหมดแหละ เกิดมาก็บาปแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลยก็บาปแล้ว เพราะบาป มาจาก DNA ของอาดัม เป็นทาสของความบาป เป็นทาสของมาร ที่จะต้องทำตาม มนุษย์ทุกคนทั้งหมด จึงไม่สามารถที่จะไม่ทำบาปได้ ก็คือมนุษย์ทุกคนทำบาป และบาปเหล่านี้ก็ต้องได้รับโทษบาปกันทุกคน ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้รับโทษ
แต่พอมาพันธสัญญาใหม่ มนุษย์ทั้งหลายได้รับมรดกนิรันดร์ ซึ่งทรงสัญญาไว้ เพราะพระคริสต์ได้วายพระชนม์ เป็นค่าไถ่ ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ในพระคัมภีร์บอกว่าเป็นการไถ่บาป คือเป็นการยกโทษบาป เป็นการหมดเวร หมดกรรม หมดบาปของมนุษยชาติทั้งปวงแล้ว เป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ทั้งปวงว่าได้ชำระบาปให้เรียบร้อยแล้ว จบสิ้นกันแล้ว เรามาดูในฮีบรู 10:9-10
ฮีบรู 10:9-10 “9 จากนั้นจึงตรัสว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ข้าพระองค์มาแล้ว เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกระบบเดิม เพื่อตั้งระบบใหม่ 10 และโดยพระประสงค์นี้เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ”
ชัดเจนเลยนะ “และพระองค์ทรงยกเลิกระบบเดิม เพื่อตั้งระบบ ยกเลิกสำมะโนครัวเดิม มาตั้งสำมะโนครัวใหม่ของมนุษยชาติ ยกเลิกครอบครัวเดิม ครอบครัวอาดัม มาตั้งครอบครัวใหม่ ชื่อว่าครอบครัวพระเยซูคริสต์ เห็นชัดเจนเลยนะครับ
สมัยก่อน ที่เป็นเงาของเรื่องนี้ ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ และกระทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จ พระเจ้าได้บอกมนุษย์ในยุคเดิม ยุคอาดัม บอกให้ชาวอิสราเอล มนุษย์ได้ทำอย่างนี้ คือให้มาผ่อนบาป ผ่อนเวร ผ่อนกรรมให้กับตัวเอง โดยการนำเลือดสัตว์ ที่ไม่มีมลทิน ถือเป็นสัตว์บริสุทธิ์ มาฆ่า แล้วเอาเลือดมาชำระเป็นค่าไถ่ ถือว่าเป็นค่าผ่อน พูดง่ายๆ เหมือนเอาสัตว์บริสุทธิ์นี้ ที่ไม่มีมลทิน มาฆ่า และตาย และเอาโลหิตมาชำระกับพระเจ้า เป็นค่าไถ่ว่าเราเป็นคนบาป เพราะฉะนั้น ปกปิดบาปให้สักหน่อยหนึ่ง เป็นการผ่อนบาป ไม่สามารถเอาบาปนั้นออกไปจากเราได้เลย แต่ว่าปกปิดได้ ทำไม่ดีมาตลอดทั้งปี อันนี้ปกปิดไว้ เดี๋ยวพอออกไป ก็ทำบาปอีกแล้ว ยังไม่ทันข้าม 4 ชั่วโมงเลย ก็ทำบาป ก็ต้องทำอย่างนี้เป็นประจำทุกปี และเป็นช่วงๆ ไป
แต่พอมาถึงพระเยซูคริสต์ ในนี้บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นต้นพันธุ์แห่งพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาใหม่ คือใช้เลือดของพระองค์เอง พระเยซูเป็นทั้งพระเจ้าและเป็นทั้งมนุษย์ อยู่ในบุคคลเดียวกัน ฟังอีกที พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น ชีวิตของพระเยซูคริสต์บนโลกใบนี้ ก็คือการเป็น พระเจ้าและเป็นมนุษย์พร้อมๆ กัน ในวิญญาณ พระองค์จึงบริสุทธิ์สะอาดมาก และไม่มีบาปเลย เพราะฉะนั้น เลือดของมนุษย์คนเดียวบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีบาปเลย ก็คือพระเยซูสามารถลบล้างบาปออกหมดเกลี้ยงเลย ลบล้างบาปให้กับมวลมนุษยชาติ เพียงครั้งเดียวพอ คือไม่ต้องมาทุกปีแล้ว เพราะครั้งเดียวหมดไปแล้ว เมื่อหมดแล้ว ก็ไม่ต้องทำแล้ว ก็คือจบแล้ว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ในฮีบรู 10:14 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ชัดขึ้นไปอีกนะ
ฮีบรู 10:14 “เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้ บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์ โดยการถวายบูชาครั้งเดียว”
คือการได้รับอภัยโทษ หรือได้รับนิรโทษกรรมทางพระเยซู ในการตายของพระองค์บนไม้กางเขน โดยพระเยซู มันจะเป็นการอภัยโทษ หรือนิรโทษกรรมแบบตลอดไปเลย ไม่ใช่เป็นชั่วคราว ก็คือการไถ่บาปนั้น เป็นการยกโทษบาป ทั้งบาปในอดีต และบาปในปัจจุบัน รวมถึงบาปในอนาคตด้วย ก็คือเอาบาปออกไปทั้งสิ้น ทั้งหมดเลย สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงเรียกมา ผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้ มีพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน จะได้รับสิ่งนี้ 1 เปโตร 1:3-4 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …
1 เปโตร 1:3-4 “3 สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา! ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสียหรือเลือนหายไป ซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์ เพื่อพวกท่าน”
นอกจากการนิรโทษกรรม อภัยในโทษบาปแล้ว ซ้อนพระคุณ คือให้เราได้เกิดใหม่ การบังเกิดใหม่ คือการรับเรามาเป็นลูก เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเหลือ ไม่ได้เกิดใหม่เฉยๆ แล้วก็เข้ามาอยู่ในบ้าน เป็นผู้รับใช้ หรือเข้ามาอยู่ในบ้านเป็นคนงาน หรือเข้ามาอยู่ในบ้านเป็นทูตสวรรค์ เปล่า แต่เข้ามาอยู่ในบ้าน คือในสวรรค์ ในฐานะลูกของพระองค์ ก็คือลูกของเจ้าของสวรรค์นั่นเอง ท่านลองคิดดู ตายที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 อย่างไรบ้าง พระคุณยิ่งใหญ่ เวลาฟังเพลง Amazing Grace หรือพระคุณพระเจ้า ถ้ารู้ลึกเข้าไปขนาดนี้ ท่านต้องอดที่ขอบคุณและขอบคุณ ไม่รู้จะใช้คำว่าขอบคุณอะไรดีพอสุดจิตสุดใจเลย เพราะว่ามันเหลือที่เชื่อได้ แต่มันเกิดขึ้นแล้ว และมันเป็นอย่างนั้นแล้วจริงๆ
อย่างที่เราได้เรียนกันไปแล้ว พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว เมื่อเราย้ายมาอยู่ในครอบครัวพระเยซู เข้ามาให้พระเยซูเป็นตัวแทน เข้ามาสู่ยุคใหม่ เชื่อในการไถ่ของพระเยซู เมื่อ 1990 ปีที่ผ่านมา พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ฉันจึงเป็นขึ้นด้วยไง มันหมายถึงอย่างนี้ …
“พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันจึงเป็นขึ้นด้วย”
เป็นขึ้นด้วยอะไร? ด้วยการบังเกิดใหม่ โดยพระเจ้า เป็นวิญญาณใหม่ มีจิตใจใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เลย และจะมีร่างกายใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย ผมหมายถึงโดยความเชื่อในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น ที่อ่านไปใน 1 เปโตร 1:3-4 หมายถึงความหวังใจอย่างนั้น คือพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย และเข้าในมรดกที่ไม่มีวันเสื่อมสลายเน่าเสีย คือนอกจากวิญญาณเราจะเปลี่ยนใหม่ เป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงเตรียม มรดกนิรันดร์ไม่มีวันเสื่อมสลายเน่าเสีย หรือเลือนหายไป ที่ทรงเตรียมไว้ให้เราในสวรรค์สถาน ก็คือร่างกายใหม่ วิญญาณได้เกิดใหม่เดี๋ยวนี้แล้ว จิตใจได้ถูกประทานให้ใหม่ พร้อมกับวิญญาณแล้ว แต่เรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิม แม้เราจะอยู่ในกฎใหม่แล้วก็จริง แต่วิญญาณและจิตใจใหม่ยังอยู่ในร่างกายเดิม ซึ่งต้องตาย เรียกว่าเสื่อมลงไปทุกๆ วัน และกลับไปสู่ดิน ขณะที่กลับไปสู่ดินนั้น วิญญาณ และจิตใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเจริญเติบโตขึ้นทุกวัน และวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อวิญญาณและจิตใจใหม่นี้ออกจากร่าง ซึ่งต้องลงไปอยู่ในหลุมฝังศพแล้ว พระเจ้าสัญญาว่าจะเตรียมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่ไม่เน่าเสีย เป็นร่างกายที่มีสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นขึ้นจากความตายอย่างนั้น ให้กับเราไว้ เพื่อเราจะได้ปรากฏพร้อมกันกับพระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่งนั่นแหละ
นี่แหละครับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ผมก็พยายามที่จะอธิบายค่อยๆ ช้าๆ แต่ไม่เป็นไร อย่างที่บอกเป็นข่าวดี สำหรับคนที่ฟังข่าวดีนี้ใหม่ๆ ก็อาจจะงงๆ นิดๆ ค่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ และใช้สิทธิให้หมดเลย รับรู้ให้หมดเลยว่าเราได้รับอะไรบ้าง? และมันเป็นอย่างไรบ้าง? ชีวิตจึงจะมีความสุข และมีสันติสุขอย่างแท้จริงบนโลกใบนี้ ถึงแม้ว่าโลกใบนี้จะวุ่นวายสับสนเน่าเสียอย่างนี้ แต่วิญญาณข้างใน ความหวังของเราในโลกวิญญาณนั้น สวยสด งดงามแล้ว เรียบร้อยแล้ว โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว … เรามาดู 2 เปโตร 1:4 ก็ยิ่งพูดชัดเจนใหญ่เลยนะถึงเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร?
2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”
“โดยทางพระสัญญาเหล่านี้” สัญญาเหล่านี้ ก็คือความสำเร็จของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย โดยทางพันธสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจะได้มีส่วน มนุษย์ทั้งหลายทั้งหมดทั้งปวง ที่เชื่อในข่าวดีนี้ จะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า โดยทางพันธสัญญาเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทำไว้กับพระเยซูคริสต์ ในพันธสัญญาใหม่ ในยุคใหม่ มนุษยชาติสามารถเลือกได้ ผู้ที่เลือกข้างพระเยซู ย้ายข้างมาสู่ยุคใหม่ ยุคที่มีพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน เป็นหัวหน้าครอบครัวนั้น เชื่อในข่าวดีนี้นั้น พวกเขาจะได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า แปลว่าเขาจะได้มีส่วนเข้าไปเป็นชีวิตที่เหมือนพระเจ้า
ถ้าจะแปลง่ายๆ ก็คือถ้าเรามีลูก ลูกเราคลอดออกมา หรืออยู่ในครรภ์มารดา ก็จะมีส่วนในลักษณะเหมือนเราแล้ว มีเซลอะไรต่างๆ ทุกอย่างในชีวิต มาจากเรา มีเชื้อสายมาจากเรา เป็นเหมือนเรานั่นเอง ท่าทางอะไรต่างๆ เหมือนเรา DNA เหมือนเรา นี่พูดถึงสิ่งที่มองเห็นเป็นมนุษย์ธรรมดา
ที่อ่านนี้ มันเกิดขึ้นในทางวิญญาณ คือวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า จะมีส่วนเข้าไปในพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือเป็นลูกของพระเจ้า มีส่วนเหมือนพระเจ้า เหมือนพ่อของเขา วิญญาณที่ก่อนหน้านั้นมืด เป็นทาสของมาร เป็นความบาป สกปรกโสโครกในพระคัมภีร์บอก กลับกลายเป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า และความคิดจิตใจที่ติดมากับวิญญาณนั้น สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่า The mind of Christ ก็คือความคิดจิตใจใหม่นั้น เหมือนพระเยซูเลย ถ้าท่านที่เชื่อแล้วนะ แต่ถ้าท่านที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ย้ายเข้ามา ถ้าท่านตัดสินใจย้ายเมื่อไร? ก็เหมือนทันที สำหรับผมเหมือนไปแล้ว เพราะว่าผมเชื่อมาตั้ง 30 กว่าปีแล้ว ต้อนรับข่าวดีนี้ และเกิดประโยชน์ในชีวิต และรับสิทธินี้ สิทธินี้เกิดขึ้นในชีวิตไปแล้ว 30 กว่าปี ผมมีวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็น DNA เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า และมีความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว
รับฟังอีกทีนะ ท่านที่ได้รับความจริงเรื่องนี้ไปแล้ว ต้อนรับความจริง ข่าวดีนี้ไปแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาป เป็นผู้ไถ่บาป และเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ท่านได้เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย ได้เกิดใหม่แล้ว มีวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า มีจิตใจที่เหมือนพระคริสต์ สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นฐานะลูกพระเจ้า และรอคอยวันเวลา เมื่อพระเยซูคริสต์กลับมา ท่านที่เป็นวิญญาณ ที่เป็นลูกพระเจ้า ที่เหมือนพระเจ้า ที่มีความคิด ที่เป็นเหมือนพระคริสต์ ที่ตอนนี้ วิญญาณของท่าน และความคิดจิตใจอันใหม่ เป็นชีวิตที่ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ แม้ว่าจะอยู่ในร่างกายเนื้อหนังที่ต้องตายก็ตาม แต่วิญญาณและความคิดจิตใจใหม่ของท่าน ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เมื่อวันที่พระคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง เราทั้งหลายผู้ซึ่งมีวิญญาณที่เป็นลูกพระเจ้า และมีความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระคริสต์นั้น ก็จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ทรมาน เต็มด้วยสง่าราศี เหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตาย และเราจะกลับมาพร้อมกับพระเยซู พระเยซูกลับมาพิพากษาบนโลกใบนี้ เราก็จะกลับมาด้วย
เคยได้ยินเพลงนี้ไหม? “โอเว่นเดอะเซ็นต์ โอมัดยัวร์เนม” ก็คือเมื่อธรรมิกชน คือผู้เชื่อทั้งหลาย ที่บริสุทธิ์ สะอาดที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้เกิดใหม่แล้ว เดี๋ยวนี้ ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ และถึงวันนั้น เมื่อพระคริสต์ปรากฏและเดินทัพมา พระองค์ไม่ได้มาคนเดียว พระองค์มาพร้อมกับพวกเราทั้งหลาย ที่ได้รับร่างกายที่เกิดใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย สวมเข้าไปอีกทีหนึ่ง และมาพร้อมกับพระเยซู พูดง่ายๆ ณ วันนั้น เราก็จะมีวิญญาณ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ที่เป็นลูกพระเจ้า มีความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และอยู่ในร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ไม่มีความตาย ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีการเสื่อมถอย ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป และเราจะอยู่ในสวรรค์ ในลักษณะอย่างนี้กับพระเจ้า ครอบครองสวรรค์นิรันดร์กาล
ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้น ในการฉลอง 1990 ปี มันเป็นกฎทางวิญญาณ ไม่ได้เกิดขึ้นธรรมดา มันเป็นกฎ มันเกิดขึ้นจริงๆ บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะเห็นหรือไม่เห็น จะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันเกิดขึ้นแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ และพระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ให้เป็นไปตามกฎระเบียบ กฎหมายของพระองค์ อันนี้เป็นเรื่องจริงๆ บันทึกไว้
คำว่า “พระเจ้าทรงควบคุม” หมายถึงอย่างนี้เลย พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก และเป็นพระเจ้าผู้พิพากษาดูแลความยุติธรรมให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าผมยกตัวอย่าง ท่านอาจจะเข้าใจมากขึ้น เหมือนกฎของแรงดึงดูดของโลก เราไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ใครเป็นผู้ควบคุมกฎแรงดึงดูดของโลก ก็พระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ พระคัมภีร์บอก เพราะฉะนั้น พระองค์เป็นผู้ดูแลเหล่านี้ไว้ กำหนดไว้แล้วว่ามีแรงดึงดูดโลก มาจากพลังงานอะไรต่างๆ แกนของโลกที่ภายใต้โลก ทำให้เกิดแรงดึงดูดของโลก เพื่อให้อะไรหลายๆ อย่างสวยสดงดงาม และมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ เพราะฉะนั้น แรงดึงดูดของโลก พระเจ้าควบคุมอยู่ ไม่มีใครไปทำลายแรงดึงดูดของโลกได้ ถ้าเราเคารพแรงดึงดูดของโลก มันก็จะมีอยู่จริง ถ้าเรารู้จักใช้ มันก็จะเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตของเรา
เช่นเดียวกัน กฎของการโคจรของดวงดาว ยกตัวอย่างเช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โลก ง่ายๆ สิ่งเหล่านี้พระเจ้ากำหนดไว้หมดแล้ว พระคัมภีร์บอก พระองค์เป็นผู้กำหนดไว้หมดแล้วว่าให้โลกหมุนอย่างไร? ให้ดวงอาทิตย์ขึ้นอย่างไร? ไม่มีทางที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกได้ ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ตกทางทิศตะวันตกเป็นประจำ ถามว่ามีโอกาสไหมที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก? ผมจะตอบให้ท่านตกใจ หลายคนบอกพระเจ้าอยู่ในคอนโทรลแล้ว ไม่มีทางที่จะขึ้น ไม่จริง แม้พระเจ้าจะสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อแบ่งปัน แบ่งเวลาอะไรต่างๆ ในแผนการที่ดีๆ ของพระองค์ที่ให้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เพื่อมนุษย์จะได้อยู่อย่างสบายก็ตาม แต่พระองค์ไม่ได้บังคับนะ พระองค์ไม่ได้สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ แล้วสั่งว่าต้องอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ นั่นเป็นวิถีของมาร ไม่ใช่ความรัก เพราะพระเจ้าเป็นความรัก และไม่ควบคุมสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วยความหวาดกลัว หรือด้วยการบีบบังคับ หรือเป็นทาส สั่งให้ทำ ไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้น พระเจ้าก็ไม่ใช่เป็นพระเจ้าแห่งความรัก คนสรรเสริญพระเจ้า ก็สรรเสริญพระเจ้าด้วยความกลัว ก็ไม่ใช่ ที่เราสรรเสริญพระเจ้า ยกย่องพระองค์ ก็เพราะความดีงามของพระองค์ล้นเหลือ เราเต็มใจที่จะเชื่อฟัง พระคัมภีร์บอกว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวอะไรต่างๆ เต็มใจที่จะเชื่อฟังพระเจ้า เหมือนกับบรรดามนุษย์ที่เกิดบนโลกใบนี้ก็ตาม พระเจ้าก็ไม่ได้บังคับให้เป็นเหมือนหุ่นยนต์ เพราะฉะนั้น ก็ปล่อยอิสรภาพ เพียงแต่บอกว่าอย่าไปทำอย่างนั้น อย่าไปทำอย่างนี้นะ ถ้าทำอย่างนั้นจะไม่ดี ก็ปล่อยอิสรภาพ แล้วมนุษย์ก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกกระทำดี ไม่ดีก็ตาม และมนุษย์ก็ทำไปแล้ว ตั้งแต่สมัยอาดัมนั่นแหละ เอาไว้เล่าเรื่องนี้อีกทีหนึ่งวันหลัง มันสนุกมากถึงเรื่องกฎต่างๆ
กฎทางวิญญาณ ก็เช่นเดียวกันกับกฎทางวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ที่เรามองไม่เห็น ที่ตะกี้ผมยกตัวอย่างให้ท่านฟัง กฎทางวิญญาณที่เกิดขึ้น ในพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน พระองค์ก็ให้อิสระไม่บังคับ เราไปดูภาพเมื่อสักครู่นี้อีกครั้งหนึ่งนะ ยุคใหม่ ยุคเก่า พระองค์ไม่บังคับ ให้เราเลือกอย่างเป็นอิสระ ให้มนุษย์ทั้งหมดบนโลกนี้เลือกเป็นอิสระ เลือกเอาเองว่าจะเอากฎไหน แต่บอกไว้เลยว่ากฎไหนเป็นอย่างไร? มีประโยชน์อย่างไร? จะเอากฎใหม่ก็ได้ เอากฎเก่าก็ได้ จะเลือกกฎใหม่ คือกฎแห่งพระคุณ โดยพระมหากรุณาธิคุณ หรือจะอยู่ในกฎเดิม กฎแห่งความบาปและความตาย โดยการพึ่งตนเอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สิ่งเหล่านี้ อยู่ในกฎหมด
ตามกฎเดิม ก็คือพึ่งในการกระทำของตนเอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จะต้องทำให้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% ถึงจะเป็นผู้ชอบธรรม โดยสมบูรณ์ ไม่บาป ซึ่งก็คือไม่มีมนุษย์คนใด สามารถรักษากฎนี้ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ได้เลย 1000% เป็นไปไม่ได้เลย นึกออกใช่ไหม?
ตามกฎใหม่ ก็คือไม่พึ่งการกระทำของตนเอง แต่พึ่งการกระทำของพระเยซูให้เป็นตัวแทน แล้วได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ครบถ้วน 100% เลย เป็นลูกของพระเจ้า มีพระลักษณะเหมือนพระเจ้า คือมีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า มีจิตใจที่เป็นจิตใจของพระคริสต์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย และจะได้รับร่างกายใหม่ในวันหนึ่งข้างหน้า เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูเลย
กฎทางวิญญาณทั้งสองนี้ ยังคงอยู่ถึงทุกวันนี้ กฎใหม่นั้น พระเยซูทำเสร็จไปแล้ว 1990 ปี บรรดามนุษยชาติได้ทยอยกันมา แห่กันเข้ามา ย้ายเข้ามาสู่ครอบครัวของพระเยซูคริสต์ คือเข้ามารับสิทธิในพันธสัญญาใหม่นี้มากมายเหลือเกิน มากขึ้นไปเรื่อยๆ กฎทั้งสองนี้ ยุคเดิม ยุคใหม่นี้ ทั้งพันธสัญญาเดิม พันธสัญญาใหม่ ทั้งกฎเดิมและกฎใหม่นี้ ทุกวันนี้ยังคงอยู่ เหมือนกับที่ผมบอกกฎของแรงดึงดูดของโลก มันมีอยู่จริงๆ ให้เราเคารพในความศักดิ์สิทธิ์ของกฎที่พระเจ้าได้ทรงเป็นผู้ควบคุมอยู่อย่างนี้ กฎทางวิญญาณทั้งสองกฎนี้ ยังอยู่ในทุกวันนี้ ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ได้ยินหรือไม่ได้ยินในข่าวดีนี้ ในเรื่องนี้ก็ตาม มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ต้องอยู่ในกฎดึงดูดของโลก หรือยกเว้นเมื่อค้นพบกฎแห่งการยกขึ้น มาชนะกฎแรงดึงดูดของโลก เช่น เครื่องบิน จรวดลอยอยู่ได้ แต่มิได้หมายถึงว่าทำจรวดได้ ทำเครื่องบินได้แล้ว กฎแรงดึงดูดของโลกจะหายไป มันคงมีอยู่
เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนต้องอยู่ภายใต้ หรือกำลังอยู่ภายใต้กฎใดกฎหนึ่งใน 2 กฎนี้ ไม่กฎเดิมก็กฎใหม่ ถ้าท่านอยู่ในกฎเดิม ก็ไม่ได้อยู่ในกฎใหม่ ท่านอยู่ในกฎใหม่ ก็ไม่ได้อยู่ในกฎเดิม ท่านไม่สามารถจะบอกว่า …
“ผมอยู่ในกฎทั้งเดิม ทั้งใหม่ ขาคนละข้าง”
มันเป็นไปไม่ได้ ท่านต้องอยู่ในกฎใดกฎหนึ่ง และพระเจ้า คือความรักและความห่วงใย พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคน ในพระคัมภีร์เขียนอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลา พระเยซูก็ตรัสบอกเรื่องนี้ตลอดเวลาว่าพระเจ้าทรงรักโลก รักมนุษย์ยิ่งนัก พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทุกคนตัดสินใจรับสิทธิของเขา เมื่อรับรู้ข่าวดีนี้ เมื่อรับรู้ความจริงในโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นนี้ พระเจ้าอยากให้ตัดสินใจย้ายมาอยู่กฎใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เตรียมแผนการไว้ให้ตั้งนานมาแล้ว และทำสำเร็จแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ เมื่อ 1990 ปี พระองค์ต้องการให้ท่านรับสิ่งเหล่านี้ และก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ เรียกว่าชีวิตแห่งสวรรค์เลยทันที ไม่ใช่ว่าท่านมารับสิทธิของท่านตอนนี้ ในข่าวดีนี้ แล้วก็รอวันที่ต้องตายจากโลกนี้ไป แล้วจึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่
ตามเรื่องที่ผมเล่าให้ฟัง สัปดาห์ที่แล้ว ถ้าท่านรับสิทธิของท่านตอนนี้ ย้ายสำมะโนครัว จากเดิมอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ เชื่อในการตายของพระคริสต์ และการเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ของพระคริสต์ว่าพระองค์เป็นตัวแทนของท่าน ท่านจะได้รับความรอด คือท่านจะถูกย้ายเข้ามาสู่อาณาจักรใหม่ พันธสัญญาใหม่ ยุคใหม่ทันที และวิญญาณของท่านจะบังเกิดใหม่ตามที่เราได้เรียนกัน วิญญาณของท่านและจิตใจที่ติดมากับวิญญาณ จะเกิดใหม่ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า เป็นความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และอยู่ในสวรรค์ทันทีเลย โดยซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ สวรรค์เกิดขึ้นอย่างนี้ แม้ว่าขณะที่เกิดอยู่ในสวรรค์นั้นแล้ว จะยังคงอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ก็ตาม แต่มันอยู่ในร่างกายเดิมชั่วคราว แป๊บเดียว อีกแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง เมื่อร่างกายนี้เสร็จสิ้นไป วิญญาณข้างในและความคิดจิตใจข้างใน ก็ไปรอสวมร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย เหมือนพระเยซูคริสต์
เพราะฉะนั้น สวรรค์มันจึงเริ่มต้นเดี๋ยวนี้ ณ ที่นี่ บนโลกใบนี้ และมันจะไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ อย่าให้ใครมาหลอกท่านว่าสวรรค์ต้องรอคอยอนาคต ต้องมองไป ถ้าวันนี้ท่านไม่เห็นสวรรค์ ท่านไม่มีความหวังในเรื่องอนาคตว่าจะมีสวรรค์ หวังลมๆ แล้งๆ มากกว่า ถ้าสวรรค์มีจริง วันนี้ท่านต้องสัมผัสมันได้เลยทันที ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น สวรรค์มันเริ่มต้นเดี๋ยวนี้ ที่นี่ ณ บัดนาว พระคัมภีร์ใช้คำว่านาว ความเชื่อ ณ ปัจจุบันทันที ทำให้เราจับต้องมองเห็นได้ ในสวรรค์ที่มองไม่เห็น มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ทันทีเลย
พอท่านประกาศตนเองว่ายอมรับในสิ่งเหล่านี้ ในข่าวดีนี้ อย่างที่ผมบอกวิญญาณท่านจะได้เริ่มต้นในสวรรค์ และพระวิญญาณจะเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับท่าน และจะสอนท่าน ท่านจะอยู่ในสวรรค์ ค่อยๆ เจริญเติบโตไปเรื่อยๆ และจะอยู่ในสวรรค์นี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งนิรันดร์ นี่คือความหวังใจของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ของคริสเตียน คริสเตียนเป็นคำที่เขาเรียกคนที่เชื่อ คริสเตียนเองไม่ได้เรียกเราเองว่าคริสเตียน เราคือผู้ที่เชื่อในข่าวดี และเรามีหน้าที่มาประกาศข่าวดี พอเรารู้ข่าวดีนี้แล้ว เพราะเรารู้ว่าพระเจ้า พ่อของเราอยากให้มนุษย์ทุกคนมารู้ในข่าวดีนี้ และมาเชื่อในข่าวดีนี้ และได้รับสิทธิของเขาในข่าวดีนี้ เราก็ทำตามที่พ่อเราบอกในวิญญาณเท่านั้นเอง และท่านก็จะได้ไม่ต้องเดินคนเดียวต่อไป เพราะชีวิตบนโลกใบนี้มันลำบากเหลือเกิน มันวุ่นวายไปหมด เพราะมันเสียหายไปแล้ว โลกใบนี้ทุกวัน มันยังปกคลุมด้วยยุคเดิมอยู่ เมื่อ 1990 ปี สวรรค์เพิ่งเริ่มต้น และก็จะขยายไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งข้างหน้า สวรรค์จะคลุมโลกใบนี้หมดเลย โลกใบนี้ยุคเดิมจะหายไปหมดเลย เมื่อโลกเดิมสิ้นสุดลงแล้ว ความชั่วร้ายจะหายไป นั่นแหละคือสิ่งที่เราหวังไว้ พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น อย่าเดินคนเดียวอีกต่อไปเลย เชื่อผมเถิด เดินคนเดียวเป็นทาสมาร แต่ถ้าเดินกับพระเยซูเป็นลูกของพระเจ้า และพระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่กับท่านด้วย ในร่างกายของท่านเดี๋ยวนี้ทันที เดินไปกับท่านในทุกปัญหา ทุกสิ่งในชีวิตของท่าน พระองค์สามารถที่จะนำพาไปเรื่อยๆ ได้ เป็นไปตามน้ำพระทัยทันที ไม่ได้เดินคนเดียวอีกต่อไป แต่มีพระเจ้าผู้มีชัยชนะเหนือความบาปและความตาย ผู้มีชีวิตนิรันดร์สถิตอยู่ในร่างกายของท่าน และพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคนี้ เข้าไปสถิตอยู่ในร่างกายของท่าน ณ บัดนาว เดี๋ยวนี้ทันที เมื่อท่านใช้สิทธิ และไปไหน ไปด้วยกันกับท่านเสมอ ไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไปแล้ว นี่คือสิ่งที่ท้าทายมาก ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ
**********************