คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์ เวลา 15.00 น. วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์  เวลา 15.00 น.

วันศุกร์ที่  10  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับมาตามนัด อีก 30 วินาทีถึงบ่าย 3 โมง ช่วงบ่าย 3 โมงของการอยู่บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ ถูกตรึงตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงบ่าย 3 โมง 6 ชั่งโมง

เมื่อเช้าเราพูดถึงตอนที่พระเยซูถูกตรึงใหม่ๆ พระองค์ทรงพูดประโยคแรกว่า …

“พระเจ้าขอทรงอภัยให้กับเขาทั้งหลาย เขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรลงไป”

“เขา” ก็คือผู้คนที่ตรึงพระองค์นั่นแหละ รวมทั้งพวกฟาริสีที่ไม่เข้าใจ ชาวยิวที่ไม่เข้าใจ  ปลุกปั่นยุแหย่จากมารด้วย รวมถึงความเมามันของทหารโรมัน รวมกลุ่มเป็นม๊อบ ทำร้ายร่างกาย  ทรมานพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์ถูกตรึง ก็บอกว่า …

“ขอพระองค์ทรงอภัยให้เขาทั้งหลายเหล่านี้ เขาไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรลงไปอยู่ อภัยให้เขาด้วยเถิด”

นั่นคือประโยคแรก แล้วต่อมา ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย

พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน อยู่ตรงกลาง 2 ข้าง ก็จะมีฆาตกร ที่มีโทษอุกฉกรรจ์ ที่ต้องโทษประหารชีวิต 2 คน อยู่ข้างขวาข้างซ้าย  สองคนนี้เขาคุยกัน มีคนหนึ่งเขาไม่เชื่อพระเยซูว่าเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่บาป  แต่อีกคนหนึ่งเชื่อว่าต้องเป็นพระเจ้าแน่ๆ  มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาป เพราะว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย  เป็นผู้ชอบธรรม แต่ได้รับโทษประหาร เขาเชื่อ เขาก็เลยเหมือนกับอธิษฐานกับพระเยซูว่าเขาเชื่อในความเป็นพระเจ้า และเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระมาซีฮา พระผู้ไถ่บาปของพระเยซู และขอฝากจิตวิญญาณของเขา ชีวิตของเขาไว้กับพระองค์ บนไม้กางเขน เขาฝาก บอกว่าถ้าไปถึงสวรรค์ อาณาจักรของพระองค์เมื่อไรแล้ว  อย่าลืมเขาด้วยนะ พาเขาไปด้วย แล้วพระเยซูก็ตอบเขา นั่นแหละคือประโยคที่พระเยซูพูดเป็นครั้งที่ 2 บนไม้กางเขน  พระเยซูตอบว่า …

“วันนี้ เราจะได้พบท่าน ท่านจะได้พบเราที่เมืองบรมสุขเกษม”

หรือที่เรียกว่าพาราไดร์ ก็คือสวรรค์นั่นเอง คือได้ไปสวรรค์

อันนี้นำมาเล่าสู่กันฟัง น่าคิด เพราะฆาตกร นักโทษคนนี้ ที่จะถูกประหารชีวิต เขารู้ตัวเองว่าทำบาป รุนแรง ทำสิ่งชั่วร้าย เขาพูดเองว่าเขาสมควรที่จะได้รับโทษในการถูกประหารแล้ว เขารู้ตัวว่าเขาบาป นึกให้ดีๆ เขาเพียงแค่สารภาพบาปกับพระเยซูคริสต์ว่าเขาเป็นคนบาป เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่เขาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  แล้วตายที่ไม้กางเขน  เพื่อหลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับเขา สามารถช่วยเขาได้  เขาเชื่อในนามพระเยซู ซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอด หรือพระมาซีฮาห์ เขาเชื่อตรงนี้ แค่นี้เอง ความเชื่อของเขาเล็กน้อย นิดเดียว  เหมือนที่พระเยซูยกตัวอย่าง เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ เอง เขาก็ได้ไปสวรรค์แล้ว

ถามว่าเราคิดถึงอะไร? เขาไม่มีเวลา ที่จะกลับไปทำความดีเลย  เขาอยู่บนไม้กางเขน สารภาพบาป  ยอมรับว่าพระเยซูเป็นใคร?  และขอความช่วยเหลือจากพระเยซู ยอมรับว่าตัวเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ในการไปสวรรค์ พอยอมรับปุ๊บ เขาก็ได้ไปสวรรค์ อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เขาก็ตายแล้ว บนไม้กางเขนนั้น  เพราะฉะนั้น ขณะที่เขายอมรับในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูนำเขาไปสู่สวรรค์ได้  โดยที่เขาไม่ได้ไปแก้ตัวอีกเลย ไม่มีโอกาสลงมาทำความดี สะสมความดี เพื่อจะได้ไปสวรรค์เลย ว่ากันตามจริงแล้ว ชีวิตเขาตลอดมา มีแต่ความชั่วตลอดเลย เขาก็รู้ตัวเอง ทำตัวชั่วมาตลอด

แค่ยอมรับแค่นี้ นี่คือพระคุณอันยิ่งใหญ่  พระองค์ไม่ถือโทษในการกระทำผิดของมนุษย์คนใดคนหนึ่งเลย  ในพระคัมภีร์บอกในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงอภัยบาปทั้งหมดเลย ที่มีอยู่ บาปทั้งหมดของโจรผู้นี้  ได้ถูกอภัยแล้ว เหตุจากความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น  ไม่ใช่เหตุจากเขาทำดีได้เยอะ เพราะฉะนั้น จึงอภัยให้มาก ไม่ใช่ จากความเชื่อเท่านั้น  เขาได้รับการอภัยบาปทั้งหมดเลย  บาปทั้งในอดีต บาปทั้งในปัจจุบัน  และบาปตั้งแต่บรรพบุรุษที่เป็นเชื้อบาปติด ตั้งแต่ DNA ของอาดัมโน้น เขาได้รับการอภัยเรียบร้อยไปแล้ว

นี่คือสิ่งหนึ่งที่จะให้เราเห็นว่าบางท่านไม่กล้า ได้ยินข่าวดีนี้  ได้ยินเรื่องพระเยซู มีความรู้สึกกลัวว่ามาต้อนรับพระเยซู มาเชื่อพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว จำเป็นต้องไปปฏิบัติอย่างโน้นไหม?  ต้องเลิกจากความเชื่อเดิมๆ ที่เคยเชื่อไหม? ต้องไปทำอย่างโน้นไหม? ทำอย่างนี้ไหม?  ต้องทำอะไรบ้าง? ต้องแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาดอย่างไรบ้าง ถึงจะได้ไปสวรรค์ตามที่พระเยซู ตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้  เห็นไหมครับ ไม่จำเป็นเลย ไม่ต้องเลย ถูกไหมครับ ไม่จำเป็นว่าเราเชื่อพระเยซูแล้ว เรารู้ว่าเราเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เชื่อพระเยซู พอเชื่อเสร็จแล้ว เราต้องกลับไปอีก รีบไปทำอะไรต่างๆ แก้ไขสิ่งต่างๆ ให้ดี ถึงได้ไปสวรรค์ ไม่ใช่เป็นอย่างนั้นเลย  เราไม่จำเป็นต้องกลับไป แล้วบอกว่าแก้ไข เคยอยู่ในความเชื่อเดิมๆ เคยอยู่ในความหลงผิดเดิมๆ เพราะฉะนั้น ต้องแก้อะไรบ้าง? ต้องอย่างโน้น ต้องอย่างนี้  อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เพราะฉะนั้น มันไม่เกี่ยวกันเลย คนละเรื่องกัน

พอมาเชื่อพระเยซูแล้ว เราได้รับการชำระให้พ้นจากบาป วิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ อย่างที่เมื่อเช้าเราบอก พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ให้เราสมารถเป็นวิหาร ร่างกายเราจะเป็นวิหารของพระเจ้า ทรงสถิตอยู่ในเรา  และเมื่อพระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว พระองค์ก็จะทรงนำพาเราไป ในแต่ละวันๆ ค่อยๆ แก้ไขเปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดีอะไรต่างๆ  ค่อยๆ แก้ไขไปเรื่อยๆ  มันคนละเรื่องกับวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว

นี่คือสิ่งที่น่าสนใจ น่าคิด เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ถามท่านว่า …

“มาเชื่อพระเยซูแล้ว ฉันต้องกลับไปทำอะไรบ้าง?”

ตอบเขาได้เลยตอนนี้ว่า … “ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องทำอะไรเลย”

ขนาดโจรบนไม้กางเขน เขาไม่ได้ทำอะไร เขายังได้ไปสวรรค์เลย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย  เพียงแต่เชื่อและวางใจ ในการทรงนำของพระเจ้า ซึ่งเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของท่านแล้ว แล้วจะนำท่านไปทีละก้าวๆ  พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนี้ในหนังสือฟิลิปปี 1:6 บอกว่า …

“ข้าพเจ้ามั่นใจ แน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดี ในท่านแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ  เป็นไปตามแผนการของพระองค์ จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์ คือวันที่พระเยซูคริสต์กลับมาใหม่นั่นเอง”

มั่นใจเลย พระเจ้าเริ่มต้นการงานดีเมื่อไร? เมื่อท่านรับเชื่อในพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง พระเจ้าเริ่มต้นการงานดี คือเมื่อพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายท่าน นั่นแหละเริ่มต้นแล้ว  เดี๋ยวพระองค์จัดการเอง ท่านไม่ต้องยุ่งอะไรเลย ท่านสบายๆ แล้ว พระเยซูจึงบอกว่า …

“ใครที่แบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

นี่คือประโยคที่ 2 ที่พระเยซูพูด หลังจากนั้นแล้ว มีประโยคอะไรอีก ที่พระเยซูพูดบนไม้กางเขน ต่อจากนั้นมา ก็ใกล้จะถึงบ่าย 3 โมง พระเยซูก็ได้พูดประโยคหนึ่ง ซึ่งสำคัญมากเช่นเดียวกัน คือได้บอกว่า …

“เทสเทเรสไตน์” เป็นภาษากรีกแปลว่า “ฟินิช” แปลว่า “สำเร็จแล้ว”

ก่อนจะถึงบ่าย 3 โมง สิ้นพระชนม์ พระเยซูได้บอกว่า …

“สำเร็จแล้ว”

อะไรสำเร็จ? แผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งแต่มนุษย์คู่แรก บรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวาได้ทำบาป แล้วนำเอามวลมนุษยชาติทั้งหมด ครอบครัวของเขา ตกลงไปในคำสาปแช่ง ในความบาปนั้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา พระเจ้าเตรียมแผนการที่จะช่วยเหลือมนุษย์ โดยการส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาไถ่บาป มาช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากการเป็นทาสบาป ด้วยวิธีอย่างนี้ แล้วก็บอกมาตลอด เป็นระยะเวลา หลายพันปี  แผนการของพระองค์มาสำเร็จวันนี้แหละ เมื่อ 2,000 ปี ในอดีตที่ผ่านมา ตอนบ่าย 3 โมง พระเยซูตะโกนว่า …

“สำเร็จแล้ว”

สำเร็จ คืออะไร? คือปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสรภาพจากบาปเวรกรรมต่างๆ แล้ว จากหนี้เวร หนี้กรรม ไม่ต้องชดใช้หนี้เวร หนี้กรรมอีกต่อไป ไม่ต้องกลัวเจ้ากรรมนายเวรอีกต่อไป ไม่มีใครมาทวงหนี้เราอีกต่อไปแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติแล้ว เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคน จงมารับเอาอิสรภาพนี้ไปเถิด ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูประกาศเป็นผู้แรก บนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว การไถ่บาป สำเร็จแล้ว  มนุษย์เป็นอิสระแล้ว เหมือนประกาศกฤษฎีกาการอภัยโทษให้กับมนุษยชาติทั้งหมดในวันนั้น ว่ามนุษย์ได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว ถูกอภัยจากความบาปผิดทั้งสิ้นแล้ว พระองค์ตรัสว่าสำเร็จแล้ว

พอพูดว่า “สำเร็จ” แล้วพูดอะไรอีก? ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์  พระเยซูไม่ได้ถูกฆ่าตาย พระเยซูยอมตาย  ไม่มีใครมาฆ่าพระเจ้าได้  ไม่มีใครมาทำลายพระเจ้าได้  พระองค์ยกเลิกวิญญาณ  ก็คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ก่อนการยกเลิกวิญญาณ พระองค์ทรงพูดคำๆ หนึ่ง ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน   …

“เอลี เอลี ลามาสะบักธานี”

แปลเป็นภาษาไทยว่า …  “พระบิดาเจ้าข้า พระบิดาเจ้าข้า ไฉนจึงทอดทิ้งลูกเสีย”

สมมติว่าเมื่อสักครู่นี้ ตอนบ่าย 3 โมง พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน บอกว่าสำเร็จแล้ว แล้วก็บอกว่าพระบิดาเจ้าข้า พระบิดาเจ้าข้า ไฉนจึงทอดทิ้งลูกเสีย ไปไหนแล้วล่ะ ทุกทีเคยอยู่ด้วยกันมาตลอดเลย  เป็นหนึ่งเดียวกันมาตลอด ไปไหนไปด้วยกัน  ได้ยินเสียงพระองค์ตลอดเลย  แล้วตอนนี้พระองค์ไปไหนแล้ว พระเจ้าพระบิดาละพระบุตร ละพระเยซูไปแล้ว ถามว่าทำไมไม่สามารถสถิตอยู่กับพระเยซูได้แล้ว ก็เพราะว่าขณะนี้ วิญญาณและร่างกายของพระเยซูนั้น รับเอาความบาปทั้งหลายของมวลมนุษยชาติ ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงสุดท้าย ตั้งแต่สมัยอาดัมจน กระทั่งถึงอนาคตนิรันดร์  บาปของมนุษย์ทั้งหมด ที่ได้กระทำไป ที่มีโทษต่างๆ นั้น พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้แบกรับบาปเหล่านั้นไว้ที่ตัวของพระองค์เองบนไม้กางเขน นั่นแหละ การรับโทษบาปนั้น การรับแบกบาปนั้นไว้ ทำให้พระองค์ผู้ไม่มีบาป กลายเป็นบาป พระเยซูผู้บริสุทธิ์ เป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ แต่ยอมรับเอาความบาปของมวลมนุษย์เข้ามาสู่ตัวเอง  ทำให้ตัวเองเป็นบาป กลับกัน เพื่อว่าคนบาปทั้งหมดบนโลกใบนี้ มนุษยชาติทั้งหลาย เป็นคนบาป จะได้สามารถ กลับกลายเป็นผู้ชอบธรรม ผู้บริสุทธิ์ได้ กลับที่กัน พอเข้าใจใช่ไหม? พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้จริงๆ พระเยซูผู้ไม่ได้เป็นบาป  แต่พระเจ้าทำให้พระเยซูเป็นบาปซะ เป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาปซะ เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้เป็นผู้ชอบธรรม ผ่านทางพระเยซูคริสต์

พออยู่บนไม้กางเขน  ในวินาทีที่จะสิ้นพระชนม์  สำเร็จแล้ว ก็คือมาเพื่อแบกบาปของมนุษยชาติ ตั้งแต่เมื่อคืนวันพฤหัสแล้ว จนกระทั่งถึงเช้าวันศุกร์ ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  แบกรับมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบาปสุดท้ายของมนุษย์ เป็นบาปอะไรก็ไม่รู้ เข้ามาที่ตัวของพระองค์ จบแล้ว พระองค์บอกนี่แหละคือทั้งหมดที่หนักอึ้งของมวลมนุษยชาติ พระองค์ผู้เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ สามารถแบกบาปเหล่านี้ไว้ที่ตัวพระองค์ได้ นี่คือความหนักอึ้งที่พระองค์กลัวมาตลอด ที่สวนเกทเสมเน ที่เมื่อคืนอธิษฐานกับพระเจ้าถึง 3 ครั้ง เป็นไปได้ไหมที่ไม่เข้ามาในภารกิจนี้ ไม่ทำได้ไหม?  เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม?  เปลี่ยนเป็นไม่ต้องรับแบกบาปทั้งหมดของมวลมนุษย์ได้ไหม? รับแค่ไม่กี่คนพอได้ไหม?  รับแต่เฉพาะบาปของคนดีที่เขาเผอิญไปทำชั่วนิดหน่อยได้ไหม? ไม่เอาบาปของทุกคนบนโลกใบนี้ มาไว้ที่ตัวของพระองค์ได้ไหม?  ซึ่งพระเจ้าบอกไม่ได้ ต้องเป็นไปตามแผนการนี้  คือพระองค์มาเพื่อแบกรับเอาบาปทั้งหมดของมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์ มันหนักอึ้งขนาดไหน?

นี่แหละเผยให้ท่านได้รู้แล้วว่าทำไมพระเยซูต้องกลัวจนกระทั่งเหงื่อเป็นเลือด กลัวจนต้องปฏิเสธถึง 3 ครั้ง ว่าจะไม่เข้าไปในงานรับใช้พระเจ้าอย่างนี้ได้ไหม?  ทำอย่างอื่นได้หรือเปล่า หวาดหวั่นมาก แต่ในที่สุด พระองค์ก็ทรงเสียสละ และทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อพระองค์เป็นบาปแล้ว พระเจ้าก็ไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ที่เป็นบาปได้  เหมือนกับก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาประสูติ พระเจ้าไม่สามารถติดต่อกับมนุษย์ได้เลย เพราะมนุษย์เป็นบาปอยู่

บาปคืออะไร? บาป คือตรงกันข้ามกับความบริสุทธิ์ บาปคือศัตรูกับพระเจ้า  บาปคืออยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า บาปคือดำ พระเจ้าคือขาว  มันเข้ากันไม่ได้

เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูแบกรับบาป  จากผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ กลายเป็นบาปแล้ว  พระเจ้าจึงจำเป็นต้องละพระเยซู ออกจากพระเยซู ติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้อีกต่อไป  พระเยซูจึงร้องออกมาว่า …

“พระบิดาเจ้าข้า พระบิดาเจ้าข้า ไฉนจึงทอดทิ้งลูกเสีย”

ไม่เคยทอดทิ้งเลย ไม่เคยจากกันเลย  แต่ขณะนี้ พระองค์อยู่โดดเดี่ยว เดียวดาย พระเจ้าได้ไปเสียแล้ว นี่คือประโยคที่น่าประทับใจมาก

และนั่นคือประโยคสุดท้ายของพระเยซูบนไม้กางเขน ที่ตรัสใน 6 ชั่วโมงบนไม้กางเขนนั้น  พอหลังจากที่ตรัสว่า …

“ไฉนจึงทอดทิ้งลูกเสีย”

ในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าแล้วพระองค์ก็ทรงยกเลิกวิญญาณ คือถวายทุกสิ่งทุกอย่างให้พระเจ้า ทำไมไม่ใช้คำว่า “สิ้นพระชนม์” “ตาย” เพราะไม่มีใครฆ่าพระองค์ได้  แต่พระองค์ยอมตายเอง พูดง่ายๆ คือถึงเวลา ยอมตาย ลงไปอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ  ตอนนี้พระองค์ก็สิ้นพระชนม์เรียบร้อยแล้ว ร่างบนไม้กางเขน ก็เป็นร่างไร้วิญญาณ  ไร้ชีวิต ทหารตรวจดูเอาหอกแทง

ปกติทหารเขาจะจัดการกับนักโทษที่ไม้กางเขน โดยการเอาไม้ เอาค้อน ไปทุบหัวเข่า เพื่อให้น้ำหนักถ่วงลงมา รีบเร่งให้หายใจไม่ออก แล้วเสียชีวิตเร็วขึ้น  แต่พอถึงพระเยซูปุ๊บ เห็นว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ก็เลยไม่ทุบที่หัวเข่า แต่เช็คให้แน่ๆ อีกที ก็เอาหอกแทงไปที่ตรงซี่โครง ก็มีเลือดกับน้ำไหลออกมา เป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์จริงๆ

เราจะระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลายบนไม้กางเขนในวันนี้ เอาเพียงเท่านี้  เดี๋ยวเย็นนี้เราต้องระลึกถึงการไถ่บาป เรียกว่าการนมัสการ-บรรยายในวันศุกร์ประเสริฐ ศุกร์ดีๆ ศุกร์ที่ดีที่สุดของมนุษยชาติทั้งปวง ความรักของพระเจ้าได้ปรากฏแล้ว  ได้สำแดงแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนนั้น เป็นของขวัญ เป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่ เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามอบให้กับมนุษยชาติ มนุษย์ทุกคน แค่เข้ามารับสิทธิของท่านเท่านั้น ท่านก็จะได้สิทธิ์นี้ไปทันทีเลย ก็คือสามารถมาใช้สิทธิ์ว่า …

“ฉันก็เป็นคนๆ หนึ่งที่พระเยซูได้ไถ่บาปฉัน ฉันไม่ต้องพึ่งตัวเองในการไถ่บาปตัวเองอีกต่อไป  ไม่ต้องชดใช้หนี้สินบาปเวรกรรมอะไรต่างๆ  หนี้สินนี้ หมายถึงหนี้สินบาปเวรกรรมทางวิญญาณนะ ไม่ใช่หนี้สินที่เราไปยืมเงินเขา อันนี้คนละเรื่องกัน คนละกฎ นี่กฎหมายบ้านเมือง แต่หนี้ที่ผมพูดมาทั้งหมด เป็นกฎทางวิญญาณ อย่าลืมนะครับว่าพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณ ไม่ใช่มีวิญญาณ มนุษย์เป็นวิญญาณที่มีความคิดจิตใจ  และอาศัยในร่างกายนี้  นี่คือส่วนประกอบของมนุษย์

เพราะฉะนั้น มนุษย์จริงๆ เป็นวิญญาณ  มีความคิดจิตใจ และอาศัยในร่างกายนี้ ร่างกายเราเหมือนเสื้อผ้า ชั่วคราวเท่านั้น  เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงเป็นวิญญาณ  ตัวจริงๆ ของเราเป็นวิญญาณ  แม้จะมองไม่เห็น แต่สำคัญ และมีนัยยะที่สำคัญกว่ามากนัก กว่าร่างกายที่เรามองเห็นอยู่ ดังนั้น เราต้องศึกษาเรื่อง โลกวิญญาณมากกว่า แล้วโลกวิญญาณเราจะศึกษาที่ไหน? ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้เขียนเยอะแยะเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณว่าเราเป็นใคร?

ถามว่าทำไมในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงเขียนไว้เยอะขนาดนั้น เพราะผู้เขียน ผู้บอก ผู้แสดงให้เห็น ถึงความจริงเหล่านี้ ก็คือผู้สร้างเรานั่นเอง ผู้สร้างมนุษย์ทั้งหลาย  ผู้ให้กำเนิดมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือพระเจ้าเป็นผู้เขียน จะไม่ละเอียดได้อย่างไร? จะไม่ลึกซึ้งได้อย่างไร?  มนุษย์ไม่สามารถใช้ความคิด ปัญญาของเราเอง  พยายามวิเคราะห์เรื่องนี้ ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ เป็นไปไม่ได้เลย  มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  ต้องให้พระเจ้าบอกเราว่าในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างไร?  เป็นเช่นไร? เราเป็นใคร? เรามีส่วนประกอบอย่างไร? เราควรจะทำตัวอย่างไร?  วิญญาณเราไปถึงไหน?  ซึ่งต้องใช้ความเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

แล้วเมื่อเริ่มต้นเชื่อแล้ว ท่านก็จะเริ่มต้นสัมผัสได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่เป็นตา หู จมูก ลิ้น กายที่เป็นทางวิญญาณ  ทางวิญญาณก็มีตา หู จมูก ลิ้น กายนะ ไม่ใช่ตา หู จมูก ลิ้น กายมีทางเนื้อหนังร่างกายอย่างเดียว  ในทางวิญญาณของเราที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา พระคัมภีร์ก็บันทึกเอาไว้ว่ามีสัมผัสทางวิญญาณของเราเป็นตาฝ่ายวิญญาณ หูฝ่ายวิญญาณ จมูกฝ่ายวิญญาณ ลิ้นฝ่ายวิญญาณ และกายฝ่ายวิญญาณ  สัมผัสได้ทางวิญญาณเหมือนกับเราสัมผัสทางด้านวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้  ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย เหมือนกัน แต่เป็นคนละอาณาจักร คนละมิติ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

************************