คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์ เวลา 12.00 น. วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2020 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายพิเศษเช้าวันศุกร์  เวลา 12.00 น.

วันศุกร์ที่  10  เมษายน  2020

 เรื่อง “การระลึกถึงพระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับมาตามนัด ตอนนี้อีกประมาณ 4-5 นาทีจะถึงเที่ยง ตอนเที่ยงมีปรากฏการณ์ ซึ่งสำคัญมากที่ผมไลฟ์ เพื่อให้ท่านรู้ว่าเมื่อตอนเที่ยง เกิดอะไรขึ้น  ตอนที่พระเยซูอยู่บนไม้กางเขนแล้ว เมื่อเช้าได้ร่วมกันย้อนประวัติศาสตร์ไป  จำได้ใช่ไหมครับ 9 โมงเช้า พระเยซูได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ไม้กางเขนได้เริ่มถูกยกขึ้นมาปักอยู่ที่พื้นดิน ที่เป็นก้อนหิน ที่เนินโกละโกธา เพื่อสิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิต เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษยชาติทั้งปวง  เพื่อมนุษย์จะได้เป็นอิสระจากความบาป เราได้ติดตามแล้ว ตอนนี้ ถูกตรึงอยู่ที่นั่น 3 ชั่วโมงแล้วนะ คงร้อนมาก 3 ชั่วโมง  เจ็บปวด ทรมาน  พอเดี๋ยวตอนเที่ยง ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าเกิดปรากฏการณ์อันสำคัญมาก  ซึ่งผมจะมาเล่าสู่กันฟัง ถึงปรากฏการณ์ที่สำคัญที่สุด อันเดียวก่อน

ในพระคัมภีร์เขียนบอกว่าพอถึงตอนเที่ยง เกิดมืดฟ้ามัวดินทั่วไปหมดเลย  ในแถบนั้น ในกรุงเยรูซาเล็มมืด ไม่ใช่สุริยุปราคา แต่มืด เป็นปรากฏการณ์พิเศษ  แล้วก็มีแผ่นดินไหว สิ่งสำคัญกว่านั้น ก็คือพวกทหารโรมันที่เฝ้าอยู่ ตกใจกลัวว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อน เผื่อเราเล่าให้ลูกหลานเราฟัง วันนี้วันศุกร์ประเสริฐ วันศุกร์ที่ดีเลิศ ลูกหลานก็จะถามว่า วันศุกร์ประเสริฐ ดีเลิศสำหรับใครล่ะพ่อ แม่? สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนเท่านั้นเหรอ เราจะได้ตอบเขาได้ถูกว่า สำหรับมนุษยชาติทั้งปวง ทุกคนเลย  มีสิทธิ์ได้ของดีๆ  ที่เกิดขึ้น ณ วันนั้น  ซึ่งเรากำลังระลึกถึงวันนั้นด้วยกัน ณ วันนี้ วันเดียวกัน วันศุกร์ ครบรอบ 2,000 กว่าปี

เพราะฉะนั้น ก็อย่างที่บอกว่าปรากฏการณ์อันหนึ่งที่สำคัญมาก ที่เกี่ยวข้องกันกับมนุษย์ ทุกคนบนโลกใบนี้  ซึ่งไม่พูดไม่ได้เลย  นั่นก็คือขณะที่มืดฟ้ามัวดิน  ไปทั่วทุกแห่ง เหมือนเกิดอะไรขึ้นบางอย่าง เหมือนเกิดอาเพศ โลกจะยุติลง เสร็จแล้วแผ่นดินไหว หลุมฝังศพแตกออก แยกออก สมัยก่อนเขาใช้หลุมฝังศพ แล้วใช้ก้อนหินปิด เปิดออกเอง  แล้วคนที่เป็นศพ ตายนานแล้วเดินออกมา ได้มีบันทึกอย่างนั้น

ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ว่าม่านในวิหารขาดออก 2 ท่อน แล้วมันสำคัญอย่างไร?  เราลองคิดดู อาจจะเป็นประโยคสั้นๆ เท่านั้นเอง เหตุการณ์สั้นๆ  แผ่นดินไหว  คนตายในหลุมฝังศพเดินออกมา อันนั้นน่าจะมาเล่ามากกว่า อันนี้สำคัญกว่า  แต่ทำไมมาบอกว่าม่านในวิหารได้ขาดเป็น 2 ท่อน โดยขาดจากข้างบนลงมาข้างล่าง

คำว่า “วิหาร” ก็คือที่พระเจ้าได้สั่งโมเสสให้ทำวิหารจำลองจากสวรรค์ ซึ่งสมัยตอนโมเสสทำ เป็นเต็นท์ เรียกว่าเต็นท์นัดพบ เป็นเต็นท์ผ้า แต่รูปแบบสัดส่วนภายใน เป็นตามที่พระเจ้าบอก แล้วคงรักษาอย่างนั้น มาจนกระทั่งถึง  4 – 5 พันปีจนกระทั่งถึงยุคของพระเยซู ซึ่งวิหารก็ได้เปลี่ยนแปลงจากสร้างด้วยมือ มาเป็นวัตถุต่างๆ  เขาเรียกว่าเป็นอาคาร ตั้งแต่สมัยกษัตริย์ดาวิด กำลังจะเริ่มสร้าง และให้ลูกชายเป็นคนรับมรดกสร้างต่อ ก็คือซาโลมอน ในวิหาร พระเจ้าบอกว่าให้ทำอย่างนี้ จำลองแบบในสวรรค์ คือวิหารนี้มี 3 ส่วน  คือ …

ชั้นที่ 1 ข้างนอกเลย เรียกว่าลานพระวิหาร เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ธรรมดา เตรียมตัว จะไปฆ่าแพะ ฆ่าแกะ แล้วเอาเลือดไปไถ่บาปให้กับตัวเองข้างใน  ก็ฆ่าตรงข้างนอกนี้  แล้วให้ปุโรหิตเอาเลือดเข้าไปข้างใน

ชั้นที่ 2 เขาเรียกกันว่าสถานที่บริสุทธิ์ อันแรกกึ่งๆ ไม่ค่อยบริสุทธิ์เท่าไร?  ข้างนอก ลานวิหาร  ชั้นนี้เขาเรียกว่า Holy place สถานที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นที่ที่คณะปุโรหิต คือคณะที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ ทำพิธีอะไรต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับวิญญาณทำงานอยู่ในนั้น

ชั้นที่ 3 เสร็จแล้วหลังจาก หรือต่อจากHHHdd

ชั้นที่ 2 นี้ มีชั้นที่ 3 อยู่ข้างใน เรียกว่า The most Holy place หรือเรียกว่าอภิสุทธิสถาน แปลว่าสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งมีหีบพันธสัญญาเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า  พระเจ้าอยู่ที่นี่

แล้วสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด กับสถานที่บริสุทธิ์เฉยๆ  ชั้นที่ 2 กับชั้นที่ 3 กั้นกันไว้ด้วยม่านอันนี้แหละ ที่กำลังจะกล่าวถึงในเหตุการณ์เมื่อตะกี้นี้  ที่เกิดขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ที่ในวิหาร เมื่อพระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน จนถึงเที่ยงวัน  เกี่ยวข้องอย่างไร?

ม่านตัวนี้ เป็นตัวกั้น ระหว่างความบริสุทธิ์ธรรมดาเฉยๆ ชั้นที่ 2 กับความบริสุทธิ์ที่สุด  สะอาดที่สุด  สถานที่อยู่ของพระเจ้า  ในม่านกั้น ชั้นที่ 2 บรรดาเหล่าปุโรหิต เข้าไปปฏิบัติภารกิจได้ทุกวัน  ไปจุดตะเกียงบ้าง ไปเผาเครื่องบูชาบ้าง  แต่ชั้นในสุด  “อภิสุทธิสถาน”  ที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่เป็นที่สถิตของพระเจ้า  ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้  ยกเว้นมหาปุโรหิต ก็คือปุโรหิตหัวหน้าใหญ่ที่สุด เข้าไปได้ปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น แล้วเข้าไปต้องระวังมาก ต้องทำตามกฎระเบียบอะไรต่างๆ  ที่พระเจ้าวางไว้เยอะแยะมากมาย  และเข้าไป นำเอาเลือดของสัตว์ เพื่อไปทำการไถ่บาป  เพื่อเป็นการขออภัยบาป  ปีต่อปี อะไรประมาณนั้น

กลับมาที่วิหาร วิหารเป็นอย่างนี้ เราเห็นภาพ ชั้น 2 ชั้น  3 กั้นไว้ด้วยม่าน  ม่านนี้ทำด้วยผ้า  ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่กรุงเยรูซาเล็ม เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อตอนที่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน ตอนเที่ยง  เกิดมืดครึ้มไปทั้งแถบ แถบนั้น  เกิดแผ่นดินไหว ม่านในวิหารขาดออก 2 ท่อน ตั้งแต่บนจรดล่าง

ท่านรู้ไหมม่านในวิหาร ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ และเป็นเรื่องจริงๆ เป็นผ้าหนา 2 นิ้วครึ่ง น่าจะเป็นพรมมากกว่านะ  สูงประมาณ 28 เมตร ใครที่เคยไปโรงแรมที่มีห้องโถง ล็อบบี้ สูงๆ มองไป แบบเพดานสูง  อย่างบ้านเราทั่วไป ก็ประมาณ 4, 5, 6, 7, 8, 9 เมตร  อันนี้ 28 เมตร  คือประมาณ 90 ฟุต กว้าง 30 ฟุต ประมาณ 10 เมตรได้  ท่านนึกภาพออกใช่ไหม?  ม่านใหญ่มากเลย  แผ่นดินไหวขนาดนั้นเหรอ ถึงทำให้ม่านตรงนี้ขาดได้  และข้อสำคัญ  หมายสำคัญ  ที่ต้องเล่ากันวันนี้  ก็คือขาดจากบนมาล่าง ไม่ใช่จากล่างไปบน มีคนมาตัดอะไรแบบนี้ จากบนมาล่าง นั่นเล็งให้เห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้ฉีกม่านนี้เอง นึกภาพตามไปด้วย พระเจ้าฉีกม่าน

ถามว่าฉีกม่าน เพื่ออะไร? หลังม่าน คือการทรงสถิตของพระเจ้า  มนุษย์เข้าไปไม่ได้ มนุษย์สกปรก มีแต่บาป นอกจากมหาปุโรหิต เพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าไปได้ ปีละ 1 ครั้ง แล้วเข้าไป แป๊บเดียว ระวังมาก  เพื่อเอาเลือดสัตว์เข้าไป  เพื่อขออภัยบาป ปีต่อปี ทำมันทุกปี ไม่มีวันจบ เหมือนผ่อนส่ง  แต่ตอนนี้ พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซู เป็นแกะปัสกา ก็คือเป็นแพะรับบาปไง  นึกภาพนะ เมื่อแพะรับบาปตาย โลหิตของพระองค์ก็สามารถชำระบาปทั้งหมดทั้งปวงเลย  ชำระนะ ไม่ใช่ไปขอผ่อนส่งปีต่อปี แต่พระโลหิตพระเยซูไปลบบาปของมวลมนุษย์ให้หมดไปเลย พระเจ้าจึงให้ม่านนี้ฉีก ไม่ต้องใช้ม่านอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าบัดนี้ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ได้ชำระล้างมนุษย์ ให้สะอาดหมดจด  สามารถเข้าไปหาพระเจ้า โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ได้แล้ว ไม่ต้องมีม่านกั้นแล้ว พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าฉีกม่าน แล้วเสด็จออกมาจากหลังม่านนั้น อึดอัดมานานแล้ว  อยากจะอยู่กับลูก พระเจ้าเก็บข้าวของ แล้วก็เสด็จออกจากวิหารที่ทำด้วยมือมนุษย์ ก็คือวิหารของเฮโรดในสมัยนั้น  วิหารที่พัฒนามาตั้งแต่สมัยโมเสส  พระเจ้าเก็บข้าวของออกมา เตรียมตัวมาอยู่ในวิหารใหม่  ไม่อยู่ในวิหารที่ทำด้วยมือมนุษย์  สร้างด้วยมือมนุษย์ ซึ่งเป็นอาคารอย่างนี้อีกแล้ว พอกันสักที แต่พระองค์เตรียมตัว เพื่อจะมาอยู่กับลูกของพระองค์  คือในร่างกายของมนุษย์ทุกๆ คน ซึ่งเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ก็ได้  มาอยู่ด้วยก็ได้  ในร่างกายของมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ร่างกายของมนุษย์จะสามารถเป็นวิหารของพระเจ้าได้ ตั้งแต่ปรากฎการณ์นั้นเป็นต้นมา  พระเจ้าไปเตรียมตัวเลย เดี๋ยวอีกไม่กี่วัน เราจะไปอยู่กับลูกของเรา ไปดูแลเขา ไปปกป้องเขา  จะเดินกับเขา จูงมือเขาเดิน  ในยามมีโควิด-19 เราจะอยู่กับเขา

พี่น้องลองคิดตาม มันเป็นโอกาสดีที่เราได้คิด ได้คุยกันถึงเรื่องราวเหล่านี้ ในวันที่ตรงกับวันระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น  2,000 กว่าปีแล้ว  ถ้าไม่มีการระลึกถึง ถ้าไม่มีพระเจ้าจริงๆ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ เป็นเรื่องเล่า นิทาน มันมาไม่ถึง 2,000 ปีนี้หรอกครับ มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งนับวัน ยิ่งมีคนรู้จักเรื่องนี้มากขึ้น พระเจ้านับวันก็ไปสถิตอยู่ ไปอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์มากขึ้นทุกวันๆ แล้วจะเข้าไปอยู่ได้อย่างไร? ถ้าเขาไม่ยอม พระเจ้าไม่ได้เป็นแบบมารซาตานที่บังคับมนุษย์ พระเจ้าให้อิสระมนุษย์ด้วยความรัก  ดูแลมนุษย์ด้วยความรัก เหมือนเรามีลูก เราดูแลลูกเราด้วยความรัก ไม่ใช่เป็นนักโทษ ต้องบังคับ

“ถ้าแกไม่รักฉัน  ฉันจะจับแกไปติดคุก”

อะไรแบบนี้เหรอ ไม่ใช่ ไม่ใช่พ่อเรา ไม่ใช่แม่เรา

“ถ้าแกดื้อมาก  ฉันจะเอาโรคภัยไข้เจ็บใส่มาให้แกเลย อย่างนี้เหรอ”

ไม่ใช่พ่อแล้วอย่างนี้ เราเอง เราเป็นมนุษย์ธรรมดา เรายังคิดออกว่าเป็นอย่างไร?  พระเจ้าเป็นมากกว่านั้นอีก  เพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก  เป็นพ่อที่ยอมเราทุกอย่าง  รักเรามาก  ถามว่ารักมากเท่าไร?  เขาบอกพระเยซูรักเรามากทุกคน  มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเยซูรักมาก จึงยอมทำสิ่งนี้  มีบางคนถาม พระเยซูรักมนุษย์มากเท่าไร? บางคนบอกพระองค์กางแขน ถูกตรึงที่กางเขนเท่านี้  แต่อยากรู้ไหมว่าพระองค์รักเรามากเท่าไร? นี่เป็นคำพูดของพระองค์เอง  คือรักมนุษย์ทุกคนมาก  ไม่ว่าท่านจะเชื่อเรื่องนี้ หรือไม่เชื่อ  ตราบใดที่ท่านเป็นมนุษย์ทุกคน พระเจ้ารักท่านมาก ถึงขนาดถ้าเผื่อโลกใบนี้ทั้งใบ มีเพียงท่านคนเดียว ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก เนื่องจากความบาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้กันไม่หมด  ไม่รู้กี่ชาติๆ ถ้ามีเพียงคนเดียว  ที่ตกลงไปในความบาปอย่างนี้  พระองค์ก็ยังยินยอม  ที่จะมาทนทุกข์ทรมานหนักขนาดนี้  ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ จนกระทั่งวันนี้ อย่างแสนสาหัส  และยอมสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน  เพื่อช่วยท่านให้หลุดออกมา  เพียงคนเดียว ก็โอเค ท่านพอเข้าใจใช่ไหมครับ?

ในหนังสือลูกา บทที่ 15  ได้บันทึกอย่างนี้ พระเยซูยกตัวอย่างความห่วงใยของพระเจ้าว่ารักเราขนาดไหน?  มีแกะอยู่ร้อยตัว เก้าสิบเก้าตัวอยู่ในคอกหมดแล้ว  มีตัวหนึ่งหายไป หลงไป  อาจจะถูกหมาป่าทำร้ายไปแล้ว  หมีเอาไปกินแล้วมั้ง  ความรู้สึกของพระเจ้าเป็นห่วงขนาดไหน? เอาเก้าสิบเก้าตัว เก็บไว้ในคอกอย่างดีเลย  แล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้นก่อน แล้วตัวเองก็ออกไปเที่ยวตระเวณหา  เพื่อจะช่วยแกะตัวนั้น ตัวเดียว  ที่มันหลงหายไป มันน่าสงสาร มันจะตายหรือยังไม่รู้ มันเป็นอยู่หรือเปล่าไม่รู้ มันถูกรังแกหรือเปล่าไม่รู้ มันถูกกินไปหรือยังไม่รู้ นี่คือความรู้สึกของพระเจ้า ที่มีต่อท่าน และต่อทุกคนบนโลกใบนี้

พูดตรงนี้แล้วมันซีเรียลนะ ว่ากันตามจริงๆ ตั้งใจจะเล่าสู่กันฟังธรรมดา มาฉลอง ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามันมีผลมาถึงพวกเรามนุษย์ทุกคนอย่างไรบ้าง?  เพื่อเราจะได้ใช้สิทธิให้เป็นประโยชน์ อย่างที่บอก มันเป็นของเราทุกคนอยู่แล้ว พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  และเตรียมเรามนุษย์ทั้งหลายทุกคน ให้เป็นวิหารของพระเจ้า  ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่ได้ เพราะฉะนั้น มันเป็นสิทธิของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้เลย  ที่จะใช้สิทธิของเขา  ในการที่จะมาเป็นลูกของพระเจ้า  ให้พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายเขา  เพื่อจะจูงมือเขา ไปไหน ไปด้วยกันเลยครับ โควิดมา ไปด้วยกัน โควิดมาเราสู้เขาไม่ได้หรอก แต่โควิดมา  พระเจ้าที่อยู่ในเราสู้ได้  พระเจ้าจะพาเราเดินผ่านไปเลย จะผ่านแบบโควิดสยบไป หรือจะผ่านแบบโควิดยังอยู่ แต่เราเดินผ่านไป ก็ได้  ทำได้ทุกอย่าง  เพราะพระเจ้าบอกไว้แล้วว่าพระองค์สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา  ให้มันเป็นผลดี สำหรับเราเสมอ ที่วางใจในพระองค์ และมีพระองค์สถิตอยู่ด้วย ในร่างกายนี้ เป็นลูกของพระองค์แล้ว  ใช้สิทธิของเขาแล้ว  สิทธิที่พระเยซูทำให้บนไม้กางเขน ขณะนี้ยังถูกตรึงอยู่ นี่ย้อนกลับไป 2,000 กว่าปี

และในพระคัมภีร์ยังบันทึกไว้อย่างนี้นะ  ในหนังสือยอห์น 1:12 บอกว่าคนทั้งหมดเลย  บันทึกไว้ตั้งแต่ตอนโน้นแล้วนะ ตั้งแต่หลังจากเหตุการณ์สิ้นพระชนม์แล้ว  และเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ผ่านไปไม่นาน ยอห์นได้เขียนคำนี้  จากการมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นว่าคนแห่มาใช้สิทธิกันใหญ่ จากพระเยซูที่ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ที่หลายคนพยายาม เนื่องจากถูกหลอกโดยมาร พยายามโกหก  หลอกลวงว่าไม่จริงหรอก เป็นเรื่องเล่า เรื่องกุขึ้น  แต่ความจริงคือความจริง  ผลมันคือความจริงไง  ถ้าไม่จริง มันก็สิ้นสุดไปแล้ว  มันหมดไปแล้ว มันมาถึงขนาดนี้  ก็ต้องขอบคุณพระเจ้า  พอเลยไปจากวันนั้น ไม่กี่สิบปี ยอห์นยังมีชีวิตอยู่ ยอห์นเขียนเท่าที่เห็น  นึกภาพนะ สิทธินี้เกิดขึ้นแล้ว ในยอห์น 1:12 บอกว่าผู้คนมากมาย ทั้งหมด ที่ยอมรับเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องจริง ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อทรงชำระบาป และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และยังมีชีวิตอยู่ เป็นเรื่องจริง คนทั้งหมดที่เขาเชื่อในตรงนี้ เขาได้รับ Power  พลังอำนาจ สิทธิอำนาจ ให้กลายเป็นลูกของพระเจ้า  เขียนคำนี้ชัดเจนเลยนะ ใช้ Power เลยนะ เหมือนท่านเสียบปลั๊กไฟ ปลั๊กไฟมี Power เสียบปุ๊บ มีไฟสว่างจ้า  นี่เขาเรียกว่า Power มาทำให้หลอดไฟสว่างได้ ใช้อันเดียวกัน เพราะฉะนั้น จะใช้แบบฤทธิ์อำนาจ โดยพระเจ้า คือสิทธิที่ท่านใช้ ก็ได้ จะแปลตรงไหนก็ได้  มากเท่ามากเลย ก็คือเยอะแยะไปหมดในช่วงนั้น  ที่ใครก็ตามที่ยอมรับในเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องจริง  เขาใช้สิทธิของเขา  ทันทีทันใดนั้น  เมื่อเขายอมรับเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง  ฤทธิ์อำนาจ น่าจะใช้คำนี้ ดีกว่านะ ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะเข้าไปในร่างกายของเขา และชุบวิญญาณเขาให้เกิดใหม่ บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า  ต้องย้ำ ไม่อย่างนั้นมันไม่น่าเชื่อ  เป็นไปได้อย่างไร? อย่างที่ผมบอก  ถ้าเป็นไปไม่ได้ คงไม่มาถึงทุกวันนี้ 2,000 กว่าปีแล้วนะ อย่างที่เห็นชัดๆ อย่างน้อย ในชีวิตผม ก็ 30 กว่าปีแล้ว ก็เห็นเยอะขึ้นทุกวัน  คนที่มาใช้สิทธิ์นี้ เขาได้ตามนี้ทุกคน ได้เป็นลูกของพระเจ้า และจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล นี่คือตอนหนึ่งที่เรามาคุยกันในวันนี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************