คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2020 เรื่อง “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ” ตอน 2 “อย่ากระวนกระวายใจ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  มีนาคม  2020

 เรื่อง “จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ”

ตอน 2 “อย่ากระวนกระวายใจ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            โลกทุกวันนี้ พวกเรามนุษยชาติกำลังเผชิญกับสงครามวิกฤตต่อสู้กับไวรัส ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นเรื่องที่ง่ายมากเลยที่มนุษย์จะเอาชนะเจ้าเชื้อโรคเหล่านี้ เพราะเรามนุษยชาติได้เอาชนะเชื้อร้ายนับไม่ถ้วนเลย ที่เจอมาสาหัสกว่านี้เยอะแยะผ่านมาแล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือเรากำลังต่อสู้กับไวรัสมองไม่เห็น คือเรากำลังต่อสู้กับความกลัว ความหวาดระแวง ความสิ้นหวัง ความเห็นแก่ตัว ข่าวลือ การแตกแยก การกล่าวโทษ การแย่งชิง การฆ่าและทำลายกันเอง ในมนุษยชาตินี้ นี่คือสงครามหนักกว่าเยอะ แต่พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ทรงรักมนุษยชาติมากยิ่งนัก พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างพวกเราเสมอ และจะช่วยนำพาเราผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยดีเช่นเคย ด้วยความรักเท่านั้น หมายถึงไม่ใช่พระองค์ทรงรักอย่างเดียว แต่พระองค์จะทรงกระทำ และมันชนะโดยผ่านทางมนุษย์ทั้งหลาย มีความรักแบบพระเจ้า รักกัน ช่วยกัน เห็นอกเห็นใจกันเท่านั้น ถึงจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ และทุกๆ ครั้งก็ผ่านไปได้ด้วยดี  ด้วยความรักเท่านั้น  เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก

สัปดาห์ที่แล้วเราได้ฟังเรื่อง “จงชื่นชมยินดีเถิด” ตามถ้อยคำในหนังสือฟีลิปปี บทที่ 4 ที่บอกว่า …

ฟีลิปปี 4:4-5 “4 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด 5 ให้ความสุภาพอ่อนโยนของท่าน เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว”

 

เราได้รับรู้แล้วว่าเราสามารถชื่นชมยินดีได้ในยามที่ต้องเผชิญทุกสถานการณ์ ย้ำอีกที สามารถชื่นชมยินดีได้ในยามเผชิญกับทุกสถานการณ์ เพราะพระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ในเราแล้ว สัปดาห์ที่แล้วเรารู้เรื่องนี้

“เรา” ในที่นี้ หมายถึงผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ทางวิญญาณเท่านั้น คือผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สั้นๆ เท่านั้น และเราในที่นี้ผู้ที่เชื่อแล้วนั้น ก็ได้รับของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า คือความชอบธรรม สันติสุข และความชื่นชมยินดี เป็นของขวัญ เป็นของประทาน และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมต้องชื่นชมยินดีได้ในทุกสถานการณ์ ก็เพราะความชื่นชมยินดีนั้น ได้อยู่ในตัวเราแล้ว อยู่ในวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา เรามีอยู่ เราไม่ใช่ไม่มี  มีความชื่นชมยินดีอยู่ เพียงแต่เอามันออกมาใช้เท่านั้น

ความชื่นชมยินดีที่เป็นของประทานของตัวเรานี้ มันอยู่ที่ใจของเรา เพราะฉะนั้นให้มันผ่านทางใจ ออกมาที่ความคิด แล้วก็สั่งร่างกายทั้งหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย จงชื่นชมยินดีเถิด เหมือนกับที่เราฝึก ครั้งที่แล้ว

ลองดูอีกทีหนึ่งนะ หลับตาลง สมมติ หลับตาลงปุ๊บ ไปที่สวรรค์เลย ไปที่โลกวิญญาณ set your mind คือจดจ่อความคิดของเราไปที่โลกวิญญาณ  เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน อยู่ในโลกวิญญาณ อยู่ในสวรรค์แล้ว ตรงนั้นมีความชื่นชมยินดีอยู่ เอาความชื่นชมยินดีนี้ ส่งข้อมูลไปที่ความคิดของเรา ความคิดในร่างกายนี้ โอเค ส่งไปแล้วนะ มีความชื่นชมยินดีอยู่ในพระเจ้า แล้วก็เอาความคิดนี้ สั่งสมองทั้งหมด เส้นประสาทในสมอง ที่ควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย เอาสมองสั่งการตา หู จมูก ลิ้น กายว่า …

“จงชื่นชมยินดีเถิด”

นี่คือฝึก เราสามารถชื่นชมยินดีได้ แป๊บเดียวเลย สับสวิตช์ปุ๊บ ไปสวรรค์ปั๊บ เอาความชื่นชมยินดี สั่งเลย จงชื่นชมยินดีเถิด สั่งใคร? สั่งตัวเอง อย่าไปสั่งคนอื่นเขา เดี๋ยวโดนโวย

เธอไปทำซิ ฉันไม่เป็นเธอหรอก ฉันเป็นฉัน เพราะฉะนั้น ด้วยการควบคุม ความคิดจิตใจของเรา ให้เป็นไปตามตัวตนแท้จริงในวิญญาณของเรานั่นเอง จงชื่นชมยินดีเถิด เจอคนเขาข่มเหง เจอคนเขาเอาเปรียบ จงชื่นชมยินดีเถิด เจอคนเขากำลังทุกข์ยากลำบาก เจอคนที่เขาต้องการการช่วยเหลือ

“จงให้แสงสว่างออกจากตัวท่านไป ออกจากตา หู จมูก ลิ้น กาย”

ตาก็มองเขาด้วยความเมตตา ก็เป็นแสงสว่าง พอมองออกไหม? เพราะพระเยซูบอกว่าเราเป็นแสงสว่าง เราผู้ที่เชื่อพระเจ้า เป็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้น เราต้องทำอะไร ต้องสับสวิตช์ความคิด ไปที่เบื้องบน … เบื้องบนคืออะไร? สัปดาห์ที่แล้วได้เรียนแล้ว ทบทวนนิดหนึ่ง เบื้องบน ก็คือที่สวรรค์ หรือในโลกวิญญาณ ที่ใช้ชื่อว่าในพระคริสต์ ทุกคำในพระคัมภีร์จะบอกตลอดเวลา เราเกิดใหม่ ทั้งหมด สิ่งที่เราได้มา จะลงท้ายด้วย “ในพระคริสต์” คือในสวรรค์ ในโลกวิญญาณ ที่เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์

เพราะฉะนั้น สับสวิตช์ไปที่นั่น ไม่ใช่สับสวิตช์ไปที่สถานการณ์รอบข้าง สับสวิตช์ไปที่เบื้องบนซะ  ตามที่พระคัมภีร์ได้ใช้คำว่า “ให้เราจดจ่อความคิดของเรา ไปที่เบื้องบน” ฟิลิปปี โคโลสี พระคัมภีร์หลายแห่งเลยบอกอย่างนี้ ให้เราจดจ่อความคิดของเราไปที่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์สถิตอยู่ ให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน มีอะไรเกิดขึ้น ก็มองไปที่เบื้องบน จดจ่อไปที่การได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  (แล้ว) พอสับสวิตช์ปุ๊บ เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว ไม่ใช่อยู่ธรรมดา อยู่แบบยอดเยี่ยม อยู่แบบเป็นลูกที่สำเร็จราชการ เพราะในนั้นเขียนไว้ว่าที่เบื้องขวาพระหัตถ์ ก็คือผู้สำเร็จราชการของพระเจ้านั่นเอง

นี่คือความหมายที่บอกว่าเราสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ ท่ามกลางทุกสถานการณ์ ซึ่งเราได้เรียนรู้ไปสัปดาห์ที่แล้ว จริงๆ การอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ หลายคนเข้าใจว่าพอมาเชื่อพระเยซูแล้ว พระเยซูสัญญาว่าเราจะได้ไปอยู่ในสวรรค์ ก็รอให้ตายก่อน รอหมดลมหายใจ แล้วเราก็ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ มันก็ถูก แต่จริงๆ พระคัมภีร์ถูกมากกว่านั้นก็มี ก็ตรงที่การอยู่ในสวรรค์กับพระเยซู หรือกับพระเจ้า มันอยู่เดี๋ยวนี้เลยนะ มันต่อเนื่องไปเลย เดี๋ยวนี้ และหลังความตาย  และไปถึงนิรันดร์ นั่นหมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าพอเรารับเชื่อพระเยซู เชื่อในข่าวดีแล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว รอให้ตายก่อน ค่อยไปถึงสวรรค์ ไม่ใช่ พอเราเชื่อปุ๊บ มันสับสวิตช์ เกิดขึ้นทันที พระเจ้าได้ย้ายเราออกจากอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ เดี๋ยวนี้ทันทีเลย  แล้วก็เริ่มขบวนการย้าย เราเข้ามาอยู่ในวิญญาณ แต่ร่างกายยังไม่ย้าย รอวันหนึ่งเมื่อร่างกายหมดอายุขัยค่อยมา ย้ายถาวร เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า และรอคอยวันที่จะได้รับร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เหมือนพระเยซู ที่พระเยซูเดินทะลุกำแพงอีกครั้งหนึ่งในอนาคตข้างหน้า เอเมน

คราวนี้รู้แล้วนะ เพราะฉะนั้น เราสามารถชื่นชมยินดีได้ในทุกสถานการณ์ ก็เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา เราอยู่ในสวรรค์แล้ว

แล้วจะไปชื่นชมยินดีได้อย่างไร? เปาโลบอกว่าท่านเชื่อแล้วนะ พอท่านเชื่อแล้ว พระเจ้าจะมาอยู่กับท่าน ท่านบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับท่านแล้ว แล้วค่อยมาข้อนี้ที่บอกว่าเพราะฉะนั้น จงชื่นชมยินดีเถิดในทุกสถานการณ์ เพราะพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว พระเจ้าอยู่ในเธอแล้ว อยู่ในตัวท่านแล้ว ฮีบรู 13:5-6 ลองอ่านดูนะ หนึ่งข้อ ในจำนวนหลายๆ ข้อที่มีบอกว่าพระเจ้าสัญญาว่าอย่างไร? เมื่อเราอยู่ในสวรรค์แล้ว เมื่อเราเชื่อในพระเยซูแล้ว แม้เรากำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ก็ตาม แม้เราจะมองไม่เห็นพระเจ้าก็ตาม แต่พระเจ้าบอกเราความจริงในโลกวิญญาณว่าอะไรเกิดขึ้น …

ฮีบรู 13:5-6 “5 จงรักษาชีวิตของท่านให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง และจงพอใจในสิ่งที่ตนมี เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน เราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน” 6 ดังนั้นเราจึงกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัวมนุษย์จะทำอะไรข้าพเจ้าได้เล่า”

 

พระเจ้าตรัสว่าเราจะไม่ทอดทิ้งท่าน และจะไม่ละท่านเลย ก็แสดงว่าอยู่กับเราตลอด ไม่ต้องกังวลในเรื่องใดๆ เลย เพราะการเขียนตรงนี้ ตอนนั้นผู้เชื่อ ที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเผชิญกับความทุกข์ นอกจากถูกข่มเหงแล้ว ยังเกิดการกันดารอาหาร ในนี้บอกไม่มีเงิน ไม่ต้องกลัวอะไร? เพราะว่ามีพระเจ้าสถิตอยู่กับเธอ พระเจ้าสัญญาแล้วหนีเธอไป พอเศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิดปุ๊บ พระเจ้าไปแล้ว ไม่ใช่ ถึงโควิดจะทำอะไรเธอ ก็ไม่ต้องกลัว เพราะว่าพระเจ้าอยู่กับเธอ อยู่ในตัวเธอนั่นแหละ แล้วพระเจ้าสัญญาว่าจะไม่ละทิ้งท่าน จะไม่ทอดทิ้งท่าน สองกิริยา ไม่ทอดทิ้งกับไม่ละทิ้ง คือไม่ทิ้งก็คือไม่ทิ้งเลย ไม่ละเหมือนกัน แสดงว่าพระองค์กำลังสนใจมากเลยว่าเอาล่ะสิ ถึงตอนนี้จะจัดการกับลูก ช่วยลูกฉันได้อย่างไรบ้าง? ก็ว่ากันมา อะไรอย่างนี้ แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นกับผู้ที่เชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวดีของพระองค์เท่านั้น มันก็ยังเป็นที่น่าเสียใจอยู่ ยังมีพี่น้องอีกหลายท่านที่ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายของเขา เหมือนกับเรา แต่พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์คนใด ใครก็ตามที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า ไม่อยากเดินคนเดียวอีกแล้ว ไม่อยากช่วยเหลือตัวเองตามลำพังอีกแล้ว อยากมีพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่ แบบที่ตะกี้นี้ คุณนครพูด แบบที่ตะกี้นี้  พระคัมภีร์บอก อยากจะมีพระเจ้า อยู่ด้วยตลอดเวลา ไม่ละทิ้ง อยากจะชื่นชมยินดีได้ในทุกสถานการณ์ อยากจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยนำพาชีวิตในแต่ละวัน แต่ละวินาที ตามที่พระคัมภีร์บอก ก็ทำได้ง่ายนิดเดียว ง่ายมากเลย ง่ายจนเราไม่อยากจะเชื่อกันหรอกว่ามันง่ายอย่างนี้ แต่มันง่ายจริงๆ

ซึ่งครั้งที่แล้ว ก็ได้แนะนำไปแล้วว่าแค่ตัดสินใจเชื่อในข่าวดีนี้ พอแล้ว ทุกอย่างพระเจ้าเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เตรียมรอสับสวิตช์ เคาะที่ประตูหัวใจของทุกคน  พร้อมที่จะเข้าไป  แล้วก็ทำงาน ขบวนการทุกอย่าง เตรียมพร้อม ของขวัญเตรียมพร้อม ความรักทุกอย่างเตรียมพร้อมทั้งหมดแล้ว ชัยชนะ พระพร เตรียมพร้อมหมด รออย่างเดียว รอกุญแจสำคัญ ให้คนนั้นเปิด เคาะแล้วต้องเปิด พระองค์ไม่ได้มา เพื่อจะมานั่งพิพากษา เราทำอะไรมา เราแย่อย่างนี้ เราเป็นคนไม่ดี ทำอะไรมาก่อนนั้น ไม่สนใจเลย  เพราะมนุษย์ทุกคนเลวเท่ากันหมดเลย ชั่วเท่ากันหมดเลย ในสายพระเนตรพระเจ้า ไม่มีว่าท่านคนนี้เลวกว่าคนนี้ คนนี้เลวกว่าคนนั้น ไม่มี เท่ากันหมด พระเจ้าไม่สนใจเลย พระเจ้าคอยแต่ว่าจะช่วยเขาอย่างไร? เปิดสิๆ กดเลยๆ เปิดประตู ฉันจะได้เข้าไป  แค่เปิดประตูเท่านั้น  นอกนั้นพระองค์เป็นผู้กระทำทั้งสิ้นเลย ไม่ต้องทำอะไรแล้ว และรู้ไหมว่ากุญแจที่เปิดประตูนั้น มันใช้แค่นิดเดียวเอง ง่ายเท่ากับอะไรรู้ไหม? ความเชื่อนี้ ตามพระคัมภีร์เท่ากับเมล็ดมัสตาร์ด เล็กมาก แทบมองไม่เห็นเลย เป่าทีเดียว เมล็ดเป็นหมื่นออกไปเลย

พระเยซูยกตัวอย่างเมล็ดมัสตาร์ด ขอให้ท่านมีความเชื่อแค่เมล็ดมัสตาร์ดแค่นั้นพอแล้ว ภูเขาทั้งลูก ลงไปทะเลได้เลย ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ สำหรับพระเจ้า ถ้าเผื่อท่านมีความเชื่อแค่เมล็ดมัสตาร์ด เพราะว่าพระเจ้าจะเข้าไปทำเอง ไม่ใช่ท่านทำ เอเมน เพราะฉะนั้น มันง่ายนิดเดียว ท่านอย่าปล่อยให้ความทุกข์ยากลำบาก วิกฤตปัญหาในชีวิตระลอกแล้วระลอเหล่า ท่านก็ทนเอา สู้ด้วยตัวเองๆ ถามจริงๆ ไม่เหนื่อยเหรอ เหนื่อยแน่ เพราะผมก็ผ่านมาแล้วหลายๆ คนที่นี่ก็ผ่านมา พระเยซูบอกว่า ผู้ใดที่แบกภาระหนัก และเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้น หายเหนื่อยและเป็นสุข ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอให้ตาย หายเหนื่อยและเป็นสุขเดี๋ยวนี้เลย พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับท่าน จะมาอยู่ในท่าน นำพาท่าน เดินตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เป็นต้นไป ตั้งแต่ท่านใช้เมล็ดมัสตาร์ดที่ผ่านทางปากของท่าน โรม 10:9-10 ได้บอกเคล็ดลับว่าเมล็ดมัสตาร์ด ท่านจะใช้อย่างไร? เริ่มต้นจากได้รับเมล็ดมัสตาร์ดนี้ ทำอย่างไร?

โรม 10:9-10  “9 นั่นคือถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ท่านก็จะได้รับความรอด   10 เพราะท่านเชื่อด้วยใจ จึงทรงให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม และเพราะท่านยอมรับด้วยปาก จึงทรงให้ท่านรอด”

 

นี่คือวิธีการใช้เมล็ดมัสตาร์ด ที่พระเยซูบอก ขอให้ท่านมีความเชื่อแค่เมล็ดมัสตาร์ด เล็กนิดเดียว ไม่ต้องเชื่ออะไรมากเลย เชื่อแค่พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเยซูเป็นพระเจ้า  และเชื่อในใจของท่านว่าพระเจ้าทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย  และพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย จบ ถูกไหม? อย่างนี้ เขียนแค่นี้  ท่านก็จะได้รับความรอด … รอดจากนรก รอดจากคำสาปแช่ง รอดจากการเป็นคนบาป  ซึ่งอยู่คนละขั้วกับพระเจ้า  พระเจ้าเข้ามาสถิตไม่ได้ แต่เมื่อท่านเชื่อ ท่านก็รอดจากคนบาป กลายเป็นคนชอบธรรม ไม่บาปอีกต่อไป บริสุทธิ์สะอาด พระเจ้าก็เข้ามาสถิตได้ เพราะท่านสะอาด บริสุทธิ์แล้ว สะอาดเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย เหมือนพระเยซูเลย พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับท่านได้

เพราะฉะนั้นใช้เมล็ดมัสตาร์ด ความเชื่อแค่นิดเดียวของท่าน พูดตอนนี้เลย และที่เหลือ เป็นหน้าที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพระเยซูคริสต์ที่บอกว่า …

“เราเคาะประตูใจของท่าน ใครที่เปิด เราจะเข้าไป”

แค่นั้นเอง ที่เหลือเป็นหน้าที่ของพระองค์ ที่จะนำพาเรา เพราะเมล็ดมัสตาร์ดนี้ ทำให้ภูเขา ทำการอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างเทียบกันไม่ติดเลยระหว่างเมล็ดมัสตาร์ดเล็กๆ กับอะไรที่จะเกิดขึ้น เพราะถ้าท่านใช้เมล็ดมัสตาร์ด ความเชื่อแค่นี้นิดเดียว แค่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาตายแทนบาปของท่านบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ไถ่บาปๆ เคยได้ยินเขาบอกไถ่บาป เมล็ดมัสตาร์ดแค่นี้ พอท่านใส่เหมือนโค๊ด เหมือนกับคีย์รหัสคำนี้เข้าไปปุ๊บ พอใจท่านเปิดปุ๊บ พระวิญญาณเข้าไปปั๊บ อัศจรรย์เกิดขึ้น วิญญาณท่านเกิดใหม่ เรียกว่าบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ เกิดขึ้น ณ วินาทีนั้น ทันที โดยที่พระเจ้าย้ายท่านทันทีเลย ย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด อาณาจักรของมาร อาณาจักรของอาดัม เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานทันที ท่านรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ทันทีเลย แล้วพระเจ้าก็จะเลี้ยงท่าน ดูแลท่าน เหมือนลูกอ่อน ให้นมท่าน ท่านรู้เรื่องทันทีไหม?

ถามท่านเดี๋ยวนี้ คนที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว หรือถามผมที่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ผมเป็นลูกพระเจ้ามา 30 กว่าปีแล้ว แต่ถามจริงๆ ว่าตอนผมเกิดใหม่เป็นทารก ผมรู้ไหมว่าตอนไหน? ไม่รู้ แต่รู้ว่าแถวๆ นั้น ปี ค.ศ.1988 แต่ไม่รู้ว่าตอนไหน? เพราะเหมือนตอนผมเกิด ในทางเนื้อหนัง ผมก็ไม่รู้ ผมรู้ว่าแม่ผมเขียนไว้ในนั้นว่าผมเกิดเดือนตุลาคม 1951 แต่ผมรู้ไหม? 1951 ผมนอน อุแว๊ๆ ไม่รู้เรื่อง ถูกไหม? ในทำนองเดียวกัน เกิดในวิญญาณ ลักษณะเดียวกัน เขาเป็นเบบี้ทางวิญญาณ แต่พระเจ้าก็เลี้ยงดูไป ค่อยๆ โตขึ้น  ถามว่าเลี้ยงไปถึงไหน? นิรันดร์ การอยู่บนโลกใบนี้มันแค่ไม่กี่ปี เลี้ยงไปเท่านั้นแหละ แต่ที่เหลือจะเลี้ยงต่ออีก เพราะเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว ในบ้านของพระองค์แล้ว  จะไม่มีใครเอาเราออกจากบ้านของพระองค์ได้อีกต่อไป  เอเมน

เพราะฉะนั้น ท่านใช้ตรงนี้ได้เลย อย่างที่บอก อยากจะบอกเลยว่าอย่าทำเหมือนผมที่ยอมให้ความทุกข์ทรมาน มาเบียดบังความสุขไปตั้งนาน เดินด้วยตัวเอง พยายามด้วยตัวเอง เหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก จนในที่สุด วันหนึ่งผมไม่ไหวแล้ว บอกพระเจ้าว่า …

“เห็นข่าวประเสริฐ มีคนเขาพูดถึงเรื่องพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ ลูกก็อยู่ที่นี่แล้ว อยากรู้จักจริงๆ เลย ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยแล้ว”

ในขณะที่พูด ก็พูดท่ามกลางรูปเคารพเยอะแยะไปหมดเลยนะ ในใจก็คิดว่าถ้าเผื่อเพิ่มพระเยซูมาอีกองค์หนึ่งก็ไม่น่าเกลียด เพราะว่าพระเจ้าไม่ถือตรงนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกันเลย มันเกี่ยวกับความจริงใจ ท่านจริงใจไหม?  ทุกคนในนี้ เหมือนกัน ที่บังเกิดใหม่ ไม่มีใครมาเชื่อ และจะรู้หมด ทุกอย่าง มันต้องค่อยๆ แล้วพระเจ้าจะค่อยๆ สอนทีละนิดทีละหน่อย แต่มันเกิดแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้อันโน้นอันนี้เท่านั้นเอง อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น อย่าเดินคนเดียวอีกต่อไป ให้พระเยซูคริสต์มาเดินเคียงข้าง เคียงคู่ท่านกับเราในที่นี้ ที่มีประสบการณ์ ได้รับการจูงมือเดิน มีความสุขจริงๆ มันหายเหนื่อยและเป็นสุขจริงๆ มันสามารถหายเหนื่อย เป็นสุขได้ในทุกสถานการณ์จริงๆ นี่บอกจริงๆ เลย มันสามารถเผชิญได้ทุกอย่างจริงๆ มันรู้จริงๆ ว่าเราเผชิญอะไรอยู่ และใครอยู่กับเรา และมันสามารถเผชิญกับความตายในอนาคตได้จริงๆ และต่อให้วันนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น โควิดมันจะระบาดไปทั่วโลกอย่างไรก็ตาม ถามว่าในทางร่างกายและการมองในระบบของโลกใบนี้ มันตกใจไหม? ตกใจ แต่พอสับสวิตช์ไปในโลกวิญญาณ เป็นลูกพระเจ้าปุ๊บ มันหายเลย  อย่างนี้เรียกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข เข้าใจไหม? เพราะฉะนั้น ท่านสามารถมีประสบการณ์นี้ได้ ง่ายนิดเดียว การจะมาเป็นลูกพระเจ้าง่ายนิดเดียว การจะหายเหนื่อยเป็นสุขง่ายนิดเดียว การชนะความกลัว ความวิตกกังวล ความโกรธ เกลียด การอาฆาต ความหมองใจ เรื่องเกี่ยวกับโควิด มันง่ายนิดเดียว เปิดใจท่าน เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และทรงเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อไถ่บาปมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ เพราะไม่อย่างนั้น ชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านลำบากแน่

สิ่งที่ดีใจมาก คือประสบการณ์ของเราทั้งหลาย ที่เคยมีมาในอดีต เราได้เกิดใหม่แล้ว พี่น้องเราได้เกิดใหม่มาอีก ขอบคุณพระเจ้า จริงๆ ข่าวประเสริฐ มันง่ายนิดเดียว อย่างนี้จริงๆ แต่เราถูกหลอก ถูกปิดบังตา ถูกโกหก จนกระทั่ง มารมันทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าด้อยลง เรื่อยๆ กว่าใครจะเข้ามาหาพระเจ้า ทำไมมันลำบากลำบนขนาดนี้ ซึ่งพระเยซูบอกมันเท่ากับเมล็ดมัสตาร์ดเท่านั้นเอง เราทำแบบ ต้องทำโน้น ต้องทำนี้ ต้องมีข้อแม้เยอะแยะ แต่พระเยซูไม่มีข้อแม้ พระเจ้าไม่มีข้อแม้ มีแค่นั้นเอง

กลับมาที่สถานการณ์รอบข้างในขณะนี้ มันก็เหมือนกับทุกขณะ นอกจากโควิดแล้ว ต่อไปมันก็จะมีอันอื่นอีกเรื่อยๆ มันดูเหมือนน่ากลัว ทุกครั้งไม่ว่าซาร์ ไม่ว่าอะไรก็ตาม แต่จริงๆ ซาร์ไม่ยาก เพราะชื่อมันบอก มันไม่ไปไหนหรอก มันก็ซาร์ไป โควิดยังหาไม่ออกเลยนะว่ามันจะไปทางไหน?  มันก็น่าวิตกกังวล แต่อย่างที่บอกถ้าเรามัวแต่ไปเอาข้อมูลจากโลกใบนี้ จากระบบของโลกใบนี้ มีแต่น่ากลัวๆ ซึ่งเราไม่ได้ไม่ฟังนะ เราฟังแบบมีสติปัญญา มีความรู้ด้วย ไม่ใช่ไม่ฟัง ไม่ใช่ปิดหูปิดตา ฟังนะครับ แต่ฟังแบบมีสติ ไม่ใช่ไร้สติ เสียสติ หรือสติแตก เพราะฉะนั้น เราฟังข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ แต่ขณะเดียวกัน ฟังแล้วให้มันพอดี พอเหมาะ อย่าไปฟังเยอะเกินไป เอาเวลาส่วนใหญ่มาฟังข้อมูลจากพระเจ้าบ้างสิ พระเจ้าว่าอย่างไร? จากพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา อยู่ในร่างกายนี้ ผู้เป็นพ่อของเรา ที่บอกกับเราเมื่อตะกี้นี้ในฮีบรู 13:5  อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะไม่ละทิ้งเจ้า ไม่ต้องกลัวมัน ไม่ต้องกลัวใครทั้งสิ้น ไม่มีใครทำอะไรเราได้ มนุษย์ทำอะไรเราไม่ได้ ก็หมายถึงว่ามารจะทำอะไร มันก็ผ่านมนุษย์ทั้งนั้น อยู่ดีๆ มาหักคอเรา มันหักไม่ได้หรอก มันต้องทำให้มนุษย์คนนั้น เพี้ยนไปแล้ว อาจจะติดยาบ้า  ติดยาเสพติด สติสตางค์เพี้ยนไป มันหมายถึงอย่างนั้น ใน 2 ทิโมธี 1:7 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

2 ทิโมธี 1:7 “เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงให้เรามีใจขลาดอาย แต่ประทานใจอันเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจ ความรัก และการรู้จักบังคับตนเองแก่เรา”

 

จริงๆ ถ้อยคำตรงนี้บอกว่า … “เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานวิญญาณแห่งความขลาดกลัวกับเรา”

เพราะฉะนั้น ความกลัวไม่ได้มาจากพระเจ้า ย้ำในเรื่องของประทาน ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ประทานให้กับเราแล้ว ตรงนี้บอกว่าไม่ได้ให้วิญญาณแห่งความกลัวกับเรา แต่ทรงให้วิญญาณแห่งฤทธิ์เดช วิญญาณแห่งความรัก และความคิดจิตใจที่ดีกับเรา เราเอาข้อมูลตรงนี้ ใส่เข้าไป  เพราะฉะนั้น วิญญาณที่เกิดความกลัว แน่นอน มันไม่ได้มาจากวิญญาณพระเจ้า ก็แสดงว่ามันไม่ได้มาจากวิญญาณ ที่อยู่ข้างในตัวเรา  แต่มันมาจากข้อมูลที่อยู่ข้างนอก ก็คือวิญญาณที่อยู่ข้างนอก ก็คือวิญญาณชั่ว  ก็คือมาร ผ่านทางระบบของโลกใบนี้ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่าเนื้อหนัง ก็ส่งผ่านเข้ามาอย่างที่ครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้กัน ผ่านทางระบบของโลกใบนี้ ผ่านทางกิเลสตัณหาของเนื้อหนังนี้ ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เข้าไปสู่ความคิด แล้วพอคิดๆ แล้วมันก็สั่งการให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย กลัว พอความกลัวมา ความชั่วร้ายทุกอย่าง ก็มาเต็มไปหมด เพราะฉะนั้น ตรงนี้ จึงสำคัญมาก

และเมื่อเรามีความชื่นชมยินดีแล้ว เราสามารถชื่นชมยินดีได้ทุกสถานการณ์ เพราะไม่มีความกลัว ไม่มีอยู่ในตัวเรา แต่เมื่อเราไม่ฟังมัน เราก็จะไม่มีความกลัวเลย มีแต่ความชื่นชมยินดี เพราะว่าวิญญาณของเรา มีแต่สิ่งที่พระเจ้าให้มาผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือความชอบธรรม ความรัก ความชื่นชมยินดี และสันติสุข นี่ชัดเจน อีกข้อหนึ่งแล้วเราจะสรุปวันนี้ ฟิลิปปี 4:6-7 ครั้งที่แล้วเราเรียนฟิลิปปี 4:4-5

ฟิลิปปี 4:6-7 “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ ในพระเยซูคริสต์”

 

ตรงนี้ ถ้าให้ละเอียดกว่านี้นิดหนึ่ง แปลอย่างนี้ว่า … “อย่ากังวล อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย ในทุกเรื่อง แต่จงให้ความต้องการของท่าน ให้พระเจ้ารับรู้” … ตรงนี้มันหายไป มันไม่ชัด

“แต่ให้ความต้องการของท่าน ทูลต่อพระเจ้า ให้พระเจ้ารับรู้” ละเอียดขึ้นกว่าที่แปล “แต่จงทูลขอทุกสิ่ง”

“ทูลขอทุกสิ่ง” ก็คือบอกพระเจ้าเลยว่าท่านต้องการอะไร? ท่านอยากได้อะไร? เห็นไหม? ฟังให้ดีๆ นี่ยอดเยี่ยม “แต่ให้พระเจ้ารับรู้ในสิ่งที่ท่านอยากได้ ด้วยการอธิษฐาน วิงวอน หรืออ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ” ให้พระองค์รับรู้ นี่แหละคือขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าเข้าใจเราดีว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ เจอปัญหาต่างๆ รอบข้าง

ในข้อที่ 5 บอกว่า “จงให้ความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพประจักษ์ต่อมนุษย์ทั้งปวง” ต่อมนุษย์ทั้งปวง ยิ้มแย้มแจ่มใส

“ไม่เป็นไรครับ อภัยให้ได้ครับ โอเคครับ”

แต่ไปหาพระเจ้า “พระเจ้า ดูมันทำกับลูกสิ ทำไมมันแย่อย่างนี้ มันเอาเปรียบมากเลย ช่วยอย่าให้เขาเอาเปรียบลูกอย่างนี้”

เข้าใจใช่ไหมครับว่าพระเจ้าเข้าใจดี ไม่ใช่เราพูดไม่ได้ ไม่ใช่เป็นคริสเตียนบ่นอะไรไม่ได้เลย บ่นได้ แต่ไปบ่นกับพระเจ้า เข้าไปหาพระเจ้า นี่คือเคล็ดลับ พูดหมดเลย จะว่าเขา มันแย่ มันอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ดี ว่าไปเลย แต่จบด้วยขอบพระคุณ ขอบคุณ ออกมา เจอหน้าเขา ก็สวัสดีครับ นี่คริสเตียนเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่หน้าไหว้ หลังหลอกนะ แต่หน้ามันรับไม่ได้ ต้องยอมรับความจริง มันทนไม่ไหว แต่ลับหลัง ไปอยู่กับพระเยซู ไปอยู่กับพระเจ้า  เข้าไปในโลกวิญญาณ  สงบสติอารมณ์ ถ้าทำบ่อยๆ เข้า มันก็ด้านหน้า มันก็จะทำได้มากขึ้น รักษาความสงบ ให้ความอ่อนน้อมถ่อมสุภาพ ประจักษ์ต่อมนุษย์ทั้งปวง รอบข้าง นี่ของแท้ คือเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าจริงๆ เขาเสียสละอย่างนี้แหละ แรกๆ เสียสละอย่างไร? อย่างนี้ไม่ได้ ตอนหลังได้ พอเข้าใจใช่ไหม ยกตัวอย่าง เต็มไปหมดเลย ในชีวิตประจำวัน

เพราะฉะนั้น เคล็ดลับคำอธิษฐาน การวิงวอน และการขอบพระคุณ ให้ทุกสิ่งที่ท่านอยากได้ ทูลขอต่อพระเจ้า แล้วพระองค์จะทำให้ไหม? ทำให้หรือเปล่า? ไม่ทำ ไม่ได้บอกว่าพระองค์จะทำให้สักหน่อยเลย ไม่ได้พูดเลย แล้วสันติสุขของพระเจ้า เอาไปเลยสันติสุข ส่วนจะเป็นผลออกมาอย่างไร? ขึ้นอยู่กับพระองค์  พระเจ้ารู้ว่าอะไรดีที่สุด สำหรับลูกของพระองค์เสมอ เอเมน ลูกของพระองค์อยากจะกินช๊อคโกแลตตลอดเวลา ป้อนเข้าไปๆ ฟันจะได้ผุซะ ท้องจะได้ผุซะ อย่างนั้นเหรอ พระองค์รู้ดี พอๆ เอากล้วยน้ำว้าบ้าง เห็นหรือยัง? อย่างนี้เป็นต้น

ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ใช่แบบท่านอยากได้อะไร? บอกมา แล้วให้ เราตายแน่เลย แต่นี่บอกว่าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน   ยิ่งการวิงวอน ยิ่งชัดใหญ่ คุณจะเห็นภาพชัดเลย คำว่าวิงวอน มันมาจากคำภาษาอังกฤษว่า “ซับพรีเคชั่น” มันแปลว่าอยากจะบ่น อยากจะพูดอะไร? พูดไปเรื่อยเปื่อย  เหมือนคนพูดเพ้อเจ้อ พูดง่ายๆ ตอนนี้กำลังจะบอกว่าอย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย อย่ากังวลเลย แต่จงบอกสิ่งที่ท่านต้องการกับพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การทูลขอ การวิงวอน คือการบ่น เอะอะโวยวาย ตัดพ้อต่อว่ากับพระเจ้าเลย แต่จบสุดท้ายด้วย ขอบพระคุณ เพราะมันเหนื่อยแล้ว หมดแรง ออกมา ก็เหนื่อย  และอะไรเกิดขึ้น สันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์จะเข้าใจ เข้าไปหาพระเจ้า คิด เจอชื่อคนนี้ ฉันก็ตกใจกลัวแล้ว เจอชื่อคนนี้ ฉันก็เบื่อมาก เจอชื่อคนนี้ ฉันก็แย่แล้ว แต่พอเสร็จเรียบร้อย ออกมา เจอชื่อคนนี้ ยิ้ม สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า รับได้แล้ว เจอโควิดไป ทำกิจการงานเจ๊งเลย ตกงาน งานตกไป ยิ้มได้  เมื่อวานซืนนี้ เผอิญๆ ไปทำงาน คนที่ทำงานเป็นโควิด เพราะฉะนั้น เขาบอกให้เราไปตรวจ เสียเวลาไปตรวจ ต้องไปกักตัวอีก 14 วัน บ่นใหญ่เลย ตอนนี้หาพระเจ้า บ่นกับพระเจ้า

“ทำไมลูกต้องเป็นอย่างนี้ ลูกระวังตัวตลอดเวลา”

ออกมา กักตัวก็กักตัว ขอบคุณพระเจ้าดีแหละ พระเจ้าใช้ 14 วัน ให้เป็นประโยชน์ ฟังถ้อยคำพระเจ้าทุกวัน หมดเรื่องหมดราว มันรับได้ นี่แหละวิธีการของพระเจ้า คือการกระทำดังนี้ ในนี้บอกว่าแล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินกว่าความคิดมนุษย์ที่เข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระคริสต์ เห็นไหม? จะปกป้อง เมื่อท่านอธิษฐาน ไปอยู่ในโลกวิญญาณ ไปอยู่ที่เบื้องขวาพระเจ้า สันติสุขนี้จะปกป้องความคิดของท่าน จากระบบของโลกนี้ จากความกลัว ที่ส่งมาจากมาร มันก็จะเป็นสิ่งที่ดีๆ ปกป้องความคิดจิตใจของท่าน ไว้ที่ในพระคริสต์ ความคิดจิตใจท่านอยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา มองอะไรก็อยู่ในพระคริสต์ มันก็มีความสุข มันก็หู ตา จมูก ลิ้น กาย ดูอะไรก็ดีไปหมด ฝุ่นละออง 2.3 มา ดี (ดีแบบมีสติปัญญา) เข้าใจใช่ไหมว่ารับได้ เข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น ไม่ทุกข์ร้อนในเรื่องใดๆ เลย  เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************