คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2020
เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่ทำให้เป็นไท” ตอน 4 “ต้องชำระจิตใจให้สะอาด”
โดย นคร เวชสุภาพร
เรากลับมาที่หัวข้อการบรรยาย ที่เราได้เรียนกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว หัวข้อเรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่ทำให้เป็นไท” ที่เป็นความเชื่อ หรือคำสอนที่มาแต่โบราณ ถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมา จนกลายเป็นความเชื่อที่เรียกว่าเก่าแก่ มันเก่าแก่จริง แต่มันไม่ตรงกับพระคัมภีร์ แล้วทำไมคนเชื่ออย่างนี้มาตลอด ก็ไม่รู้สิ มันเป็นประเพณีไปแล้ว เป็นความเคยชิน เขาว่ามาอย่างนี้ ก็เลยว่าไป
ท่านเคยคิดไหมว่าท่านมาเชื่อพระเจ้า อะไรบ้างที่ท่านมีความเชื่อ แล้วท่านยืนยันในใจของท่าน จากพระคัมภีร์ ลองคิดให้ดีสิ ไม่มี มีแต่ว่า Ps.นคร พูดไว้ Ps.นครไม่ใช่ผู้ที่จะมาบอกว่าอะไรถูกหรือไม่ถูกในพระคัมภีร์ นี่คือความเชื่อเก่าแก่ เพราะ Ps.นครเทศน์มาแล้ว ประมาณ 30 กว่าปี สมมติว่าจะอยู่ต่ออีก 10 ปี อายุ 80 โอ้โห! คนยิ่งเชื่อใหญ่ Ps.นครเทศน์มา 40 ปีแล้ว อายุตอนนี้ 80 แล้ว ต้องถูกแน่นอน เห็นไหม? เราชอบยืนยันอย่างนี้ อนาคตก็เลยกลายเป็นความเชื่อเก่าแก่ที่ Ps.นครเคยเทศน์เอาไว้ น่าเชื่อถือ เพราะนิสัยเขาดี ไม่ได้ชมตัวเองนะ เพราะอะไรแล้วแต่ ทำให้ท่านชอบ เทศน์สนุกดี เพราะฉะนั้น ใช่ ไม่อยากจะยกคนอื่น เพราะจะได้เห็นชัด เขาพูดมันน่าเชื่อถือ
นี่แหละ มันก็เลยกลายเป็นเก่าแก่ เสร็จแล้ว ถามว่าตรงกับพระคัมภีร์ไหม? ตรงไหนบ้างเขียนไว้อย่างนี้ ไม่รู้ นี่แหละคือความเก่าแก่ของความผิดๆ ที่มาเป็นประเพณีนิยม มันจะประมาณอย่างนี้ และความเก่าแก่ของความผิดจากพระคัมภีร์ มันเกิดอะไรขึ้น ในพระคัมภีร์บอกว่ามันเหมือนเอาหินถ่วงผู้คนไว้ ให้ไม่ได้รับความรอด คือขวางสวรรค์ เหมือนที่ฟาริสีในอดีต สมัยยุคพระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ คือทำให้คนเข้าสวรรค์ยากขึ้น ในปัจจุบันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ซึ่งในหัวข้อเรื่อง ที่เราเรียนกันไป 3 ตอนที่แล้ว ตอนที่ 1 เกริ่นเรื่องความเชื่อเก่าแก่กับความจริงทำให้เราเป็นไท ตอนที่ 2 ก็คือเป็นเรื่องของความเชื่อในการยึดถือตามธรรมเนียมปฏิบัติที่มาตั้งแต่ดั้งเดิม ซึ่งเราก็ได้สรุปว่าสิ่งที่ยึดถือ ปฏิบัติกันมาแต่โบราณเก่าแก่ ยาวนาน ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป ไม่ว่าคนนั้นเป็นใครที่พูดไป ก็ตาม ถ้าไม่ตรงพระคัมภีร์ ก็คือไม่ตรง ไม่ว่าจะเป็นด็อกเตอร์ ซุปเปอร์ด็อกเตอร์ จะเป็นผู้กำเนิดนิกายอะไรดังๆ ใหญ่ๆ โตๆ ถ้าไม่ตรงกับพระคัมภีร์ ก็คือไม่ใช่
“เขาเกิดผลเยอะแยะมากมาย มีสาขาโบสถ์เยอะแยะ เต็มไปหมดเลย ทั้งโลกเลย อยู่กันมาตั้ง 200 ปีแล้ว”
ถ้ามันไม่ตรง ก็คือไม่ตรง คิดในใจสิ มีโอกาสไม่ตรงไหม? เขาอยู่มาตั้งเป็น 1,000 ปีแล้ว นิกายนี้ เพราะฉะนั้น จะต้องถูกหมด มีโอกาสผิดไหม? ก็เดินต๊อกๆ ตามกันไป ลูกหลานเหลนโหลน ก็เดินตามต๊อกๆ ไป ไม่รู้ นี่แหละคือสิ่งที่ต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้
ตอนที่ 3 ก็เป็นเรื่องความเชื่อเก่าแก่ที่ถูกสอนกันเยอะว่าคริสเตียนต้องหมั่นฝึกฝน ให้ความเชื่อเพิ่มพูนขึ้น ฟังดูมันเหมือนถูกนะ แต่ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์บอกว่าเรื่องความเชื่อและความรอด ท่านไม่ต้องทำอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว ไม่ต้องฝึกฝนอีกเลย ไม่ต้องพยายามทำอะไรทั้งสิ้นอีกเลย เพราะทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ท่านรับเชื่อ เชื่อครั้งเดียว ก็พอแล้ว
“เชื่อครั้งเดียว ก็พอแล้ว เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว”
เพราะฉะนั้น ถามว่าตอนนี้ท่านเกิดมาแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านต้องเพิ่มความเชื่อ เป็นลูกพระเจ้าอีกไหม? นึกออกใช่ไหม? ต้องพัฒนาความเชื่อขึ้นไหม? ไม่ต้อง แต่ต้องพัฒนาความไว้วางใจว่า …
“ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าอยู่กับฉันตอนนี้ เดินไปด้วยกัน” นี่เขาเรียกว่าไว้วางใจ ไม่ใช่ความเชื่อ
และวันนี้มาตอนที่ 4 เราจะมาดูความเชื่อเก่าแก่ ที่มีผู้อาวุโสหลายท่าน อาวุโสมากๆ ก็มี เป็นพันๆ ปี ก็มี พยายามบอกเราว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว ต้องชำระล้างจิตใจใหม่ ให้สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาปด้วย ฟังดูมันก็ใช่นะ คิดให้ดีๆ ตอน 3 วันนี้คือต้องชำระล้างจิตใจใหม่ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความบาปด้วย
หลายคนเคยได้รับคำสอนมาว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว นึกให้ดีๆ นะ นั่นหมายความว่าวิญญาณเราได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว แต่เท่านั้นยังไม่พอ เรายังจำเป็นต้องชำระล้างจิตใจเราให้สะอาดด้วย คุ้นแล้วนะ แล้วสมมติว่าถ้าเงื่อนไขในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เป็นแบบที่ตะกี้นี้ ที่เราบอกกันว่าแค่นั้นยังไม่พอ เราต้องพยายามชำระจิตใจให้สะอาดด้วย ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ พระเยซูจะกลับมาใหม่ ครั้งที่ 2 วันที่พระเยซูกลับมา คงไม่มีใครถูกรับไปเลย สักคนเดียว เพราะว่ามีใครทำได้บ้าง มันทำไม่ได้
จำไว้เลยนะครับ เมื่อไรก็ตามที่คนสร้างเงื่อนไขของความเชื่อ เพื่อนำมาถึงความรอด ในพระเยซูคริสต์ หรือการบังเกิดใหม่ก็ตาม ถ้ามีการสร้างเงื่อนไข ฟันธงเลยว่ามันผิดแน่นอน เพราะว่าพระคัมภีร์บอกว่าเรารอด โดยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำ วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องเหล่านี้ด้วยกัน เราเคยคุยกันไปแล้ว ณ วันที่เรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เข้ามาในชีวิตของเรา พระเจ้าได้ชำระทั้งร่างกาย และจิตใจของเรา จนสะอาดบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว จนสามารถเป็นวิหาร ที่ทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ ตอนที่เราได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าได้ผ่าตัดหัวใจเราเรียบร้อยไปแล้ว เอเสเคียล 36:26-27 พระเจ้าได้ประกาศอย่างนี้ ล่วงหน้า เป็นการเผยพระวจนะ บอกว่าพระองค์จะทรงกระทำอะไร ตอนที่พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาเกิด พระองค์ทำอะไรอยู่? กำลังวางแผนทำสิ่งนี้แล้ว ดูว่าแผนการของพระองค์ส่งพระเยซูมา เพื่ออะไร?
เอเสเคียล 36:26-27 “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า ….”
พระเจ้าตรัสว่า … วางแผนการว่า … “เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า และจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า” เอเมน
เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เราก็ได้รับจิตใจใหม่ วิญญาณใหม่เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าพระเจ้าได้เอาจิตใจเก่าเราไปแล้ว แล้วเอาจิตใจใหม่เข้ามาแทนที่ พระเจ้าได้เทความรักของพระองค์เข้ามาในจิตใจนี้เรียบร้อยแล้ว ให้จิตใจเราเหมือนพระเยซู นี่คือแผนการที่พระเจ้าวางไว้ เผยพระวจนะบอกไว้ล่วงหน้า ในพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด บอกว่าจะให้จิตใจใหม่ ให้วิญญาณใหม่ ให้ชีวิตใหม่ และให้การดำเนินชีวิต แบบใหม่ แบบพระคุณในวิญญาณ
ทั้งหมดนี้ จะให้เมื่อใด ให้เมื่อจงรอคอย ผู้นั้นจะมา นี่สมัยพระคัมภีร์เดิม ผู้ที่จะมีนามว่าอิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย จงรอคอยพระมาซีฮา แปลว่าผู้ช่วยให้รอด และเราก็รู้ว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูก็คือผู้นั้นแหละ คือพระมาซีฮา ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ลงมาอยู่ในหลุมฝังศพ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ได้กระทำสิ่งเหล่านี้ เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน เราไม่ต้องทำอะไรเลย โคโลสี 2:11 คราวนี้มาถึงยุค พระเยซูเข้ามาทำสำเร็จแล้ว มาผ่าตัดหัวใจ ผ่าตัดวิญญาณเราเรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน ดูสิว่าในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไร?
โคโลสี 2:11 “ในพระองค์ ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือการสลัดวิสัยบาปทิ้ง เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ แต่ทำโดยพระคริสต์”
ผมจะแปลจากกรีก ภาษาเดิม ให้มันชัดขึ้น เพื่อท่านจะได้เห็นชัดๆ ว่าข้อนี้ว่าอย่างไร?
“ในพระองค์” คือในพระเยซูคริสต์ ท่านได้เข้าสุหนัต คือในพระคัมภีร์เดิมเป็นพันธสัญญาของพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ คือผู้ชายทุกคนในสมัยนั้น ต้องเข้าสุหนัต เพื่อแสดงตนว่าเป็นชนชาติของพระเจ้า นี่คือบัญญัติที่พระเจ้าวางไว้ แล้วเล็งให้เห็นถึงที่พระเยซูคริสต์จะมา พันธสัญญาที่จะมากระทำสิ่งเหล่านี้ในวิญญาณ
ตรงนี้แปลว่าในพระองค์ท่านได้เข้าสุหนัต คือท่านได้เข้าทำพันธสัญญาอะไรบางอย่าง คือการสลัดวิสัยบาปทิ้ง คือการผ่าตัด สลัดคือเอาออกไป การเข้าสุหนัต คือพันธสัญญา คือการเอาหัวใจสกปรกของท่านออกไป เอาใจหินของท่านออกไป สลัดวิสัยบาปทิ้ง … “วิสัย” ก็คือเนเจอร์ คือธรรมชาติ เอาธรรมชาติที่เป็นคนบาป ในตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณบาปนั้นออกไป เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ เพราะว่าตอนสมัยเดิม สมัยโมเสส ทำโดยมือมนุษย์ ขลิบองคชาติ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ทำโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อเอาใจหินออกไป นี่คือตอบที่ตะกี้นี้ที่พระเจ้าได้ผ่านทางเอเสเคียลแล้วบอกมาว่าพระองค์วางแผนอย่างนี้ พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น พอรับเชื่อปุ๊บ เกิดการผ่าตัดขึ้นในโลกวิญญาณทันที ในปฐมกาล 17:10, 14 ได้บันทึกถึงเรื่องเกี่ยวกับพันธสัญญาในการเข้าสุหนัตไว้อย่างนี้ เพื่อท่านจะได้เห็นชัดขึ้นว่าพระองค์ทรงเตรียมแผนการไว้ตั้งนานแล้ว แล้วก็บอกแผนการเหล่านี้ ซึ่งเราเรียกกันว่าเป็นเงาของสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงๆ สมัยพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ก่อนหน้านั้น ก็บอกเป็นเงา บอกเป็นแผนการล่วงหน้าไว้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ปฐมกาล 17:10, 14 “10 นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้า และกับลูกหลานที่จะมาภายหลังเจ้า เป็นพันธสัญญาที่เจ้าต้องรักษา คือชายทุกคนในพวกเจ้า จะต้องเข้าสุหนัต … 14 ชายใดที่ไม่เข้าสุหนัต คือผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตฝ่ายกาย จะถูกตัดออกจากชนชาติของตน เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา”
ในสมัยนั้น เป็นเงา การเข้าสุหนัต เป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าพระเจ้ายอมรับผู้นั้นเป็นประชากรของพระองค์ เป็นชนชาติของพระองค์ แต่พอมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ ในโคโลสี 2:11 ที่เราอ่านไป บอกว่าในพระองค์ ท่านยังได้เข้าสุหนัต คือการสลัดธรรมชาติบาปทิ้ง เป็นสุหนัตที่ไม่ได้ทำด้วยมือมนุษย์ ไม่ใช่เงาแล้ว ของจริง แต่ทำโดยพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ที่เป็นพระมาซีฮา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว วิสัยบาปทั้งหลายในตัวเรา ก็คือเนเจอร์ หรือคือธรรมชาติบาปในตัวเรา พอผมพูดว่าในตัวเรา จงมองให้เห็นเถิดว่ามัน คือวิญญาณของเรา วิสัยบาปทั้งหลายในวิญญาณของเรา ถูกเอาออกไปหมดแล้ว ด้วยวิธีการผ่าตัด ไม่ใช่เปลี่ยนนะ ผ่าตัดเอาออกไปเลย เอาใจใหม่เข้ามาเลย โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็คือที่บอกว่าพระเจ้าได้ผ่าตัด เปลี่ยนหัวใจเราเรียบร้อยไปแล้ว เราได้รับหัวใจใหม่ ในหัวใจใหม่นี้ ไม่มีวิสัยบาปเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีธรรมชาติบาป หลงเหลืออยู่เลย แม้แต่นิดเดียว หัวใจ หรือจิตใจของเราที่ได้รับมาตั้งแต่วันที่เราได้รับเชื่อพระเยซู ครั้งเดียวนั้น เป็นจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์ เป็นจิตใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นจิตใจที่ไม่จำเป็นต้องมีการชำระล้างใดๆ อีกต่อไปแล้ว มันสำเร็จแล้ว ตามที่พระเยซูได้ประกาศ เมื่อวันศุกร์ตอนบ่าย 3 โมง บอกว่าสำเร็จแล้ว
พระองค์บอกว่าสิ่งที่เขาเผยพระวจนะมา พูดถึงเรื่องราว ไม่ว่าสมัยอิสยาห์ สมัยโมเสส เงาต่างๆ ที่พูดถึงพระเยซู มันจำเป็นต้องเกิดขึ้น แล้วมันเกิดขึ้นแล้ว และมันสำเร็จแล้ว พอผมพูดอย่างนี้ปุ๊บ บางคนก็อาจจะมีคำถามว่าแล้วทำไม? ไหนบอกชำระสะอาดแล้ว แล้วทำไมถึงคิดไม่ดีอยู่ ยังคิดดื้อกับพระเจ้าอยู่ ยังคิดสกปรกอยู่ ยังคิดโลภอยู่ โกรธอยู่ อิจฉาอยู่ ยังขี้เต็มไปหมดเลย ขี้อิจฉา ขี้งอน ขี้โกรธ ไหนบอกสะอาดหมดจดแล้ว ผมจะพาท่านไปดูนิดหนึ่ง อันนี้จะเห็นชัดเลย อันนี้เป็นข้อพระคัมภีร์ที่หลายคนยกมาด้วย แล้วแต่เขาจะยกไปทางไหน? ถูกหรือไม่ถูก? วันนี้จะให้ท่านเห็นเอง แล้วท่านเอาไปเรียนรู้เองต่อว่าที่ผมพูด มันตรงพระคัมภีร์ไหม? แล้วมันใช่ไหม? แล้วมันชัดไหม? แล้วมันจะไม่แย้ง โรม 12:2 นิดเดียวท่านก็รู้แล้ว ผมแค่เขี่ยให้ท่านดูนิดเดียวว่ามันมาได้อย่างไร? ไหนบอกชำระเราสะอาดหมดจดแล้วไง เนเจอร์ของเรา วิญญาณของเราไม่มีความสกปรกอยู่เลย ไม่มีบาปอยู่เลย จิตใจของเรา พระเจ้าก็ประทานให้ใหม่ แล้วทำไมมันคิดสกปรกอยู่ล่ะ แล้วมันเป็นไปได้อย่างไร?
โรม 12:2 “อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์และยืนยันได้ว่าสิ่งใด คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัยและสมบูรณ์พร้อมของพระองค์”
“อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่” ก็คือสอนให้ว่าจงทำสิ่งนี้ คือเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่
ไหนบอกได้จิตใจใหม่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรไง โรม 12:2 อธิบายถึงความรอดในพระคุณของพระเยซูคริสต์ที่ทรงกระทำให้เราทั้งหลาย ยกตัวอย่างเช่น ความชอบธรรมที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูทำให้ และโรม 12:1 ผมทำให้ง่ายๆ นะ บทที่ 12 ข้อ 1 บอกว่าสรุปแล้ว ที่พูดมาทั้งหมด ตั้งแต่โรม บทที่ 1 จนถึงบทที่ 11 ข้อสุดท้ายนั้น พูดถึงพระคุณของพระเจ้าได้กระทำอะไรบ้าง? ในชีวิตของเราเยอะแยะไปหมด โรม 12:1 บอกว่า … เพราะฉะนั้น เห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ที่ให้ท่านรอดแล้ว โดยพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลย เห็นแก่พระคุณ ไม่ใช่เห็นแก่ตัวเรานะ เห็นแก่ความดีงามของพระเจ้า พ่อเราดีขนาดนี้ ให้เราฟรีๆ ทุกอย่างเลย และมาถึงข้อ 2 เมื่อตะกี้ แล้วไงต่อ นึกถึงพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้เราฟรีๆ ทุกอย่างเลย เรารอดแล้ว ด้วยพระคุณ ไม่ใช่การกระทำของเราเอง แล้วเกิดครั้งเดียว ก็เกิดเลย เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้วตอนนี้ สะอาดหมดจดเรียบร้อยแล้ว ทั้งวิญญาณและจิตใจได้ใหม่จากพระเจ้า เหมือนพระเยซูเลยนะ
ทั้งหมดมา 11 บทของโรม แล้วมาสรุปได้ว่าเห็นแก่สิ่งเหล่านี้ เมื่อเป็นพระคุณพระเจ้า ที่ทำให้ท่านเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ มีจิตใจใหม่ เหมือนพระเยซูเลย เพราะฉะนั้น อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างของคนโลกนี้ ก็คืออย่าดำเนินชีวิตแบบคนที่ไม่เชื่อ ก็คือเราในอดีต แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ จิตใจตรงนี้ มันคือความคิด มันคือมาย mind มันไม่ใช่ soul พูดง่ายๆ ว่าภาษาเดิม มันคือความคิด มันคนละแห่งกับที่ตะกี้นี้ที่บอกว่าพระเจ้าทรงผ่าตัดวิญญาณเราใหม่แล้ว ให้จิตใจใหม่เราเรียบร้อยแล้ว นี่คือตัวตนของเราจริงๆ
เวลาเราไปอยู่สวรรค์ วิญญาณและจิตใจใหม่นี้ ไปอยู่ในสวรรค์ แต่ร่างกายต้องทิ้งไป ภาษาเดิมจริงๆ ตรงนี้ มันคนละคำกันกับที่พระเจ้าได้เปลี่ยนหัวใจเรา นั่นคือจิตใจจริงๆ ที่ติดอยู่กับวิญญาณของเรา ซึ่งสะอาดหมดจดแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือตัวตนจริงๆ ของเรา หลังจากที่เราเชื่อพระเยซูแล้ว ครั้งเดียว เป็นพอ เราได้วิญญาณใหม่ และจิตใจใหม่ เป็นจิตใจที่มีความคิดเหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่มีผิด สะอาดหมดจดบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย แต่ว่าเรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ ซึ่งเป็นร่างกายที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว ให้เป็นวิหารของพระองค์ ซึ่งพระองค์จะได้มาสถิตอยู่ได้ แต่ว่าความเคยชินในร่างกายนี้ มันยังคงอยู่ใต้อิทธิพลของบาป ซึ่งในพระคัมภีร์เรียกอิทธิพลของความบาปตรงนี้ว่าเฟรช หรือเนื้อหนัง มันยังคงอยู่ใต้นี้อยู่ มันเป็นแค่อิทธิพล มันไม่ใช่ตัวเราจริงๆ มันเหมือนกับว่าเราปวดหัว แต่การปวดหัวของเรา เพราะมีพยาธิอยู่ในหัว ไชอยู่ สมมตินะ หรือมีแมลงอยู่ ถามว่าการปวดหัวนั้น เกิดจากตัวเราไหม? ไม่ใช่ มันเกิดจากบางอย่างที่มันแอบเข้ามาอยู่ในนั้น แต่ถ้าเผื่อเราปวดหัว เพราะว่าเราเป็นเนื้องอกในสมอง อันนี้เป็นเพราะตัวเรา เพราะฉะนั้น อิทธิพลของบาปมันแฝงอยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งตัวอิทธิพลบาป มันรับแรงกระตุ้นจากระบบรอบข้างของโลกนี้ ซึ่งถูกควบคุมโดยมาร ฟังอีกทีหนึ่ง มารยังคงควบคุมระบบของโลกใบนี้ ผ่านทางความบาป ตั้งแต่โน้น โลกใบนี้จึงเสียหายไปแล้ว ยับยู่ยี่ไปแล้ว มันเน่าไปแล้ว ซึ่งพระเจ้ารอวันเปลี่ยนแปลงมันเสียใหม่ เมื่อวันที่มนุษย์คนสุดท้ายบนโลกใบนี้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูประกาศไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก ไปถึงคนสุดท้ายเมื่อไร? จบเมื่อนั้น พระเจ้าก็จัดการกับโลกใบนี้ด้วย คือเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ เสียใหม่เลย แล้วก็จัดการกับมาร ให้มันลงไปอยู่ในบึงไฟนรกนิรันดร์กาล ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ยังไม่เกิด พอมองเห็นภาพแล้วนะ
เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงบอกว่าให้เรารับการเปลี่ยนแปลงความคิด ซึ่งมันเคยเป็นทาสของระบบบาป เป็นทาสของมาร ผ่านทางอิทธิพล คือเนื้อหนัง ซึ่งในขณะนั้น เราไม่มีทางสู้มันเลย เพราะว่าวิญญาณเราก็สกปรกเหมือนมันไม่มีผิด จิตใจก็สกปรกเหมือนมันไม่มีผิด ความคิดก็สกปรก ไม่ได้ผุดได้เกิดเลย แต่ตอนนี้ Noๆๆๆ เรามีทางออกแล้ว วิญญาณจริงๆ เราเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มีธรรมชาติเหมือนพระเจ้า จิตใจเหมือนพระเยซู สะอาดหมดจด แต่เรายังคงอยู่ในร่างกายเดิม ยังมีความคิดแบบเดิมอยู่ ยังชินกับอิทธิพลของบาป ที่มันเขี่ย ซึ่งมันผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิด ใจตรงนี้
ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4 ที่บอกว่าให้เราจับความคิดทั้งหมด นำมันเชื่อฟังต่อพระคริสต์ แปลว่าให้เราจับเอาความคิดที่อยู่ในเนื้อหนังของเรา ที่มันดื้อ เป็นนิสัย ที่มันคอยรับอิทธิพลมาจากระบบของโลกนี้ ที่เรียกว่าความบาป จะต่อต้านพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ ให้จับความคิดเหล่านี้ นำมันให้เชื่อฟังต่อพระคริสต์ คือนำมันให้เชื่อฟังต่อความคิด ในจิตใจของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ซึ่งเป็นความคิดที่เหมือนพระคริสต์ ภาษาเดิมเขาเรียกว่า The mind of Christ คือความคิดแบบพระคริสต์ เพราะฉะนั้นในร่างกายของเราผู้ที่เชื่อแล้ว ตอนนี้ เห็นชัดๆ ก็คือมีวิญญาณ มีจิตใจใหม่ ซึ่งมีความคิดในจิตใจนี้ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ซึ่งมีความคิดของมันอยู่เหมือนกัน เรียกว่าความคิดแบบเนื้อหนัง ซึ่งเรามีกำลังอำนาจแล้วตอนนี้ มีถ้อยคำพระเจ้า ที่จะไปเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ ที่มันเคยชินกับระบบของโลกนี้ แต่เก่าก่อน
ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูบอกว่าถ้ามันตบแก้มขวาเรามา ให้เราเอาแก้มซ้ายให้เขาตบด้วย ทำได้ไหม? ไม่ได้ พระเยซูกำลังเล่าให้เราฟังว่าเราไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้หรอกในอดีต เป็นทาสมันอยู่ ใครจะไปทำได้ ทำได้อย่างนั้น ถึงจะไปสวรรค์ ทำไม่ได้ พระเยซูทำให้ พระเจ้าทำให้ ก็คือการตายของพระเยซู การเป็นขึ้นมาใหม่ของพระเยซู ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เราเป็นความรักเลย พูดง่ายๆ ตอนนี้ ฟังให้ดีๆ มีใครตบเรา วิญญาณและจิตใจของเราที่ได้เกิดใหม่ เอาไปอีกข้างหนึ่งเลย เต็มไปด้วยความรัก ไม่โต้ตอบอะไรเลย พระเยซูบอกว่าถ้าท่านมองดูด้วยความกำหนัด ท่านได้ร่วมประเวณีแล้ว ไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครไปสวรรค์สักคน แต่ตอนนี้ ผู้หญิงเดินมา สวย แต่ในวิญญาณไม่มี สะอาดบริสุทธิ์เลย พอเข้าใจไหม? ผมกำลังจะชี้ให้ท่านเห็นว่ามันแยกกันระหว่างความคิด จิตใจที่เป็นเหมือนพระคริสต์ ตอนนี้เราเปลี่ยนไปแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์ แต่เนื่องจากความคิดเดิมๆ มันยังเป็นทาสบาป ไม่ใช่ทาสมารนะ ต้องบอกว่าเป็นทาสของอิทธิพลที่แฝงไว้ ในร่างกายนี้ ที่เรียกว่าเนื้อหนัง มันยังอยู่ เพราะฉะนั้น นี่สงครามเดียวที่ผู้เชื่อต้องทำ ไม่ใช่ต้องทำกับมาร ทำกับตัวเราเองที่ตรงความคิด เรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ ก็คือตรงความคิดตรงนี้ ถ้าจับความคิดทั้งหมด นำมันเชื่อฟังต่อความคิดของพระคริสต์ได้ ชีวิตก็โลด เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าตามที่อ่านในนั้น ท่านจะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรยอดเยี่ยม สำหรับท่านในชีวิตของท่านที่พระเจ้าประสงค์ที่จะวางไว้ เพราะว่าท่านมีความคิด มีที่เอนเอียงไปในความเชื่อฟังต่อความคิดของพระคริสต์ ที่ได้ประทานกับท่าน ตอนที่ท่านบังเกิดใหม่ไปแล้ว โคโลสี 2:12
โคโลสี 2:12 “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์ เป็นขึ้นจากตาย”
“ท่านได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงได้ให้พระองค์ เป็นขึ้นจากตาย”
“ท่านได้ถูกฝังไว้กับพระองค์” คือพระเยซู ในพิธีบัพติศมา และทรงได้ให้ท่านเป็นขึ้นจากความตายกับพระองค์ ก็คือกับพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อของท่านในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงได้ให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย
เรื่องการรับบัพติศมา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีการสอนแบบเข้าใจผิดๆ เยอะแยะมากมาย จนทุกวันนี้ ก็ยังมีคนเข้าใจผิดในความหมายนี้ว่าผู้เชื่อที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ ต้องผ่านการรับบัพติศมาในน้ำ โบสถ์เราคงไม่มีใครเชื่อแบบนี้นะ แต่ยังมีคนเชื่อแบบนี้ ซึ่งผมก็ได้พูดบ่อยๆ แล้วว่ามันไม่ได้เกี่ยวกันเลย ความเชื่อและความรอดที่ท่านได้รับมาแล้วนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการลงน้ำ บัพติศมาเลย ถ้าไม่เกี่ยว แล้วมันเกี่ยวกับอะไร? ที่บอกให้ผู้เชื่อรับบัพติศมา เช่น พระคัมภีร์ พระเยซูบอกจงไปสร้างสาวก แล้วให้เขาทั้งหมดรับบัพติศมาในนามของพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูสั่งอย่างนั้น แล้วทำไมไม่ลงน้ำ ทุกคนก็คิดอย่างนี้ บัพติศมาคืออะไร? มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น มันไม่ได้เกี่ยวกับการรับบัพติศมาในน้ำหรือไม่?
บัพติศมา พอแปลเป็นไทยง่ายๆ มันก็ไม่เข้าทางศาสนาแล้ว ท่านก็จะเข้าใจง่ายขึ้น พอบัพติศมา ทุกคนกลัว ภาษามันแบบโห้ บัพติศมา เข้าสุหนัต มันออกทางละคร มันต้องน่าเชื่อถือ แล้วบัพติศมาแปลว่าอะไร? ผมแปลตรงนี้เป็นง่ายๆ คือท่านถูกฝังไว้กับพระเยซู ในการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ อันนี้ท่านเริ่มเข้าใจแล้ว ง่ายขึ้นแล้ว การบัพติศมา คือการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน บัพติศมา คือการมุดเข้าไป จุ่มเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับอะไรก็ตามที่บัพติศมา อย่างนี้ ผมกำลังเอากระดาษแผ่นนี้ บัพติศมาเข้าไปในหนังสือพระคัมภีร์ เป็นศาสนาไหม? ชัดนะ ถ้าบอกว่าผมกำลังทำตัวเอง ให้บัพติศมาเข้าไปในน้ำ ทำอย่างไร? ผมก็โดดลงไปในน้ำ ถ้าบอกว่าผมโดดลงไปในน้ำ ทุกคนก็เข้าใจ แต่ถ้าผมบอกว่าผมบัพติศมาในน้ำ ทุกคนศาสนามาแล้ว ต้องเคารพหน่อย ท่านพอเข้าใจไหมว่าบัพติศมาแปลว่าการมุดเข้าไป การทำให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ถ้าท่านต้องการทำกระเทียมดอง วิธีทำ ก็คือไปเอากระเทียมสดมา แล้วเอาน้ำส้มสายชูมา ใส่น้ำตาลไปนิดหนึ่ง แล้วก็เอากระเทียมนั้น บัพติศมาลงไป ทุกคนชอบเลย อย่างนี้ยิ่งเข้าใจใหญ่ พอมองเห็นไหม? ท่านก็รู้สึกว่ากระเทียมนั้น เป็นกระเทียมศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ใช้บัพติศมา แต่ถ้าผมบอกว่าเพียงแต่ท่านเอากระเทียมใส่ลงไปในน้ำส้มสายชูให้มันเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วดองไว้ในนั้น ท่านก็รู้สึกเป็นแม่บ้านแล้ว ถ้าผมบอกว่าบัพติศมาปุ๊บ ท่านก็รู้สึกพูดไม่ใช่เรื่องครัวแล้ว ต้องไปพูดในห้องศักดิ์สิทธิ์ อย่างนี้ถึงเกิดความเข้าใจผิดในข้อพระคัมภีร์ต่างๆ
ท่านได้ถูกฝังไว้กับพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าตอนที่เราเชื่อครั้งเดียวและได้เกิดใหม่ ได้รับความรอด ได้รับวิญญาณใหม่ ได้รับใจใหม่ ที่เหมือนพระเยซู มันเกิดขึ้นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณ ก็คือตามที่อ่านเมื่อตะกี้ในโคโลสี 2:12 ก็คือพอท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อด้วยใจและพูดด้วยปากว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ในโรม 10:9-10 บอกไว้ว่าความรอดเกิดขึ้น เมื่อท่านพูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจอย่างนั้น ในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้เอาวิญญาณของท่านบัพติศมาเข้าไปในพระเยซู มุดเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู และได้ตายพร้อมกับพระเยซู เมื่อ 2,000 ปีก่อน แปลอย่างนี้ตรงๆ เลย และลงไปอยู่ในนรก อยู่ในหลุมฝังศพกับพระเยซู พระเจ้าได้เอาวิญญาณของท่านเข้าไปในพระเยซู แล้วก็ถูกตรึงกางเขนพร้อมพระเยซู ที่เรียกว่าซัฟเฟอร์ริ่ง วิธ ไคร์ซ ที่บอกว่าทนทุกข์กับพระคริสต์ แปลว่าอย่างนี้ ไม่ใช่ทนทุกข์กับพระคริสต์ คือการไปแบกกางเขน หรือเจอความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ไม่ใช่ ทนทุกข์กับพระคริสต์ คือท่านอยู่ในพระเยซู ตอนที่ถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เสร็จแล้ว ตรงนี้ เรียกว่าบัพติศมา เข้าเป็นหนึ่ง ดองกับพระเยซู นึกถึงดองไว้ให้ดีๆ พระเจ้าได้ดองท่านเข้าไปกับพระเยซู เสร็จปุ๊บพระเยซูถูกตรึง ท่านก็ถูกตรึงไปด้วย พระเยซูถูกเฆี่ยน ท่านก็ถูกเฆี่ยนไปด้วย นึกออกไหม?
ตอนนี้เอากระปุกของกระเทียมดอง เอาไปต้ม ท่านก็ถูกต้มพร้อมกับน้ำนั้นด้วย ตอนนี้เอาวิญญาณของท่านเข้าไปอยู่ในพระเยซู พระเยซูถูกทรมาน ตรึงตายที่ไม้กางเขน พระองค์ทุกข์ทรมาน ท่านก็ทุกข์ทรมานด้วย พระองค์ตายลงไปนรก 3 วัน ท่านก็อยู่ในนรกด้วย ในนี้บอกท่านถูกฝังไว้ด้วย แต่มันไม่ได้อยู่แค่นั้น ลงไปอยู่ในนรกด้วย เพื่อชดใช้บาป พระเยซูชดใช้บาป โดยการหลั่งพระโลหิต หลั่งแล้ว ตายแล้ว การตาย เป็นการชดใช้บาป ท่านก็ชดใช้กับพระเยซูด้วย พอวันที่ 3 พระคัมภีร์บอกพระเจ้าได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และประทานนามหนึ่งที่สูงที่สุด วางพระเยซูไว้อยู่สูงสุดเลย ที่เบื้องขวาของพระเจ้า แปลว่าผู้สำเร็จราชการ บนมหาจักรวาลนี้และในโลก ทุกอย่าง ทั้งในนรก ทั้งสวรรค์ อยู่ที่พระเยซู แล้วเราอยู่ที่ไหนตอนนี้ ก็อยู่ในนี้ (ในพระเยซู)
พระเยซูบอกว่าสิทธิอำนาจทั้งหมด ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ได้ถูกมอบให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว มอบให้กับพระเยซู … พระเยซูอยู่บนหิ้งสูงมากเลย สูงเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด เหนือสิทธิอำนาจ เหนือทุกอย่างในโลก พระคัมภีร์บอก แล้วเราก็อยู่ในนั้นแหละ นี่คือความหมายของบัพติศมา เห็นไหม? ต้องใช้วิธีอธิบายลึกซึ้งอย่างนี้ มันต้องคิด จะทำอย่างไรดี มันมีวิธีอธิบายเยอะแยะเลยนะ ผมก็ไม่รู้พระวิญญาณให้เข้าใจอย่างนี้ ตอนนี้ อธิบายได้แค่นี้ ก็หวังว่าจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น เรากลับมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง โคโลสี 2:12 แล้วท่านจะเริ่มเข้าใจแล้ว
โคโลสี 2:12 “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงให้พระองค์ เป็นขึ้นจากตาย”
อ่านพร้อมทั้งนึกว่าฉันเป็นใคร? มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน? มันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของฉัน เมื่อฉันมาเชื่อพระเจ้าวันแรก จนถึงเดี๋ยวนี้ มันต้องมันๆ ปีหน้าต้องมันกว่านี้ บัพติศมาเขารู้แล้วว่าแปลว่าอะไร?
อย่างที่ผมบอก ถ้าท่านเอาไปวิเคราะห์ เอาไปใคร่ครวญ ภาวนาถ้อยคำเหล่านี้ วันหนึ่งท่านจะลุกขึ้นมาอยู่ในห้องของท่าน ที่บ้านของท่านแล้วก็ตะโกนขึ้นมา
“ฉันเข้าใจแล้ว อ๋อ! มันอย่างนี้นี่เอง”
ในพระคัมภีร์ เวลาพูดถึงความเชื่อและความรอดในพระเยซูคริสต์ จะไม่กล่าวถึงเรื่องบัพติศมาในน้ำเลย ยกตัวอย่างเช่น ….
“เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ” ในเอเฟซัสบอก
“ถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซู ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจของท่านว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้ได้เป็นขึ้นจากความตาย ท่านจะได้รับความรอด” ในโรม
ไม่ได้บอกเลยว่าลงน้ำ รู้แล้วใช่ไหมตอนนี้ ความเชื่อเท่านั้น ที่ทำให้เราได้รับความรอด การลงน้ำ ไม่สามารถทำให้ใครรอดได้เลย นอกจากเปียกเท่านั้น ถ้าให้คนที่ไม่ได้เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในการเป็นขึ้นจากความตาย ไม่เชื่อในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ ให้คนนี้ไปรับบัพติศมาในน้ำ ให้ตาย ผลออกมา เขาก็เป็นคนบาป ที่ไม่เหมือนเดิม เขาจะเป็นคนบาป ที่เปียก เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นคนบาปที่ไม่เปียก วิญญาณยังเหมือนเดิม มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปเท่านั้น คือมันเปียก
แต่ตรงกันข้าม ถ้าอยากให้วิญญาณรอด ไม่ลงน้ำเลยก็ได้ แต่วิญญาณรอด ปากก็ต้องพูดว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้าที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ก็ต้องเชื่อตรงนี้ และพูดด้วยปาก เชื่อด้วยใจ เขาก็ไปสู่ความรอด เอเมน
เพราะฉะนั้น การลงน้ำบัพติศมา ก็เป็นแค่เงาของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นเงาสุดท้ายเลย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำให้สำเร็จ ไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี ที่พระเจ้าให้ยอห์นบัพติศโตทำบัพติศมา เพื่อประกาศว่ากลับใจใหม่เท่านั้นเอง เป็นสัญลักษณ์ของการกระทำในวิญญาณที่พระเยซูจะมาทำในอีกไม่กี่เวลาข้างหน้า หลังจากนี้ เท่านั้นเอง
ในพันธสัญญาเดิม มนุษย์แสวงหาพระเจ้า ขอให้พระเจ้าชำระบาปให้ ให้พระเจ้าล้างใจให้สะอาด ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย เหล่านี้คือสิ่งที่มนุษย์ในยุคพันธสัญญาเดิมอธิษฐานขอจากพระเจ้า ต่อมาในยุคพันธสัญญาใหม่ ทุกสิ่งที่มนุษย์เคยอธิษฐานขอ มันได้เกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องอีกแล้ว จงรับรู้และขอบคุณ ดังนั้น เราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ในยุคพระคัมภีร์ใหม่ ก็ควรอธิษฐานตามอย่างที่พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จแล้ว มิฉะนั้น ก็เท่ากับว่าเรากำลังบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระเยซู เรากำลังกล่าวหาว่าพระเยซูพูดไม่จริง ที่บอกว่าทุกอย่างสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นจากความตาย เรียบร้อยไปแล้วนั้น มันไม่จริง เรากำลังบอกอย่างนั้น เพราะเรากระทำอย่างนั้น เราทำ โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป
พระเจ้าได้ประทานใจที่สะอาด และประทานพระวิญญาณของพระองค์ให้กับเราแล้ว โดยให้เราบังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ร่างกายของเราเป็นวิหาร เป็นที่อาศัยของพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในร่างกายเราเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน
คำอธิษฐานง่ายๆ ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย สมมติอย่างนี้ ดูไม่รุนแรง แต่เป็นการบอกว่าพระเจ้าไม่จริง พระเยซูบอก โดยผ่านทางเรา พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเราแล้ว เราบอกขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับเธอ อันนี้ง่ายๆ ดูไม่เสียหาย แต่กำลังบอกว่าพระเยซูไม่จริง ถูกไหม? ท่านพอเข้าใจไหม? ยกตัวอย่างให้ฟัง ยังมีอย่างอื่นอีกเยอะแยะ เรารู้ความจริง เราอธิษฐานอย่างนี้ดีกว่าไหม?
“อย่าลืมนะ พระเจ้าสถิตอยู่กับเธอแล้ว”
อย่างนี้ตรงตามพระคัมภีร์ ต้องจดจำเสมอเลยว่าคำสัญญาของพระเจ้า ที่ได้สัญญาไว้ ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จแล้ว มันจบแล้ว มันได้แล้ว ต้องนึกอย่างนี้ จะอธิษฐานอะไร ก็ต้องคิดพื้นฐานตรงนี้ก่อน แล้วค่อยอธิษฐาน ท่านจะเริ่มเปลี่ยนคำอธิษฐานของท่านแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น .. “พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย ลูกไม่น่าโกรธเขาด้วย ยกโทษให้ลูกด้วย ลูกไม่น่าโลภเลย ยกโทษให้ลูกด้วย ลูกไม่น่าทำอย่างโน้นอย่างนี้เลย”
ถูกไหม? พระเยซูบอกว่าพระองค์ตายเพียงครั้งเดียว และลบเอาความผิดบาปทั้งหมดทั้งหลายของเราไปหมดแล้ว ตั้งแต่อดีต จนปัจจุบัน จนอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว เราบอก …
“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”
เรากำลังบอกพระเยซูพูดไม่จริง ถูกไหม? แล้วเราควรจะพูดอย่างไร? เกิดเราทำอะไรพลาดไป เกิดเราทนไม่ไหว เราไปด่าเขา เราเกิดรู้สึกเสียใจ แทนที่เราจะบอกว่า …
“พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”
เราก็บอกว่า … “พระเจ้าลูกเสียใจ ลูกพลาดไปอีกแล้ว ลูกเสียใจ”
หรือแม้แต่ติดปากคำว่า ขอโทษ ขอให้ในใจเราไม่ได้คิดตรงนั้น เราคิดเพียงแต่ว่าเรายังเป็นลูกอยู่เหมือนเดิม เราเสียใจ แต่ถ้าเปลี่ยนให้เป็นคำพูดที่ถูกต้องเลย มันจะดีกว่าทำให้คนข้างๆ เคียงๆ เขาได้เห็นข่าวประเสริฐจริงๆ ว่าข่าวประเสริฐมันคืออย่างนี้ ไม่อย่างนั้น ข่าวประเสริฐก็เพี้ยนไปทุกวันๆ
ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง เหมือนสิบลด … สิบลดก็อยู่ในกฎ พระเยซูมาปลดปล่อยเราออกจากกฎแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว เราไม่ต้องถวายสิบลดแล้ว แต่เราสามารถเอาสิบลดมาใช้กับปัจจุบันได้ มันมีประโยชน์ แล้วเราทำอย่างไร? เราก็ไม่ได้ทำตามสิบลด เพราะมันเป็นกฎ แต่เราเห็นว่ามันดี ตรงที่เตรียมแผนการไว้เลย พระคัมภีร์สอนเราในยุคพระคัมภีร์ใหม่บอกว่าให้เรากะเกณฑ์แผนการ วางแผนการตั้งหมายไว้ในใจเลยว่าจะให้ออกไปด้วยใจชื่นชมยินดี เราตั้งใจแล้ว วิธีง่ายๆ ก็คือเรามีสติปัญญาจากพระเจ้า เดือนหนึ่งเราแบ่งเป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่าเที่ยว แล้วก็มีค่าอันหนึ่งที่เราเรียกว่าเราจะเอาไว้ใช้ให้ออกไป เพื่อที่จะลดความโลภ พระเยซูบอกโลภไม่ดี เราเชื่อฟัง เราจะให้ เราก็ตั้งเป็นค่าใช้จ่ายไว้ เหมือนค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าอะไรต่างๆ ค่าที่เราจะให้ออกไป เราก็สามารถเอาลักษณะการถวายสิบลดมาใช้ เป็น 10% ดีไหม? แต่ไม่ใช่ถวายสิบลด เพราะกลัวถูกสาปแช่ง เพราะในพระเยซูคริสต์ เราไม่มีวันถูกสาปแช่งอีกต่อไปแล้ว เราได้รับพระพรนานัปการจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว หมดเลย เกลี้ยงเลย ไม่ให้เลยก็ได้ หรือจะให้ก็เป็นประโยชน์สำหรับตัวเราเอง พอเราลดความโลภลง ชีวิตเราก็ดีขึ้น เห็นชัด มีชีวิตที่พอเพียง เรารวยกว่าใครเพื่อนเลย คนยิ่งมีมาก ถ้าไม่มีตรงนี้ มีความโลภ และมีความไม่พอเพียงอยู่ ยิ่งมี ยิ่งจน มีมาก ก็กลัวหมด ก็ทำเพิ่มขึ้น พอมีน้อย ก็รู้สึกน้อยไป ก็ทำให้เพิ่มขึ้น ก็ไม่มีวันได้หยุด เห็นไหม? เราก็เอามาใช้ได้
ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำ ก็คือไม่ใช่การแสวงหา หรือทูลขอในสิ่งที่ได้มาแล้วจากพระเจ้า แต่ควรเป็นการขอบพระคุณในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ พระคุณของพระองค์ได้ทรงสถิตอยู่กับเราด้วยตอนนี้ พระคุณก็อยู่ การทรงสถิตก็อยู่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือเป็นการประกาศข่าวดีในชีวิตของเรานั้นเอง ถ้าเราทำแค่นี้ เราไม่ต้องพูดอะไรเลย ชีวิตเราประกาศข่าวดี ถ้าเราทำถูกต้องตามพระคัมภีร์จริงๆ คริสเตียนที่เกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้รับใจใหม่เพียงครั้งเดียวพอ
สรุปนะครับ คริสเตียนที่เกิดใหม่ ได้รับใจใหม่เพียงครั้งเดียวพอ ที่เหลือเป็นการเปลี่ยนแปลงความคิดเก่าๆ เสียใหม่ ตลอดชีวิตบนโลกใบนี้ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ได้เท่าไร เอาเท่านั้น พระวิญญาณจะนำเรา จะสอนเรา พลาดไป ก็เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ ให้มันเหมือนความคิดของพระเยซูคริสต์ ให้ความคิดของร่างกาย เป็นไปในทางเดียวกันกับความคิดของพระคริสต์ที่อยู่ในวิญญาณของเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
*************************