คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2020 เรื่อง “อย่ากลัวเลย … พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  กุมภาพันธ์  2020

 เรื่อง “อย่ากลัวเลย … พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีตอนเช้าครับ ตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถามว่าตอนนี้ตื่นเต้นอะไรมากที่สุด?  กลบข่าวก่อสร้างคริสตจักรอภิสุทธิสถานไปเลย เรื่องไวรัสโคโรน่า อยากรู้ไหมว่าในทางพระเจ้าพูดว่าอย่างไร ในเรื่องโคโรน่า วันนี้เตรียมมาให้เราได้ยินได้ฟังกัน เพราะว่าไม่พูดไม่ได้เลย  เราจะได้รู้ว่าเราเชื่อพระเจ้า แล้วเราควรจะทำตัวอย่างไร? หรือมีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องไวรัสตัวใหม่อย่างไรบ้าง?

ก่อนอื่น เราเกริ่นนิดหนึ่งก่อน เผื่อใครไม่รู้ ไวรัสตัวใหม่ สายพันธุ์ใหม่ที่เกิดที่ประเทศจีน ที่อู่ฮั่น ซึ่งเขาว่ามันมาจากการกลายพันธุ์ของไวรัสทั่วๆ ไป กลายพันธุ์เนื่องจากคนไปกินสัตว์ที่ไม่สะอาดมากๆ ไม่สะอาดเยอะๆ คือสัตว์ป่า เขาว่ากันว่ามาจากค้างคาวกับงูเห่า พูดแล้วไม่น่ากินเลยนะ แต่มีคนสรรหาไปกินกัน ซึ่งกลุ่มเล็กมาก แต่เนื่องจากเกิดเหตุแล้ว ทุกคนก็ต้องป้องกัน เพื่อให้ปลอดภัยจากสิ่งเหล่านี้มากที่สุด แล้วก็ช่วยกัน

ถามว่าเป็นเรื่องแปลกไหม? สำหรับคริสเตียนไม่ใช่เรื่องแปลก จริงๆ เรา มองในแง่ที่ดี สิ่งที่เกิดขึ้น  ทำให้เราเห็นว่าพระคัมภีร์เป็นจริง เป็นการยืนยันอีกทางหนึ่ง ในทางพระคัมภีร์ แต่เนื่องจากเป็นการยืนยันทางติดลบนั่นเอง ก็คือมันไม่ดี มันยืนยันว่าโลกใบนี้ มันเสียหายไปแล้ว มันยืนยันว่าพระคัมภีร์พูดไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่หน้าแรกแล้วว่าโลกใบนี้ถูกสาปแช่งไปแล้ว มันมีแต่ความเสื่อมทราม เสียหาย เน่าเฟ๊ะ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันอยู่ไม่ได้อีกเลย และพระเจ้าก็ต้องสร้างโลกใหม่มาให้มนุษย์ได้อยู่ มันเห็นชัดเลย ไม่ต้องรอหรอกว่าวันหนึ่งที่เราจะไม่มีไวรัสตัวแปลกๆ หรือแม้กระทั่งเจ็บไข้ได้ป่วยตัวแปลกๆ แม้กระทั่งภัยพิบัติทางธรรมชาติแบบแปลกๆ ให้มันน้อยลง ไม่มี มันมีแต่มากขึ้นทุกวัน เพราะมันเป็นจริงตามพระคัมภีร์บอก โลกได้ถูกสาปแช่งไปแล้ว และสิ่งสำคัญกว่านั้น ก็คือเราในฐานะคริสเตียน ผู้เชื่อ เราต้องรู้ว่ามันเกิดจากอะไร? และชี้เป้าให้ถูกว่าใครเป็นคนทำ ตรงนี้สำคัญที่สุดเลย ไม่ใช่ เอะอะอะไรก็บอกว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น คนไม่เข้าใจ ก็จะนึกว่าพระเจ้าเป็นคนเอาไวรัสนี้มาให้มนุษย์ เห็นไหม? เรามีหน้าที่ที่จะแก้ข่าวเหล่านี้ ซึ่งบางทีแม้กระทั่งผู้เชื่อ คริสเตียนเอง เขาก็ไม่เข้าใจ

บางคนก็บอกว่าพระเจ้าส่งไวรัสมาเพื่อเตือนมนุษย์ ให้มนุษย์กลับใจใหม่ มาหาพระเยซู เคยคิดอย่างนี้ไหม? พระเจ้าส่งไวรัสตัวนี้ มาให้มนุษย์ เพื่อจะขู่มนุษย์ว่าให้มาหาพระเยซู เพื่อจะช่วยให้รอด มีคนคิดไหม? จะต้องมีอยู่แล้ว

บางคนก็บอกว่าพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น  เพื่อล้างเอาสิ่งที่ไม่ดี ออกจากโลกนี้ไป เอาคนชั่วออกไป อันนี้ไม่ได้หมายถึงสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้หมายถึงไวรัสอย่างเดียวนะ หมายถึงอย่างอื่นด้วย การสงคราม หรือแม้กระทั่งจับโจรผู้ร้ายอะไรต่างๆ เราชอบพูดกันอย่างนี้เสมอ เราเอาสถานะของพระเจ้ามาเป็นผู้รับผิดชอบเสมอ แล้วก็มักจะติดคำนี้

“ก็เพราะพระเจ้าควบคุมอยู่เหนือทุกสิ่ง” บอกไว้อย่างนั้น

หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า God in control แปลว่าพระเจ้าควบคุมอยู่เหนือทุกอย่าง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง และทรงยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงควบคุมทุกสิ่ง ถูก แต่มันมีระบบระเบียบตามที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ ซึ่งเราต้องเรียนรู้และผู้ที่มาเป็นผู้แก้ต่างให้กับพระเจ้าของเรา  อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟัง พระเจ้าสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ด้วยความรัก พระเจ้าสร้างแม้กระทั่งทูตสวรรค์ ด้วยความรัก พระเจ้าสร้างมนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ด้วยความรัก

ความรักที่เป็นของพระเจ้าแท้ๆ บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีเจือปนเลย ความรักนี้เป็นการให้อิสรภาพด้วย ไม่ใช่เรารัก แล้วเราก็หวงไว้ แล้วเราก็สั่งทำอะไร? มันก็ไม่ใช่ ถ้าเป็นลูกเรา เราไม่รักเขาจริง สร้างเขามาเป็นหุ่นยนต์ สั่งอันนี้ขวาสิ ซ้ายสิ ไม่ใช่ขวาไปซ้าย ซ้ายไปขวา ไม่ใช่ พระเจ้าสร้างทูตสวรรค์ ยังสร้างให้เขามีอิสรภาพเลย  เพราะว่าตัวพระเจ้าเอง  เป็นพระเจ้าแห่งความรัก บริสุทธิ์ ยุติธรรม จึงไม่มีเห็นแก่ตัว เมื่อไม่มีเห็นแก่ตัว จะทำอะไรก็ตาม จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามอิสระของเขา เขาจะคิดอะไร ก็เชิญ ตัวนี้เป็นตัวหัวใจสำคัญที่เราจะต้องเรียนรู้ว่าพระเจ้าของเราเป็นอย่างนี้  ถ้าเรามองไม่เห็น เราจะเห็นตัวอย่างในพระคัมภีร์บอกว่าทูตสวรรค์ ชื่อลูซีเฟอร์ พระเจ้าสร้างให้มีอิสรภาพ ถูกไหม? ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์ เพราะฉะนั้น วันหนึ่งที่มันเกิดอยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง จะกบฏต่อพระเจ้า มันก็เลย ทำได้ เพราะมันมีอิสรภาพในการเลือก นี่แหละเรียกว่าความรัก บางคนบอกว่ารู้อยู่ล่วงหน้า วันหนึ่งมันต้องคิดอย่างนี้แน่ๆ แล้วถ้ารู้อย่างนี้ แล้วสั่ง กั้นไว้เลย ให้เป็นหุ่นยนต์ไปเลย  อย่างนั้นเหรอ? ไม่ใช่ สร้างให้เขามีธรรมชาติ ถ้าเขาจะคิด ก็เป็นเรื่องของเขา  เหมือนเรามีลูก แล้วเรารักลูกเราจริงๆ เราแต่สอนว่าอย่างนี้ควร อย่างนี้ไม่ควร เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาโซ่ไปคล้องคอเขา บอก อย่าไปนี้นะ อย่าไปนั้นนะ เหมือนกัน อย่างนี้เรียกว่าความรัก เพราะฉะนั้น วันหนึ่งลูซีเฟอร์ก็มีความคิดกบฎขึ้นมา แล้วพระเจ้าทำอย่างไร? พระเจ้าก็ต้องมาคอยเช็ดสิ่งสกปรกเหล่านั้นที่มันเกิดขึ้น จัดการให้เป็นไปตามกฎระเบียบ

มาถึงมนุษย์ สร้างอาดัม เอวา และพวกเราทุกๆ คน ที่อยู่ใน DNA ของอาดัมและเอวา มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้  ถูกสร้างโดยความรักอันบริสุทธิ์ เป็นอิสระ  จะคิดอะไร? จะทำอะไร? เชิญ ไม่ใช่เป็นหุ่นยนต์ ไม่ใช่พระเจ้าควบคุมทุกอย่าง คือควบคุมชีวิตเราด้วย บังคับเราด้วย เราจะตัดสินใจอะไร ต้องทำอย่างนี้ ไม่ใช่เลย อย่างนี้เห็นชัด พิสูจน์ได้อย่างไร? อาดัมและเอวา พระเจ้าบอกอย่ากินผลไม้นี้นะ วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตาย แสดงว่ามีอิสระ จะกินก็ได้ ไม่กินก็ได้ จะเชื่อฟังพ่อสอน แนะนำ ตักเตือนให้ระวังก็ได้ หรือจะไม่เชื่อฟังพ่อ ไปเชื่อฟังมารก็ได้ อย่างนี้เขาเรียกอิสรภาพ แล้วเราก็รู้กันอยู่ พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่าบรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวาก็ถูกล่อลวง ไม่ใช่ตัวเขาเอง ไม่เหมือนลูซีเฟอร์ ทูตสวรรค์ที่ตกกระป๋อง เป็นซาตาน พระคัมภีร์บอกว่ามันเกิดความบาป เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมาด้วยตัวของมัน แต่สำหรับมนุษย์ บรรพบุรุษของเรา รวมเราอยู่ในนั้นด้วย อยู่ใน DNA นั้นด้วย  ไม่รู้กี่หมื่นพันล้านคน เราอยู่ในอาดัมและเอวา มันไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตัวเขา แต่มันมีบางสิ่งบางอย่างอยู่นอกตัวเขา ที่เข้ามาล่อลวง หลอกลวง โกหก  ตอแหลกเขา ให้หลงไปกับคำเพลินๆ อะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเราไม่เข้าใจ ในพระคัมภีร์เขียนไว้นิดเดียว มารมาล่อลวง แต่ผมเชื่อว่าไม่ใช่ล่อลวงแค่นั้นหรอก มันมากกว่านั้น มันอาจจะเป็นหลายวันแล้ว พูดไปพูดมา จนกระทั่ง เหรอๆ เคลิ้บไปกับความคารมคมคายของเจ้าซาตาน บางทีเราอ่านพระคัมภีร์ เราเห็นแค่ว่ามันล่อลวง แล้วก็หลงไป แค่นั้น ผมว่าไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องนานเลย ในที่สุด คารมคมคาย ก็ชักจูงโยงใยให้บรรพบุรุษของเรา คู่แรกเริ่มที่จะปฏิเสธพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ท่านพอมองเห็นไหม? โดยที่ตัวเขาเอง เพลินไป หลงไป เขาไม่ได้ตั้งใจปฏิเสธพระเจ้า  มันถูกล่อลวงค่อยๆ ทีละนิดๆ

ในยุคปัจจุบันเหมือนกัน ที่บางคนถูกล่อลวงออกจากบ้าน  ถูกล่อลวงอะไรต่างๆ ก็อย่างนี้แหละ ไม่ใช่ตัดสินว่าฉันจะไป มันค่อยๆ แต่ในที่สุด เขาก็ทนคารมนั้นไม่ไหว แล้วก็เผลอ หรือจะบอกว่าหลงไป ทำในสิ่งที่เรียกว่า “กบฏ” ตอนเขาทำ เขาไม่รู้อะไรหรอกว่านี่คือกบฏ ตอนที่เขาทำเคลิ้มๆ มันหลงไป ในที่สุดเขาก็ปฏิเสธพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า รุนแรงถึงขนาดถูกตัดขาดจากพระเจ้า ถูกไล่ออกจากครอบครัวของพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ต้องไปอยู่กับมาร เลือกข้างนั้นเอง ถ้ามารมาบอกว่ามาอยู่ด้วยตั้งแต่แรก เขาไม่เชื่อหรอก พระคัมภีร์ถึงใช้คำว่าล่อลวง

เพราะฉะนั้น มนุษย์ก็ตกลงไปอยู่ในความบาป มนุษย์ต้องตายทั้งร่างกายและวิญญาณ ร่างกายที่ไม่เคยต้องตาย ต้องติดเชื้อโรค อะไรต่างๆ ก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง คือมีวันที่จะเสื่อมสลายตายไป เพราะไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในนั้นแล้ว วิญญาณที่มีอยู่ ที่เป็นอยู่ ก็ต้องตาย แปลว่าถูกตัดขาด คำว่า “ตาย” ในที่นี้ คือถูกตัดขาดออกจากสวรรค์ ไปอยู่ในที่ที่เรียกว่าความมืด ไม่มีพระเจ้านิรันดร์กาล

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น คิดให้ดีๆ พระเจ้าเป็นคนทำหรือเปล่า? ไม่ใช่เลย พระเจ้าไม่ได้เป็นคนทำ พอมองเห็นไหม? สิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวา ที่ตายทั้งร่างกายและวิญญาณนั้น พระเจ้าไม่ได้ทำ แต่มนุษย์ทำเอง แล้วผลเสียมันก็เข้ามาเอง จากกฎระเบียบของโลกใบนี้ ที่มันบอกไว้แล้ว เหมือนกับซาตานที่ทำ แล้วมันก็ได้รับผลของมัน แล้วพระเจ้าทำอะไร? พระเจ้าคอยช่วยเหลือ

ตรงนี้ คือสิ่งที่ต้องจำ แล้วก็พยายามฝังหัวไว้ตลอดเลยว่าอะไรเกิดขึ้น ในยุคปัจจุบัน มันจะร้ายแรงขนาดไหนก็ตาม จงรู้ว่าไม่ใช่พระเจ้าเอาสิ่งชั่วร้ายเข้ามาหาเรา แต่พระเจ้าอยู่ตรงข้ามต่างหาก คอยเข้ามาช่วย เมื่ออาดัมและเอวาตกลงไปในความบาป พระเจ้ารีบกุลีกุจอเข้ามาช่วย ช่วยทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกหาย เหมือนที่ผมเคยบอกว่าลูกเอามือแยงเข้าไปในปลั๊กไฟ บอกหลายครั้งแล้ว อย่าๆ มันดูด แยงเข้าไป ชักเลย พ่อไม่ได้ยืนด่าเลย นี่พระเจ้าแห่งความรัก รีบโอบกอด เป็นอย่างไร? ไปหาหมอไหม? ภาพมันเป็นอย่างนี้ ไม่มีผิดเลย เจ็บปวดจิตใจมาก ลูกเป็นอย่างนี้ พยายามหาทางทุกทาง ที่จะช่วยลูกให้ได้ นั่นแหละ คือพ่อของเรา คือพระเจ้าเป็นความรัก แล้วคิดดู มารก็คอยกระซิบ พ่อแก ใจร้าย พ่อแกลงโทษแก ตัวมันเองแอบอยู่ นี่คือภาพใหญ่ๆ จากพระคัมภีร์เป๊ะเลย เพื่อให้เรารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโคโรน่า แต่ก่อนหน้านี้มันมีไวรัสซาร์นี่คล้ายๆ ซาร์จำได้ไหม? ที่ทุกคนกลัว อันนี้มันใหญ่กว่า ซาร์ก็เหมือนออติก ตอนนี้มันเป็นโคโรน่า มันใหญ่ขึ้น อนาคตมันก็จะมีคัมรี่ แล้วจากคัมรี่ ก็เป็นเล็กซัส มันพัฒนาไปเรื่อยๆ ช่างมันเถอะ อย่าไปยุ่งกับมันเลย เพราะมันเป็นไปตามพระคัมภีร์แล้ว มันเสื่อมทราม มันแย่ลงไปทุกวันๆ บนโลกใบนี้ จงดีใจเถิด ไม่ใช่ดีใจที่คนตายนะ แต่จงดีใจในแง่มุมหนึ่งว่าพระคัมภีร์เป็นจริง ความยุ่งยากลำบากบนโลกนี้ ยิ่งทวีคูณมากเท่าไร? จงดีใจในแง่หนึ่งว่าพระคัมภีร์เป็นจริง บอกแล้วไง บางคนก็บอกมันจะพัฒนา เทคโนโลยีอะไรต่างๆ เราจะอยู่กันดีขึ้น ไม่เลย มันมีแต่แย่ลง แม้กระทั่งอาหารการกินก็เหมือนกัน แล้วถามว่ามันแย่ลงเพราะอะไร? พระเจ้าให้มันแย่ลงเหรอ ก็บอกแล้วว่าเมื่อมารครอบครอง เมื่อปรปักษ์เข้ามาครอบครอง บ้านนี้ไม่ใช่ของมาร แต่เราไปเชิญมารเข้ามาครอบครอง เพราะฉะนั้น มันทำเละตุ้มเป๊ะเลย เพื่อจะเยาะเย้ยพระเจ้า นี่ไง แล้วมันก็คุมบ้านหลังนี้เอง ด้วยความชั่วร้าย ซึ่งมันมีวันสิ้นสุด ขอบคุณพระเจ้า มันมีวันสิ้นสุด วันที่จะสิ้นโลกใบนี้ และมีโลกใหม่ และมารก็ถูกจับโยนลงไปในบึงไฟนรก มันมีวันนั้นจริงๆ

เพราะฉะนั้น การมองดูอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้มันเกิดขึ้น มองได้หลายแง่ ไม่ต้องตกใจ เดี๋ยววันนี้จะมีข้อพระคัมภีร์มาให้ท่านดู ท่านจะได้ไม่ต้องตกใจเลย เพราะพระเจ้าอยู่ข้างเราตลอด คอยช่วยเราตลอด เอเมน อย่างที่บอกเมื่อรู้อีกมุมหนึ่ง น่าจะดีใจด้วยว่ามันก็เป็นอย่างนี้แหละ แต่ก็ต้องมีสติปัญญาจากพระเจ้า เขาบอก เขาเตือนให้ทำตัวอย่างไร? เราก็ต้องทำตามระดับหนึ่ง แต่ไม่ต้องหวาดกลัว เขาบอกว่าอย่าไปในสถานที่ที่มีคนเยอะๆ ช่วงนี้ ก็ไป ฉันมีพระเจ้าอยู่ ฉันไม่กลัว คุ้นๆ ไหม? เขาบอกอย่าไป ก็อย่าไป ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ สถานที่ที่มีคนติดเชื้อ เราก็พยายามเลี่ยง เลี่ยงไม่ได้ ก็ระวังตัวที่สุด แล้วอธิษฐานไปด้วย  อย่างนี้โอเค ไม่ใช่ อะไร ไม่มีสติปัญญาเลย  พระเจ้าเป็นสติปัญญาด้วย ทำอะไรให้มันสอดคล้องกับสติปัญญาของพระเจ้าบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ความเชื่อๆ เชื่ออะไรก็ไม่รู้ ถามว่าเชื่ออะไร? ไม่รู้เหมือนกัน มันต้องมีสติปัญญา เขาแนะนำอะไร เราก็ทำตาม แล้วเราก็ต้องระมัดระวังตาม

อย่างเช่น ข่าว ฟังบ้าง ให้รู้ว่าเขาเตือนว่าอย่างไรบ้าง มันไปถึงไหนแล้ว อะไรอย่างนี้ แล้วมันไม่ใช่เรื่องแปลก ก่อนหน้านี้ เท่าที่จำได้ เมื่อประมาณหลายร้อยปีก่อน เอาเป็นพันปีเลยดีกว่า สนุกดี โรคเรื้อน ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์ โรคเรื้อน รักษาไม่หาย ใครเป็นโรคเรื้อนตายแน่ ทรมาน พระเจ้าไม่ได้เอาโรคเรื้อนมาให้เรา แต่พระเจ้าให้สติปัญญากับมนุษย์สร้างยารักษา จนชนะโรคเรื้อนได้แล้ว แล้วมีโรคอะไรอีกที่มันลำบาก ฝีดาษ อหิวาตกโรค ใครเป็นคนเอาฝีดาษเข้ามา ใครเป็นคนเอาอหิวาตกโรคเข้ามา ตอบสิ มาร ถูกไหม? ผ่านทางคน ไม่มีใครแล้ว ไม่ได้ผ่านทางพระเจ้า ผ่านทางมนุษย์ ล่อลวงมนุษย์เหมือนเดิมนั่นแหละ ล่อลวงอะไรต่างๆ ที่มันเกิดผลร้ายขึ้นมา เห็นไหม? ถามว่าล่อลวงอย่างไร? สลับซับซ้อน ถ้าพูดวันนี้ เอาแผนการของมารมาวาง สามวันสามคืนพูดไม่จบ ยกตัวอย่าง ปัจจุบัน โรคเมอร์ ไม่ใช่เชื้อโรค แต่เป็นการกลายพันธุ์ของเซลในร่างกายของเรา ถามว่ามาจากอะไร? มาจากสิ่งแปลกปลอมที่มนุษย์ต้องใช้ ยกตัวอย่างเช่น อาหารการกิน อากาศ อารมณ์ แล้วถามว่าจะมาได้อย่างไร? ไม่ยากเลย มันสร้างระบบต่างๆ สมมติว่าเราบอกมาจากอากาศ อากาศเสีย อากาศเสียมาจากอะไร? มลพิษรถยนต์ สมมติ รถยนต์เกิดจากอะไร? ความโลภ พอมองออกไหม? เห็นไหม?

สมมติว่าตอนนี้ เขามีการรณรงค์เรื่องสารพิษที่ใส่ลงไปในอาหารการกิน และพืชผักผลไม้ที่คนทำ ถามว่าคนทำ รู้ไหมว่าอันนี้ มันอันตรายต่อคน ทุกคนตอบพร้อมกัน? รู้ ถามว่าทำเพราะอะไร? เพราะอยากได้เงิน คือความโลภ … ความโลภมาจากใคร? มาจากมนุษย์ ฟังให้ดีๆ  ถูกล่อลวงโดยมาร ปิดบังตา ทำให้เกิดความโลภ แล้วตัวเอง ก็สูญเสียชีวิตไปด้วย แล้วก็ทำคนอื่นแย่ไปด้วย นี่คือหนึ่งในจำนวน ยกตัวอย่างให้ฟัง ทุกเรื่องมันมาจากมารทั้งนั้น มนุษย์ไม่เกี่ยวข้องเลย แต่มันถูกหลอกไง ผ่านทางความโลภ ความโกรธ ความหลง การทะเยอทะยาน ความเห็นแก่ตัว ก็คือความอะไรก็ตามที่มาจากเชื้อบาป ที่ถูกสาปแช่งไป ตั้งแต่สมัยอาดัมและเอวา ระบบของโลกมันเป็นอย่างนี้หมดแล้ว มันก็มีแต่เสียหาย เพราะเราถูกล่อลวง ถูกปิดบังตา พระคัมภีร์บอกว่าเจ้าแห่งโลกนี้ คือผู้ครอบครองของโลกนี้ ก็คือมาร มันบังตา ให้เราไม่รู้จักพระเจ้า ถ้าเรารู้จักพระเจ้าแล้ว มันพยายามบังตาให้เรา ไม่ให้เอาข่าวประเสริฐของพระเจ้า ไปให้กับคนข้างๆ มันทำทุกวิถีทาง แต่ถ้ามันมาบังตาให้เราไม่รู้จักพระเจ้าได้เลย มันยิ่งชอบใจใหญ่ แล้วไม่ใช่ไม่รู้จักพระเจ้าอย่างเดียว เมื่อไม่รู้จักพระเจ้า มันไม่หยุดแค่นั้น มันจะบังตาและหลอกลวงเราต่อไป ให้เราเป็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า และทำชั่วด้วย แล้วก็บังตาต่อไป ไม่ให้ทำชั่วอย่างเดียว แต่ทำชั่วกับคนเยอะๆ เลย ผ่านทางกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง ผ่านทางความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอะไรก็ตามที่มันบาปทั้งหลาย ท่านพอมองภาพเห็นไหม? แล้วมนุษย์น่าสงสารไหม?

“นี่เธอก็ผิด นั่นเธอก็ผิด”

ตัวจริงๆ มันนั่งแอบอยู่ แล้วก็หัวเราะ แล้วก็บอกพระเจ้านี่ลูกๆ พระองค์ทั้งนั้นแหละ นี่บ้านของพระองค์ สวนเอเดน แหะ แหะ เป็นไง”

แต่พระเจ้านิ่งๆ และหัวเราะดังกว่าครับ เอเมน หัวเราะเมื่อไร? วันแรก เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าหัวเราะดังกว่า ตอนพระเยซูถูกตรึงและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง แล้วพระองค์ประกาศว่า …

“จบ พอแล้ว สำเร็จแล้ว”

คือการไถ่บาป การช่วยเหลือมนุษย์ที่พระเจ้าวางแผนเอาไว้ มันสำเร็จแล้ว …

“จากนี้ ต่อไป ฉันจะลงมาแล้วนะ”

เอาล่ะสิ พระเจ้าจะลงมาแล้วล่ะ “แกทำอะไรฟรีๆ แบบเปล่าๆ ไม่ได้อีกแล้ว ฉันจะลงมาแล้ว ลงมาอยู่กับมนุษย์ แกได้ถูกพิพากษาแล้ว วันหนึ่งแกต้องลงไปอยู่ในบึงไฟนรกนิรันดร์ ฉันกำลังเอาความสำเร็จนี้ การช่วยเหลือมนุษย์นี้แผ่กระจายออกไปเป็นข่าวดี ไปให้ทั่วเลย ซึ่งยังมีคนต้องเกิดขึ้นมาอีก ไม่รู้เท่าไร? จาก DNA ที่อยู่ในอาดัม อีกไม่รู้กี่พัน กี่หมื่นล้านคน ฉันไม่รู้ หมายถึงเราไม่รู้นะ พระเจ้ารู้ แต่ไม่ได้บอก แต่จบแล้ว” นี่ วันที่หัวเราะ

ตั้งแต่วันที่ประกาศที่ไม้กางเขนเป็นต้นมา พระเจ้าก็ลงมาอยู่กับมนุษย์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผู้คนที่รู้ความจริง สมัยแรกๆ นั้นก็คืออัครสาวกทั้งหลาย ก็ออกไปประกาศข่าวดีนี้ และสิ่งสำคัญที่สุด ก็คือพระเจ้าไม่อยากให้มนุษย์ถูกล่อลวงอีกแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” สรุปสั้นๆ พระเจ้าลงมาแล้ว ลงมาอยู่กับเรา อยู่กับมนุษย์เลย อยู่ในเราเลย อยู่ข้างในตัวเรา ในหนังสือ 1 โครินธ์ 3:16 บันทึกไว้ว่า …

“ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตภายในท่าน”

ผมจะเปิดความหมายลึกๆ จากภาษาเดิม ซึ่งเป็นภาษากรีกว่าตรงนี้หมายความว่าอะไร? 1 โครินธ์ 3:16 “ท่านไม่รู้หรือว่า? แล้วท่านไม่เข้าใจเลยหรือว่า?”

ฟังนะ นี่กำลังพูดกับคนที่เป็นคริสเตียน  กำลังพูดกับคนที่เกิดใหม่แล้ว กำลังพูดกับคนที่เป็นของพระเจ้าแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว มีวิญญาณพระเจ้าอยู่ในตัวแล้ว บอกว่าอย่างไร? …

“ท่านไม่รู้หรือ? แล้วท่านไม่เข้าใจหรือว่าท่านเป็นคริสตจักร”

“คริสตจักร” แปลว่าสถานที่ที่พระเจ้าสถิต

“ท่านเป็นคริสตจักร เป็นวิหารของพระเจ้า และเป็นที่ที่ซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าอาศัยอยู่อย่างถาวรนิรันดร์ ไม่ไปไหนอีกแล้วในท่านนั่นแหละ  แต่ละคนเลยทีเดียว”

มันแปลว่าอย่างนี้ “ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหาร” บางทีรู้สึกรวมๆ นี่พูดถึงแต่ละคน แต่ละผู้เชื่อ แต่ละคริสเตียน พระคัมภีร์ได้บอก พระเจ้าได้บอกกับเราว่าเราแต่ละคน เป็นที่อยู่อาศัยของพระวิญญาณของพระเจ้าแล้ว ไม่ใช่จะนะ แล้ว เดี๋ยวนี้แล้ว ท่านเข้าใจไหม? ท่านรู้ไหม? แสดงว่าพูดด้วยความอยากให้คนฟังรู้ อยากให้เข้าใจ มันถึงต้องเน้นอย่างนี้

“ท่านไม่รู้หรือ” ไม่พอ ท่านไม่รู้หรือ? ท่านไม่เข้าใจหรือว่าร่างกายของท่าน พระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่แล้ว เข้าไปอยู่อย่างถาวร เข้าไปอยู่แต่ละคนเลย ไม่ใช่ไปอยู่รวมกัน ไม่อยู่รวมกัน ท่านอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่นั่นด้วย  และอยู่แบบถาวรนิรันดร์เลย คือไม่ว่าท่านไปไหน ก็อยู่ที่นั่น ไม่ว่าท่านตื่นนอน จะอยู่ในห้องน้ำ จะไปตลาด ไปเดิน ไม่ว่าท่านจะมาโบสถ์หรือไม่มา ก็อยู่กับท่านตลอดนั่นแหละ อยู่ตลอดในร่างกายของท่าน

นี่คือความสำเร็จของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเข้ามาอยู่กับเรา พระเจ้าก็จะนำทางเรา เป็นพี่เลี้ยงเรา คอยดูแลเรา พอเรารู้จักพระเจ้า พระองค์มีพระลักษณะเป็นอย่างไร? เป็นฝ่ายเรา เป็นข้างเรา อย่างเดียวเลย ไม่โกรธ ไม่เคยแตะ ไม่เคยตีเราเลย คอยนำเราตลอด เราจะทำอะไรผิด อะไรพลาด ถูกล่อลวง พระเจ้าก็คอยช่วยเหลือ พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งการปลอบโยนตลอด ท่านจะเห็นภาพแล้วตอนนี้ ก็คือพาเราเดินบนโลกใบนี้ที่มันเสียหาย ยับยู่ยี่ มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ มีแต่ความเสียหายต่างๆ เดินด้วยความระมัดระวัง ไปกับพระเจ้า บาดเจ็บขึ้นมาปุ๊บ พระเจ้าก็พันแผล ค่อยๆ ช่วย

“ลูก วันหลังต้องเดินอย่างนี้นะ ไม่เป็นไรๆ พ่ออยู่ด้วย”

ต้องคิดอย่างนี้ ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ความเสียหาย ย้อนกลับมาถึงไวรัสโคโรน่า ท่านต้องกลัวไหม? ไม่ต้องกลัว แต่ทำตามสติปัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ ผ่านทางคนที่พระเจ้าให้สติปัญญาแล้วว่าเขากำลังคิด เรื่องยารักษาโรคตรงนี้อยู่ แล้วเขาก็บอกว่าต้องระมัดระวังตัวอย่างไร? ตามสาธารณะสุข เราก็ทำตาม ด้วยสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า แต่ถามว่ากลัวไหม? ไม่กลัว เพราะพระคัมภีร์ก็บอกเลย ถ้าตาย ก็ได้กำไร หมายถึงว่าจากร่างนี้ไป ก็ไปอยู่กับพระเจ้า ทันทีเลย จริงๆ วันนี้ก็อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ตอนจากไป หมายถึงจากร่างนี้ปุ๊บ ก็อยู่ในโลกวิญญาณ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทุกวันนี้ก็อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ไม่เห็น เพราะอยู่ในร่างกายที่อ่อนแอนี้ เพราะฉะนั้น ใครที่อยากเห็นพระเจ้าบ่อยๆ ก็เตรียมตัวไว้นะ อยากเห็นไหม? บางทีก็อยากๆ กลัวๆ บางทีก็คิดถึงข้าวขาหมูอยู่  ไม่รู้ว่าไปอีกมิติหนึ่ง จะมีข้าวขาหมูหรือเปล่า? ตามภาษามนุษย์ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น ชัดเจน ดังนั้น เราไม่ต้องกลัว ไปไหน พระเจ้าไปด้วย

“จะไปไหน? พระเจ้าไปด้วย”

พระเจ้าผู้นี้ที่มีมาตั้งแต่อดีต เป็นคำเผยพระวจนะว่าพระเยซูจะมาทำอย่างนี้ แล้วมีในพระคัมภีร์ หนังสืออิสยาห์บอกว่าพระเจ้าองค์นี้ ใช้ชื่อว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” ก็คือพระเจ้าที่พวกท่านรอกันอยู่นั่นแหละ ตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์เดิม วันหนึ่งพระมาซีฮาจะมา แล้วพระองค์มีนามว่า “พระเจ้าอยู่กับเธอด้วย” ก็คืออิมมานูเอล

แล้วถามว่าอยู่กับเรา เรากลัวอะไรไหม? เราอาจจะกลัวโน่นกลัวนี่ ตามประสาของการอยู่บนโลกใบนี้ มันตกใจ แต่พระเจ้าก็คอยปลอบโยนเรา ให้เราค่อยๆ กล้วน้อยลงไปเรื่อยๆ แล้วในพระคัมภีร์ก็มีบันทึกเอาไว้ ในหนังสือ 1 โครินธ์ 1:13 บอกว่า …

“พระองค์ทรงสัตย์ซื่อ สัตย์ธรรม” นี่พูดถึงคนที่เชื่อในพระองค์แล้ว เป็นลูกพระองค์แล้ว ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้องพบกับความทุกข์ยากลำบาก พระองค์บอกว่า …

“ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวดใดๆ ที่เกิดขึ้นกับลูกเด็ดขาด ที่มันแปลกกว่าชาวบ้านเขา” มันแปลว่าอย่างนี้นะ

มันคือความเจ็บปวด ความชั่วร้ายที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้กับทุกคนแล้ว คือพูดง่ายๆ มาเชื่อพระเจ้าก็ไม่ได้หนีรอดจากตรงนี้หรอก มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว เหมือนแสงแดดที่ส่องมาให้ทั้งกับคนดีและคนชั่ว คนเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็โดนแดด โดนฝน ก็เปียกเหมือนกัน ไม่ใช่คนเชื่อ เดินมามีฝน แดดส่องมา ไม่ใช่ มันเหมือนกันหมด แต่ไม่ต้องกลัว เพราะเราอยู่กับเจ้า พระองค์ทรงสัญญาว่าท่านจะไม่ได้รับการลำบาก ลำบนกับความชั่วร้ายของโลกใบนี้ เกินกว่าที่ท่านจะสามารถรับได้ แต่ในขณะที่ท่านอยู่ในความทุกข์ยากลำบากอยู่นั้น พระองค์กำลังเตรียมทางออกช่วยท่านอยู่ เอเมน ไม่ว่าท่านจะอธิษฐานไม่ได้ ไม่ไหวแล้ว พระวิญญาณก็จะทำการอธิษฐานให้ท่านเอง ช่วยท่านเอง มันแปลว่าอย่างนี้

ท่านเจอระบบของโลกนี้ แล้วก็พลาดไป ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูบอกว่าอย่าโลภ ท่านพลาดไป ถูกล่อลวงโดนมาร ผ่านทางคนโน้นคนนี้ ล่อลวงให้ท่านลงทุนในโน้นในนี้ แล้วมันได้ แรกๆ ได้ๆ มันล่อลวงเราทั้งนั้นแหละ แล้วท่านเกิดโลภ พระเยซูบอกว่าอย่าโลภ ท่านก็ไปโลภมัน  เพราะพระเยซูรู้แล้ว ถ้าโลภ เดี๋ยวมันก็เจ็บ ก็ไม่ไหว ลงทุนนี้ก็ได้ ลงทุนนั้นก็ได้อีก ลงทุนใหญ่ ในที่สุด มารก็มาแล้ว ในที่สุดก็เจ๊ง ท่านก็รับไม่ได้ เห็นไหม? มันก็เป็นอย่างนี้ แล้วพระเจ้าก็เข้าไปปลอบโยน เข้าไปช่วยท่าน จะเป็นอย่างนี้ เพราะพระเจ้าสัตย์ธรรม ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ พระองค์จะไม่ปล่อยให้ท่านอยู่ในความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เกินกว่าที่ท่านจะรับได้ แสดงว่าทุกวันนี้ ท่านเจ็บปวด เรื่องอะไรก็ตาม มีทุกข์ พระเจ้ากำลังบอกท่านว่าท่านรับได้ จึงให้เกิดขึ้น แล้วพระเจ้าก็ใช้สิ่งเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ ให้เกิดเป็นผลดี สำหรับท่าน และแผนการของพระองค์ด้วย

ใช้สิ่งที่มันเสียหาย สิ่งที่เราจำเป็นต้องเจอ เนื่องจากมาร พระองค์ทรงใช้สถานการณ์นั้น ให้เป็นประโยชน์สำหรับชีวิตเรา และเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตคนรอบข้าง โดยตรง เป็นไปตามแผนการของพระองค์ อย่างนี้มันถึงถูก ไม่ใช่พระองค์ใส่เรา พาเราเข้าไปในความทุกข์ยากลำบาก แล้วใช้ความทุกข์ยากลำบากนั้น มาเป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา  ไม่ใช่ มันต้องเข้าไปอยู่แล้ว มันเป็นอยู่แล้ว แต่พระองค์ทรงช่วยเราออกมา ขณะที่ช่วย ก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วย  พอเข้าใจไหมตรงนี้  ลึกซึ้งนิดหนึ่ง เข้าใจหรือเปล่า? ไม่ใช่พระองค์พาเราเข้าไปอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก แล้วก็ใช้ความทุกข์ยากลำบากนั้น เสริมสร้างให้เราเติบโตเข้มแข็ง เป็นผู้ใหญ่ ทางฝ่ายวิญญาณ เหมือนในหนังสือโรม บทที่ 5 บอกไว้ …

“ข้าพเจ้าปิติยินดีด้วย และปลาบปลื้มในความทุกข์ยากลำบาก ในความเจ็บปวด เพราะความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวดจะทำให้เกิดความอดทน ทรหด และความอดทน ทรหด ทำให้เกิดอุปนิสัยใหม่ เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ในฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าจะใช้ได้ เป็นไปตามแผนการของพระองค์”

เห็นหรือยัง? คนก็เหมา แสดงว่าพระเจ้าเอาความทุกข์เข้ามา ไม่ใช่ หมายถึงเราเป็นอยู่แล้ว เราโดนอยู่แล้ว แต่พระเจ้าเอาที่เราโดนอยู่แล้ว มาให้เป็นประโยชน์ในชีวิตของเรา เราจึงเกิดความอดทน แต่ให้เรามีความอดทนมากขึ้น  และในข้อต่อมาบอกว่า …

“และความอดทนและบุคลิกใหม่ ที่พระเจ้าสามารถใช้ได้นี้ จะทำให้ความหวังใจในการมีส่วนในพระพร เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าแล้วตอนนี้ แต่ยังอยู่ในร่างกายเดิมอยู่นะ มันชัดเจนยิ่งขึ้น มันมั่นคงแข็งแกร่ง แล้วมันไม่เสียหายไปเลย มันไม่มีล้มเหลวเลย  เหตุเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตในเรา ความรักของพระเจ้าท่วมท้นเข้ามาในจิตใจเรา เราสัมผัสได้ ผ่านทางความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นแหละ แต่พระองค์ไม่ได้เป็นคนเอาเราเข้าไปในความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้น แต่คอยช่วยเราตลอดเวลา”

พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ เพราะมันง่ายเหลือเกินที่จะบอกว่ามันเป็นผลดี เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงพาเราเข้าไป ไม่ใช่ๆ ที่เราพูดอยู่นี้อยู่ในหนังสือโรม 8:28 ก่อน ยิ่งกว่าผู้พิชิต

“และเรารู้ว่า (เรา คือผู้เชื่อทั้งหลาย ผู้ที่เป็นลูกของพระองค์ พระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว) ทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดี แก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์”

“ทำให้เกิดผลดี” ผู้ที่รักพระองค์ หมายถึงผู้ที่เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ถ้าไม่เกิดใหม่ ไม่เป็นลูกพระเจ้า รักพระองค์ไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ มันอยู่คนละข้างแล้ว มันอยู่กับมาร มันไม่รู้จักรักพระเจ้าหรอก แต่นี่หมายถึงคนที่บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าบอกว่าจากนี้ต่อไป เราเกิดใหม่แล้ว  บนโลกใบนี้ เกิดความทุกข์ยากลำบากอะไรก็ตาม ทั้งหมดเลย เราคือพระเจ้า พ่อจะทำให้มันเป็นผลดี สำหรับลูกนะ ทุกคนตอบกันว่าเอเมน แต่พอมันเกิดจริงๆ มันเอเมนไม่ค่อยไหว แต่ไม่เป็นไร ไม่เอเมน ก็ไม่เป็นไร พระองค์ยังคงทำเหมือนเดิม  เพราะถึงแม้ลูกไม่รู้ แต่พ่อจะพาลูกไปที่ดีๆ

ดูว่าพระเจ้ามีความรู้สึกอย่างไร? ข้อ 37 พ่อจะทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ที่มันทำให้ลูกเจ็บปวด อะไรต่างๆ พ่อจะเดินไปกับลูก จูงมือลูกเดินไปตลอดทุกหนทางทุกแห่งเลย มารมันซัดเข้ามาอย่างไร? พ่อจะพาลูกผ่านไปให้ได้ และต้องได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้นบนโลกใบนี้เลย เพราะว่าพ่ออยู่กับเจ้าด้วย เหมือนที่เผยพระวจนะมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่ให้กษัตริย์ดาวิดเผยพระวจนะ ในหนังสือสดุดี บทที่ 23 บอกว่า …

“แม้ว่าผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพเจ้าก็ไม่กลัวสิ่งใดๆ เลย เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย คทาและธารพระกร ไม้เท้าของพระองค์ทรงปลอบโยนลูก ทำให้ลูกสบายใจ พระองค์ทรงเตรียมสำหรับ คือโต๊ะอาหารให้กับลูก ต่อหน้าต่อตาศัตรูของลูกเลย ไม่ต้องกลัว”

เพราะฉะนั้น ในโรม 8:37 จึงบอกว่า “ดังนั้น (หมายถึงว่าความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ที่พูดถึงตะกี้นี้) ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิติ โดยทางพระองค์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย” เห็นไหม?

“ในสถานการณ์ทั้งปวงเหล่านี้” ก็คือในความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นซาร์ โคโรน่า เล็กซัส ไม่ว่าจะเป็นฝีดาษ ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรทั้งนั้น ในอนาคตจะมีมาอีก ไม่ว่าจะเป็นการกันดารอาหาร ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น P.M. 2.5 ไม่ว่าจะเป็นฟลูโรชั่นอะไร ไม่ว่าจะเป็นไอเสีย ไม่ว่าจะเป็นอะไรอีกล่ะ ตอนนี้ที่ขู่เรา ไม่ว่าจะเป็นสารพิษในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นสารพิษในผัก ไม่ว่าจะเป็นสารพิษในผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง รู้หรือไม่รู้ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามเยอะแยะไปหมด ไม่ต้องกลัวเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ในสถานการณ์ของโคโรน่า ตอนนี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้นะ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต

เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต คืออะไร? คือไม่ต้องทำอะไร มีคนทำให้ เคยได้ยินไหม ผู้พิชิตคืออะไร? ใครรู้จักนักมวยที่ดังๆ เขาทราย รู้จักหมดใช่ไหม? เก่าแก่ เอาสมัยใหม่หน่อยสิ บัวขาว สมมติ บัวขาวยิ่งกว่าผู้พิชิต บัวขาวขึ้นชก ชนะ เขายกให้บัวขาวเป็นผู้พิชิต ถูกไหม? เรียกบัวขาวขึ้นเวที บัวขาวผู้พิชิตขึ้นมาบนเวที ปุ๊บ ก็มีคนเอาเข็มขัดทอง เข็มขัดประจำตำแหน่งให้ ชก เหงื่อแตก เลือดไหล แต่ว่าชนะแล้ว ตัวเองน่วมไปหมด กลับไปบ้านปุ๊บ เอาเข็มขัดทองไปให้กับเมีย เมียไม่ได้ขึ้นชกเลยสักนิดหนึ่ง เมียนั้นเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เอเมน

แล้วของเราคือใคร? ใครชกจนเหงื่อออก หัวร้างข้างแตกเลย ใคร? พระเยซูคริสต์ทุกข์ทรมาน ตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทรมาน แล้ววันที่ 3 เป็นขึ้นจากความตาย ในพระคัมภีร์บอก โดยพระคุณของพระเจ้า เราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นเลย เพียงแต่เชื่ออย่างเดียวว่าพระเยซูทำให้เรา เราก็เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เห็นภาพหรือยัง? เราก็เป็นภรรยาของเจ้าบ่าวของเรา คือพระเยซูคริสต์ เอเมนไหม?

ผมไปเล่นดนตรีมาแทบตายเลย เหนื่อยตายเลย คนเก็บเงินคือใคร? ผู้ชายในนี้มีอีกหลายท่าน ทำงานแทบตาย เหนื่อยกลับมาถึงใครรับตังค์ ไม่ต้องทำเลย อยู่บ้าน แบมืออย่างเดียว แล้วเราก็ต้องให้ด้วย เห็นไหม? ไม่เรียกว่ายิ่งกว่าผู้พิชิต แล้วให้เรียกว่าอะไร?

พอเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตในข้อ 38 บอกว่า … “เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าเป็นปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ ไม่ว่าเบื้องสูง หรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถจะพรากเรา เอาเราออกไปจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย พรากจากมือพระเจ้าออกไปได้เลย ไม่สามารถเอาเราไปได้แล้ว เราเป็นลูกแล้ว อยู่กับพระองค์แล้วตอนนี้ อยู่ตลอดเวลา เราหลับ พระองค์ก็ไม่หลับ แล้วกลัวอะไร? สวรรค์อยู่แน่นอนแล้ว แล้วอะไรที่อยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวพระองค์ก็นำพาเรา จูงมือเราไปทีละนิดทีละหน่อย

โรม 8:38 “ดังนั้น ในความทุกข์ทั้งปวงเหล่านี้ เราทั้งหลายเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต ได้รับชัยชนะอย่างเหลือล้น โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ผ่านทางพระเยซู เป็นผู้กระทำ พระเยซูผู้ซึ่งรักเรามาก ถึงขนาดตายแทนเราได้”

พูดถึงตรงนี้แล้วนึกถึง ตะกี้เราพูดถึงบัวขาว … บัวขาวยอมให้เขาศอก เลือดอาบ เพื่อเมียอยู่ที่บ้านได้รับ อย่างนี้ คล้ายๆ

“เพราะข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่น โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับข้าพเจ้าตลอดเวลาว่าไม่มีการสงสัยในความเชื่อของข้าพเจ้าเลยว่าไม่ว่าจะเป็นความตาย หรือเป็นชีวิต หรือเป็นทูตสวรรค์ หรือเป็นเหล่าวิญญาณชั่ว หรือกำลังอำนาจใดๆ ก็ตาม หรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันนี้ ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ ภูเขาไฟ น้ำท่วม กันดาร ฝนไม่ตก 2.5 อะไรต่างๆ เหล่านี้ ไม่สามารถมาข่มขู่ ใช้คำนี้เลย สิ่งที่มันข่มขู่เราทุกวันนี้ กินอะไรก็เป็นพิษ อันนั้นก็แย่ อันนี้ก็แย่ ไปไหนไม่ได้แล้ว ไม่ต้องกลัวเลย และสิ่งที่ข่มขู่ และน่ากลัว ที่จะมีขึ้นมาอีกในอนาคต จะมีอีกนะ หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ ไม่ว่าจะมาจากคน มาจากประเทศ หรือมาจากวิญญาณก็ตาม หรือของสูง หรือของลึก ก็คือสติปัญญา หรือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นก็ตาม ไม่สามารถแยกเราขาดออกจากการเป็นหนึ่งเดียวกันกับความรักอันไม่มีลิมิต ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า ในพระคริสต์ได้เลย” เอเมน

เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเชื่อแล้ว อยู่ในพระเยซูแล้ว เกิดใหม่แล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไรแล้ว พระองค์จะเป็นผู้พาท่านไป สงบๆ นิ่งๆ อดทนไว้เท่านั้นเอง รอคอยด้วยความหวัง พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าพระหัตถ์ของพระองค์จูงมือเราแล้ว สำหรับบรรดาผู้คนที่ยังไม่มีพระเยซู ไม่มีพระเจ้ามาจูงมือ ก็ไม่ยาก พระคัมภีร์บอกว่าเปิดใจท่าน ต้อนรับสิทธิของท่านที่พระเยซูทำให้ แค่เปิดใจ เชื่อว่าพระเยซูมาไถ่บาปให้กับท่านจริงๆ  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน  พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้วจริงๆ เชื่อด้วยใจ แล้วก็พูดด้วยปาก อธิษฐานที่ไหนก็ได้ คนเดียวก็ได้ ไม่ต้องพูดก็ได้ ใช้นึกในใจก็ได้ แค่นั้นเอง เป็นการเปิดประตูโลกวิญญาณ พระเจ้าก็จะเข้าไปสถิตกับท่าน และท่านก็จะได้รับทั้งหมดเหล่านี้ ที่วันนี้ ผมพยายามอธิบายให้ท่านฟังอย่างชัดเจน พระเจ้าก็มาอยู่ข้างๆ ท่าน เดินไปด้วยกัน ความหวังเราคือชีวิตนิรันดร์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล บนโลกใบนี้ไม่ต้องห่วง  แม้มีความทุกข์ยากลำบากบ้าง แต่เดี๋ยวพระเจ้าพาผ่านไปเอง แล้วพาผ่านไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง เราจากโลกนี้ไปอยู่กับพระเจ้าถาวรนิรันดร์ มีสุขนิรันดร์ ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************