คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2019 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 3 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ธันวาคม  2019

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VSความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สัปดาห์ที่แล้ว เราเริ่มกันที่เรื่องแรกของซีรี่ย์ที่ใช้ชื่อว่า “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท” เราเริ่มกันที่เรื่องแรก คือความเชื่อในการทำตามพิธีที่ในปัจจุบันยังมีคริสเตียนหลายคน โดยเฉพาะคริสเตียนเก่าแก่ ที่ยังคงยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ที่ได้รับการสอนต่อๆ กันมา ที่เปาโลจะใช้คำนี้ ในเรื่องนี้ เพื่อเตือนสติให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย ตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว เปาโลใช้คำว่าเป็นปรัชญาอันไร้แก่นสาร ฟังดูดี ฟังดูเป็นปรัชญา แต่มันไร้แก่นสาร ซึ่งบันทึกไว้ในโคโลสี 2:8

โคโลสี 2:8 “จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสารและหลอกลวง ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้ แทนที่จะอาศัยพระคริสต์”

 

จับเป็นทาส ก็แสดงว่าเราเป็นไท ถูกไหม?  อย่าให้ใครมาจับเราไปเป็นทาส เพราะเราเป็นไทแล้ว นี่พูดกับใคร? พูดกับผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ก็สรุปได้ว่าการกระทำตามประเพณีเก่าแก่ ตั้งแต่โบร่ำโบราณไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักความจริงในพระคัมภีร์ทุกอย่างเสมอไป ดังนั้น เราต้องยึดมั่นในความจริงของข่าวดี เรื่องของการไถ่บาปของพระเยซู ในพระคัมภีร์เป็นหลักอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่สติปัญญาของมนุษย์ ไม่ใช่ตามตำนานเล่าขาน ที่สืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษ ผู้อาวุโส หรือผู้ที่น่าเชื่อถือ ตามสายตา ตามสติปัญญาของมนุษย์ อันนี้ชัดๆ ไม่ว่าตามสายตาของเรา หรือมนุษย์ทั้งหลายจะยกย่อง และน่าเชื่อถือแต่ถ้ามันไม่ตรงกับข่าวดีข่าวประเสริฐที่บันทึกไว้ มันไร้แก่นสาร มันไม่มีประโยชน์ ทำลายข่าวประเสริฐด้วยซ้ำไป พระเยซูตรัสว่าความจริงในข่าวประเสริฐจะทำให้เราเป็นไท

คำว่า “ต้อง” แปลว่ากฎ ต้องคือต้องทำ ถ้าไม่ทำ ก็โดน พระเยซูมาปลดปล่อยเราเป็นอิสระจากกฎ ก็คือมาปลดปล่อยเราจากการต้องทำอันโน้น ต้องทำอันนี้ ต้องไม่ทำอันโน้น ต้องไม่ทำอันนี้ ต้องอย่าทำอย่างนั้น ต้องอย่าทำอย่างนี้ “ต้อง” ก็คือการเป็นทาสนั่นเอง

ในหนังสือ 1 โครินธ์เปาโลก็บอกไว้แล้วว่ากฎ ระเบียบ มีอยู่ต้องเดียว ก็คือข้อบังคับของพระเจ้า  สำหรับผู้ที่เชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน ผู้เชื่อแล้ว คือต้องทำทุกอย่าง ด้วยความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ในการไถ่บาป เพื่อมนุษย์ทั้งปวง

ในหนังสือโรม บันทึกไว้อย่างนี้ เปาโลบอก มันเหลือต้องเดียว  และการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ (ในพระเยซูคริสต์ ในการไถ่บาปของพระองค์) ก็เป็นบาปทั้งสิ้น กฎทุกอย่างล้มเลิกหมด ถ้าไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้ช่วยให้รอดจากบาป ทำอะไรก็บาป เพราะยังไม่ได้เกิดใหม่ ชีวิตจริงๆ คือวิญญาณข้างใน ยังเป็นบาปอยู่ จะทำอะไรก็มาจากภายในวิญญาณของเรา ที่เป็นบาป มันก็บาปทั้งนั้น เหมือนที่พระเยซูเปรียบพวกฟาริสีที่มีความภาคภูมิใจในการกระทำของตัวเอง ในความชอบธรรมที่ตัวเองสร้างขึ้นว่าอย่างนี้ดี ทำตามกฎระเบียบ ที่พระเจ้าวางไว้ทั้งหมด แล้วบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เราได้ทำแล้วดี พระเยซูเปรียบฟาริสีนี้เหมือนหลุมศพ ฉาบปูนขาว หลุมศพ คือข้างใน มันตาย ข้างในมันเป็นบาป ข้างนอกฉาบปูนขาว ทำอย่างดี มันไม่มีประโยชน์ ตรงกันข้ามกับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่พึ่งการกระทำของตัวเอง ไม่พึ่งความชอบธรรมของตนเอง แต่พึ่งความชอบธรรมที่มาจากผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซู เขาคนนั้น ก็ได้รับการบังเกิดใหม่ ในวิญญาณ แก่นชีวิตของเขา ข้างในวิญญาณของเขาจริงๆ มันได้เกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ แล้วยังแถมมีจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้ ซึ่งสะอาด บริสุทธิ์ชอบธรรม ในพระคัมภีร์บอกเท่าๆ กันกับเปาโล ถูกไหม? ในวิญญาณเขาจะสะอาดหมดจด ปราศจากที่ตำหนิใดๆ เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ เท่าๆ กับพระเยซู

ตอนนี้ใครที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ใครที่เป็นคริสเตียนจริงๆ ท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์สะอาด เท่ากับพระเยซูเลย เราแน่ใจ เพราะได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนั้น เอเมน

“ชอบธรรมเท่ากับพระเยซูเลยเหรอ เมื่อเช้าขับรถมา ยังด่าเขาอยู่เลย”

“ไม่รู้ ในพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างนั้น ฉันก็เชื่ออย่างนั้น”

มันตรงกันข้ามกันกับผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นผู้ช่วยให้รอด เขาไม่ได้พึ่งการกระทำของตนเอง แต่เขาพึ่งในพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าทรงประทานให้ เพียงผู้เดียว คือพระเยซู มีทางเดียวเท่านั้น คือพระเยซู สะอาดหมดจดเท่ากับพระเยซู ภายนอกเราอาจจะทำอะไรก็ตาม แต่วิญญาณของเราจริงๆ เป็นผู้ชอบธรรม โดยธรรมชาติ ลักษณะชีวิตเรา ตัวตนจริงๆ เรา เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเยซู แต่นิสัย ความประพฤติของเรา มันไม่เหมือนพระเยซู มันแยกกัน พอเข้าใจไหม? ความเป็นตัวตนกับนิสัยมันไม่เหมือนกัน ผมพยายามที่จะหาทางอธิบายตรงนี้ให้ท่านเข้าใจ

การกระทำที่เป็นนิสัย ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ แท้ๆ ของเรา ยกตัวอย่าง อันนี้ท่านจะเห็นได้ชัดเลย ตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของเรา ใครเป็นผู้หญิงยกมือขึ้น? บางครั้งผู้หญิงก็แต่งตัวให้เหมือนผู้ชาย ทำท่าทางทะมัดทะแมง เล่นกล้าม กล้ามใหญ่มากเลย มีในยูทูปเยอะแยะ ถามว่าจะเล่นให้ตายอย่างไร ล่ำกว่านักเพาะกายผู้ชายเยอะขนาดไหน? เขาก็บอกว่าเขาเป็นผู้ชายนะๆ เขาก็เป็นเป็นผู้หญิงอยู่ดี เพราะว่าธรรมชาติการเกิดของเขาเป็นผู้หญิง ใครจะเป็นอะไร? มันเป็นอยู่จากการเกิดมาเป็น ถูกไหม? ถ้าเป็นผู้ชาย ก็เป็นผู้ชายตั้งแต่เกิด  ไม่สามารถเกิดเป็นผู้หญิง แล้วมาทีหลัง ทำนิสัยให้เป็นผู้ชาย ไม่มีทาง อันเดียวกันกับตะกี้นี้ ถ้าเกิดใหม่ในพระเยซู เป็นคริสเตียนแล้ว มันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ พระเยซูชำระเรียบร้อยแล้ว แต่ภายนอกอาจจะทำอะไรบางอย่างที่มันสกปรกอยู่ ไม่ใช่ตัวตนแท้จริงของเรา เอเมน มีความหวังแล้ว ยิ้มหลายคนเลยนะ เปาโลจึงบอกไว้อย่างนี้ว่านี่คืออิสรภาพ ในการเชื่อในพระเยซู นี่คือข่าวดีของพระเยซู ข่าวดีที่เปาโลปกป้องไว้ ห้ามไม่ให้ใครมาลบล้าง หรือทำลาย หรือทำให้มันด้อยลง ใน 1 โครินธ์ 10:23 บอกไว้อย่างนี้ชัดเจน

1 โครินธ์ 10:23 “เราได้รับอนุญาต (มีอิสระเสรีภาพ ) ให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

“เราได้รับอนุญาต” ก็แปลว่าเรามีอิสระเสรีภาพในพระเยซูคริสต์ ที่จะทำอะไรทุกสิ่งได้ ไม่บาปอีกต่อไป เพราะว่าวิญญาณข้างในมันสะอาดหมดจด เปาโลก็บอกไง ไปคิดไตร่ตรองเองแล้วกันว่าสิ่งที่เราทำ มีประโยชน์ไหม? สร้างสรรค์ไหม?  มันมีโทษ ไม่สร้างสรรค์ ไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไม่สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า  เราเป็นลูกของพระเจ้าที่มีวิญญาณ และมีจิตใจที่เหมือนพระเยซูแล้ว เราทำอะไรไป มันสมไหม? เราเป็นสุภาพสตรี ควรรจะเป็นกุลสตรีไหม? กุลสตรีไทย ควรจะอ่อนช้อย เรียบร้อย สมกับเป็นกุลสตรีหน่อย ทำอะไรแข็งกระด้าง ไม่สมกับเป็นกุลสตรีเลย  เคยได้ยินใช่ไหม? โบราณ คนไทยชอบว่าลูกสาว ทำอะไรอย่ากระโดกกระเดก เหมือนผู้ชาย เป็นผู้หญิง ทำอะไรให้มันนุ่มนวล พูดจาให้มันอ่อนหวานหน่อย

ในทำนองเดียวกัน เราเป็นลูกพระเจ้า เกิดใหม่ รู้จักทำอะไรให้มันดีๆ หน่อย ทำอะไรให้มันสมกับเป็นลูกพระเจ้าหน่อย ถวายเกียรติแด่พ่อเราหน่อย ไม่ใช่ทำอะไรอย่างนี้ แต่การกระทำนั้น ไม่สามารถทำให้เรากลายเป็นลูกมารได้ เราเป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นลูกพระเจ้า เอเมน นี่ชัดเจน  เรามีอิสรภาพในการทำ แต่มาคิดดูว่ามันสร้างสรรค์ มีประโยชน์ไหม? ให้เกียรติต่อพ่อของเราหรือเปล่า? แล้วก็พยายามที่จะทำสิ่งที่สร้างสรรค์เกิดประโยชน์ ให้โทษน้อยที่สุดกับตัวเอง และผู้คนรอบข้าง แค่นี้เอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความรอด ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวตนจริงๆ ที่เรา เป็นลูกของพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้เราจะเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์แล้ว ก็ตาม ก็ทำอะไรให้มันมีประโยชน์ ให้มันเป็นที่ถวายเกียรติ และการมีประโยชน์นั้น มันทำให้ชีวิตเราบนโลกใบนี้ มีความสุขมากขึ้น ลำบากน้อยลงนั่นเอง หลายสิ่งหลายอย่าง พระเจ้าก็สอนในพระคัมภีร์ แนะนำเราว่าเมื่อเรามาเชื่อแล้ว เราควรทำอย่างไร? เพื่อจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีความสุข แต่มิได้หมายถึงว่ามาสั่งเราว่าต้องทำอันนั้น ต้องทำอันนี้ เรามีอิสรภาพแล้ว เพียงแต่มาแนะนำแนวทางว่า …

“ลูกทำอย่างนั้น ลูกทำอย่างนี้ แล้วจะมีความสุข ยังไงลูกก็เป็นลูกของพ่ออยู่แล้ว”

พระเจ้าแนะนำอะไร? ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น จงให้เกียรติบิดามารดา จงมีความกตัญญูต่อพ่อแม่  เจ้าจะได้ไปดีมาดีบนโลกใบนี้ เจ้าจะได้พระพร เจ้าจะได้ดี แล้วถ้าเราไม่ให้เกียรติบิดามารดา เราตกนรกเหรอ? ไม่ใช่ แต่เราจะเหมือนตกนรก อยู่บนโลกใบนี้ มันไม่ได้พระพร

หรือพระเจ้าบอกว่าถ้าเราโกรธใคร? มีความขุ่นเคืองใคร? ทะเลาะกัน ไม่ว่าใครถูกใครผิดก็ตาม ก่อนตะวันตกดิน ให้เราเคลียร์ซะ คืนดีกันซะ คำว่า “คืนดี” ไม่ต้องวิ่งไปหาเขา ไม่ต้องโทรศัพท์ไปหาเขา ให้เราเคลียร์ออกจากสมองซะ ก่อนตะวันตกดิน ปัจจุบันเขาก็รู้ ก็บอกแล้ว ก่อนจะนอนให้มันเคลียร์ ไม่ใช่นอนไป โกรธไป มันหลับไม่สนิท ฝันร้ายอีกต่างหาก สุขภาพเสื่อมโทรม มันไม่ได้เกี่ยวกับการตกนรกหรือไม่? ไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณเราเลย แต่มันเกี่ยวกับความสุข ชีวิตของเราบนโลกใบนี้ต่างหาก หรือสอนเราว่า …

“ลูกเอ่ย อย่ารักเงินทอง”

“อย่าโลภนะ”

ถ้าเราโลภ เราจะหลุดจากการเป็นลูกพระเจ้าไหม? ไม่เป็น แล้วเราโลภ เราจะตกนรกไหม?  ไม่เป็น แต่เราเหมือนตกนรกเลย เพราะเราจะเป็นหนี้เป็นสินเขา ก็เพราะความโลภของเราทั้งนั้นแหละ เราจะอยู่ห่างจากพระเจ้ามาก เพราะเรารักเงินเยอะ อะไรอย่างนี้ ยกตัวอย่างให้ฟัง เราจะได้เห็นชัดเจนว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าสอนเรา เพื่อให้มันเกิดผลดี ไม่ใช่สั่งเราต้องทำอันนั้น ต้องทำอันนี้ เพราะข่าวดีของพระเจ้า คือพระองค์ทรงปลดปล่อยเราเป็นอิสรภาพแล้ว เราไม่ได้เป็นทาสอะไรอีกต่อไป กฎต่างๆ เหล่านี้ จะต้องทำอันนั้น จะต้องทำอันนี้ สิ่งเหล่านี้ มันควรจะรักษาไว้ เพื่อรักษาข่าวดีของพระเจ้า  ไม่อย่างนั้น ข่าวดีมันจะถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆ จนในที่สุด พระเยซูทำหรือไม่ทำ มีค่าเท่ากัน เรายังต้องมาทำอยู่ ทำความชอบธรรมให้ตนเอง อย่างนี้เป็นต้น

หรือยกตัวอย่างอันหนึ่ง ง่ายๆ พระเยซูบอกว่าการทำมหาสนิท กินขนมปังและดื่มน้ำองุ่น พระเยซูบอกว่าจงกระทำเช่นนี้ เพื่อระลึกถึงเรา ถ้าเราไม่กระทำ เราหลุดจากการเป็นลูกพระเจ้าไหม? เราเป็นคริสเตียนแล้ว ไม่หลุด เป็นลูกพระเจ้า ก็เป็นลูกแล้ว แต่พระเยซูกำลังสอนเราว่าถ้าทำตรงนี้ มันเป็นประโยชน์ต่อเจ้าว่าจงระลึกถึงสิ่งที่เราได้กระทำให้กับเจ้า ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวเจ้าลืม ก็คือเราได้ตาย ขนมปัง คือร่างกายที่แตกหัก เราได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน หลั่งโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเจ้า เจ้าไม่มีบาป เจ้าเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยแล้ว โดยการกระทำของเรา ไม่ใช่การกระทำของเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าจะพลาดไปทำอะไรก็ตาม แต่เจ้าเชื่อในเรา เจ้าก็เป็นผู้ชอบธรรมอยู่ดี ไม่มีบาปอยู่ดี เอเมน ไม่อย่างนั้น พอเราเดินไป เราไม่ทำการระลึกถึงอย่างนี้บ่อยๆ เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถูกหลอก ก็เห็นอยู่กับตาว่าทำบาป แล้วยังจะบอกว่าเป็นผู้ชอบธรรมอีก อย่างนี้ก็ดีสิ เป็นคริสเตียนก็ดี ทำชั่วอะไรก็ได้ แล้วบอกว่าพระเจ้าไถ่บาปให้ เราก็จะถูกโลกนี้ ปัญญาอะไรต่างๆ ที่น่าเชื่อถือ หลอกลวงเรา ทำให้เราไขว้เขว งง เราก็จะมีชีวิตอยู่ ที่มีความทุกข์ แม้ว่าเป็นลูกพระเจ้าที่รอดแล้วก็จริง แต่เราจะมีความทุกข์ ฟ้องผิด และเราจะเป็นคนทำลายข่าวประเสริฐด้วยชีวิตของเรา เพราะเราทำให้ข่าวประเสริฐด้อยลง

หรือแม้แต่ถวายสิบลดอย่างนี้  จำเป็นต้องถวายไหม? ไม่ต้อง แต่มันมีประโยชน์นะ มันสร้างสรรค์ไหม? ถวายสิบลด ก็คือตรงกันข้ามกับโลภ รักเงินและทอง ยิ่งทำตามพระเยซู มากขึ้นเท่าไร? ก็ยิ่งจะมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ทำตามน้อย ก็มีความสุขน้อย แค่ไม่รักเงินทองเฉยๆ มันก็เริ่มให้ ยิ่งไม่รักเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระเยซูกำลังจะบอกเราทางอ้อมทางตรง ทุกอย่างว่ามันมีความสุขมากนะ ก่อนพระเยซูมาอยู่ในกฎ ถูกบังคับว่าจงถวายสิบลด 10% เท่านั้นเอง แต่พอมาอยู่ในพระเจ้า พระเยซูคริสต์บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ได้อยู่ในกฎนี้อีกต่อไป ใน 2 โครินธ์บอกไว้ว่าจงให้ด้วยใจยินดี และคิดหมายไว้อยู่ในใจ แล้วพระเจ้าจะจัดเตรียมทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นพระพรนานานับประการ ทุกด้านของชีวิต ให้กับท่าน มากกว่าอีก เห็นไหม? ไม่ได้ใส่ 10% แล้วนะ อาจจะ 50% อาจจะเป็น 100% ขึ้นอยู่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาท่านในวิญญาณของท่านนั่นแหละ ที่เกิดใหม่นั้น เห็นหรือยัง? อะไรมีความสุขกว่า

สิ่งเหล่านี้ควรจะมานั่งคิดดีๆ หรือแม้กระทั่งมาโบสถ์วันอาทิตย์ เขาเรียกวันสะบาโต ไม่ต้องไปบังคับว่าต้องมาโบสถ์ ไม่ต้องแล้ว แต่ถามว่ามันเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ มันสร้างสรรค์หรือไม่สร้างสรรค์ การมารวมกันอยู่ ในสถานที่ชุมนุมของผู้เชื่อ ในทุกอาทิตย์ มันมีประโยชน์ต่อชีวิตเราบนโลกใบนี้ หรือมีโทษ  ท่านไปคิดดู มันมีประโยชน์มากมายมหาศาลเลย ได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า ได้ยินเสียงเพลงเกี่ยวกับพระเจ้า ได้ร่วมร้องเพลงกับเขา เขาเล่นดนตรี เราอยู่บ้าน เราก็เล่นดนตรีไม่ได้ ร้องเพี้ยนไปเพี้ยนมา ไม่ค่อยมัน แต่ก็ยังดี มาที่นี่ได้รับเพลงใหม่ ไปหัดร้องต่อที่บ้าน ไม่อย่างนั้น มันเบื่อแหละ อะไรอย่างนี้ และแถมได้ฟังคำหนุนใจ ออกไปได้เจอพี่น้องทักทายกัน อยู่ในโลกของความเชื่อ เสริมสร้างความเชื่อซึ่งกันและกัน ถามว่ามันสร้างสรรค์ไหม? สร้างสรรค์ ควรทำไหม?  ควรทำ แล้วถ้าไม่ทำล่ะ ท่านก็ไม่ได้พระพรตรงนี้ นึกออกไหมว่าไม่มีการบังคับแล้ว เพียงแต่แนะแนว แนะนำให้ พระเจ้าเป็นพ่อเรา แนะนำดีกว่า หรือแม้แต่การเฝ้าเดี่ยว ในแต่ละวัน อธิษฐานในแต่ละวัน ในพระคัมภีร์พูดเสมอว่าจงอธิษฐาน  เขาบอกกันว่าถ้าเป็นผู้เชื่อแล้ว อย่างน้อย แต่ละวัน ควรจะมีเวลาเฝ้าเดี่ยว

เฝ้าเดี่ยว แปลว่าอยู่คนเดียวกับพระเจ้า อธิษฐานกับพระเจ้า  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม อย่างน้อยวันละสัก 15 นาที

“15 นาทีเยอะ งานฉันยุ่งมากๆ เลย”

เขาก็เลยบอกว่าปกติคนเรา ควรจะมีเวลาสัก 15 นาที ในการเฝ้าเดี่ยว ในการคุยกับพระเจ้า ในการอธิษฐานกับพระเจ้า ในเรื่องอะไรต่างๆ แล้วชีวิตจะมีความสุข ความสุขนะ ไม่ใช่สันติสุข เผชิญกับโลกใบนี้ได้ ซึ่งมันวิปริต มันเสียหายจากการกระทำของมาร ยุ่งวุ่นวายไปหมดแล้ว เอาอะไรแน่กับโลกใบนี้ไม่ได้เลย สักอย่างหนึ่ง แต่ท่านเข้าไปหลบ ลี้ภัยอยู่ในพระเจ้า โดยการอธิษฐานได้ อย่างน้อยวันละ 15 นาที คิดว่าดีที่สุดแล้ว ท่านบอกว่ายุ่งมาก งานเยอะมาก อันนั้นก็ต้องทำ อันนี้ก็เป็นภาระ ผู้เชี่ยวชาญเลยบอกว่า …

“ถ้าคุณคิดว่าคุณมีภาระยุ่งวุ่นวายมาก คุณควรจะมีการอธิษฐานเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้าอย่างน้อย แทนที่จะ 15 นาที ก็เป็นครึ่งชั่วโมง”

แล้วถ้าคุณบอกไม่มีเวลาเลย  ถ้าไม่มีเวลาเลย คุณควรจะ ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าวันละ 1 ชั่วโมง คือมันจำเป็น  แล้วถ้าคุณไม่ทำตาม คุณตกนรกไหม? ไม่ตก ถ้าคุณไม่ทำตาม คุณก็ยังเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ แต่เป็นลูกของพระเจ้าที่ขึ้นสวรรค์ แบบเหมือนรอดด้วยไฟ ไม่มีความสงบ ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง พระเจ้าเป็นที่ยึดมั่น เป็นป้อมปราการ เป็นที่พักพิง พึ่งพิงแห่งเดียวของเรา

สรุปแล้ว ควรอธิษฐานไหม?  แล้วในนี้มีกี่คนที่อธิษฐาน? เราเป็นอิสระแล้วก็จริง แต่มันมีสติปัญญา ที่พระเจ้าบอกเราว่าไม่ต้องแล้ว แต่ …

“ลูกเอ่ย ทำอย่างนี้มันดีสำหรับเจ้า เจ้ารอดแล้วล่ะ เจ้าอยู่ในมือเราแล้ว อยู่ในคอกของเรา ไม่มีใครเอาเจ้าออกไปจากความรอดนี้ได้แล้ว เจ้าเป็นลูกของเราแล้ว แต่สมกับเป็นลูกของเราหน่อย ให้มีสันติสุข ให้มีความสุข ชนะทุกอย่างบนโลกนี้ ด้วยวิธีการนี่แหละ ไม่ใช่ด้วยตามใจเจ้า เพราะตามใจเจ้า ไม่ได้หรอก เพราะโลกนี้มันวิปริต มันผิดไปแล้ว กิเลสตัณหาของเจ้ามันคอยฟังระบบของโลกนี้ตลอด พระเจ้าที่อยู่ข้างในเจ้า จะเป็นคนทำ เจ้าจะได้ยินได้อย่างไร ถ้าเจ้าไม่ใช้เวลาในการอธิษฐาน ในการเฝ้าเดี่ยวกับพระเจ้า”

นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เริ่มต้นทำกันเยอะขึ้น แน่นอน เหมือนถูกโวยวาย พระเจ้าไม่ว่า พระเจ้ารักเรานะ ถึงมาเตือนเราอะไรต่างๆ เหล่านี้  พูดออกนอกเรื่องไปนิดหนึ่ง

กลับมาเรื่องนี้ มาดูกันต่อกับเรื่องความเชื่อเก่าแก่ ที่ไม่ตรงกับข่าวดีของพระเยซู ตามที่มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ วันนี้ก็เป็นตอนที่ 3 เป็นเรื่องของความเชื่อที่สอนกันมานานมากแล้ว ที่บอกว่าเมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ต้องหมั่นฝึกฝนให้ความเชื่อเพิ่มพูนขึ้น

เคยได้ยินไหมครับคำสอนจากคริสเตียนอาวุโสกว่าเราบอกว่า … ต้อนรับพระเยซูแล้ว ต้องหมั่นฝึกฝนตัวเอง พยายามกระทำให้มีความเชื่อเพิ่มพูนขึ้นทุกวันนะ เคยได้ยินใช่ไหม?  ต้องพยายามทำตัวให้เป็นคริสเตียนที่สมบูรณ์แบบ ต้องพยายามทำอุปนิสัยตัวเองทุกอย่างให้เป็นผู้ชอบธรรมที่สมบูรณ์แบบในสายพระเนตรของพระเจ้า ย้ำอีกที “สมบูรณ์แบบในสายพระเนตรของพระเจ้า” ต้องพยายามให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เพิ่มเติมในชีวิตของท่าน ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานเต็มที่ ในวิญญาณของท่าน เคยได้ยินใช่ไหม? พอเราไม่ได้อะไรสักอย่าง เขาก็บอกว่า ….

“ความเชื่อไม่พอ ต้องเพิ่มความเชื่อเข้าไปอีก”

พอเราป่วยขึ้นมา “ความเชื่อไม่พอ สร้างความเชื่อขึ้นมาสิ มันจะได้หายป่วย”

ทุกอย่าง ภาระตกมาที่เราหมดเลย เราต้องรับผิดชอบหมด มาดูว่าพระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร?  โคโลสี 2:9-10

โคโลสี 2:9-10 “9 เพราะในพระคริสต์ พระลักษณะทั้งสิ้นของพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์  ในพระกายของพระองค์  10  และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์  ผู้ทรงเป็นศีรษะเหนือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ  และเทพผู้ทรงอำนาจทั้งสิ้น

 

ตั้งใจฟังนิดหนึ่งนะ “ในพระคริสต์” คำว่า “พระกายของพระองค์” คือพระลักษณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า คือพระเจ้าเต็มรูปแบบเลย ดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในร่างกายของพระเยซูคริสต์ … และต่อด้วย … และท่าน … ท่านตรงนี้ คือผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซู พูดง่ายๆ ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่วางใจในการไถ่บาปของพระเยซู และท่านได้รับความบริบูรณ์ในพระคริสต์ … แสดงว่าความบริบูรณ์ของพระเจ้า อยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว ตอนที่เรามาเชื่อพระเจ้าและต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นึกถึง เรารับด้วยปาก เชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ ที่พระบิดาทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง เพื่อไถ่บาปและเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ไม่รู้เมื่อไร ที่เราเชื่อจริงๆ ณ นาทีนั้น เราได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง ในฐานะที่ผู้เชื่อควรได้รับ ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ครบเลย ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา เปาโลบอกว่า …

“ท่านไม่รู้เหรอว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่”

ไม่ใช่ว่ามาเป็นคริสเตียนแล้ว  เชื่อแล้ว ค่อยมาพยายามปฏิบัติ ให้ชีวิตครบถ้วนบริบูรณ์ทีหลัง เห็นไหม? มันต่างกันกับที่เขาสอนกันมา ไม่จำเป็นต้องมาเพิ่มพูนพระวิญญาณทีหลัง เมื่อท่านบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อในข่าวดี ท่านได้รับพระพรนานาประการทางฝ่ายวิญญาณครบถ้วนสมบูรณ์แบบ เรียบร้อยไปแล้ว ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ฮาเลลูยา เราจึงไม่จำเป็นต้องแสวงหาพระพรฝ่ายวิญญาณอะไรเพิ่มเติมอีก เพราะเรามีครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่ขาดอะไรเลย

สมมติว่าเรามีลูกสัก 50 คน คนโตคลอดออกมา เขาก็เป็นลูก เขาก็อยู่ในบ้านของเรา ทรัพย์สมบัติของเรา ก็เป็นของเขาหมด เราทำมรดกให้เขาหมด มาเมื่อวานนี้ มีลูกคนที่ 50 เพิ่งเกิด เขาก็เป็นลูกเรา เขาก็ได้รับทั้งหมดเลย มรดกที่เราเตรียมไว้ให้เท่ากันกับคนแรกเลย ยกตัวอย่างว่าคนที่เชื่อพระเจ้ามาแล้ว  เป็นคริสเตียนมาก่อนหน้านั้น ได้รับอะไร เมื่อตอน 50 ปีที่แล้ว คนนี้รับเชื่อแล้ว วินาทีที่ท่านเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูตอนนี้ ท่านก็ได้รับเท่ากันกับคนที่อายุ 50 เท่ากันหมด เอเมนไหม? รับในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า ไม่มีคำว่าลูกคนนี้ก่อน ลูกคนนี้หลัง พระเจ้าให้เท่ากันหมดเลย เอเมน เพราะให้ในฐานะเป็นลูก

เรากำลังคุยกับในเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งสิ้น เรื่องความเชื่อและความรอดทางวิญญาณ ท่านไม่ต้องทำอะไรมากกว่านี้อีกเลย ไม่ต้องฝึกฝนอะไรอีกเลย ไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกเลย เพราะทุกอย่างมันครบถ้วนบริบูรณ์ สำเร็จแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเปิดใจ ต้อนรับ ใช้สิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำที่ไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เอเมน พอท่านรับเชื่อจริงๆ ปุ๊บ ท่านได้ถูกทำให้ตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และลงไปอยู่ในนรก อยู่ในหลุมศพกับพระเยซูคริสต์ และวันที่ 3 พระองค์ได้ชุบให้พระเยซูคริสต์และตัวท่านที่อยู่ในพระเยซู เป็นขึ้นจากความตาย  เกิดเป็นลูกของพระเจ้า ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่าบัพติศมา

พอท่านเชื่อปุ๊บ พระเจ้าได้เอาวิญญาณของท่าน บัพติศมา จุ่มลงไปในพระเยซูคริสต์ วิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน พอพระเยซูตายที่ไม้กางเขน ท่านก็เลยตายด้วย พอพระเยซูอยู่ในหลุมศพ ท่านก็อยู่ด้วย พอพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ท่านก็เป็นด้วย พอพระเยซูนั่งอยู่ในสวรรคสถาน ในขณะนี้ ท่านก็นั่งด้วย นั่นแหละ อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่าง คำว่า “ในพระเยซูคริสต์” หมายถึงอย่างนี้

สมมติว่านี่เป็นวิญญาณของเรา ที่เป็นบาป นี่พระเยซู พระเจ้าบอกว่าพระองค์มาเคาะประตู เคาะหัวใจเราตลอด เปิดใจๆ เถิด เปิดใจต้อนรับพระเยซู คือต้อนรับข่าวดีของพระเยซูว่าเป็นจริง พอรับเชื่อทันทีปุ๊บ ในโลกวิญญาณ วิญญาณตัวนี้ พระเจ้าจับใส่เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน แล้วก็ลงไปอยู่ในนรก วันที่สาม พระองค์ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ถูกยกขึ้นอยู่สูงสุด เหนือเทพใดๆ เหนืออาณาจักร เหนือฤทธิ์เดชอำนาจใดๆ ทั้งหมดเลย อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เบื้องขวา ก็คือเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบฤทธิ์เดชอำนาจทั้งหมด ทั้งในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี อยู่ที่พระองค์ และท่านอยู่ในนี้ด้วย ถ้าเรารู้ความจริงเหล่านี้ ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เพราะฉะนั้น ในเรื่องความรอดในวิญญาณ ท่านไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว

มีคำสอนแบบโบราณๆ เขาว่ามา ซึ่งไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า บางคนบอกว่ามาเชื่อพระเยซูแล้ว ต้องรอเวลา ให้ได้รับพระวิญญาณเพิ่มขึ้นก่อน แล้วจึงมีประสบการณ์กับพระเจ้าเต็มที่ ได้รับพระพรเต็มที่ ฟังดูดี มีหลักการ น่าจะเป็นอย่างนั้น คนที่เริ่มเชื่อใหม่ๆ ยังอธิษฐานน้อยมาก ยังไม่เคยออกไปประกาศเลย จะมีประสบการณ์กับพระเจ้าเท่ากับผู้ที่เชื่อ รับใช้มาเป็น 10ๆ ปีได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้ ต้องรอให้พระวิญญาณเต็มที่เสียก่อน No เลย มันไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ตรงนั้น มันคือทางกาย ทางนิสัย  ทางความประพฤติ ไม่ใช่ความรอดทางวิญญาณ ทางวิญญาณมันครบถ้วนบริบูรณ์ไปแล้ว แต่ในทางนิสัยใจคอ มันยังต้องฝึกฝน พระวิญญาณก็จะนำเรา ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง อย่างเช่น คนที่เคยโกรธ หลับไปทั้งโกรธ ตะกี้ที่ผมพูดเรื่องควรจะเคลียร์ความบาดหมางอะไรต่างๆ ก่อนตะวันตกดิน เริ่มเข้าใจแล้ว เย็นนี้เริ่มต้นอธิษฐาน แล้วก็เริ่มต้นเคลียร์ ไม่โกรธใครดีกว่า เดี๋ยวมันเป็นโทษกับตัวเอง ไม่ได้รักเขาหรอก รักตัวเองนั่นแหละ ไม่โกรธเขาดีกว่า อธิษฐานขอพระเจ้าอวยพร หลับสบาย ได้ดีขึ้น เห็นไหม?

นี่คืออุปนิสัยใจคอ ซึ่งยังคงพัฒนาอยู่ แต่ทางวิญญาณ ทางความรอดไม่ต้องพัฒนาแล้ว มันจบแล้ว เป็นหน้าที่ของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ บัพติศมาเราด้วยไฟ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไป ให้เราเกิดใหม่ เราเป็นลูกของพระองค์ สะอาดบริสุทธิ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่าง แต่นิสัยข้างนอก เดี๋ยวค่อยๆ ปรับไป แล้วพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือพระเยซูจะนำเราไป  เคยได้ยินบ่อยๆ เราร้องเพลงอยู่เรื่อยๆ

“พระหัตถ์พระองค์ ทรงจูงมือข้า”

แล้วพระเยซูก็จะเสียบป้ายลงไปในพวกเราผู้เชื่อทั้งหลายว่า …

“ลูกเราคนนี้ น้องเราคนนี้เขากำลังถูกสร้างอยู่ เขาทำอะไรผิดพลาดไป ก็ขออภัยนะ”

มาดูถ้อยคำในเอเฟซัส 1:3-5 อันนี้ยิ่งย้ำชัดเจนใหญ่เลย

เอเฟซัส 1:3-5 “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณ นานัปการในพระคริสต์ แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน 4 เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก ให้บริสุทธิ์ ปราศจากที่ติ ในสายพระเนตรพระองค์ด้วยความรัก 5 พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์”

 

พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ให้บริสุทธิ์ ปราศจากที่ติ ในสายพระเนตรของพระองค์ ด้วยความรัก พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์ พระองค์ทรงเลือกเราให้อยู่ในพระคริสต์ เป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดหมดจดในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่ต้องไปฟังใครแล้ว สายตาของพระเจ้ามองเรามา สะอาดหมดจด บริสุทธิ์เลย บางคนบอกว่าพระเจ้ามองเราบริสุทธิ์ เพราะว่ามองผ่านพระเยซู ไม่ใช่ มองตัวเราบริสุทธิ์เท่าพระเยซูเลย ถ้อยคำที่สำคัญอยู่ข้อ 4 ที่บอกว่า … พระองค์คือพระเจ้าได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกอีก และในข้อที่ 5 บอกว่า … พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ … แผนการตั้งแต่ก่อนสร้างโลกแล้วว่าเราจะเป็นลูกของพระองค์ ที่สะอาดหมดจดเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย จะย้ายเรามาอยู่ในสวรรค์ คือในพระคริสต์ เตรียมมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่าเราจะเป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระเจ้า เราจะเป็นบุตรของพระเจ้า โดยผ่านทางพระเยซู เพราะความบาป ทำให้เราทำเองไม่ได้ครบ 100 แน่นอน เพราะฉะนั้น ต้องผ่านทางพระเยซูเท่านั้น

คำว่า “ผ่านทางพระเยซู” ก็คือผ่านทางความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าพระเยซูคริสต์ คือผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และพระเจ้าได้ยกพระองค์ ให้นั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน และข้อสำคัญ คือพระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ประกาศด้วยตัวของพระองค์เองที่ไม้กางเขน เมื่อวันศุกร์ ตอนบ่าย 3 โมงว่า … “สำเร็จแล้ว” … ทั้งหมดนี้ ที่พระเจ้าบอก ที่เราอ่านกันนี้ ที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็นลูกของพระองค์อะไรต่างๆ เหล่านี้ พระเยซูบอกว่ามันสำเร็จแล้ว ถ้าตามสายตายมนุษย์ คือสำเร็จแล้วมา 2,000 ปี เพราะกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าเรามีสิทธิ์ที่จะได้รับคุณสมบัติเหล่านี้ คือได้เป็นผู้บริสุทธิ์ สมบูรณ์ครบถ้วน ปราศจากที่ติในสายพระเนตรของพระเจ้า ได้เป็นบุตรของพระเจ้า โดยพระคุณของพระองค์ ไม่ใช่การกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เอเมน และสิทธิ์นี้จะเกิดผลได้ โดยผ่านทางการยอมรับในการกระทำของพระเยซู ผ่านการยอมรับในขบวนการที่พระเจ้าวางไว้ คือให้เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้ เพียงผู้เดียวเท่านั้น พูดอีกครั้งหนึ่ง เพียงทางเดียวเท่านั้น พระเยซูจึงบอกว่าเราเป็นทางนั้น ท่านทั้งหลายจะไปหาพระบิดา คือจะไปสวรรค์ได้ มีทางเราทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่นใดเลย และทันทีที่ผ่านทางความเชื่ออย่างนี้ ยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจในพระเยซูคริสต์อย่างนี้แล้ว ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบแล้ว โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะพระเยซูทำให้แล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่มีการตายอีกต่อไป ไม่มีใครเอาลูกพระเจ้าออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจใหญ่ขนาดไหน? สติปัญญาขนาดไหน? ไม่มีใครสามารถมาเอาพวกเรา ลูกของพระเจ้า ที่เชื่อในพระองค์แล้วออกไปจากในพระคริสต์นี้ได้เลย พระเยซูบอกว่าไม่มีใครเอาแกะที่อยู่ในคอกของเราออกไปได้เลย ไม่มีทางเลย

เพราะฉะนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาพระพรฝ่ายวิญญาณเพิ่มขึ้น ถูกไหม? ใครจะมาหลอกเราไม่ได้แล้ว ฝ่ายวิญญาณ เรามีพรเต็มที่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ไม่ต้องรอรับพระวิญญาณ เพราะพระวิญญาณมาสถิตอยู่กับเราแล้ว ตั้งแต่วินาทีแรก ที่เรารับเชื่อแล้ว เป็นผู้มาบัพติศมาเราด้วยไฟ ยิ่งกว่านั้นอีกต่างหาก ตั้งแต่นาทีที่เรารับเชื่อ และได้บังเกิดใหม่  ถ้าเราไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะบังเกิดใหม่ได้อย่างไร?  การบังเกิดใหม่ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์บัพติศมาเราด้วยไฟ คือพระเจ้าจุ่มเราลงไป บัพิตศมา แปลว่าจุ่มลง จุ่มลงไปในวิญญาณของพระเจ้า  จุ่มและให้เราบังเกิดใหม่ทันทีเลย เปลี่ยนแปลงวิญญาณเราที่สกปรกโสโครกให้กลายเป็นสะอาดหมดจด บริสุทธิ์เลย เขาเรียกว่าบัพติศมาด้วยไฟ คือฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ย้ายเรา เปลี่ยนแปลงเรา เขาเรียกว่าคอนฟอร์ม ทรานฟอร์ม เปลี่ยนรูปร่างจากวิญญาณหงิกๆ งอๆ ผ่านทางไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปลี่ยนเราเป็นรูปร่างที่ดีขึ้น เป็นลูกของพระเจ้าที่มีสง่าราศี ไม่มีที่ติใดๆ เลย ไม่มีบาป ไม่มีสิ่งสกปรกใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว และท่านเป็นอย่างนั้นแล้วตอนนี้ เพราะท่านเป็นผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เอเมน

โรม 8:9-10 ”9 อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป แต่โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ 10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน  กายของท่านก็ตายไป  เพราะบาป  ถึงกระนั้น จิตวิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม”

 

ขอบคุณพระเจ้า ทางฝ่ายวิญญาณ ในเรื่องของความเชื่อและความรอด เราไม่ต้องทำอะไรอีก ไม่ต้องรออะไรอีก และทางฝ่ายวิญญาณ ความรอด ไม่มีตรงกลาง ไม่มีว่ามีพระเยซู แต่ยังไม่ได้รับพระวิญญาณ หรือมีพระเยซูแล้ว แต่ยังทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มี ความเชื่อแบบนี้ คือที่เราใช้คำว่าความเชื่อเก่าแก่ ที่ไม่ถูกต้องตามข่าวดีของพระเยซู ที่ควรจะถูกลบล้างออกไป และแทนที่ด้วยความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ที่จะทำให้เราเป็นไท พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่ขาดตกบกพร่องในสิ่งใดๆ เลย ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งใดมาเพิ่มเติมอีกแล้ว เพื่อให้เราสมบูรณ์มากขึ้นกว่านี้อีก เราเป็นลูกของพระเจ้าที่สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้เป็นลูกมากขึ้น แต่ถ้าทำดี พ่อก็ชื่นใจ ต่อให้ทำไม่ดี ก็เป็นลูก เหมือนบุตรน้อยหลงหาย เป็นลูก ก็คือเป็นลูก ไม่ต้องไปสนใจว่าลูกแย่ ลูกทำอะไรผิด พ่อไม่ได้คิดเลย ลูกกลับมา ดีใจ เพราะเขาเป็นลูกเรา ไม่ใช่ว่าอ๋อ! หนีออกจากบ้านไปเหรอ ตัดขาด ไม่ใช่เป็นลูก ตัดไม่ได้ เขาเป็นลูกโดยสายเลือด นี่คือสายเลือดของพระเจ้า โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ให้กำเนิดเรา

ดังนั้น เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า เราจึงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องมีในพระคริสต์ ในวิญญาณ เรียบร้อยแล้ว สิ่งเหล่านี้มาพร้อมกันกับการรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ด้วยการต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป ในชีวิตของเรา คือได้บังเกิดใหม่นั่นเอง คุณสมบัติแบบสมบูรณ์แบบอย่างนี้ เราได้รับทางเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ความพยายาม ไม่ใช่การกระทำ ไม่ใช่ตั้งใจจะมีความประพฤติที่ถูกต้อง ไม่ใช่ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นดีหมดนะ แต่ทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เรามีคุณสมบัติครบถ้วนบริบูรณ์อย่างนี้ และสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาลได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือการบังเกิดใหม่ในพระเยซู โดยพระเจ้าเท่านั้น ตัวนี้จึงเป็นตัวสำคัญมาก ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเราเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่โดยการบังเกิดใหม่เท่านั้น เราจะได้รับสิ่งเหล่านี้ทั้งปวง ด้วยพระคุณพระเจ้าที่ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์และได้เป็นบุตรของพระองค์ชั่วนิรันดร์ และสิ่งเหล่านี้ ที่เราเล่ากันอยู่นี้ คือความจริง นี่คือข่าวประเสริฐ แล้วทำไมเขาสอนกัน เขาคุยกันเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย ภาษาอังกฤษเขาเรียกดิสเครดิต คือมันทำให้ข่าวประเสริฐก้ำๆ กึ่งๆ มันไม่ชัดเจน  ถ้าเราช่วยกันรักษาข่าวประเสริฐให้มันชัดๆ ง่ายๆ อย่างนี้ แล้วไม่มีอะไรมารบกวน มาทำให้มันด้อยลง ผมเชื่อว่าคนมาเชื่อพระเจ้าง่ายๆ เยอะแยะ แต่นี่เราทำจนยากลำบาก  อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ อันนั้นก็ยุ่ง เลยตัดสินใจยังไม่มาเชื่อดีกว่า พอมาเชื่อพระเจ้า ภาระเต็มไปหมด มากกว่าเก่าอีก สมัยยังไม่มาเชื่อพระเจ้า ไม่ต้องทำเลย ตอนนี้ต้องทำโน้นทำนี้ ตายแล้ว กลับไปหาครอบครัวก็ไม่ได้ มันเหนื่อยมาก จริงๆ พระเยซูบอกว่า …

“จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข”

บางทีเราฟังดูแล้ว รู้สึกอาจจะไม่เกี่ยวกับเรา เราเชื่อแล้ว แต่ เรามีหน้าที่อย่างหนึ่ง ที่ต้องทำ ก็คือรักษาข่าวดีของพระเจ้า ช่วยกันปกป้องข่าวดีของพระเจ้า อย่าให้ใครมาดิสเครดิตให้มันแย่ลง  โดยปรัชญาของมนุษย์ โดยสติปัญญาของมนุษย์ ที่พระคัมภีร์เรียกว่าไร้แก่นสาร แต่จะทำอย่างนั้นได้ ตัวเราเองต้องอยู่ในความจริงเหล่านั้นมากๆ เพื่อให้มันเข้มแข็ง ในวิญญาณของเราให้ชัดเจนมาก แล้วทำอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่า …

“จงจดจ่อไปที่เบื้องบน”

ก็คือจงจดจ่อไปที่โลกวิญญาณ จดจ่อไปในพระคริสต์ ในพระคริสต์ที่เราเป็นอยู่ เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรคสถาน เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว จดจ่อด้วยวิธีหลับตา แล้วเปิดตาฝ่ายวิญญาณมองให้เห็นเถิดว่าฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ จะไม่มีอะไรมาลบล้างความจริงเหล่านี้ จากวิญญาณของฉัน จากความคิดของฉันได้เลย เพราะมันเป็นไปตามพระคัมภีร์เป๊ะ เอเมน

ฝึกฝนเหมือนเดิม จดจ่อตามพระคัมภีร์บอก 2 โครินธ์ 4:16  บอกให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน ให้เราจดจ่อไปที่พระเจ้าไถ่บาป ให้เราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์

หายใจลึกๆ แล้วก็เริ่มปรับโหมดเข้าสู่โลกวิญญาณ เริ่มเปิดตาฝ่ายวิญญาณขึ้นมา เพราะเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น และให้มองเห็นความเป็นจริงของโลกวิญญาณในขณะนี้ว่าโลกวิญญาณมีอยู่จริงๆ และสถานะของเราในโลกวิญญาณเป็นเช่นไร? ตามที่พระเจ้าบอกในพระคัมภีร์ หายใจลึกๆ นะครับ แล้วก็บอกกับตัวเองว่า … จงมองให้เห็นเถิด  เปิดตาวิญญาณ จงมองให้เห็นเถิด … จงคิดตาม หรือพูดตามที่ผมจะนำท่านก็ได้นะครับ

“ฉันเป็นวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ชุบให้ฉันเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ และได้ประทานจิตใจใหม่ให้กับฉัน ฉันจึงเป็นวิญญาณที่มีจิตใจใหม่ สะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ไร้ที่ติในสายพระเนตรพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซู สามารถอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ครอบครองสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในขณะนี้ วิญญาณของฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน พระเจ้าได้ประทานพระพรนานานับประการให้กับฉัน ที่ฉันจำเป็นต้องใช้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และในสวรรค์ตลอดไป ฉันมีพระพรนี้ครบถ้วนบริบูรณ์ และพระวิญญาณสถิตอยู่กับฉัน เป็นหนึ่งเดียวกับฉัน คอยเป็นพี่เลี้ยงนำพาในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในฐานะพี่เลี้ยงของลูกของพระเจ้า ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซู ฉันจะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ในฐานะลูกของพระองค์ชั่วนิรันดร์ ขอบคุณพระเจ้า”

ท่านก็ใช้เวลานี้อธิษฐาน ตอบสนองถ้อยคำพระเจ้า นี่คือความเป็นจริงที่พระเจ้าได้กระทำให้กับเรา โดยพระคุณ ฝึกที่จะคุยกับพระเจ้า ขอบคุณพระองค์ ขอพระองค์ทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้ลูกมากขึ้น ที่จะมองเห็นความเป็นจริงในโลกฝ่ายวิญญาณชัดเจนมากยิ่งขึ้น ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

****************************