คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2019 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  พฤศจิกายน  2019

 เรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่จะทำให้ท่านเป็นไท”ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันขอบคุณพระเจ้า เรามาต่อเรื่อง “ความเชื่อเก่าแก่ VS ความจริงที่ทำให้ท่านเป็นไท” ตอน 2 ที่เราจะรวบรวมความเชื่อ หรือคำสอนที่มีมาแต่โบราณ ที่เรียกว่าสอนกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก อะไรประมาณนี้ ถูกถ่ายทอดต่อๆ กันมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นความเชื่อเก่าแก่ ไม่รู้มาจากไหน? ซึ่งเราจะเน้นเฉพาะตรงจุดที่คำสอนในความเชื่อเหล่านั้น ไม่ตรงกันกับความหมายในพระคัมภีร์เลย ซึ่งอย่างที่ผมเคยเกริ่นไว้ ในสัปดาห์ที่แล้วว่ามีอยู่หลายเรื่องที่ทำให้ข่าวดีของพระเยซูที่ง่ายที่สุด กลับกลายเป็นเรื่องยาก ไม่มีอะไรง่ายเท่ากับเรื่องของข่าวดีของพระเยซูที่จะไปสวรรค์ ก่อนหน้าพระเยซูมามีแต่คนบอกจะไปสวรรค์อย่างไร? ไม่มีใครไปได้สักคน ยากหมดเลยครับ ทุกคำสอนเลย แม้กระทั่งรวมถึงคำสอนของชาวอิสราเอลเอง ที่เรียกว่าประชากรของพระเจ้า พระเจ้าก็บอกว่าไม่มีใครไปได้สักคน มันยากมาก พอพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน  เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สวรรค์ลงมาตั้งง่ายๆ คนเข้ามาได้ง่ายๆ แต่คนไปติดอยู่ของเก่า เพราะสอนกันมานาน รู้สึกของพระเยซูง่ายไป คือจริงๆ มันง่ายอย่างนั้น

ในหนังสือโคโลสี อาจารย์เปาโลจึงบอกว่า … “ข้าพเจ้าต้องยกเรื่องนี้มาพูดกับท่าน เพื่อไม่ให้ใครมาล่อลวงท่าน ด้วยถ้อยคำที่น่าเชื่อถือ”

ความเชื่อเก่าๆ ที่สอนมาตั้งแต่เก่าแก่ ตั้งแต่อ้อนแต่ออก ส่วนใหญ่มาจากผู้ที่ฟังดูแล้วน่าเชื่อถือ ทั้งสิ้น ที่เขายกย่องให้เป็นผู้อาวุโสทางด้านคำสอน ทางด้านปรัชญาอะไรแบบนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ พอเราได้ยินได้ฟัง มันฟังดูดี ใช่ในสายตามนุษย์ ตามความคิดของมนุษย์ เป็นไปได้เยอะแยะเลย แม้กระทั่งกวีเอง แต่งเพลงเอย แต่งบทกลอนอะไรต่างๆ ฟังดูดี ก็มีเยอะแยะ แต่ความหมายในคำว่าดูดี มันคืออะไร? ตรงนี้สำคัญมากกว่า อาจารย์เปาโลไม่อยากจะให้ใครถูกล่อลวงไปด้วยความน่าเชื่อถือแบบมนุษย์ พูดง่ายๆ ซึ่งความน่าเชื่อถือแบบมนุษย์ บางครั้งเราไปเชื่อ ในสิ่งที่ดูน่าเชื่อถือ แต่มันไม่ตรงกันกับถ้อยคำพระเจ้า เราก็จะเสียผลประโยชน์ ในเรื่องข่าวประเสริฐไป และเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ทำลายข่าวประเสริฐ โดยไม่รู้ตัว คือเรากลายเป็นพยานเท็จ เรื่องข่าวประเสริฐ โดยไม่รู้ตัว

เปาโลย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ว่าคำพูดหรือคำสอนนั้น จะมาจากผู้ใหญ่ขนาดไหน? จากผู้อาวุโส ผู้มีตำแหน่งขนาดไหนก็ตาม หรือฟังดูน่าเชื่อถือมากขนาดไหนก็ตาม คนแห่กันไปฟังเยอะเลย สมมตินะ แต่ถ้ามันไม่ตรงกับข่าวประเสริฐที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ คำพูด คำสอนเหล่านั้น ก็เชื่อถือไม่ได้เด็ดขาด เปาโลเป็นผู้ที่ปกป้องเรื่องนี้อย่างมาก ตอนที่พูดอยู่นี้ เปาโลนึกไปถึงพวกอัครสาวก ที่เดินกับพระเยซูในสมัยนั้น ถ้าอัครสาวกที่เดินกับพระเยซู ที่เรียกว่าสาวกใกล้ชิด 12 ท่าน ตอนที่พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ดูเหมือนสนิทกว่า ดูเหมือนจะรู้เรื่องมากกว่าคนอื่นๆ ก่อนที่จะถูกตรึงบนไม้กางเขน ยังเดินอยู่ด้วยกัน ขนาดเป็นขึ้นจากความตาย ยังมาเจอกันเลย  เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้น่าจะมีคนเชื่อถือมากกว่า เปาโลหมายถึงว่าแม้กระทั่งคนเหล่านี้ ทำอะไร หรือพูดอะไร หรือสอนอะไรที่ไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ก็ไม่ต้องไปเชื่อเขา ไม่ได้อยู่ที่เดินกับพระเยซูมาก่อนหรือไม่ อยู่ที่ถ้อยคำของพระเจ้า เมื่อพระเยซูสอนเรื่องข่าวดีของพระเจ้าว่าพระเยซูเป็นใคร? มาไถ่บาป แผนการของพระเจ้าเป็นอย่างไร? ตรงนั้น สำคัญมากกว่า เอเมน

สัปดาห์ที่แล้วเราเริ่มกันที่เรื่องแรก คือเรื่องความเชื่อในการทำตามประเพณี หัวข้อครั้งที่แล้ว ที่ในปัจจุบัน ยังมีคริสเตียนหลายคน โดยเฉพาะคริสเตียนเก่าแก่ ที่ยังคงยึดติดกับธรรมเนียมปฎิบัติต่างๆ ที่ได้สอนกันต่อๆ มา ที่เปาโลใช้คำว่า “เป็นปรัชญาอันไร้แก่นสาร” ฟังดูน่าเชื่อถือ แต่คำว่า “ไร้แก่นสาร” หมายถึงว่ามันไม่มีข้อมูลของความเป็นจริง ตามที่พระเยซูสอน ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เข้าสวรรค์ได้อย่างไร?  บางอัน ปรัชญามันยากมากเลย กว่าจะเข้าสวรรค์ได้ ลำบากมาก แต่ฟังดูมันมีเหตุผล แบบมนุษย์ คนพูดก็น่าเชื่อถือ ใช้คำพูดแบบสลวยด้วย แต่สิ่งเหล่านั้น ไม่ตรงตามถ้อยคำพระเจ้า เปาโลบอกนั่นแหละ คือสิ่งที่ไร้แก่นสาร

โคโลสี 2:8 “จงระวังให้ดี อย่าให้ใครมาจับท่านเป็นทาส ด้วยปรัชญาอันไร้แก่นสาร และหลอกลวง  ซึ่งอาศัยธรรมเนียมปฏิบัติ ที่มนุษย์ถ่ายทอดกันมา และหลักการพื้นฐานต่างๆ ของโลกนี้  แทนที่จะอาศัยพระคริสต์”

 

แทนที่จะอาศัยพระเยซูคริสต์ ก็คืออาศัยข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่นี่ไม่อาศัยอะไร อาศัยปรัชญา อาศัยหลักการที่เขาถ่ายทอดกันมา เป็นประเพณี เป็นวัฒนธรรมไปแล้ว อะไรต่างๆ

ก็สรุปได้ว่าการกระทำมี 2 แบบ แบบโบร่ำโบราณ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์เสมอ ต้องจำไว้เลย เราต้องหูไว ตาไวในเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ถ้าจะมีเหตุผล ก็ควรจะมีเหตุผลลักษณะพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นรากฐาน ไม่ใช่มีเหตุผลแบบมนุษย์ ยกตัวอย่างมีเหตุผลแบบมนุษย์ ก็คือบรรยายเขาเป็นใคร? อย่างนี้ไม่ใช่  เขามีตำแหน่งอะไร? อย่างนี้ไม่ใช่ เขาแต่งตัวอย่างไร? อย่างนี้ไม่ใช่ นี่คือหลักการ มาตรฐานแบบมนุษย์ ใช่ไหม? แต่ถ้าหลักฐานตามแบบพระคัมภีร์ ก็คือที่เขาพูดมา ข้อความนั้น มันตรงกับที่พระเยซูพูดไหม? มันหมายความว่าอะไรในพระคัมภีร์ เกี่ยวกับสวรรค์อย่างไร? ถูกต้องไหม? ขัดแย้งกับข้ออื่นๆ หรือไม่? อะไรอย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ถึงแม้ขนาดย้ำกันขนาดนี้ก็ตาม พูดกันละเอียดถึงขนาดนี้  ก็ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะผู้เชื่อในบ้านเรา

“บ้านเรา” หมายถึงที่ในประเทศไทย ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว มันทั้งแถบเอเชียสะส่วนใหญ่ ความยาก ก็คือส่วนใหญ่จะมีความเชื่อติดตัวมาตั้งแต่เดิม ในเรื่องเวรกรรม

“โอ๊ย! เวรกรรม” มันติดปากเลย

ไม่ได้ตั้งใจจะพูด มันหลุดปากออกมาเอง เหยียบตะปูเข้าไป

“โอ๊ย! เวรกรรม”

คนข้างๆ ถาม “เธอต้องไปทำอะไรมาแน่ๆ ชาติก่อน ไปทิ้งตะปูให้คนอื่นเขาเหยียบหรือเปล่า มาชาตินี้ คนอื่นเขาเลยทิ้งให้เราเหยียบมั้ง”

“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ มีกรรม มีเวร เราก็ต้องชดใช้มันไปว่ากันไป ทำดีเยอะๆ ไว้แล้วกัน เวรกรรมนั้นจะได้ลด ทำดีไว้ เพื่อจะได้ไปผ่อนจ่ายเจ้ากรรมนายเวรได้”

ไม่รู้มาจากไหน?  แล้วแทบไม่ต้องสอน มันเป็นหมดเลย มันอยู่ในใจ อยู่ในความคิดตลอด อย่างนี้เป็นต้น เขาเรียกความเชื่อแบบนี้ว่าประเพณี มันลึกกว่าประเพณี จะบอกว่าวัฒนธรรม มันลึกกว่าวัฒนธรรม มันฝังเข้าไปอยู่ในชีวิตเรา เมื่อเราเกิด มันจึงยากมาก ที่จะเอาความเชื่อเดิมๆ ออกไป เพราะเราถูกสอนมายาวนาน ความเชื่อเดิมๆ นี้ว่าเรามีบาปกรรมเวร ติดตัวมา มีเจ้ากรรม นายเวร มาตามเก็บหนี้เรา มาเคาะประตูบ้านทุกวัน จ่ายหรือยัง ชดใช้หรือยัง พอเราเกิดมีอะไรขึ้น เสียหาย เราก็บอกกำลังใช้เวร  เราต้องพยายามทำดีเยอะๆ เพื่อจะได้ลบล้างบาปออกบ้าง

แม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รับความรอดจากโทษของความบาปเรียบร้อยแล้วก็ตาม นี่คือหลักการของข่าวประเสริฐของพระเยซู เมื่อมาเชื่อพระเยซูคริสต์ พระองค์มาไถ่บาป มาชำระบาปให้กับมนุษย์หมดสิ้นแล้ว นี่คือความหมายของคำว่า “ข่าวดีของพระเยซู” สั้นๆ

เพราะฉะนั้น แม้จะมาเชื่อพระเจ้าแล้ว ได้รับความรอดจากบาปแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ไถ่ให้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังติดอยู่กับคำสอนตามประเพณีเดิมๆ ที่สอนต่อๆ กันมา ที่สอนว่า …

“เราได้รับความรอด โดยพระคุณแล้ว ก็จริง แต่ก็ยังคงต้องรักษาความดีงามในการดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ด้วยนะ ปราศจากความบาป  มิฉะนั้น จะถูกพิพากษาลงโทษ พระเจ้าจะบ้วนออกมานะ หรือไม่ทำตามคำสอนของพระเยซู วันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะบอกว่าไม่รู้จักเรานะ กลัวมากเลย”

“ใครเมื่อเช้านี้ไม่ได้อธิษฐานตอนเช้า ระวังไว้นะ ไม่ได้อธิษฐานบ่อยๆ พระเจ้าลืมเธอนะ ตายไป เจอพระเยซู … “พระเยซูเจ้าข้า” … “เธอเป็นใคร ฉันไม่รู้จักเธอ”

อะไรประมาณนี้ ขู่เราอีก แล้วท่านคิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นไหม? พระเยซูบอกว่า …

“เราไม่รู้จักท่าน”

ตอนที่พระเยซูพูดเรื่องนี้ พระเยซูพูดกับผู้ที่เขาคิดว่าเขาเชื่อพระเยซู แล้วเขาบอกว่าอย่างไร?  พระเยซูบอกคนไหนที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า คนนั้น คือผู้ที่จะได้ไปสวรรค์ ได้รับความรอดใช่ไหม? คนเหล่านั้นบอก

“ฉันตามน้ำพระทัยพระเจ้าแล้ว”

“ทำอะไร”

“ข้าพเจ้าขับผีออก ข้าพเจ้าทำโน่นทำนี่ จำไม่ได้เหรอ ข้าพเจ้าทำเยอะแยะไปหมดเลย ขับผีออก ทั้งอดอาหาร อธิษฐาน ทั้งถวายสิบลด ทั้งตามกฎระเบียบ ทุกอย่างเลย”

พระเยซูบอก “ทำหมดทุกอย่างใช่ไหม? ดีมาก เมื่อถึงวันนั้น เราจะบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า”

ไม่งงเหรอ แล้วพระองค์บอกว่าผู้ที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าเท่านั้น เราจึงจะรู้จักเขา เขาถึงจะเป็นครอบครัวเดียวกับเรา เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นญาติพี่น้องกับเรา คนนั้นต้องเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า แล้วน้ำพระทัยพระเจ้า คืออะไร? น้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือข่าวดีของพระเยซู น้ำพระทัยพระเจ้า คือพระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้รับความรอด โดยประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ทรงรักมากมาย ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อสละชีวิต ที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาป ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งมวล คนมาเชื่อในเราถึงจะได้รับความรอด ถ้าเธอเชื่อในตัวเธอ เชื่อว่าฉันต้องทำอันนั้น ฉันต้องทำอันนี้ จะให้ช่วยตัวเองอยู่ แล้วจะรอดได้อย่างไร ในเมื่อ ช่วยอย่างไร มันก็ไม่มีวันที่จะครบ 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า พระเยซูจึงบอกว่าเราไม่รู้จักเจ้า เพราะเจ้าไม่มีทางไปสวรรค์ได้ด้วยตัวของเจ้าเองหรอก ต่อให้เจ้าขับผีออก ต่อให้เจ้าอธิษฐาน ต่อให้เจ้าทำอันโน้นทำอันนี้ให้กับพระเจ้าเยอะแยะ รักพระเยซูมาก แต่ถ้าเจ้ายังฝังความเชื่อว่า …

“ฉันจะรอดได้ ฉันจะต้องทำๆ พึ่งในสิ่งที่ฉันทำ ไม่ได้พึ่งพระเยซู”

สุดท้ายก็ไม่ได้รับความรอด ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ พระเยซูก็จะบอกว่า …

“เราไม่รู้จักเจ้า”

วันนี้ตรงนี้เฉพาะแค่นี้ก่อน เราค่อยๆ สอนเรื่องนี้ต่อๆ ไป เราก็วนๆ อยู่แถวๆ นี้  พอสอนกันไป สอนกันมา จนบางความเชื่อ ก็เป็นสอนผิดๆ ถูกๆ จนเกิดเป็นศาสนกิจประจำ ทำเป็นกิจวัตร แต่อันนี้เป็นกิจวัตรในเรื่องศาสนา ก็เลยเรียกว่าศาสนกิจ กลายเป็นกฎข้อบังคับขึ้นมาเลย ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์ไม่มี มีทั้งรายการที่ห้ามทำ รายการที่ต้องทำ ยาวเหยียด จนทุกวันนี้ ศิษยาภิบาล ก็ยังคงเจอกับคำถามของสมาชิก หลายคริสตจักรก็เจอคำถามสมาชิก ก็เพราะคำสอนเก่าๆ แก่ๆ มาอย่างนั้น ซึ่งมันไม่รู้ว่ามาจากไหน? ศิษยาภิบาลก็จะถูกถามจากคริสเตียนที่พอมาเชื่อแล้ว ก็สับสน คนมาใส่โน่น คนมาสอนนี่ เยอะแยะเลย ถามว่าอย่างไร? อันนี้ทำได้ไหม? อันนั้นทำได้ไหม? ไปวัดได้ไหม? จุดธูปได้ไหม? ไปงานศพ ไหว้ศพไหม? ไปเช็งเม้งได้ไหม? อธิษฐานก่อนนอน ลืมอธิษฐานทำอย่างไร? ไม่อธิษฐานก่อนทานข้าว ผิดไหม? ต้องยกโทษไหม? ต้องขออภัยโทษบาป จากพระเจ้าไหม? ดูทีวีได้ไหม? กินหมูได้ไหม? เขาอดอาหารกัน เราต้องอดอาหารด้วยไหม? เขาอดอาหารกัน เราไม่อด เรารู้สึกฟ้องผิด คุ้นๆ ไหมอย่างนั้น

อย่าลืมนะครัวว่าเราอยู่กับการสอนที่ผิดๆ ที่เป็นประเพณีวัฒนธรรมเดิมๆ มาเป็นเวลานานมาก นานเท่าไรไม่รู้ ตามชีวิตของเรา ซึ่งคำสอนเหล่านั้น บางทีมันไม่ได้สอนมาแบบนั่งสอนอย่างนี้ แต่มันคือชีวิตของเรา ได้เห็นบรรพบุรุษทำอันโน้น ทำอันนั้น มันก็ซึมซับเข้ามา จะให้ลบออกในเวลาสั้นๆ แค่พูดครั้งเดียวจบ อย่างนี้ มันยาก ไม่ใช่ง่ายๆ หรอก ซึ่งจริงๆ แล้วในหนังสือ 1 โครินธ์ เปาโลก็บอกไว้แล้วว่ากฎระเบียบ ข้อบังคับของพระเจ้าทั้งหมด มีเพียง 1 ข้อเอง คนมาถามเปาโลเยอะแยะเลย อย่างนี้ อันนั้นได้ไหม? อันนี้ได้ไหม? เปาโลบอกมันเยอะเหลือเกิน

แล้วก็อธิบายให้ฟังว่าอันนี้ทำได้นะ อันนี้ทำไม่ได้ อันนี้ถ้าจะไปกินของที่เขาไหว้รูปเคารพ กินได้นะ แต่ถ้าการกินนั้น ทำให้คริสเตียนคนอื่นเขาสะดุด เพื่อความรัก เราก็อดซะ อย่าไปกิน กินหรือไม่กินไม่สำคัญ ให้เขาสบายใจแล้วกัน อะไรประมาณนี้ แล้วมันมีอีกหลายเรื่องเยอะแยะมากไปหมด เปาโลรู้ไม่มีทางตอบหมด ก็เลยสรุปเป็นมาตรฐานไว้ว่ากฎระเบียบ ข้อบังคับของพระเจ้า มีเพียงข้อเดียว คือ “จงทำทุกสิ่งด้วยความเชื่อ” ซึ่งอยู่ในโรม บทที่ 14 เดี๋ยวอ่าน ตอนนี้อ่าน 1 โครินธ์ 10:23 ก่อน

1 โครินธ์ 10: 23  “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้างขึ้น”

 

อาจารย์เปาโลตอบยอดเยี่ยมมาก สั้นๆ แต่มีความหมายครบ ถามทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม?  อาจารย์เปาโลบอกแล้วไงว่าพออยู่ในพระคริสต์ ท่านเป็นอิสระแล้ว ไม่ได้อยู่ในกฎที่ต้องถูกบังคับแล้ว อิสระ แต่จงใช้ความอิสระของท่าน ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงามในทางพระเจ้า แต่คนก็จะถาม มันจะถูกอย่างไร มันเยอะแยะไปหมด จะทำอันโน้น อันนี้ การกระทำบนโลกใบนี้ มัน 108  1009 อย่าง เปาโลก็เลยพูดรวมๆ เอามาตรฐานของข้อนี้ไปวัดแล้วกัน

“เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้” คือเป็นอิสระแล้ว รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น ไม่มีวันสะบาโตแล้ว แต่ก่อนนี้ต้องมีวันสะบาโต 1 อาทิตย์ต้องมี 1 วัน ที่ไม่ทำอะไรเลย แสวงหาพระเจ้า พักผ่อน นั่นก่อนพระเยซูมา ซึ่งเขาใช้วันเสาร์ เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราเป็นอิสระแล้ว เราไม่ต้องมีวันสะบาโต ตอนนี้ วันอาทิตย์ เราไม่ต้องมาก็ได้ แต่ในนี้บอกว่า “ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น” พูดง่ายๆ ว่าเราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ทุกสิ่งที่เราทำนั้น ไปคิดเอาเองว่ามีประโยชน์ต่อชีวิตเรา ชีวิตคนรอบข้างไหม? เป็นความรัก เป็นความงดงาม เป็นความดีงามหรือไม่? เรามีอิสระที่จะทำแล้ว เพราะฉะนั้น ไปคิดดู ถ้าเป็นสิ่งที่ดี ก็ทำ เราไม่จำเป็นต้องมีวันสะบาโตแล้วใช่ไหม? อาทิตย์หนึ่งไม่ต้องมีวันหยุดแล้วใช่ไหม? แล้วจะทำมาหากินไป ทำอะไรเหนื่อยยาก จนไม่มีวันหยุด ไม่มีวันพักผ่อน เดี๋ยวก็ป่วยหรอก เพราะฉะนั้น พักสะบ้าง ดีกว่าไหม? อะไรอย่างนี้ อะไรที่เป็นประโยชน์

มาโบสถ์ได้รับคำสอน มาเจอพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน ได้กินข้าวฟรี อันนี้แถมให้ ได้ฟังคำบรรยายที่พระเจ้าเตรียมไว้ ให้เราได้ยินได้ฟัง เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณ ได้อบอุ่นกับคนในครอบครัวเดียวกัน คือครอบครัวของพระเจ้า มีความลำบาก ได้รับการหนุนจิต ชูใจ บางทีเราทุกข์ลำบาก เราก็ได้รับการหนุนจิต ชูใจจากเขา เป็นประโยชน์ไหม? เป็น ควรจะรักษาไว้ไหม? อย่างนี้ควรจะรักษา ยกตัวอย่างให้ท่านเห็น

แต่ก่อนนี้ เขาอดอาหารกันวันศุกร์ ก่อนวันสะบาโตหนึ่งวัน อดอาหารถวายแด่พระเจ้า มาตอนนี้ เราได้ยินคนอื่นเขาบอกว่าเขาจะอดอาหาร เกิดว่าเราเป็นโรคกระเพาะ เราก็รู้สึกฟ้องผิด เพราะเราไม่ได้อด เดี๋ยวพระเจ้าไม่พอใจ เพราะฉะนั้น เราเลยอดไปด้วย  ก็เกิดปัญหา คราวนี้ลำไส้ทะลุเลย เราไปร้องครวญครางกับพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น เรามีอิสระแล้ว เราจำเป็นต้องรักษาการอดอาหารอธิษฐานไหม? ไม่ต้อง เราเลือกเอาเฉพาะตอนนี้ มันมีประโยชน์ต่อเราไหม? ไม่มี ก็ไม่ต้องไปอด ปล่อยให้คนอื่นเขาอดไป หรือบางทีคนอื่นเขาไม่อด คริสตมาสเขาเลี้ยงกันใหญ่โต รู้สึกเราอยากจะอด เพราะเป็นประโยชน์กับเรา เพราะเรารู้สึกเราอ้วนเกินไปแล้ว หมอบอก อ้าว! อย่างนี้เป็นประโยชน์ไหม? เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น  คริสตมาสปีนี้ เราก็มาเที่ยว กินกับเขาเหมือนเดิม แต่กินน้อยหน่อย  เพราะเราอ้วนเกินไป  หมอบอกให้ลดน้ำหนัก มันเป็นประโยชน์ต่อเราไหม? เป็น อย่างนี้ เปาโลตอบคำเดียว ได้หมดเลย อะไรที่เสริมสร้าง ไม่ต้องมาถามแล้วต่อไปนี้ ไม่ต้องไปหาศิษยาภิบาลมาถามอีกแล้วว่าอะไรทำได้ ไม่ได้ ไปคิดเอาเอง ทำได้หมดทุกอย่าง แต่มันมีประโยชน์ไม่มีประโยชน์ครับ

1 โครินธ์ 10:31  “ไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่ม หรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่ง เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า”

 

นี่ก็คือเงื่อนไข ทำได้หมดทุกอย่างแหละ  แต่ทำสิ่งนี้ มีประโยชน์ไหม? แล้วมันถวายเกียรติไหมล่ะ ถ้าเราอ้วนฉุ แล้วก็เป็นโรคความดันโลหิตสูง เป็นเบาหวาน แล้วไม่ลดน้ำหนัก อ้วนเกินมากเลย แล้วเราก็เป็นคริสเตียน ถวายเกียรติแด่พระเจ้าไหม? อย่างที่บอก แม้ว่าผมจะมาบอกว่าเราควรดูแลสุขภาพ อย่าให้มันอ้วนจนเกินไป  นี่เป็นกฎระเบียบ ก็ต้องทำ เป็นอิสระในพระเยซูคริสต์ ความอ้วนความผอมไม่ได้ทำให้เราไปสวรรค์หรือไม่ไป แต่ความอ้วนหรือความผอม ที่เราไม่ดูแลสุขภาพเราเอง จะทำให้เราอยู่บนโลกใบนี้  เหมือนอยู่ในนรก มันทุกข์เกินกว่าที่ควรจะเป็น แต่ก็ไปสวรรค์อยู่ดี

โรม 14:23 อันนี้ตัวสรุปที่บอกไว้  เพราะฉะนั้น เราทำได้ทั้งนั้นแหละ เพราะเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นอิสระแล้ว แต่ถ้าไม่สร้างสรรค์ ไม่ดีงาม เราก็ไม่ทำ ทั้งๆ ที่มีสิทธิ์

โรม 14:23 “แต่ผู้ที่ยังสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากิน ก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามความเชื่อ และการกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อ ก็เป็นบาป

 

“การกระทำใดๆ ที่มิได้มีรากฐานจากความเชื่อ ในพระเยซู  ก็บาปทั้งนั้น” หมายความว่าชีวิตคนไหน ถ้าไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีพระเยซูมาไถ่บาปให้กับเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไร? ตรงไหน? ก็บาปทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเผื่อคนนั้นรู้ตัวว่าตัวเองเชื่อในพระเยซู ได้รับความรอด จากการไถ่บาปของพระเยซูแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม รอดหมด เข้าใจใช่ไหม? ไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร เอาไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากันไป เพราะเรื่องของพระเจ้า ต้องฟังกันบ่อยๆ ต้องค่อยๆ ทีละนิดๆ ไม่มีว่าฟังแล้ว รู้เลย รู้วันนี้ เดี๋ยววันรุ่งขึ้น อ๋อ!

ข่าวประเสริฐของพระเจ้า  มันจึงเป็นข่าวประเสริฐของการขอบคุณพระเจ้า และอ๋อ! ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือข่าวประเสริฐที่บอกว่าอ๋อ! ขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องร้องไห้ ไม่ใช่เรื่องคร่ำครวญ ไม่ใช่ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า เมื่อเข้าไปอยู่ในชีวิตของคนไหน ควรจะเป็น อ๋อ! ขอบคุณพระเจ้า แล้วก็จะออกไปเรื่อยๆ ขอบคุณพระเจ้า อ๋อ! แล้วขอบคุณพระเจ้า ไปเรื่อยๆ

ความเชื่อและความรอดของเรา ไม่มีอะไร ขึ้นอยู่กับธรรมเนียมปฏิบัติ หรือประเพณีที่ทำกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ แต่ขึ้นอยู่กับว่าพระเยซูได้ทำอะไรสำเร็จแล้วบ้างที่ไม้กางเขน  เอเมน ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ โคโลสี 2:6-7 จึงบันทึกไว้อย่างชัดเจน ต้องเอาตรงนี้ใส่เข้าไปในสมองของเราให้เต็มที่

โคโลสี 2:6-7  “ดังนั้น ในเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป ด้วยการหยั่งราก และรับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ มั่นคงขึ้นในความเชื่อ ตามที่ได้รับการสอนมา และเต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ”

 

เป็นบทสรุปของอาจารย์เปาโล ที่ให้เราได้ใช้มาตรฐาน ในการพิจารณาว่าเราควรจะมีท่าทีอย่างไร ต่อคำสอน คำพูด ที่เราได้ยินได้ฟังต่อขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ที่สอนกันมา ที่ขัดแย้งกับข่าวดีพระเยซู เมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์ คือเมื่อท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป หมายถึงขณะนั้น พระเจ้าได้ย้ายท่านเข้ามาอยู่ในอาณาจักรที่เรียกว่าของพระคริสต์ ย้ายท่านเข้ามาอยู่ในวิญญาณของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระคริสต์ จงมีชีวิตอยู่ตรงนั้น

(1) หยั่งราก จากเดิมที่เรามีความเชื่อเก่าแก่ ผิดๆ ถูกๆ ไม่รู้มาจากไหน? ฝังลึกอยู่ในสมองเรา อยู่ในชีวิตเรา  ก็ให้เราเปลี่ยน หันมาหยั่งรากใหม่ บนพื้นฐานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์จึงบอกให้เราจดจ่อต่อไปที่เบื้องบน จดจ่อที่โลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตาเรามองไม่เห็น เราจำเป็นต้องจดจ่อ คือหลับตาให้เห็น แล้วให้มันจำให้ได้ ต่อไปนี้ ลืมตาก็เห็นตลอดเลย เห็นว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ตอนนี้เราอยู่ในสวรรค์แล้วนะจ๊ะ

(2) รับการสร้างขึ้นในพระองค์ รับการก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ … ในพระองค์ ก็คือในพระคริสต์ ยอมรับในการทรงสร้างใหม่ของพระคริสต์ว่าเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว รับรู้ว่าเราเป็นวิญญาณอยู่ในพระคริสต์ แล้วพระเจ้ากำลังสร้างเราขึ้นใหม่ ให้เรารับรู้ตลอดเวลา ไม่ใช่เราสร้างตัวเองให้เจริญเติบโต แต่พระเจ้าสร้างเรา เพราะเรามาอยู่ในครอบครัวของพระคริสต์แล้ว ให้เรารับรู้ตรงนี้เท่านั้นเอง ให้เราเติบโตขึ้นทุกวัน ก็คือจดจ่ออยู่ที่วิญญาณใหม่

ในหนังสือ 2 โครินธ์ 4:16 “เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ท้อแท้ ไม่ย่อท้อ แม้กายภายนอกจะทรุดโทรมไป  แต่จิตใจภายในวิญญาณ มันเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวันๆ”

หลับๆ ตื่นๆ ก็ทุกวัน ไม่ต้องทำอะไรเลย มันก็เจริญเติบโต เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เขาเจริญเติบโต เขา คือวิญญาณของเรา

(3) มั่นคงในความเชื่อ ตามถ้อยคำพระเจ้า ก็คือไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่อาจารย์เปาโลบอกว่าเป็นปรัชญาที่ไร้แก่นสาร ที่จะมาหลอกลวงเรา เราไม่หวั่นไหวหรอก ไม่ว่าปรัชญานั้นจะมาจากคนมีชื่อเสียงขนาดไหน?  คนแห่กันไปทั้งโลกขนาดไหนก็ตาม แล้วก็บอกว่าใครๆ เขาก็เชื่ออย่างนี้ทั้งนั้น แต่ถ้าเผื่อมันไร้แก่นสาร มันไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า เราปฏิเสธได้ ฟันธงว่ามันผิดแน่นอน มันผิดจากที่เราฝังรากลึกของโลกวิญญาณ ในถ้อยคำพระเจ้าไว้ในความคิดจิตใจของเราแล้ว โดยวิธีการใคร่ครวญ พิจารณา จดจ่อ set mind พระคัมภีร์บอก set mind above คือตั้งความคิดจิตใจไว้ที่เบื้องบน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และเราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย มันจะเห็นชัดได้ ก็โดยการพิจารณา โฟกัสทุกวันเวลา ตลอดชีวิตของเรา มันถึงจะสู้กับการถูกหลอกลวงที่เราบอกเมื่อตะกี้นี้ได้  แล้วต้อง set mind อย่างนั้นบ่อยๆ ให้มันอยู่ในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น โลกวัตถุที่มองเห็น แทบไม่ต้องพูดเลย เพราะมองเห็นอยู่แล้ว

เมื่อวานซืน มีแผ่นดินไหว ไม่ต้องบอกก็ได้ มันมี มันก็เคลื่อนไว เสียหาย มันก็มีให้เห็นๆ แต่ในโลกวิญญาณ เกิดอะไรขึ้น เมื่อ 2,000 ปี พระเยซูมาทำอะไร ในโลกวิญญาณเปลี่ยนแปลงอย่างไร? พระคัมภีร์จะพูดในโลกวิญญาณทั้งสิ้น 100% ทั้งหมดเลย

(4) เต็มล้นด้วยการขอบพระคุณ เพราะว่าพระเจ้าทำสำเร็จแล้ว เพราะพระเยซูทำเรียบร้อยหมดแล้ว เพราะฉะนั้น เราก็ได้แต่ขอบคุณ  ขอบคุณในทุกกรณี เป็นที่มาของการสรุปความเชื่อในพระเยซูคริสต์ของเรา ถ้าเรามีภาพในสมองชัดเจน  ถ้าเรามีภาพการจดจำชัดเจน และเรา set mind อยู่ตลอดเวลา ในเบื้องบนว่าเกิดอะไรขึ้น ตามหลักพระคัมภีร์ว่าเราได้ถูกไถ่ไปแล้ว ตอนนี้เราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน เป็นลูกของพระองค์ เราร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์สถานเรียบร้อยไปแล้ว อยู่ ณ ที่นี่เรียบร้อยไปแล้ว ถ้าอีกสักครู่ เราเดินออกไปกินข้าว ติดคอ ตายไปเลย เราก็อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม แล้วเราก็ไปเตรียมรอรับร่างกายใหม่จากพระเจ้า เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด อะไรอย่างนี้ มันเยอะแยะไปหมดเลย  เราก็จะไม่กลัวอะไรเลยบนโลกใบนี้ เพราะเรามองทะลุสิ่งที่เป็นจริงในโลกวิญญาณแล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่าการตั้งความคิดจิตใจไว้ที่เบื้องบน

เรามาฝึกกัน ฝึกบ่อยๆ เวลาฝึกให้หลับตา แต่ถ้าคล่องๆ แล้ว ก็ไม่ต้องหลับตา ให้นึกในใจ จงมองให้เห็นเถิดในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งในภาษาไทยเขาแปลมาว่าให้จดจ่อ จงจดจ่อไปที่เบื้องบน คือโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น  เดี๋ยววันนี้  ทำตามนี้นิดหนึ่ง นี่คือจดจ่อว่าในโลกวิญญาณตอนนี้มันเป็นอย่างไร? พูดง่ายๆ ตอนนี้เรากำลังไปดูในโลกวิญญาณว่าเป็นอย่างไร? พระวิญญาณจะนำพาเราไปผ่านถ้อยคำพระเจ้าว่าในโลกวิญญาณตอนนี้เป็นอย่างไร? เราอยู่ที่ไหนในพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไรบ้าง? แล้วอนาคตเราเป็นอย่างไร?

หลับตาลง หายใจลึกๆ ทำตัวสบายๆ ตั้งสมาธิ เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ …

“ฉันเป็นวิญญาณ ที่มีจิตใจ และอาศัยในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ร่างกายนี้ จำเป็นต้องเสื่อมโทรมลง แก่ลงไป ไปสู่ความตาย ตามคำสาปของบาป ตั้งแต่บรรพบุรุษ คืออาดัม แต่วิญญาณของฉัน และจิตใจของฉัน ได้รับการสร้างใหม่ โดยความเชื่อในพระเยซู พระเจ้าได้ทำให้ฉันตายไปพร้อมกับพระเยซู และทรงชุบฉันให้เป็นขึ้นจากความตาย  พร้อมกับพระเยซู ฉันจึงเป็นวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ ในพระเยซูคริสต์ และพระองค์ได้ประทานใจใหม่ ให้กับฉันด้วย ฉันจึงเป็นวิญญาณ และมีใจใหม่ ที่เหมือนพระเยซู มีลักษณะธรรมชาติเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความรัก เป็นความบริสุทธิ์ ไร้บาป ไร้ตำหนิ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นแสงสว่าง อาศัยอยู่ในพระคริสต์  เป็นชีวิตที่ซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า พระเจ้าได้จุ่มฉันลง เข้าไปอยู่ในวิญญาณของพระองค์ คือฉันได้รับการบัพติศมา ลงไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ทั้งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ

วิญญาณฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ฉันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถานนี้ ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว วันนี้ วินาทีนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ที่ฉันจำเป็นต้องสละร่างกายนี้ คือร่างกายนี้ตายไป วิญญาณของฉันจะออกไป อยู่ที่สวรรค์ที่เดิม รอคอยการสวมร่างใหม่ ที่พระเจ้าเรียกว่าร่างกายสวรรค์ ร่างกายทิพ ที่เหมือนพระเยซูในปัจจุบัน และฉันจะสวมร่างกายสวรรค์นี้ ชั่วนิรันดร์ จะไม่มีความตาย ไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีการพลัดพรากจากกัน ไม่มีความโศกเศร้า ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป ฉันจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนี้ ตลอดไป”

เงียบๆ ในขณะนี้ ให้ท่านขอบคุณพระเจ้า เพราะทั้งหมดนั้น พระเจ้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ท่านต้องขอบคุณพระเจ้า ให้พระวิญญาณนำท่านไปเรื่อยๆ ขอบคุณพระเจ้า

“ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ขอบคุณพระเจ้า ที่ฉันไม่ต้องทุกข์ทรมานนิรันดร์กาล ขอบคุณพระเจ้า ถ้าไม่มีพระองค์ ฉันคงไม่สามารถทำอย่างนี้ได้”

ท่านก็ขอบคุณพระเจ้าไป ท่านอาจจะนึกถึงผู้คนรอบข้างในชีวิต ญาติพี่น้องต่างๆ ที่ยังไม่รู้ความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐ ท่านก็จะเริ่มรู้แล้วว่าท่านจะทำอย่างไร? ท่านก็เริ่มอธิษฐานให้ผู้คนเหล่านั้น ท่านก็จะเริ่มปลดปล่อยความรักจากวิญญาณของท่าน ที่ท่านเป็นอยู่ในขณะนี้ ออกมาแล้ว มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านเป็นคนหงุดหงิด มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านเป็นคนขี้โมโหง่าย มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านอาจจะเป็นคนเห็นแก่ตัว มันคนละเรื่องกัน มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโลกวัตถุนี้เลย เรากำลังเข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ แล้วเราก็เห็นบรรดาผู้คนในโลกใบนี้ ยังไม่เห็นความจริงในโลกวิญญาณนี้อีกมากมายนัก เขาทั้งหลายก็เหมือนเราในอดีต เราจึงสามารถอธิษฐานให้เขาได้ด้วยวิญญาณที่บริสุทธิ์จากวิญญาณข้างในของเรา  ที่พระคัมภีร์เรียกว่าการอธิษฐานในวิญญาณ เราจึงสามารถอธิษฐานในวิญญาณ ในขณะนี้ได้ ขอพระเจ้าเปิดตาวิญญาณผู้คนเหล่านั้น ญาติพี่น้อง คนที่เรารู้จัก ให้เขาได้เห็นถึงความจริงง่ายๆ ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************