คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน 2019
เรื่อง “Celebrating 26 years of God’s Faithfulness”
โดย นคร เวชสุภาพร
สุขสันต์วันเกิดครับ 2 วันเกิดเลย วันเกิดแรก คือวันเกิดคริสตจักร หรือภาษาไทย เราพูดกันแบบง่ายๆ คริสเตียนไทย เรียกว่า “โบสถ์” วันเกิดโบสถ์ แต่เป็นคริสตจักรสากล คำว่า “สากล” หมายถึงทั้งโลก เป็นโบสถ์เดียว คริสตจักรเดียว วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 2,000 กว่าปีของคริสตจักรสากล หรือโบสถ์สากล
โบสถ์หรือคริสตจักร หมายถึงสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ ต้องเข้าใจตรงนี้นะ เพราะเราอยู่ไปนานๆ เป็นคริสเตียนไปนานๆ ชักงง พอบอกโบสถ์หรือคริสตจักร เราจะไปนึกถึงสถานที่ นึกถึงเก้าอี้ที่เรานั่ง นึกถึงทุกวันอาทิตย์เรานมัสการร่วมกัน อันนั้น ยังไม่ใช่โบสถ์จริงๆ อันนั้นเป็นสมมติว่าเป็นโบสถ์ มันเป็นสถานที่ที่เรียกว่าสถานที่ชุมนุม สถานที่ประชุม ไม่ต่างอะไรกันกับพารากอนฮอลล์ ไม่ต่างอะไรกับศูนย์วัฒนธรรม ไม่ต่างอะไรกับศูนย์วัฒนธรรมไทยญี่ปุ่นดินแดง ไม่ต่างอะไรกับโรงหนังใหญ่ๆ โรงหนึ่ง ที่สามารถรวบรวมคนมาชุมนุมกันได้ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม เราเรียกว่าที่ประชุม
เพราะฉะนั้น โบสถ์ในลักษณะนี้ เขาเรียกว่าโบสถ์สมมติ ก็คือที่ชุมนุมชนของคนที่รู้จักพระเจ้า จะมาศึกษาเรื่องพระเจ้า จะมาพูดคุยเรื่องพระเจ้า จะมาทำกิจกรรมของพระเจ้าร่วมกัน เรียกว่าโบสถ์อีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่โบสถ์สากล
โบสถ์สากล คือโบสถ์ทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าได้สถาปนาโบสถ์ทางโลกฝ่ายวิญญาณนี้เรียบร้อยไปแล้ว 2,000 กว่าปีผ่านมาแล้ว วันที่สามหลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ … การเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นการสถาปนาทั้งหมดเลยว่ามีโบสถ์ขึ้น โบสถ์สากล พระเจ้าลงมาสถิตกับมนุษย์ได้แล้ว รอวันฤกษ์ดีเท่านั้นเอง และฤกษ์ดีนั้น ก็คือหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย นับมา 50 วัน เรียกว่าวันเพ็นเทคอส ย้อนกลับไป 2,000 ปีที่แล้ว วันนี้แหละเป็นวันครบรอบที่พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ มนุษย์ทุกคนก็เลยเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยได้ ถ้าเขาต้องการ ถ้าเขายินยอม ถ้าเขาไม่ต้องการ พระองค์ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าเขาต้องการให้พระเจ้ามาสถิตอยู่กับเขา เขาทำได้โดยการเชื่อ ในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูว่าเป็นการกระทำ เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน เตรียมมนุษย์ทุกคนให้พร้อม บริสุทธิ์ สะอาดทางฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นสถานที่ที่อาศัยของพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์สูงสุด ยิ่งใหญ่สูงสุดได้
เมื่อเขาเชื่อว่าพระเยซูทำได้ ทำสำเร็จแล้ว เขาก็จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์สะอาดผุดผ่องตามนั้น พอสะอาดบริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าก็สามารถที่จะเข้ามาอยู่กับเขาได้ ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่ได้ มนุษย์เข้ามาสัมผัสพระเจ้า ตายเลย แต่ด้วยความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่ได้ตาย และได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้มนุษย์ทุกคนสะอาดบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ในพระคัมภีร์บอกสะอาดเท่ากับพระบุตร คือสะอาดเท่ากับพระเยซูเลย จึงสามารถให้พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขาได้ และครั้งแรกที่เกิดขึ้น คือเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากเป็นขึ้นจากความตาย 50 วัน พระเจ้าลงมาสถิตอยู่ด้วย เรากำลังมาฉลองกัน ตอนนี้เขาฉลองกันทั่วโลก ครบรอบ 2,000 ปี พระเจ้าสถิตอยู่ เพราะฉะนั้น ขณะที่ท่านรู้จักพระเจ้าตอนนี้ ท่านเชื่อในพระเจ้าตอนนี้แล้ว ท่านรู้ไหมว่าใครอยู่กับท่าน? พระเจ้า ท่านเชื่อไหม? เมื่อเช้ายังหงุดหงิดอยู่เลย แต่ขณะเดียวกัน …
“ฉันผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน”
เดี๋ยวนี้ในร่างกายนี้ ที่เรามองในกระจกนี้ พระเจ้าอยู่กับเราตรงนี้แล้ว พระเจ้าผู้นี้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เอาแค่ง่ายๆ โมเสสยกไม้เท้าขึ้น พระเจ้าทำลมพัดอย่างแรง ทำทะเลแดงให้แยกออกเป็นสองข้าง ให้คนอิสราเอลเดินข้ามไป เอาแค่นี้ ใหญ่ไม่พอใช่ไหม? ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้า ผู้ทรงเคลื่อนไหว เรียกสิ่งที่ไม่มี ให้มีขึ้น สร้างมหาจักรวาลทั้งหมด ที่เรามองขึ้นไป ทั้งโลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ดวงจันทร์และอะไรอื่นๆ อีกมากมายที่เรามองไม่เห็น ลึกลงไปในท้องฟ้า ในอวกาศ ในจักรวาลทั้งหมด พระเจ้าผู้นี้แหละ ผู้ที่แยกทะเลแดงนั่นแหละ เป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเลย
พระเจ้าผู้นี้ ยิ่งใหญ่ที่สุด ตอนนี้อยู่ในตัวเราแล้ว อยู่ในร่างกายเราแล้ว นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะต้องมีการประกาศ ที่ต้องมีการพูดออกไปในวันเพ็นเทคอสของทุกๆ ปี มากๆ ไม่อย่างนั้นเราจะลืม พอเรามาเป็นคริสเตียนนานๆ เข้า เรานึกว่าเรากำลังนับถือศาสนาคริสต์ ข่าวดีก็จะไปไม่ถึงลูกถึงหลานเรา พอถึงลูกถึงหลานเรา ก็จะกลายเป็นนับถือตามพ่อแม่ นับถือศาสนาคริสต์ ถามว่าเป็นอะไร? ไม่รู้ … เป็นใคร? ไม่รู้ …พระเจ้าทำอะไร? ไม่รู้ … ตัวเองเป็นใคร? เป็นลูกพระเจ้า? ไม่รู้ … ทำอย่างไรถึงเป็นลูกพระเจ้า? ไม่รู้ ข่าวดีของพระเจ้า ก็จะเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ ฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ก็ทำงานผ่านมนุษย์ไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์ไม่ได้เชื่อตามนั้น ก็คือไม่ยอมนั่นเอง ไม่ยอมกับไม่เชื่อ ก็มีค่าเท่ากัน พระคัมภีร์จะใช้คำนี้เสมอ ท่านจะได้ยินบ่อยๆ คือการยอมรับ ที่เขาเรียกว่า “รับเชื่อไหม?” จริงๆ มันแปลว่า “ยอมรับไหม?” แปลเป็นภาษาไทย เหมือนยอมรับสารภาพ คล้ายๆ ในทางไทย เราเอาคำนี้มาใช้กับในทางลบ ไม่ค่อยจะดี
ยกตัวอย่างเช่น …
“ยอมรับไหมว่าเธอไปขโมยเขา”
“ยอมรับไหมว่าเธอฆ่าเขาตาย”
“ยอมรับไหม?” … ก็คือยอมรับสารภาพไหม? ในพระคัมภีร์ใช้คำเดียวกัน แต่เป็นคำที่ดี คือยอมรับไหมว่าพระเจ้าช่วยเธอให้รอดแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน เธอได้บริสุทธิ์สะอาด เธอสามารถเป็นลูกของพระเจ้า สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูเลย เธอจะยอมรับไหม? มันแปลว่าอย่างนี้ ถ้าเธอยอมรับ พระเจ้ายิ่งใหญ่ สามารถทำงานผ่านชีวิตของเธอได้ ทำอัศจรรย์ใหญ่กว่าแยกทะเลแดงออกเป็น 2 ข้างก็ได้ ใหญ่กว่านั้น ก็ได้ ใหญ่กว่าสร้างมหาจักรวาลนี้ ก็ได้ ผ่านทางชีวิตของเธอ เธอยอมรับไหม? ทุกวันนี้ เรามานมัสการอะไรต่างๆ เรามาร้องเพลง หรืออธิษฐานก็ตาม เราขอพูดคำเดียว คือเราขอยอม เราบอกว่าเป็นไปตามน้ำพระทัย ก็คือเรากำลังบอกว่ายอม ไม่มีอะไรเลย วันแรกที่ก้าวเข้ามาหาพระเยซู ก้าวเข้ามารับเชื่อพระเจ้า ก้าวเข้ามารู้จักพระเจ้า ก็คือการยอมแล้ว ยอมสารภาพแล้วว่าตัวเองเอาตัวไม่รอด ขอพึ่งในพระเจ้า ยอมทุกอย่าง พระเจ้าใช้ชีวิตเราเลย พระเจ้าก็จะใช้ชีวิตเราต่อไป
นี่พูดถึงแง่มุมหนึ่งของวันเกิดของคริสตจักรสากล ตอนนี้ มีคริสตจักรสากลอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มโลกใบนี้ทั้งหมด ตามที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่หนังสือพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน ตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนแล้ว บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันหนึ่ง อาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของพระเจ้าจะปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งหมดเลย วันนั้นมาถึงแล้ว คือวันที่พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 พระเจ้าปกคลุมไปหมดทั้งโลกแล้ว โดยผ่านทางมนุษย์ที่ยอมให้พระเจ้าใช้ ยอมจำนนต่อพระเจ้า ยอมเชื่อว่าพระเจ้าทำได้จริง และอยู่ในทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้ที่ไหนๆ ก็มี นั่นแหละ คือวันเกิดของคริสตจักร หรือโบสถ์สากล ซึ่งเราทั้งหลาย ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขาถึงมีคำ “เราเป็นหนึ่งเดียวกัน” หมายถึงเราเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ และเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วเราต่างฝ่ายต่างก็เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย เพราะเราอยู่ในที่เดียวกัน อยู่ที่สวรรค์ในพระเจ้าเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหนก็ตาม เราก็เป็นหนึ่งในวิญญาณเดียวกัน เอเมน
แล้วอันที่สองเป็นคริสตจักรสมมติ คือเป็นคริสตจักรที่เรียกว่าคริสตจักร แต่ไม่ใช่สถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เป็นแค่สถานที่ทางวัตถุ หรือเรียกกันว่าพลับพลา หรือคริสตจักรที่ทำด้วยมือของมนุษย์ แต่ร่างกายของเราที่บอกว่าเป็นคริสตจักรสากล ในพระเยซูคริสต์ นั่นคือพระหัตถ์พระเจ้าทำ ทางโลกวิญญาณ แต่คริสตจักรที่เรากำลังพูดถึงอันที่สอง คือคริสตจักรที่เป็นสมมติ คือสถานที่ที่เราเรียกว่าโบสถ์ คริสตจักรทั่วโลกที่มีอยู่ ตั้งอยู่ เป็นแค่สมมติ ถูกสร้างโดยมนุษย์ ที่พระเจ้าทำงานผ่านเขา ให้ช่วยดูแล ช่วยนำที่ดินมาให้ ช่วยนำมาจ้างคนงานมาก่อสร้าง นี่แหละคือฝีมือมนุษย์ทั้งนั้น ที่พระเจ้าสามารถใช้เขาได้ ให้เขาลงไม้ลงมือ ก่อสร้างสถานที่นี้ขึ้นมา แต่ไม่ใช่สถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่
ฟังอีกทีหนึ่ง ทำไมผมต้องเน้นตรงนี้บ่อยๆ เพราะว่าอยากให้ข่าวประเสริฐจริงๆ ไปถึงลูกหลานเรา พระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่ ณ คริสตจักรที่ทำด้วยมือ เราแต่งให้สวย เราทำให้ดี เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยของพี่น้องที่มาชุมนุมด้วยกัน เรามีห้องน้ำที่ดี เรามีอะไรต่างๆ เหล่านั้น เพื่อประโยชน์ในการอยู่ด้วยกัน อยู่ร่วมกัน ใช้สถานที่นี้เป็นที่ชุมนุม เรียนรู้เรื่องพระคัมภีร์ หนุนใจกัน สอนกันในเรื่องข่าวดีของพระเจ้า ให้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น แต่ไม่ใช่สถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ว่าพระเจ้าจะอยู่ที่นี่ เพราะพระเจ้าอยู่ในเรา อยู่ในมนุษย์ นี่คือข่าวดี
ถ้าเราไม่พูดอย่างนี้บ่อยๆ พอนานๆ ไป ก็เลอะเทอะไปเรื่อยเปื่อย ไปหาพระเจ้าที่ไหน? ที่โบสถ์ … โบสถ์ไหน? ที่ศรีนครินทร์ หรือที่แพรกษาที่เรากำลังจะไป ไม่ใช่ สถานที่นั้นเป็นสถานที่ชุมนุมชนของผู้ที่เชื่อ ที่พระเจ้าเรียกเขามาชุมนุมกัน เพื่อจะใช้งานเขา ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ในวิถีใดวิถีหนึ่ง ในทางใดทางหนึ่ง โดยเฉพาะมารวมกัน เอเมนไหม? และมันเกิดขึ้นได้ โดยพระเจ้าเข้าไปทำงานในชีวิตของเขาแล้ว สถิตอยู่กับเขาแล้ว แล้วก็กล่อมเกลาเขา นำพาเขา ให้เขาเข้ามาลงไม้ลงมือสร้าง มันไม่เหมือนกับคริสตจักรสากลที่พระเจ้าลงมือสร้าง เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับมนุษย์ เพราะมนุษย์ทำอะไรไม่ได้เลย พระองค์ลงมือด้วยตัวเองเลย ก็คือพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราไม่ต้องเกี่ยวข้อง แต่หลังจากนั้น มาทำคริสตจักรที่ทำด้วยมือ เราต้องเกี่ยวข้อง เพราะเราเป็นมนุษย์ เราต้องลงไม้ลงมือ พระเจ้าจะไม่มาใส่ชฎา ลอยลงมา …
“วันนี้เราจะมาประชุมที่แพรกษา เพราะฉะนั้น จงเกิดอาคารขึ้น”
ไม่ทำอย่างนั้นนะ แต่พระองค์ทรงเตรียมประชากรของพระองค์ ผู้ที่ยอมให้พระเจ้าใช้ คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาแล้ว แล้วก็ยอมต่อไปเรื่อยๆ พระเจ้าก็จะนำเขามาร่วมกัน คนนี้เป็นช่าง คนนี้เป็นวิศวกร คนนี้เป็นนักการค้า คนนี้เป็นนักธุรกิจ คนนี้เป็นแม่บ้าน คนนี้เป็นคนธรรมดา ไม่ได้เป็นแม่บ้านด้วย เป็นพ่อบ้าน อยู่บ้านเฉยๆ ทุกคนมีส่วนร่วม แล้วพระเจ้าก็ทำงานผ่านในวิญญาณของเขา ให้เขายอมที่จะให้พระองค์ใช้ ทำอะไรก็แล้วแต่ เราก็จะเห็นภาพคริสตจักรของพระเจ้าก่อร่างสร้างขึ้นมา แต่ให้รู้ความจริงว่าเป็นคริสตจักรสมมติ แต่จริงๆ เรียกว่าสถานที่ชุมนุมชนของคนที่รู้จักพระเจ้ามาร่วมกัน
ฉะนั้น เราจะได้รู้ว่าเราควรจะให้เกียรติตรงไหน? อย่างไร? ขนาดไหน? ให้ถูกต้อง เพื่อจะได้รักษาข่าวประเสริฐนี้ต่อไป เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ถ้าบอกว่าจะไปหาพระเจ้า … พระเจ้าอยู่ที่ไหน? ไปมองกระจกเลย พระเจ้าอยู่ในตัวเรา เราต้องพูดให้ลูกหลานฟังอยู่เรื่อยๆ แต่มิได้หมายถึงที่ชุมนุมชนไม่สำคัญ … ที่ชุมนุมชนก็สำคัญ เพราะว่าพระเจ้าทรงตั้งขึ้น สถาปนาขึ้น แม้จะเป็นแหล่งสมมติว่าพระเจ้าสถิตอยู่ก็จริง แต่เป็นสถานที่ที่เราจะมาเรียนรู้จักพระเจ้า เราจะมาร่วมกันรับใช้พระเจ้า เราจะมาร่วมกันอยู่ในแผนการของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะทรงนำต่อไป ให้ข่าวดีของพระเจ้า ให้ความรักของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ไปถึงบรรดาผู้คนอีกมากมายเยอะแยะ ที่เขายังไม่รู้ความจริงในอดีตที่เราไม่รู้ ไม่มีความหวัง ตายลูกเดียว ให้เรามีความรักอย่างนั้น หนุนใจกัน ดูแลซึ่งกันและกัน และจับมือกัน ช่วยคนอื่นเขาต่อไป
ถามว่าช่วยอย่างไร? ช่วยตามน้ำพระทัยพระองค์ ตามแต่พระองค์จะทรงนำไป เราไม่รู้หรอกอนาคตจะเป็นอย่างไร? แต่เรารู้อย่างเดียว มีความหวังชัดเจนแน่วแน่ว่าพระเจ้ากำลังนำเราอยู่เดี๋ยวนี้ เรามีชีวิตอยู่ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่ออนาคตอย่างเดียว เรามีชีวิตอยู่ เรามีความหวังแน่นอน ความหวังของเรา คืออนาคตสุดท้ายเลย คือเราไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์ เราสบายแล้ว แต่การอยู่บนโลกนี้ เราต้องหวังเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ รอหวังว่าปีหน้าจะทำอันโน้น ปีหน้าจะทำอันนี้ ไม่ใช่วางแผนไม่ได้ วางแผนได้ แต่เราไม่รู้ พระคัมภีร์บอกว่าอย่าบอกนะว่าพรุ่งนี้จะไปทำอะไร? เพราะไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้ ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า? แต่ทำวันนี้ ให้ดีที่สุด วันนี้ท่านจะทำอะไร? ทำเดี๋ยวนี้ ท่านจะรับใช้พระเจ้า ท่านจะยอมรับใช้พระเจ้า ท่านจะมีส่วนในการดูแลที่ชุมนุมชนของพระเจ้า อย่างไรบ้าง ให้พระเจ้าเปิดตา ให้พระเจ้าเสริมกำลัง และทำมันเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องมาบอกพระเจ้า …
“พระเจ้า ลูกหวังว่าอีก 3 ปีข้างหน้า ลูกจะอย่างนั้น”
ไม่ต้องสัญญากับพระเจ้าเลย เอาวันนี้ ทำวันนี้ เท่าที่วันนี้ทำได้ สมมติวันนี้ มีอยู่พันหนึ่ง เหลือจากสิ่งจำเป็นต้องใช้สอยจริงๆ ในชีวิตประจำวันแล้ว พันหนึ่งนั้น จะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องบอกพระเจ้าว่า …
“พ่อ ตอนนี้มีอยู่พันหนึ่ง ถ้าเผื่อมีล้านหนึ่งเมื่อไรนะ ลูกจะทำอันโน้นอันนี้”
ไม่ได้ทำหรอก ทำมันเดี๋ยวนี้ ทันที พรุ่งนี้ก็ไม่รู้จะมีโอกาสหรือเปล่า? เราจะเปลี่ยน หรือพระเจ้าหมดหน้าที่การงานบนโลกใบนี้แล้ว จบแล้ว พระเยซูกลับมาใหม่ หรือเราจบชีวิตเราก็ตาม เราไม่มีโอกาส เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เรามีโอกาสของเรา ก็ทำอย่างนั้นแหละ วันนี้เลยถือโอกาสมา Happy birthday ที่ชุมนุมชนที่เราอยู่ร่วมกันที่นี่ คือคริสตจักรสมมติ ที่เป็นชื่อเดียวกันกับในพระคัมภีร์ คืออภิสุทธิสถาน หรือ Holy of Holies ครบรอบ 26 ปี ใครอยู่มา 26 ปียกมือขึ้น เยอะแยะไปหมดเลย บางคนอยู่ 27 ปี คืออยู่ตั้งแต่ก่อนจะมาเป็นคริสตจักร หลายคน ที่ไม่ยกมือ หลายคน 27, 28 ปี เห็นหน้ากันมาตลอด
ก็ขอบคุณพระเจ้า ที่เราได้เห็นการเจริญเติบโต อย่างที่ผมบอก การเจริญเติบโตที่สำคัญที่สุด คือการเจริญเติบโตของสมาชิกหรือผู้เชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่ การเจริญเติบโตของคริสตจักรสมมติ ที่เรามองกัน แต่การเจริญเติบโตทางวิญญาณ คุณภาพทางวิญญาณของคนนั้นที่เชื่อในที่ชุมนุมชนนี้ มันเป็นที่หนุนจิตชูใจเราอย่างมาก ใน 26 ปีนี้ เราเห็นเยอแยะมากมาย มีผู้คนได้เปลี่ยนชีวิต และเป็นเครื่องมือของพระเจ้า ในการใช้สอยในชีวิตของเขามากมาย ยิ่งกว่าอัศจรรย์ เราได้เห็นหลายคน ได้รับอัศจรรย์แบบวัตถุ แต่เราได้เห็นหลายคนที่อัศจรรย์กว่านั้น ก็คือไม่ได้เกี่ยวกับวัตถุ แต่เกี่ยวกับชีวิตเปลี่ยนแปลง ครอบครัวเปลี่ยนแปลง สิ่งรอบข้างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ก็เป็นไปได้ หรือหลายคน ที่ไม่น่าจะมาถึงวันนี้เลยนะ เพราะอุปสรรค ปัญหามันเยอะเหลือเกิน แต่ในที่สุด เขาก็ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหา จนทุกวันนี้เขาก็เจริญเติบโต เข้มแข็งในทางวิญญาณอย่างมาก และยังเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้อีกด้วย ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก
วันนี้ จึงขอบคุณพระเจ้า ในโอกาสฉลองครบรอบ 26 ปีด้วยกัน … 26 ปีนี้ เราย้ายมาหลายแห่ง แล้วเราก็ไม่ได้คิด ไม่ได้คาดหวังว่าวันหนึ่งจะต้องมีที่ดินของตนเอง ถามว่าอยากได้ไหม? ก็อยากได้ แต่ก็แล้วแต่พระเจ้า อย่างที่บอกว่าเมื่อเรารู้ความจริงแล้ว ทุกอย่างก็อยู่ที่พระเจ้า ก็อธิษฐานต่อไป
มาถึงปีนี้ 26 ปี ขอบคุณพระเจ้าอย่างมากๆ เลยว่าสิ่งที่น่าดีใจมากกว่านั้น ไม่ใช่ที่ดินที่เราจะได้มาก่อสร้างสถานที่ชุมนุมชน สำหรับลูกหลานเรานะ เราใช้ได้แน่ๆ อยู่แล้ว แต่ลูกหลานเราจะได้ใช้ด้วย เพราะว่าคราวนี้เราจะไม่ต้องย้ายไปไหน? ลูกหลานก็จะอยู่ที่แพรกษานี้ ไปจนตลอด จนพระเยซูกลับมานั่นแหละ
สิ่งที่น่ายินดี ไม่ใช่สถานที่ที่ได้รับ ท่านลองคิดดู ที่ยินดี ก็เพราะว่าเราได้คุยกันบ่อยๆ ในพระคัมภีร์ ผมได้ย้ำอยู่เรื่อยๆ แล้วย้ำมากๆ บ่อยๆ ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงการถวายทรัพย์ ซึ่งผมไม่ค่อยได้พูดถึงเรื่องเหล่านี้ นานๆ จะถูกทีหนึ่ง พอพูดทีไร ผมก็จะบอกเสมอว่าความรักในทางพระเจ้า คือการให้ … ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้มือซ้าย มือขวาไม่รู้ ให้มือขวา มือซ้ายไม่รู้ ให้โดยไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องการเกียรติ ไม่ต้องการคำชม ที่ผมบอก นั่นแหละ คือการให้จริงๆ เราต้องฝึกใช่ไหม? ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสพูด ผมก็จะบอกมาถึงเวลาฝึกฝนในการถวายทรัพย์ ฝึกฝนในการรู้จักให้ แล้วมันก็เกิดผล … เกิดผลตรงไหน? ตรงที่ 2 โครินธ์ 9:6 ที่ผมบอกอยู่บ่อยๆ จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตะหนี่ ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวาง ก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก แต่ละคนที่เขาควรจะเป็น ที่เขาคิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเล หรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือ แก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะได้มีทุกอย่างที่จำเป็น อยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือ สำหรับการดีทุกอย่าง เหมือนที่เขียนไว้ว่าเขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน ความชอบธรรมของเขาจะดำรงอยู่เป็นนิจ
ถามว่าตรงนี้ ดีใจตรงไหน? ดีใจตรงที่สถานที่ที่เราได้ จะไปสร้างสถานชุมนุม ที่นมัสการของเรา อีก 3 ปีข้างหน้า ผู้ที่ให้ ได้แสดงเจตจำนงค์ตั้งแต่แรกแล้ว … เคยได้ยินไหม แต่ก่อนเขามีบริจาคน้ำท่วม ที่ออกทีวี แล้วมีคนโทรศัพท์เข้ามาบริจาค เราจะได้ยินว่าคนนี้บริจาคเท่าไร? ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เท่าไร? ก็ย้อนกลับไปที่บอกพี่น้องของเรา ผู้นี้ยืนยันบอกว่าผมขอ 2 อย่างเท่านั้น …
อย่างแรก คือให้เอาไปเร็วๆ หมายถึงให้รับโอนเร็วๆ เอาไปใช้เลย รีบๆ
อย่างที่สอง คือผมขออยู่อย่างเงียบๆ ไม่ต้องบอกว่าใครเป็นคนให้เลย
สิ่งนี้มันน่ายินดีกว่าที่ดินอีก ที่ดินเมื่อไรได้ ก็ได้ เมื่อพระเจ้าจะให้ แต่ตรงนี้ พระเจ้าทำก็ไม่ได้ ต้องคนๆ นั้นยินยอมให้พระเจ้าค่อยๆ สร้างเขาขึ้นมาในความเชื่อ ต้องค่อยๆ ได้รับการสอน ได้รับถ้อยคำพระเจ้าในแต่ละครั้ง แต่ละวัน แต่ละคำบรรยาย ที่เขาฟัง ฟังเพื่อให้โลภมากขึ้น ฟังเพื่อให้ลด ให้ละมากขึ้น ฟังให้เกิดความเบียดเบียน หรือเห็นแก่ตัวมากขึ้น หรือฟัง เพื่อให้เกิดความเสียสละมากขึ้น เขาได้ตรงไหนไป? แล้วถามว่าพระเจ้าต้องการอะไร? พระเจ้าต้องการกล่อมเกลาจิตวิญญาณของเรา โดยคำบรรยาย โดยคำเทศนาของศิษยาภิบาล หรืออาจารย์ต่างๆ ตลอดเวลา ทุกอาทิตย์ๆ หรือวันธรรมดาเอาไปฟัง เพื่อให้ความคิดเขาเปลี่ยนแปลง ให้เหมือนน้ำพระทัยพระเจ้า ให้เขาดำเนินชีวิตเหมือนวิญญาณเขาได้เกิดใหม่ เหมือนพระเจ้า วิญญาณที่เรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่เย่อหยิ่งผยอง เป็นคนที่เสียสละ ให้เขาฝึกฝนที่จะใช้ความรักนั้น ที่อยู่ข้างในตัวเขาออกมาข้างนอก ซึ่งโลกนี้กำลังต้องการ และนี่คือผลของมัน ที่ได้แล้ว ไม่ใช่ อธิษฐานเมื่อวานแล้วได้ มันต้องค่อยๆ ใช้เวลาฝึกฝนทีละนิดทีละหน่อย
นี่คือสิ่งที่น่ายินดีมาก และผมก็ลืมไป เพราะว่าได้คุยกันเมื่อปลายปีที่แล้วว่าเจตจำนงค์ของพี่น้องท่านนี้ต้องการอะไร? ก็รับรู้ไว้ แล้วก็บอกว่าโอเค ผมกับคณะกรรมการจะรีบจดทะเบียนมูลนิธิฯ ก็ไปปรึกษาทางฝ่ายกฎหมายว่าจะทำอย่างไร? ถึงจะปลอดภัยที่สุด สำหรับการบริหารที่ดินนี้ เขาก็บอกว่าใช้ในนามมูลนิธิดีที่สุด ก็ไปจดทะเบียนมูลนิธิ ก็คิดว่าเมื่อมันเสร็จแล้ว จด เพื่อที่จะโอนที่ดินเข้ามูลนิธิ แรกๆ เขาบอกใช้เวลา 2, 3 เดือน ก็เสร็จแล้ว ปรากฏว่าเลยมา 7, 8 เดือนแล้วมั้ง เนื่องจากมูลนิธิเก่าที่มีอยู่ มันเยอะมาก แล้วใช้เส้นสายไปจดกันเละไปหมด จนกระทั่งมั่วบ้าง มีของปลอมบ้าง เขาจึงต้องการสังคยาณา เอาของเก่าให้มันเรียบร้อยไปก่อน อันไหนไม่ใช่ก็ตัดทิ้ง ไปตรวจสอบอันเก่าให้เรียบร้อยก่อน แล้วอันใหม่ เขาก็ค้างไว้ เขาว่านะ ก็อยู่ในคำอธิษฐานต่อไป
กลับมาเมื่อตะกี้นี้ ปรากฏว่าก็รอ ไม่ได้สักที พี่น้องท่านนี้ก็ถามอยู่เรื่อย เมื่อไรจะมารับไปสักที ก็มันยังจดไม่ได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่ผมสัญญากับที่ประชุมไว้หลายปีแล้วว่า 3 ปีสุดท้ายของสัญญาที่เช่าที่นี่ ผมต้องประกาศแล้วว่าเราจะไปไหน? ทุกคนจะได้เตรียมตัวว่าใครจะไปไหน? อธิษฐานร่วมกันอย่างไร? เพราะว่ามีเวลาอยู่ 3 ปีเท่านั้น ก่อนหน้านี้จะไม่พูดเลย เพียงแต่บอกว่ามันเหลืออีกกี่ปีเท่านั้น แต่บอกแล้วว่าถ้าภายใน 3 ปี จะบอกหมดว่าจะทำอะไรอย่างไร? จะได้มีเวลาเพียงพอ ก็ครบรอบวันนี้ คือเหลืออีกประมาณ 3 ปี ก็ต้องบอกวันนี้ว่าแผนการเราจะไปที่ไหน? ก็เลยต้องแจ้ง โดยที่ยังไม่โอนที่ดินมา และมูลนิธิก็ยังไม่เสร็จ อยู่ในการจดทะเบียนอยู่ ก็เลยจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อบอกกล่าวกันทุกคนแล้วว่าทุบหม้อข้าวแล้วนะครับตอนนี้ ตัวใครตัวฉันแล้วนะ เรากำลังจะไปที่ไหน? เมื่อไร? อย่างไร? เพื่อทุกคนจะได้ตื่นตัว ก็เลยบอกล่วงหน้า วันนี้จะบอกความคืบหน้าว่าเราจะย้ายไปไหน? หลายคนก็ถามตลอด เราจะไปอย่างไร? อย่างที่อาจารย์นำบอก อยากอยู่ที่เดิม เพราะแน่นอนความสบาย มันขี้เกียจ ไม่อยากไปไหนแล้ว แต่นั่นแค่เศษๆ เพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยตัวเราเอง เราอยู่ด้วยน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้เราไป เราก็ไป
วิธีที่รู้ว่าพระเจ้าต้องการให้เราไป คือพระเจ้าไม่ให้เราอยู่ เขาก็ไม่ให้เราอยู่ เราก็ต้องไป
ก็เลยต้องมาบอกในวันนี้ วันเริ่มต้นของแคมเปญการย้ายสถานที่ รู้แล้วตอนนี้ชัดเจน ขับรถไปดูกันเอง ไปอธิษฐานกันเอง
พี่น้องเราท่านนี้ที่ได้ถวายที่ดิน ใช้สถานที่แพรกษาเป็นที่ชุมชน ใช้ประโยชน์ในการประกาศข่าวดี แล้วให้พี่น้องศึกษาเรื่องพระเจ้า ได้ย้ำยืนยันแล้วว่าเจตนารมณ์ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาถวาย ผมก็ลืมไป นึกว่าวันนี้ว่าจะติดต่อเชิญมา เพื่อทำพิธีให้ทุกคนได้รู้ว่านี่คือโฉนด? นี่คืออะไร? นิดเดียวๆ เลยให้ทางคณะกรรมการเขาติดต่อไป พี่น้องท่านนี้ก็พูดและยืนยันกลับมาเหมือนเดิม ผมดีใจมากเลย ยืนยันมาบอกว่า …
“ขออภัยด้วยนะครับ ถ้าให้ขึ้นไปเป็นพยานเรื่องพระเจ้า โอเค พูดได้ แต่ถ้าให้ขึ้นไปแสดงตนว่าเป็นผู้ให้ ขออยู่เงียบๆ นะครับ”
มันชื่นใจ บางทีทำอะไรเยอะแยะ ก็ลืม ลืมไปว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราบอกตั้งแต่แรกแล้ว ฝึกฝนตัวเอง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ให้มือขวา อย่าให้มือซ้ายรู้ ให้ไป ไม่ต้องมีใครรู้เลย เงียบๆ ยิ่งเงียบยิ่งดี เอเมนไหม?
นี่คือตัวอย่างอันหนึ่งที่ได้เอามาหนุนจิตชูใจกัน สำหรับผมแล้ว ผมถือว่าอัศจรรย์มากกว่าที่ดินที่เราจะได้ไปอยู่ร่วมกัน และใช้สถานที่ที่เป็นของเราจริงๆ แล้วจะไม่ต้องถูกเขาไล่ไปไหนอีกแล้ว ผมว่าตรงนี้อัศจรรย์กว่า มันมีโอกาสเป็นอย่างนี้ได้น้อยมาก สำหรับผู้คน ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเดียว แต่ผู้คนในปัจจุบันนี้ มันเป็นได้น้อยมาก ทำดี แล้วไม่เอาหน้า ผมว่ามันยากมากจริงๆ บางทีเราไม่อยากได้หน้า แต่คนอื่นเขาเผลอชมนิดหนึ่ง เราก็เผลอสวมกอดเลยนะ เราก็รับเลย พอรับไปนานๆ มันก็จะเหลิงไป นึกออกใช่ไหม? สมมติว่าย้อนกลับมาที่พี่น้องคนนี้อาจจะปล่อยเลยตามเลย
“อ้าว! ก็อาจารย์เขาเชิญแล้ว”
ก็ไปเลย แต่เขายังรักษาเหมือนเดิม เหมือนเมื่อหลายเดือนที่แล้วว่าไม่ต้องการให้ใครรู้ มันตรงพระคัมภีร์ ให้ด้วยใจ ไม่ตะหนี่ มีความคิดในใจ ให้ คือให้ ไม่ใช่ลงทุน การให้ แล้วหวังว่าเราจะได้เกียรติกลับมา คือการลงทุน การให้ เพื่อหวังว่าพระเจ้าจะอวยพรเรากลับมาเยอะแยะ คือการลงทุน แต่การให้ เพราะรัก … ความรัก คือเห็นผู้คนเขาลำบาก เขายังไม่รู้จักพระเจ้า ไปแถวไหน? อาจเป็นพระพร สำหรับเขา เด็กแถวนั้นอาจไม่มีที่เรียน อาจจะสร้างเป็นโรงเรียน เราคิดล่วงหน้าไว้แล้วนะ แต่ก่อนหน้านี้ ก็เคยคิดว่าอยากจะเป็นโรงเรียน เด็กแถวนั้นจะได้มาเรียนหนังสือ อะไรแบบนั้น แต่เราไม่รู้หรอกว่าพระเจ้าจะทำอะไร? การให้ คืออย่างนี้
เพราะฉะนั้น เลยอยากหนุนใจพวกเราทุกคนที่มีส่วนในที่ประชุมแห่งนี้ ในอนาคตอันใกล้นี้ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ให้ตั้งใจอย่างนี้ พระคัมภีร์ก็บอกว่าพระเจ้าพอพระทัยมาก คือพอพระทัยให้เราทำตามที่เราเป็น คือวิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า เต็มไปด้วยความรัก เหมือนพระเยซู เพราะฉะนั้น เราทำเหมือนพระเยซู ฝึกฝนเหมือนที่พระวิญญาณสอนและนำพาในชีวิตเราแต่ละวัน และพระองค์พอใจมากที่สุด อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมแบบนี้แหละ ร่วมเท่าที่เราเป็นอยู่ ผมบอกเลยนะว่าถ้าพูดถึงวัตถุสิ่งของ ไม่ต้องพึ่งเลย พระเจ้าผู้เดียวทำได้ทุกอย่าง แต่พึ่งเรา เพื่อที่จะสร้างเราแต่ละคนขึ้นมา เพื่อจะใช้เราต่อไป ในการประกาศข่าวดีของพระองค์ ไม่ใช่สร้างเรา เพื่อเราจะมีเงิน เอาของมาให้ ไม่ใช่ สร้างเรา เพื่อให้เรามีคุณภาพ ในชีวิต ที่จะเป็นพยานด้วยชีวิตของเรา ให้กับผู้อื่น รอบข้างเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหลาน เหลนโหลนเรา สำคัญที่สุด
บางทีเราดู เราคิด เหมือนใกล้ๆ นะ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ มันเป็นแผนการยาว ไกลมาก พระเจ้าไม่ได้มองชีวิตเราแค่นี้ พระเจ้ามองไปทะลุถึงลูกหลาน เหลนโหลนเรา ไปถึงครอบครัว ต่อเนื่องกันเยอะแยะไปหมดเลย นี่คือสายพระเนตรพระเจ้า ไม่ใช่มองดูแค่สั้นๆ ว่าเราได้ เราให้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราอยู่ในโลกใบนี้ เราคงจะได้ดี ต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่วิธีนั้น ในทางพระเจ้า คือดูแลเราด้วยความรักและวางแผนไว้สำหรับความรักนั้น จะได้เผื่อแผ่ไปยังบรรดาผู้คน ที่เขาตกทุกข์ได้ยาก ลำบากที่สุด ก็คือไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักข่าวดี ไม่มีความหวังในชีวิตนิรันดร์ ไม่มีความหวังในสวรรค์เลย ไม่รู้จักอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ก็คนตาบอดนั่นเอง เราที่รู้แล้ว ตาสว่างแล้ว อย่างไรก็ไปรอดแล้ว เราควรจะนึกถึงคนที่เขาตาบอด เราควรจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อให้ความรักนี้ ไปถึงพวกเขา เหมือนพวกเราในที่นี้
นี่คือสิ่งที่พระเจ้าอยากให้มันเกิดขึ้น ในวิญญาณของเรา โดยไม่ถูกบังคับ โดยสบายๆ ถ้ายังทำไม่ได้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิด เดี๋ยวพระวิญญาณจะค่อยๆ กล่อมเกลาท่านทีละนิด ทีละหน่อย ให้เปลี่ยนแปลง ค่อยๆ มีความรักอย่างนี้แน่นอน เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าให้มาสถิตกับเรา เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ไม่ใช่ เพื่อแค่ทำการอัศจรรย์ร่างกายเราอย่างเดียว แต่ทำการอัศจรรย์กว่านั้น คือเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอของเรา ให้เป็นเหมือนพระเยซู ซึ่งคือวิญญาณข้างในนั่นเอง เอเมน
เราไม่ได้หวัง แค่พระวิญญาณอยู่กับเรา แล้วอัศจรรย์เกิดขึ้น อาจจะมี หรือไม่มี ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญควรจะมี ก็คือชีวิตเราควรจะเปลี่ยนแปลงนะ ไม่ใช่ บอกเชื่อพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยสักนิดหนึ่ง ผมว่ามันไม่น่าใช่ มันต้องมีเปลี่ยนแหละ แล้วใครรู้ ตัวเราเองแหละรู้ มากน้อยเพียงใด
นี่ก็เอามาเป็นสิ่งที่ได้คุยกันในวันนี้ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราก็จะเริ่มรณรงค์ ให้ทุกคนมีส่วนเข้ามาอยู่ในนี้ จำไว้เลยนะ ไม่ใช่รณรงค์ เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากทุกคน เข้ามาช่วยพระเจ้า ในการสร้างอาคารไม่ใช่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เพลงเมื่อตะกี้เราร้อง ก็ร้องผิดหมดเลย ที่ร้องว่า พระเจ้ายิ่งใหญ่ มันก็ไม่ยิ่งใหญ่จริง พระเจ้ายังต้องการให้เราช่วยเลย แล้วเราจะให้พระองค์ช่วยอะไรเรา แล้วพระเจ้าจะใหญ่ได้อย่างไร? ไม่จำเป็น เพราะอย่างไรมันก็เสร็จอยู่แล้วล่ะ เอเมนไหม? สถานที่ประชุมที่แพรกษา มันเกิดขึ้นในวิญญาณตั้งนานแล้ว ถ้าเป็นน้ำพระทัย วางแผนไว้พระเยซูจะมาตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มันเกิดขึ้นก่อนหน้า 2,000 ปีแล้ว พระองค์บอกไว้ล่วงหน้าก่อนว่ามันจะเป็นอย่างนั้น และพอถึงวันจริงๆ มันก็เกิดขึ้นตามที่เป็น แล้วเรามีส่วนเกี่ยวข้องอะไร? ก็คือพระเจ้ากำลังทำงานของพระองค์ … พระองค์ต้องการให้พวกเรามีส่วนเข้ามาร่วม เพื่อจะใช้ชีวิตเราให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นรอบข้างเรา โดยเฉพาะลูกหลาน เหลนโหลน เรายินยอมไหม? แค่นั้นเอง อย่าไปคิดนะว่าท่านต้องกลับไปทำงานให้หนักขึ้น เพื่อจะเอาเงินมาช่วยพระเจ้า อย่าไปคิดว่าท่านจะกลับไปเทกระปุกให้หมดเลย มันเหลือเท่าไร จะเอามาให้หมด อย่าไปคิดอย่างนั้น แต่ถ้าพระเจ้านำท่าน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งของใครของเขา แล้วแต่ แต่กำลังจะบอกให้ว่าอย่าใช้ความรู้สึก เข้าใจใช่ไหมครับ
ขนาดพี่น้องที่มอบที่ดินนี้ ครั้งแรกมา ผมบอกให้กลับไปคิดดูก่อน คิดดีๆ ไม่ได้บอกดีใจ เอามาเลย กำลังอยากได้พอดีเลย คิดดูก่อน ไม่เป็นไรนะ ไปประชุมทั้งครอบครัวเลย ไม่ให้ก็ไม่เป็นไรนะ อย่ามีความรู้สึกว่าตอนนี้จะให้ เราต้องการของจริงๆ ไม่ใช่รู้สึกว่ามา เราดีใจ เราก็จะสร้างบาปให้กับครอบครัวนั้น เพราะมันไม่ใช่ เมื่อไม่ใช่ ความรู้สึกโลภ อยากได้ด้วย ก็เลยทั้งสองฝั่งรู้สึกไม่ใช่การนำ ในที่สุด ก็จบด้วย อวสานด้วยโศกนาฎกรรม ไม่มีใครผิดนะ แต่โศกนาฎกรรม มันไม่สวยงาม
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ เมื่อกี้บอกว่าให้สบายใจกันทั้งคู่ ทั้งสองฝั่ง คนรับก็สบายใจ ไม่ต้องเร่งรับ แล้วก็ไม่ต้องบอกมาแล้ว ฉันต้องรีบเอา เดี๋ยวเขาไม่ให้ ที่นี่รับรองได้ว่าไม่มีอย่างนั้นเลย บอกแล้วว่าได้ทำอย่างนี้มาตลอด แล้วครั้งนี้ก็ยังทำอยู่นะ ที่บอกว่ารอให้มูลนิธิจดเรียบร้อย แล้วประกาศ ก็เป็นส่วนหนึ่ง ในวิธีการรับของถวาย จากพี่น้องที่จะมาร่วมกันสร้าง เหมือนกัน ก็คือไม่อยากจะบีบบังคับว่าในขณะที่รอการจดทะเบียน พี่น้องสามารถเปลี่ยนใจได้นะ ก็รอจนกว่าวันสุดท้าย เมื่อไปโอน อันนั้นมันจบแล้ว
ให้เราทุกคนมีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน ส่วนท่านจะไปสัญญากับพระเจ้าอย่างไร? ไปอธิษฐานกับพระเจ้า เป็นแบบกันเองอย่างไร? เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง มีหลายคนก็ทำอย่างนี้ ผมก็เคยทำอย่างนี้ คือเหมือนสัญญาพ่อลูก ไม่ใช่สัญญาแบบติดสินบน บางทีผมใช้วิธีนี้
“พระเจ้า ฟังดูแล้ว โครงการนี้ (ครั้งที่แล้ว ที่ย้ายมาที่นี่) ลูกอยากมีส่วนร่วมมากเลย ลูกตั้งใจไว้ว่าจะมีส่วนสักเท่านี้ๆ ถ้าเป็นไปได้ …”
อย่างนี้ได้ ส่วนตัว แล้วไม่ต้องเอาตรงนี้มาบอกผม บอกศิษยาภิบาล ผมอธิษฐานแล้ว ผมอยากจะให้ส่วนนี้ ไม่ต้อง คุยกับพระเจ้าเป็นส่วนตัวเลย ให้ก็ให้ ไม่ให้ก็ไม่ให้ ไม่เป็นไร? ไม่ต้องมาบอกคริสตจักรว่า …
“ผมตั้งใจจะสร้างอาคารให้ 10 ล้านบาทเลย ถ้าผมกำไรจากตรงนี้”
ไม่ต้อง ไม่มีก็ไม่มี มี 10 บาท ก็เอา 10 บาทมา พอแล้ว นั่นแหละ มีความสุข เข้าใจใช่ไหมครับ ผมไม่รู้จะอธิบายให้ฟังอย่างไร? เรื่องเหล่านี้ ต้องค่อยๆ เล่าสู่กันฟัง เพราะว่าเงินทองของบาดใจ พูดอะไรมากไม่ได้ มันเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น ให้มีความรู้สึกสบาย แล้วก็สงบ แล้วก็ไม่ทำลายความเชื่อของตัวเอง การทำลายความเชื่อของตัวเอง คือเราคาดหวังไว้สูง แล้วเราใช้ความรู้สึก แล้วมันทำไม่ได้ เพราะเราใช้ความรู้สึก ไม่ใช่ความเชื่อ ความรู้สึกวันนั้น มันเป็นอย่างนี้ สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างนี้ ทำให้เกิดรู้สึกอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่ความจริง แล้วมันเป็นไปไม่ได้ แล้วเรามานั่งฟ้องผิด วุ่นวายไปหมด บางคนบางทีไปแอบเอาเงินลูกมาถวาย เพื่อจะสร้างโบสถ์ แล้วในที่สุด ลูกรู้เข้าทีหลัง สมมติลูกยังไม่เชื่อ แล้วเกิดอะไรขึ้น โศกนาฎกรรมไหม? เห็นภาพเลยนะ คนไปเอามา คือแม่นะ แต่เป็นเงินของลูก แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรไปเอาเงินของเขา ต่อให้เป็นเงินของคุณเอง คุณก็ไม่ต้องให้ ถ้าเผื่อคุณไม่พร้อมที่จะให้ นี่เงินของลูกนะ หรือเงินของสามีก็ตาม หรือภรรยาก็ตาม จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม อย่างนี้เป็นต้น ถ้าไม่มีสันติสุข ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้ามาจากพระเจ้า ต้องมีสันติสุข ต้องพร้อมๆ กัน สามีภรรยา ใช่ นี่เป็นเงินของเรา สิทธิของเรา ไม่ใช่เงินลูก ไม่ต้องถามลูก เราก็ตัดสินใจได้เลย แต่ถ้าเป็นเงินของลูก ลูกให้เราแล้ว ก็เป็นของเราแล้ว อย่างนี้ได้ แต่ไม่ใช่ เป็นเงินบัญชีของลูก ลูกถวาย ตื้อลูกทุกวัน แล้วลูกก็ไม่ได้เชื่อพระเจ้าสักทีหนึ่ง เพราะพ่อแม่ทำอย่างนี้ จึงไม่เชื่อ ลูกก็คงคิดว่า …
“ไงแม่ร้องอยู่บ่อยว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ๆ ให้ลูกไปช่วยพระเจ้า ดูสิ”
อย่างนี้ คือสิ่งที่ผมว่ามันไร้สาระ คิดให้ดีๆ เรามาเชื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เรากำลังเชื่อว่าพระเจ้าเป็นจริง พระเจ้าช่วยเราได้ เสร็จแล้ว เราก็มาบอกว่าเรากำลังจะช่วยพระเจ้า เราให้พระเจ้าทำอย่างนี้ดีกว่า ให้พระเจ้าทำการงานผ่านชีวิตเรา ถ้ามันเป็นไปตามนั้นได้ ก็ดี ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้สึกฟ้องผิด แสดงว่าพระเจ้าต้องการใช้เราแค่นี้เอง ถ้าเรามีส่วนในการสร้างอาคารได้ ตามที่เราเคยคิดก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ ก็แสดงว่าพระเจ้าต้องการให้เรามีส่วนร่วมในงานนี้เท่านี้ พอแล้ว เอเมนไหม? ถ้าพระเจ้านำพาเราผ่านทางการอธิษฐาน เราสามารถอธิษฐานให้ทุกคืนเลย เรื่องเกี่ยวกับอาคารที่จะก่อสร้างที่นี่ ทุกคืนเลย คืนละ 10 นาที 5 นาที ถ้าเราทำได้ ทำไป ถ้าคนข้างๆ เขาทำได้แค่นั้น เขาหลับ เขาลืมไป ก็ไม่ต้องไปว่าเขา พระเจ้าก็ใช้เขาอย่างนั้น เข้าใจใช่ไหมครับ ไม่ใช่เอามาเปรียบเทียบว่า …
“ฉันอธิษฐานทุกคืน เธอไม่อธิษฐานเลย ทำไมอย่างนี้”
แค่พูดแค่นั้น คนที่อธิษฐาน ก็สอบตกแล้ว
“ฉันมีส่วนร่วมอธิษฐาน ไม่เห็นมีใครอธิษฐานเลย”
มนุษย์เราจะเป็นอย่างนี้ ทำๆ ไป แล้วเพลิน
“ฉันทำงานจนเหนื่อยจะตาย ไม่เห็นมีใครทำอะไรเลย”
มันจะเป็นเพลิน ไปดูสถานที่ใหม่สิ ทุกคนช่วยกันอย่างนั้น คนนี้ไม่ช่วยเลย มันเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องเรา เราได้แค่ไหน ก็แค่นั้น ถ้าเราเอามาเปรียบเทียบกัน เราก็จะกลับกลายเป็นคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ถ้าเราเชื่อพระเจ้า เราต้องมั่นใจว่าวันนี้วันเกิดของพระเจ้า พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะเป็นผู้นำพาเขาเอง ถ้าเขาทำได้แค่นั้น แสดงว่าพระเจ้านำพาเขาแค่นั้น พระวิญญาณบอกเหมาะสมแล้ว พระวิญญาณที่อยู่กับเรา ให้เราทำเหมือนเยอะกว่า ก็เพราะว่าเราเหมาะสมอยู่อย่างนั้น และถ้าเราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับเขา เขาทำน้อยกว่า แล้วเราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนที่ทำได้เยอะกว่า เราก็ตายลูกเดียว เราก็เครียด รับใช้ไปเครียดไป ไม่ใช่ วิธีรับใช้พระเจ้า คือยอม แค่นั้นเอง ไม่ใช่วิธีรับใช้พระเจ้า คือพยายามๆ ทำด้วยตัวเอง ไม่ใช่ ไม่ต้องพยายาม วิธีรับใช้พระเจ้า คือยอมให้พระวิญญาณทำงานผ่านชีวิตของเรา เอเมน มันต่างกันกับว่าวิธีรับใช้พระเจ้า ต้องพยายามทำนะ อันนี้ไม่ใช่วิธีรับใช้พระเจ้า เราไม่ได้เป็นทาสอย่างนั้นต่อไปแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตอยู่กับเรา ต่อให้เราไม่ทำอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่อธิษฐานด้วย สำหรับโครงการนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังสถิตอยู่กับเราไหม? อยู่ แล้วพระวิญญาณยังทำงานอยู่ในชีวิตเราไหม? ทำ แล้วพระวิญญาณทำเหมือนกับคนอื่นๆ ไหม? ทำ
ก็วางใจ ยอมรับว่าจะเป็นอย่างนั้น วางใจในพระองค์ไว้ ถึงเวลา พระองค์จะทรงกระทำอย่างอื่นเอง มันจะได้มีความสุข เราก็มีคุณค่าเท่าคนอื่น ไม่ใช่ คนอื่นเขาทำเยอะ เราทำน้อย เราก็เศร้าใจ
“ทำไมฉันทำได้แค่นี้ ฉันเป็นคนด้อย”
ด้อยอะไร? เราเป็นลูกพระเจ้าเท่ากันเลย ไม่ต่างอะไรกันเลย ไม่ว่าจะเป็นศิษยาภิบาล คนมอบที่ดินที่นี่ หรือจะเป็นคนมอบอาคาร หรือเป็นแค่อธิษฐานให้ มีค่าเท่ากัน ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย แม้แต่นิดเดียว เราต้องทำความเข้าใจตั้งแต่วันแรกนี้ เรากำลังเริ่มแคมเปญนี้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องในทางของพระเจ้าอย่างไร? ทุกสิ่งที่พูดมานี้ อยู่ในพระคัมภีร์ทั้งสิ้น แล้วเราได้เรียนรู้กันมาตลอด ให้ฝึกฝนกันมาตลอด นี่แหละคือความรัก นี่แหละคือความจริง นี่แหละคือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่ออกมาเป็นความรัก ที่สำแดงแล้ว ที่ออกมาในพระเยซูคริสต์ แล้วเราทุกคนต้องมีส่วนอย่างนี้แหละ
และเราถือโอกาสอย่างนี้ ซึ่งเป็นวันดี ที่เป็นวันที่เราระลึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือพระเจ้า เข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เป็นครั้งแรก โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ดำเนินการ เคลื่อนไหวในชีวิตของเรา ร่างกายของมนุษย์ที่ยินยอมให้พระองค์เข้ามา คือเปิดใจต้อนรับพระเยซู ยอมรับว่าพระองค์เป็นผู้ช่วยให้รอด ตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปและเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว 2,000 ปีมาแล้ว รับสิทธินี้ไว้ ทันทีทันใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาบัพติศมา คือจุ่มเราเข้าไปในฤทธิ์เดช หรือเรียกว่าไฟแห่งพระวิญญาณ ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ กลายเป็นลูกของพระเจ้าทันที ทำอย่างนี้มาแล้ว เริ่มทำมาแล้ว 2,000 ปีแล้ว ทุกวันนี้กำลังทำอยู่ ทุกวันนี้เกิดอย่างนี้ขึ้นในทั่วหัวระแหงในโลกใบนี้ ทุกประเทศมีอย่างนี้เกิดขึ้นตลอด เราพูดอยู่นี้ ก็มี พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเจิมใครด้วยไฟ และกำลังชุบให้เขาเป็นขึ้นมาใหม่ เหมือนพระเยซู ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน? แต่ละนาทีมีอย่างนี้ตลอด และจะมีไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบแผนการของพระเจ้า คือพระเยซูกลับมาอีกครั้งหนึ่ง มาชำระทุกอย่างให้เรียบร้อย ทุกอย่างจบ เอเมน นี่คือข่าวดี
และสิ่งเหล่านี้ ควรจะมีการพูดต่อไป พูดให้ลูกหลาน เหลนโหลนฟังว่านี่คือข่าวดี ข่าวประเสริฐ วันนี้เป็นวันอะไร? มันเกิดอะไรขึ้น ฟังดูแรกๆ อาจจะดูเหมือนเพ้อเจ้อ แต่ทั้งหมดนี้ มาจากพระคัมภีร์ทั้งสิ้น ขอให้ท่านพูดความจริงนี้ไปเรื่อยๆ ลูกหลาน เหลนโหลนจะค่อยๆ ได้ อินเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย พระคัมภีร์ เปาโลบอกไว้อย่างไร? ข่าวประเสริฐ สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก เขานึกว่าเป็นข่าวของคนโง่ พระคัมภีร์บอกว่าแต่ข่าวประเสริฐสำหรับเรานั้น ผู้เชื่อ คือ Power คือฤทธิ์เดชอำนาจ คือบางอย่างที่สามารถทำสิ่งที่เกินกว่ามนุษย์จะเห็น มนุษย์จะเข้าใจ มนุษย์จะใช้ความรู้สึก เกินกว่าเหตุผลของเขา เขาถึงเรียกว่าฤทธิ์เดช เขาถึงเรียกว่า Power สำหรับคนที่เชื่อ คือเราทั้งหลายที่เชื่อแล้ว ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่มาสถิตอยู่กับเรา ที่เรียกว่าข่าวดีนี้ เป็นฤทธิ์อำนาจที่ทำอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงมาก คือทำให้มนุษย์บาปอย่างเรา กลายเป็นลูกพระเจ้าได้ มันอัศจรรย์ขนาดไหน? และสามารถเกิดขึ้นได้ทุกหนทุกแห่ง ตอนนี้พร้อมกันเลย ทั่วโลกเลย ตรงนี้ก็เกิด ตรงนั้นก็เกิด ทำงานพร้อมกันหมดได้ นี่แหละคือสิ่งที่คนที่เชื่อแล้วได้สัมผัสฤทธิ์เดชอำนาจนี้ แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ เขาก็นึกว่าเป็นเรื่องงมงาย ก็แน่นอน เพราะว่าเขาไม่มีทางที่จะเข้าใจ เพราะฤทธิ์เดชอำนาจนี้ มันเกินความเข้าใจของมนุษย์ เกินสติปัญญาของมนุษย์ แล้วต้องอาศัยอะไร? พระคัมภีร์บอกอาศัยการฟังถ้อยคำแห่งความจริงบ่อยๆ แล้วคนนั้น ที่ยังไม่เข้าใจ ก็จะเริ่มเข้าใจ เริ่มรู้ และยอมรับว่าข่าวดีนี้ เป็นจริง
ในหนังสือโรมบอกแล้วเขาจะได้ยินได้อย่างไร ถ้าไม่มีคนพูดว่าเพ็นเทคอสคืออะไร? มันเกิดอะไรขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของมนุษยชาติมันเกิดอะไรขึ้น ในโลกวิญญาณ มันไม่ใช่หนึ่งในศาสนาต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อจะยึดเหนี่ยวจิตใจ หรือเป็นกฎหมายทางด้านศีลธรรมที่จะมาอยู่ร่วมกันด้วยความดีงาม มันไม่ใช่แค่นั้น มันเป็นความเป็นจริง แห่งประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่เกิดขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้ ประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้บันทึกไว้แล้ว มนุษย์ตกลงไปในความบาป เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วพระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และพิสูจน์แล้ว และเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จนถึงวันนี้ สิ่งที่คาดไม่ถึง คือมนุษย์สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้า สามารถเป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขาได้ เต็มหัวระแหงเยอะแยะ มากขึ้นทุกวันๆ ไม่ใช่ศาสนาคริสต์มากขึ้นทุกวัน แต่คนที่เชื่อในพระเจ้า และเป็นสถานที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ในตัวเขา มากขึ้นทุกวันๆ เดินไปที่ไหน คนนี้ ข้างในวิญญาณเขา ก็เป็นวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย มากขึ้นทุกวันๆ มันตื่นเต้นตรงนี้
ถ้าเราไม่พูดตรงนี้ ในวันอย่างนี้ ก็ไม่มีโอกาสพูดให้เขาฟัง อาจจะเป็นคริสตมาสบ้าง แต่มันก็ไม่ชัดเจน อย่างวันอีสเตอร์กับวันเพ็นเทคอสอย่างนี้ ผมพยายามเล่า วันนี้ไม่ได้จดพระคัมภีร์มาให้ เพราะไม่อยากเอาข้อพระคัมภีร์มาขวางในการที่เราจะจำ อยากให้ท่านจำเป็นสตอรี่ จำเป็นเรื่องเฉยๆ แล้วไปเล่าต่อ ในอดีตเมื่อหลายพันปี มันก็เป็นแค่นี้ มันไม่มีหนังสือพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์เพิ่งจะแปล พึ่งจะเขียนมา ประมาณ 500 ปีนี่เอง มันไม่มีพระคัมภีร์อย่างนี้ให้อ่าน ก็เล่าต่อกันมา เล่าให้ลูกหลานเหลนโหลนฟัง เปาโลจึงเล่าและบอก ย้ำยืนยันอยู่เรื่อยๆ ว่าโมโหมากที่สุด อย่าให้ใครมาทำให้ข่าวดีของพระเจ้าลดน้อยถอยลงไป อย่าให้ใครมาบิดเบือนข่าวดีของพระเจ้า โมโหมาก เพราะเปาโลทราบดีว่าถ้าเกิดข่าวดีมันบิดเบือน มันจะเสียหายหมดเลย สิ่งเดียวที่มารต้องการทำทุกวันนี้ คือต้องการบิดเบือนข่าวดี พยายามให้ไปไกลๆ ให้มันเป็นศาสนาไปก็ดี ให้เป็นอะไรอะไรปะรำปะราก็ดี แต่ไม่ใช่ มันเป็นอะไรที่ทันสมัยที่สุด เกิดขึ้นได้ทันที เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ พิสูจน์ได้ รับรู้ได้ และเกิดขึ้นทุกหัวระแหงเท่ากัน ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ในป่า ในเขา ที่ไหนก็ตาม เกิดขึ้นเหมือนกัน คือมนุษย์ทุกคนสามารถเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเขา ในร่างกายเขาได้ทันที ไม่ต้องรอตายไป เดี๋ยวนี้ทันทีได้เลย นั่นแหละคือวันสำคัญ วันเพ็นเทคอส ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***********************