คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2019 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … ได้สำเร็จแล้ว” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  เมษายน  2019

 เรื่อง “สำเร็จแล้ว … ได้สำเร็จแล้ว”  ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

สุขสันต์วันอีสเตอร์ครับ สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู วันนี้ผมให้ชื่อเรื่องว่า “ได้สำเร็จแล้ว”

ปีนี้ วันอีสเตอร์มาค่อยข้างช้า ปกติจะอยู่ก่อนวันสงกรานต์ บ้านเรา บางท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วกำหนดกันอย่างไรว่าวันที่เท่าไรเป็นวันอีสเตอร์ จริงๆ แล้ว คำว่า “อีสเตอร์” หรือ “เทศกาลอีสเตอร์” ไม่อยู่ในพระคัมภีร์นะ แต่เป็นการตั้งขึ้น เพื่อเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

คำว่า “อีสเตอร์” มาจากชื่อของเทพเจ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ ที่เขานับถือกันในสมัยโน้น ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด เพราะฤดูใบไม้ผลิเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่ หรือการเกิดใหม่ ต้นไม้ใบหญ้า ดูเหมือนตายไปแล้ว ในช่วงฤดูหนาว  มันก็โผล่ต้นอ่อนๆ ขึ้นมา เริ่มเขียวชะอุ่มมีชีวิตชีวา ออกดอก ออกผลในฤดูใบไม้ผลินี่แหละ   ก็เลยมีการกำหนดให้วันอีสเตอร์อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ  การกำหนดวัน อีสเตอร์จะใช้ปฏิทินจันทระคติ คือปฏิทินที่นับตามการโคจรของดวงจันทร์ โดยดูจากปรากฏการข้างขึ้น ข้างแรมของดวงจันทร์ ซึ่งวันอีสเตอร์ของทุกปี จะตรงกับวันอาทิตย์แรก หลังวันเพ็ญแรกของฤดูใบไม้ผลิ

วันเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ คือวันที่ 21 มีนาคม เพราะฉะนั้น นับว่าวันที่ 21 มีนาคมเป็นต้นไป ถ้ามีวันไหนเป็นคืนวันเพ็ญ ก็คือวันที่ดวงจันทร์เต็มดวง วันอาทิตย์หลังจากดวงจันทร์เต็มดวง ก็คือวันอีสเตอร์   และวันอีสเตอร์ของทุกปี   ก็จะอยู่ระหว่างวันที่ 21 มีนาคม  ไปจนกระทั่งถึงวันที่ 25 เมษายน ไม่เร็วกว่า 21 มีนาฯ และไม่ช้ากว่า 25 เมษาฯ  เพราะฉะนั้น นับจากวันนี้ย้อนกลับไป 5-6 วัน  ต้องมีวันเพ็ญวันหนึ่ง  ไม่รู้วันไหน  ก่อนจะมีวันอีสเตอร์ แน่นอน ก็ต้องมีวันศุกร์ประเสริฐ หรือทั่วโลกเขาใช้ชื่อว่า “Good Friday” ก็คือ “วันศุกร์ที่ดี” ถามว่าดีสำหรับใคร? ดีสำหรับมวลมนุษยชาติ

หัวใจของข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ หัวใจของความรอด หัวใจของชีวิตนิรันดร์ทั้งหลายทั้งปวง คือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น ในวัน Good Friday หรือศุกร์ประเสริฐ หรือศุกร์ดี เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว และวันอีสเตอร์ก็เปรียบเสมือนใบเสร็จที่จะมายืนยันข่าวดี หรือ Good Friday นั้นว่ามันเป็นจริง

วันศุกร์ประเสริฐ หรือวัน Good Friday เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนบ่าย 3 โมง นี่เริ่มต้น Good Friday 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนพระเยซูจะเกิด และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ได้พูด หรือตรัสคำสุดท้ายว่าสำเร็จแล้ว ภาษากรีก ใช้คำว่า “Tetelestai” หรือสำเร็จแล้ว  แปลได้ว่า “จ่ายหมดแล้ว” Good Friday ก่อนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง พระองค์ตะโกนว่า “สำเร็จแล้ว” หรือ “จ่ายหมดแล้ว” ยังฟังดูเหมือนกำลังสำเร็จ เริ่มต้นสำเร็จแล้ว อะไรประมาณนั้นนะ นึกย้อนกลับไป 2,000 ปีที่แล้ว ที่ไม้กางเขน แต่พอพระเยซูสิ้นพระชนม์ปุ๊บจะกี่นาทีก็ไม่รู้ หลังจากที่พระเยซูพูดคำว่า “สำเร็จแล้ว” แล้วก็สิ้นพระชนม์ พอพระเยซูสิ้นพระชนม์ทันที คำว่า “สำเร็จแล้ว” ก็เลยกลายเป็นได้จ่ายหมดแล้ว ได้สำเร็จแล้ว นี่คือชื่อเรื่องในวันนี้

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็มีการประกาศอย่างนี้ บอกข่าวอย่างนี้ต่อกันไปเรื่อยๆ ว่า “ได้สำเร็จแล้ว” “ได้จ่ายหมดแล้ว” เปโตรได้ประกาศครั้งแรก ก็ประกาศว่าได้สำเร็จแล้ว ได้จ่ายให้หมดแล้ว เปาโลมาประกาศต่อ ก็ประกาศบอกว่าได้สำเร็จแล้ว ได้จ่ายหมดแล้ว จนทุกวันนี้ พวกเราก็ได้ประกาศกันต่อไปว่าได้สำเร็จแล้ว ได้จ่ายหมดแล้ว

พระเจ้าได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เพื่อบอกล่วงหน้า ตั้งแต่ปฐมกาล จนกระทั่งถึงหนังสือวิวรณ์ เป็นแผนการที่พระเจ้าบอกมนุษย์ ทั้งทางตรงบ้าง ทางอ้อมบ้าง ผ่านทางการเผยพระวจนะของผู้คนบ้าง ผ่านทางเหตุการณ์บ้าง ผ่านทางพิธีกรรมต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวง บอกเป็นเงาว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? เพื่อจะบอกมนุษย์ว่าพระองค์มีแผนการ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้นจากหนี้บาป และจะมาสถาปนาอาณาจักรของพระองค์บนโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง พูดง่ายๆ ว่าจะกลับมาอยู่กับมนุษย์อย่างใกล้ชิดสนิทสนมกัน คืนดีกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่แยกกันไป ทะเลาะกันไป เพราะว่ามนุษย์เป็นหนี้บาป เพราะทำบาป จึงต้องชดใช้บาป ต้องไปสู่ความตาย อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ต่างคนต่างอยู่ พระเจ้าเสียพระทัยมาก ต้องการกลับมาอยู่กับมนุษย์เหมือนเดิม ก็ต้องช่วยเหลือ วางแผนไว้ และบัดนี้ มันสำเร็จแล้ว เมื่อวันศุกร์ประเสริฐ ศุกร์ดี ก็คือพระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ผ่านมา 2,000 ปีเรียบร้อยแล้ว

และนับตั้งแต่บ่าย 3 โมงของวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แผนการช่วยกู้มนุษย์ ที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ได้ถูกทำให้สำเร็จแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน และเป็นการประกาศว่ามันจริงๆ ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ก็คือวันอีสเตอร์ ที่เราเฉลิมฉลองกันนั่นเอง

ทั้งวันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์ที่เรามาร่วมประชุม เฉลิมฉลองกันนี้ ก็เป็นไปเพื่อจุดประสงค์เดียว เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูทำ พระเยซูกำชับให้พวกเราที่เชื่อในพระองค์ ตั้งแต่วันแรก 2,000 ปีก่อน ให้พวกเราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ อย่าลืมข่าวดีนี้นะ กำชับบอกพวกเราให้ทำการระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ซึ่งการระลึกถึงวันอีสเตอร์ วันศุกร์ประเสริฐปีละ 1 ครั้ง แต่จริงๆ พระเยซูให้เราทำแทบทุกวันเลย ก็คือพิธีมหาสนิทไง ที่เราหักขนมปัง ดื่มน้ำองุ่นนั้น

พิธีมหาสนิท เราทำกันทุกเดือน เดือนละครั้ง จริงๆ พระเยซูให้เราทำทุกวัน ทานข้าวเมื่อไร ก็มาระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว เพื่อเล่าให้ลูกหลานฟัง เตือนตัวเองด้วย บอกครอบครัวด้วย บอกเพื่อนฝูง มากินข้าวกัน มาหักขนมปัง ดื่มน้ำองุ่น แล้วระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ว่าเพื่ออะไร? พระองค์สอนคำอุปมาตั้งเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่วันนั้น เป็นต้นมา ข่าวดีของพระเยซูจึงสามารถมาถึงพวกเราทุกวันนี้ได้ ก็เพราะอย่างนี้แหละ ดังนั้น เราต้องรู้ความหมายว่าเราหักขนมปังและดื่มน้ำองุ่น แปลว่าอะไร?

มหาสนิท แปลว่าเข้าไปสนิทกันมากๆ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย วิญญาณเรากับวิญญาณพระเจ้าคืนดีกัน เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว มันแปลว่าอย่างนั้น ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้นั่นเอง

ตั้งแต่ตอนที่พระเยซูตระเวนสั่งสอนผู้คน 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึง ไม่ว่าจะเป็นคำสอน คำเทศนา หรือคำอุปมาต่างๆ ที่พระองค์ทรงพูด ก็พุ่งตรงไปที่เรื่องเดียวเลย คือเรื่องของอาณาจักรสวรรค์ การบังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์เขาทำอย่างไร? ระบบสวรรค์เป็นอย่างไร? สวรรค์กำลังมา ไม่ว่าจะเป็นอุปมาเรื่องถุงหนังเก่า ถุงหนังใหม่ เหล้าองุ่น แกะหาย เหรียญเงินหาย บุตรน้อยหลงหาย ทุกเรื่องก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ที่กำลังมาตั้งอยู่ เพราะพระเยซูยังไม่ได้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พอปีที่ 2 ก็บอกใกล้แล้วๆ พอปีสุดท้ายบอกเร็วๆ นี้แหละ สวรรค์มาแล้ว มนุษย์กับพระเจ้าอยู่ด้วยกันสักที

มนุษย์อยู่กับพระเจ้าได้ ก็คือเรียกว่าสวรรค์ อาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว พอพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน บ่าย 3 โมง พระองค์ก็เลยบอกว่าที่พูดมา 3 ปี ได้สำเร็จแล้ว สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว สถาปนาแล้ว วันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เป็นการสถาปนาสวรรค์ โดยพระเยซูได้ทำให้สำเร็จ  และตะโกนว่า …

“สำเร็จแล้ว สวรรค์มาอยู่แล้ว จ่ายหมดแล้ว”

บรรดาหนี้บาปของมนุษยชาติทั้งหมด ได้ถูกจ่ายให้หมดเรียบร้อยแล้ว สวรรค์มาแล้ว อาณาจักรสวรรค์มาตั้งอยู่ที่นี่แล้ว พระเจ้ากับมนุษย์ได้คืนดีกันแล้ว เย้ๆ แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ประกาศไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ และจะประกาศต่อไป จนกระทั่งจบวางไว้ว่าใครเป็นคนสุดท้าย เราก็ไม่รู้

คำว่า “สำเร็จแล้ว” เป็นคำสุดท้ายที่พระเยซูประกาศบนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์ แต่เป็นการเริ่มต้นของการประกาศข่าวดีว่าแผนการของพระเจ้าที่จะช่วยกู้มนุษย์ให้รอดพ้น ได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ เป็นครั้งแรกที่พระองค์ทรงประกาศบนไม้กางเขน  และหลังจากนั้นมนุษย์คนอื่นๆ ก็ประกาศต่อ พระเจ้าได้ตั้งอาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้สำเร็จแล้ว โดยผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน อาณาจักรสวรรค์นี้ จึงมีชื่อว่า “อาณาจักรพระเยซู” ซึ่งภาษาเดิมเรียกว่า “อาณาจักรพระคริสต์” หรือ “อาณาจักรไคร์ซ” คนไทยเราเคารพอะไร เราก็จะใส่คำว่า “พระ” ลงไป เพราะฉะนั้น อาณาจักรสวรรค์ตรงนี้ จึงมีชื่อว่า “อาณาจักรพระคริสต์” ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ

มาดูพระคัมภีร์ว่าหลังจากที่แผนการของพระเจ้าทั้งหมด ที่วางไว้ ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว คืออาณาจักรของพระคริสต์ได้มาตั้งอยู่ บนโลกใบนี้แล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้น? โรม บทที่ 8 คือถ้อยคำที่ยืนยันของผลวันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์

โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”

 

พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์มีแค่ 2 พวกเท่านั้น คือพวกที่อยู่ในพระคริสต์ กับพวกที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ พวกที่อยู่ในพระคริสต์ ก็จะไม่มีการลงโทษใดๆ อีกต่อไป แต่อีกพวกหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ก็ยังคงถูกลงโทษเหมือนเดิม นี่ความจริงในโลกวิญญาณ มีอยู่แค่นี้ มีอยู่ 2 สถานที่สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าคนนั้นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงก็เป็นความจริงวันยังค่ำ

แผนการของพระเจ้าได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว อาณาจักรสวรรค์ หรืออาณาจักรของพระคริสต์ได้มาตั้งอยู่บนโลกนี้แล้ว  สวรรค์ได้มาแล้ว บรรดาผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ คือผู้ที่ยอมเชื่อว่าพระเยซูพูดความจริง และพระเยซูทำที่ไม้กางเขนนั้น มันเรื่องจริง เขาจึงใช้สิทธิของเขา ย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ที่เราเรียกกันว่า “รับเชื่อ” แปลว่าเชื่อความจริง … ความจริงของพระเยซู บอกว่าอย่างนี้ เราเชื่อ พอรับเชื่อปุ๊บ เขาก็ได้ถูกย้ายจากอาณาจักรหนึ่งในอดีต ที่ต้องรับโทษ มาอยู่ในอาณาจักรของพระเยซู หรือเรียกว่าพระคริสต์

พระคัมภีร์ใช้หลายคำที่บ่งบอกถึงผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ยกตัวอย่างเช่น คนนั้นอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง และคนนั้นเป็นประชากรของพระเจ้า มีพระวิญญาณอยู่กับเขา จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ท่านจะได้รู้ว่าพูดถึงเหล่านี้เมื่อไร? ก็คือกำลังพูดถึงบรรดาผู้ที่เชื่อ และได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสำมะโนครัวของพระเยซูคริสต์แล้ว เอเมน

ส่วนผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ผู้ที่อยู่ในอาณาจักรอีกอาณาจักรหนึ่ง  อาณาจักรเดิม ก่อนที่พระเยซูจะสถาปนาอาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้  อาณาจักรนั้นยังอยู่ถึงทุกวันนี้ พระคัมภีร์บอกว่าอยู่ในอาดัม คนที่อยู่ในอาดัม เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอยู่ในเนื้อหนัง หรือวิสัยบาป หรือเรียกอีกอันหนึ่งว่าอยู่ในอาณาจักรของความมืด หรือเรียกว่าเขาเป็นประชากรของโลกนี้ อีกพวกหนึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า อีกพวกหนึ่งเป็นประชากรของโลกนี้ อยู่ใต้อิทธิพลการควบคุมของมาร

มนุษย์ทุกคนจึงมีแค่ 2 พวกเท่านั้นเอง นี่คือความจริงในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล สอนลูกสอนหลานด้วยนะ ไม่ว่าจะไปเห็นบรรดามนุษยชาติพันธุ์ใด ผิวใด ต่างๆ ที่ไหน อย่างไร แตกต่างกันประเพณี ศาสนาอย่างไร? พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์มีเพียงแค่ 2 พวกเท่านั้น ทางโลกฝ่ายวิญญาณ สั้นๆ ก็คือพวกที่อยู่ในพระคริสต์กับพวกที่อยู่ในอาดัม อยู่ในพระคริสต์ ก็จะไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว อยู่ในอาดัมก็ยังมีการลงโทษอยู่ เรามาดูต่อ ข้อ 2 ซึ่งจะเป็นคำตอบว่าเพราะเหตุใด จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า อยู่ในพระเยซูนี้ โรม 8:2

โรม 8:2 “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”

 

“เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์” ท่านรู้ไหมว่าแปลไม่ชัดแค่นิดเดียว ความหมายก็ผิดไปเลย แต่พอแปลตรงๆ จากภาษาเดิม จะขยายความชัดมากเลย

ในนี้บอกว่า “เพราะว่าโดยทางพระเยซู กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ” แต่จริงๆ มันคือเพราะว่าโดยในพระคริสต์ ตาสว่างเลย “โดยทางพระเยซูคริสต์” เรายังต้องทำงานอยู่มั้ง เราต้องไปทางพระเยซู แต่นี่ไม่ใช่ นี่หมายถึง “ในพระคริสต์” ที่เราคุยกัน เมื่อเราเชื่อปุ๊บ เราย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ในพระเยซู พอคุณเข้ามา กฎของวิญญาณแห่งชีวิต ปลดปล่อยคุณ ให้เป็นอิสระ จากกฎของความบาปและความตายไปแล้ว เอเมน

ก็แปลว่าก่อนที่เราจะเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ แต่เดิมนั้น เราเคยอยู่ใต้กฎแห่งบาปและความตาย ก็คืออยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เราเรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด ในอาดัม ง่ายๆ ก็คือถ้ายังมีบาปอยู่ หรือเคยทำบาป ก็ต้องรับโทษ และพระคัมภีร์บอกว่าโทษของความบาป ก็คือความตายทางวิญญาณ ไม่ใช่ทำบาปตอนนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้หายใจไม่ออก ตาย ไม่ใช่นะ วิญญาณตาย ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เหมือนที่ผมเคยยกตัวอย่างบ่อยๆ ว่าเรื่องกฎแรงโน้มถ่วงของโลก เราโยนสิ่งของขึ้นไปในอากาศ มันก็จะตกลงมา จะโยนกี่ครั้ง? มันก็ตกลงมา จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มันก็ตกลงมา ไม่อยากตั้งใจให้มันตกนะ มันก็ตก จนกว่าจะมีการค้นคิดการเอาชนะกฎแรงโน้มถ่วงมันได้ จึงจะชนะมันได้ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องบินหรือร่มชูชีพ เป็นต้นว่ามันดูดเราไม่ได้

เช่นเดียวกัน กฎแห่งความบาปและความตาย ที่บอกว่าเมื่อมีบาปเมื่อไร? ก็ต้องรับโทษเมื่อนั้น ไม่มีแต่ ไม่มีอธิบาย มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และทำบาป พระคัมภีร์บอกไว้ เพราะฉะนั้น ด้วยกฎนี้ มนุษย์ทุกคน ก็ต้องได้รับโทษแห่งความบาป คือความตาย ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ที่เรียกว่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทุกข์ทรมาน ซึ่งภาษาไทย ให้คำจำกัดความตรงนี้ว่านรก ทรมานมาก

โทษของความบาป คือความตาย ก็คือไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ไปอยู่ในที่ที่มันทรมานมาก แต่เพราะการเสียสละของพระเยซูคริสต์ในวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งความบาปและความตาย ก็เหมือนกฎแห่งการยกขึ้น ที่ได้เอาชนะกฎของการดึงดูดของโลก ทำให้เครื่องบิน บินขึ้นได้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ได้ทำให้เกิดกฎใหม่ขึ้นมา ซึ่งพระคัมภีร์ใช้ชื่อกฎนี้ว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต กฎนี้ ได้ปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย

โรม 8:3 “เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น  พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง  มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้  พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาปในมนุษย์ที่เป็นคนบาป”

 

“เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว”

สิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ ก็คือการทำให้มนุษย์เป็นผู้ชอบธรรม พ้นจากบาป ไม่มีมนุษย์คนใดเลย ที่สามารถที่จะทำให้ตัวเองสะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาปได้ โดยการประพฤติ หรือทำตามบทบัญญัติที่สั่งไว้ เป็นไปไม่ได้เลย  เดี๋ยวก็ผิดๆ เพราะข้างใน มันผิด เพราะวิญญาณหรือธรรมชาติมันเป็นบาป เดี๋ยวมันก็ทำบาป มันจึงทำไม่ได้

ในพระคัมภีร์ฮีบรู ก็มีบันทึกไว้ว่าบทบัญญัติ หรือกฎระเบียบเดิมๆ สมัยก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรมนุษย์ได้เลย ฮีบรู 7:18-19 บันทึกไว้อย่างนี้ …

ฮีบรู 7:18-19 “18 กฎระเบียบเดิม ถูกล้มเลิกไป เนื่องจากไม่มีประสิทธิภาพ และเปล่าประโยชน์ 19 เพราะบทบัญญัติ ไม่ได้ทำให้สิ่งใด  ครบถ้วนสมบูรณ์ได้เลย”

 

และในหนังสือโรมบอกไว้ว่ากฎระเบียบมีไว้ เพื่อประจาน หรือสำแดงให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป  เพราะว่ากฎบอกว่าอย่าทำๆ ทำอย่างนี้เรียกว่าบาป ทำอย่างนี้เรียกว่าไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า และมนุษย์ก็ทนไม่ไหว ก็ทำอยู่ดี มนุษย์จึงรู้ว่าตัวเองอ่อนแอ สู้ไม่ไหว อยากจะรักษาอย่างไร? เผลอก็ต้องทำ เพราะข้างในมันไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง ข้างในเป็นธรรมชาติของความสกปรก แต่สิ่งที่บทบัญญัติ หรือกฎระเบียบไม่สามารถทำได้นั้น พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว แปลว่าทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เป็นการกระทำที่สมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ในอดีต จบแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน พระคัมภีร์ตรงนี้ สรุปง่ายๆ คือ …

“เพราะเธอทำไม่ได้ ฉันจึงทำให้ จบ โอเคไหม? เธอเป็นหนี้สินเขาทั้งหมดเลย เธอไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้หรอก ฉันเอาเงินไปจ่ายให้ โอเคไหม?”

พระเจ้าได้ส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป มาเป็นแพะรับบาป ก็คือตัวแทน การกระทำเช่นนี้ ก็เปรียบเสมือนว่ามนุษย์ทั้งหลาย ที่เป็นคนบาป ที่ต้องใช้หนี้บาปนั้น ได้รับการตัดสินลงโทษเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว พ้นโทษแล้ว โดยพระเยซูมารับโทษแทน

อันนี้ลึกซึ้งมาก โดยส่งพระเยซูลงมาเกิดในมนุษย์ เพื่อให้พระเยซูมีส่วนร่วมใน DNA ที่เป็นมนุษย์ ฟังให้ดีๆ พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนมาจากอาดัม มี DNA ของอาดัม พระเยซูถูกส่งเข้ามาเกิดในหญิงพรหมจารี แต่ยังคงเป็นมนุษย์ เดินเหมือนมนุษย์ แต่วิญญาณไม่ใช่มนุษย์ วิญญาณไม่ได้บาปเหมือนมนุษย์ แล้วไปตายที่ไม้กางเขน เพื่อบอกว่า …

“มนุษย์ได้จ่ายค่าชดใช้บาป ที่เขาทำมาเรียบร้อยไปแล้ว ฉันเป็นมนุษย์ ฉันขอเดินก้าวออกมา”

ในพระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทำ มนุษย์ก็ต้องเป็นผู้ชดใช้ อาดัมทำ เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ลูก หลาน เหลน โหลนก็ต้องลงไปในความบาปหมด พระเยซูมาบอกว่า …

“ฉันบริสุทธิ์ ฉันจะชดใช้หนี้ทั้งหมดของมนุษย์ให้”

ถามว่า “เธอเป็นใคร? เธอเป็นวิญญาณเหรอ เป็นวิญญาณ มาไม่ได้นะ ต้องเป็นมนุษย์”

“ฉันเป็นมนุษย์”

“เป็นได้อย่างไร?”

“ฉันเกิดในมนุษย์ ฉันเดินเหมือนมนุษย์ กินเหมือนมนุษย์ รับอาหารจากสายสะดือของมนุษย์ เกิดเป็นตัวเป็นตนเหมือนมนุษย์ ฉันเป็นมนุษย์หนึ่งคน”

พอเข้าใจไหม? เพราะฉะนั้น เมื่อจ่ายค่าบาปเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์จึงสถาปนาว่า …

“ฉันเป็นมนุษย์ที่ชำระบาปให้กับญาติพี่น้อง วงศ์ตระกูลของมนุษย์ นามสกุลมนุษย์เนี้ยได้ถูกจ่ายไปแล้ว ทุกคนจงรับรู้”

มนุษย์ทุกคนจงรับรู้นะ บัดนี้ มีพวกเราคนหนึ่ง ได้ไปใช้หนี้หมดเรียบร้อยแล้ว เราเป็นอิสระแล้วนะ จบ แค่นี้เอง เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ที่จะรับรู้ว่าเราเป็นอิสระแล้ว แล้วเราไปใช้สิทธิของเรา แค่นั่นเอง ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำอะไรเลย โรม 8:4 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 8:4 “เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ”

 

ส่งพระเยซูมาทำไม? มาเป็นตัวแทน มาเป็นแพะรับบาป เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย  เพราะกระทำตามบทบัญญัติ มันไม่สามารถทำให้เกิดผลได้ พระเจ้าจึงต้องส่งพระเยซูมา ทำให้มันเกิดผล และบัดนี้ ก็ทำแล้ว และเกิดผลแล้ว คือเราทั้งหลาย จึงกลายเป็นผู้ที่ไม่มีบาป เพราะพระเยซูมาทำให้แทน คือชดใช้หนี้บาปนั้น ถ้าข้อนี้จบ แค่คำว่า “สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย” ฟังให้ดีนะ เราคงเข้าใจได้แล้ว แต่บังเอิญมีคำขยายต่อไปว่า “เราทั้งหลายผู้ไม่ดำเนินชิวตตามวิสัยบาป” ทุกคนตกใจ …

“อ้าว! ตกลงไหนบอกได้ฟรีๆ ไง”

มาเจอคำว่า  “ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป” เขาต้องดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณจึงจะได้ เหรอ! ใช่ไหม? พอเจอคำว่า “ดำเนินชีวิต” คนส่วนใหญ่ก็มักไปผูกกับการกระทำที่ต้องทำ มาดูความหมายจริงๆ มันแปลว่าอะไร?

การไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็แปลว่าไม่กระทำบาปอีกต่อไปสิ อ้าว! กลับมาที่เดิมอีกสิ ซึ่งในชีวิตจริง เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรายังทำบาปไหม? ทำ ยังมีความโกรธไหม? มี … มีโมโหไหม? มี อิจฉาไหม? เชื่อพระเจ้าแล้วนะ ยังโกหกหรือเปล่า? ยังโลภไหม?

สมมติว่าแปลอย่างนี้นะ แต่ในชีวิตจริง เราก็ยังคงทำบาปอยู่ แล้วจะอย่างไร? ทำไมมันแย้งกันอย่างนี้ ในใจคนมักแย้งกันอย่างนี้ อดีตผมก็แย้งกันอย่างนี้ ก็อธิษฐานกับพระเจ้า

“พ่อ ลูกไม่เข้าใจเลย ทำไมมันอย่างนี้อย่างนั้น อ้าว! ไหนบอกไม่ต้องพึ่งการกระทำ เชื่อแล้วก็ต้องพึ่งอยู่ดีแหละ แล้วตกลงรอดไหมเนี้ย”

ก็อธิษฐานกับพระเจ้าไปเรื่อยๆ เคาะไปเรื่อยๆ มันก็จะถูกเปิดให้กับเรา ขอไปเรื่อยๆ มันก็ถูกให้กับเรา แสวงหาไปเรื่อยๆ ก็จะพบเรื่อยๆ พบความรู้ เรื่องความจริงในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์คืออะไร? ซึ่งการตีความแบบเมื่อตะกี้ เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง และไม่ตรงตามประเด็นสำคัญของข่าวดีของพระเจ้าทั้งเล่มที่บอกว่า …

“เรารอด โดยพระคุณ โดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูกระทำ ในวันศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำก่อนหรือหลังที่มาเชื่อพระเจ้าแล้วก็ตาม”

“เราทั้งหลายผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” เราคิดว่าคือการประพฤติ คือการดำเนินชีวิต การทำ แต่ภาษาเดิมจริงๆ ความหมายมันไม่ได้แปลอย่างนั้น ประโยคนี้เป็นคำอธิบายเรื่องเกี่ยวกับสรรพคุณ คุณลักษณะของคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์แล้ว คือผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ตามพระเจ้า หรือผู้ที่มีพระวิญญาณพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในตัวแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำ การดำเนินชีวิตบนโลกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ข้อที่ 5 อธิบายต่อ

โรม 8:5 “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป  ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ  แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์”

 

คำว่า “ดำเนินชีวิต” ตรงนี้ จะอธิบายข้อนี้ให้ฟัง ต้องไปหาภาษาเดิม ที่แปลมาจากต้นฉบับอีกทีเป็นภาษาอังกฤษ มันก็จะอธิบายได้ชัดขึ้นกว่าภาษาไทย ถ้าภาษาเดิม จากภาษากรีก ยิ่งลึกซึ้งใหญ่เลย ภาษาอังกฤษใช้เขียนอย่างนี้ว่า “For those who are according to the flesh set their minds on the things of the flesh, but those who are according to the Spirit, the things of the Spirit”

ภาษาอังกฤษ คือ “For those who are according to the flesh” ภาษาไทยบอก “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “For those who are” คำว่า “ARE” แปลว่า “เป็น อยู่ คือ” จะเห็นว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำเลย มันเกี่ยวกับลักษณะ สภาพ ว่าอยู่ที่ไหน? เป็นอย่างไร? นี่เป็นตัวสำคัญมากๆ “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” ก็คือผู้ที่อยู่ในพระวิญญาณนั่นเอง อยู่ในพระคริสต์นั่นเอง อันเดียวกัน ตั้งแต่เริ่มต้นบท 8 ข้อ 1 “ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” ก็คือผู้ที่อยู่ในพระวิญญาณนั่นเอง

คำว่า “ดำเนินชีวิต” ในข้อนี้ ไม่ได้หมายถึงวิถีการใช้ชีวิต หรือการกระทำบนโลกใบนี้ แต่หมายถึงสถานที่ที่เขาอยู่ในโลกวิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? วิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? ไม่ใช่เขาทำอะไร? เขาอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์หรือในอาณาจักรของอาดัม ก็มีแค่ 2 อันเอง  ท่านเห็นชัดขึ้นแล้วนะ

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่เป็นวิสัยบาป หมายถึงผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านของคนบาป ก็คือบ้านอาดัม ครอบครัว สำมะโนครัวที่ชื่ออาดัม ซึ่งเป็นสำมะโนครัวบาป ก็จะมีธรรมชาติของวิญญาณเป็นวิสัยบาป หรือใช้คำว่า “สันดาน” พูดง่ายๆ มีสันดานบาป ธรรมชาติบาป ต่อให้หน้าตาดูดีอย่างไร ข้างในก็เป็นบาปอยู่นั่นแหละ

ปักใจอยู่ในวิสัยบาป ก็คือโดยธรรมชาติทางวิญญาณของผู้มีสันดานบาป ก็จะต้องการทำตามสันดานบาปที่อยู่ในตัววิญญาณของตนเอง เรียกว่าความบาป … ความบาป ก็คือกบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ศัตรูต่อความดีงาม  อยู่ตรงกันข้ามกับพระลักษณะของพระเจ้า มันหมายถึงอย่างนี้ทั้งหมด มันไม่ได้หมายถึงการกระทำ ต่างคนต่างกระทำ ไม่ใช่ แต่พูดถึงสันดาน ธรรมชาติข้างในว่ามันเป็นอย่างไร?

ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็คือผู้ที่เชื่อแล้ว แล้วก็ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว เขาจะเป็นไปตามธรรมชาติที่ชีวิตเขา ปักใจในพระวิญญาณ ก็คือจะมีธรรมชาติทางวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู โดยวิสัยที่แท้จริง ก็จะต้องทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะเขาเป็นลูก เขามีสันดานเหมือนพระเจ้าเป๊ะเลย เขามีสันดานเหมือนพระเยซูเป๊ะเลย  เขาต้องการทำเหมือนพระเยซูเป๊ะเลย เขาไร้เดียงสาต่อบาป ไม่รู้จักว่าบาปเป็นอย่างไร? ไม่รู้เรื่องเลย เขาเกิดมาสะอาด บริสุทธิ์เป๊ะเลย วิญญาณเขาเป็นความรักแบบพระเจ้า อากาเป้ ไม่ใช่ มี ทุกคนบอกพยายามทำนะ 1 โครินธ์ 13:4-7 ให้ทุกคนพยายามปฏิบัติตาม พยายามอย่างไรก็ไม่ได้ ทำได้อย่างเดียว คือเขาต้องย้ายจากอาณาจักรของอาดัม มาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเยซูคริสต์ เขาจึงเป็นเลย ไม่ต้องทำ ก็เป็นเลย เอเมน 1 โครินธ์ 13:4-7 บันทึกไว้อย่างไร? ตัวท่านเป็นอย่างนี้

1 โครินธิ์ 13:4-7 “4 ความรักย่อมอดทนนาน  ความรักคือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด 6 ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และอดทนบากบั่นอยู่เสมอ”

 

ท่านเชื่อไหมว่าท่านเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านไม่ต้องฝึก มันเป็นอยู่ นี่คือความแตกต่าง ถ้าแปลผิดว่าชีวิต คือการกระทำปุ๊บ ไม่ใช่คุณลักษณะปุ๊บ มันจึงผิด นี่คือคุณลักษณะของคนที่อยู่ในพระคริสต์ คนที่เชื่อพระเยซูแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าท่านจะรู้หรือไม่รู้ ข้างในท่านเป็นอย่างนี้แล้ว ท่านลองอ่านดูว่าท่านจะกระดากปากไหม?  อ่านตามผมนะ 1 โครินธ์ 13:4-7

“ฉันเป็นความรัก ฉันอดทนนาน ฉันมีความเมตตา ฉันไม่อิจฉา ฉันไม่อวดตัว ฉันไม่หยิ่งผยอง ฉันไม่หยาบคาย ฉันไม่เห็นแก่ตัว ฉันไม่ฉุนเฉียว ฉันไม่เคยจดจำความผิด ฉันไม่มีความปีติยินดีในความชั่วเลย ไม่ชอบทำชั่วเลย แต่ฉันชื่นชมยินดีในความจริง ฉันมีความหวังอยู่เสมอ ฉันอดทนบากบั่นได้ทุกอย่าง ฉันเหมือนพระเยซู ฉันเป็นลูกพระเยซู”

พอใจไหม? เชื่อไหม? บอกแล้ว มันง่ายมาก และอยากจะเป็นทั้งหมดนี้ไหม? แล้วต้องพยายามทำไหม? ทำอย่างไร? ถึงจะได้ พระเยซูทำตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนที่ไม้กางเขนแล้ว เชื่อเท่านั้นเอง แล้วก็ใช้สิทธิ ย้ายมาอยู่ในนี้ปุ๊บ วิญญาณเป็นอย่างนี้ทันทีเลย เมื่อเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ โดยธรรมชาติของเราแล้ว โดยวิญญาณของเราแล้ว จะเป็นเหมือนพระเจ้า แต่ว่าในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ในร่างกายนี้ ในโลกนี้อยู่ ก็ยังตกอยู่ใต้อิทธิพลของวิสัยบาป ซึ่งยังอยู่ แม้ว่าตัวเราไม่มีวิสัยบาปแล้วก็ตาม อิทธิพลคืออะไร? มันยังรับสื่อ สัญญาณมันยังเข้ามาอยู่ เพราะเรายังอยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายเราไม่มีวิสัยบาปแล้ว แต่มันสื่อเข้ามา คือมันมาแยงเรา

“เอาไหม? เอาน๊า”

มันโฆษณาทุกวัน ส่วนพระวิญญาณที่อยู่ข้างในเราก็บอก “มันโกหก มันไม่ใช่” ก็พยายามฝึกฝนเราไปเรื่อยๆ ร่างกายเราสะอาดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว เราไม่สกปรก เราไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป ไม่ใช่บาปทางวิญญาณ และไม่ใช่บาปทั้งร่างกายด้วย ร่างกายบริสุทธิ์ พระเจ้าชำระเรียบร้อยแล้ว เป็นของถวายบริสุทธิ์ แยกเป็นส่วนตัว สำหรับพระเจ้า คือร่างกายนี้ ท่านไม่รู้เหรอ ร่างกายท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น วิหารของพระเจ้าจะมาเป็นบาปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ได้เป็นบาป แต่ว่ามันยังอยู่ในโลกนี้ มันยังรับสื่อ สื่อที่แยงๆ พอแยงมากๆ มันเผลอไปทำ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับวิญญาณเราอยากจะทำ เพราะฉะนั้น คนที่เป็นอย่างนี้ จึงไม่มีความสุขเลยที่จะอยู่บนโลกใบนี้  เพราะโลกไม่ใช่บ้านของเราอีกแล้ว เราไม่อยากอยู่ ไม่ใช่ เพราะเซ็งกับการเงินไม่ใช่ ไม่อยากอยู่ เพราะวิญญาณเราไม่อยากทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่บางครั้งเราเผลอ อิทธิพลมันแยงเข้ามา แค่อากาศร้อนหน่อย เราก็หงุดหงิดแล้ว เราจึงไม่มีความสุขใจเลยในการกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่ตรงกันข้ามกับวิญญาณของเรา มันก็เลยอยากจะออกจากร่างนี้ ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่ต้องมาอยู่บนโลกใบนี้ แล้วก็รอคอยวันที่พระเจ้าจะสร้างโลกนี้ใหม่ ปรับปรุงโลกนี้ใหม่ จัดการโลกใบนี้ใหม่ ให้มันไม่มีวิสัยบาปอีกต่อไป

เพราะฉะนั้น อย่าเกลียดเนื้อหนังร่างกายของเราเอง ร่างกายของเราพระเจ้าชำระแล้ว เมื่อวันที่เราเชื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ชำระความคิดจิตใจ ร่างกายเราสะอาดหมดจดแล้ว แต่ว่าอย่างที่บอก เรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ อิทธิพลการสื่อสาร ยังคงกระซิบข้างหูเราอยู่ แต่ต่อให้ทำอย่างไร? มันก็ไม่เกี่ยวกับวิญญาณตัวจริงๆ ของเรา ตัวจริงๆ ของเราเป็นวิญญาณและมีความคิดจิตใจ  อาศัยอยู่ในร่างกายนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ต้องเอาความจริงนี้ใส่เข้าไป ซึ่งเมื่อเรารู้จักความจริงเหล่านี้แล้ว มันถูกต้องชัดเจนอย่างนี้แล้ว เราจึงรู้ว่าถึงแม้เราเป็นอิสระเป็นไทจริงๆ ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท ถึงแม้เรารู้แล้วว่าเป็นความจริง แต่หลายครั้ง สื่อที่จากรอบข้างเรา ส่งเข้ามา ถ้าเราไปรับสื่อเหล่านั้นมากๆ เราก็จะเผลอไปคิดตามสื่อ ซึ่งถามว่าคิดตามสื่อ มันเป็นความจริงไหม? มันไม่จริง พระคัมภีร์จึงบอกว่ามารมีแต่หลอกลวง อย่าไปเชื่อมัน แสดงว่ามันหลอกลวงเราตลอด มันยิงศรเพลิงแห่งความโกหกมาตลอด แล้วเราต้องปกป้องอย่างไร? ปกป้องด้วยความเชื่อ ความเชื่อเกิดขึ้นได้อย่างไร? จากการได้ยินถ้อยคำพระเจ้า ฟังข้อมูลของพระเจ้าบ่อยๆ สิ อย่างที่ผมบอกเอาพระคัมภีร์คำสอนเหล่านี้ไปฟังเยอะๆ ฟังว่ามันคืออะไร? ตัวจริงๆ ฉันเป็นใคร? ตื่นเช้ามาเห็นหน้ากระจก สวยขึ้น หล่อขึ้นเยอะเลย หน้าตาดูดีขึ้นเยอะเลย เพราะฉันรู้แล้ว ฉันเป็นใคร? ฉันเคยถล่มตัวว่าฉันเป็นคนที่แย่มาก มีความคิดอิจฉาเขา น้อยใจ อันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดีต่างๆ มามองไป โอ้โห! ฉันเป็นความรัก อดทนนาน กระทำคุณให้ ฉันไม่อิจฉา ฉันไม่อวดตัว ไม่โกรธใครเลย แล้วเมื่อวานล่ะ ไม่ใช่ตัวฉัน นั่นเผลอไป จากมันกระซิบมา ฉันไม่เชื่อแกอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่สนใจแกอยู่แล้ว มันเป็นเชื้อโรค มันเป็นพยาธิ มันไม่ใช่ตัวจริงๆ ของเรา น็น็ป

พระคัมภีร์จึงบอกว่าความจริงจะทำให้เราเป็นไท สิ่งเหล่านี้คือความจริง เพราะเหตุนี้ วันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์จึงมีความสำคัญมากจริงๆ เพราะว่าความจริงวันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ได้ทำให้

มนุษย์เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้เท่านั้นเอง พวกเราที่อยู่ในสวรรค์เรารู้ เราใช้สิทธิ์ของเรา ถามว่าคนเหล่านั้นที่ไม่เข้ามาอยู่ในสวรรค์ เขาอยู่ในสวรรค์แล้วหรือยัง? แต่เขาได้รับข้อมูลที่ผิด เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ในนั้นแล้ว เพียงแต่ยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วใช้สิทธิ์ของเขาเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้น มารก็มาหลอกลวง ยังไม่ใช้หนี้ บาป เมื่อไรจะใช้หมดสักที เขาก็พูดตามมา เมื่อไรบาปจะหมดสักที กี่ปีกี่ชาติ ทั้งๆ ที่มันได้ถูกชำระเรียบร้อยไปแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน พระคัมภีร์จึงบอกอย่างนี้ชัดเจน ไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ตาม สำหรับมนุษย์เหล่านั้นที่ได้ย้ายสำมะโนครัว เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ไม่มีการลงโทษอีกแล้ว สำหรับผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ เพราะเขาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม เขาอยู่ในพระเจ้าแล้ว เอเมน เหมือนที่เราร้องกันบ่อยๆ …

ดังนั้นไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ฉันที่อาศัยในพระเยซู

ดังนั้นไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ฉันที่อาศัยในพระเยซู

เพราะว่ากฎของพระวิญญาณ  แห่งชีวิตในเยซู

ได้ทำให้ฉันพ้นจากบาปและความตาย

ดังนั้นไม่มี ที่จะลงโทษใดๆ แก่ฉันที่อาศัยในพระเยซู

นี่คือผลของวันศุกร์ประเสริฐ อีสเตอร์ ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว ง่ายๆ ใครเชื่อและใช้สิทธิของเขาก็ได้ จบ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องอธิบายเลย  ใครเชื่อก็ได้ทันที เพราะมันทำสำเร็จไปแล้ว 2,000 ปีมาแล้ว นี่คือข่าวดี ที่จะต้องบอกกันต่อๆ ไป ที่จะต้องช้ำกันอยู่เรื่อยๆ ไม่อย่างนั้นเราก็จะแถไป ถูกมารหลอกไปเรื่อยๆ ให้เป็นข่าวกึ่งๆ ดี ข่าวค่อนข้างดี ข่าวเกือบดี ข่าวดูเหมือนดี แต่ไม่ใช่ข่าวดี เพราะมันเกือบเหมือน ของพระเจ้าพระเยซูมีอย่างเดียว คือข่าวดี เราไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นเลย เพียงแค่เชื่อเท่านั้น ใช้สิทธิของเราเท่านั้นเอง เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************