คำบรรยายวันศุกร์ที่ 19 เมษายน 2019
เรื่อง “สำเร็จแล้ว … No Condemnation in Christ – ได้สำเร็จแล้ว” ตอน 1
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับ สุขสันต์วันศุกร์ประเสริฐ ทักทายกันหน่อย ภาษาอังกฤษ เขาใช้ชื่อ Good Friday “Good” แปลว่าดี เป็นวันศุกร์ที่ดีมาก เขาตั้งเทศกาลนี้มา เพื่อบอกว่ามันดี วันศุกร์เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตอนบ่ายสามโมง พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์วินาทีสุดท้าย พระองค์ตะโกนคำว่า “ได้สำเร็จแล้ว”
ทุกปีผมมาบรรยาย ก็จะมีหัวข้อเรื่อง คือ “สำเร็จแล้ว” ปีนี้มาคิดเบื่อเหลือเกิน ทุกปีก็ใช้หัวข้อเดิม ปีนี้เปลี่ยนใหม่ “ได้สำเร็จแล้ว” ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร?
เพราะตั้งแต่วันนั้น บ่ายสามโมงวันศุกร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว หลังจากวันนั้น 1 นาที มันก็คือได้สำเร็จแล้ว พระเยซูประกาศว่าสำเร็จแล้ว ปุ๊บ หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง ก็ได้สำเร็จแล้ว ตอนเปาโลมาประกาศข่าวดี ก็บอกว่าสิ่งที่พระเยซูทำที่ไม้กางเขน ได้สำเร็จมาหลายปีแล้ว พวกเราก็บอกว่าพระเยซูได้ทำสำเร็จ 2,000 ปีมาแล้ว
แผนการการช่วยกู้มนุษย์ให้พ้นจากความตายทางวิญญาณและร่างกายด้วย เนื่องจากโทษของความบาป โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว จึงเป็นความชื่นชมยินดี เป็นเรื่องราวยินดี เขาถึงเรียกว่า Good Friday มาฉลองกัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่ Good Friday แบบมาฉลองเป็นปี แบบเทศกาลอีสเตอร์แบบนี้ แบบธรรมดา เราก็เรียกข้อมูลนี้ว่า “ข่าวดี”
ถามว่า “ข่าวดี” สำหรับใคร? สำหรับมนุษย์ทุกคน พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น
การเฉลิมฉลอง ระลึกถึงวันศุกร์ประเสริฐ ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และวันอีสเตอร์ คือวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แต่ละปี เขาตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นการระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำบนไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากตายของพระองค์ ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว
เพราะฉะนั้น เทศกาลอีสเตอร์ ให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เหมือนกับที่พระเยซูกำชับให้พวกสาวก ให้ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน ด้วยการทำพิธีเมื่อตะกี้นี้ ที่กินน้ำองุ่นและกินขนมปังรวมกัน ให้ทำบ่อยๆ รู้ไหมกินน้ำองุ่นและขนมปัง ก็คืออาหารการกินของคนสมัยเริ่มต้นนั่นแหละ คนกินข้าวทุกวัน ระลึกถึงพระองค์ว่าพระองค์ได้ทำสิ่งใด ส่วนใหญ่ ตอนที่เราทำมหาสนิท เราระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ แต่บางคนไม่ใช่อย่างนั้น ทำมหาสนิทระลึกถึงสิ่งที่ฉันได้กระทำ
“เมื่อวานฉัน อธิษฐานน้อยไป ฉันทำไม่ดี ฉันไม่สมควรเป็นคริสเตียนเลย”
ไม่ใช่ พระเยซูไม่ได้ต้องการให้เราทำตรงนั้น พระเยซูให้เราชื่นชมยินดีในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จไปแล้ว โดยระลึกถึงข่าวดี เพื่อเราจะได้ไปเล่าให้ลูกฟังต่อไป ไม่ใช่ทำมหาสนิท แล้วต่างคนต่างเศร้า
“ฉันมันแย่ ฉันเป็นคนบาป ฉันไม่สมควรได้รับความรอดเลย”
ไม่ใช่อย่างนั้น พระองค์ทำสิ่งเหล่านี้ แล้วกำชับให้เราทำ เพื่อเป็นหนึ่งในการประกาศข่าวดีออกไป จะได้มาถึงพวกเราทุกคน สองพันปี ไม่อย่างนั้นหายหมดเลย หนีหมดเลย ข่าวดีนี้มันหายไปว่าพระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ต้องพูด ต้องย้ำอยู่เรื่อยๆ เพราะพระเยซูก็พูดแค่นี้ ไม่ได้พูดอะไรเยอะกว่านี้เลย ต้องการให้เราระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว
“พวกเธอไม่ต้องทำอะไร? ฉันทำให้สำเร็จแล้ว พวกเธอมีหน้าที่อย่างเดียว คือเอาสิ่งที่ฉันทำสำเร็จแล้ว ไปบอกต่อเท่านั้นเอง”
บอกต่อว่าพระเยซูได้ทำสำเร็จแล้ว คุณไม่ต้องทำอะไรเลย คุณมารับความรอดไปฟรีๆ เลย นี่คือเป้าหมายของเทศกาลศุกร์ประเสริฐและอีสเตอร์ ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ และพูดอยู่เสมอๆ ก่อนที่จะกระทำสำเร็จ พูดเป็นอุปมา 3 ปี สอนวนเวียนอยู่นั่นแหละ ในสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ หลังจาก 3 ปีนี้ พูดอุปมาตลอดเวลา ถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์จะมาตั้งอยู่ พอวันศุกร์ประเสริฐ พระเยซูบอก “สำเร็จแล้ว” แสดงว่าสวรรค์มาตั้งอยู่แล้ว ก่อนหน้านั้น บอกว่า “จะมา” พูดอุปมานั้น อุปมานี้ พูดเกี่ยวกับเรื่ององุ่น เกี่ยวกับเรื่องตะลันต์อะไรต่างๆ ที่พระเจ้าพูดถึงเสมอ พูดถึงสวรรค์ทั้งหมด เข้าสวรรค์ทำอย่างไร? เพราะว่าสวรรค์กำลังมา พอพระองค์อยู่บนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ พระองค์บอกมาแล้ว พระวิญญาณเข้ามาปุ๊บ เปิดตาฝ่ายวิญญาณ รู้ เข้าใจแล้วว่าหมายถึงอะไร? เมล็ดที่หว่านลงไป มันเกิดเป็นผลแล้ว สวรรค์มาแล้ว
เมื่อวันศุกร์ตอนบ่ายสามโมง พระองค์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว แล้วสิ้นพระชนม์ นั่นแหละเป็นคำแรกของการประกาศว่าแผนการของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด สำเร็จแล้ว ตั้งแต่วันแรก เขาประกาศกันมาถึงวันนี้ คือพระเจ้าต้องการช่วยมนุษย์ให้รอด สำเร็จแล้ว
เรามาดูกันว่า “อะไรสำเร็จ” พระเจ้าได้ตั้งอาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้ สำเร็จแล้ว โดยผ่านทางพระบุตร ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน คือพระเยซูคริสต์ อาณาจักรสวรรค์นี้ จึงมีชื่อว่า “คริสต์” หรือ “ไคร์ซ” ถ้าเป็นภาษาไทย เรายกย่องผู้ที่นับถือ เราจึงใส่คำว่า “พระ” เข้าไป ก็เลยกลายเป็น “พระคริสต์” หมายถึงพระเยซูนั่นแหละ อาณาจักรสวรรค์ มีชื่อว่า “พระคริสต์”
เรามาดูข้อพระคัมภีร์บางข้อที่บอกว่าอาณาจักรเหล่านี้ ได้สำเร็จแล้ว เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วบอก “สำเร็จแล้ว” พระคัมภีร์จะบอกถึงเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ สถานที่ต่างๆ ในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น? เพราะมนุษย์มองไม่เห็นในโลกวิญญาณ พระเจ้าเป็นวิญญาณ สิ่งต่างๆ ที่บอกได้สำเร็จแล้ว ก็เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทั้งสิ้น มนุษย์ก็เป็นวิญญาณ และวิญญาณเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เป็นสิ่งที่จะอยู่ถาวร มากกว่าสิ่งที่ตามองเห็นอีก พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงต้องอธิบายทางฝ่ายวิญญาณให้มนุษย์ได้ยิน ได้ฟัง ใครมีตา จงเปิดออก ใครมีหู จงได้ยิน ไม่มีหู ไม่มีตาเหรอ มี แต่มีฝ่ายวิญญาณ ให้เปิดออก จะได้รู้ว่าในโลกวิญญาณ อันนี้ คือเป็นจริงๆ นะ พระเจ้ามีจริงๆ อาณาจักรสวรรค์มีจริงๆ อาณาจักรพระคริสต์ตามองไม่เห็น แต่มีจริงๆ พระคัมภีร์จึงอธิษฐาน เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้นเลย เพื่อให้มนุษย์ได้รู้ว่าโลกที่ซ้อนอยู่บนโลกใบนี้ สถานที่ที่เรียกว่าโลกวิญญาณ มันมีอยู่จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่อยู่ถาวรนิรันดร์ด้วย
เรามาดูสิว่า “ได้สำเร็จแล้ว” ในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์พูดถึงว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นตรงนั้นบ้าง มีอะไรสำเร็จบ้าง สวรรค์ลงมาตั้งอยู่ เรามาดูโรม บทที่ 8 กัน
โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์”
พระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา เหตุการณ์เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อบ่ายสามโมง 2,000 ปีที่พระเยซูประกาศ สำเร็จแล้ว บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ หรืออยู่ในพระคริสต์
พระคริสต์ เป็นสถานที่ที่หนึ่งในโลกวิญญาณที่เรียกว่าพระคริสต์ พระเจ้าสถาปนาอาณาจักรหนึ่งขึ้นมา เรียกว่าพระคริสต์ และในนี้บอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ อีกแล้ว เพราะว่าเขาอยู่ในสวรรค์ ที่มีชื่อว่า “พระคริสต์” สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่า “พระคริสต์” แสดงว่าใครที่ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ยังถูกลงโทษอยู่ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรในโลกวิญญาณเหมือนกัน ที่เรียกว่า “ในอาดัม” เพราะฉะนั้น ใครอยู่ในอาดัมยังถูกลงโทษเหมือนเดิม ยังต้องชดใช้บาปตัวเองเหมือนเดิม เมื่อตายแล้ว ก็ยังต้องไปอยู่ในนรกเหมือนเดิม อยู่กับพระเจ้าไม่ได้
ในพระคริสต์ เขาเรียกกันว่า “ในวิญญาณ” นอกพระคริสต์ ในอาดัม เขาเรียกว่า “ในเนื้อหนัง” ในกิเลสตัณหา ไม่เกี่ยวกับการกระทำของคน เกี่ยวกับว่าคนนั้นอยู่ในตำแหน่งไหน? ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเขาทำดีทำชั่ว เกี่ยวกับว่าเขาอยู่ที่ไหนตอนนั้น พอเราเชื่อพระเยซู เราถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระคริสต์ เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราเชื่ออย่างเดียว คนที่ไม่ได้ย้ายมา เขาก็ยังอยู่ที่เดิม อยู่ในอาดัม ก็เรียกว่าอยู่ในเนื้อหนัง อยู่ในพระคริสต์ เขาเรียกว่าอยู่ในพระวิญญาณ
มี 2 อาณาจักร ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าพระคริสต์ ถ้าเป็นอาณาจักรพระคริสต์ คนนั้นในพระคัมภีร์ถูกเรียกว่าเป็นเดอะเซนต์ เป็นธรรมิกชน เป็นประชากรของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ซึ่งอยู่ในตำแหน่งใหญ่โตมาก ซึ่งเรียกว่าอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซู คนนั้นที่เชื่อในข่าวดีที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว พอเชื่อปุ๊บ เข้าไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานพร้อมกับพระเยซูเลย
เบื้องขวาหมายถึงมีสิทธิอำนาจที่พระเจ้ามอบให้เลย ดูแลอาณาจักรสวรรค์ทั้งหมด ผู้เชื่อจึงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันในการครอบครองอาณาจักรนี้ นี่คือมรดกของเรา
นี่คือโลกวิญญาณที่พระคัมภีร์อธิบายให้เราได้เห็นว่าคำว่า “ในพระคริสต์” เป็นอย่างไร? คนนั้นเป็นธรรมิกชนของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว ขณะที่เดินบนโลกใบนี้ แต่วิญญาณเขาอยู่ในสวรรค์ เรียกว่าพระคริสต์ เป็นประชากรของพระเจ้า หรือเขาไม่เชื่อ แล้วยังคงอยู่ที่โลกใบนี้ เป็นประชากรของโลกใบนี้ อยู่ใต้อำนาจของมารและความบาป ซึ่งส่งผลถึงความตาย ต้องรับโทษต่อไป เขาจะอยากอยู่ที่ไหน? นี่คือความจริงที่พระคัมภีร์ได้อธิบายให้เราได้เห็นภาพชัดเจนว่าโลกวิญญาณเป็นอย่างไร? มาดูต่อไปในโรม 8:2 ว่าข่าวดี Good Friday ศุกร์ประเสริฐ มันประเสริฐอย่างไร?
โรม 8:2 “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”
เขาอธิบายต่อว่าในโลกวิญญาณนี้ กฎของความบาปและความตาย คือทำบาป ก็ต้องได้รับโทษถึงตาย บาป 1 ครั้ง ก็มีค่าเท่ากับทำบาปล้านครั้ง ทำบาปหนึ่งครั้ง ก็ได้รับโทษถึงตายเหมือนกัน แต่พระวิญญาณ ที่ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เนื่องจากเชื่อในสิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้สำเร็จแล้ว พอเราเชื่อปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาสถิตอยู่กับเรา วิญญาณที่ตายอยู่ได้รับการสร้างใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดหมดจด โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง และการเกิดใหม่ตรงนี้ มันจึงทำให้เราเป็นอิสระ จากโทษของความบาปและความตาย เราไม่ต้องรับโทษของความบาปและความตายอีกแล้ว จบกันไปเลย ในโลกวิญญาณ มันมีสองอัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราต้องอยู่ในกฎเดิม กฎของความบาปและความตาย เราทำบาป เราก็ต้องรับ ทำบาปครั้งหนึ่งก็ตกนรก ทำบาปล้านครั้งก็ตกนรก รวมความคือตกนรกลูกเดียว เราจะเอาอย่างไร? เลือกข้างให้ถูก เลือกสถานที่จะไปให้ถูก เลือกคนให้ถูกเท่านั้นเอง มองให้ดีๆ (ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น) ในโรม 8:3 บอกต่อไปว่าอย่างไร? เมื่อพระเยซูบอกว่าได้สำเร็จแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น
โรม 8:3 “เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เอง มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และโดยการกระทำเช่นนี้ พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาปในมนุษย์ที่เป็นคนบาป”
“เพราะสิ่งที่บทบัญญัติทำไม่ได้ เนื่องจากวิสัยบาป ทำให้อ่อนแอนั้น” ในหนังสือฮีบรูบอกว่ากฎหรือบัญญัติต่างๆ ไม่สามารถทำให้มนุษย์เป็นผู้ชอบธรรมได้ แต่กฎบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น ทำไว้เพื่อมนุษย์จะได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาปและอ่อนแอ ถ้าไม่มีกฎ เราจะทำอะไร เราก็ไม่ผิด ถ้ามีกฎ เราทำปุ๊บ ผิดเลย
ยกตัวอย่าง ถ้าเขาบอกว่าให้ขับรถไปที่นี่ แล้วมันไม่มีป้ายบอก ไฟเขียว ไฟแดง เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เราขับไปเรื่อยๆ ไม่ผิด ขับอย่างไรก็ไม่ผิด แต่พอเขามีกฎแล้ว มีไฟแดง ไฟเขียว พอไฟแดง เราต้องหยุด ถ้าเราไม่หยุด ถือว่าผิด นี่เรียกว่ากฎ ปรากฏว่ามนุษย์ก็มีบาปอยู่ในตัว พอเจอไฟแดง ก็อยากจะฝ่าไฟแดง ที่ไม่ฝ่า เพราะว่าตำรวจอยู่ แต่ (สันดาน) ชอบทำ ฝ่าอยู่แล้ว นี่แหละคือมนุษย์อ่อนแอ แปลว่าอย่างนี้ พอมีกฎแสดงว่ามนุษย์จะรู้ทันทีว่า …
“ฉันเป็นคนบาป ฉันไม่อยากทำอันนี้ เขาบอกว่าไม่ดี เขาบอกว่าการโกรธ การไม่ให้อภัยคน ไม่ดี การอิจฉาคน ไม่ดี ฉันพยายาม ไม่อิจฉา แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันเป็นคนบาป”
เพราะฉะนั้น ในนี้กำลังจะบอกเราว่าต่อให้มนุษย์พยายามทำให้ถูกต้อง แต่ข้างในใจ มันไม่สะอาดจริง มันไม่สามารถทำให้เธอชอบธรรม ก็คือสะอาดหมดจด ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้เลย เพราะฉะนั้น ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องโดนลงโทษแน่ๆ
เมื่อมนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้ว ผ่านทางพระบุตร โดยส่งพระบุตรของพระองค์เองมา ในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ คือมาเกิดเป็นมนุษย์ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติทั้งปวง พระองค์ได้ตัดสินลงโทษมนุษย์ ที่เป็นคนบาปไปแล้ว ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้จนต่อไปในอนาคต ที่ยังไม่เกิดมา บาปทั้งหมดได้ถูกจัดการ ชำระ ถูกตัดสินว่ามนุษย์รับบาปไปหมดแล้ว สมมติ โทษจำคุก 100 ปี ถูกย้ายไปอยู่ที่พระเยซูหมดแล้ว พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว รับไปแล้ว 100 ปี พวกเราก็ไม่ต้องรับแล้วไง ถือว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว เราอยู่ในพระเยซู เราตายพร้อมกับพระเยซู เรารับโทษพร้อมกับพระเยซู … พระเยซูรับโทษ 100 ปี เราก็รับโทษ 100 ปี พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เราก็ตายที่ไม้กางเขนในวันนั้นด้วย ศุกร์ประเสริฐนั้น พอพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นด้วย เพราะจบไปแล้ว บาปได้ถูกชำระไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อถูกชำระบาป เราก็ไม่มีบาปแล้ว ทุกวันนี้ วิญญาณเราสะอาดหมดจด เพราะเราได้รับการชำระแล้ว เราจ่ายเงินไปแล้ว จ่ายค่าจ้างของความบาป ซึ่งคือความตาย ที่ไม้กางเขนพร้อมกับพระเยซูแล้ว พระคัมภีร์บอกอย่างนี้ เราได้ตายพร้อมกับพระองค์ พระเยซูกำลังจะบอกเราว่าให้เราเห็นภาพว่า …
“เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อฉันรับโทษ พวกเธอก็รับไปพร้อมๆ กัน เหมือนตอนเธอรับโทษ สมัยอาดัม เธอก็รับโทษพร้อมกับบรรพบุรุษ ตอนนี้ฉันจ่ายโทษให้แล้ว จ่ายหนี้ให้แล้ว เธอก็อยู่กับฉัน จ่ายไปพร้อมๆ กัน จำไว้ เตือนกัน ต่อๆ ไป หมดแล้ว จบแล้ว ไม่ต้องมีใครมาทวงหนี้อีกแล้ว อย่าไปหลงเชื่อมาร”
แค่นั้นเอง ในพระคัมภีร์จะพูดวนเวียนตรงนี้ตลอดเวลาว่าจ่ายไปหมดแล้ว พระเยซูมาทำเพื่อเรา มีค่าเท่ากับว่าเราทำเองตรงนั้น ไม่เข้าใจใช่ไหม? ให้ใช้ความเชื่อเอา กฎบัญญัติต่างๆ บอกว่ามนุษย์ทำไม่ได้ อ่อนแอ พระเจ้ารู้ จึงได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ เหมือนหนังสือยอห์น 3:16 บอกไว้ว่า …
ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อมนุษย์จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
อันเดียวกัน ได้ทำแล้ว ส่งมาแล้ว เพราะฉะนั้น มนุษย์ได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว ขึ้นอยู่กับเขาจะเลือกไหม? เขาจะเอาไหม? ถ้าเขาเอา ก็คือเชื่อ ก็ย้ายข้างมา จบ ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้เกี่ยวกับจะทำดี ทำชั่ว แต่เกี่ยวกับการย้ายสถานที่อยู่ในโลกวิญญาณเท่านั้น จากดำมาขาว จากโลกวิญญาณที่เรียกว่าอาดัม มาสู่พระคริสต์ จากโลกวิญญาณที่เรียกว่านรก มาอยู่ในความสว่างเรียกว่าสวรรค์ของพระเจ้า จากประชากรของโลก เนื้อหนัง มาเป็นประชากรที่เรียกว่าธรรมิกชนของพระเจ้า ในพระคริสต์ ไม่ได้เกี่ยวกับคนที่ทำดี ทำชั่วเลย เกี่ยวกับว่าเขาอยู่ไหน? ขณะที่อยู่ในอาดัม เขาไม่ย้ายเข้ามา ยังอยู่ที่เดิม อยู่ในเนื้อหนัง ก็จะมีทั้งคนดี คนไม่ดี ที่เรามองเห็นว่าคนนี้ทำดี คนนี้ทำไม่ดี บวกไปบวกมา ในทำนองเดียวกัน เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ก็จะมีผสมกัน มองดูคนนั้นนิสัยไม่ดี คนนั้นยังไม่ดีอยู่ แต่มันคนละเรื่องของโลกวิญญาณ วิญญาณสะอาดหมดจด อยู่ในสวรรค์แล้ว ไม่ต้องรับโทษอะไรอีกต่อไปแล้ว เอเมน มันเป็นแค่นี้เอง
ข้อสุดท้าย โรม 8:4 บอกว่าได้สำเร็จแล้ว แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เมื่อพระเจ้าส่งพระเยซูมา ถามว่าส่งมาเพื่ออะไร? โรม 8:4 ได้บอกไว้อย่างนี้
โรม 8:4 “เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติ จะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ”
พระเจ้าได้ส่งพระเยซูมาทำ และได้ทำสำเร็จแล้ว เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติจะได้ชอบธรรมครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ก็คือในตัวมนุษย์ทั้งหลาย ก็เพื่อสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายทำไม่ได้ เพราะอ่อนแอ รักษาบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ไม่ได้ เดี๋ยวก็ทำผิดๆ ตั้งใจจะทำถูกอย่างไร? พระเยซูบอกแค่โกหก ก็ไม่ซื่อ ไปขโมยของเขา ไปโกรธเขา เกลียดเขา ก็เท่ากับฆ่าเขาตาย ไปมองผู้หญิงด้วยใจกำหนัด ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว ทำอะไรก็ผิดหมด ไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองได้ พระเยซูกำลังจะบอกมนุษย์ว่าพวกเธอช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พระเจ้าก็เลยส่งพระเยซูมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน ในนี้บอกว่า …
“เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบัญญัติจะได้สำเร็จ ครบถ้วนบริบูรณ์ในตัวเราทั้งหลาย”
คือในตัวมนุษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เชื่อจะได้รับผลเลย ได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แปลว่า …
“เพื่อว่าเราจะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเลย”
พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อว่าเราจะได้รับการชำระบาป ให้เป็นผู้ชอบธรรมได้ โดยได้ถูกย้ายออกจากการดำเนินชีวิต อยู่ในอาณาจักรนี้ มามีชีวิตอยู่ในพระวิญญาณ ได้เกิดใหม่ อยู่ในสวรรค์
ตอนที่พระเยซูกำลังจะเดินทางเข้าไปสู่การถูกตรึงที่ไม้กางเขน สาวกก็ห้ามปราม พระเยซูบอกว่า …
“ฉันต้องไป ฉันต้องทำ”
คือตายและถูกตรึงที่ไม้กางเขน และบอกว่า …
“เมื่อเราถูกยกขึ้น ก็คือถูกตรึงที่ไม้กางเขน เราจะดึงเอาผู้คนมากมาย มาสู่เรา”
หมายถึงเราจะเอาเผ่าพันธุ์มนุษย์ผ่านทางเรา ไปอยู่กับพระเจ้า และทุกวันนี้ ไปอยู่กับพระเจ้าเท่าไรแล้ว ผ่านทางพระเยซูคนเดียว มนุษย์หลั่งไหลเข้าสู่ ง่ายๆ เลย โดยยกมือเท่านั้นเอง 2,000 ปีมาแล้ว นี่คือข่าวดี ที่สมควรที่จะถูกประกาศออกไป ไม่ต้องพึ่งการกระทำของใคร ของคนโน้นคนนี้ ของตัวท่านเอง หรือใครมาช่วยท่านเลย แม้กระทั่งไม่ต้องพึ่งพระเยซูเลย เพราะพระเยซูได้ ทำสำเร็จแล้ว พระองค์ไม่ได้เหนื่อยขึ้นเลย ที่จะมาช่วยอีกคนหนึ่งให้รอด เพราะช่วยทีเดียว ไปทั้งหมดเลย นี่คือความดีของคำว่า “Good Friday” ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***************************