คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2018
เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”
ตอน 4 “ต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เรามาต่อซีรี่ส์นี้ “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 4 ชื่อเรื่องว่า “ต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี” อุปมาทั้งหมดนี้ พระเยซูเป็นผู้ตรัสและสอนเอง ฟังพระเจ้าพูดเลยว่าพระองค์มีแผนการอะไร สำหรับมนุษย์ และเป็นอย่างไร?
เรากำลังเรียนเรื่องอุปมาคำสอนของพระเยซู สรุป ก็คือเนื้อหาคำสอนทั้งหมดของพระเยซู พูดถึงทางที่มนุษย์จะไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ซึ่งทำได้ โดยวิถีทางเดียว ก็คือวิญญาณของมนุษย์จะต้องบริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีที่ติเลย 100% ต้องเป็นเหมือนพระเจ้า จึงจะสามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้
ซึ่งคิดตามตรรกะเหตุผลของมนุษย์ จะไปอยู่กับพระเจ้า ก็ต้องเหมือนพระเจ้า สกปรกไปอยู่กับพระเจ้าไม่ได้ มนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษารู้เรื่องนี้หมด ซึ่งพระเยซูเป็นผู้ที่รับมอบภารกิจนี้ มาจากพระเจ้า คือพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม เพื่อทำให้มนุษย์ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ได้รับการชำระ โดยการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ
คำอุปมาคำสอนของพระเยซูที่เราจะเรียนทั้งหมด เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์และการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ไม่ได้พูดเรื่องอื่นเลย ย้ำอีกที ไม่ได้พูดเรื่องศีลธรรม คำสอนใดต่างๆ พูดแต่เรื่องนี้ อาณาจักรสวรรค์ คืออะไร? อาณาจักรสวรรค์กำลังมา? อาณาจักรสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ก็คือสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้ การบังเกิดใหม่ เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ ซึ่งเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ และสะอาดเหมือนพระเจ้า จะได้สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้ตลอดกาล ซึ่งมนุษย์ก็รู้นะว่าจะอยู่กับพระเจ้าต้องบริสุทธิ์สะอาดอย่างนั้น แต่ก็พยายามด้วยตัวเอง ซึ่งพยายามเท่าไรก็รู้ว่ามันไม่สำเร็จ พระเยซูเลยมาเป็นทางใหม่ให้ “มรดกใหม่” ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เรียกว่าพันธสัญญาใหม่ เป็นพันธสัญญาจากพระเจ้า ที่ได้รับโดยผ่านทางความเชื่อในการกระทำของพระเยซูคริสต์ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ก็คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้มนุษย์ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษกี่ร้อย? กี่พันปีมาแล้ว รอคอยกัน พระองค์ คือผู้นั่นแหละ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ เป็นพระบุตรของพระองค์เองเลย มาเป็นพระมาซีฮาห์ ภาษาฮีบรู แปลว่าผู้ช่วยให้รอด .. รอดจากนรก รอดจากความบาป ในวิญญาณของเรา เป็นผู้ไถ่บาป ก็ได้ ก็คือไถ่เราออกจากบาป ช่วยเราให้พ้นจากคุก นรก การเป็นทาส ในวิญญาณของเรา ซึ่งเราช่วยตัวเองไม่ได้ แต่พระองค์ทรงประทานพระเยซูมาช่วยเรา
ซึ่งตรงกันข้ามกับ “พันธสัญญาเก่า” ก็คือก่อนที่พระเยซูจะมาทำการบนไม้กางเขน ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ นั่นพันธสัญญาเก่า ซึ่งพระเจ้าได้ให้ไว้กับมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ต้อง ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ตามกฎระเบียบเป๊ะ ต่อให้เป๊ะอย่างไร? ก็ไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่มีทางสมบูรณ์ได้ แต่ก็ยังดีบ้างนิดหน่อยๆ เพื่อติดต่อกับมนุษย์ได้บ้าง เพื่อรอให้ถึงวันหนึ่งที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน และทำแผนการการไถ่มนุษย์ให้สำเร็จ และมันสำเร็จเมื่อวันศุกร์ประเสริฐ แปลว่าศุกร์ก่อนวันอีสเตอร์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันศุกร์ที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน นั่นแหละ เรารู้ว่าสำเร็จ 2,000 ปีมาแล้ว บ่าย 3 โมงบนไม้กางเขน พระเยซูตะโกนลั่นเลยว่า … “สำเร็จแล้ว”
รอกันมาหลายพันปี จบแล้ว ได้แล้ว แล้วก็สิ้นพระชนม์ นั่นแหละ คือรอกันมา นั่นคือพันธสัญญาเก่า รอวันนี้ วันที่พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน และทำให้สำเร็จแล้ว เพราะฉะนั้น พันธสัญญาเก่า ก็ต้องจบกันไป หลังจากพระเยซูตายที่ไม้กางเขน แล้วบอกสำเร็จแล้ว จากนี้ต่อไป เป็นพันธสัญญาใหม่ที่จะติดต่อกับมนุษย์ มนุษย์ต้องเชื่อฟัง ผู้สร้างเขา ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย คือพระเจ้า พระองค์วางแผนการนี้ไว้อย่างนี้
“ใครมีหู จงฟังเถิด”
ขืนไปดำเนินอยู่ในพันธสัญญาเก่า มันไม่สำเร็จอยู่แล้ว ทำด้วยตัวเอง มันไม่ไหว ก็รู้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น หยุดเถิด แล้วมาพึ่งในพันธสัญญาใหม่ พึ่งในการกระทำ ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว พระองค์ทรงทำให้ที่ไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ เอเมน
ซึ่งเราก็พูดกันมาตลอดว่าในความเป็นจริง จริงๆ แล้ว ไม่มีมนุษย์คนใด ที่สามารถทำตามบัญญัติ ถูกต้องหมด ด้วยตัวเอง ไม่มีผิดเลย ไม่มีมนุษย์คนใดไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียว เราก็รู้อยู่ เพราะว่ามนุษย์อ่อนแอ ไม่มีทางที่จะทำได้ ตามมาตรฐานของพระเจ้าหรอก ไม่สามารถรักษาวิญญาณของตัวเองให้สะอาด ไร้ที่ตำหนิ ไม่มีมลทิน คือไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นไปไม่ได้
และนี่ก็คือเหตุผลที่บอกว่าทำไม พระเจ้าจึงต้องประทานพันธสัญญาใหม่ให้กับมนุษย์ เพราะมนุษย์ทำไม่ได้ เพราะวิญญาณข้างในของมนุษย์เป็นทาสของความบาป แล้วจะทำได้อย่างไร? ข้างนอก ทำให้ตายอย่างไร? ก็บาปอยู่ดี ทำบาปนิดหนึ่ง ก็คือบาป สำหรับพระเจ้าไม่มีบาปน้อย บาปนิดหนึ่ง บาป 5% บาป 1% บาปเท่ากัน
บาป คือบาป เพราะพระเจ้าดูที่วิญญาณข้างใน ถ้าวิญญาณบาป มันบาปแน่ๆ ไม่ว่าน้อยหรือมาก เพราะมันอยู่ข้างใน ต่อให้ทำน้อย ข้างในก็มีความบาป เท่ากับคนทำข้างนอกเยอะ มีค่าเท่ากัน
ยิ่งเรียน ยิ่งชัดเจน เป็นตรรกะ บางครั้ง มีเหตุผล คิดตามภาษามนุษย์ก็ยังได้ว่าไม่มีใครทำได้เลยนะ มีใครในโลกนี้ ไม่เคยโกหก ไม่เคยคิดชั่วแม้แต่ครั้งเดียว มันเป็นไปไม่ได้เลย และถ้าขืนไปพยายามด้วยตัวเองต่อไป มันก็ตาย พระองค์ประทานพระเยซูให้แล้ว กลับมาเถิด มาพักผ่อนหายเหนื่อยและเป็นสุข … ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนอุปมา เรื่องความสว่าง มาทบทวนกัน มัทธิว 5:14-16
มัทธิว 5:14-16 “14 ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนไว้ไม่ได้ 15 เช่นเดียวกัน เมื่อคนจุดตะเกียงแล้วย่อมไม่เอาฝาครอบ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน 16 ในทำนองเดียวกัน จงให้ความสว่างของท่าน กระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์”
พระเยซูทรงเป็นความสว่าง และพระองค์บอกว่า …
“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่าง”
เราเป็นความสว่าง เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็จะมีสภาพเหมือนพ่อของเรา ก็เหมือนกับพระเจ้า ไม่อย่างนั้น เราอยู่กับพระองค์ไม่ได้ เราเป็นลูกพระองค์และมีสภาพในวิญญาณเหมือนพระเจ้า พระเจ้าเป็นความสว่าง เราก็เลยเป็นความสว่างด้วย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
แสงสว่าง ก็คือสภาพที่เป็นเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู พระเยซูกับพระเจ้า ในพระคัมภีร์พูดรวมๆ กันว่าพระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความเมตตา พระเจ้าเป็นความสว่าง พระเจ้าเป็นความดี เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นเหมือนพระองค์ เราก็เป็นความสว่าง เราเป็นความรัก เราเป็นความเมตตา เราเป็นความดี พระคัมภีร์บอกว่าท่านเป็นคนดี เป็นเมตตา เราเป็นความรักเหมือนพระเจ้าเลย แม้ว่าบางครั้งในทางร่างกายที่เราเห็นกันอยู่ อาจถูกล่อลวงไปทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับข้างในวิญญาณของเรา แต่โดยเนื้อแท้ โดยสภาพในวิญญาณ ก็ยังเป็นความสว่างเหมือนพระเจ้าอยู่ดี
คำอุปมาคำสอนของพระเยซู ในพันธสัญญาใหม่ ที่สอนเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับวิธีไปสวรรค์ เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ วันนี้เข้าตอนที่ 4 ในลูกา 6:43-45 …
ลูกา 6:43-45 “43 ต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว และต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี 44 เราจะรู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้ ด้วยผลของมัน พุ่มหนามย่อมไม่ออกผลเป็นมะเดื่อ หรือกอหนามย่อมไม่ออกผลเป็นองุ่น 45 คนดีย่อมนำสิ่งดีออกจากความดีที่สะสมไว้ในใจของตน ส่วนคนชั่วก็นำสิ่งชั่วออกจากความชั่วที่สะสมไว้ในใจของตน เพราะปากย่อมเอ่ยสิ่งที่เอ่อล้นออกมาจากใจ”
เคล็ดลับที่จะเรียนเรื่องเหล่านี้ เอาผลมาก่อนเลย
“ไม่รู้ล่ะ สรุปฉันจะเข้าใจ ไม่เข้าใจ จากนี้ต่อไป แต่ฉันรู้ว่าทั้งหมดนี้ มันแปลว่าอะไร?”
ตรงนี้มันสำคัญกว่าเยอะเลย พูดตรงๆ ไม่ต้องเรียนมากเลย เอาแค่ท่านเชื่อแค่นี้ก็พอแล้ว แต่ไม่ได้หรอก พระเจ้าให้เราเรียน เพื่อเราจะได้รู้ จะได้เจริญเติบโต เพื่อพระเจ้าจะได้ใช้เราออกไป เราเป็นแสงสว่าง นำเราไปปักที่ไหน เราก็ได้มากขึ้น เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า
“ต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี หรือต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว” และ “ต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี” นึกถึงธรรมชาติ พระเจ้าไม่ได้สอนอะไรยากเลย อุปมา คือเดินๆ ไปแล้วเห็น แล้วก็บอก แล้วพอท่านรู้เคล็ดลับ พอท่านมีอุปมาของท่านเอง พระเจ้าสอนท่านส่วนตัวเลย เหมือนที่สอนพวกเราที่รู้จักในเรื่องนี้มากๆ และสนใจในเรื่องนี้มากๆ ท่านเดินไปในชีวิต พระเจ้าจะบอก เหมือนตรงนั้นเลย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าจะสอนท่านเป็นหลายๆ ครั้งเลย ก็เหมือนเรื่องนี้ ต้นไม้ดี มันก็ให้ผลดี ถ้าต้นไม้เลว มันจะให้ผลดี เป็นไปไม่ได้ ปลูกต้นมะละกอ จะกลายเป็นทุเรียน อย่าไปหวังเลย ไม่มีหรอก มันธรรมชาติ พระเยซูกำลังสอนเราง่ายๆ
“ต้นไม้ดี ย่อมไม่ให้ผลเลว และต้นไม้เลว ย่อมไม่ให้ผลดี เราจะรู้จักต้นไม้แต่ละต้น ได้ด้วยผลของมัน พุ่มหนามย่อมไม่ออกผลเป็นมะเดื่อ หรือกอหนามย่อมไม่ออกผลเป็นองุ่น หรือต้นหญ้าย่อมไม่ออกผลเป็นเงาะ”
ในเมืองไทยเราเห็นชัด คำอุปมาตรงนี้ เป็นการเปรียบเทียบเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ ความเป็นจริงง่ายๆ ที่เราเรียกกันว่าความจริงทั่วๆ ไป ความจริงที่เขาเรียกว่ามีมาตรฐาน ยอมรับกันทั้งหมด ภาษาไทยเรียกว่าสัจจธรรม นี่คือสัจจธรรมของธรรมชาติ มันเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครเถียง ถูกต้องหมด
คราวนี้มาดูสิว่าพระเยซูกำลังเปรียบเทียบเรื่องนี้กับเรื่องวิญญาณ การบังเกิดใหม่ การเข้าไปสู่สวรรค์ และเข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร?
“ต้นไม้ดี ก็ย่อมให้ผลดี” พูดง่ายๆ ต้นไม้ที่มีธรรมชาติ ชีวิตของมัน เป็นของดี มันก็ออกผลเป็นดี ต้นไม้ที่มีธรรมชาติเลวอยู่ มันย่อมให้ผลเลว
คำขยายความข้อนี้บอกว่าถ้าเราเอาพุ่มหนาม หรือกอหนามมาปลูก เราจะให้มันออกผลเป็นลูกมะเดื่อหรือลูกองุ่นย่อมเป็นไปไม่ได้ พูดอย่างนี้ปุ๊บ ชาวอิสราเอล หรือคนติดตามพระองค์รู้หมดเลย ใช่ นี่เป็นสัจจธรรม
ความรู้สึกคนที่ฟังตอนนั้นเป็นอย่างไร? ชัดๆ ง่ายๆ ถูกเลย ถ้ามาสมัยเรา ผมพูด ผมก็จะเปรียบเทียบอย่างนี้ว่าเราเลี้ยงสุนัข ธรรมชาติของสุนัขก็คือเห่า ถ้าเราเลี้ยงแมว ธรรมชาติของแมว ก็ร้องเมี้ยวๆ เราเลี้ยงสุนัข แล้วจะสอนให้มันร้องเมี้ยวๆ เหมือนแมว มันก็เป็นไปไม่ได้
คำอุปมาตรงนี้ พระเยซูต้องการเปรียบเทียบให้เราเข้าใจว่าเราจะไปบังคับ ไปฝืนธรรมชาติ เป็นไปไม่ได้
ต้นไม้ มีทั้งที่เป็นต้นไม้ดี และต้นไม้เลว ฉันใด วิญญาณมนุษย์ ก็มีทั้งวิญญาณที่ดี และวิญญาณที่ไม่ดีฉันนั้น วิญญาณที่ดี ก็คือวิญญาณที่สะอาดหมดจด ไม่มีตำหนิใดๆ เลย เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ส่วนวิญญาณที่ไม่ดี ก็อยู่ตรงกันข้าม คือวิญญาณที่ยังไม่ได้รับการชำระให้หลุดพ้นจากบาป ยังสกปรกอยู่ พูดง่ายๆ วิญญาณที่ดี คือวิญญาณที่สามารถไปสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานได้ ไร้ตำหนิ ส่วนวิญญาณที่ไม่ดี คือวิญญาณที่ไม่สามารถเข้าไปในสวรรค์ได้ เพราะเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นความสกปรก นี่คือระเบียบ คือกฎต่างๆ ของธรรมชาติ ของสัจจธรรมที่พระเยซูกำลังสอนเราตรงนี้
เหมือนคำอุปมาที่บอกว่าต้นไม้ดี ย่อมให้ผลดี พูดอีกทางหนึ่ง ก็คือผลของต้นไม้จะออกมาดีได้ ต้องมาจากต้นไม้ต้นนั้นมันกำเนิดมาอย่างไร? ถ้าต้นไม้นั้น มีต้นกำเนิดที่ดี มันก็จะให้ผลดี คือแก่นของชีวิตของมัน ตัวจริงของมัน ธรรมชาติของมันเป็นอะไร? เปรียบเทียบกับวิญญาณของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน วิญญาณของมนุษย์ จะเป็นวิญญาณที่ดี เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ได้ ก็มาจากต้นกำเนิดที่ดีเท่านั้น และต้นกำเนิดที่ดีของมนุษย์ ต้องเป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า
เพราะฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์จะเป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดได้ ก็ต้องเป็นวิญญาณที่บังเกิดมาจากพระเจ้า หรือพูดง่ายๆ เกิดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น ก็กำลังพูดถึงการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ พระเยซูบอกว่าเราจำเป็นต้องมีการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ถ้าไม่บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เราไม่สามารถที่จะผลิตผลดีได้เลย แค่อุปมาสั้นๆ ลึกซึ้งมาก ซึ่งที่เราเรียนมาทั้งหมด ก็คือตรงนี้แหละ ที่บอกว่ามนุษย์ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น จึงจะสามารถมีวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ ไร้ตำหนิ ไร้บาป เหมือนพระเจ้าได้ ต้องเกิดใหม่เท่านั้น เพราะการกำเนิดหรือการบังเกิดครั้งแรกของมนุษย์ทุกคน คือตอนเราคลอดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนบนโลกใบนี้ ล้วนมีเชื้อของความบาปติดตัวมาทั้งนั้น เราเกิดมาอุ๊แว๊ๆๆๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย วิญญาณก็บาปแล้ว
วิธีเดียวที่จะทำให้บาปนั้น หมดไปได้จากวิญญาณของเรา คือต้องเกิดใหม่ อย่างครั้งที่แล้วที่ผมพูด มันต้องเกิดใหม่เท่านั้น เห็นคนๆ หนึ่ง อย่างเช่นนักฟุตบอล โรนัลโด้ ถ้าผมบอกว่า …
“ผมอยากจะเตะบอลให้เก่ง ผมจะเรียนเตะบอลให้เก่งเท่าโรนัลโด้” สมมติผมพูด
คุณก็จะบอกผมว่า “คุณไปเกิดใหม่เถอะ”
เผลอๆ คุณดูถูกผมด้วย “เกิดใหม่อีก 10 ชาติก็ไม่เป็น”
พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นเลยว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้า พระบุตรของพระเจ้า พระเยซู ในการไถ่บาป พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เราบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เพราะว่าต้นไม้ดีเท่านั้น จึงจะสามารถให้ผลดีได้ ถ้าเราไม่เกิดใหม่ ในวิญญาณ เราไม่สามารถผลิตผลออกมาได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะวิญญาณข้างในมันไม่ดี อย่างไรมันก็ไม่ดี
คำว่า “ผลดี” หรือ “ผลเลว” ตรงนี้ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนี้ ตั้งใจฟังนะ ไม่มีตรงกลางๆ ใครจะพูดว่าตอนนี้ ยังไม่ค่อยสะอาดเท่าไร? ยังมีสกปรกนิดๆ หน่อยๆ กำลังพยายามทำอยู่ อีกนิดเดียวกำลังจะบริสุทธิ์แล้ว ทำอีกนิดเดียวก็จะได้ไปสวรรค์แล้ว
ในทางวิญญาณ ไม่มีตรงกลาง ไม่มีคำว่าเกือบ ไม่มีคำว่าสีเทา มีแต่สีขาวกับดำ สว่างหรือมืด ไม่มีสลัวๆ มีดีกับเลว ดี 90 เลว 10 ไม่มี ดีก็คือดีเลย เลวก็คือเลวเลย แล้วก็มีไร้ที่ตำหนิ สะอาดบริสุทธิ์ 100% กับสกปรก 100% ไม่มีสะอาดไปแล้วประมาณ 90 ทั้งอธิษฐานเยอะ ทำอันนั้นเยอะ ทำอันนี้เยอะ มาโบสถ์ประจำ ช่วยโบสถ์อะไรต่างๆ ตอนนี้สะอาดไปแล้ว 90 ไม่มี ถ้าสะอาด ก็คือสะอาด 100% ถ้าสกปรก คือสกปรก 100%
ผมพยายามเอามาสอน ให้ท่านจำง่ายๆ ชีวิตปกติทั่วๆ ไป เอามาเปรียบเทียบให้ดู เพื่อให้เรารู้ถึงแก่นมัน ถ้าท่านรู้ถึงแก่นมัน ต่อไปนี้ท่านจะสนุกด้วย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สอนท่านไปเรื่อยๆ หรือธรรมชาติจะสอนท่านไปเรื่อยๆ
ถ้าเราพูดอย่างนี้ ตามพระคัมภีร์ตะกี้เลย ที่พระเยซูสอนเมื่อกี้ อุปมานี้ ถ้าบอกว่าเรามาเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่ดีแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าเลย เป็นแสงสว่าง มีสภาพในวิญญาณเหมือนพระเจ้า ไร้ที่ตำหนิ บริสุทธิ์สะอาด เป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นความเมตตา เหมือนพระเยซูเลย
“แล้วคริสเตียนที่บังเกิดใหม่อย่างนี้แล้ว แต่ทำสิ่งชั่วร้ายในชีวิต ผลิตผลที่ไม่ดีออกมา ไปทำสิ่งที่น่ารังเกียจ ในสายตาของมนุษย์ทั้งโลก รวมทั้งตัวเราเองด้วย คนข้างๆ ด้วย”
ถามว่ามีอีกไหน? มี ก็ตัวเรา มีไหมล่ะ ทำไมเป็นอย่างนี้ ไหนบอกว่าเราเชื่อพระเจ้า เราบังเกิดใหม่แล้ว
“เป็นความรักอะไร? ตะกี้เกลียดจะตาย หน้านี้ไม่อยากจะเจอ ทำกับฉันอย่างนี้ ฉันจำได้ พระเจ้าขอช่วยลูกให้อภัยให้เขาได้”
แสดงว่าตอนนั้น มันอภัยไม่ได้ ถูกต้องแล้ว หลายคนก็คิดอย่างนี้ในใจ แล้วก็ทำอะไรหลายๆ อย่าง ที่เป็นผลที่ไม่ดีทั้งนั้น แล้วไหนบอกว่าข้างในดี มีผลที่ดีไง แล้วจะเอาอย่างไร? มีเยอะไหมที่คิดอย่างนี้ มีแน่ๆ ถ้าไม่รู้ความจริง
“ทำไมมันเป็นอย่างนี้นะ พระเยซูบอกว่าวิญญาณเราดีแล้ว ข้างนอกมันต้องดีแน่นอน เราดีได้อย่างไร? เมื่อตะกี้เรายังไปทำไม่ดีเลย พระเยซูพูดผิดเหรอ ชักงง”
อาจารย์เปาโลได้พูดไว้อย่างนี้ในหนังสือโรม 7:15-20 …
โรม 7:15-20 “15 ข้าพเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ ข้าพเจ้าไม่ทำ แต่ข้าพเจ้ากลับทำ สิ่งที่ตนเองเกลียด 16 และถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ข้าพเจ้าก็เห็นด้วยว่าบทบัญญัตินั้นดี 17 ดังที่เป็นอยู่ จึงไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่เป็นผู้ทำสิ่งนี้อีกต่อไป แต่เป็นบาป ซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าที่ทำ 18 ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่มีสิ่งดีอะไรอยู่ในตัวข้าพเจ้า คือ ในวิสัยบาปของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าปรารถนาจะทำสิ่งที่ดี แต่ทำไม่ได้ 19 เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งดีที่ข้าพเจ้าต้องการทำ แต่สิ่งชั่ว ซึ่งข้าพเจ้าไม่ต้องการทำ ข้าพเจ้ากลับทำเรื่อยไป 20 ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ย่อมไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่ทำ แต่เป็นบาป ซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ”
เปาโลเป็นคริสเตียนที่มีความเชื่อสูง สอนพระคัมภีร์ใหม่หลายเล่มของจดหมายฝาก ลึกซึ้งมาก เจอพระเยซูหน้าต่อหน้าเลย ความเชื่อสูงมาก ทำไมพูดอย่างนี้ พูดแปลกๆ มันแปลว่าอะไร? ผมจะพาท่านไปทีละนิดๆ แล้วท่านจะไม่งง มันก็เหมือนกับตัวท่านนั่นแหละ เวลาผมพูดถึงเปาโลตอนนี้ ท่านลองสลับสวิทส์ แล้วใส่ชื่อท่านเข้าไป มันเป๊ะเลย
“ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ตนเองทำ เพราะสิ่งที่ฉันต้องการจะทำ ฉันไม่ทำ แต่ฉันกลับทำ สิ่งที่ตนเองเกลียด”
ใช่หรือไม่ใช่? อ้าว! ทุกคนไม่ยอมรับอีกเหรอ หรือทุกคนคิดว่าตั้งแต่เชื่อพระเยซูมา ฉันรักในสิ่งที่ฉันทำทุกอย่าง มันดีหมดเลย ไม่จริงหรอก ผมเชื่อว่าหลายครั้ง ท่านคงเบื่อเหลือเกิน ทำไมฉันเป็นอย่างนี้ ตั้งใจมากี่ครั้งแล้ว ว่าจะไม่งอนแล้วนะ เอาใหม่ๆ นี่แหละคือเกลียดตัวเองแล้ว ว่าจะไม่เครียด เชื่อพระเจ้าสิ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัว นี่แหละ กำลังทำสิ่งที่ตัวเองเกลียด อย่าไปคิดถึงเรื่องไกลๆ มากๆ เอาใกล้ๆ ตัวนี่แหละ อ่านแล้วก็งงนะ แต่จริงๆ ใส่ชื่อเราลงไป มันก็ไม่งง ชัดเลย
สำหรับคำถามของหลายๆ คนที่มักจะถามว่าเป็นคริสเตียนแล้ว มีวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทำให้เราเกิดใหม่นั้น เป็นวิญญาณที่ดีแล้ว แต่ทำไมยังมีคนทำผิด ทำบาป ผลิตผลเลวอยู่เยอะ เต็มไปหมดในชีวิตของเขา อ่านข้อ 19 กับข้อ 20 ตรงนี้ แล้วจะชัดเลยนะว่า …
“19 เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งดีที่ข้าพเจ้าต้องการทำ แต่สิ่งชั่ว ซึ่งข้าพเจ้าไม่ต้องการทำ ข้าพเจ้ากลับทำเรื่อยไป 20 ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ย่อมไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่ทำ แต่เป็นบาป ซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ”
“เรื่อยไป” แปลว่าทำตลอดชีวิตของเขาแหละ
ในภาษาเดิมบอกว่า “แต่เป็นบาปต่างหากที่มันทำ” เริ่มชัดขึ้นแล้วนะ
วิญญาณของผู้ที่ได้รับการบังเกิดใหม่ เมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด 100% เป็นวิญญาณที่เต็มล้นไปด้วยความรัก ความเมตตา ความดีงาม 100% เป็นธรรมชาติเลย แต่ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ บนโลกใบนี้อยู่ มันก็อาจจะมีปรสิต
ปรสิตมี 2 อย่าง คือปรสิตทางพืชและปรสิตทางสัตว์ มีลักษณะเหมือนกัน ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน รับรองคำนี้ ทุกคนรู้เลย กาฝากหรือปรสิต มันใช้ชีวิตไปแฝงไว้กับชีวิตอื่น แล้วก็ทำลายชีวิตอื่น ด้วยการฆ่าตัวอื่นตาย โดยการแอบเอาอาหาร เอาชีวิตสิ่งที่มันไปฝากไว้ เอามาเป็นชีวิตของตัวเอง อย่างเช่น กาฝากต้นไม้ ว่ากันไปต้นโน้นต้นนี้เยอะแยะไปหมดเลย แล้วก็กาฝากที่เป็นสัตว์ อย่างเช่น พวกพยาธิ แบตทีเรีย พวกนี้มันเอาชีวิตเรา
เพราะฉะนั้น บาปเหมือนกาฝาก เหมือนที่อาจารย์เปาโลบอกว่า … “ถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ ย่อมไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองอยากทำ แต่มันเป็นบาป ซึ่งอยู่ในข้าพเจ้าต่างหากเป็นผู้ทำ เชื้อบาปที่อยู่ในข้าพเจ้า มันเป็นผู้กระทำ มันไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองที่ทำ ศัตรู คือเชื้อบาป ที่ยังแอบแฝงอยู่ในตัวของเรา ที่เป็นตัวมนุษย์ ที่ดำเนินอยู่บนโลกนี้ ที่เป็นร่างกายนี้ มันเหมือนกาฝาก และเป็นผู้ที่ผลิตผลเลว มาอยู่ในชีวิตของเรา ตั้งใจฟังให้ดีๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติแท้ๆ ของเราได้ ที่มันเป็นธรรมชาติที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณ เนื้อแท้ หรือธรรมชาติของเราในวิญญาณ ที่บังเกิดใหม่แล้ว ก็คือวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด เป็นแสงสว่าง เป็นความรัก ความดี ความเมตตา เหมือนพระเจ้าทุกประการ แม้ว่าเมื่อตะกี้นี้เราจะคิดโกรธใคร แม้ว่าตะกี้นี้เราจะไปด่าใคร? ขณะที่ด่านั้น วิญญาณเราก็ยังบริสุทธิ์สะอาด เหมือนพระเจ้าอยู่ ผมไม่ได้พูดเอง เปาโลเป็นคนสอน ซึ่งตรงกับที่พระเยซูสอนเมื่อตะกี้นี้เลยนะครับ
เป็นไปไม่ได้ถ้าวิญญาณสะอาดแล้ว ข้างนอกมันต้องสะอาด เพราะว่ามันเป็นชีวิต มันสะอาด เป็นของแท้ มันเป็นตัวตนจริงๆ ของเราที่ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เชื้อบาปมันแอบแฝงเหมือนกาฝากที่อยู่ในชีวิตของเรา ต้นไม้ที่ดี แม้บางครั้ง อาจจะมีพวกกาฝากมาเกาะกิน ทำให้ผลที่ออกมา เปลี่ยนไปบ้าง บิดเบี้ยวไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความดี หรือความแข็งแกร่ง ธรรมชาติของต้นไม้ ความสวยงามของต้นไม้นั้นๆ เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มันก็ยังคงเป็นต้นไม้ที่ดีตลอดไป ถ้าเผื่อมีคนดูแลมันต่อ
เมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ จากต้นกำเนิดที่เป็นต้นไม้ดี สภาพธรรมชาติของเรา คือข้างในวิญญาณ ก็จะเป็นไปตามนั้น เราบังเกิดใหม่จากพระเจ้า เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของเรา ข้างในวิญญาณเป็นลูกพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้า คือเป็นความรัก ความเมตตา ความดีงาม ความรอบคอบ อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าที่ดีงาม แล้วก็เป็นอย่างนั้นตลอดไปเลย ไม่มีใครเอาเราออกไป จากมือของพระองค์ได้ พระองค์ทรงปกปักคุ้มครองดูแลเรา
“เราช่วยเจ้าให้รอดแล้ว รอดเลย ไม่มีใครมาเอาเจ้าออกไป จากเราได้”
พอหรือยังพระเจ้าสัญญาขนาดนี้ สัญญามากกว่านี้อีก เยอะกว่านี้ ไม่มีใครเอาเราออกไปจากครอบครัวพระเจ้านี้ได้อีกแล้ว ไม่มีเลย กาฝากมันทำอะไรเราไม่ได้เลย มันก็ทำได้แค่หลอกล่อเราไปทีละนิด ทีละหน่อย
การอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นแสงสว่าง เต็มไปด้วยความดีงาม ชีวิตเราต่อติดอยู่กับพระองค์ จึงมีแต่ความดี ผลทั้งสิ้น ดี ไม่มีผลเลวร้ายเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะเราอยู่กับพระเจ้าข้างในวิญญาณของเรา นอกจากบางครั้ง เราอาจถูกล่อลวง ยอมให้ศัตรู ปรสิตนี้ ที่เรียกว่าบาป ซึ่งมันเหมือนกาฝาก ปรสิตที่อาจจะมีอิทธิพลต่อร่างกายและความคิดจิตใจของเรา เข้ามาผลิตผลที่ไม่ดีในชีวิตของเราบ้าง? เป็นบางครั้งเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของเนื้อแท้ๆ ธรรมชาติในวิญญาณของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เราจึงไม่ค่อยสบายใจเลย เราจึง …
“ใครช่วยฉันที แต่ขอบคุณพระเจ้า พระเยซูคริสต์ช่วยฉันได้”
เรายังคงมั่นคงอยู่ในวิญญาณนี้ แล้วพระเจ้าก็เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเรา ด้วยถ้อยคำพระเจ้าไปทีละวันๆ จัดการกับกาฝากนั้นไปทีละนิดทีละหน่อย ให้มันน้อยลง
เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ตัวเราที่เป็นผู้กระทำ แต่เป็นบาป ซึ่งมันเป็นกาฝาก เป็นปรสิตต่างหาก ที่เป็นผู้กระทำ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น อะไรหลายๆ อย่างที่ตัวเราเองแท้ๆ แท้จริงข้างในเราไม่ชอบ ไม่อยากทำ เราอยากท้องเสียเหรอ ไม่อยาก เราอยากผอมหัวโตเหรอ ไม่อยาก เพราะแบตทีเรียที่ไม่ดี พยาธิที่อยู่ในตัวเรา เราต้องรู้ เราจะดิวกับมันอย่างไร ให้มันทำร้ายเราน้อยที่สุด ต้องอยู่กับมัน เผลอนิดเดียว มันก็สามารถทำอะไรเราได้ อย่างนี้เป็นต้น นี่เขาเรียกว่ากาฝาก
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อในพระเยซูและได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็จะเป็นคนดีพร้อม ที่อาจมีผลชั่วในบางครั้ง ซึ่งไม่เหมือนแต่ก่อน ตอนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซู ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ … วิญญาณซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา ยังตกอยู่ในความบาป ยังเป็นทาสความบาป สกปรกอยู่
ก่อนพระเยซูคริสต์มาเกิด พระคัมภีร์บอกเลยว่าในโลกนี้ ไม่มีใครดีเลยสักคน มีแต่คนไม่ดี คนชั่ว คนบาป อ่านให้ดีนะ ก่อนเราเชื่อพระเยซู เรายังไม่บังเกิดใหม่ พระคัมภีร์บอกว่าตอนนั้น ไม่มีใครสักคนเลยดีพร้อม ตัวเราเองก็ไม่ดี เป็นคนชั่ว คนบาป ถามว่ามีบางครั้งไหม ที่เราอาจทำความดีบ้าง? ตอนก่อนเชื่อพระเจ้า เราก็ยังทำดีอยู่
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าคนชั่ว คนบาป ที่บางครั้งทำดีบ้าง ก็มี ก็คือทำความดีอย่างไร? เท่าไร? ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ เพราะโดยธรรมชาติในวิญญาณ มันเป็นคนบาป ก่อนที่เราจะเชื่อพระเจ้า นี่คือความเป็นจริงของสัจจธรรม ที่ผมบอก มันเป็นธรรมชาติ
ส่วนคนที่บังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยพระเยซู โดยธรรมชาติในวิญญาณ เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเลย สะอาดบริสุทธิ์ ไร้ตำหนิ เหมือนพระเจ้า ถึงจะมีผลิตผลที่ไม่ดีบ้าง จากปรสิต แต่โดยธรรมชาติข้างในวิญญาณ เป็นคนดี มีเมตตา เหมือนพระเจ้า นั่นเอง
ไม่ต้องดูข้างนอก ให้ดูข้างในนั่นแหละ สำคัญ เราต้องดูแบบนี้ พระเยซูกำลังสอนว่าท่านไม่เป็นต้นไม้ดี ก็เป็นต้นไม้เลว ไม่มีกึ่งๆ กลางๆ ถ้าข้างในไม่เป็นต้นไม้ดี ก็เป็นต้นไม้เลว ท่านไม่เป็นของพระเจ้า ท่านก็เป็นของมาร ไม่เป็นคนชอบธรรม ก็เป็นคนบาป ไม่เป็นคนดี ก็เป็นคนชั่ว ท่านไม่สามารถมีสถานะอื่นได้ นอกจากนี้อีกแล้ว ก็คือไม่ขาว ก็ดำ ไม่สามารถอยู่ในที่เทาๆ ได้ เพราะมีแค่ 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรแห่งความสว่าง หรือเรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า แล้วก็อาณาจักรของความมืด ที่ไม่มีพระเจ้าเท่านั้น
วิญญาณมนุษย์ทุกคนจะอยู่ข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น ถ้าอยู่ข้างมืด ก็อยู่ในอาดัม ถ้าอยู่ในความสว่าง ก็อยู่ในพระคริสต์ ถ้าอยู่ในความมืด ก็อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า ถ้าอยู่ในความสว่าง ก็คือสวรรค์ ไม่มีอย่างอื่น ไม่มีอยู่ 90% อยู่ไหน ก็อยู่ตรงนั้น ถ้าคุณอยู่ในความมืด อยู่ในอาดัม คุณยังมีสิทธิ์ ที่จะเลือกเปลี่ยนมา เพราะพระเยซูทำให้แล้ว ที่ไม้กางเขน พระเยซูบอกคนมีหูจงฟัง และมาหาพระองค์ และจะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข
คุณสมบัติ ลักษณะ ความสามารถทั้งหมด มาจากการเกิดมาเป็น อย่างที่ผมบอก ทั้งหมดเลยที่เราเป็น สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เกิดมาเป็น ไม่ใช่เราทำ ไม่สามารถฝึกฝน ปฏิบัติได้ด้วยตนเอง เหมือนที่เคยบอกไว้ ครั้งที่แล้วว่าเกิดเป็นผู้ชาย ก็เป็นผู้ชาย ไม่สามารถ พยายามทำตัวเองให้เป็นผู้ชาย แม้เป็นผู้ชาย แอบไปใส่กระโปรง ก็ยังเป็นผู้ชาย จะแอบไปทาปากบ้าง ก็เป็นผู้ชาย เดินเหมือนผู้หญิงบ้าง ก็เป็นผู้ชาย เพราะข้างในเป็นผู้ชาย เพราะเขาเกิดมาเป็นผู้ชาย
เกิดมาเป็นปลา ก็อยู่ในน้ำ ว่ายน้ำเป็นเลย เหมือนเราคลอดเด็กมา เดี๋ยวถึงเวลาเขาก็คลาน … คลานแล้วก็ตั้งไข่ … ตั้งไข่แล้วก็เดิน … เดินแล้วก็วิ่ง ต้องไปสอนเขาไหม? ไม่ต้องสอน
เกิดเป็นสุนัข ก็ไม่สามารถว่ายน้ำเหมือนปลาได้ แม้จะเอาสุนัขไปสอน ผมเคยเอาไปเข้าโรงเรียน ฝึกให้ทำได้หลายอย่างเลย คาบตะกร้าไปตลาด ก็ได้ แต่ก็ไม่เหมือนเอาคนไป สอนสุนัขว่ายน้ำได้ไหม? ได้ มันว่ายอยู่ในน้ำได้นานเท่าไร? ถ้าอยู่ทั้งวัน ในที่สุด มันต้องจมน้ำตาย
ฉันใดก็ฉันนั้น เหมือนกันเลย ถ้ามนุษย์คิดว่าเราทำด้วยตัวเองได้ ทำความดี เพื่อจะได้ความบริสุทธิ์ มันอาจจะไม่หมดแรงวันนี้ แต่มันก็ไปหมดแรงอีกวันหนึ่งข้างหน้า อาจจะไม่ใช่ปีนี้ อาจจะเป็นอีก 10 ปีข้างหน้า เหนื่อย พระเยซูจึงบอกว่า …
“คนที่ทำอย่างนี้ จงมาหาพระองค์เถิด จงหายเหนื่อยและเป็นสุขเถิด พระองค์ทรงทำให้สำเร็จแล้ว ท่านจะได้ในสิ่งที่ท่านได้ ยกตัวอย่างเรื่องว่ายน้ำ ท่านจะว่ายน้ำเลย โดยไม่ต้องฝึกอีกแล้ว ท่านจะเป็นคนดีพร้อมเลย โดยไม่ต้องพยายามทำ เพราะว่าเราทำให้กับท่านแล้ว ท่านเพียงมารับสิทธิของท่าน”
พระเยซูกำลังสอนเรื่องคุณสมบัติ ลักษณะทางฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่ 2 พวกเท่านั้น
พวกแรก คือเกิดในอาดัม บรรพบุรุษของมนุษย์ เป็นบรรพบุรุษที่ติดเชื้อบาป เกิดมาก็เป็นบาป ต้องอยู่ในความมืด เป็นธรรมชาติเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นอยู่ในความมืดเลย นี่คือพวกแรก
พวกที่สอง คือพวกที่เชื่อในพระเยซู ได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เกิดในพระคริสต์ ก็เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ สะอาด ไร้ตำหนิใดๆ ไร้บาปใดๆ เป็นผู้ชอบธรรม อยู่ในความสว่าง เป็นความสว่างเลย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่ในต้นไม้ดีเลย
มีอยู่ 2 พวกเท่านั้นเอง ผมเดินในหมู่บ้าน เห็นเขาปลูกต้นประดู่รอบหมู่บ้าน ประดู่มีดอกสวย สีเหลือง ถึงหน้าออกดอกหอม สวยมาก เดินไปก็เห็น และคิดว่าต้นไม้มันก็ชื่นชมยินดีที่ได้ทำหน้าที่ให้เราได้ดม ให้เราได้ดูความสวยงามของมัน ตามหน้าที่ที่มันถูกสร้าง 3-4 ปีให้หลัง ลืมสังเกต มีอยู่ต้นหนึ่งอยู่มุมๆ ไม่ค่อยมีคนเห็น มันรก ไปดู ปรากฏว่าต้นประดู่ต้นนี้ ที่ผมเห็น มันเป็นต้นประดู่ที่มีผลและดอกเป็นต้นไทร … ต้นไทรเป็นกาฝากชนิดหนึ่ง มาเกาะติดอยู่ในต้นประดู่นี้ มันกินไปค่อนต้นแล้ว เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ตกใจกลัวมันตาย พอเข้าไปดูใกล้ๆ ตื่นเต้นนิดหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงต้นประดู่พูดกับผมอย่างนี้ว่า …
“ดอกประดู่อันสวยงาม ข้าพเจ้าอยากผลิตออกมาให้ท่านได้ดม ได้หอม ได้ดูเหมือนเดิมหลายปีก่อน แต่ก็ผลิตไม่ได้แล้ว ดอกไทร ทำให้ผมน่าเกลียดมากเลย มันไม่สวยเลย ผมไม่อยากจะผลิตออกมาเลย แต่ก็ผลิตออกมาจนได้”
แล้วต้นประดู่ก็บอกต่ออีกว่า “ข้าพเจ้าช่างเป็นต้นไม้ที่น่าสมเพชจริงๆ”
แล้วมันก็ตะโกนว่า “มีใครบ้างหนอ ที่ช่วยข้าพเจ้าได้ ให้หลุดจากตรงนี้ ข้าพเจ้าอยากจะทำ”
นี่คือสภาวะในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน พระเจ้าไม่เคยโกรธใครเลย น่าสงสารมากกว่า ทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็อย่างนี้ แต่เขายิ่งหนัก เพราะเขาต้องสู้กับกาฝากพวกนี้ด้วยตัวเอง จะเอาแรงที่ไหนไปสู้ มันจะตายอยู่แล้ว อันนี้พูดถึงต้นไม้ ผมเองจะไปช่วยเขา ยังไม่รู้จะรอดไหม? หมายถึงว่าต้นไม้ต้นนี้จะรอดไหม? เพราะมันถูกกินไปเยอะมาก ดอกที่เคยให้สวยๆ ไม่มีแล้ว มันกลายเป็นอะไรไม่รู้ ตัวมันเองก็กลายพันธุ์ไปเลย กำลังจะตาย บางต้นก็ตายไปแล้ว เพราะกาฝาก
กาฝากบางทีมันก็ขึ้นกับต้นมะม่วงบ้าง? ต้นฝรั่งบ้าง? ต้นอะไรต่างๆ ท่านลองคิดดู ท่านคิดว่าต้นไม้เหล่านั้น มันไม่อยากผลิตฝรั่งสวยๆ ให้ท่านกินเหรอ มันคงดีใจมากเลย เพราะมันได้ทำหน้าที่ที่พระเจ้าสร้างมันขึ้นมา ให้เป็นอาหารของเรา ออกดอก ออกผลอย่างดี เพราะเป็นต้นไม้ดี แต่ทำไมเป็นต้นไม้เลวอย่างนั้นล่ะ มันไม่ใช่ตัวมัน มันวิปริตไปแล้ว มันมีเชื้ออะไรบางอย่าง ที่มีอิทธิพลในโลกใบนี้ มาทำให้โลกใบนี้เสียหายไป เรียกว่าปรสิต เรียกว่าสิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งที่มันทำร้าย ความดีงามของมนุษย์ ซึ่งเป็นเหมือนพระเจ้า มันทำร้ายสภาพโลกใบนี้ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เสียหายไปหมดเลย ซึ่งเราเรียกมันว่า “บาป” มันเข้ามาในโลกนี้แล้ว มันอยู่ที่นี่แล้ว มันยังอยู่ ยังไม่ถึงเวลาของมันที่จะถูกกำจัดออกไป แต่จะมีวันหนึ่งที่มันจะถูกกำจัดออกไป
นี่คือความรู้สึกของพระเจ้า และความรู้สึกของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ พระเจ้าถึงบอกให้อภัยเถอะ ถ้าท่านมองเห็นอย่างนี้ ท่านจะให้อภัยทุกคนได้ นี่คือสัจจธรรม เวลาท่านออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะเห็นต้นไม้ หรือเห็นสิ่งมีชีวิต แม้กระทั่งเห็นคนและเห็นตัวท่านเองด้วย ถ้าท่านเห็นตัวท่านเองได้ ท่านก็จะเห็นคนอื่น ข้างๆ ท่านได้ว่าเขาจะพูดอย่างนี้ ท่านจะโกรธเขาไหม?
“มีใครช่วยข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำ ข้าพเจ้าไม่อยากโกงคนนี้เลย แต่ข้าพเจ้าก็ไปโกงเขา”
แล้วเราก็ฆ่าเขา เอาให้ตายไปข้างหนึ่ง มันเลว เราดี เอาเปรียบเรา อะไรแบบนี้ แล้วถามว่าในใจเขาเป็นอย่างไร? ในใจเขาก็คิดเหมือนต้นไม้เมื่อตะกี้นี้
“ใครช่วยข้าพเจ้าได้บ้าง?”
เขาอาจจะไม่ได้ยินข่าวประเสริฐก็ได้ ถูกไหม? นี่คือความรู้สึก ในกาลาเทีย บทที่ 5 พระคัมภีร์จึงได้บอกว่าผลของพระวิญญาณ คือการกระทำดี ความดีงาม ความมีเมตตา และผลของความบาป นำไปสู่ความตาย คือการฆ่ากัน ความเย่อหยิ่ง การไม่ให้อภัย แล้วเราอยากทำเหรออย่างนั้น ไม่ใช่เราเอง แต่เราถูกกาฝากผลิตออกมา
แต่ขอบคุณพระเจ้าครับ ในฝ่ายวิญญาณ ตะกี้นี้ประดู่ใครช่วยมันได้ครับ? เจ้าของสวน คนที่รู้เรื่องสวน มาขุดมันไป แล้วก็จัดการให้มัน แล้วไปปักในสวนของตนเอง แล้วเริ่มให้อาหารอย่างดีเลย จัดการกับกาฝาก แต่ตัดมากไม่ได้ เพราะตัดได้แต่กิ่งกาฝากออกเท่านั้น ที่มันลงลึกลงไปในลำต้นมัน ต้องทิ้งไว้อย่างนั้น อันนี้ไปถามชาวสวนมานะ ตัดมาก ต้นไม้ตาย ตัดมันเฉพาะเท่าที่ทำได้ แล้วก็ปล่อยไว้อย่างนั้น พอมันขึ้นมาอีก ก็ตัดอีก แต่ข้างล่าง ใส่ปุ๋ยอัดเต็มที่เลย มันก็จะออกดอกประดู่เหมือนเดิมได้ โดยที่มีกาฝากอยู่ในตัว แต่เผลอเมื่อไร? มันก็โผล่ออกมาอีกแล้ว นั่นคือชีวิตเราแหละ
ชีวิตคริสเตียน ก็เป็นอย่างนั้น เผลอเมื่อไร กาฝาก ก็ผลิตผลออกมา กลายเป็นโกรธ กลายเป็นโมโห กลายเป็นขุ่นเคือง กลายเป็นกังวล วิตกกลัว จะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่ม ทุกอย่างเลย แต่พอลิดกิ่งเหล่านี้ ด้วยถ้อยคำพระเจ้า ด้วยการเข้ามาหาพระเจ้า ด้วยการศึกษา ด้วยการวิงวอนขอพระเจ้าไปทีละวันๆ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ในถ้อยคำพระเจ้าว่าเราเป็นคนดีแล้ว เรายอดเยี่ยมแล้ว พระเจ้าอยู่กับเรา พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น เราเป็นลูกของพระเจ้า เดี๋ยวมันจะค่อยๆ ผลิตออกมา นี่คืออาหารในวิญญาณของเรา เกิดความมั่นคง เกิดความมั่นใจว่าเราคือใคร? เราสมควรที่จะกระทำอะไร? แล้วพระเจ้าก็จะมาช่วยกันกับเราลิดกิ่งกาฝากนั้น ทีละนิดๆ โกรธก็น้อยลง อภัยได้มากขึ้นแล้ว ถามว่ายังอยู่กับเราไหม? อยู่ แต่มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว หรืออาจจะทำได้ แต่ทำได้ไม่เยอะ เพราะเราควบคุมมันแล้ว ตอนนี้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ให้กำลังกับเรา ให้สติปัญญากับเรา ให้เครื่องมือกับเราในวิญญาณของเรา ควบคุมมันที่ความคิดจิตใจของเรา ซึ่งเป็นเหมือนกองบัญชาการในชีวิตของเราเลยทีเดียว เอเมน แล้วก็อยู่กันไปจนวันสุดท้ายในโลกใบนี้ ขอบคุณพระเจ้า จากไป ดีกว่าอยู่ พระคัมภีร์จึงบอกไว้ พอจากไปปุ๊บ มันก็ตายไปพร้อมกับเนื้อหนัง เพราะมันอยู่แค่เนื้อหนังของเรา จบ เราก็ไปรับร่างกายใหม่ ที่ไม่มีปรสิต ไม่มีกาฝากอีกต่อไปแล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***************************