คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม 2018 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 2 “เก่ากับใหม่เข้ากันไม่ได้” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  สิงหาคม  2018

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 2 “เก่ากับใหม่เข้ากันไม่ได้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เป็นการบรรยายต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เป็นตอนที่ 2 ของซีรี่ย์ชุด “อุปมาคำสอนของพระเยซู” มีชื่อตอนว่า “เก่ากับใหม่เข้ากันไม่ได้” ครั้งที่แล้ว เราได้เริ่มต้นที่หนังสือมัทธิว 7:21 เราจะทบทวนกันอีกครั้งหนึ่ง

มัทธิว 7:21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น ที่จะได้เข้า”

 

ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ คือกุญแจสำคัญที่บอกเราว่าเราจำเป็นต้องเรียนรู้คำสอนของพระเยซู เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าอะไร?

“ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น ที่จะได้เข้าในสวรรค์ได้”

เราต้องฟังเลย เพราะเราก็อยากจะไปสวรรค์ มนุษย์ทุกคนอยากไปสวรรค์ทั้งนั้นแหละ … อย่างที่ผมอธิบายครั้งที่แล้วว่าไม่ใช่ทุกคนที่ติดตามพระเยซู คนที่มาเรียกพระเยซูว่า …

“อาจารย์ เจ้านาย ยอดเยี่ยมเลย  เก่งมาก ปรมาจารย์”

เพราะได้เห็นการอัศจรรย์ต่างๆ เพราะอยากได้หลายสิ่งหลายอย่างที่ตนเองคิดว่าพระเยซูจะสามารถให้ได้ ไม่ใช่คนที่เรียกพระเยซู หรือยกย่องพระเยซูอย่างนั้น ถึงจะสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ ถ้าเป็นในยุคนี้ ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ทุกคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน แล้วจะไปสวรรค์กันได้ทุกคน นี่ยิ่งสะดุ้งใหญ่นะ คนที่เชื่อพระเยซู ก็เรียกว่าคริสเตียนทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่าในใจเขาเชื่อพระเยซูอย่างไร? เรียกอาจารย์ เรียกพระเยซู ก็เป็นการยกย่องแล้ว แต่เขาเรียกพระเยซูเนื่องจากอะไรในใจเขา เขาทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าหรือเปล่า? พระเยซูบอกใช่ไหม? ทำตามพระประสงค์ ถึงจะได้รับความรอด เขาทำหรือไม่?

หรือแม้กระทั่งบัพติศมาในน้ำ เชื่อพระเยซู ไม่ใช่ว่าจะได้รับความรอด ตามพันธสัญญาของพระเจ้านะ แต่คนนั้น ทำอย่างนั้นได้ด้วย แต่ขณะเดียวกัน ในใจเขาต้องทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเท่านั้น ถึงจะได้เข้าสวรรค์ มีเพียงกลุ่มเดียวที่เข้าในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ คือคนที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า  พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น

อย่างที่ผมเกริ่นครั้งที่แล้วใช่ไหมว่าพระประสงค์ของพระเจ้า ก็คือตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ใน

ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

 

นี่แหละคือพระประสงค์ของพระเจ้า คือน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ และบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ตั้งแต่หน้าแรกของพระคัมภีร์เดิม คือปฐมกาล จนถึงวิวรณ์สุดท้าย เป็นเรื่องนี้เรื่องเดียว

พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนเชื่อในพระบุตร ที่พระองค์ประทานให้ เพื่อที่มนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอดจากบาป รอดจากนรก และสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์กับพระองค์ได้ นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า และช่วงที่พระเยซูตระเวนสั่งสอนสาวกของพระองค์ ในสมัยที่เดินอยู่บนโลกใบนี้นั้น ตลอดระยะเวลา ประมาณ 3 ปี ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน

ทุกเรื่องที่พระองค์ทรงสอน หมายถึงเรื่องอุปมาต่างๆ ก็ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้น  พระเยซูบอก …

“พระบิดาทรงใช้เรามา เพื่อให้ประกาศเรื่องอาณาจักรของสวรรค์ … อาณาจักรสวรรค์ ก็คือเรื่องของการหลุดพ้นจากบาป พระเยซูบอกว่าพระเจ้า พระบิดาให้เรามาประกาศปีแห่งความโปรดปรานให้กับมนุษยชาติ ปีแห่งการนิรโทษกรรม ก็คือช่วงเวลาแห่งพระคุณที่จะให้กับมนุษย์ ที่เราอ่านกัน

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก รักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูลงมา เพื่อมนุษย์จะไม่พินาศ  จะได้รับชีวิตนิรันดร์”

นี่คือเริ่มต้นน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วก็ว่าไปว่าจะสำเร็จได้อย่างไร? เราก็รู้ดีแล้วว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เพื่อว่าแผนการของพระเจ้าตรงนี้จะได้สำเร็จ

พระเยซูบอกว่าหน้าที่ของพระองค์ ก็คือมาประกาศข่าวดี เรื่องความรอดในพระบุตร จะพูดแต่เรื่องนี้ เรื่องเดียวเลย เพราะว่าเป็นหน้าที่หลัก หน้าที่เดียวที่พระองค์ถูกส่งมาบนโลกใบนี้ ไม่ว่าใครจะถามเรื่องอะไรก็ตาม พระเยซูจะตอบ ไม่ขึ้นต้น ก็ลงท้าย รวมความ ในที่สุด ตอบไปทางนี้ทางเดียว เรื่องนี้เรื่องเดียว คนก็จะงง เพราะว่าพระเยซูไม่ได้มาสอนศีลธรรม ไม่ได้มาสอนให้มนุษย์ทำความดี ไม่ได้มาสอนจริยธรรม เพราะมีคนสอนเยอะแยะอยู่แล้ว มนุษย์ทั้งโลกนี้ รู้อยู่แล้วว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรคือศีล อะไรคือธรรม รู้หมดแล้ว ทำได้หรือไม่ได้ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่พระเยซูถูกส่งมาให้ประกาศ เรื่องข่าวดีของพระเจ้าว่าคืออะไร? พระเจ้าทรงรักโลกอย่างไร? จนประทานพระบุตรของพระองค์? พระบุตรของพระองค์คือใคร? เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ไม่พินาศอย่างไร? ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้อย่างไร? นี่คือสิ่งที่พระเยซูมาทำอยู่บนโลกใบนี้ พูด สอน ประกาศ แล้วก็ทำเลย ก็คือตายที่ไม้กางเขน ในวันศุกร์ประเสริฐ ในอีก 3 ปีต่อมา นี่คือเรื่องจริง ฟังแล้วตกใจนะ

ตอนนี้ ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์นำพาท่าน รื้อฟื้นถ้อยคำของพระเจ้า หรือของพระเยซูที่ท่านเคยได้ยิน หรือได้ฟังมา ที่มันตกค้างอยู่ในใจ ในความคิดของท่าน ถ้ารื้อฟื้นถ้อยคำไหนได้ ท่านลองนึกดูก็ได้ ถ้อยคำนั้น  มันก็เรื่องนี้ทั้งนั้น ตอนนั้น ท่านอาจจะไม่รู้ แต่ตอนนี้ ท่านอาจจะรู้แล้ว ใช่ ท่าน คือแสงสว่าง ก็เรื่องนี้เรื่องนั้น เดี๋ยวซีรี่ส์นี้ เราจะไล่เรียนกันไปจนหมดว่าพระเยซูพูดอะไรบ้าง? ช่วง 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระองค์โยงไปเรื่องนี้ทั้งหมด ใครมาถามอะไร? พระองค์โยงไปที่เรื่องนี้ เรื่องพระบุตร คือพระเยซูจะถูกจับ ถูกตรึงที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ วนเวียนอยู่เรื่องนี้ เรื่องเดียว เพื่อทำให้มนุษย์บริสุทธิ์สะอาด หมดจด ไร้ตำหนิ ไร้มลทิน เพื่อพระเจ้าจะได้สามารถคืนดีกับมนุษย์ได้ มาสถิตกับมนุษย์ได้ น้ำพระทัยพระเจ้าจะได้สำเร็จ นี่คือหน้าที่ของพระเยซู ใครถามอะไรมา ตอบตรงนี้หมด แล้วพระองค์สามารถดึงคำถามนั้น มาตอบได้หมดเลย ท่านจึงงงใช่ไหม? บางครั้งคนถาม ทำไมพระเยซูไปตอบอีกเรื่องหนึ่ง แต่คำอุปมา ดึงมาเรื่องนี้ทั้งนั้น เพราะเป็นหน้าที่ของพระองค์ เพราะพระองค์เห็นสำคัญที่สุด เหมือนที่เปาโล อัครสาวกบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ทำความดี แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือข่าวดี … ข่าวดีมาก่อน แล้วถึงความดีทีหลัง ถ้าท่านตั้งใจแต่ทำความดี ท่านไม่รู้จักข่าวดี เดี๋ยวเรียนเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ท่านจะเห็นชัดว่ามันเป็นผลร้ายอย่างไรบ้าง? นี่พระเยซูสอนนะ เดี๋ยวผมจะนำพาท่านไปเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่ามันแตกต่างกันอย่างไร?

นี่คือเหตุผลที่บอกว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้คำสอนของพระเยซู ให้เข้าใจอย่างถูกต้อง และสามารถปฏิบัติตามได้ทุกอย่าง อย่างถูกต้อง ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ภาษาอังกฤษบอกว่า The will of God เราทุกคนอยากทำมากเลย ทำน้ำพระทัยพระเจ้าให้สำเร็จ เราก็คิดต่างๆ นานา อยากจะทำโน่น อยากจะทำนี่ อ้างน้ำพระทัย เราลืมคิดว่าน้ำพระทัยพระเจ้ามีอันเดียว ถ้าทำตรงนี้ได้ ที่เหลือถูกหมดแล้ว เพราะตรงนี้สำคัญที่สุด  ยอห์น 3:16

อุปมาของพระเยซู ก็คือการเปรียบเทียบกับวิธีเข้าสู่สวรรค์ วิธีจะบังเกิดใหม่ วิธีที่จะไปหาพระบิดา วนเวียนอยู่แค่นี้ตลอดเวลา ท่านจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าการพูดอุปมาของพระเยซูนั้น พระองค์กำลังพุ่งเป้าไปไหน? กำลังจะสอนเรื่องอะไร? ก็มีสอนเรื่องเดียวทั้งหมด  เรื่องสวรรค์ วิธีไปสวรรค์ ไปอย่างไร? เรื่องการไถ่บาป เรื่องพระองค์คือใคร? เรื่องพระเจ้าประทานพระบุตรลงมา เพื่อตายที่ไม้กางเขน ตายอย่างไร? เพื่อไถ่บาปมนุษย์อย่างไร? มนุษย์จะได้รับความรอด จากบาปได้อย่างไร? ทั้งนั้นเลย มนุษย์จะเกิดใหม่ได้อย่างไร? มนุษย์จะกลายเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร? ความชอบธรรมในลักษณะที่พระเจ้าพอใจ หรือตามสายตาพระเจ้า บริสุทธิ์ตามที่พระเจ้าตั้งใจไว้เป็นอย่างไร? มันแตกต่างจากความชอบธรรมของมนุษย์อย่างไร? นี่พระเยซูจะอุปมาพูดเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด ตามทางต่างๆ ที่พระองค์ดำเนินไป  ใครมาถาม เจออะไร ก็จะมาพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้หมด เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ทุกครั้งที่เราอ่านเจอในพระคัมภีร์ เมื่อบอกว่าเป็นอุปมาของพระเยซู เราก็จะรู้ทันทีว่าพระองค์กำลังเปรียบเทียบกับเรื่องราวในสวรรค์

และในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้อ่านในพระคัมภีร์ที่พวกสาวกถามว่าทำไมพระเยซูต้องสอนแบบอุปมาด้วย แล้วพระเยซูตอบไว้ ในมัทธิว 13:10-11 มาทวนนิดหนึ่ง

มัทธิว 13:10-11 “10 เหล่าสาวกมาหาพระองค์ และทูลถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับประชาชนเป็นคำอุปมา” 11 พระเยซูทรงตอบว่า “ความลับของอาณาจักรสวรรค์ ทรงให้พวกท่านรู้ แต่ไม่ทรงให้พวกเขารู้

 

“พวกท่าน” คือทุกคนที่เชื่อในพระเยซู เพราะเราถ่อมใจ เราไม่เข้าใจ เราไม่รู้เรื่อง แต่เราอยากได้ เรารู้ว่าเราทำเองไม่ได้อยู่แล้ว ไม่เข้าใจหรอก แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น พระเจ้าบอกอย่างนั้น เชื่อแล้ว ถูกหรือไม่ถูก? ท่านเข้าใจเหรอ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต มีแต่เลือดทั้งนั้นเลย แล้วท่านได้รับความรอด หาเหตุและผลไม่เจอเลย  ใครเชื่อเขาเรียกว่าโง่ ในพระคัมภีร์บอกนะ ผมไม่ได้พูดเอง

เปาโลบอกว่าเรื่องที่เราเชื่อนั้น เรื่องข่าวดีในพระเยซูคริสต์นั้น เป็นเรื่องโง่ๆ แต่ต่อจากนั้น บันทึกว่าแต่เป็นฤทธิ์เดช เป็นเรื่องโง่ๆ สำหรับปัญญามนุษย์ แต่เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่ทำให้มนุษย์คนนั้น รอด

“พวกเขา” คือพวกที่เย่อหยิ่งจองหอง นึกว่าตัวเองแน่ คนนี้เป็นใคร? ครั้งที่แล้วก็บอกแล้วนะ …

“คนที่เป็นช่างไม้ ชื่อเยซู เป็นใคร? ไม่เชื่อฟัง ฉันเรียนศาสนายิวมาตั้งเยอะ ฉันรู้เรื่องพระคัมภีร์เก่าตั้งมากมาย อย่าไปฟังเลยไร้สาระ”

นี่คือไม่ฟังเลย ดื้อด้าน เย่อหยิ่ง พระเยซูทราบดี ก็เลยพูดเป็นอุปมา คนถ่อมใจเท่านั้น จึงจะตั้งใจฟัง … ฟังแล้ว ไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็เริ่มต้นเชื่อ รับเอา แล้วก็ติดตามพระองค์ไปโน่นไปนี่ ไม่รู้เรื่องหรอก แต่ก็ตาม เชื่อว่าต้องมีอะไรบางอย่าง ที่พระองค์ทรงพูดนั้น จนลงมาในใจ ลงมาในวิญญาณ บังเกิดใหม่

นี่คือเรื่องของข่าวดี ว่าทำไมพระเยซูต้องพูดเป็นอุปมา พระเยซูพูดใช่ไหมว่าคนไหนที่เย่อหยิ่ง จองหอง อวดดี เขาก็จะไม่ได้ คนไหนที่ถ่อมตน ถ่อมใจรับฟัง เขาก็จะได้ แล้วพระเยซูพูดเปรียบเทียบบอกว่าคนไหนที่มีอยู่แล้ว จะได้มากขึ้นอีก คนไหนที่ไม่มี ที่มีอยู่แล้ว ยังจะถูกเอาออกไปอีก

ถามว่า “มี” คือมีอะไร?  คนไหนที่มีความเย่อหยิ่ง ที่มีอยู่แล้ว คือมีความรู้บ้างนิดๆ หน่อยๆ ในที่สุด ไม่เหลือเลย เป็นศูนย์ คนที่ไม่มีความรู้มาก แต่มีความถ่อมใจ เขาได้เพิ่มอีก เอาไปอีก คนที่มีอยู่แล้ว จะได้เพิ่มขึ้นอีก คนที่ไม่มีความถ่อมใจ ยิ่งมีเท่าไร? ยิ่งเอาออกมาให้หมดเลย มันเรื่องจริงๆ เลย ชัดๆ เราเอง พอแปลมาอย่างนี้ เราเห็น ใช่ ยิ่งหยิ่งเท่าไร? ยิ่งไม่ได้ เอามาใช้กับปัจจุบันได้เลย ไม่ต้องเรื่องพระเยซูก็ได้ เรื่องชีวิตประจำวัน ถ้าท่านทำอาชีพอะไรก็ตาม สมมติเป็นชาวสวน หรือแม่ค้าก็ได้ มีคนมาบอกท่าน มาสอนท่าน วิธีต่างๆ เทคโนโลยีใหม่ ปลูกต้นไม้ต้องเป็นอย่างนี้

“ฉันทำมาตั้งนานแล้ว เป็นชาวสวนมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ฉันรู้ดี ไม่ต้องมาพูดหรอก”

แทนที่จะได้เทคโนโลยีใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ ไม่ได้ แล้วเขาก็พูดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หยิ่งไปเรื่อยๆ ที่มีอยู่แล้ว เมื่อสมัย 20 ปีก่อน ที่เคยทำได้ผล เป็นศูนย์ ทุกวันนี้ ตัวเชื้อรา หรือวัชพืช ศัตรูพืชมันแข็งแรงขึ้น มันไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ ที่เขามีความรู้อยู่แล้ว กลายเป็นถูกเอาออกไปหมด คนที่ถ่อมใจ ทางกระทรวงเกษตรเขาส่งคนมาสอน ก็ไปเข้าสัมมนา เมื่อ 10 ปีเขาทำอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เขาทำอย่างนี้ เราต้องทำอย่างนี้เหรอ ที่เขาเคยมีอยู่แล้ว 20 กว่าปี ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ เดี๋ยวนี้ผ่านมา 40 ปี เขาฉลาดกว่าสมัยก่อนนั่นอีก พอเห็นภาพไหม?

นี่ก็มาจากการเปรียบเทียบของพระเยซูทั้งสิ้น เพื่อจะให้ท่านเห็นชัดว่าเรื่องพระเยซู ท่านฟังแล้ว สามารถเอาใช้ในปัจจุบันได้ด้วย แต่ไม่เน้นหรอก พระเยซูทรงเน้นเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์เท่านั้น ว่าถ้าคนหยิ่งอยู่แล้ว ไม่มีวันเจอหรอก ดังนั้น ต้องจำไว้เลยนะ หยิ่งแล้ว ไม่มีวันที่จะเจอพระเยซู ถ่อมใจเท่านั้นถึงเจอ พระคัมภีร์บอกไว้แล้ว พระเจ้าทรงเป็นศัตรูกับผู้ที่ยกตัวเองขึ้น หรือเย่อหยิ่งจองหอง แต่พระองค์ทรงมีเมตตา ยกคนที่ถ่อมใจให้สูงขึ้น แล้วท่านจะเอาอย่างไร? เอาขึ้นสูง แล้วให้พระองค์กดให้ต่ำๆ หรือท่านจะต่ำๆ แล้วให้พระองค์ยกขึ้นมา ท่านก็เลือกได้

เรามาเริ่มต้นที่อุปมาคำสอนของพระเยซู ในหนังสือมัทธิว นี่คืออุปมาหนึ่ง เราจะเริ่มเรียนครั้งแรก มัทธิว 9:14-17 ครั้งที่แล้วเราพูดไปนิดหนึ่งตอนต้น จริงๆ มันรวมทั้งบท … บทนี้ต้องจบอย่างนี้  ตั้งแต่ 14-17

มัทธิว 9:14-17 “14 ฝ่ายสาวกของยอห์นมาทูลถามพระองค์ว่า “พวกข้าพระองค์กับพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่ทำไมสาวกของพระองค์ ไม่ถืออดอาหาร” 15 พระเยซูทรงตอบว่า “จะให้แขกของเจ้าบ่าวทุกข์โศก ขณะเจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไร สักวันหนึ่ง เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา แล้วพวกเขาจะอดอาหาร 16 ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้านั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก 17 และไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้น ถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่  ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่าง ก็อยู่ดีด้วยกันได้”

 

“สักวันหนึ่ง เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา” ท่านลองนึกภาพนะว่าถ้าท่านเป็นหนึ่งในสาวกที่นั่งอยู่กับพระเยซูในวันนั้น แล้วก็มีสาวกของยอห์น บัพติศโต ที่เป็นคนให้บัพติศมาในน้ำ พวกนี้เขาก็เคร่งนะ ถึงเทศกาลอดอาหาร เขาก็อด ระเบียบเป๊ะ ศาสนกิจเป๊ะๆ หมด เขาเรียกว่าประเพณีนิยมอะไรต่างๆ เหล่านั้นเป๊ะหมด พิธีกรรมเป๊ะ เขาก็อยู่ในนั้น แล้วก็เดินมาถามพระเยซู ถ้าท่านเป็นหนึ่งในสาวกของพระเยซูที่นั่งอยู่ในนั้น เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด พอมีคนถามว่า …

“อาจารย์ๆ (หมายถึงพระเยซู) พวกฟาริสีถืออดอาหาร ตามธรรมเนียมปฏิบัติของศาสนายิว แล้วทำไมสาวกของอาจารย์  ไม่ยอมถืออดอาหาร”

เรื่องนี้ เรื่องใหญ่นะ เพราะเรื่องการอดอาหาร ถือว่าเป็นพิธีดังมาก คือทุกคนที่เคร่งศาสนา อยากจะรักพระเจ้า อยากจะแสวงหาอาณาจักรสวรรค์ เรื่องโลกวิญญาณ เขาต้องทำกันทั้งนั้น

“สาวกอาจารย์ไม่ยอมถืออดอาหารด้วย”

ทุกคนก็ต้องเงี่ยหู ฟังเลยนะ พระเยซูจะพูดว่าอย่างไร? แล้วพระเยซู ก็ตอบอุปมาเรื่อง 3 เรื่อง  พอสาวกได้ยิน ทุกคนมองหน้ากัน แล้วมันแปลว่าอะไร? ไม่มีทางรู้เลย แต่อย่างที่ผมบอก ตั้งแต่ตอนต้น อุปมาทั้งหมด เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ การบังเกิดใหม่ การรอดจากบาป เกี่ยวกับน้ำพระทัยพระเจ้า ที่ทรงประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน เพื่อมนุษย์ จะรอด และมีชีวิตนิรันดร์ รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สมัยนั้น สาวกทั้งเก่าทั้งใหม่ ไม่รู้ ทั้งฟาริสี ทั้งคนที่ตั้งใจฟัง มองหน้ากัน งง เปโตรคงมองหน้ากันกับยอห์น แปลว่าอะไร? ไม่รู้เรื่องเลย

ถ้อยคำตรงนี้ ที่เราอ่าน มีทั้งหมด 3 อุปมา ทั้ง 3 อุปมานี้ พระเยซูกำลังเปรียบเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ทั้งนั้น อย่างที่เรารู้กัน การบังเกิดใหม่ การรับการชำระให้หลุดพ้นจากความบาป เราจะมาค่อยๆ แกะด้วยความถ่อมใจ จะได้เข้าใจ ถ้าเราเข้าไปแงะด้วยความเย่อหยิ่ง เราก็จะไม่ค่อยรู้เรื่อง

สาวกถามว่าทำไมคนของพระองค์ (พระเยซูคริสต์) ไม่อดอาหาร ซึ่งการอดอาหาร ในสมัยนั้น  เขาเป็นการแสดงออกถึงความโศกเศร้า เนื่องจากบาป มนุษย์เป็นคนบาป พระเจ้าต้องการให้มนุษย์สำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเขาเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยให้รอดจากพระเจ้า ต้องการพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ฉะนั้น การอดอาหาร ก็เป็นลักษณะหนึ่งของการโอดครวญความทุกข์ใจ

พระเยซูตอบว่า “ก็เจ้าบ่าวยังอยู่ แล้วจะโศกเศร้ากันไปทำไม?”

คนก็งง แล้วมันเกี่ยวกันอย่างไร? พระเยซูพูดเปรียบเทียบสาวกของพระองค์ ที่ไม่อดอาหารว่าเพราะว่าพระองค์ ซึ่งเป็นเจ้าบ่าวยังอยู่ตรงนี้เลย ตอนนี้ ยังไม่ต้องเศร้า รอให้ถึงเวลาก่อน เพราะจะมีช่วงเวลาที่เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไป ตอนนั้นแหละ ค่อยโศกเศร้า พระองค์รู้แล้ว ตอนนี้เลี้ยงกันไปก่อน กินให้เต็มที่เลย ก็คือแค่นั้น ตะกี้ผมถึงให้ท่านอ่าน “จะถูกนำตัวไป” แม้แต่คำนี้ พระองค์ยังพูดเลยว่าไม่ใช่ไปเองนะ ถูกนำตัวไป คือถูกจับตัวที่สวนเกเสมนี เมื่อวันพฤหัสฯ

พระเยซูกำลังจะบอกว่ามันมีช่วงเวลาที่พวกสาวกตกใจ  “แล้วก็สับสนว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมพระเยซูจากไป? ทำไมพระเยซูสิ้นพระชนม์ แล้วพระเยซูหายไปไหน? เราติดตามผิดคนหรือเปล่า? ตอนนั้นเราก็เชื่อว่าพระเจ้าแน่ๆ สอนก็ดี อัศจรรย์ก็ทำเยอะแยะ พูดถูกต้องหมดเลย ในใจเราก็มั่นใจว่าใช่แน่ๆ เลย แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถูกเขาจับตัวไป แล้วไม่สู้เลย แถมไม่พอ รุ่งขึ้น ถูกตรึงไม้กางเขน เราไปดูด้วยตาตัวเอง ตายตอนนั้นต่อหน้าต่อตาเราเอง”

บางคนในนั้นบอก “เราเป็นคนแบกพระศพลงมาเอง ไปฝัง ไม่มีลมหายใจเลย”

ตอนนั้นโศกเศร้าได้ยัง? คิดดูสิ พระเยซูกำลังพูดถึงอนาคตที่จะมาถึงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า  ที่พระองค์จะต้องตายที่ไม้กางเขน  พวกเขาจะต้องตกใจและโศกเศร้า คิดดูสิ ไม่พอ วันที่สามเป็นขึ้นมาจากความตาย ทุกคนดีใจ

“นี่ใช่แน่ พระเยซู ดีใจมากเลย”

ดีใจอยู่กับพระเยซู เดิน หลังจากเป็นขึ้นมาจากความตาย เดินอยู่กับสาวกอีก 40 วัน อาจจะ 3 วันหลังจากเป็นขึ้นมาจากความตาย สาวกยังตกใจอยู่เลย ใช่พระเยซูหรือเปล่า? ขนาดโธมัสยังไม่เชื่อเลย ต้องมาให้แยงนิ้วกับที่รูถึงจะยอมเชื่อว่าเป็นขึ้นมาจากความตาย คือมันสุดๆ มันเสียใจโศกเศร้ามาก ตกใจมาก พอเริ่มเชื่อว่าใช่แน่ๆ พระเยซูมา อ้าว! ไปซะแล้ว แล้วไปเที่ยวนี้ ไม่ได้บอกด้วยว่าจะกลับเมื่อไร? บอกแต่ว่าให้รอก่อน เดี๋ยวจะกลับมาใหม่ รอกี่วัน? ไม่รู้ พวกเขาก็ตกใจ ตอนนั้น อดอาหารเต็มที่เลย เพราะไม่รู้เมื่อไร? อาจจะสิบปีก็ได้ มันน่ากลัวมาก แต่ในที่สุด เขาอดอาหารไปเพียงแค่ 10 วัน พระเยซูกลับมาใหม่ พร้อมทั้งอัศจรรย์ที่บอกไว้ ในอุปมาทั้งหมดแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ที่พระเยซูยกตัวอย่างเรื่องเกี่ยวกับการแต่งงาน ทำไมพูดถึงเรื่องงานแต่งงาน เกี่ยวอะไรกับการไปสวรรค์ ฟังให้ดีๆ นะ และพระองค์บอกว่าพระองค์เป็นเจ้าบ่าวที่ยังอยู่ด้วย  ก็เพื่อจะโยงต่อไปให้ถึงความจริงที่ว่าพระองค์คือเจ้าบ่าวที่จะเป็นผู้เลือกเจ้าสาว ที่กางเขน ที่พระองค์จะต้องตาย และหลั่งพระโลหิตมาชำระเขาให้สะอาดหมดจด เพื่อเขาจะได้เป็นเจ้าสาวของเราที่บริสุทธิ์สะอาดหมดจด ไร้ที่ติ ไร้ตำหนิ

ท่านเห็นภาพไหมว่าอุปมาเล็กนิดเดียว ขยายไปเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ขนาดไหน? นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องการชำระมนุษย์ให้สะอาดหมดจด เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของเจ้าบ่าว  คือพระเมสโปดก คือลูกแกะที่ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเจ้าสาวของตนเอง ก็คือพระเยซูคริสต์ เจ้าสาวของพระเยซูคริสต์จะต้องบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้ตำหนิ เหมือนกับพระองค์ ก็คือเหมือนพระเจ้า มิฉะนั้น จะไม่สามารถแต่งงาน ติดสนิทเป็นเนื้อเดียวกันในทางวิญญาณได้เลย  เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น มนุษย์คนนั้น หรือวิญญาณนั้น ที่จะเป็นเจ้าสาวกับพระองค์ ต้องสะอาดหมดจดเหมือนพระองค์เลย  ซึ่งเล็งไปถึงการที่เจ้าบ่าวต้องสละชีวิตของตนเอง เพื่อคนรัก คือเจ้าสาว คือที่พระองค์ยอมให้ถูกไปตรึงที่ไม้กางเขน จนสิ้นพระชนม์ เพื่อแบกรับเอาความบาป ความสกปรกทางวิญญาณ และคำสาปแช่งของมนุษย์ออกไป เพื่อให้เจ้าสาวของพระคริสต์ขาวสะอาดบริสุทธิ์ เป็นที่อาศัย เป็นที่สถิตของพระเจ้าได้ เจ้าสาวในที่นี้ ก็คือคริสตจักร

คริสตจักร คือมนุษย์ ผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้ และยอมให้ตัวเองเป็นที่อาศัยของพระเจ้า คือเชื่อและให้พระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วย  เป็นสถานที่ของพระเจ้า ก็เลยเรียกว่าคริสตจักร สถานที่สถิตของพระเจ้า  ต้องเป็นผู้เชื่อที่ข้างในวิญญาณบังเกิดใหม่ … การบังเกิดใหม่ คือสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซู พระเยซูกำลังบอกอย่างนั้น

อุปมาเรื่องการแต่งงานตรงนี้ พระเยซูกำลังหมายความว่าเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ไม่สามารถสถิตอยู่กับความบาปของมนุษย์ ความสกปรกของมนุษย์ได้ พระเยซูจึงต้องเสียสละพระองค์เอง เพราะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เจ้าสาว หรือมนุษย์ของพระองค์นั้น กลับมาบริสุทธิ์ดั่งเดิม พร้อมที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ได้ พอนึกออกไหม?

แล้วพระเยซูก็พูดอุปมาเรื่องต่อไปว่า “ไม่มีผู้ใด เอาท่อนผ้าทอใหม่ มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้าไปนั้น เมื่อหด จะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก”

พระเยซูยกตัวอย่างอุปมานี้ เปรียบเทียบเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เรื่องเดิมๆ อีกแล้ว ทำอย่างไรถึงสามารถเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้  ทำอย่างไร พระเจ้าจึงมาสถิตอยู่กับมนุษย์ได้ ทำอย่างไรถึงเข้ากันได้ ท่านเริ่มเห็นชัดแล้วใช่ไหมว่ามันเริ่มใช่แล้วนะ ผ้าเก่า ผ้าใหม่ ในนี้บอกเข้ากันไม่ได้ ตอนนี้เล็งให้เห็นถึงทั้งหมด เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณของพระเจ้า ที่จะมาสถิตอยู่กับมนุษย์

พระเยซูพูดอุปมาเรื่องผ้าใหม่ และเสื้อเก่า ความหมายคือในสมัยก่อน  เสื้อผ้าที่สวมใส่ จะเป็นลักษณะของผ้าทอ ซึ่งก่อนที่จะนำมาตัดเย็บ เขาจะเอาไปแช่น้ำ ให้มันยืด หด ให้เรียบร้อย แล้วจึงเอามาตัด สมมติผ้าที่ใช้แล้ว แล้วเกิดมันขาดเป็นรู ใครก็ตามที่ไปเอาผ้าใหม่ ที่ยังไม่ได้แช่น้ำ มาปะในรูเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว พอลงน้ำปุ๊บ ผ้าใหม่ก็หดตัว ดึงเอาผ้าเก่า คือเสื้อผ้าขาดไปด้วย ทำให้เกิดความเสียหาย เสื้อตัวนั้น ก็เลยเสียไปเลย

ความหมายของอุปมาตรงนี้ พระเยซูกำลังอธิบายว่าของเก่ากับของใหม่ มันเข้ากันไม่ได้ พระเยซูกำลังหมายความถึงพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ ที่พระเยซูมาเดินอยู่ตรงนี้ คือพันธสัญญาใหม่ ที่จะเริ่มต้นขึ้นที่ไม้กางเขน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า  ใครก็ตามที่จะเชื่อของเก่า แล้วพอพระเยซูมา ไม่ทิ้งของเก่า แต่จะเอาพระเยซูด้วย เอามาผสมกัน ทำไม่ได้ ต้องเลือกเอาอย่างเดียว

พันธสัญญาเก่าบอกว่าต้องทำตามกฎ ทำตามธรรมบัญญัติเท่านั้น ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ฝ่าฝืนกฎ ต้องได้รับโทษ คือความตาย  ซึ่งมนุษย์ทำไม่ได้อยู่แล้ว ก็เจอความตายตลอดเวลา นี่คือเหตุที่พระเยซูต้องมาเกิด

ส่วนพันธสัญญาใหม่ เป็นเรื่องของพระคุณ เป็นเรื่องของข่าวดี ข่าวประเสริฐ เป็นเรื่องของความเชื่อ ให้ฟรีๆ ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการกระทำของมนุษย์ ตรงกันข้ามกันเลย ไม่มีกฎ ไม่มีข้อบังคับ บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ด้วยความเชื่อล้วนๆ ในพระเยซูคริสต์ นี่คือกฎใหม่

เพราะฉะนั้น พระเยซูกำลังบอกว่าสองอันนี้ มันรวมกันไม่ได้ ไม่สามารถนำมาผสมกันได้ ต้องเลือกเอากฎอย่างเดียว หรือพระคุณอย่างเดียว เพราะคนสมัยนั้น พระเยซูรู้ล่วงหน้าแล้วว่าชาวยิวที่อยู่ตอนนั้น เขานึกว่าเขาอยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามาก เขารู้พระคัมภีร์เดิมเยอะแยะเลย  เพราะฉะนั้น เขาเคร่งในการรักษาธรรมบัญญัติมาก อดอาหาร พิธีกรรมต่างๆ เป๊ะๆ หมดเลย อย่างที่บอก นี่กำลังพูดถึงเรื่องอดอาหาร เขาทำไปแล้ว เขาก็นึกว่าที่เขาทำมันยอดเยี่ยมแล้ว มันดีแล้ว แล้วเขาทำ เพื่อความหวังที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะช่วยเขาไปสวรรค์ โดยให้พระมาซีฮาห์มาหาเขา เขาก็รอ แต่พอพระมาซีฮาห์มายืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้แล้ว เขากลับไม่เชื่อ เพราะในปัญญาของเขาไม่คิดเลยว่าพระมาซีฮาห์จะหน้าตาเป็นอย่างนี้ เขาคิดว่าพระมาซีฮาห์จะขนาด อย่างน้อย ต้องใหญ่กว่าตอนที่โมเสสแยกทะเลแดง เขาคิดของเขาอย่างนั้น เขาไม่คิดว่าพระมาซีฮาห์ของเรา จะมาตายที่ไม้กางเขน

ท่านลองคิดดูสิ แล้วเข้าใจเขาด้วยว่าพระเยซูก็รู้ เอามารวมกันไม่ได้แล้วนะ เชื่อต้องเชื่ออย่างเดียว เพราะว่าพระเยซูจะไม่มีฤทธิ์เดชให้ดู มีตายที่ไม้กางเขนอย่างเดียว ฤทธิ์เดชของพระองค์ คือวิญญาณเราจะได้บังเกิดใหม่ มันต้องใช้ความเชื่อนี้ คือความถ่อมใจ เพราะเชื่อแบบไม่มีเหตุผล ใครมาเชื่อเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู ต้องถ่อมใจอย่างเดียว แต่ถ้าใครมาเชื่อแบบพระคัมภีร์เดิม ไม่ต้องถ่อมใจเลย ก็เห็นพระเจ้าเปิดทะเลแดง เห็นพระเจ้าอัศจรรย์ใหญ่โต เห็นพระเยซูเรียกคนตายให้เป็นขึ้นมาใหม่

พระเยซูถึงบอกว่าคนที่เรียกพระองค์ว่าอาจารย์ๆ อาจจะไม่ได้ไปสวรรค์นะ ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า  น้ำพระทัยของพระเจ้า คือมนุษย์รอด โดยพระคุณทางเดียว ไม่มีทางอื่นเลย ถ้าเขายังกระทำด้วยตัวเอง ด้วยบัญญัติ เขาจะไม่มีทางรอด ท่านเห็นชัดไหมว่าพระเยซูกำลังสอนเรื่องเกี่ยวกับอะไร?

สองอย่างนี้รวมกันไม่ได้ มนุษย์ต้องเลือกเอาว่าจะทำตัวเองให้บริสุทธิ์ด้วยตัวเอง ตามแบบฉบับของกฎทางโมเสสที่พระเจ้าให้ไว้เป็นตัวอย่าง ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งทำไม่สำเร็จอยู่แล้ว หรือเลือกเอาว่าจะเชื่อพระเยซูว่าพระเยซูทำบนไม้กางเขน ตอนบ่าย 3 โมง ตะโกนก่อนสิ้นพระชนม์ว่า …

“สำเร็จแล้ว”

บอกทั้งโลก ก็คุณทำมาตลอด ไม่รู้กี่พันปี ไม่มีใครทำสำเร็จสักคน โมเสสก็ทำไม่สำเร็จ อิสยาห์ก็ไม่สำเร็จ แต่พระองค์บอก สำเร็จแล้ว แต่คนจะเชื่อ ต้องถ่อมใจ

เพราะฉะนั้น จะเอา 2 อย่างมาผสมกันไม่ได้ ถ้าเชื่อพระเยซู เขาก็เลิกกิจกรรมต่างๆ พิธีกรรมที่เขาเคยทำ เพราะเขาเชื่อพระเยซู เขาได้รับความรอด จะเอา 2 อย่างผสมกัน แสดงว่าเชื่อพระเจ้าไม่จริง ถ้าไม่จริง ต่อให้เรียกพระองค์ว่าเจ้านาย ก็ไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะใจจริงของคุณไม่ได้เชื่อ ถ้าคุณเชื่อ คุณจะต้องเลิกทำพิธีกรรมที่คุณเคยทำในอดีต ตั้งแต่สมัยโมเสส ถ้าไม่เลิก ชีวิตก็ไม่ได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ ถ้าไม่เลิกของเก่า ชีวิตก็เสียหาย เหมือนผ้าเก่าผ้าใหม่ที่บอก ขาดเป็นรูโหว่เลย

อุปมาอีกเรื่องหนึ่งที่พระเยซูพูด ก็คือ “ไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่ มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้น ถุงหนังจะขาด น้ำองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียไปด้วย แต่เขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่าง ก็อยู่ดีด้วยกันได้”

พระองค์พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ไม่รู้แหละ ฉันรู้แต่ว่าเกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ มันถูกหมด แล้วค่อยมาอธิบายทีหลัง

จริงๆ แล้วเรื่องเหล้าองุ่นกับถุงหนัง ถ้าเป็นสมัยโบราณ จะเห็นภาพได้ง่ายขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่เขาใช้กันเป็นประจำ สมัยก่อนยังไม่มีขวดเหมือนในยุคปัจจุบันนี้ เวลาที่เขาทำเหล้าองุ่นกัน เขาก็จะเก็บไว้ในถุงที่ทำมาจากหนังสัตว์ เวลาที่ถุงหนังมันเก่าแล้ว ก็จะแห้ง หรืออาจจะมีรอยปริ รอยแตก นึกถึงภาพหนังเหี่ยวๆ แห้งๆ แล้วถ้าเราเอาเหล้าองุ่นไปใส่ในถุงหนังเก่า ที่มันเริ่มเหี่ยวแห้งแล้ว มันปริออก เหล้าองุ่น ซึ่งเป็นของเหลว และมีแอลกอฮอล์ลด้วย จะทำให้ถุงหนังนั้น ขาดเร็ว ขาดง่าย น้ำองุ่นจะรั่วเสียหายหมด ถุงหนังก็แตกเร็วขึ้น เข้าใจหรือยัง? ฟังให้ดีนะ ปกติตอนนั้น ถ้าถุงหนังเริ่มเก่า เขาก็จะเอามาใส่ของแห้งแทน ทำให้ไม่เสียของ พอใช้ได้

อุปมาของพระเยซูบอกว่าเขาย่อมเอาน้ำองุ่นใหม่ ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่าง ก็อยู่ดีด้วยกันได้ เหล้าองุ่นใหม่ เล็งถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เหล้าองุ่นเล็งถึงที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับมนุษย์ในทางวิญญาณ มนุษย์ที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ พระเยซูยังไม่ได้ตายที่ไม้กางเขน ตอนพูดอยู่นี้ มนุษย์ยังไม่ได้รับการชำระบาป วิญญาณมนุษย์ยังเปรียบเหมือนถุงหนังเก่า แต่พระเจ้าเป็นเหล้าใหม่ พระเยซูบอกว่าถ้าเกิดเทลงไปนะเละ เพราะฉะนั้น มันต้องเปลี่ยนถุงให้เป็นถุงใหม่ วิญญาณมนุษย์ต้องใหม่ พระเจ้าสัญญาว่า …

“เราจะให้ใจใหม่กับเจ้า เราจะให้วิญญาณใหม่ใส่ลงไปในใจเจ้า เราจะเอาใจหินออกไป เอาใจเนื้อใส่เข้าไปแทนที่ แล้วเราจะเข้าไปอยู่กับเจ้า จะไม่ต้องมีใครมาสอนเจ้าเรื่องพระเจ้าอีกต่อไป เพราะเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะสอนเจ้าเอง เราจะเข้าไปอยู่ในตัวเจ้า”

นี่คือหนึ่งในการเผยพระวจนะของพระเจ้า  ท่านพอเห็นภาพเหล้าองุ่นแล้วใช่ไหมว่าเหล้าองุ่นใหม่ ถ้าใส่ลงไปในถุงหนังเก่า ถุงหนังก็จะรั่ว น้ำองุ่นก็ไหลออกหมดเลย ฉันใดก็ฉันนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ถ้าไปสถิตอยู่กับมนุษย์ที่มีวิญญาณเก่า วิญญาณบาป วิญญาณสกปรก วิญญาณมืด ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะความบริสุทธิ์จะไปอยู่กับความสกปรก ความบาป มันเข้ากันไม่ได้ มนุษย์ตายแน่นอน ก็คือถุงหนังเก่านั้นแตก เห็นภาพนะ

คนในสมัยนั้น เขาพอจะเข้าใจ แต่สมัยนี้มันไม่ได้ใช้อย่างนั้น ถุงหนังใหม่ ก็คือวิญญาณของมนุษย์ที่ได้รับการบังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อ คือรับด้วยปากและเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ เป็นพระเมสโปดกผู้รับบาปแทนมนุษยชาติ ซึ่งพระเจ้าได้สัญญา และเตรียมไว้ เพื่อมาปลดปล่อยมนุษย์ ให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง พ้นจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เอเมน

เหมือนตัวอย่างที่ผมพูดบ่อยๆ เรื่องพลังงานของไฟฟ้า ที่ตาเรามองไม่เห็น หูเราไม่ได้ยิน แต่มีอยู่จริง และเป็นกฎธรรมชาติ ซึ่งถ้าใครไม่รู้ ก็เสียประโยชน์ไป ถ้าใครรู้ ก็ได้ประโยชน์ ไม่เกี่ยวกับว่าคนนั้นจะเป็นคนดีหรือชั่ว จริงหรือไม่จริง? ตั้งใจฟังตรงนี้ให้ดีๆ นะ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือชั่ว ขอให้เขารู้ว่าความจริงคืออะไรก่อน ถูกไหม? พระเยซูจึงบอกว่าความจริง ทำให้ท่านเป็นไท พระคัมภีร์เดิม พระเจ้าจึงบอกว่าประชากรของเราถูกทำลาย เพราะขาดความรู้ คือเขาไม่รู้

ใครที่ไม่รู้กฎเรื่องพลังงานไฟฟ้า แล้วไปแตะต้อง ก็ถูกดูดตาย ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว ไฟก็ดูดเหมือนกันทั้งนั้น  แต่คนที่รู้ ก็สามารถนำพลังงานไฟฟ้ามาใช้ได้อย่างปลอดภัย เช่นการนำชนวนมาป้องกันการดูดของไฟฟ้า ก็สามารถเข้าไปแตะต้องจับไฟฟ้า แล้วเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ไม่ว่าคนนั้นจะดีหรือชั่ว ผมอยากจะเน้นตรงนี้ เพื่อให้ท่านได้เห็นชัดๆ

พลังงาน แรงดึงดูดของโลก ก็เหมือนกัน ตามนุษย์มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ก็มีอยู่จริงเหมือนกัน ไม่ว่าจะคนดีหรือคนชั่ว ถ้าออกไปอยู่ในที่สูง เช่น เดินขึ้นไปบนดาดฟ้า แล้วเดินออกไป ไม่มีฐานรองรับ ในที่สุด ก็ต้องหล่นตุ๊บลงมา เดินต่อไป ก็ถูกดูดลงไปข้างล่าง ตกตึก เดินออกไปชั้นสิบ ก็ถูกดูด 10 ชั้น เดินออกไปชั้น 5 ก็ถูกดูด 5 ชั้น มันเป็นกฎที่มีอยู่ ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันเป็นอย่างนั้น แล้วคุณบอกว่าคุณทำดีมาก ฉันทำดีมาก ทำไมเดินออกไป แล้วมันหล่นลงไปล่ะ ฟ้องพระเจ้า พระเจ้าไม่ยุติธรรม คนนี้เป็นคนดีมาก แต่ทำไมเขาถูกดูดลงไป พระเจ้าจะตอบท่านว่าอย่างไร? ท่านก็เข้าใจตอนนี้แล้วว่าพระเจ้าจะตอบว่าอย่างไร? ท่านสามารถเอาเรื่องนี้ไปใช้ได้เยอะ ทั้งชีวิตเลย ใครจะถามท่านว่า …

“พระเจ้าไม่ยุติธรรม”

แล้วอะไรบ้างล่ะที่ยุติธรรม พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ยุติธรรมที่สุดในโลก ในมหาจักรวาล แล้วท่านจะไปเถียงพระเจ้าเหรอ

แต่เมื่อมนุษย์ค้นพบกฎ อีกกฎหนึ่ง ที่สามารถเอาชนะกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกได้ ก็จะสามารถชนะแรงดึงดูดโลก สามารถลอยตัว ไม่ตกลงไป เมื่อออกไปในที่ที่ไม่มีที่รองรับ สมมติออกไปที่ 10 ชั้น ไม่ตกได้ ถ้าคนนั้นพบความจริงว่ามีกฎอีกกฎหนึ่งที่อยู่เหนือกฎแรงดึงดูด เขาเรียกว่ากฎแห่งการยกขึ้น ทำให้เครื่องบินแทนที่จะตก มันลอยบนอากาศได้ 10 ชั้น แทนที่จะถูกแรงดึงดูด ดูดเข้ามา ผมไปพบอีกกฎหนึ่ง กฎแห่งการยกขึ้น เดี๋ยวนี้เขามีจริงๆ นะ ใส่ถังแก๊ส 2 ข้าง เหมือนจรวด แล้วมีมือจับ พอผมก้าวออกจากชั้น 10 ไปปุ๊บ ผมกดปุ่ม มีพลังดึงขึ้น มีจริงๆ แล้วตอนนี้ ทำไมผมไม่ตก เพราะผมเป็นคนดีมากหรือ? ถูกหรือเปล่า? ผมอยากจะเน้นให้ท่านเห็นตรงนี้  ท่านจะได้เอาไปใช้อย่างอื่นได้ ทำไมไม่ตก เพราะว่าผมเป็นคนดีมากหรืออย่างไร? ไม่ใช่ ถามว่าผมชนะแรงดึงดูดโลก เพราะอะไร? เพราะผมไปรู้ความจริงว่ามีกฎการยกขึ้น ไม่ใช่ว่าผมดีหรือชั่ว แต่เพราะว่าผมรู้ความจริง และผมยอมถ่อมใจว่าอันนี้ต้องมีกฎ หาจนเจอกฎนี้ แล้วผมก็สามารถเดินหรือขึ้นเครื่องบินได้ โดยที่ไม่ถูกดูดหรือตกลงมา นี่คือกฎ

ฉันใดก็ฉันนั้น กฎของความบาป และความตาย ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ ก็มีอยู่จริงๆ แม้ว่าตาจะมองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน กฎแห่งความบาปและความตาย  ก็มีอยู่จริง ใครทำตามความบาป หรือใครทำบาป ตามกิเลสตัณหา ใครฝ่าฝืนกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าบอกไว้ แม้แต่นิดเดียว ก็ต้องได้รับโทษ คือความตาย คือบึงไฟนรกแน่นอน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ดี เขาทำบาป เขาต้องตาย นิดหนึ่งก็ไม่ได้ แค่คิดว่าคนนี้เป็นคนบ้า เท่ากับไปฆ่าเขาแล้ว กฎว่าไว้อย่างนี้  และใครบ้างที่ทำได้ ไม่คิดโกรธใครเลยสักครั้งหนึ่ง ให้อภัยเขาหมดเลย ทุกครั้งเลย สะอาดหมดจด ทุกเวลา ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น คนนั้นก็อยู่ในบึงไฟนรก เพราะตามกฎว่าไว้อย่างนั้น จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม

จำเรื่องที่อ่านในพระคัมภีร์ครั้งที่แล้วได้ไหมครับ? เรื่องกษัตริย์ดาวิดที่ผมยกขึ้นมาว่ากษัตริย์ดาวิดนำกองทัพ ทั้งทหาร ทั้งผู้รับใช้ต่างๆ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า อัญเชิญหีบพันธสัญญากลับมาไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม แล้วจะสร้างสถานนมัสการอย่างสวยงามให้อยู่เลย จะถวายเกียรติ คิดดีเลย ไปเป็นหมื่นคน ระหว่างเดินทาง เกวียนที่วางหีบพันธสัญญา จริงๆ จัดอย่างละเอียดเรียบร้อยดีทั้งหมด วางหีบพันธสัญญา … หีบพันธสัญญา เล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า พอเคลื่อนไปได้นิดหนึ่ง เกวียนไปตกหลุมเสียหลัก หีบพันธสัญญาก็ไหลเคลื่อนมา อุสซาห์ที่ยืนอยู่ เอามือไปพยุงไว้ กลัวหีบตก ตายเลย แต่พระคัมภีร์บอกไว้แล้ว กฎก็คือกฎ พระเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ อย่าไปแตะๆ พระเจ้าบอกแล้วบอกเล่า ก็ไปแตะ เขาตาย  ไม่เกี่ยวกับอุสซาห์ดีหรือเลว อุสซาส์ไปช่วยยึดหีบไว้ ซึ่งจริงๆ ถือว่าเป็นคนดี

แล้วถ้าคิดตามหลักเหตุผล ทุกคนก็โวยวายกันหมดแหละ พระเจ้าไม่ยุติธรรมเลย ไปฆ่าเขาได้อย่างไร? ถ้าท่านคิดอย่างนั้นเมื่อไร? ท่านต้องไปคิดอย่างที่ผมบอกคนตกตึกมา ไม่ยุติธรรมเลย ไปฆ่าเขาได้อย่างไร? คนที่จับไฟฟ้าแรงสูงดูดตาย ไม่ยุติธรรมเลย คนนี้เป็นคนดีจะตาย หรือบางครั้ง สมควรแล้ว คนนี้ไม่ดี ถูกดูดตาย ดีแล้ว มันไม่ใช่ มันเป็นกฎ ดูดหมดแหละ

นี่คือตัวอย่างของกฎของความบาปและความตาย คือใครทำบาป ใครทำผิดกฎ ก็ต้องรับโทษ คือความตาย แต่ในพระคัมภีร์เขียนเหมือนกันว่ามีกฎหนึ่งที่สามารถเอาชนะกฎแห่งความบาปและความตายได้ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่มีเขียนไว้ในโรม 8:1  กฎแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเกี่ยวกับที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขนนั้น ซึ่งทำให้เราเป็นถุงหนังใหม่ วิญญาณบังเกิดใหม่ โดยการตายของพระเยซูคริสต์ ที่สามารถเป็นที่รองรับเหล้าองุ่น คือพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราได้ และด้วยกฎแห่งชีวิตนี้ เราได้กลายเป็นคนที่สะอาดหมดจด ปราศจากที่ติ และพระเจ้ามาสถิตอยู่กับเราได้ ด้วยความเชื่อ ในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ฟังดูแล้วเหมือนโง่ๆ เลย เบาปัญญามากเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่มันเป็นจริง ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่มันมีอยู่จริง ท่านต้องเลือกเอาว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ? มันไม่มีทางอื่นเลย ต้องเชื่ออย่างเดียว ถ้าเชื่อปุ๊บ กฎนี้ เป็นกฎที่ทำให้เรารอดจากความบาปและความตาย รอดจากการกระทำที่เรียกว่าบาป ทุกวัน อย่างที่ผมบอก ไม่มีใครทำได้สักคน ไม่มีใครบริสุทธิ์สะอาด ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้เลย

เพราะฉะนั้น จึงต้องพึ่งพระเยซูทุกคน จำเป็น และวิธีพึ่ง ก็ง่ายนิดเดียว รับฟรีๆ ยอมรับ ถ่อมใจ พูดตามพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ และเชื่อด้วยใจว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ก็พูดง่ายๆ ว่าได้ตาย แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ แค่นี้ เขาก็จะได้รับความรอด ได้ไปสวรรค์ ได้เป็นถุงหนังใหม่ ที่สามารถรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า รับเหล้าใหม่ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ได้ อยู่ด้วยกันได้ เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนเราทั้งหลายที่เชื่อไปแล้ว ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

***************************