คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2018
เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 1
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เริ่มต้นซีรี่ส์ใหม่ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เกริ่นไว้สักนิดหนึ่งว่าเราต้องตั้งใจฟังให้ดีนะ มันเป็นความลึกซึ้งของถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งมาจากพระเจ้าเองเลย ไม่ใช่มาจากตัวแทน เราจะเริ่มต้นบรรยายซีรี่ส์ใหม่ ซึ่งมีชื่อว่า “อุปมาคำสอนของพระเยซู” เราจะเริ่มที่ถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์มัทธิว 7:21
มัทธิว 7:21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น ที่จะได้เข้า”
“แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา” ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์”
นี่พระเยซูพูดเอง พระเยซูกำลังบอกว่าบรรดาเหล่าสาวก หรือผู้ติดตามพระเยซู หรือบรรดาผู้ที่เคยเห็นการกระทำ อัศจรรย์ของพระองค์ในสมัยนั้น ที่พระองค์เดินอยู่บนโลกนี้ ถึงแม้เขาเหล่านั้นจะยกย่อง นับถือพระองค์ ถึงแม้ปากจะพูดว่า …
“พระองค์เจ้าข้า อาจารย์เจ้าข้า อาจารย์ๆ”
แต่พระองค์บอกว่าก็ไม่ใช่ทุกคนจะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ เพราะคนที่จะสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ พระองค์บอกว่าคนนั้น จะต้องทำตามพระประสงค์ของพระบิดา คือของพระเจ้าเท่านั้น
แล้วทุกคนก็ถามว่า “แล้วพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า คืออะไร?”
พระประสงค์ของพระเจ้ามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตามหนังสือพระคัมภีร์ที่ผมเคยบอกท่าน ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย คือน้ำพระทัยพระเจ้า วางแผนทั้งหมด เพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น พระประสงค์ของพระเจ้ารวมกัน ก็คือยอห์น 3:16
ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
นี่คือหน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายของพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ให้มาตายที่ไม้กางเขน พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ผู้นั้น ก็คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระบุตรของพระองค์ เป็นผู้เดียวเท่านั้น ให้มายอมตาย สละชีวิตของพระองค์ที่ไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอดจากบาป รอดจากนรก รอดจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้า
พระประสงค์ของพระเจ้า คือต้องการให้มนุษย์ทุกคนเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ที่ทรงประทานมาให้ เพื่อเขาจะได้รับการอภัยจากการลงโทษ เนื่องจากความบาป เขาจะได้กลับมาหาพระเจ้า กลับมาสู่ครอบครัวของพระเจ้าได้ นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่เชื่อในพระบุตร คือเชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้นั้น ก็ได้ชื่อว่ากำลังทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เหมือนที่เรานั่งอยู่ที่นี่ ที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็จะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ อย่างที่พระเยซูบอก
สังเกตให้ดีๆ ที่พระเยซูบอกว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่าอาจารย์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า จอมเจ้านายเจ้าข้า จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์”
คนที่ติดตามพระเยซู และเรียกพระเยซูว่า “เจ้านาย อาจารย์ พระองค์เจ้าข้า” ก็คืออาจารย์นั่นแหละ เพราะเห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงทำ คิดว่าเขาเชื่อพระเยซูไหม? คิดว่าเชื่อ ถ้าไม่เชื่อ คงไม่ติดตามพระเยซูไป แล้วไม่เรียกพระเยซูว่าอาจารย์ ซึ่งบางคนอาจจะเชื่อ เพราะเพิ่งได้เห็นการอัศจรรย์ พระเยซูรักษาคนตาบอดให้หาย จึงเรียกพระเยซูว่าอาจารย์ นี่ใช่แน่เลย พระเจ้าส่งคนนี้มาช่วยแน่ บางคนอาจจะเชื่อแบบ อย่างน้อยเชื่อเขาไว้ดีกว่า เพราะว่าเขาพูดมีสิทธิอำนาจมากกว่าคนอื่น แล้วเขาทำการอัศจรรย์ให้เราเห็น เพราะฉะนั้น เชื่อเผื่อเลือกไว้ดีกว่า เผื่อว่าอันที่เราเชื่ออยู่นั้น มันไม่จริง มาเชื่อพระเยซูอีกคน เพิ่มเติม เขาเชื่อศาสนายิว เขาก็บวกพระเยซูไปอีก
ซึ่งตรงนี้ พระเยซูกำลังแยกแยะให้เราเห็นว่าไม่ใช่ว่าความเชื่อของทุกคน จะเป็นความเชื่อตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ใช่เชื่อตามน้ำพระทัยพระเจ้า ถูกไหม? ความเชื่อตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะทำให้มนุษย์ได้รับความรอด และเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ได้ คือรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ ตามหนังสือโรม 10:9-10 บันทึกเอาไว้ ยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานมาให้มนุษย์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูที่พระเจ้าประทานให้ เป็นขึ้นจากความตาย คนนั้นถึงจะได้รับความรอด เห็นไหม? พระองค์แยกแยะ ซึ่งจริงๆ แล้วในหนังสือโรม 10:9-10 ได้บ่งบอกให้เราได้เห็นชัดเจน ซึ่งเราเคยฟังกันอยู่บ่อยๆ ได้อ่านกันอยู่บ่อยๆ ใช่ไหมว่าใครก็ตามที่จะได้รับความรอด ต้องยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจ
ยอมรับด้วยปาก .. ยอมรับมาจากภาษาอังกฤษ เขาเรียกว่า Confess แปลภาษาไทยตรงๆ ว่าสารภาพ แต่คำว่าสารภาพนี้ เราไปนึกถึงว่าเพราะคนนั้นนึกว่าตัวเองทำบาป แล้วขอสารภาพ …
“พระเจ้ายกโทษ เมื่อตะกี้ลูกไปโกรธเขา ยกโทษให้ลูกด้วย”
คนนั้นถึงจะได้รับความรอดจากบาป ไม่ใช่ คำว่า “สารภาพ” ตรงนี้ ภาษาเดิม ภาษากรีก แปลว่ายอมรับในสิงที่พระเจ้าพูด เห็นด้วยกับพระเจ้า พูดตามที่พระเจ้าบอก พระเจ้าบอกว่า …
“เราประทานพระเยซู ซึ่งเป็นบุตรของเรา เราให้มาช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป”
เราสารภาพ แปลว่าเรายอมรับ เราก็พูดตามพระเจ้าว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าประทานให้มนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป อย่างนี้ เรียกว่าสารภาพของจริง ของแท้ ไม่ใช่คำว่า “สารภาพ” คือเมื่อวานนี้ไปตีหัวชาวบ้าน เมื่อวานนี้โลภ เมื่อวานนี้ไปคิดสกปรกกับเขา เพราะฉะนั้น วันนี้ คืนนี้ มาสารภาพกับพระเจ้า เพื่อจะได้รับความรอด ไม่ใช่ คนละอันกัน ท่านจะเห็นภาพชัดเจน พระเยซูกำลังสอนเรา เห็นไหม? ความล้ำลึก สารภาพออกจากปาก สารภาพตามที่พระเจ้าบอก พระเจ้าบอกพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็สารภาพว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในนี้บอกและเขาเชื่อด้วยใจ คือสารภาพไปเรื่อยๆ แล้วมันก็หล่นลงไปๆ ดิ่งลงไปในวิญญาณ พอดิ่งลงไปในวิญญาณ พูดตามพระเจ้าไปเรื่อยๆ พระเจ้าบอกว่า …
“พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเธอ มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเธอ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3”
คำว่า “พูดตาม” ไม่ใช่วันทั้งวัน พูดตาม แต่หมายถึงว่าสารภาพ ใช่เป็นอย่างนั้น มาโบสถ์เป็นประจำ ใช่ๆ จนกระทั่งวันไหนไม่รู้ ถ้อยคำที่เราสารภาพกับพระเจ้า เป็นไปตามที่พระเจ้าบอกนั้น เชื่อตามนั้นจริง มันค่อยๆ ไหลลงไป ไหลลงไปในความคิดจิตใจของเรา ลงไปลึกที่วิญญาณของเรา มันก็ระเบิดเปรี้ยงออกมาเป็นบิ๊กแบ็ง ที่วิทยาศาสตร์เขาบอก เป็นระเบิดอัศจรรย์ เรียกว่าเนรมิตขึ้นมาเลย เกิดระเบิดใหญ่ขึ้นมาในวิญญาณของเรา เปรี้ยง วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ จึงเกิดความเชื่อด้วยใจแล้วคราวนี้ เชื่อด้วยวิญญาณแล้วว่าคำพูดตะกี้ทั้งหมด มันเชื่อด้วยใจ มันก็ตรงกับพระคัมภีร์บอกไว้ คราวนี้พูดด้วยปากและเชื่อด้วยใจ ทั้งสองอันครบถ้วนบริบูรณ์ บังเกิดใหม่ รับความรอดนิรันดร์ ไม่มีใครเอาเราออกไปจากพระเจ้าได้อีกแล้ว เอเมน
ท่านจะได้เข้าใจลึกซึ้งว่าความรอดมันคืออะไร? แล้วมันอยู่กับเราอย่างไร? จะอยู่ไปนานไหม? ผู้ที่สอนเรา คือพระเยซู
คำว่า “เชื่อในพระบุตร” หรือ “เชื่อในพระเยซูคริสต์” ตรงนี้หมายถึงผู้ที่ความเชื่อได้หยั่งรากลึกในวิญญาณของเขาแล้ว เชื่อแบบไม่หันกลับอีกเลย เพราะมันเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว ซึ่งพระเยซูได้เปรียบความเชื่อแบบการสร้างบ้านไว้บนศิลา ในมัทธิว 7:24-29
มัทธิว 7:24-29 “24 “ฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และนำไปปฏิบัติ ก็เป็นเหมือน คนฉลาด ที่สร้างบ้านของตนบนศิลา 25 ถึงฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้น แต่บ้านก็ไม่ได้พังลง เพราะมีฐานรากอยู่บนศิลา 26 ส่วนผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา แต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติ ก็เป็นเหมือนคนโง่ ที่สร้างบ้านของตนบนทราย 27 เมื่อฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้น บ้านก็พังทลายลง” 28 เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้จบแล้ว ฝูงชนก็พากันเลื่อมใส ในคำสอนของพระองค์ 29 เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขา อย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ต่างจากพวกธรรมาจารย์ของพวกเขา”
ฝูงชนได้ยิน เลื่อมใส ตื่นเต้นในคำสอนของพระเยซู ในข้อ 29 บอกว่า “เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขา อย่างผู้มีสิทธิอำนาจ” ทำไมเขามีความรู้สึกอย่างนั้น เขามองดู ไม่เหมือนธรรมาจารย์คนก่อนๆ ที่เคยสอนเรื่องพระเจ้า คนนี้เป็นใคร? เป็นช่างไม้ ชื่อเยซู แล้วทำไมเขาสอน สายตาที่เขาแสดงออก เสียงที่เขาพูดออกมา ทำไมความเชื่อมันล้นไปหมดเลย มันใช่เลย ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่รู้ว่าคนนี้มีอะไรบางอย่าง มีสิทธิอำนาจ แปลว่าอย่างนั้น ถามว่าเพราะอะไร? ทำไมแตกต่างจากธรรมาจารย์เหล่านั้น ต่างกันอย่างไร? ง่ายนิดเดียว
นี่ไม่ได้เลียนแบบ นี่เป็นตัวจริง เสียงจริง ธรรมาจารย์ฟาริสีแต่ก่อนนั้น เป็นเหมือนตัวแทนของพระเจ้า มาพูดเรื่องพระเจ้าให้ฟัง ตอนนี้พระเยซูเป็นพระเจ้า … พระเจ้ามาพูดเอง เป็นตัวฉันเอง
เพราะฉะนั้น ท่านแน่ใจเลยนะคำพูดต้องเน้น ย้ำ มันชัด เพราะเป็นตัวเขาเองเป็นคนพูด เพราะฉะนั้นคนฟังก็จะรับได้ พูดเรื่องพระเจ้าแปลกกว่าคนอื่นมากเลย ก็พระองค์พูดเอง นี่แหละคือสิ่งหนึ่ง สามารถสังเกตได้ การสร้างบ้านบนศิลา ก็คือการวางรากฐานของความเชื่อไว้ที่ศิลา ก็คือพระเยซู ซึ่งบอกมาตั้งแต่ในหนังสือพระคัมภีร์เดิมแล้ว พระเยซู คือ The rock พระเยซูคือศิลา
การวางรากฐานของความเชื่อไว้ที่ศิลา ก็คือไว้ที่พระเยซูคริสต์ ซึ่งจะทำให้มนุษย์ได้รับความรอดนิรันดร์ ถึงฝนตก กระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา ลมพัดกระหน่ำ แต่บ้านก็ไม่ได้พังลง เพราะมีฐานรากที่แข็งแกร่งอยู่บนศิลา คือชีวิตของคนๆ นั้น อยู่แข็งแกร่งได้ เมื่อวันที่มีการทดสอบความเชื่อ วันที่ฝนตก พายุกระหน่ำอย่างแรง เป็นการทดสอบว่าบ้านนั้น แข็งแรงจริงไหม? ในชีวิตมนุษย์ก็เหมือนกัน ฝนกระหน่ำ พายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง มารมาฟ้องเราทุกวัน มารมีหน้าที่ฟ้องมนุษย์ ฟ้องคนนั้นแหละ
“เธอทำบาป เธอเป็นคนบาป เธอเป็นคนไม่ดี เธอตกนรกแน่ เธออย่างโน้น เธออย่างนี้”
แล้วความเชื่อเรามั่นคงไหม? ที่จะตอบว่า …
“ไม่ ฉันได้รีบความรอดนิรันดร์แล้ว ฉันเคยเป็นคนบาป แต่เดี๋ยวนี้ ฉันได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์แล้ว ตรงนี้หมายถึงสร้างชีวิตเราบนความเชื่อ บนศิลา มันแปลว่าอย่างนั้น แต่ถ้ามารบอก …
“แกเป็นคนบาป แย่แล้ว ตกนรกแน่”
เราบอก “ไม่หรอก ฉันทำดีตั้งเยอะ ฉันไม่เป็นหรอก”
นั่นแหละ วันหนึ่ง เมื่อมีพายุเข้ามา แรงขึ้นๆ ท่านจะอยู่ไม่ได้ ท่านก็จะ …
“ไม่ได้รับความรอดแน่ ฉันทำไม่พอ ฉันต้องทำเพิ่มอีก ฉันต้องทำความดีเพิ่มอีกๆ”
ซึ่งมันไม่มีวันพอหรอก มันไม่มีวันหมด พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างไป เมื่อวันพิพากษามาถึง ยิ่งชัดเจนใหญ่เลย ถ้าเรามีรากฐานแห่งความเชื่ออยู่ที่พระเยซูคริสต์ เราก็ได้รับความรอดนิรันดร์ เมื่อถึงวันพิพากษา พระเยซูบอกว่ามนุษย์ทุกคน ทุกวิญญาณจะต้องมายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะถามง่ายๆ ว่า …
“ใครบาป ใครไม่บาป”
แน่นอนทีเดียว พวกเราที่เชื่อในพระเยซูแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว เราพูดโดยธรรมชาติเราเอง เราไม่ได้เสแสร้ง พูดเร็วมากเลย ถามปุ๊บ ตอบปั๊บเลย
“บาปหรือเปล่า?”
“ไม่บาป”
“ไปสวรรค์หรือเปล่า?”
“ไปสวรรค์”
“สะอาดหมดจดหรือยัง?”
“สะอาดหมดจดแล้ว”
เพราะอะไร? เพราะเราเชื่อในพระเยซูแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว วิญญาณเราใหม่เอี่ยมไปแล้ว บาปคืออะไร? ไม่รู้เรื่องเลย แต่อีกฝั่งหนึ่งจะแกล้งพูดได้ไหม?
“เชื่อพระเยซู” มันไม่มีทาง เพราะว่าวิญญาณมันดำมืด สกปรก
นี่แหละคือที่พระเยซูสอน อุปมาเพียงนิดเดียว แต่ความหมายลึกซึ้งมาก ผมถึงบอกว่าให้ใช้เวลาสักนิดหนึ่ง ในเรื่องของซีรี่ส์นี้ อุปมาคำสอนของพระเยซู ซึ่งมีเยอะแยะจะค่อยๆ ทยอยเอามาเรียนรู้ มาเจาะทะลุความหมายอันลึกซึ้งนี้ด้วยกัน แล้วท่านฟังไปเรื่อยๆ คิดไปเรื่อยๆ เคาะไปเรื่อยๆ ขอไปเรื่อยๆ แสวงหาไปเรื่อยๆ แล้วท่านก็จะรู้ลึกซึ้งไปด้วยกัน แต่ถ้าเราวางรากฐานอยู่บนความเชื่ออื่น วางรากฐานอยู่บนการกระทำของตัวเอง พึ่งในตัวเอง เย่อหยิ่ง ดื้อ ไม่ฟังพระเจ้า เราจะต้องกระทำดีด้วยตนเองสิ ขณะที่พูดอย่างนี้ คือกำลังเย่อหยิ่ง กำลังดื้อกับพระเจ้า น้ำพระทัยพระเจ้าบอกเชื่อในพระเยซู
“แกทำด้วยตัวเองไม่ได้ แกไม่รอดหรอก แกอ่อนแอ”
เราบอก “ไม่ ฉันจะทำด้วยตัวเอง”
พระเจ้าบอก “เชื่อในพระเยซู พระเยซูมาช่วย”
“ไม่เอา ฉันไม่เอาพระเยซู ฉันจะช่วยตัวเอง”
ตรงนี้แหละคือความเย่อหยิ่ง ตรงนี้แหละความดื้อด้าน ก็จะเป็นเหมือนในพระคัมภีร์ตะกี้นี้ที่เราอ่าน พระเยซูบอกก็จะเป็นเหมือนกับคนโง่ที่สร้างบ้านบนทราย เมื่อฝนตก น้ำท่วม บ้านก็พังทลายลง เมื่อถึงวันพิพากษา ก็ต้องอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับสวรรค์นั่นเอง
พระเยซูกำลังเน้นย้ำให้เราเห็นภาพและเข้าใจว่าความเชื่อที่แท้จริง ที่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร? ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่าไม่ใช่ว่าทุกคนพูดว่าเชื่อพระองค์ จะได้รับความรอดหมด ไม่ใช่ทุกคนพูดง่ายๆ ว่า …
“ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันได้รับความรอดแน่นอน”
No ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่าความเชื่อที่อยู่ในวิญญาณของเขา อยู่ในจิตใจของเขานั้น มันเป็นอย่างไร? ไม่ใช่อยู่ที่ปากพูด พูดๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งถามว่ามีใครรู้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น ที่รู้ กับพวกเรา รวมทั้งตัวเราเอง และคนข้างเคียง ถ้าเผื่อเข้าใจและสนิทกับคนๆ นั้น สามารถจะเห็นรางๆ แต่ไม่แน่ใจ ตัวเราเองก็ไม่แน่ใจ แต่เห็นรางๆ ได้ว่าอย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างให้ท่านเห็นบ่อยๆ ว่าสามารถตรวจสอบตัวเองได้นิดหนึ่งว่าเราได้รับความรอดจริง ถ้าเราได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์จริงๆ เราจะไม่ไปปฏิบัติ พิธีอะไรก็ตามที่มันเกี่ยวข้องกับกิจการที่เกิดขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิญญาณเด็ดขาด อย่างเช่นไปทำบุญทำทาน เพื่อจะให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เราจะไม่ทำเลย เพราะเรารู้ว่าเราได้ดี เพราะเราเชื่อในพระเยซู ไม่ใช่ตัวเราเอง ไม่ใช่ผมพูด เพื่อจะมาต่อต้านกับการกระทำดี ไม่ใช่นะ คนละเรื่องกัน การกระทำดี ต้องทำอยู่แล้ว และดีอยู่แล้วด้วย พระเจ้าเป็นความดี และเราเป็นลูกพระเจ้า เราเป็นลูกแห่งความดี และเป็นความดีที่อยู่ในตัวเอง เราทำดี เพราะธรรมชาติของเราอยู่แล้ว เราเป็นปลาที่อยู่ในน้ำ เราว่ายน้ำเก่งอยู่แล้ว ไม่ได้มาพูดให้เรามาอยู่บนบก ไม่ใช่ แต่กำลังจะบอกท่านว่าเราสามารถเช็คตัวเองได้ว่าเราเชื่อพระเจ้าจริงไหม? เมื่อถึงวันพายุพัด มารมาฟ้องเรา เราตอบมารได้ชัดเจน หรือทันทีไหม? หรือเราคิด ก็ไม่แน่ใจ รับความรอดจริงหรือ?
“รับความรอดได้อย่างไร เมื่อวานนี้ ยังไปทะเลาะกับเขาอยู่เลย” เออ! จริง
เอาอีกหลายอัน วันก่อน ก็ทะเลาะกัน ลืมสารภาพบาปกับพระเจ้า เราคิดอย่างนี้ไหม? หรือเราสบายมากเลย หลับ หรือตอนไหนก็ตาม หรือแม้แต่ตะกี้นี้ ขับรถมา รถตัดหน้า ด่าเขาเสียๆ หายๆ มันหงุดหงิด โกรธมากเลย ขับรถไม่มีมารยาท มาละเมิดสิทธิ์เราอะไรแบบนี้ เสร็จแล้วเราก็ลืมไปแล้ว เราก็ยังคงอยู่ที่ความรอดในพระเยซูคริสต์เหมือนเดิมหรือเปล่า? หรือเรากลุ้มใจตลอดมา เราตกนรกไปตั้งนานแล้ว เดี๋ยวต้องรอให้เงียบๆ ให้นิ่งๆ ก่อน แล้วสารภาพบาป จะได้ฉลองใหม่อีกทีหนึ่ง อย่างนั้นหรือ? ท่านลองไปคิดเอง ก็แล้วกัน อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวท่านกับพระเจ้าว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ท่านลองไปเช็คดู
คำสอนของพระเยซูส่วนใหญ่ พระองค์จะสอนเป็นคำอุปมาเปรียบเทียบทั้งสิ้น เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมต้องสอนเป็นคำอุปมาเปรียบเทียบ ทำไมไม่สอนง่ายๆ ตรงๆ สาวกสมัยนั้น ต้องไปถามพระเยซูอีกทีว่า …
“พระองค์เมื่อตะกี้นี้พูดแปลว่าอะไร?”
พระองค์ต้องมาอธิบายอีกครั้งหนึ่ง ก็ยังไม่รู้หรอก แต่วันหนึ่ง เมื่อวันที่เขาบังเกิดใหม่แล้ว พระวิญญาณเข้ามาอยู่ในตัวเขา เขาจะเริ่ม อ๋อ! เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะดึงเอาถ้อยคำเก่าๆ ที่พระเยซูเคยพูดออกมา
“วันนั้น พระเยซูพูดเรื่องนี้”
อ๋อ! ใหญ่เลย มาจากข้างใน มันเป็นอย่างนี้ เราได้ง่ายกว่าเขา เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเราแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราฟังนิดหน่อย ก็เข้าใจ ชี้ให้ท่านนิดหนึ่ง ท่านก็อ๋อตลอดทางแล้ว เพราะฉะนั้น คนสมัยก่อนก็ถามพระเยซูอย่างนี้แหละ มัทธิว 13:10-17
มัทธิว 13:10-17 “10 เหล่าสาวกมาหาพระองค์ และทูลถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับประชาชนเป็นคำอุปมา” 11 พระเยซูทรงตอบว่า “ความลับของอาณาจักรสวรรค์ ทรงให้พวกท่านรู้ แต่ไม่ทรงให้พวกเขารู้ 12 ผู้ใดมีอยู่แล้ว จะได้รับเพิ่มขึ้น จนมีล้นเหลือ ส่วนผู้ที่ไม่มี แม้ซึ่งเขามีอยู่ ก็จะถูกริบไปจากเขา 13 ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล่าวกับพวกเขาเป็นคำอุปมา คือ “แม้ได้ดู แต่พวกเขาก็ไม่เห็น แม้ได้ฟัง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยิน หรือไม่เข้าใจ 14 เป็นจริงตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า “‘เจ้าจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่มีวันเข้าใจ เจ้าจะดูแล้วดูเล่า แต่จะไม่มีวันประจักษ์ 15 เพราะจิตใจของชนชาตินี้ดื้อด้านไป พวกเขาไม่ยอมเปิดหูเปิดตา มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาจะได้เห็นกับตา ได้ยินกับหู เข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขาให้หาย 16 แต่ตาของท่านเป็นสุข เพราะได้เห็น หูของท่านเป็นสุข เพราะได้ยิน 17 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมมากมาย ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็น แต่ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ยิน”
ที่พระเยซูสอน เป็นอุปมาเหล่านี้ เรื่องอาณาจักรสวรรค์ สวรรค์เป็นอย่างไร? มนุษย์จะไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? น้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับสวรรค์คืออะไร? พระเยซูบอกว่าความลับของอาณาจักรสวรรค์ทรงให้พวกท่านรู้ แต่ไม่ให้พวกเขารู้
“พวกท่าน” คือพวกสาวกที่ยอมจำนน คือถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่ง ฟังพระเยซู ทั้งๆ ที่รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง แต่ตามตลอด เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ เพราะถ้าเข้าใจคงไม่เข้ามาถาม เพราะเขาอยากรู้ คนเหล่านี้ คือคนที่จะได้รับรู้ความลับของพระเจ้า เกี่ยวกับสวรรค์ ถ้าท่านอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ ต้องทำตัวอย่างนี้ ไม่รู้ก็เคาะต่อไป ไม่รู้ ก็หาต่อไป ไม่รู้ แล้วทำอย่างไรต่อ
“เปิดตาลูกทีๆ” เดี๋ยวก็จะค่อยๆ รู้ขึ้นมาเอง
ต่อไปว่า “แต่ไม่ทรงให้พวกเขารู้” พวกเขา คือพวกที่ไม่ถ่อม ไม่ยอมรับ แต่ดื้อ เย่อหยิ่งจองหอง จะไปรู้ได้อย่างไร? นี่เรื่องธรรมดา ไม่มีวันที่จะรู้เรื่องอะไรเลย ฟัง
“นี่เป็นใคร เป็นช่างไม้ เราก็รู้ตั้งเยอะแล้ว เราเป็นใคร? เราเรียนพระคัมภีร์เดิมตั้งเยอะแยะ เราจำได้หมดแล้ว”
เปาโลก็เป็นหนึ่งคนในสมัยนั้น “เราลูกศิษย์กามาลีเอล เราเรียนตั้งเยอะแยะ แล้วนี่เป็นใคร? แค่เด็กๆ อายุ 30 ปีเศษๆ อาจจะ 31 มาสอนเรื่องพระเจ้า ทำเป็นแน่ จับมาสอบสวนหน่อย”
นี่แหละคือคนเหล่านั้น ที่ไม่มีโอกาสได้เห็นความจริงอะไรเลย เพราะเขาดื้อ เย่อหยิ่งจองหอง ในข้อ 15 เพราะจิตใจของชนชาตินี้ ดื้อด้านไป พวกเขาไม่ยอมเปิดหู เปิดตา คือตาและหูทางวิญญาณ ไม่รับ มันก็ไม่มีทาง ถ้าเขาหันกลับมา ถ้าเขายอมที่จะเปิดหูฝ่ายวิญญาณ และตายฝ่ายวิญญาณ ฟังที่เราพูด …
“เราจะรักษาพวกเขาให้หาย”
ในพระคัมภีร์เขียนไว้ ถามว่าหายจากอะไร? หายจากบาป เพราะมันเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ พวกนั้นก็คิดในใจ แน่จริงทำไมไม่รักษาคนนี้ให้หาย เพราะรักษาให้หายแล้ว รักษาให้หายหมด พระเยซูไปโรงพยาบาลเลยสิ เขาก็คิดอย่างนี้ เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องวิญญาณเลย ความเย่อหยิ่ง ทำให้คนเราปิดความจริงทั้งหมด อันนี้เอามาใช้ได้ในวิชาอื่นๆ ด้วย ในชีวิต ถ้าเราเย่อหยิ่งจองหอง อวดดี เราจะไม่ได้รับอะไรเลย แต่ถ้าเรายอมถ่อมใจ ตั้งใจ น้อมใจฟังบ้าง มันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตเรามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องพระเจ้ามาก ถึงมากที่สุด
ในนี้บอกว่า “ผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมมากมายปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็น แต่ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ยิน”
หมายถึงในอดีต อย่างที่ตะกี้นี้ผมพูดผู้เผยพระวจนะ ก็คือตัวแทนพระเจ้าในอดีต ผู้ที่ศึกษาพระเจ้าในอดีต เขาศึกษาในพระคัมภีร์เดิม เขาอยากจะเห็นพระเจ้ามาก เขาอยากจะรู้ว่าพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดของเขา ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่หน้าแรกของปฐมกาล อยากได้ยินเสียงของคนนั้นเลยว่าเป็นใคร? เขาอยากจะเห็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้เห็น แต่พวกท่านเห็น พวกท่านได้ยินเลย พระมาซีฮาห์พูดเอง พระเจ้าพูดเอง เห็นไหม? ต้องถ่อมใจขนาดไหน ถึงจะรับเรื่องนี้ได้ว่าไม่ได้มาฟังคนบ้าพูดเรื่องสวรรค์ มันต้องอยู่ที่ใจเขาจริงๆ วิญญาณเขาจริงๆ
พระเยซูกำลังอธิบายว่าพระเจ้าทรงทราบดีว่าท่ามกลางชนชาติยิวนั้น มีคนเย่อหยิ่งอยู่มากมาย เพราะเขานึกว่าเขาเป็นชนชั้นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว เพราะเป็นคนที่ติดสนิทอยู่กับพระเจ้า มีเส้นใหญ่ สำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว ไม่มีเส้นเลย เขาคิดอย่างนี้ เขาเลยเย่อหยิ่งไง แต่พระเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น พระเจ้าเลือกชาวอิสราเอลมา เพื่อเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ทั้งหมดนั่นเอง ไม่ใช่เลือกมาเพื่อให้เป็นชนชั้นพิเศษ รักมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เท่ากัน แต่เลือกมาเป็นชนกลุ่มแรก เพื่อจะมาใช้งาน พูดง่ายๆ เป็นตัวแทน เพื่อให้พระเยซูคริสต์มาเกิด เพื่อให้แผนการของพระองค์ ในการช่วยมนุษย์ทั้งหมด ทั้งโลกให้ได้รับความรอดจากบาป มันสำเร็จ แต่เขากลับนึกว่าเราชนชาติพิเศษ ก็เลยเกิดความเย่อหยิ่ง ทำให้เกิดจิตใจที่ดื้อด้าน ไม่เปิดหู เปิดตา พระมาซีฮาห์มาแล้ว พระเมสโปดกมาแล้ว พระผู้ช่วยให้รอดมายืนต่อหน้า พูดให้เขาฟังแล้ว ไม่เชื่อไม่พอ ยังจับพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขนอีก
การที่มาเปิดใจยอมรับพระเยซู และเข้าใจในคำสอนของพระองค์ ต้องอาศัยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือถ่อมใจ ที่เรามาถึงความรอดทุกวันนี้ ก็เพราะว่าเราถ่อมใจ และจากนี้ต่อไป ถ้าเราอยากเจริญเติบโตในวิญญาณต่อไป รู้จักพระเจ้ามากขึ้น เราต้องถ่อมใจ อยากได้พระพรมากขึ้น ต้องถ่อมใจ สวรรค์เป็นของเราแล้ว แต่การดำเนินชีวิต เราต้องถ่อมใจ เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ถ่อมใจ คำว่า “ถ่อมใจ”หมายถึงการยอมรับถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเราไม่เข้าใจ เราไม่รู้ เพราะเราเป็นมนุษย์ แต่เราเชื่อฟัง พระเจ้าสอนเราในพระคัมภีร์ว่าอย่างไร? แล้วเราใช้ความเชื่อเอา ตรงนี้แหละเขาเรียกว่าถ่อมใจ ตั้งใจฟังและปฏิบัติตาม
ปฏิบัติตาม หมายถึงพระเจ้าบอกให้เชื่อพระเยซู เราเชื่อ พระเจ้าบอกพระเยซูเอาบาปออกไปหมดแล้ว เชื่อ มันหมายถึงอย่างนั้น พระเจ้าบอกเราช่วยตัวเองไม่ได้เลย ไม่มีทางพึ่งตัวเองได้เลย ต้องเชื่อพระเยซู 100% เชื่อตามนั้น นั่นคือปฏิบัติตาม ไม่ใช่ปฏิบัติตาม คือไปอดอาหารเหมือนพระเยซู ไม่ใช่อย่างนั้น คนละอันกัน แต่คนที่เย่อหยิ่งมักจะตรงกันข้ามกับพระเจ้า คือพึ่งตัวเอง ไม่เปิดใจรับฟัง ก็จะยิ่งห่างจากความจริง ในถ้อยคำพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ คือไม่ยอมรับฟัง ไม่เปิดใจรับฟัง แถมเถียงพระเจ้าอีก พระเจ้าบอกมนุษย์ช่วยตัวเองไม่ได้ เราต้องพึ่งพระเยซูอย่างเดียว เราไม่มีทางทำดี แล้วจะได้รับความรอด อย่างนี้คนเราก็ไม่ต้องทำดีสิ พูดอย่างนั้นอีก มันเหมือนพูดแล้ว จะทำให้เข้าใจแบบมนุษย์ มันไม่มีทางเข้าใจแบบมนุษย์ได้เลย สำหรับพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าก็ทรงเป็นพระเจ้า มนุษย์ก็เป็นมนุษย์ และก็เป็นคนบาป ไม่มีทางที่จะไปเทียบพระเจ้าได้ แล้วความคิด วิถีทางของพระเจ้า ก็ไม่ใช่ทางของมนุษย์ ไม่มีทางที่จะเทียบกันได้เลย เราต้องถ่อมใจอย่างเดียว และใช้ความเชื่ออย่างเดียว
ทำไมเราถึงมาเรียนเรื่องคำอุปมาของพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูบอกว่าพระองค์ทรงเป็นทางนั้นทางเดียว คือทางที่จะไปหาพระบิดา ทางที่จะไปสวรรค์ ทางที่จะรอดจากนรก ทางที่จะอยู่ในสวรรค์นิรันดร์กาลกับพระเจ้าได้นั่นเอง พระองค์เป็นทางเดียว เพราะฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้ถ้อยคำที่พระเยซูคริสต์สอน ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำตรงไหนก็ตามที่เป็นคำอุปมา อาจจะไม่ค่อยเข้าใจตอนนี้ แต่เดี๋ยวเราจะเข้าใจมากขึ้น เพราะคำอุปมานั้นจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอาณาจักรสวรรค์ ทางที่จะไปหาพระเจ้าทั้งสิ้น
และการจะฟังเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ให้มากที่สุด จะต้องถ่อมใจ เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป ฟังซีรี่ส์นี้ ก็จะต้องถ่อมใจ เปิดใจรับฟัง และต้องพยายามตั้งใจด้วย ตั้งใจไม่สำคัญเท่ากับถ่อมใจ ตั้งใจไม่ใช่พูดไปตามประสาของครูที่สอนบอก ตั้งใจฟังนะ มนุษย์เราอ่อนแอ ตั้งใจที่สุด ทำอย่างไร? ก็มันง่วงอีกแล้ว ตั้งใจที่สุดทำอย่างไร? ก็นั่งมาตั้งแต่ 10 โมงแล้ว บางคนมา 10.30 ปวดฉี่แล้ว ออกไปฉี่ กำลังฟังสนุกๆ นี่แหละคือความอ่อนแอของมนุษย์ เดี๋ยวต้องฉี่ เดี๋ยวปวดท้อง เดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวกินข้าว เดี๋ยวง่วงนอน จริงๆ ตั้งใจไหม? ตั้งใจ แต่มันได้แค่นี้ แต่ถ่อมใจทำได้ไหม? ถ่อมใจมีอุปสรรคไหม? ไม่มีเลย หลับไป ก็หลับด้วยความถ่อมใจ อยากตั้งใจฟัง แต่ร่างกายมันทนไม่ไหว หลับ
พระเยซูอยู่ที่สวนเกเสมนี มาเจอสาวกบอก …
“สาวกเดี๋ยวอธิษฐานกับเราหน่อย”
สาวกบอก “แน่นอนๆ อาจารย์ เราอยู่ เราไม่ทิ้งท่านอยู่แล้วล่ะ อธิษฐาน”
พอไปแป๊บหนึ่ง กลับมาถึง สาวกหลับสบาย พระเยซูพูดว่าอย่างไร? …
“จิตวิญญาณมันพร้อม แต่ร่างกายมันอ่อนแอ”
แล้วทำอย่างไร? พระเยซูปลุกเขาขึ้นมาไหม? ไม่ปลุก
คำสอนของพระเยซูเป็นอุปมาหมดเลย ในพระคัมภีร์ ซึ่งอย่างที่บอกว่าจะเป็นเรื่องของสวรรค์และการบังเกิดใหม่ของมนุษย์ (บังเกิดใหม่ในวิญญาณ) ชาวอิสราเอลในสมัยนั้น ชื่อนิโคเดมัส เป็นอาจารย์ระดับสูง แอบมาหาพระเยซูตอนกลางคืน
“อาจารย์ ที่อาจารย์พูดถึงเรื่องการบังเกิดใหม่ มันแปลว่าอะไร? มนุษย์ต้องมุดเข้าไปในมดลูกของผู้หญิงอีกครั้งหนึ่งเหรอ”
ท่านลองคิดดูสิ แสดงว่าเขาเชื่อจริงๆ เขากล้ามาถามอย่างนี้ ตกลงบังเกิดใหม่ในวิญญาณ คืออะไร? ไม่รู้ แต่วันนี้จะเริ่มรู้แล้ว พระเยซูจะเริ่มสอน เราจะมาเริ่มอุปมาคำสอนของพระเยซู ในหนังสือมัทธิว 9:14-15
มัทธิว 9:14-15 “14 ฝ่ายสาวกของยอห์นมาทูลถามพระองค์ว่า “พวกข้าพระองค์กับพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่ทำไมสาวกของพระองค์ ไม่ถืออดอาหาร” 15 พระเยซูทรงตอบว่า “จะให้แขกของเจ้าบ่าวทุกข์โศก ขณะเจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไร สักวันหนึ่ง เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา แล้วพวกเขาจะอดอาหาร”
เอเมน เพราะเราเชื่อว่าพระเจ้าพูดอย่างนี้ เราถ่อมใจ เราก็เอเมนไว้ก่อน แต่รู้เรื่องไหม? ไม่รู้ สาวกของยอห์นมาทูลถามพระเยซูว่า …
“พวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่ทำไมสาวกของพระองค์ไม่ถืออดอาหาร”
ความหมายตรงนี้ ต้องอธิบายที่มาก่อนว่าประเพณีของศาสนายิวในสมัยนั้น เขาถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ทางศาสนา ที่จะมีช่วงกำหนดเวลาที่ชาวยิวทุกคนจะถืออดอาหาร แต่ละปี แต่ละช่วง เพื่อเป็นการสำนึกบาปของตนเอง เขาเรียกว่าสารภาพบาป คนละอันกับที่ผมอธิบายไปตอนต้น เพื่อสำนึกว่าตัวเองเป็นคนบาป พระเจ้าสั่งไว้ รวมทั้งเป็นการอธิษฐานอ้อนวอน ทูลขอพระเมตตา จากพระเจ้าในเรื่องอื่นๆ ด้วย คือเน้นเรื่องใหญ่ อดอาหาร เพื่อให้รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป นี่พระเจ้ายอดเยี่ยมขนาดไหน? วางแผนการตั้งแต่โน้นเลย เตือนมนุษย์ตลอด
“เธอเป็นคนบาปนะ”
เพราะฉะนั้น เมื่อพวกชาวยิวกับพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่สาวกของพระเยซูไม่ได้ทำ สาวกยอห์นก็เลยเข้ามาถามว่าทำไมสาวกของพระเยซู ไม่ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติศาสนายิว ขณะนั้น แล้วพระเยซูตอบว่าอย่างไรครับ?
“จะให้แขกของเจ้าบ่าวทุกข์โศก ขณะเจ้าบ่าวอยู่ด้วยได้อย่างไร? สักวันหนึ่ง เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา แล้วพวกเขาจะอดอาหาร” เอเมน
เข้าใจไหม? รู้เรื่องไหม? ไม่รู้ จะไปรู้ได้อย่างไร? ตอบอย่างนี้ คือตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวยิวแล้ว ถึงแม้ว่าจะอยู่ในเทศกาลถืออดอาหาร ตอนนั้นนะ แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่ว่าถ้าหากมีการเฉลิมฉลองอะไรตอนนั้น ก็สามารถหยุดพักการอดอาหารไว้ก่อนได้ เช่น ถ้าใครมีงานแต่งงานตอนนั้น พิธีอดอาหาร ก็สามารถที่จะยกเว้นไม่ทำได้ พระเยซูจึงตอบไปว่า …
“ทำไมจะต้องอดอาหาร ก็ในเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่เลย”
ทุกคนก็คิด “งานอะไร?”
การฉลองงานแต่งงานยังไม่เลิกเลย จะให้แขกมาอดอาหาร ทำตัวเศร้าโศกต่อหน้าเจ้าบ่าวได้อย่างไร? พระคัมภีร์จะเปรียบพระเยซูเป็นเหมือนเจ้าบ่าว และมนุษย์ทุกคน คริสตจักรเป็นเจ้าสาว ที่จะอยู่ร่วมกัน เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในอนาคต พระเยซูกำลังบอกว่า …
“ฉันเป็นเจ้าบ่าวยังอยู่เลย กำลังจะฉลองงานแต่งงานแล้ว จะไปอดอาหารทำไม?”
ดูสิ พระเยซูกำลังพาเราไปไหน? “สักวันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไป จากเขา”
“เจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไป” เจ้าบ่าว คือพระเยซู สักวันหนึ่งเจ้าบ่าวจะถูกนำตัวไปจากเขา แล้วเขาจะอดอาหาร พอนึกออกไหม? พระเยซูกำลังบอกว่าผู้ที่ติดตามพระองค์ ยังไม่ต้องโศกเศร้าตอนนี้ ยังไม่ต้องอดอาหารตอนนี้ เพราะพระองค์ยังอยู่ด้วย เดินอยู่กับเขาตอนนี้ แต่จะมีเวลาที่พระองค์จะไม่อยู่ด้วย คือถูกเขานำตัวไป เมื่อถึงเวลานั้น คนที่ติดตามพระองค์ คือพวกสาวกทั้งหลาย ก็จะเศร้าโศกเสียใจ ถึงตอนนั้น พวกเขา สาวกเหล่านี้จะอดอาหารเอง เห็นหรือยังพระเยซูกำลังพูดถึงอะไร?
ในพระคัมภีร์ มีการกล่าวถึงการปฏิบัติศาสนกิจของฟาริสี บางพวกว่าเป็นเพียงการกระทำ เพื่อโอ้อวด คือไปยืนตามศาลา ให้คนทั่วไปมองเห็น แล้วเขาทำตัวโทรมๆ ทำตัวสกปรก เพื่อให้คนมองว่าตนเองเคร่งศาสนา ไม่ได้เป็นการถ่อมใจอย่างแท้จริง แต่พระเยซูบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า สาวกของพระองค์จะอดอาหารอย่างจริงๆ เป็นการอดอาหารด้วยความทุกข์โศก อย่างแท้จริงเลย ไม่ใช่เป็นการทำ เพื่อโอ้อวด แบบฟาริสี ตรงนี้พระเยซูกำลังหมายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ที่สวนเกทเสมนี แล้วถูกจับไปในคืนวันนั้น ถูกนำตัวไปจากเขา คือสาวกที่เดินกับพระองค์ พระเยซูถูกจับไป แค่นั้นไม่พอ รุ่งขึ้นถูกตรึง ทุกคนตกใจ วิ่งหนีกันไปบ้าง? เศร้าโศกหนักเลย
“อาจารย์อยู่ไหน? พระเยซูที่เราเชื่อ ตกลงเป็นพระเจ้าจริงหรือ? แล้วทำไมถึงแพ้เขาล่ะ”
แล้วท่านลองคิดดู ตายไป เห็นต่อหน้าต่อตา 3 วันเป็นขึ้นมาใหม่ ดีใจ แต่ไม่ใช่เห็นเป็นขึ้นมาใหม่ทุกคน อยู่กับสาวก 40 วัน ไปอีกแล้ว ไปหาพระบิดา บอกว่า …
“พวกเธอไปไม่ได้หรอก ฉันไปคนเดียว”
ตกใจเหมือนกัน อดอาหารอธิษฐาน แล้วพระองค์บอกว่า “เดี๋ยวจะกลับมาใหม่” เดี๋ยวของพระองค์เมื่อไร? ไม่ได้บอก อาจจะอีก 10 ปี 20 ปี อีก 100 ปีหรือเปล่า? ฉันตายไป จะกลับมาหรือเปล่าไม่รู้เลย พวกเขาต้องถ่อมใจเชื่อฟัง และใช้ความเชื่อในคำสั่ง ไปรออยู่ชั้นบน อดอาหารอธิษฐาน ไม่ได้บอกว่ากี่วัน? แต่สุดท้ายเขาเขียนว่าเขาอดอาหารอธิษฐานอยู่ 10 วัน วันที่ 10 พระเจ้าลงมาสถิตอยู่ด้วยกับเขา ตกใจเหมือนกัน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ลงมาคราวนี้มาติดสนิทอยู่กับเขาเลย มาเป็นพระเจ้าของเขา มาเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับมนุษย์เลย นี่คือสิ่งที่พระเยซูสอนเห็นไหม?
คนสมัยนั้น เขาจะเข้าใจมากกว่าเรา เพราะเขารู้จักประเพณี ซึ่งเป็นประเพณีล้วนๆ ของชาวยิว และศาสนายิว คือศาสนายูดาโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้น พอพระเยซูพูดสิ่งเหล่านี้ เขาจะรู้หมดเลย แต่พวกเราต้องไปศึกษาเบื้องหลัง เราจึงจะเข้าใจว่าพระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? พระองค์กำลังพูดถึงเรื่องว่าพระเจ้าจะมาสถิตอยู่ด้วยกันกับมนุษย์ ในขณะที่พระเยซูกำลังพูดอยู่กับเหล่าสาวกนั้น พระองค์ได้เล็งไปถึงการถูกตรึงบนไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เพื่อเตรียมมนุษย์ทุกคนที่สกปรก เนื่องจากบาป มนุษย์ทุกคนที่ยังอยู่ในอำนาจของความบาปและความตาย เตรียมให้พวกเขาเหล่านั้นมาสู่ความบริสุทธิ์ สะอาด ไร้ตำหนิ โดยการไถ่เขาที่ไม้กางเขน ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อที่พระเจ้าผู้บริสุทธิ์จะได้สามารถมาสถิตอยู่ในตัวของมนุษย์ได้ ไม่อย่างนั้นมาไม่ได้ เพราะพระเจ้าพระบิดาเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่ได้ถูกชำระให้สะอาดหมดจด พระเจ้าก็ไม่สามารถอยู่กับมนุษย์ได้ พระเยซูไปเตรียมทางนี่แหละ คือทางนั้น ทางที่พระเจ้าจะได้มาสถิตอยู่กับมนุษย์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า แต่มนุษย์จะต้องถูกชำระให้หลุดออกจากอำนาจของความบาป ต้องไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป เพราะคนบาปเป็นศัตรูกับพระเจ้า เขาต้องเป็นผู้ชอบธรรมเท่านั้น พระเยซูจึงต้องมาตายที่ไม้กางเขน
เห็นไหม? เรื่องเดียวกัน อุปมานิดเดียว หมายถึงเรื่องนี้แหละ ตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับความยุติธรรม หรือความเมตตา หรือความโหดร้ายใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องของกฎ ที่บอกว่าความสะอาดบริสุทธิ์เข้ากับความบาปและความสกปรกไม่ได้ มันไม่ได้เกี่ยวกัน มันเป็นกฎ เป็นธรรมชาติว่าบาป แปลว่าศัตรู แปลว่าอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เข้ากันไม่ได้ เข้ากัน เสียหาย
เหมือนที่ผมเคยยกตัวอย่างว่าไฟฟ้าแรงสูง เข้ากับสิ่งมีชีวิตไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม ถ้าสิ่งมีชีวิตเข้าไปแตะต้องโดนไฟฟ้าแรงสูง ทั้งคนหรือสัตว์นั้น จะตาย มนุษย์จับไฟฟ้าแรงสูง ตาย แสดงว่าไฟฟ้าแรงสูง โหดร้ายมากนะ แล้วคนที่ไปจับนั้น เป็นคนดีด้วย ไปฆ่าเขาได้อย่างไร? ท่านลองคิดดูแล้วกัน ผมเคยยกตัวอย่างบ่อยๆ
ในพระคัมภีร์เดิม ก็มีเงาของตัวอย่างอย่างนี้ ซึ่งผมเคยอ่านเจอ และเอามายกตัวอย่าง ในหนังสือ 2 ซามูเอล นี่คือตัวอย่างของความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากับความบาปของมนุษย์ได้ ตราบใดที่มนุษย์ยังบาปอยู่ พระเจ้าต้องอยู่ห่างๆ หรือไม่มนุษย์ก็ต้องอยู่ห่างๆ ถ้าแตะเมื่อไร? มนุษย์ตาย เสียหายใหญ่โต
2 ซามูเอล 6:1-7 ก่อนที่จะอ่าน ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เรื่องหีบพันธสัญญาของพระเจ้า สมัยพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าให้สร้างหีบพันธสัญญาขึ้นมา เพื่อจะได้เห็น ได้ว่านี่คือการทรงสถิตของพระเจ้า
เวลาพูดถึงการทรงสถิตของพระเจ้าเฉยๆ คนอิสราเอล มนุษย์ทุกคนก็ยังงง อยู่ตรงไหน? หาไม่เจอ พระเจ้าเลยเอาง่ายๆ สร้างหีบพันธสัญญาขึ้นมา หีบพันธสัญญานี้ แปลว่าการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ที่นี่ ทุกคนก็โอเค พระเจ้าอยู่ที่นี่นะ อยู่ที่พลับพลาที่พระเจ้าให้ทรงสร้าง และมนุษย์ไปแตะต้องไม่ได้ เพราะว่าเหมือนไฟฟ้าแรงสูง เพราะบริสุทธิ์สะอาด มนุษย์สกปรก แตะเมื่อไร? ตายทันที เข้าไปใกล้นิดหนึ่ง ยังตายเลย เพราะฉะนั้น ต้องระวังให้ดี เหมือนกับเจ้าหน้าที่ไฟฟ้า บอกช่างไฟฟ้าว่า …
“ระวังให้ดีนะ สายไฟฟ้าแรงสูง มันอันตรายมาก”
คล้ายๆ อย่างนั้น ท่านจะได้เห็นภาพ พระคัมภีร์เดิมก็พูดไว้อย่างนั้น นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้ ซึ่งเป็นกฎธรรมชาติ ไม่ใช่พระเจ้ามีเมตตา หรือไม่มีเมตตา ไม่เกี่ยว แต่เป็นฤทธิ์อำนาจของความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ไม่สามารถเข้ากันกับความสกปรก หรือความบาปได้ ต้องกระเด้งออกไปเลย พูดง่ายๆ
2 ซามูเอล 6:1-7 เป็นช่วงที่ดาวิดกับอิสราเอลทำสงครามชนะ พระเจ้าอวยพรมาก ก็เลยคิดว่าจะไปอัญเชิญหีบพันธสัญญา ซึ่งหมายถึงการทรงสถิตของพระเจ้า ซึ่งอยู่ที่ฟิลิสเตีย จะเอากลับมาไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะตอนนี้ รวมประเทศอย่างเป็นปึกแผ่นดีแล้ว ก็เลยนึกถึงว่าไปเอามา เราไปดูนะว่าจะไปเชิญหีบพันธสัญญา เขาทำอย่างไร? เตรียมตัวมากมายเลย แล้วเกิดอะไรขึ้น
2 ซามูเอล 6:1-7 “1 แล้วดาวิดนำพลอิสราเอลที่เลือกสรรแล้วสามหมื่นคน 2 ไปยังบาอาลาห์แห่งยูดาห์ เพื่ออัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้า ซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ ผู้ประทับระหว่างเครูบ บนหีบนั้น 3 พวกเขาตั้งหีบพันธสัญญาของพระเจ้าบนเกวียนใหม่ และนำลงมาจากบ้านของอาบีนาดับ ซึ่งอยู่บนภูเขา โดยมีอุสซาห์กับอาหิโย บุตรอาบีนาดับ เป็นผู้นำเกวียน 4 ที่บรรทุกหีบพันธสัญญาของพระเจ้า และอาหิโยเดินนำหน้า 5 ดาวิดและปวงชนอิสราเอล เฉลิมฉลองอย่างเต็มที่ ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า มีการขับร้องและบรรเลงดนตรี ด้วยพิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา กรับและฉาบ 6 เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวของนาโคน วัวสะดุดเสียหลัก อุสซาห์ยื่นมือออกไปยึดหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไว้ 7 พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงพลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ และทรงประหารเขา ที่บังอาจทำอย่างไม่ยำเกรงพระองค์ เขาตายอยู่ข้างหีบพันธสัญญาของพระเจ้า”
พระพิโรธของพระองค์ ก็พลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ แล้วก็ประหารเขา เข้าใจแล้ว พระพิโรธของพระเจ้า ก็เหมือนไฟฟ้าแรงสูง ช่างไฟฟ้าไปแตะไฟฟ้าแรงสูง ไฟฟ้าแรงสูงพิโรธมากเลย ฆ่าช่างไฟฟ้า ซึ่งเป็นคนดี นี่ไม่เกี่ยวกันแล้วนะ ไม่เกี่ยวกับเรื่องคนดีหรือไม่ดีถูกไหม? ความรู้ ความพลาด และธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ จะเห็นว่าอุสซาห์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ในสายตาของมนุษย์ ตั้งใจดีด้วยซ้ำ ที่จะไปช่วยพยุงหรือค้ำ เพราะจะล้ม เหมือนหวังดี แต่กฎก็คือกฎ เหมือนเสาไฟฟ้าแรงสูง ฝนตกมา พายุพัดมา เสาไฟฟ้าเริ่มหักโค่น คนนี้ดีมากเลย รถไปไม่ได้ อุตส่าห์จอดรถ ลงรถมา เพื่อที่จะไปยกเอาเสาไฟฟ้าออกไป คนอื่นจะได้ไปมาได้ ปรารถนาดีไหม? ดี เป็นคนดีมาก เห็นแก่ส่วนรวมด้วย คนอื่นเห็นแก่ตัว มาก็ไป ไม่มีใครยุ่งเลย นี่ดีมาก ก็ไปยก มือไปแตะถูกเสาไฟฟ้าแรงสูง ไฟฟ้าแรงสูงฆ่าตายเลย
ก็คล้ายๆ กัน เสาไฟฟ้าแรงสูงฆ่าชายคนนี้
หลายครั้ง ผมพูดเรื่องนี้ไม่ได้มีโอกาสอธิบายละเอียดอีก เพื่อให้ท่านเห็นภาพว่าหลายคนชอบคิดว่า …
“พระเจ้าของเธอโหดร้าย”
“No คุณไม่เข้าใจ คุณเย่อหยิ่งไปหน่อยไหม? ที่จะพูดอย่างนั้น คุณแน่ใจแล้วเหรอ ในเมื่อพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความรัก พระเจ้าแห่งความยุติธรรม พระเจ้าแห่งความเมตตา พระเจ้าแห่งความสงสาร ไม่เห็นมีตรงไหนบอกเลยว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความโหดร้าย ไม่มี ถ้าคุณไม่เข้าใจ คุณลองศึกษาดีไหม? อย่าคิดว่าตัวเองแน่”
อย่างนี้ตามภาษามนุษย์ ต้องบอกว่าแน่นอน ไม่ดีแน่ อย่างนี้ พระเจ้าของเธอทำได้อย่างไร? อุสซาห์เขาเป็นคนดีจะตาย อุตส่าห์มาช่วยพยุง ไปฆ่าเขา พระเจ้าไม่ช่วยเขา นี่แหละเขาเรียกว่าความคิดด้านของมนุษย์ มีแต่ความเย่อหยิ่ง ไม่ฟังพระเจ้าพูดว่าอะไร? และไม่เสาะหาว่ามันแปลว่าหรือคืออะไร? เราคงไม่บอกว่า …
“ไฟฟ้าแรงสูงไม่ยุติธรรม ไฟฟ้าแรงสูงโหดร้าย”
ไม่เห็นมีใครพูดเลย ทุกคนยอมรับความจริง เพราะธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น
สรุปว่าพระเจ้าไม่สามารถอยู่กับศัตรู อยู่กับความบาป อยู่กับผู้ที่ต่อต้านพระเจ้าได้ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด บริสุทธิ์ สะอาดที่สุด ความสกปรก แม้แต่นิดเดียว ก็อยู่กับพระองค์ไม่ได้เลย เพราะมันจะทำลายความสกปรกนั้นออกไป จบเลย มันต้องตาย พูดง่ายๆ มนุษย์แตะพระเจ้าไม่ได้ เพราะมนุษย์สกปรก ถ้ามนุษย์มีบาปแม้แต่นิดเดียว ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ แค่คิดโกรธเขา ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ แค่คิดเกลียดเขา ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ แค่ว่าไอ้บ้า ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ นี่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น แค่คิดว่าจะไม่ให้อภัยเขา ก็อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ อยู่ในสวรรค์ไม่ได้แล้ว นี่มันหมายถึงอย่างนั้น ไม่ใช่พระเจ้าโหดร้าย มันเป็นธรรมชาติของพระเจ้า
เพราะฉะนั้น มนุษย์จะอยู่กับพระเจ้าได้ มนุษย์ต้องสะอาด 100% เลย ไม่มีจุด แม้แต่นิดเดียว ไม่เคยคิดสกปรกเลย ทำได้ไหม? ไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อตาย ที่ไม้กางเขน เพื่อขจัดความบาป ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เอาออกไป จากวิญญาณมนุษย์หมดเกลี้ยง หนังสือฮีบรูบอกเพียงครั้งเดียว ที่พระองค์ตายที่ไม้กางเขน และเอาพระโลหิตของพระองค์ไปที่โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ของพระเจ้าในสวรรค์ ชำระบาปมนุษย์เพียงครั้งเดียวพอ หมดเกลี้ยงเลย ไม่เหลือ ทำให้มนุษย์บริสุทธิ์สะอาด ไร้ที่ติ ไร้ตำหนิใดๆ ไม่มีมลทินเลย เอเมน
ถ้าท่านเชื่อ ก็จะได้อย่างนี้ มนุษย์จึงสามารถผ่านทางพระเยซูสะอาดหมดจด ไร้ตำหนิ เพื่อจะไปจับมือกับพระเยซูได้ จับมือกับพระเจ้าได้ จับมือกับพระวิญญาณได้ เป็นหนึ่งเดียวกันได้ พระเจ้าจึงเสด็จมาอยู่กับมนุษย์ได้ อยู่ที่วิญญาณของเขา มนุษย์กับพระเจ้าจึงสามารถเข้ากันได้ เพราะพระเยซูมาช่วยนั่นเอง แล้วพระเยซูก็ยกอุปมาที่เขียนลึกซึ้งเยอะแยะมากมายที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ
**************************