คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2017
เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”
ตอน 3 “เรื่องจริงแห่งโลกวิญญาณ”
โดย นคร เวชสุภาพร
เรากำลังเรียนรู้และเน้นในซีรี่ย์นี้ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ หรือโลกฝ่ายวิญญาณนี้ เราไม่ค่อยได้คุ้นเคยเท่าไร? มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และผมอยากให้ทุกท่านเข้าใจจริงๆ ถ่องแท้ละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ฟังผ่านๆ ไปเท่านั้น แต่ให้ตั้งใจจริงๆ เพราะเป็นพื้นฐานของเรื่องของพระเจ้าทั้งหมด และเป็นพื้นฐานของชีวิตของมนุษย์ทั้งสิ้นทุกอย่าง อยากให้ท่านมีความเข้าใจในเรื่องนี้ ชนิดที่เรียกว่าลึกซึ้ง เห็นภาพชัดเจน และมั่นใจ 100% ในความเชื่อว่าโลกวิญญาณ มีอยู่จริงๆ
เพราะฉะนั้น ทุกคำพูด ทุกคำอธิบายจากนี้ต่อไป ต้องใช้คำพูด เหมือนพระเยซูคริสต์ชอบพูดเสมอ เพราะพระเยซูทรงรู้จักโลกฝ่ายวิญญาณทั้งหมดแล้ว พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ในร่างกายของท่าน ก็เหมือนมนุษย์คนหนึ่งเดินบนโลกนี้ แต่พระองค์เป็นมนุษย์ที่ไม่บาป วิญญาณมาจากพระเจ้า ใสสะอาดบริสุทธิ์ มองทะลุ เห็นโลกวิญญาณหมดเลย
เพราะฉะนั้น เวลาพระเยซูจะสอนอะไรเกี่ยวกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ พระเยซูจึงต้องพูดคำนี้ ภาษาอังกฤษเขาแปลจากภาษาเดิม ใช้คำว่า Behold แปลว่าจงมองให้เห็นเถิด หรือไม่ก็บอกว่าใครมีตา จงให้เห็น ใครมีหูให้ได้ยิน แล้วใครไม่มีล่ะ มีทั้งนั้นแหละ หมายถึงในวิญญาณ จงมองให้เห็นเถิดว่ามันเป็นจริงๆ แต่พระองค์ทรงทราบก่อนล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่พูดตรงนี้ เพื่อว่าวันหนึ่งเมื่อพระองค์กระทำงานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถลงมาที่มนุษย์ได้แล้ว มนุษย์บังเกิดใหม่แล้ว หลังจากที่พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน แล้วนั้น มนุษย์จะสามารถเห็นในสิ่งที่พระองค์พูด เข้าใจในสิ่งที่พระองค์พูดว่าจงมองให้เห็นเถิด ในก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้น ผมก็จะขออนุญาตพระเยซู ใช้คำนั้นว่าจงมองให้เห็นเถิด มองทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณ
วันนี้กลับไปบ้าน เข้าห้องน้ำ แปรงฟัน มองไปที่กระจก พูดกับตัวเองว่าจงมองให้เห็นเถิด โลกฝ่ายวิญญาณมันมีอยู่จริงๆ แล้วตัวนี้ จะเป็นตัวพื้นฐานในการอ่านพระคัมภีร์ทั้งหมดเลย เพราะทั้งหมดนั้น เวลาอ่านจะเข้าใจ มันต้องมองให้ทะลุเข้าไปในความหมายทางโลกวิญญาณ ไม่ใช่อ่าน แล้วไปเข้าใจทางโลกวัตถุ ทางปัญญามนุษย์คิด แต่จงมองไปในโลกวิญญาณว่ามันคืออะไรในโลกวิญญาณ เอเมน นี่คือพื้นฐาน แค่นี้ก็จบแล้ว
ผมจะพาท่านย้อนไปพูดตอนที่ 1 อีกนิดหนึ่ง โลกวิญญาณ หรือภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่า “Spirit World” เป็นโลกที่อยู่คู่กันกับโลกวัตถุ ที่เรามองเห็น จับต้องได้ ตรงนี้แหละ พระเยซูจึงบอกว่าสวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเราแล้ว จะมาสอนเราในเรื่องนี้ว่าโลกวิญญาณอยู่คู่กันกับโลกวัตถุนี่แหละ จะใช้คำว่าครอบคลุมอยู่ก็ได้ หรือจะใช้คำว่าทับซ้อนอยู่ ก็ได้ กับโลกวัตถุนี้ เพราะฉะนั้น เข้าใจอันดับแรก คือโลกฝ่ายวิญญาณอยู่ตรงนี้ คลุมซ้อนกันอยู่ตรงนี้ เป็นอีกมิติหนึ่ง มนุษย์ไม่เข้าใจ จึงเรียกว่าอีกมิติหนึ่ง ที่เรามองด้วยตาเนื้อมนุษย์ไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องไปไกล ถ้าท่านเข้าใจแค่นี้ ท่านจะเข้าใจถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์อีกเยอะมากมาย
โลกวัตถุ คือโลกใบนี้ที่ตาเรามองเห็น จับต้องได้ และเป็นโลกที่พระเจ้าสร้างขึ้น ให้เป็นที่อาศัยของบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลาย นี่พูดถึงโลกใบนี้ และที่ผมพูดเสมอว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ชนิดเดียวที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้น จะมีเพียงมนุษย์เท่านั้น บนโลกใบนี้ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวพันไปกับทั้ง 2 โลก … โลกทางวิญญาณด้วย และโลกทางวัตถุ ที่จับต้องมองเห็นได้ด้วย เพราะมนุษย์เป็นวิญญาณ แต่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนโลกใบนี้นั้น ไม่มีวิญญาณ รู้แต่เรื่องสัญชาตญาณ โลกวัตถุเท่านั้น จับต้องมองเห็นได้ ไม่มีวิญญาณ ไม่เป็นวิญญาณ
พูดถึงมนุษย์ ร่างกายอยู่ในโลกวัตถุ จับต้องมองเห็นกัน ส่วนวิญญาณของมนุษย์ ก็อยู่ในโลกวิญญาณ ในขณะเดียวกันเลย พร้อมกันเดี๋ยวนี้เลย คือในขณะที่ท่านนั่งอยู่ในห้องนี้ ร่างกายของท่าน ก็อยู่ในคริสตจักรอภิสุทธิสถาน ในเวลาเดียวกัน วิญญาณของท่าน ตามหลักพระคัมภีร์ต้องบอกว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ใช่ “มี” เพราะวิญญาณ คือตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์นั่นเอง ที่จะอยู่ตลอดไป ถาวรนิรันดร์ ส่วนร่างกายนั้น จะอยู่เพียงชั่วคราว และมีวันที่จะต้องเสื่อมสลาย ตามอายุขัย และดับลง คือตายไปในที่สุด เน่าเละไปในที่สุด เพราะแต่ก่อนนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่จุดหมายดั้งเดิมที่พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ พระเจ้าสร้างมนุษย์ แม้เป็นร่างกายวัตถุจับต้องมองเห็นได้ ก็จะไม่มีวันเสื่อมสลาย ไม่มีการตาย เป็นนิรันดร์เหมือนกัน นิรันดร์แบบความยาวเหมือนกัน แต่เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป ร่างกายนี้ มันต้องถึงวาระสุดท้าย คือต้องตายนั่นเอง แต่วิญญาณอยู่นิรันดร์ อยู่ตลอดไป
ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพ ระหว่างร่างกายที่เป็นชั่วคราว ที่เราเห็นกันอยู่ กับวิญญาณที่เป็นถาวรนิรันดร์ เราอาจจะเปรียบได้กับชีวิต ที่ผมเห็นบ่อยๆ ไปทะเลก็จะเห็น ปูเสฉวน ซึ่งมันมีเปลือกแข็ง ท่านลองนึกภาพตามนะ ระหว่างเปลือกหอยกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในเปลือกหอย ท่านว่าอันไหนคือตัวตนแท้จริงของหอย เวลาเราบอกมันวิ่งๆ เรากำลังบอกไหมว่าเปลือกมันกำลังวิ่ง เปล่า เรากำลังหมายถึงตัวที่อยู่ข้างใน นั่นแหละ ฉันใดฉันนั้น ข้างใน ตัวจริงของมัน อยู่ในเปลือกหอย ซึ่งเปลือกหอยมีวันที่จะแตกหัก โดนอะไรชน แต่ตัวจริงมันอยู่ข้างใน เหมือนมนุษย์ที่ผมบอกว่าข้างในของเรา เป็นวิญญาณ ชีวิตมนุษย์ ร่างกายเรา ที่มีวันเสื่อมสลาย เสื่อมสภาพ ตายลง ตามอายุขัย แต่ตัวตนที่แท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรา จะอยู่ตลอดไป ตามการทรงสร้างของพระเจ้า แค่นี้ คือความจริงอันยิ่งใหญ่ ที่เราต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา แม้เราเชื่อพระเจ้า เรายังต้องเตือนว่ามันเป็นอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องจริงตามพระคัมภีร์บอก พระเจ้าอธิบาย สอนเราอย่างละเอียดในพระคัมภีร์ บอกหมดเลย เราจะเรียนรู้ไหม? เราจะยอมรับไหมเท่านั้นเอง
เช่นเดียวกัน ที่อยู่อาศัยของร่างกายของมนุษย์ อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ที่จะมีวันเสื่อมสูญ ก็คือมีโอกาสถูกทำลายลงเหมือนกัน คือโลกใบนี้ คริสตจักรนี้ โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์นี้ มันก็ถูกคำสาปแช่ง เนื่องจากมนุษย์เอาความบาปเข้ามา มันก็ต้องเสื่อมสลายไปเหมือนกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่งในอนาคต
และวิญญาณของมนุษย์ที่อาศัยในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์บอก มันอยู่ตลอดไป แม้โลกใบนี้สิ้นสุดหมดแล้ว ถูกเผาพลาญหมดแล้ว วิญญาณของเรายังอยู่ตลอดไป แต่มันอยู่ที่ไหนไม่รู้ ถ้าเผื่อมันทุกข์ หมายถึงมันทุกข์ตลอด มันไม่มีวันสิ้นสุด น่ากลัว นี่คือความจริง เราคุยกันเหมือนเรื่องง่ายๆ ตามพระคัมภีร์ บางครั้งก็คุยสนุกๆ แต่ความหมาย เมื่อรู้ลึกซึ้งแล้ว มันน่ากลัวมาก ร่างกายเราอยู่ชั่วคราว เราอาจจะทุกข์มาก เราอาจจะเจ็บป่วย บาดเจ็บ หรือทุกข์ใจ เจอปัญหาบนโลกใบนี้ แต่เรายังมีความหวังว่ามันยังอยู่ชั่วคราว 80 ปี เอาให้ 100 ปี 120 ปี มันก็ต้องจากโลกนี้ไป จบสิ้น แต่วิญญาณมันไม่มีการจบเลย ถ้าเกิดเจอความทุกข์ มันก็คงหมดหวังเลย มันทุกข์นิรันดร์ ทุกข์ตลอดไป
โลกวิญญาณมันก็เหมือนโลกทางวัตถุใบนี้ ที่มีการแบ่งแยกดินแดนออกเป็นอาณาจักรต่างๆ ประเทศต่างๆ ซึ่งแต่ละประเทศ หรือแต่ละอาณาจักรบนโลกนี้ ก็จะมีลักษณะภูมิประเทศแตกต่างกันออกไป มีการปกครองที่แตกต่าง มีสภาวะแวดล้อมต่างกันออกไป เรียกว่าแบ่งกันเป็นประเทศในโลกวัตถุนี้ แม้ที่เรานั่งอยู่นี้ แบ่งเป็นคริสตจักรนี้ แบ่งเป็นซอยกรุงเทพกรีฑา รามคำแหง 150 อะไรแล้วแต่ มันก็แบ่งออกไปเรื่อยๆ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าโลกวิญญาณมีแบ่งแยกออกเป็น 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรแห่งความมืด และอาณาจักรแห่งความสว่าง ตอนพระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ มีอยู่แค่อาณาจักรเดียว ที่คลุมโลก หรือซ้อนโลกวัตถุนี้อยู่ คืออาณาจักรแห่งความสว่าง
พระคัมภีร์บอกว่าโลกถูกปกคลุมด้วยพระสิริของพระเจ้า ในสมัยเริ่มต้นปฐมกาล พระสิริของพระเจ้า ก็คือความสว่างของพระองค์ คือฤทธิ์อำนาจ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าในตอนแรกเริ่มนั้น มีแต่ความสว่างเพียงเท่านั้น แล้วอาณาจักรแห่งความมืดของมาร อยู่ในชั้นฟ้าอากาศ นอกโลก มารมันถูกเขี่ยตกกระป๋องออกจากอาณาจักรของพระเจ้า
หลังจากบรรพบุรุษของมนุษย์ คืออาดัมกับเอวาได้นำเอาเชื้อโรคในวิญญาณตัวร้ายแรง ที่เรียกว่าเชื้อบาป ไวรัสบาป เข้ามาสู่ DNA ของอาดัมและเอวา DNA อันนั้น มีพวกเราทั้งหลายมนุษย์ทุกคนอยู่ในนั้น เพราะพระเจ้าสร้างแบบเทคโนโลยี แบบสมัยใหม่มาก สร้างมนุษย์ขึ้นทั้งหมด จากคนๆ เดียวเลย แล้วก็ให้พวกเราอยู่ในนั้น แล้วค่อยๆ ผลิตออกมา ท่านพอจะเห็นภาพชัดเจน
เพราะฉะนั้น DAN ของความบาปนี้ ที่ติดเชื้อบาปนี้ เราก็เลยติดไปด้วย ซึ่งเจ้าไวรัสบาป หรือเชื้อบาปตัวนี้ มาจากมาร เข้ามาสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เข้ามาสู่โลก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความมืดก็เข้ามาแทนที่ความสว่างของพระเจ้า ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ในโรม บทที่ 3
โรม 3:23 “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”
ตรงนี้ไม่ใช่ทำบาปนะ ตรงนี้ภาษาเดิมบอกว่า “เพราะว่ามนุษย์ทุกคนบาป มีเชื้อบาป ติดเชื้อบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”
เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป หรือเป็นบาป ติดเชื้อบาปเข้าไปแล้ว จึงเสื่อมพระสิริของพระเจ้า ก็คือหลุดออกไปจากความสัมพันธ์กัน เหมือนกับเชิญความมืดเข้ามา ไล่ความสว่างออกไป เสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า ก็คือเสื่อม หรือหายไป เสียหายไป แสงสว่างของพระเจ้าหายไป ความมืดเข้ามาแทนที่ เข้ามาปกคลุมอยู่เหนือโลก และทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาบนโลกใบนี้ ที่มีชีวิต ทั้งหมดเลย ทั้งสัตว์เล็กสัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ รวมกระทั่งพืชเล็กพืชน้อย แม้กระทั่งก้อนหิน วัตถุทุกอย่าง ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดทั้งหมดเลย
ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระคัมภีร์เดิมทั้งหมดเลยจะพูดถึงเรื่องนี้ว่ามนุษย์ตกอยู่ตรงนี้แหละ และมีหลายแห่งที่บอกชัดๆ เลยว่าทุกคนเป็นคนบาป พระเจ้าบอกมองลงมา มีแต่คนทำชั่ว ไม่มีสักคนเลยที่เอาพระเจ้า ไม่มีสักคนเลยที่ทำดี เพราะความมืดปกคลุมอยู่ มันไม่ได้เกี่ยวกับตัวมนุษย์ มันเกี่ยวกับโลกนี้ และวิญญาณมนุษย์ทุกคนก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดสนิทนั่นเอง อยู่ในอาณาจักรของความมืด ไม่มีทางเลือก ต่างคนก็ต่างมืดด้วยกันทั้งคู่ บรรพบุรุษเราก็มืด เราเกิดมาก็มืด คนต่อไปก็มืด มองไปทุกอย่างมืดหมด แม้กระทั่งสัตว์ พืช มืดหมด ไม่มีใครช่วยใครได้เลย จนกระทั่งถึงวันที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ วางแผนการเลยว่าจะกลับมาช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความมืดนี้ นี่คือแผนการใหญ่ของพระเจ้า ใหญ่มาก โดยพระเจ้าตั้งใจที่จะทำให้โลกวิญญาณได้กลับสว่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า …
“เราเป็นความสว่าง ความสว่างเข้ามายังโลก”
มนุษย์ทุกคนเป็นความมืด แต่พระเยซูบอกว่า “เราเป็นความสว่าง” และตอนนี้ความสว่างกำลังเข้ามาสู่ความมืด
เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว วันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่วิญญาณพระองค์เป็นพระเจ้า วิญญาณพระองค์สะอาดหมดจด แล้วพระองค์ทรงดำเนินไปถึงตายที่ไม้กางเขน เพื่อหลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับเรา ให้กับมนุษย์ทุกคน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นการสถาปนาอาณาจักรแห่งความสว่างขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บนโลกใบนี้
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน ทำให้โลกวิญญาณ แบ่งแยกออกเป็น 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความมืด ที่อยู่ก่อนหน้านี้ และอาณาจักรที่เกิดใหม่ ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง แต่ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นนี้ เกิดขึ้นเฉพาะในโลกวิญญาณเท่านั้น มันไม่ได้รวมถึงโลกวัตถุ ที่เราจับต้องมองเห็นด้วยตานี้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้น โลกที่เราจับต้องมองเห็นได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ เป็นสัตว์ เป็นตัวเราเอง ร่างกายนี้ มันก็เหมือนเดิม ก็ยังอยู่ในการลงโทษของบาปอยู่ดี ร่างกายเราก็ยังต้องตายอยู่ดี แต่อะไรบางอย่างในโลกวิญญาณมันเปลี่ยนไปแล้ว
ตอนนี้มนุษย์มีสิทธิ์เลือกว่าจะเข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรือจะยังคงอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดเหมือนเดิม
และนี่คือความจริงที่ทำให้เราเป็นไทอย่างแท้จริง เพราะถ้าเรารู้และเข้าใจอย่างถูกต้องลึกซึ้งในโลกวิญญาณอย่างนี้แล้ว การมีชีวิตบนโลกนี้ ของมนุษย์ทุกคน หรือของเรา มุมมองในเรื่องการแก้ปัญหาต่างๆ ของเรา มันก็จะเปลี่ยนไปหมดเลย มุมมองในการตั้งเป้าหมายในชีวิตก็เปลี่ยนไป การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ การแก้ไขปัญหาในเรื่องต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไป มันจะอยู่บนพื้นฐานของโลกวิญญาณทั้งหมดเลย จะเห็นภาพชัดเลย แล้วมันก็จะเกิดเป็นความหวัง ความอดทน ความสุข ความสงบ ความพอเพียงขึ้นในใจ ในชีวิตของคนๆ นั้น ที่รู้ความจริงตรงนี้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ขอให้เขาเป็นมนุษย์เถอะ เขาจะได้รับตรงนี้แหละ
ความรู้ ความเข้าใจในโลกวิญญาณแบบนี้ ก็เปรียบเหมือนที่ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องกลัดกระดุมผิด สมัยตอนที่เล่นดนตรีอยู่นั้น บางคอนเสิร์ตต้องเข้าไปเปลี่ยนชุด ต้องเปลี่ยนเร็วมาก เพื่อจะออกมาให้ทัน เข้าไปถึงจะมีคนมารุมเราเลยนะ สมมติว่าเรากำลังใส่รองเท้าอยู่ ก็จะมีคนมาใส่เสื้อให้ แล้วก็มีคนกลัดกระดุมให้ กลัดรีบๆ เลย พอจะเดินออกไป เฮ้ย! จับคอเสื้อทำไมไม่ได้สักที เพราะว่ามันกลัดไปเรียบร้อยแล้ว แต่กระดุมเม็ดแรกมันผิดกลัดไปอีก 10 เม็ด เวลาจะแก้ ช้ากว่าเก่าตั้งเยอะ เลย มันต้องถอดทีละเม็ดๆ พอมันผิดตั้งแต่เริ่มต้น ต้องแก้ใหม่หมดเลย
ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราเริ่มแก้ปัญหาจากสิ่งที่ผิด มันก็จะผิดตลอดไป อย่างที่บอกว่าความรู้ ความเข้าใจในโลกวิญญาณ ก็เปรียบเหมือนการติดกระดุม ถ้าท่านรู้เหตุผลมันคืออะไรเกิดขึ้น มันมีเงื่อนไขอย่างไร? มันเป็นอย่างไร? ตอนนี้อาจจะแก้ช้าหน่อย แต่มันก็สำเร็จอยู่ดี แต่ถ้ามันผิด มันไม่ใช่ ท่านรีบอย่างไร? ท่านทุ่มเทอย่างไร? ยิ่งผิดใหญ่เลย ยิ่งทุ่มเทมาก ยิ่งผิดเยอะ แทนที่จะติดกระดุมผิด ไป 5 เม็ด แต่ติดกระดุมผิดไป 10 เม็ดเลยทีนี้ ทุ่มเทเยอะ แต่ว่าเริ่มต้นมันผิดแล้ว
อย่างเช่นเรื่องข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลกนี้ ที่ผมบอกบ่อยๆ ว่าพระเจ้าบอกว่าโลกกลม สมัยก่อนนี้มนุษย์ก็ไม่เชื่อฟัง ก็บอกว่าโลกแบน พยายามคิดค้นทฤษฎีต่างๆ มาสนับสนุน เชื่อว่าโลกแบน คิดอะไรออกมาเยอะแยะก็ผิดหมด ทดลองอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง เสียเวลาไปเยอะแยะมากมาย ก็เพราะว่าพื้นฐานมันผิด เริ่มต้นมันผิดแล้วว่าโลกมันแบน ก็เหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดนั่นแหละ พระคัมภีร์บอกโลกวิญญาณมีจริงๆ และมีอยู่ 2 อาณาจักร คืออาณาจักรของความมืด และอาณาจักรของความสว่าง และมนุษย์มีสิทธิ์เลือกได้เองว่าจะเข้าไปอยู่ในอาณาจักรใดก็ได้ พระคัมภีร์บอกว่ามีสิทธิ์เลือกได้เอง โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ใช้เชื่อเอา เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้เรียบร้อยแล้ว แค่เลือกและใช้สิทธิ์ของตัวเองเท่านั้น แต่มนุษย์จำนวนมาก ก็ยังไม่ยอมเชื่อความจริงตรงนี้ ยังพยายามที่จะขวนขวาย คิดตามเหตุผลว่าเราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ เราก็ไม่สมควรจะได้ ถ้าเราอยากได้ เราต้องทำ ก็ทำต่อไปด้วยตัวเอง ซึ่งทำเท่าไร? มันก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะถ้าความจริงมันเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เหมือนกับแก้ไขกระดุมอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ถ้าไม่แก้ที่กระดุมเม็ดแรกที่ผิดไปนั่น
เม็ดแรก เทียบกับโลกวิญญาณมันมีจริงๆ พระเยซูคริสต์มาไถ่บาปมนุษย์จริงๆ หรือแม้กระทั่งเทียบกับเรื่องคุณยายหาเข็มก็ได้ ถ้าคิดตามเหตุผลแล้ว มนุษย์คิดเองนะ เพราะมนุษย์มาจากพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมา คิดเก่งมากเลย ตามเหตุผล ตามตรรกะ หรือตามภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าตามโลจิกต์ มนุษย์เก่งมาก ถ้าอันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ อันนั้นต้องเป็นอย่างนี้คิดทุกเรื่องเลย แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณคิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะโลกฝ่ายวิญญาณ มันสูง เทคโนโลยีมากกว่าที่ความคิดมนุษย์คิดไปถึง มันเยอะกว่ามากเลย มนุษย์ก็คิดว่าถ้าจับตรงนี้ได้ แสดงว่าหน้าตาพระเจ้าคงมีแข็งๆ เหมือนจับช้าง ไปจับเอาที่ตรงงา ช้างต้องเป็นอย่างนี้ ปลายๆ แหลมๆ และแข็งๆ อีกคนหนึ่งไปแตะถูกตรงกลาง ตัวนิ่มๆ พระเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ ดูเหมือนถูก แต่ผิดหมดเลย เพราะมนุษย์ใช้ความคิดของตัวเอง
เพราะคิดแบบโลจิกต์ คิดแบบเหตุผลของมนุษย์ พระเจ้าจึงบอกให้เราเชื่อ ถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ พระองค์บอกอย่างไร ก็จงเชื่ออย่างนั้นเถิด เพราะเราเป็นเหมือนเด็กคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับความรู้ของพระเจ้า ถ้าเด็กคนหนึ่งมาถามท่านว่า …
“แม่ ไมโครเวฟมันทำงานอย่างไร?”
ท่านจะตอบไหม? หรือท่านจะบอกว่า …
“อย่าถามมากเลย กดอันนี้ มันก็ใช้งานแล้ว กดไป 1 นาที น้ำเดือดแล้ว ไม่ต้องอธิบาย ฉันอธิบายไม่ได้เหมือนกัน”
ถูกไหม? ถ้าท่านไปอธิบายให้เด็ก 10 ขวบฟัง เรื่องระบบมันมีคลื่นไฟฟ้านะ คลื่นไฟฟ้าแปลงเป็นคลื่นอิเล็กโทลนิก เรียกว่าคลื่นไมโครเวฟ และคลื่นไมโครเวฟไปทำงานเป็นโมเลกุล … โมเลกุลสั่นสะเทือน โมเลกุลจะกลายเป็นความร้อน ท่านว่าเด็กเข้าใจไหม? ถ้าเผื่อพระเจ้าจะอธิบายให้เราอย่างนั้น เราจะตายก่อน แล้วลงไปอยู่ในนรก ไม่มีโอกาสได้เลือกพระเจ้าแล้ว ช้าไปแล้ว และไม่มีวันได้ด้วย
พระคัมภีร์ได้อธิบาย ให้มนุษย์ได้รู้จักสภาพของอาณาจักรทั้งสองแห่งนี้ เพื่อจะได้เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในโลกวิญญาณ คำที่ใช้บ่อยในพระคัมภีร์จะมีคำว่า …
– อาณาจักรสวรรค์ / อาณาจักรของพระเจ้า / อาณาจักรของพระคริสต์
ต่อไปนี้ ท่านจะเห็นคำเหล่านี้ ท่านจะมองภาพเห็น ที่วันนั้น เราสาธิตกัน จำเก้าอี้ตัวนั้นได้เลย ที่เป็นสีขาว สมมติว่าเป็นอาณาจักรๆ หนึ่ง เรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระคริสต์
– ในพระคริสต์ / พระเกียรติสิริ / สง่าราศี / ความสว่าง
แล้วในพระคัมภีร์ยังเรียกคนที่อยู่ในอาณาจักรนี้ อยู่ในพระคริสต์ ตอนนี้ฉันอยู่ในพระคริสต์ คือฉันอยู่ในอาณาจักรพระคริสต์ ในอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้า
คือในพระคริสต์ ฉันมีความหวัง ในพระคริสต์ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์ ฉันเหมือนพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ฉันไม่กลัวตายอีกต่อไป ตายทางร่างกายนี้ ก็แค่เปลี่ยนมิติ ก็อยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหนด้วย ไปไหนมาไหนก็สะดวกขึ้น พระคัมภีร์เรียกว่าอินเนอร์แมน คือมนุษย์ตัวใน คือวิญญาณของฉัน
จะพูดถึงตรงนี้ในอาณาจักรแห่งความสว่าง พระเกียรติสิริ / สง่าราศี / ความสว่าง … พระเกียรติสิริ คือความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ความสะอาด บริสุทธิ์ของพระเจ้า ความอลังการของพระเจ้า แบบเต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ ถ้าท่านจะยกตัวอย่างพระสิริ ท่านต้องนึกถึงดวงอาทิตย์ ท่านมองไปที่ดวงอาทิตย์ ท่านยังมองไม่ได้เลย พระสิริของพระเจ้า มันยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ล้านๆ เท่า และตอนนี้ท่านนั่งอยู่ในดวงอาทิตย์ วิญญาณท่านประกอบด้วยพระสิริพระเจ้า ท่านเห็นอะไรบางอย่างไหม? ท่านจะกลัวผีอีกต่อไปไหม? ก็กลัวต่อไป เพราะถ้ากลัว มันก็กลัว มันอยู่ในความคิด มันอยู่ในร่างกายภายนอก อันที่ไม่กลัว ที่เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริของพระเจ้า มันอยู่ข้างในนี้ ขาววอก วิญญาณผมสะอาดบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า แต่ข้างนอกผมคลุมไปด้วยร่างกาย ที่เต็มไปด้วยผิดบ้าง? ถูกบ้าง? ดำบ้าง? ขาวบ้าง? มัวบ้าง? เทาๆ บ้าง? ทุกท่านก็ใส่เสื้อเหมือนผม ร่างกายท่านใส่เสื้อแบบนี้ คือเสื้อลายขาว ดำ เทา ก็คือมันมีขาวๆ ทำดีบ้าง? อยากทำดี ทำไม่ดีบ้าง? แต่ข้างในนี้ สีขาวหมด เอเมน
เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ บอกกันได้ เดี๋ยวนี้เราอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ทั้งหมด พูดถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น
– เป็นขึ้นมาใหม่ / มีชีวิต / ชีวิตนิรันดร์
“เป็นขึ้นมาใหม่” ในโลกฝ่ายวิญญาณ ในเรื่องอาณาจักรแห่งความสว่าง จะมีคำนี้บ่อยๆ ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับพระเยซู พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ ท่านก็เป็นด้วย ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ ในโลกวิญญาณเป็นขึ้นจากความตาย คือมืดสนิทเลย ตอนนี้ตายอยู่ เป็นขึ้นจากความตาย คือ …
“พระเยซูลูกเชื่อพระองค์ ว่าพระองค์เป็นผู้ไถ่บาป แล้วก็ได้มาชำระบาปให้กับมนุษย์ทุกคน ลูกได้ยินข่าวดีนี้แล้ว ลูกเชื่อ ตอนนี้ลูกขอต้อนรับสิทธิที่พระองค์ทรงทำให้กับลูกที่ไม้กางเขน ตายที่ไม้กางเขนเพื่อลูก ชำระบาปให้กับลูก และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่าง บัดนี้ ลูกเชื่อแล้ว ลูกขอรับสิทธินี้”
ทันทีทันใดนั้น ในวินาทีนั้น ผมเกิดใหม่ อย่างนี้เขาเรียกว่าเกิดใหม่ วิญญาณเก่าตายไปแล้ว ตัวมืด ตายไป ตัวเก่าๆ ที่เรียกว่าวิญญาณ ในพระคัมภีร์เรียกว่าตายไป แล้วมันเกิดมาใหม่ นี่พูดถึงวิญญาณนะ ข้างใน ข้างนอกยังคนเดิม แต่ข้างในเปลี่ยนแล้ว เมื่อกี้ข้างในเสื้อกล้ามดำ ตอนนี้เสื้อกล้ามขาว เต็มไปด้วยพระเกียรติสิริของพระเจ้า เหมือนดวงอาทิตย์ร้อนแรงอยู่ในวิญญาณของเรา มีสง่าราศี พระเกียรติสิริของพระเจ้าอยู่ในนั้น ความบริสุทธิ์อยู่ในนั้น นี่คือคำศัพท์ที่ใช้บ่อย แล้วมีอะไรอีก?
“มีชีวิต” พระองค์บอกว่าพระองค์มา เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีชีวิต ฉันยังไม่ตายเลย จะมีชีวิตได้อย่างไร? คำว่ามีชีวิต หมายถึงมีชีวิตกลับคืนสู่พระเจ้า
คำว่า “มีชีวิต” แปลว่าเกิดใหม่ แต่ก่อนนี้ ไม่มีชีวิต คือตายอยู่ พระเยซูบอก เรามาเพื่อท่านทั้งหลายจะมีชีวิต คือเมื่อมารับพระเยซู ท่านก็กลับมามีชีวิต
“ชีวิตนิรันดร์” นอกจากท่านจะมีชีวิตแล้ว คำว่า “มีชีวิต” เป็นกริยา คือการบังเกิดใหม่ มีชีวิตขึ้นมา แต่คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ตรงนี้ เป็นคำนาม แปลว่าสภาพ คุณภาพของชีวิต ไม่ใช่ นิรันดร์ แปลว่าอยู่ตลอด อดีตยังไม่รับเชื่อ เราอยู่ในที่มืด เราก็อยู่ในความมืดนิรันดร์ คำว่า “ชีวิตนิรันดร์” ตะกี้นี้ ในบทบาทของความสว่าง คือเมื่อท่านมาเชื่อพระเยซู ท่านมีชีวิตนิรันดร์ แปลว่าอีเทอร์เนลไลฟ์ คือชีวิตที่เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่มียาวนิรันดร์ มีคุณสมบัตินิรันดร์ คำนี้ใช้เฉพาะกับคุณภาพของวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น แต่ดั้งเดิม วิญญาณของพระเจ้า มีชื่อวิญญาณว่าวิญญาณนิรันดร์ พระเจ้าอยู่นิรันดร์อยู่แล้ว แต่วิญญาณพระองค์เป็นวิญญาณชนิด นิรันดร์ ไม่ใช่อยู่นิรันดร์ แต่เป็นคุณภาพนิรันดร์ จำเอาแล้วกัน มันไม่มีทางเข้าใจหรอก พูดง่ายๆ คำว่า “นิรันดร์” มันมี 2 ความหมาย ตามภาษาไทย ตามตรรกะมนุษย์ คือ …
– นิรันดร์ตัวแรก เขาเรียกว่านิรันดร์แบบบอกถึงระยะทาง ก็คืออยู่หลายๆ ปี ไม่สิ้นสุด เรียกว่าตลอดกาล
– นิรันดร์ที่สอง เป็นลักษณะ คุณภาพของวิญญาณ คุณภาพและวิญญาณของพระเจ้า เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ คุณภาพและวิญญาณของมารซาตาน เรียกว่าวิญญาณตาย วิญญาณบาป วิญญาณกบฏ ท่านจะได้เห็นภาพ คุณภาพวิญญาณ แต่วิญญาณจะอยู่นิรันดร์ ก็พยายามเข้าใจแล้วกัน เข้าใจแบบพระเจ้า ถ้าเข้าใจแบบมนุษย์ มันลำบาก อย่างที่บอก ไม่สามารถอธิบาย ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีคำอะไรอีก
– ความชอบธรรม / ผู้ชอบธรรม / พระคุณ / ความรัก
“ความชอบธรรม” คือเราไปศาล เราถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าคนตาย แล้วศาลตัดสินคดีว่าเธอไม่ได้เป็นคนฆ่าหรอก เธอเป็นอิสระ นั่นแหละ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว คำว่าชอบธรรม คือถูกต้อง ไม่ใช่ทำดีนะ ความชอบธรรม หมายถึงว่าถูกตัดสินว่าเป็นคนไม่ผิด เพราะฉะนั้น ความชอบธรรม คือความถูกต้องนั่นเอง จะใช้กับคนที่มาอยู่ในแสงสว่าง ชอบธรรม เพราะฉะนั้น อยู่ตรงข้าม คือความไม่ชอบธรรม
และจากนั้น มี “ผู้ชอบธรรม” คือผู้ที่มีความชอบธรรม กลายเป็นคนนั้น เป็นผู้ชอบธรรม คือเป็นอิสระจากการถูกตัดสินลงโทษ
และต่อไป ก็มีคำว่า “พระคุณ” “ความรัก” พอบอกความรักของพระเจ้า อย่าไปนึกถึงความรักแบบรักกัน ไม่ใช่ เป็นคุณภาพของวิญญาณ เรียกว่าความรัก พระเจ้าไม่มีทางโกรธใครเลย พระองค์ “เป็นความรัก” ไม่ใช่ “มีความรัก” เมื่อผมมาเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณผมเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ข้างในผม เป็นความรัก ผมไม่ได้มีความรัก และผมไม่ได้ดำเนินในความรักตลอดไป ผมเป็นความรัก แต่ข้างนอกจะดำเนินชีวิตเป็นความเกลียดบ้าง เป็นอะไรบ้าง แล้วแต่เนื้อหนังเก่าๆ ที่มันทำอยู่ ก็คนละเรื่องกัน แต่วิญญาณผมไม่มีเกลียดใครอยู่แล้ว ผมไม่เคยโกรธใครเลยแม้แต่นิดเดียว มันสะอาดหมดจด มันเป็นความรัก ไม่ใช่เป็นความเกลียด มันทำไม่ได้เลย เพราะมันขาวสะอาด นี่แหละ คือคำว่าความรัก
ถ้าพระเจ้าเป็นความรัก เรามาเป็นเหมือนพระเจ้า เราก็เป็นความรักเหมือนกัน เมื่อเราเป็นความรัก เปโตรมาถามว่าถ้ามนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ดี ทำบาปต่อเรา เราจะต้องอภัยให้กี่ครั้ง? พระเยซูบอกอภัยให้ตลอดเลย คือไม่ต้องอภัยกัน เมื่อท่านมาเชื่อในพระเจ้า ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านจะไม่โกรธใครอีกแล้ว เพราะข้างในท่านบริสุทธิ์ ท่านไม่ต้องอภัยหรอก เพราะมันอภัยอยู่แล้ว ท่านไม่เคยโกรธ ท่านจะไปอภัยทำไมล่ะ สมมติคนบอกให้ท่านให้อภัยคนนี้สิ แต่คุณไม่เคยโกรธเขาเลย คุณจะไปอภัย ก็คงขำ หัวเราะ อภัยให้เขา ผมไม่เคยโกรธเขาเลยนะ ผมอภัยให้ได้อย่างไร? ผมอภัยให้ไม่ได้หรอก ทำไมเป็นคนอภัยให้ใครไม่ได้ ก็ผมไม่เคยโกรธเขาเลย จะไปอภัยให้ได้อย่างไร? เหมือนกัน วิญญาณ ความรักตรงนี้
เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ เมื่ออธิบายทางโลกวิญญาณแล้ว มันจะเห็นภาพชัดเจนอีกอันหนึ่ง ซึ่งสามารถเข้ากับข้อพระคัมภีร์ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ทั้งเล่มได้
– บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า / ลูกของพระเจ้า / คืนดีกับพระเจ้า / ติดต่อกับพระเจ้าได้
“บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า” พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราสะอาด บริสุทธิ์จริงๆ ข้างใน พูดถึงวิญญาณของเรา เพราะเราอยู่กับพระเจ้า เราไม่สามารถสกปรกได้เลย เพราะสกปรกอยู่กับพระเจ้าไม่ได้
“ลูกของพระเจ้า” พอเรามาอยู่ในความสว่าง เราเป็นลูกๆ ของพระเจ้า เขาเรียกเราว่าลูกๆ ของพระเจ้า พระเจ้าเรียกเราว่าลูกๆ ของพระเจ้า ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่คนรับใช้ เป็นลูกเลย ลูกจริงๆ พระเจ้าบอกท่านเป็นคนบาป ยังรู้จักรักลูกของตนเอง แล้วพระเจ้าเป็นความรัก รับท่านเป็นลูก จะรักท่านมากขนาดไหน? ท่านลองคิดดูแล้วกัน ท่านจะเห็นภาพเหล่านี้
“คืนดีกับพระเจ้า” ท่านเคยได้ยินใช่ไหม? โดยพระเยซูคริสต์ เราได้รับการคืนดีกับพระเจ้า แปลว่าท่านไปโกรธกับพระเจ้าเมื่อไร? คืนดี ก็คือแต่ก่อนนี้เข้ากันไม่ได้ แต่ก่อนนี้คนละเคมี แต่พระเยซูชำระเราให้สะอาดแล้ว เคมีเดียวกัน เข้ากับพระเจ้าได้ คืนดีกับพระเจ้า แปลว่าอย่างนี้
“ติดต่อกับพระเจ้าได้” “เป็นหนึ่งกับพระเจ้า” อยู่บ้านหลังเดียวกันแล้ว
ซึ่งวันนี้ เอาแค่นี้ก่อน แล้วค่อยๆ เรียนรู้กันต่อๆ ไป ในอาณาจักรของความมืด ความสว่างเป็นอย่างไร? ท่านจะเห็นภาพชัดเจนว่าถ้าเราไม่เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เราเสียโอกาสไปเยอะขนาดไหน? และถ้าเราเรียนรู้ความจริงเหล่านี้ เราจะเห็นภาพว่าเราสามารถที่จะเชื่อพระเจ้าได้ง่ายขึ้น เยอะเลย พระเยซูจึงบอกว่าท่านจะรู้ความจริง และความจริง จะทำให้ท่านเป็นไท
ในหนังสือที่บอกอย่างชัดเจน ก็คือในหนังสือยอห์น 3:16 เป็นข้อพระคัมภีร์ที่เขาประกาศข่าวประเสริฐกันมากเลย แต่ถ้าเขาประกาศอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น สำหรับคนที่รับเชื่อ รับสิทธิของเขา
ยอห์น 3:16-18 “16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก (คือมนุษย์ยิ่งนัก) จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ (พระเยซู) เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
ไม่พินาศ คือไม่ตายลงไปในวิญญาณ ไม่ต้องอยู่ในนรกนิรันดร์ แต่มามีชีวิตเหมือนพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรสว่างนิรันดร์
พระเจ้าไม่ได้ส่งพระเยซูมา เพื่อลงโทษมนุษย์บนโลกใบนี้ แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น ก็คือช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอด โดยพระบุตร คำว่า “โลกนี้” มันรวมทั้งมนุษย์ทุกคน และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างบนโลกใบนี้
ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ผู้ใดที่เชื่อในพระเยซู ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะอยู่ในอาณาจักรของความมืดอยู่แล้ว ไม่ได้เลือกใช้สิทธิ มันก็อยู่ในความมืด พระเยซูไม่ได้มาทำอะไร?
ชัดไหม? พระเยซูจึงบอกว่าเราไม่ได้มา เพื่อพิพากษาโลก พิพากษามนุษย์ ไม่ใช่ เพราะมนุษย์อยู่ในความมืดอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่รับสิทธิ ที่เราทำให้ เขาก็อยู่ในความมืด และสำหรับคนที่รับสิทธิแล้ว ทันทีทันใด เขาก็ได้รับความรอด เขาถึงเรียกข่าวดี ข่าวประเสริฐมาถึงมนุษย์ทุกคน มันง่าย ไม่ต้องทำอะไร? มนุษย์ทุกคนอยู่ในอาณาจักรของความมืด ต้องรับโทษนิรันดร์เลย แล้วพระเยซูก็มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อสถาปนาอาณาจักรแห่งแสงสว่าง แล้วก็มาเคาะประตูเราตลอดเวลาว่าให้เราย้ายเถิดๆ ย้ายตอนไหน? ย้ายก่อนตาย ก่อนทิ้งร่าง เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์เท่านั้น
ถ้าผมเป็นมนุษย์อยู่ตรงนี้ ผมจึงให้พระเยซูเป็นตัวแทนได้ แต่ถ้าวันหนึ่งที่ผม ร่างกายผมเน่าไปแล้ว วิญญาณออกจากร่าง ผมไม่ได้เป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว ตอนนั้น ผมเป็นวิญญาณเฉยๆ ผมใช้สิทธิ์ไม่ได้แล้ว เพราะพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์ มนุษย์เท่านั้นที่จะใช้สิทธิที่พระเยซูทำ เป็นตัวแทนให้ได้
พระคัมภีร์จึงให้เราตัดสินใจก่อนที่วิญญาณเราจะออกจากร่าง เพราะถ้าวิญญาณเราออกจากร่างแล้ว มันสายไปแล้ว วิญญาณเราออกจากร่างแล้ว เราอยู่ไหน? ก็อยู่ตรงนั้น ถ้าวิญญาณเราออกจากร่าง เราอยู่ในอาณาจักรของความมืด เราก็อยู่ตรงนี้ ไม่มีทางเลือกแล้วตลอดไป ไม่มีใครช่วยให้เรารอดแล้ว ไม่มีพระเยซูอีกต่อไปแล้ว มีเราก็ทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่สามารถใช้สิทธิในการเป็นมนุษย์ได้ เราเป็นวิญญาณที่อยู่ในความมืด เป็นวิญญาณที่อยู่กับมาร เป็นวิญญาณที่พินาศไปแล้ว
ท่านคิดดูว่ามันง่ายขนาดไหน? ท่านประกาศข่าวประเสริฐแค่นี้ ให้เขารับสิทธิเขา มันไม่ได้เกี่ยว ไม่ต้องทำอันโน้น อันนี้ ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำอย่างเดียว คือรับสิทธิสิ รับสิทธิ์ทำอย่างไร?
“ฉันเชื่อ พระเยซูไถ่บาปให้กับฉันใช่ไหม? ฉันเอาแล้ว ฉันเอาด้วยคน ใครไม่เอา ฉันไม่รู้ ฉันตัดสินใจเอาเท่านี้ เข้าใจไม่เข้าใจ ฉันเชื่อ เชื่อคนมาพูด ก็ได้”
ทันทีทันใดนั้น ท่านก็ย้ายมาอยู่ฝั่งสว่างเกิดอะไรขึ้น? วิญญาณท่านก็ขาวสะอาด ท่านอยู่ในสวรรค์แล้วทันทีเลย ไม่ต้องรอให้ตายแล้วไปสวรรค์ ท่านเชื่อปุ๊บ ท่านอยู่ในสวรรค์ทันทีทันใดเลย แล้วจะอยู่ที่นี่ตลอดกาล ไม่มีใครเอาวิญญาณท่านออกไปได้แล้ว เพราะพระเจ้าคลุมตรงนี้อยู่ตลอด ไม่มีใครจะโผล่เข้ามาในแสงสว่าง แบบดวงอาทิตย์เป็นล้านๆ ดวงในวิญญาณของท่านอีก ไม่มีทางแล้ว ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน วันหนึ่งท่านจะตายจากโลกนี้ ท่านจะดีใจมากเลย เพราะแค่ไปสู่อีกมิติหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านก็พะงาบๆ หมดภารกิจสักที พอวิญญาณท่านออกจากร่างไป ท่านก็ไปอยู่สวรรค์ คราวนี้ท่านก็สบาย มองเห็นทุกอย่าง ไม่ต้องมาวุ่นวาย ไม่ต้องนั่งแท็กซี่ ใช้เหาะไป อันนี้พูดไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่รู้เทคโนโลยีเป็นอย่างไร? แต่ท่านก็เหมือนพระเยซู ท่านไม่ต้องทุกข์ลำบากอีกแล้ว นั่งนานก็ไม่ได้ ไข่วห้างนานก็ไม่ได้ อะไรก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด ท่านไม่ต้องวุ่นวาย วิญญาณท่านอยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ไม่ได้ไปไหนเลย
เพราะฉะนั้น เวลาที่บอกว่าพระบิดารอคอยเราอยู่ในสวรรค์ แปลว่าพระบิดารอคอยให้เราจากความมืด ย้ายมาสู่ความสว่าง จากนั้นพระบิดาไม่รอคอยแล้ว พระบิดารอคอยเราในสวรรค์ ก็คืออย่างนี้ พอเราขึ้นมาอย่างนี้ปุ๊บ อยู่กับพระบิดาแล้วตอนนี้ อยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
******************************