คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2017
เรื่อง “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”
ตอน 2 “อาณาจักรแห่งความสว่าง”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับ การบรรยายในวันนี้ เป็นตอนต่อจากครั้งที่แล้ว ซีรี่ย์ชุด “ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท” ความจริง คือถ้อยคำพระเจ้านั่นเอง ความจริงนี้ จะทำให้เราเป็นไท จากความกลัว ความวิตกกังวล ในทุกๆ เรื่อง ก็คือในอนาคตนั่นเอง ยกตัวอย่างง่ายๆ กลัวว่าอนาคตตายแล้วจะไปไหน? ไปอยู่อย่างไรตอนหลังความตาย นี่คือความกลัวที่อยู่ลึกๆ ในใจมนุษย์ทุกคน จะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ตาม
หรือกังวลว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? จะกินอยู่อย่างไร? ถ้าเกิดเศรษฐกิจไม่ดี ภัยพิบัติ ธรรมชาติอย่างรุนแรง แล้วเราจะอยู่อย่างไร? นี่คือความวิตกกังวลเล็กๆ น้อยๆ หรือมาก แล้วแต่บุคคล ที่แอบอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนเหมือนกัน คือเรากลัวอนาคตนั่นเอง ไม่รู้อะไรเป็นอะไร? แต่ถ้าเรารู้ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราอย่างนี้ เราจะคลายความวิตกและคลายความกลัวไปมากเลย
สัปดาห์ที่แล้ว เราเริ่มต้นกันด้วยความจริง เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าได้บอกความจริงกับเรา ในไบเบิ้ล ในพระคัมภีร์นี้ ให้เราทราบถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณที่ตามนุษย์เรามองไม่เห็น มันมีอยู่จริงๆ
เชื่อจริงหรือ? ตอนนี้เกิดเรื่องอะไรบางอย่าง ขัดผลประโยชน์กัน หรือขัดแย้งกัน ทำไมทะเลาะกันใหญ่เลย ไม่ได้นึกถึงโลกฝ่ายวิญญาณเลยนะตอนนั้น นึกแต่เรื่องเดี๋ยวนี้ ฉันเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร? มันก็แปลก
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาเรียนรู้เรื่องนี้ ทำไมพระเจ้าต้องบอกเราเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้ เป็นต้นเหตุของทุกอย่าง เคยได้ยินเรื่องนี้ไหม? คุณยายหาเข็ม ผมนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังหลายครั้ง คือถ้าเราไม่รู้ความจริง เราไปแก้ที่ไม่ใช่ต้นเหตุของมัน แก้อย่างไร ก็ไม่ถูก ไม่มีอะไรสำเร็จเลยในชีวิต
คุณยายหาเข็มตกในห้องนอน คุณยายก็หาอยู่นั่นแหละ หาไม่เจอ
ลูกมาถึงก็บอกว่า “คุณยายหาอะไร?”
คุณยายก็บอก “หาเข็ม ที่ตกอยู่ในห้อง”
“และหาเจอไหม?”
“ไม่เจอ”
คุณยายบอก “ฉันมองไม่เห็น ช่วยจูงไปหน้าบ้านหน่อย หน้าบ้านสว่าง จะได้หาเจอ ไปช่วยกันหาหน่อย”
ลูกก็บอกว่า “ถ้าจูงไปหน้าบ้าน จะหาเจอได้อย่างไร? ก็มันตกในนี้”
“อ้าว! ข้างในมันมืด มองไม่เห็น ไปข้างนอกสว่างๆ มันจะได้เห็นไง”
ตามเหตุผลมันก็ถูก ต้องไปหาที่สว่างๆ แต่ที่สว่างๆ เข็มมันไม่ได้ตกตรงโน้น มันตกในห้องนอน เพราะฉะนั้น ต้องเปิดไฟในห้องนอน แล้วค่อยหา
ถ้าเราไม่รู้ต้นเหตุ ยังไงก็ไม่เจอต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้น ในพระคัมภีร์บอกเราว่ามนุษย์ทุกๆ คน เป็นวิญญาณ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนก็อาศัยอยู่ในโลกวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเราเชื่อแล้วว่ามี วิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้า เพราะฉะนั้นตัวตนจริงๆ ของเรา ก็คือวิญญาณ อาศัยในโลกวิญญาณจริงๆ ตัวตนทางร่างกาย ก็อยู่ในโลกฝ่ายวัตถุ ที่ตาเรามองเห็น วิญญาณก็อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณของเขา ตามธรรมชาติของเขา ที่พระเจ้าสร้างเขามา คือความจริง ถ้าเราไม่รู้ความจริง เริ่มต้นอย่างนี้เสร็จแน่
สมัยก่อนเราคิดว่าเรามีวิญญาณ ไม่ใช่มี ถ้ามีมันหายไปได้ ถ้ามีมันหมดไปได้ ถ้ามี มีคนขโมยไปได้ แต่ถ้าเป็นขโมยไปไม่ได้ ที่ผมยกตัวอย่างบ่อยๆ เหมือนเราเป็นผู้ชาย มีใครมาขโมยเอาผู้ชายของผมไปไหม? ไม่มี คุณเป็นผู้หญิง มีใครขโมยความเป็นผู้หญิงไปได้ไหม? ไม่ได้ เพราะมันเป็นไง และพระคัมภีร์บอกว่าโลกฝ่ายวิญญาณมีอยู่ 2 แห่ง หรือเรียกว่า 2 อาณาจักร คืออาณาจักรแห่งความมืด และอาณาจักรแห่งความสว่าง
เพราะฉะนั้น วิญญาณมนุษย์ทุกคนต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง อาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ในโลกวิญญาณนี้อย่างแน่นอน หนีไม่พ้น ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ว่าจะได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ตาม พระเจ้าสอนเราว่ามันเป็นอย่างไรบ้างในโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น เราก็จะแก้ปัญหาและดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง บนโลกใบนี้ และเป็นโลกทั้งฝ่ายวัตถุที่เราเห็นด้วยตา และโลกวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งทำงานร่วมกัน
เดิมเราอยู่ในอาณาจักรของความมืด แล้วก็ได้ย้ายเรา มาอยู่ในอาณาจักรของความสว่าง ผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ในโคโลสี 1:12-13 ครั้งที่แล้วเราได้เรียนกัน
โคโลสี 1:12-13 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรแห่งความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์”
ถ้าอ่านตรงนี้ แปลว่าอาณาจักรแห่งความมืดมาก่อน แล้วค่อยมีสว่างทีหลัง ถูกหรือเปล่า? แต่ถ้าย้อนกลับไป ตั้งแต่ปฐมกาล ตอนพระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ ตอนที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่าโลกถูกปกคลุมไปด้วยการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณ ก็คือพระเจ้า … พระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้าง และพระเจ้า คือพระสิริของพระองค์ พระสิริ ก็คือความสว่าง ก็คือพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าปกคลุมอยู่ ก็แสดงว่าในปฐมกาล ก่อนที่จะถูกสร้างโลกใบนี้ โลกใบนี้เต็มไปด้วยความสว่าง
มีแต่อาณาจักรของความสว่าง เพราะพระเจ้าปกคลุมอยู่หมดเลย แล้วความมืดเข้ามาตอนไหน? โรม 3:23 เป็นอันเล็กๆ อันหนึ่งที่ได้เห็นว่าความมืดมันเข้ามาได้อย่างไร? จำได้ใช่ไหม? ความสว่าง คือพระองค์ คือตัวตนของพระเจ้า ซึ่งพระองค์เต็มไปด้วยพระสิริ … พระสิริ คือฤทธิ์อำนาจ คือสง่าราศี ความสง่างาม ความยิ่งใหญ่ ความสว่างไสว
โรม 3:23 “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”
“เสื่อมจากพระเกียรติสิริ” แปลว่าเสื่อม ก็คือหายไป พระสิริของพระเจ้า คือความสว่าง ได้หายไป
“เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า” ถ้าแปลตามตะกี้ที่เราเรียนกัน ก็คือ “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจาก … หลุดออกไป … ขาดออกไปจากความสว่างของพระเจ้า”
เสื่อมจากพระสิริ ก็คือพระสิริหายไป ตัวตนของพระเจ้าก็หายไป เมื่อตัวตนของพระเจ้าหายไป พระเจ้าเป็นความสว่าง ความสว่างก็เลยหายไปด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อพระสิริหาย ความสว่างก็หาย ความมืดก็เข้ามาแทนที่
ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม นี่คือความจริงในพระคัมภีร์บอก อาดัมคือต้นพันธุ์ของมนุษย์ทั้งปวง และมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ มีชีวิตอยู่ในตัวอาดัม คล้ายๆ กับว่าตอนก่อนผมเกิด ชีวิตผมก็อยู่ในพ่อผม ก่อนพ่อจะเกิด ชีวิตของพ่อก็อยู่ในปู่ผม ก่อนปู่จะเกิด ชีวิตของปู่ก็อยู่ในทวดของผม ก่อนทวดจะเกิด ชีวิตของทวดก็อยู่ในทวดทวดของผม ไปเรื่อยๆ ท่านพอจะเห็นภาพไหม
แต่พออาดัม เอาเชื้อหนึ่งเข้ามา ซึ่งผมอยากจะเรียกในยุคปัจจุบันนี้ว่าไวรัส เพราะว่ามันจะชัดมาก พอบอกไวรัส ตามองไม่เห็น แต่รู้ว่ามันมีตัวตนอยู่จริงๆ มีฤทธิ์อยู่จริงๆ มันทำอะไรบางอย่างได้ ทำให้เราตายก็ได้ ทำให้เราปวดท้องก็ได้ ผมเลยอยากใช้คำว่าไวรัส อาดัมไปเอาไวรัสตัวหนึ่งเข้ามา ที่มีชื่อว่าไวรัสบาป หรือเชื้อบาป ท่านนึกถึง HIV ก็ได้ เพราะอาดัมคนเดียวเอาบาปเข้ามา โลกทั้งหมด ก็กลายเป็นความมืด เพราะบาปมันเข้ามา
บาปทำให้เกิดสิ่งหนึ่ง คือต่อต้านพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ชอบพระเจ้า เกลียดพระเจ้า ไม่อยากได้พระเจ้า เคยอยู่กับพระเจ้าดีๆ ไล่พระเจ้าออกไป ประมาณนั้น พระเจ้าอยู่ไม่ได้ พระเจ้าเป็นพ่อเรา บางคนบอกพระเจ้าทิ้งลูก ไม่ใช่ ลูกนั่นแหละทิ้งพ่อ ฟังให้ดีๆ พระเจ้าถูกไล่ออกไปนั่นเอง จากนั้น ความสว่าง ก็คือพระองค์ คือพระเจ้าถูกกำจัดออกไป ถูกขจัดออกไป โดยศัตรูที่มีชื่อว่ามาร ส่งเชื้อไวรัสบาปเข้ามาสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์ ทำให้มนุษย์ตกอยู่ในความมืด
ความมืด คือศัตรูของความสว่าง ไม่ชอบพระเจ้า อยู่ตรงข้ามกัน เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ นี่แหละ คือความมืด ตั้งแต่นั่นเป็นต้นมา โลกวิญญาณ ก็เหลืออาณาจักรเดียวเหมือนกัน แต่เป็นอาณาจักรมืด หมายถึงโลกวิญญาณที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคน ก็ตกลงไปอยู่ในอาณาจักรความมืดนี้ ติดเชื้อกันมาทุกคน
อยากจะอธิบายตรงนี้ให้ชัดเจนอีกนิดหนึ่งว่าโลกที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ เรากำลังย้อนกลับไปตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใหม่ๆ ตามที่มีบันทึกไว้ในหนังสือปฐมกาล หยุดอยู่แค่นี้ เราไม่ได้ย้อนไปก่อนปฐมกาลอีก พระเจ้าทรงอยู่ก่อนปฐมกาล ตั้งแต่มีมหาจักรวาล จักรวาล หรือแม้แต่โลก ซึ่งพระเจ้าสร้าง
เพราะก่อนที่พระเจ้าจะสร้างโลกที่มีอาดัม เอวาเป็นมนุษย์คู่แรก พระองค์อาจจะเคยสร้างโลกอื่นๆ มาก่อนแล้วก็ได้ ในปฐมกาล บทที่ 1 พูดไว้
ปฐมกาล 1:1 “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และโลก ขณะนั้น โลกยังไม่มีรูปทรง และว่างเปล่า”
ตรงนี้ ภาษาเดิมแปลว่า “ขณะนั้น โลกเสียหายอยู่” ก็แสดงว่ามันมีโลกก่อนหน้าที่ถูกสร้างนี้ ถูกหรือไม่ถูก? ต้องการพูดแค่ให้รู้ว่าพระเจ้าเรายิ่งใหญ่ขนาดไหน?
เรากลับมาที่โลกใบนี้ต่อ โลกใบนี้ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นในสมัยปฐมกาล สรุปก็คือเริ่มแรก เดิมที โลกถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ที่มีแต่ความสว่าง ความดีงาม ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าปกคลุมอยู่ ต่อมา อาดัมทำบาป
คำว่า “ทำบาป” คืออาดัมนำเชื้อไวรัสตัวหนึ่ง ที่มีชื่อว่าไวรัสบาปเข้ามา ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ จากนั้นเป็นต้นมา ต้องถูกอาการของความบาป ทำให้มนุษย์เกิดความเกลียดพระเจ้า ไม่อยากได้พระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าต้องหายไป หนีไป ออกไป ก็กลายเป็นความมืดเข้ามาแทนที่ ความมืดเป็นศัตรูของพระเจ้า ที่เรียกว่ามนุษย์กบฏต่อพระเจ้า กบฏ คือต่อต้านพระเจ้า
ตอนที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้ถูกกำหนดให้มาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตามคำบอกก่อนล่วงหน้าของพระเจ้า ตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปให้กับเรา รักษาเราในพระคัมภีร์บอกว่าโดยรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์ พระองค์ทรงรักษาเราหายแล้ว หายจากไวรัสบาป เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ทรงตายที่นั่น และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นการประกาศชัยชนะว่ามี 2 อาณาจักรแล้ว ต่อไปนี้มนุษย์มีทางเลือกแล้ว คืออาณาจักรแห่งความสว่างได้เข้ามาแล้ว
อาณาจักรแห่งความมืด ก็ยังคงเป็นมารกับสมุนของมารดูแลควบคุมอยู่ เหมือนเดิม และอาณาจักรแห่งแสงสว่าง มีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคนี้เป็นหนึ่งเดียวกัน ควบคุมอยู่เหนืออาณาจักรแห่งความสว่างนี้ และรวมทั้งผู้รับใช้ของพระองค์อีกมากมาย ที่พระองค์ทรงสร้าง เพื่อรับใช้มนุษย์ ที่มีชื่อว่าทูตสวรรค์ ควบคุมดูแลอยู่เหนืออาณาจักรนี้ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง
ตอนอาดัมทำบาป อาดัมอยู่ในความมืด พระสิริพระเจ้าหายไป ก่อนหน้านี้ อยู่ในความสว่าง เห็นพระเจ้า คุยกับพระเจ้าได้ ไม่กลัวพระเจ้า แต่พอมันมืดปุ๊บ DNA ติดเชื้อปุ๊บ เชื้อนี้เกิดผลทันที
ในพระคัมภีร์เขียนว่าอาดัมกับเอวากลัว เกิดมาไม่เคยกลัวเลย เป็นครั้งแรกในชีวิตของมนุษย์ และเริ่มต้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยความกลัวอย่างนี้แหละ เราทั้งหลายยังมีเชื้อของอาดัมอยู่ เราจึงกลัว เราจึงกังวลไง ก่อนหน้านี้ อาดัมและเอวาไม่เคยกังวลอะไรเลย เพราะพระเจ้าอยู่ ก็คุยกับเขา สัตว์นี้ชื่ออะไร? นั่นชื่ออะไร? พระเจ้าก็บอกเธอตั้งชื่อสิ อาจจะถามพระเจ้าตลอดเวลา ดวงดาว ดาวลูกไก่ เราสร้างเอง เราสร้างให้กับลูก สำหรับเล่นตอนนอน สมมติให้ฟัง ให้ท่านเห็นภาพว่าง่ายๆ ไม่มีอะไรยาก ในการเรียนรู้เรื่องพระเจ้า มันคือชีวิต เหมือนครอบครัวหนึ่ง แต่บังเอิญเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ซึ่งเราถูกปิดบังตา จนกระทั่งเกินเลยไปมาก จนกระทั่งคิดไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร? จริงๆ ก็คือเทียบกับชีวิตของเราทุกวันนี้ ในครอบครัวเป๊ะ
เสร็จแล้วอยู่ในความมืดนี้ พระเจ้าเหมือนเจ็บใจมากๆ แต่ไม่เคยเกลียดมนุษย์เลย ท่านเห็นภาพว่าจะไปเกลียดมนุษย์ได้อย่างไร? เขาติดเชื้อ เขาไม่สบาย เหมือนลูกเราเกิดไปติดเอดส์มา เราจะไปโมโหเขา ไปโกรธเขาเหรอ เขาไม่สบายอยู่ พระเจ้าเจ็บแค้น แค้นมารมากกว่าแค้นลูกตัวเอง มารมันหลอก แต่พระเจ้าก็วางแผนไว้ เพื่อช่วยมนุษย์หลุดออกมาให้ได้ หนึ่งในจำนวนนั้น ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ปฐมกาล บอกว่า …
“หน่อเชื้อของหญิงจะเหยียบหัวเจ้า”
ก็คือพระเยซู หน่อเชื้อของหญิงจะเกิดจากหญิงพรหมจารีย์ ที่ชื่อแมรี่ เหยียบหัวมาร มีอำนาจทำลายสิ่งต่างๆ สิ่งที่ถูกโกงไป เอากลับคืนให้หมด
เลยมาถึง 2,000 ปี แผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้พระเยซูมาเกิด เพื่อรักษามนุษย์ให้หายจากโรคบาปนี้ ก็สำเร็จ เราจึงรู้ว่าดี บนไม้กางเขน พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ได้ถูกทำให้เป็นบาป โดยพระเจ้า คือเอาบาปของเราทั้งหมด ใส่ไว้ในพระเยซู พระเยซูซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เพราะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เหมือนอาดัมเป็นตัวแทนของเรา พระเยซูก็เป็นตัวแทนของมนุษย์ ดังนั้น พระเยซูจึงจำเป็นต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะจะได้เป็นตัวแทนมนุษย์ไง ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง และเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นมนุษย์คนแรก ที่เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ในโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น พอเป็นขึ้นมาในวันที่ 3 สถาปนา จ่ายครบหมดแล้ว ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 2,000 ปีที่แล้ว ความสัมพันธ์กลับมา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในโลกที่มองไม่เห็น เรียกว่าโลกฝ่ายวิญญาณที่ครอบอยู่เหนือโลกใบนี้นั้น มีทางเลือกแล้ว มี 2 อาณาจักร เรียกว่าอาณาจักรของความสว่าง เข้ามาสู่ความมืด ความมืดต้องเผ่นไป ไปไกลๆ เลย ไปไหน? ไปไหนก็ได้ อยู่แถวๆ นี้ อย่ามายุ่ง เอเมน มนุษย์มาอยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระเยซูคริสต์ มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มีเงื่อนไขอยู่แค่นี้เอง คือ …
(1) ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น เป็นวิญญาณไม่ได้ เพราะพระเยซูมาเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ในพระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น
(2) ต้องเป็นมนุษย์ที่เชื่อในการกระทำของพระเยซู ถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่ได้เข้า ถ้าเชื่อก็ได้ครับ คือต้องเป็นมนุษย์ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดี ก็คือพระเยซู พระบุตรพระเจ้า พระองค์ทรงประทานให้มาช่วยมนุษย์ โดยการรับบาป ไถ่บาปให้กับมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เอาความรอดจากบาป รักษามนุษย์ให้หายจากเชื้อไวรัสบาป เอามาให้กับมนุษย์ทุกคนที่เชื่อ ใครไม่เชื่อ ก็ไม่ได้
นี่คือข่าวดีที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคน ซึ่งผู้ใดได้ยินแล้ว เชื่อและยอมรับ ความจริงนี้ แล้วรับสิทธิของตัวเอง ให้พระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัว ซึ่งพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของทุกคนอยู่แล้ว เรายอมรับ รับสิทธิของเรานั่นเอง ผู้นั้น ก็จะได้รับการย้ายจากอาณาจักรของความมืด เข้าไปสู่อาณาจักรของความสว่างทันที เพราะอาณาจักรแห่งความสว่างอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ใช่รอให้มา ส่วนผู้ใดที่ได้ยินข่าวประเสริฐนี้แล้ว และไม่เชื่อ ก็ยังอยู่ที่อาณาจักรของความมืดเหมือนเดิม พระเยซูไม่ได้มาพิพากษาอะไรเลย คนนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม สองเงื่อนไขของการเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง
มีตรงไหน? บอกว่าเราต้องทำอะไร? หรือเราต้องจ่ายเท่าไร? มีไหม? เราต้องสะสมอะไรบางอย่างที่ดีๆ เพื่อแลกกับการเข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างนี้ มีไหม? ไม่มี
พระคัมภีร์จึงเรียกว่า By grace แปลว่าโดยพระคุณ แปลว่าให้ฟรีๆ ให้เปล่าๆ แม้ว่าจะทำไม่ดีมา ก็ให้เปล่าๆ ให้ฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายอะไร? แล้วเมื่อเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างแล้ว ถามว่าเกิดอะไรขึ้น?
ขณะที่ท่านกำลังนั่งอยู่นี้ ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้ ถ้าท่านเชื่อตรงนี้ ไม่กลัวอะไรแล้ว ท่านไม่ต้องบอกว่า …
“ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”
พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่แล้ว
และยังมีกองทัพทูตสวรรค์อีกมากมาย เตรียมพร้อมจะรบ เพื่อนครคนเดียวเลย ถ้าเผื่อจำเป็นนะ ถ้าคุณพิชิตจำเป็นต้องใช้อะไรบางอย่าง ที่ต้องใช้ทูตสวรรค์สัก 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด อาจจะมีเป็นล้านๆ ตน ถ้าจำเป็นนะ เขาก็จะทำงานให้คุณพิชิต โดยมีพระเยซูเป็นแม่ทัพ แล้วคุณพิชิตพอใจไหม? หรือจะให้ศิษยาภิบาลอธิษฐานเพิ่มไหม? ท่านเห็นภาพแล้วใช่ไหม? ท่านก็จะไม่ต้องพึ่งมนุษย์ที่มีบารมี เก่ง ไม่มีใครเก่งเลยสักคน ทุกคนเท่ากันหมด ต่างก็เป็นลูกของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ลูกแห่งความสว่างเท่ากันหมดเลย เราก็จะพึ่งพระเจ้าผู้เดียว ความจริงแค่นี้ ก็ทำให้เราเป็นไทมากมายมหาศาลแล้ว สามารถถอนหายใจได้แล้ว เอเฟซัส 5:8
เอเฟซัส 5:8 “เพราะเมื่อก่อน ท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นความสว่าง ในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง”
การดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง ก็คือการดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามกองทัพพระเจ้า ที่หนุนหลังเราอยู่ตลอดเวลา อยู่กับเราตลอด ตามพระประสงค์ของพระองค์นั่นเอง แปลว่าอย่างนี้ ในชีวิตเชื่อและวางใจ ให้พระองค์นำไป พระประสงค์ในชีวิตของเรา คืออะไร? เอเฟซัส 2:10
เอเฟซัส 2:10 “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้น ในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เรากระทำ”
อ่านข้อนี้แล้ว ต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อนว่าการกระทำดีใดๆ ก็ไม่สามารถนำเราไปสู่อาณาจักรของความสว่างได้ ไม่สามารถรอดจากเชื้อบาปได้ ต้องผ่านทางความเชื่อในพระเยซูที่ไถ่บาปให้เราที่ไม้กางเขนเท่านั้น แต่พระเจ้าได้ทรงนำเราสู่อาณาจักรแห่งความสว่างนี้ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผ่านให้เราฟรีๆ ประทานความรอดให้กับเรา เพื่อเราจะสามารถกระทำดีได้ จากนี้ต่อไป
ความหมาย คือเมื่อเราได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ให้ใจใหม่กับเรา คอยดูแลเรา คอยเป็นพี่เลี้ยงเรา ตามพระคัมภีร์บอกไว้ คอยช่วยเหลือเรา คอยให้กำลังเรา เพื่อให้เราสามารถ จากนี้ต่อไปดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง คือดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า พระประสงค์พระเจ้า ซึ่งเป็นการประกอบการดีตามสายตาพระเจ้า ลูกแห่งความสว่างจะสำแดงการกระทำดีออกมา เป็นผลมาจากการได้รับความรอดด้วยพระคุณ ทำดี เพราะได้รอดแล้ว เพราะเหตุแห่งความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นการเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณอย่างหนึ่ง คือที่ย้ายจากธรรมชาติของอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรของความสว่าง เราย้ายตัวเองไม่ได้ พระเจ้าย้ายเรา ที่วิญญาณของเรา ใน 2 โครินธ์ 5:17 ได้บันทึกอย่างนี้
2 โครินธ์ 5:17 “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”
นี่กำลังพูดถึงวิญญาณของมนุษย์ ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณเขาจะได้รับสิ่งหนึ่ง คือได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่แล้ว เกิดใหม่แล้ว เอี่ยมเลย เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า เต็มด้วยแสงสว่างของพระเจ้า ฉายแสงเลย ทันที มันหมายถึงตรงนี้ ในวิญญาณท่านใหม่เอี่ยมเลย เป็นลูกพระเจ้า 100% เลย
พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่กับเราในฐานะเราเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าประทานให้เป็นพี่เลี้ยงเรา จะคอยขัดเกลาความคิดเดิมๆ ของเรา คิดให้ถูกต้อง แต่วิญญาณถูกต้องอยู่แล้ว ไม่มีการผิดเพี้ยน พระวิญญาณจะทำงานจากภายใน ออกมาภายนอก เป็นการกระทำที่ถูกต้อง ดีงาม ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ตามพระประสงค์ของพระเจ้า
นี่คือผลจากที่เราเชื่อในข่าวประเสริฐ แล้วเราได้รับความรอดจากบาป แล้วมันจะเกิดมาเป็นผลว่าเราจะออกไปทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทำสิ่งที่เรียกว่าดีในสายพระเนตรพระเจ้า พระเยซูคริสต์จึงตรัสว่าท่านเป็นลูกแห่งความสว่าง เป็นลูกของพระเจ้า เป็นตะเกียงส่องแสง ที่พระเจ้าสามารถใช้งานได้ พระองค์ใช้แน่นอน มัทธิว 5:14-16 บันทึกไว้
มัทธิว 5:14-16 “14 ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” เอเมน
“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ เมื่อจุดตะเกียงแล้ว”
พระเจ้าจุดตะเกียงแล้ว เพื่อให้แสงส่องสว่างกับทุกคนที่เดินไปมา เพื่อเขาจะได้เห็นทาง จะได้เดินไม่สะดุด ไม่เดินล้ม เมื่อมาเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันของเรา เราจะได้เห็นชัดขึ้น พระเจ้าจุด ก็เพื่อว่าจะได้เอาไปใช้ เป็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้านำเราไปสู่ความสว่าง คือจุดตะเกียงให้เราแล้ว ติดแล้ว สว่างแล้ว พระองค์จะไม่ครอบเอาไว้หรอก แต่พระองค์จะเดินถือตะเกียงนั้นไป ตรงไหนที่มันมืดๆ ถ้าสว่างแล้วไม่ไป ไปที่มืดๆ เพราะที่มืดๆ ต้องการความสว่าง สว่างแล้วเอาเข้าไป มันไม่มีประโยชน์หรอก ที่ต้องการความสว่าง คือที่มืดที่สุด ถ้ามืดนิดๆ ก็ไม่ต้องการความสว่าง ที่มืดสนิทเลย ยิ่งต้องการความสว่าง ความสว่างเพียงนิดเดียว เข้าไปอยู่ในความมืดสนิทเลยนะ ยังมีฤทธิ์เลย
เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นลูกแห่งความสว่างที่ได้เริ่มเติบโตขึ้นในพระเจ้า เราก็จะเป็นตะเกียงที่ส่องสว่าง ที่พระเจ้าจะใช้เราได้ ให้ไปส่องสว่างให้กับบรรดาผู้คนที่อยู่ในความมืด แล้ววิธีการส่องสว่างทำอย่างไร?
“ท่านทั้งหลาย ก็เหมือนตะเกียง ส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์สถาน”
ฟังนะครับ นี่คือความหมายของการประกาศข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ โดยการกระทำของเรา โดยผ่านทางการนำของพระเจ้า ไม่ใช่ของเราเองเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีใครได้รางวัลในสิ่งนี้เลย พระเจ้าใช้เราเท่านั้นเอง
ขณะที่เราเห็นตอนเที่ยงวัน กลางวัน อยู่กลางถนน คนนั้นอาจจะอยู่ในความมืดนะ ในโลกวิญญาณ เข้าใจใช่ไหม? ตอนนี้ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ง่ายยิ่งขึ้น พระเจ้าจะนำเราไปส่องสว่างในที่มืดอยู่
แล้วพระเจ้าก็จะนำเขา ไปที่มืด เพื่อนำแสงสว่างให้คนที่อยู่ในความมืด ได้เห็นแสงสว่างในการกระทำของเขาเมื่อตะกี้นี้ ไม่มีเครดิตอะไรเลยนะ เพราะพระเจ้าใช้เขา เขาไม่ได้มีบารมีมากกว่าใคร? เขาไม่ได้มีผลประโยชน์มากกว่าใคร? ไม่มีรางวัลมากกว่าใคร? ไม่ว่าจะเป็นเปาโล เปโตร ก็ไม่ได้มีรางวัลมากกว่าเรา ไม่ว่าผมหรือใครก็ไม่มีรางวัลมากกว่าท่าน แล้วแต่พระเจ้าจะใช้ไป แล้วในที่สุด เขาเข้าไปเป็นแสงสว่าง คนที่อยู่ในความมืดก็ออกมาด้วย อาจจะก่อนที่จะเห็นแสงสว่าง ซึ่งพระเจ้าใช้อยู่ แล้วแต่พระเจ้า เราไม่รู้ ก่อนเห็นแสงสว่าง อาจจะเห็นความดีของเขา แล้วถึงเห็นแสงสว่างก็ได้ แล้วแต่พระเจ้าจะใช้ใครไปหาใคร? อย่างไร? …
“ท่านทั้งหลายก็เหมือนตะเกียง ส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีของท่าน หรือการดีของท่าน ที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์สถาน”
คนที่ถูกนำออกจากความมืด โดยแสงสว่าง เริ่มสรรเสริญพระเจ้าแล้ว คำว่าสรรเสริญพระเจ้า ก็คือนมัสการพระเจ้าได้ เพราะว่าเขากลับมาอยู่ในทางของพระเจ้า กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ชีวิตของคนที่อยู่ในความมืด เปลี่ยนไปแล้ว เป็นลูกแห่งความสว่าง ต่อไปนี้เขาสรรเสริญพระบิดาเจ้า ตลอดชีวิตของเขาแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า
เราจึงเห็นว่าทุกอย่างไม่ได้เกี่ยวพันกับมนุษย์ เกี่ยวพันกับพระเจ้าอย่างเดียว และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ มันสำคัญมาก ทั้งหมดที่พูดมาถึงตอนนี้ เพื่อจะย้ำยืนยันกับท่านว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าสอนเราอย่างนี้ว่ามันมีโลกฝ่ายวิญญาณอยู่จริงๆ และมีอาณาจักรเพียง 2 อาณาจักรเท่านั้น คืออาณาจักรของความสว่าง และอาณาจักรของความมืด และตัวตนแท้จริงของมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือเป็นวิญญาณ ซึ่งเราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาฝ่ายร่างกาย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างหรืออาณาจักรแห่งความมืด ท่านก็เป็นวิญญาณ
เมื่อเราเชื่อและรับสิทธิของเราในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจะย้ายวิญญาณของเราออกจากอาณาจักรหนึ่งของโลกวิญญาณ เขาเรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างของพระเจ้าทันทีเลย 2 โครินธ์ 4:16-18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
2 โครินธ์ 4:16-18 “16 เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มากมายนัก 18 ขณะที่เราไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้น อยู่เพียงชั่วคราว ไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นเป็นถาวรนิรันดร์”
ถ้าท่านรู้ความจริงตรงนี้ แล้วก็เกิดสิ่งนี้ขึ้น แล้วท่านปฏิบัติตาม 2 โครินธ์ 4:16-18 เป็นอย่างไร? นี่คือความจริง
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป กำลังตายไป ร่างกายนี้กำลังทรุดโทรม เดี๋ยวก็เจ็บป่วย เพราะมันถูกเชื้อไปแล้ว เดี๋ยวมันก็ต้องตาย ในนี้บอกว่าแต่ตัวตนภายใน คือวิญญาณของเราจริงๆ นั้น กำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน เป็นใหม่สะอาด แจ๋วเลย รอไปอยู่กับพระเจ้าในวิญญาณเราดีใจตลอดเลย เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเรา ทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ถ้าเราเห็นอย่างนี้ได้ ถ้าเราเชื่อความจริงได้ การทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้ายังใช้เราอยู่ หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นตะเกียงแล้ว มันกลายเป็นเล็กน้อยเลย พระเจ้าใช้เถิด เปาโลจึงไม่กลัวตาย ให้เขาไปตัดคอก็ได้ ถ้าพระเจ้าอนุญาตให้เขาตัดคอ ก็ตัดเลย เปโตรถึงไม่กลัวเลย ถ้าพระเจ้าจะให้เขาถูกตรึงที่ไม้กางเขน เขาไม่แคร์เลย เพราะเขารู้ว่าคืออะไร? เขารู้ในโลกวิญญาณชัดเจน เขาถึงบอกตายก็ได้กำไร? ตายก็ดีกว่า? พักผ่อนเสียที ถ้าอยู่ ก็ทำงานให้พระเจ้าไป ก็แล้วแต่พระเจ้าจะนำไปทำอะไร?
เห็นไหม? มันเหลือเชื่อนะ นี่คือความจริงทั่งสิ้น ร่างกายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป กำลังป่วย กำลังเจ็บไข้ มันควรจะดีใจนะ ถ้าเราทะลุเข้าไปในโลกวิญญาณนี้ชัดๆ มากๆ ทุกครั้งที่เราเกิดความเจ็บป่วย หรือแก่ลง มองกระจก เราจะมีความยิ้มแย้มแจ่มใส เราใกล้ที่จะได้พักผ่อนสักที ถ้าแข็งแรงมากๆ ทำงานต่อ
ในนี้บอกว่าเราสามารถมีความรู้สึกอย่างนี้ได้ ก็ต่อเมื่อขณะที่เราไม่จับจ้องในสิ่งที่มองเห็น ก็คือในขณะที่เราไม่จ้องมองอยู่แต่โลกวัตถุ เราคิดว่ามีแค่โลกวัตถุ แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น คือจดจ้องไปก็เห็นแต่โลกวิญญาณตลอด เห็นโลกวัตถุต่ำกว่าโลกฝ่ายวิญญาณ เห็นโลกวัตถุสำคัญน้อยกว่าโลกวิญญาณ มันหมายถึงอย่างนี้
เพราะสิ่งที่เรามองเห็นอยู่นั้น คือโลกใบนี้ วัตถุต่างๆ ที่เรามองเห็นนั้น มันอยู่ชั่วคราว ไม่ว่าจะลาภ ยศ สรรเสริญ เกียรติยศ ชื่อเสียง สุขภาพแข็งแรง มันอยู่ชั่วคราวทั้งนั้น มันหลอกเรา ถ้าเราไปติดอยู่กับมัน เสร็จเลย มันไม่จีรังยั่งยืนถาวร แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็น ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณนั้น มันมีอยู่จริงๆ และมันอยู่ถาวรนิรันดร์ และเราเป็นลูกของพระเจ้า และเราอยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทูตสวรรค์อีกมากมาย และจะอยู่กับพระองค์อย่างนี้ ตลอดไป เอเมน
สำหรับคนที่ไม่ได้เชื่อในข่าวประเสริฐ ไม่ได้เชื่อในข่าวดีของพระเยซู ก็อย่างที่บอกว่าวิญญาณก็ยังอยู่ในอาณาจักรของความมืด ก็ยังต้องรับโทษของความบาปอยู่ดี และอยู่ในความตายทางฝ่ายวิญญาณ อยู่ในความมืดที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีแสงสว่างนิรันดร์ สำหรับเราที่อยู่ในแสงสว่าง ถึงบอกว่าถ้าเผื่อเราเรียนรู้เรื่องนี้มากๆ ลึกซึ้งในเรื่องนี้มากๆ เราจะวางใจในพระองค์ จะหลุดจากความกลัว ความวิตกกังวล ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม มันสามารถทำได้ ไม่ยาก เพียงแต่เปลี่ยนมุมมองของเราเท่านั้น เขาถึงบอกว่าให้มองไปที่เบื้องบน ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในพระเจ้า ในสวรรค์สถาน โลกฝ่ายวิญญาณนี้ นึกแต่โลกฝ่ายวิญญาณนี้ มองแต่โลกฝ่ายวิญญาณนี้ เอเมน
ลองหลับตา นิ่งๆ คิดตามที่ท่านได้เรียนมาวันนี้ แค่นี้นิดเดียวเอง เขาเรียกว่าใคร่ครวญความจริง ต้องนิ่งๆ และคิดตามว่า …
“ในโลกฝ่ายวิญญาณ และวิญญาณฉันตอนนี้ เป็นวิญญาณที่เรียกว่าแสงสว่าง อยู่ในอาณาจักรของความสว่าง ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันอยู่ในความสว่าง ฉันเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณตัวตนแท้จริงของฉัน เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้ และยังมีกองทัพทูตสวรรค์อีกมากมายคอยทำงานให้กับฉันบนโลกใบนี้ ดูแลตลอดเวลา ไม่ว่าฉันจะไปไหน? ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมทั้งสิ้น และวิญญาณของฉันจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานอย่างนี้ ในฐานะเป็นลูกของพระองค์นิรันดร์กาล ตลอดไป เมื่อร่างกายนี้ทรุดโทรมไป ทิ้งไป มันเป็นส่วนดี คือวิญญาณฉันจะได้เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณเต็มที่ ไม่มีอะไรกีดขวางอีกต่อไป และรับร่างกายวิญญาณ ร่างกายใหม่ ที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ทุกข์ทรมาน ไม่มีอิทธิพลของเชื้อไวรัสบาป ที่จะมาทำอะไรฉันได้อีกแล้ว และฉันจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนั้นตลอดไป ซึ่งเราเรียกกันว่าอาณาจักรสวรรค์นั่นเอง เอเมน”
ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***********************