คำบรรยายวันศุกร์ที่ 18 เมษายน 2025
เรื่อง “วันศุกร์ประเสริฐ”
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาฟังพระคัมภีร์ยาวๆ เลย 2 บท ในหนังสือสดุดี บทที่ 22 และบทที่ 23
สดุดี 22:1-31 “1 พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์? เหตุใดพระองค์จึงทรงห่างไกล ไม่มาช่วยกู้ข้าพระองค์? ทรงห่างไกล ไม่ฟังคำคร่ำครวญของข้าพระองค์? 2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลตลอดวัน แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ ยามค่ำคืนข้าพระองค์ก็ไม่หยุดวิงวอน 3 ถึงกระนั้นพระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์ เป็นองค์บริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญของอิสราเอล 4 บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายวางใจในพระองค์ เขาเหล่านั้นวางใจในพระองค์ และพระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขา 5 พวกเขาร้องทูลพระองค์และได้รับการช่วยกู้ พวกเขาวางใจในพระองค์และไม่ผิดหวัง
6 แต่ข้าพระองค์เป็นตัวหนอน ไม่ใช่คน ผู้คนก็ประณาม ประชาชนก็ดูแคลน 7 คนทั้งปวงที่เห็นข้าพระองค์ก็เย้ยหยัน พวกเขาส่ายหน้าและพูดเหยียดหยามใส่ข้าพระองค์ว่า 8 “เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าช่วยเขาสิ ในเมื่อพระองค์ปีติยินดีในตัวเขา ก็ให้พระองค์ช่วยกู้เขาสิ” 9 ถึงกระนั้นพระองค์ทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากครรภ์ พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ตั้งแต่อยู่ในอ้อมอกแม่ 10 ตั้งแต่เกิด ข้าพระองค์ก็ถูกทิ้งให้พึ่งพิงพระองค์ ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังอยู่ในครรภ์มารดา พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
11 ขออย่าทรงไกลห่างจากข้าพระองค์ เพราะความทุกข์ร้อนอยู่ใกล้ และไม่มีใครช่วยได้เลย 12 เหล่ากระทิงห้อมล้อมข้าพระองค์ ฝูงโคถึกแห่งบาชานรุมล้อมข้าพระองค์ 13 พวกเขาอ้าปากกว้างเข้าใส่ข้าพระองค์ ดั่งสิงโตคำรามและกัดฉีกเหยื่อ 14 พละกำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไปดั่งสายน้ำ กระดูกทุกซี่ของข้าพระองค์หลุดจากข้อต่อ ใจของข้าพระองค์อ่อนล้าดั่งขี้ผึ้ง หลอมละลายภายในข้าพระองค์ 15 กำลังของข้าพระองค์แห้งผากไปดั่งดินเผา ลิ้นของข้าพระองค์เกาะติดเพดานปาก พระองค์ทรงปล่อยให้ข้าพระองค์นอนเกลือกธุลีแห่งความตาย
16 เหล่าสุนัขรายล้อมข้าพระองค์ กลุ่มคนชั่วรุมล้อมข้าพระองค์ พวกเขาทิ่มแทงมือและเท้าของข้าพระองค์ 17 ข้าพระองค์สามารถนับกระดูกทั้งหมดของข้าพระองค์ ผู้คนจ้องมองข้าพระองค์อย่างสะใจ 18 พวกเขาเอาเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์มาแบ่งกัน และเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาจับสลาก 19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนพระองค์ ขออย่าทรงห่างไกล ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นพละกำลังของข้าพระองค์ โปรดรีบรุดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ 20 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคมดาบ ขอทรงช่วยชีวิตอันมีค่าของข้าพระองค์ให้พ้นจากอำนาจของเหล่าสุนัข
21 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากปากสิงห์ ขอทรงช่วยให้รอดพ้นจากเขาของวัวป่า 22 ข้าพระองค์จะประกาศพระนามของพระองค์ แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ จะสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุม 23 ท่านทั้งหลายที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระองค์! ท่านทั้งปวงผู้เป็นวงศ์วานของยาโคบ จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์! จงยำเกรงพระองค์เถิด ท่านทั้งปวงผู้เป็นวงศ์วานของอิสราเอล! 24 เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงดูแคลน หรือรังเกียจเดียดฉันท์ ความทุกข์ทรมานของผู้ตกทุกข์ได้ยาก พระองค์ไม่ได้ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา แต่ทรงสดับฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขา 25 เนื่องด้วยพระองค์ ข้าพระองค์ร้องสรรเสริญในที่ชุมนุมใหญ่ ข้าพระองค์จะทำตามคำปฏิญาณของข้าพระองค์ ให้สำเร็จต่อหน้าบรรดาผู้ยำเกรงพระองค์
26 คนยากไร้จะรับประทานและอิ่มหนำ บรรดาผู้เสาะหาองค์พระผู้เป็นเจ้า จะสรรเสริญพระองค์ ขอให้จิตใจของท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ตลอดกาล! 27 ทั่วทุกมุมโลกจะระลึกได้ และหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกครอบครัวของชาติต่างๆ จะหมอบกราบต่อหน้าพระองค์ 28 เพราะอำนาจการปกครองเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงปกครองเหนือมวลประชาชาติ 29 คนมั่งคั่งทุกคนในแผ่นดินโลกจะเลี้ยงฉลอง และนมัสการพระองค์ ทุกคนที่ต้องกลับสู่ผงคลีดินจะคุกเข่าลง ต่อหน้าพระองค์ คือผู้ที่ไม่สามารถรักษาชีวิตของตนไว้ได้ 30 บรรดาลูกหลานจะปรนนิบัติพระองค์ มนุษย์จะกล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าให้คนรุ่นต่อไปฟัง 31 พวกเขาจะประกาศความชอบธรรมของพระองค์ แก่ชนรุ่นหลังที่ยังไม่เกิดมา เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนั้น”
ในหนังสือสดุดี บทที่ 22 ทั้งบท เป็นคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าให้กษัตริย์ดาวิดเขียนไว้ พูดถึงสิ่งที่พระองค์จะกระทำในอนาคตข้างหน้า ที่จะส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และมาสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเราทั้งหลาย บนไม้กางเขน คำอธิษฐานทั้งหมด เป็นการคร่ำครวญ ในพระคัมภีร์ไม่เขียนระบุชัดเจน ตอนที่พระเยซูคริสต์อยู่ที่สวนเกทเสมนี ที่ไปอธิษฐานกับพระเจ้าถึง 3 ครั้ง อธิษฐานจนกระทั่งเหงื่อออกมาเป็นเลือด ไม่ได้ระบุว่าพระองค์อธิษฐานอะไร? แต่เชื่อมั่นว่าพระเยซูคริสต์ต้องอธิษฐานตามบทนี้แน่ๆ คร่ำครวญกับพระเจ้า ถึงสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น คร่ำครวญที่พระองค์จะต้องแยกจากพระเจ้าชั่วขณะหนึ่ง ในขณะที่พระเยซูคริสต์กับพระบิดาตั้งแต่เริ่มต้นเลย ไม่เคยแยกจากกันทั้ง 3 พระภาค
แต่ว่า ณ วันนี้ วันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูคริสต์จะต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน จะต้องรับเอาความบาป ความผิดของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ มาไว้ที่พระกายของพระองค์ เป็นการคร่ำครวญที่รู้ว่าต่อแต่นี้ไป ตอนที่พระองค์อธิษฐาน ในค่ำคืนนั้น หลังจากที่อธิษฐานเสร็จ พระองค์จะถูกจับ ในวันรุ่งขึ้น จะต้องถูกตรึงที่ไม้กางเขน จนสิ้นพระชนม์ จนพระเยซูคริสต์ยอมละ สละวิญญาณของพระองค์เอง
ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าและเป็นทั้งมนุษย์ พระเจ้าไม่สามารถตายได้ ถ้าพระองค์ไม่ยอม ฉะนั้น พระเยซูยอมที่จะสละชีวิต หรือวิญญาณของพระองค์เอง ละวิญญาณ ตายเพื่อพวกเราทั้งหลาย บนไม้กางเขน แต่ช่วงเวลาที่พระองค์อธิษฐาน ณ เวลานั้น พระองค์ยังเป็นมนุษย์อยู่ พระองค์มีความกลัว กลัวมากๆ ด้วย ไม่ได้กลัวเฉยๆ แต่กลัวมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นมนุษย์ เราไม่รู้ว่าอีก 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมงข้างหน้าจะเกิดอะไรกับเรา เราก็จะกลัวไม่มากเท่าไร? แต่พระเยซูคริสต์รับรู้ว่าจากที่พระองค์อธิษฐาน หลังจากนั้น พระองค์จะต้องไปเจออะไร? จะต้องถูกโบยตี ถูกเฆี่ยนตี ถูกสวมมงกุฎหนาม ถูกเยาะเย้ย ถูกถากถาง ถูกถ่มน้ำลาย ถูกสารพัดสิ่ง จนถูกตรึงบนไม้กางเขน และสิ่งที่หนักหนาสาหัสที่สุด สำหรับพระเยซูคริสต์ คือจะต้องถูกแยกจากพระเจ้า พระบิดาเป็นการชั่วคราว นั่นเป็นความทุกข์ที่ใหญ่ที่สุดของพระเยซูคริสต์ แต่พระองค์ตัดสินใจ เมื่ออธิษฐาน 3 ครั้ง พระเจ้าเงียบ หมายความว่างานนี้ อย่างไรพระเยซูก็ต้องเดินไป เพื่อมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เพื่อพวกเราทั้งหลายจะได้สามารถเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าได้ สามารถเข้ามาบังเกิดใหม่ได้
พระเยซูคริสต์อธิษฐานจนในที่สุด สิ่งที่พระเยซูคริสต์ตัดสินใจ คือพระองค์บอกว่าขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ แม้ว่า ณ เวลานั้น พระเยซูคริสต์อาจจะคิดว่าไม่ไปได้ไหม? มันทุกข์ทรมาน รู้อยู่แก่ใจว่าเดินไปต้องเจออะไร? แต่ว่าพระองค์เก็เลือกที่จะตัดสินใจทำตามน้ำพระทัยของพระองค์
และเมื่อพระองค์เลือกที่จะตัดสินใจปุ๊บ ทันทีที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก่อนที่พระองค์จะละวิญญาณ พระองค์ตะโกนดังๆ ว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือคืนวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ทำอย่างนั้น แล้ววันนี้เราก็มาระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์เสียสละ เพื่อมนุษยชาติ พระองค์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว
ความสำเร็จของพระเยซูคริสต์ได้ทำให้พวกเราทุกคนสามารถที่จะบังเกิดใหม่ สามารถที่จะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าได้ สามารถรับชีวิตนิรันดร์ ชนิดแบบเป็นของพระเยซูคริสต์ แบบเหมือนพระเจ้าเลย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ได้
การที่พวกเราได้เข้ามา ไม่ได้โศกเศร้าเสียใจ แต่เข้ามาชื่นชมยินดี ขอบพระคุณพระองค์ ที่พระเจ้าได้ทำสิ่งนี้ เพื่อพวกเราทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น ทุกครั้ง ทุกปี ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว จนถึงยุคปัจจุบัน จนถึงอนาคตข้างหน้า ผู้เชื่อทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่คริสตจักรใดก็ตาม เมื่อถึงวันศุกร์ประเสริฐ ทุกคนจะมารวมตัวกันระลึกถึงความรักของพระเจ้า เข้ามาขอบพระคุณพระองค์ สำหรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วบนไม้กางเขน
ในบทที่ 22 ที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ผลที่พวกเราทั้งหลายได้รับ มาอยู่ที่สดุดี บทที่ 23 ที่เราชอบอ่านมากเลย พระเจ้าทรงเลี้ยงข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ เรามาดูบทที่ 23 ข้อที่ 1 บอกว่า …
สดุดี 23:1 “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดั่งเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน”
คำว่า “ขัดสน” ของพระเจ้า ตรงนี้ สมัยก่อน เราก็คิดว่าไม่ขัดสนในเรื่องของชีวิตประจำวัน ก็คือเรื่องเงินทอง เรื่องสุขภาพร่างกาย หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่เราอยากได้ มนุษย์ทั่วไป ส่วนใหญ่อยากได้ แต่ถ้อยคำตรงนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับร่างกายเราเลย พระเจ้ากำลังบอกเราถึงเรื่องโลกวิญญาณ ผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ทำให้มนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว
ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อันดับแรกเลย เขาไม่ขัดสนในวิญญาณ วิญญาณของเขาจะไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะทำสำเร็จ มนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เกิดมาเป็นคนบาปเลย ไม่ต้องทำอะไรก็บาปแล้ว รอวันตายอย่างเดียว รอวันที่พระเจ้าจะพิพากษา ทั้งอยู่บนโลกใบนี้และหลังความตาย วิญญาณออกจากร่าง ก็ยังต้องถูกพิพากษาอยู่ แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จบนไม้กางเขนแล้ว ผลที่เราได้รับ คือเราจะไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป หมายถึงคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วนะ วิญญาณของเราจะไม่ได้อยู่ในความมืดอีกต่อไป เราได้อยู่ในพระเจ้า พระเจ้าเป็นความสว่าง เราก็เป็นความสว่างด้วย วิญญาณของเราจะไม่ถูกสาปแช่งอีกต่อไป นี่คือความจริงที่พระวจนะของพระเจ้าพูดไว้
พระเยซูคริสต์ได้รับเอาคำสาปแช่งของมนุษยชาติทั้งหมด ไปไว้ที่พระกายของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ในวันที่พระองค์ถูกเฆี่ยนตี ถูกโบยตี รับเอาบาปทั้งหมดของมนุษยชาติไปไว้ที่พระองค์เรียบร้อยไปแล้ว
และผลอีกอันหนึ่งที่ชัดเจนมากเลย ก็คือวิญญาณของเราจะได้กลับคืนสู่พระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราไม่ต้องไปกังวลอะไรเลยทั้งหมดนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพวกเราผู้เชื่อ ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้รับทั้งหมดนี้เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องพยายามไปดิ้นรนทำ เพื่อให้เกิดออกมาเป็นผลแบบนี้ แต่ผลนี้ เป็นผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เรียบร้อยไปแล้ว
สดุดี 23:2 “พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนลงในทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามายังริมน้ำอันสงบ”
ในพระคัมภีร์ยอห์น พระเจ้าเปรียบพวกเรา ผู้เชื่อทั้งหลายเป็นแกะของพระองค์ “แกะ” เป็นสัตว์ที่ไม่ชอบวุ่นวาย ชอบอยู่ในที่สงบ แล้วพระเจ้าก็บอกว่าพระองค์ได้นำพวกเราทั้งหลาย เป็นแกะของพระองค์ไปที่ริมน้ำแดนสงบ
ในสมัยก่อน ตอนที่กษัตริย์ดาวิดเขียนคำเผยพระวจนะตรงนี้ คนอิสราเอลจะมีอาชีพเลี้ยงสัตว์ คนอิสราเอลนะ พวกเราจำได้ใช่ไหม? ตอนที่โยเชฟให้ครอบครัวเดินทางไปที่อียิปต์ โยเชฟไปบอกกับฟาโรห์ว่าพวกเขาชอบเลี้ยงแกะ แต่คนอียิปต์ไม่ชอบเลี้ยงสัตว์ ก็เลยแยกชิ้นส่วนไปเลย เอาที่ที่ดีที่สุด ที่มีหญ้าเขียวสดให้คนอิสราเอลไปเลี้ยงแกะ ฉะนั้น การที่มีหญ้าเขียวสดกับริมน้ำแดนสงบ เป็นที่ที่แกะชอบที่สุด แล้วเป็นภาพที่พระเจ้าแสดงให้เราเห็นถึงภาพของสวรรค์
สวรรค์ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้กับพวกเราทั้งหลาย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณของเราสงบ วิญญาณของเราไม่ต้องดิ้นรนอีกต่อไป ก่อนเรามาเชื่อพระเจ้า เราพยายามดิ้นรน เพื่อที่เราจะได้รับความรอด มนุษย์ทุกคนแสวงหาการหลุดพ้นจากบาป เพราะรู้แล้วว่าตัวเองเป็นคนบาป แต่แสวงหาอย่างไรก็ไม่พบสักที ก็ยังคงต้องดิ้นรนต่อไป แต่เมื่อเรามาพบกับพระเยซูคริสต์ เราได้เจอริมน้ำแดนสงบ เจอทุ่งหญ้าที่เขียวสดแล้ว เราพอแล้ว เราหยุดตรงนี้ แกะจะไม่ยอมไปไหนแล้ว
“ฉันจะนอนแช่นิ่งอยู่ตรงนี้แหละ”
นี่คือภาพของสวรรค์ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ให้กับพวกเราผู้เชื่อ ซึ่งสวรรค์ไม่ต้องรอเราตาย คอยไป พี่น้องไม่ต้องรอจนตาย แล้วค่อยคิดว่าเราจะได้ไปสวรรค์ แต่ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูคริสต์บอกกับเราว่าเราได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ณ สวรรคสถาน ก็คือวิญญาณของพวกเรา ณ เวลานี้ อยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว เราได้หายเหนื่อยและเป็นสุขเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือพระพรที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เป็นผลสำเร็จที่มาจากตอนที่พระเยซูคริสต์ยอมถูกตรึงบนไม้กางเขน ยอมสิ้นพระชนม์และถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันทีในชีวิตของพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย
สดุดี 23:3 “พระองค์ทรงฟื้นฟูจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์”
ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมทันที เกิดมา “เป็น” พระเจ้าทำให้วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเรา ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และให้วิญญาณใหม่ ที่เป็นขึ้นมาใหม่ เป็นชนิดเดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์เลย ก็คือเป็นวิญญาณที่ชอบธรรม เป็นผู้ชอบธรรมเลย เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม เกิดมาเป็นความรัก เกิดมาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจ สิ่งเหล่านี้มันบังเกิดขึ้น ทั้งหมด เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราจะได้รับ
มาถึงข้อที่ 4 ไม่เกี่ยวกับวิญญาณแล้ว ตอนนี้เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ หลังจากที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว
สดุดี 23:4 “แม้ข้าพระองค์เดิน ผ่านหุบเขาเงาแห่งความตาย ข้าพระองค์จะไม่หวาดกลัวความชั่วร้ายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ พระองค์ทรงปกป้องและนำทางข้าพระองค์ ทำให้ข้าพระองค์สบายใจ”
มีใครสามารถสบายใจท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากไหม? ไม่มี มีเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้น คือเผ่าพันธุ์ใหม่ ผู้เชื่อที่วางใจในพระองค์ ผู้เชื่อที่มั่นใจในการทรงสถิตของพระเจ้า มั่นใจ รับรู้ความจริงว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์ไม่ทิ้งเราไปไหน ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอุปสรรคใดๆ ก็ตาม พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา ฉะนั้น แม้เราจะเจอหุบเขา เงามัจจุราช ความตาย หรือความยากลำบาก เจอความเดือดร้อน เรื่องของสภาวะความเป็นอยู่ เรื่องของการงาน เรื่องของสุขภาพร่างกาย เราก็สามารถที่จะยืนหยัดและผ่านมันไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า และรับรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์ไม่ทอดทิ้งเรา แล้วพระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงนำเราไป ไม่ว่าจะนำด้วยเหตุผล ด้วยวิธีการใดก็ตาม เรารับรู้ว่าพระองค์ไม่ทิ้งเราแน่นอน
นี่เป็นความมั่นใจของผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทำให้เราสามารถเกิดความสบายใจได้ในขณะที่เผชิญกับปัญหาความทุกข์ยาก
สดุดี 23:5 “พระองค์ทรงจัดเตรียมอาหารสำหรับข้าพระองค์ ต่อหน้าศัตรูทั้งหลายของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน จอกของข้าพระองค์เปี่ยมล้นอยู่”
ถ้อยคำของพระเจ้ากำลังเล็ง ให้เราเห็นถึงการดูแลของพระเจ้าว่าพระองค์จะดูแลทุกย่างก้าวของเรา จัดสำรับให้กับเราต่อหน้าต่อตาศัตรู ก็คือดูแลทุกข์สุขของเราอย่างไม่ลดละ หมายความว่าไม่ใช่พอเราเจอความทุกข์ปุ๊บ พระเจ้าที่อยู่ในเราทั้ง 3 พระภาคก็หนีชิ่งไปเลย ไม่มี พระองค์ยังคงอยู่ด้วยกับเรา ประคับประคองพาเราไปเรื่อยๆ ให้เราผ่านไปได้
พี่น้องที่เดินกับพระเจ้า ยิ่งเราเดินกับพระเจ้านานมากเท่าไร? เรายิ่งจะเห็นพระคุณของพระเจ้า แล้วเราจะเห็นการช่วยเหลือของพระองค์ตลอดเวลาในชีวิตของเรา เรายอมรับเลยว่าชีวิตของผู้เชื่อไม่ได้เดินอยู่บนกลีบกุหลาบแน่นอน ไม่ใช่ เพราะพระเยซูคริสต์บอกว่าในโลกใบนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ท่านชื่นชมยินดี ชื่นชมยินดีได้อย่างไร? เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว ความทุกข์ยากบนโลกใบนี้ ไม่สามารถที่จะทำให้เราถอดใจได้ เพราะเรารับรู้ว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกสถิตอยู่ในเรา แล้วไม่ทิ้งเราแน่นอน
สดุดี 23:6 “แน่ทีเดียว ความดีและความรักอันยั่งยืน จะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป”
ข้อนี้ที่กษัตริย์ดาวิดเขียนไว้ เพื่อให้เราทั้งหลายมั่นใจในความรักมั่นคง ความดีงามของพระเจ้าที่มีอยู่เหนือชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ให้เรามั่นใจเลย ไม่ใช่มั่นใจตอนที่ลมหายใจเราออกจากร่างนะ ณ เวลานี้ที่ตัวเป็นๆ อยู่ เรารู้ว่าเราอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ แล้วเราจะอยู่แบบนี้ตลอดไปนิรันดร์กาล จนถึงวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง วิญญาณเราไปอยู่กับพระเจ้า เราก็ยังคงอยู่ที่เดิมแหละ ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดเขียนไว้ เป็นคำเผยพระวจนะ เป็นคำพยากรณ์ที่พูดถึงการช่วยกู้ของพระเจ้า การจัดเตรียมของพระเจ้า สำหรับมนุษยชาติ และสิ่งนี้ได้ทำสำเร็จเรียบร้อย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว
เราจึงเข้ามาขอบพระคุณพระองค์ สำหรับความดีงามที่พระเจ้าได้ทำเพื่อมนุษยชาติ และพระองค์ก็ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องทำต่อไป คือรับรู้ความจริงของพระเจ้าเรื่อยๆ รับรู้มากขึ้นทุกวันๆ ว่าตอนนี้ พระเจ้าทำอะไรให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วบ้าง แล้วเราก็ชื่นชมยินดีรับผลสำเร็จเหล่านี้ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เป็นพรให้กับชีวิตของพวกเราเอง และเป็นพรให้กับผู้คนรอบข้างที่ได้เจอพวกเราว่าคริสเตียนสุดยอดมากเลย เราสามารถชื่นชมยินดีท่ามกลางปัญหาอุปสรรค เราสามารถยิ้มได้ ท่ามกลางน้ำตาเล็ด น้ำตาหยดติ่งๆ แต่เรายังสามารถยิ้มได้ เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าองค์นี้อยู่กับเรา จูงมือเราเดิน จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ที่พระเจ้าบอกว่าโลกนี้พอแล้ว เราทำงานสำเร็จแล้ว กลับบ้านได้ พักผ่อนได้ พระองค์ก็จะรับวิญญาณของเราไปอยู่กับพระองค์ ตอนนั้น เราไปอยู่กับพระเจ้าจริงๆ ได้เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า ได้เห็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ร่างกายใหม่ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกๆ คน อันนี้พระองค์ทำเรียบร้อยไปแล้ว
แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับทุกครั้งที่เราเข้ามาระลึกถึงความรักของพระเยซูคริสต์ ระลึกถึง ไม่ว่าจะเป็นวันศุกร์ประเสริฐ ไม่ว่าจะเป็นวันอีสเตอร์ วันที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย หรือไม่ว่าจะเป็นวันคริสตมาส วันที่พระองค์มาบังเกิด หรือทุกอาทิตย์ที่เราเข้ามาหาพระเจ้าในคริสตจักรของพระองค์ เราก็จะขอบพระคุณพระองค์ สำหรับสิ่งดีงามเหล่านี้ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
บาป คือการบูชานมัสการ พึ่งพาตนเองในการกระทำดี ซึ่งไม่มีใครทำสมบูรณ์ได้ครบถ้วน แทนที่จะบูชานมัสการ พึ่งพาพระเจ้า ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้กระทำ ให้สมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว
บาป คือการผิดเป้าหมายวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าวางไว้ตั้งแต่ให้กำเนิดมนุษย์
คือการบูชานมัสการพึ่งพาตนเองในการกระทำดี เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าที่บริสุทธิ์ แทนที่จะบูชานมัสการพึ่งพาพระเจ้า
คือวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าที่บริสุทธิ์
โคโลสี 2:13-14 “13 และท่านทั้งหลายซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน ตอนนี้ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เช่นเดียวกันกับเรา และได้ทรงให้อภัยในการละเมิดกฎทั้งหลายของพวกเรา 14 พระองค์ทรงยกเลิก กฎแห่งการกระทำ ตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ ในหนังสือธรรมบัญญัติ (หนังสือธรรมบัญญัติ ที่พระเจ้าได้ประทาน ให้กับชาวยิว ผ่านทางโมเสส และสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว หนังสือธรรมบัญญัติ บันทึกไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน) ซึ่งมีระบุไว้ว่า เราต้องทำตามทุกจุด ทุกขีด ทุกข้อในหนังสือบทบัญญัติ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีการละเมิดเลยแม้จุดๆ เดียว”
กฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรูต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่า เราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ คือทำบาป ต้องได้รับโทษ คือความพินาศในวิญญาณ (เพราะมนุษย์เรา ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ บริบูรณ์ดีพร้อม ตามบัญญัตินั้นได้ โดยไม่ละเมิดเลย แม้แต่จุดเดียว)
พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือธรรมบัญญัตินี้ ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน (เพื่อว่า การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน จะได้เป็นตัวแทนของเรา มวลมนุษย์ ในการตายจากชีวิตเดิม ร่วมกับพระองค์ จากชีวิตเดิม ซึ่งเป็นหนี้บาป ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ ตามบทธรรมบัญญัตินี้)
พระเจ้าอวยพรครับ