วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1531

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  กรกฎาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 2 ยอห์น” ตอน 1 “เราคริสเตียนผู้เชื่อ อยู่ในความจริงของพระเจ้าตลอดไป”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ คำบรรยายเป็น “หนังสือ 2 ยอห์น” เรื่อง “เราคริสเตียนผู้เชื่อ อยู่ในความจริงของพระเจ้าตลอดไป”

            หนังสือ 2 ยอห์น เป็นจดหมายสั้นๆ แต่มีเนื้อหาที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความจริงทางฝ่ายวิญญาณ ในชีวิตคริสเตียน เราเพิ่งจบคำบรรยาย ซีรี่ย์ 20 ตอนของหนังสือ 1 ยอห์น ซึ่งมีอยู่ 5 บท แต่เราใช้เวลาไป  20 อาทิตย์ ละเอียดยิ๊บเลย นี่รวมๆ แล้ว พูดถึงการที่พระเจ้าทรงอยู่กับเราเสมอตลอดไปนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            เราคริสเตียน ผู้เชื่อ ได้มีสามัคคีธรรม เป็นหนึ่งเดียวกันทางฝ่ายวิญญาณ นี่คือความจริงที่อาจารย์ยอห์นอธิบายให้เราฟังในหนังสือ 1 ยอห์น ทั้ง 5 บทที่เราได้เรียนรู้ไปแล้วว่าเราคริสเตียนผู้เชื่อ ได้เข้าสามัคคีธรรมเป็นหนึ่งเดียวกันทางฝ่ายวิญญาณกับพระองค์ …

            พระองค์ คือพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระองค์ตลอดเวลา ตลอดไปนิรันดร์

            เราได้รับการอภัยจากบาปทั้งปวง ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตด้วย ได้ถูกยกเลิก ได้ถูกลบล้างออกไปหมดสิ้นแล้ว ล่วงหน้าด้วยซ้ำไป  ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ที่อาจารย์ยอห์นบอกในหนังสือ 1 ยอห์น 5 บทนั้น

            และยังบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ด้วยการฟื้นคืนพระชนม์ การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูทำให้เราได้เป็นอย่างนั้น

            และยังบอกอีกว่าเราได้เป็นลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พอเปิดใจรับเชื่อปุ๊บ ได้เกิดใหม่ปั๊บ ได้เป็นลูกของพระเจ้าทันทีทันใดเลย

            นี่ได้บอกเราอย่างนั้น ก็คือการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง ซึ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ เราลองมาอ่านในหนังสือ 1 ยอห์น บท 3 ดู ซึ่งพูดถึงเรื่องนี้ มันตื่นเต้น นี่คือสิ่งต่างๆ ที่เป็นเรื่องที่อาจารย์ยอห์นได้อธิบายให้เราฟังอย่างละเอียด ใน 5 บทของ 1 ยอห์น ที่เราเรียนรู้ไป 20 ตอน ลองอ่านใน 1 ยอห์น 3:1-2 ได้บอกอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 3:1-2 “1 จงมองให้เห็นเถิด พระเจ้าพระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกเล็กๆ ของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลาย ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ 2 ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจว่าเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์  (ได้สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์จริงๆ อย่างที่พระองค์ ทรงเป็นอยู่นั้น”

            พระเจ้าพระบิดาทรงประทานความรักกับเรามากขนาดไหน? ที่รับเรา เรียกเราว่าเป็นลูกของพระเจ้า และอาจารย์ยอห์นก็บอกว่าเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ คืออาจารย์ยอห์นยังตื่นเต้นเลย จริงๆ มันมองไม่เห็นด้วยตา แต่ทางฝ่ายวิญญาณมันเป็นจริงๆ เป็นเมื่อไร? ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ในโลกวิญญาณนั้น เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ  เป็นลูกพระเจ้าก็จริง แต่เรายังไม่สามารถเข้าใจอย่างละเอียดได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์เสด็จมาปรากฎนั้น  หมายถึงเวลาที่เราจากร่างนี้ไป เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ เอเมน ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ และถึงวันนั้น เราก็สามารถเห็นพระองค์หน้าต่อหน้าได้ ด้วยร่างกายใหม่นั้น นี่คือข้อสำคัญอีกอันหนึ่งที่อยู่ใน 5 บทนี้ ลองอ่านอีกข้อหนึ่ง เลือกมาที่เด่นๆ นะ 1 ยอห์น 4:17 …

        1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้น อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​ ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่​เหมือน​กับ​วิญญาณและจิตใจของ​พระคริสต์”

            “ในการได้เข้าส่วนร่วม” ก็คือในการเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือการบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในการตายและการเป็นขึ้นจากความตายนั่นเอง

            การเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ทำให้เกิดความรักขึ้น อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน  พระเจ้าทรงเป็นความรัก เราก็เป็นความรัก เกิดขึ้นทันทีเลย ในวิญญาณของเรา

            “เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม” ก็เพราะวิญญาณ จิตใจของเราขณะที่อยู่บนโลกนั้น เป็นเหมือนวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์ เป็นเหมือนพระคริสต์เลยทางโลกวิญญาณ  เราจึงไม่กลัววันพิพากษาในอนาคต เมื่อเราจากโลกนี้ เราตายไป เราไม่กลัวหลังความตายแล้ว เพราะว่าเรามีมัดจำ มีค้ำประกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว คือตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ตัวตนแท้จริงของเรา คือวิญญาณและใจของเราที่ได้รับใหม่ จากการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์นั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ขณะนี้ แล้วร่างกายล่ะ ร่างกายที่อยู่เป็นใหม่ เป็นแบบไม่ใช่เป็นตัวใหม่เลย เป็นอันเก่า แต่รีไซเคิลใหม่ ขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราเป็น คริสเตียน อาจารย์ยอห์นบอกว่าวิญญาณเราบังเกิดใหม่จากพระเจ้า ใจเราพระเจ้าประทานให้ใหม่ วิญญาณกับใจใหม่เอี่ยม เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายที่รีไซเคิล

            รีไซเคิล แปลว่าฟื้นฟูใหม่ พูดอย่างนี้อาจจะไม่ชัด อธิบายนิดหนึ่ง เป็นร่างกายเก่า แต่ได้รับการชำระล้างใหม่ ให้สะอาดหมดจดเลย  เพื่อรองรับการเสด็จมาของพระเจ้า เข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายเรา เป็นพระวิหารของพระเจ้า เหมือนคนที่เขาทำค้าขายเครื่องดื่มที่มีน้ำอยู่ข้างใน เป็นขวดแก้ว เขารับซื้อขวดแก้วที่ใช้แล้ว เขาเรียกว่าขวดแก้วเก่า เราดื่มหมดแล้ว เอาขวดเก่ามา จะสกปรกอย่างไร? ขอให้มันยังไม่แตก เขาจะซื้อกลับไปรีไซเคิล คือมันสกปรกอย่างไรแล้วแต่ มันอาจจะเปื้อนโคลน มีน้ำสกปรกอยู่ข้างใน มีโคลนอยู่ข้างใน มีน้ำคลองอยู่ข้างใน เขาซื้อมาปุ๊บ ก็เอาเข้าโรงงานทันที โรงงานฟอกสะอาด ฆ่าเชื้ออย่างดี เข้าเครื่องอบจนแห้ง สะอาดเอี่ยมเลย  เสร็จแล้ว เขาก็เอาไปใส่น้ำที่เขาจะขาย เขาทำอย่างนี้ เราเรียกรีไซเคิล พระเจ้าทำมาก่อนแล้ว ให้วิญญาณใหม่ ใจใหม่  แต่ใส่ในร่างกายเก่าไม่ได้ ร่างกายเก่ามันสกปรก ก็เอาไปรีไซเคิล ด้วยพระโลหิตของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ผ่านพระโลหิตพระเยซูคริสต์ชำระให้สะอาดหมดจดปุ๊บ ขวดเก่า ก็คือร่างกายเก่าเรานั้น ได้รีไซเคิลได้กลายเป็นสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ พร้อมที่จะใส่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พร้อมที่จะให้พระเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ เป็นวิหารของพระเจ้า เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            ที่ตะกี้พูดมาทั้งหมด ในหนังสือ 1 ยอห์น ที่อธิบายนั้น รวมทั้งหมด เรียกกันว่า “ความรอดในพระเยซูคริสต์” คือทั้งหมดนั้น ใครอยากจะรู้ว่าความรอดในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? ย้อนกลับไปฟัง ซีรี่ย์หนังสือ 1 ยอห์น   20 บทที่ได้อธิบายไปอย่างละเอียด ซึ่งความรอดตรงนี้ อาจารย์ยอห์นสรุปว่าเป็นความรอดที่เป็นนิรันดร์ ในหนังสือ 1 ยอห์น 5:13 ก็คือช่วงท้ายๆ ของหนังสือ 1 ยอห์น อาจารย์ยอห์นได้พูดตรงนี้นะ ลองอ่านดู …

        1 ยอห์น 5:13 “สิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่าน ที่วางใจในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อให้ท่านรู้ว่าท่านได้มีชีวิตนิรันดร์แล้ว”

            “ท่านได้มีชีวิตนิรันดร์แล้ว” ข้าพเจ้าเขียนมาทั้งหมดในหนังสือ 1 ยอห์น 5 บทนี้ เขียนมา เพื่อให้ท่านได้รู้ คือได้รับรู้ความจริงนี้ ไม่ใช่ให้ท่านรู้สึก ไม่ใช่ให้ท่านเข้าใจ  เพราะไม่มีทางเข้าใจได้หรอก มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ  มันอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ และท่านไม่สามารถที่จะรู้สึกได้ด้วยร่างกายของท่าน …

            “โอ๊ย! รู้สึกว่าฉันได้รับชีวิตนิรันดร์” ไม่ใช่

            แต่ให้ท่านรู้จากความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า เพื่อท่านจะรู้ว่าท่านได้มีชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว … ชีวิตนิรันดร์ ก็คือตะกี้ที่อธิบายมาทั้งหมด พูดง่ายๆ ก็คือท่านได้รับความรอดแล้ว รอดเลย ไม่มีใครสามารถเอาความรอดนี้ ไปจากท่านได้อีกแล้ว เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ท่านได้รับความรอดและบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว รอดแล้วรอดเลย เอเมน 1 ยอห์น 5:18 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:18 “เรารู้ว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปต่อไป แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้าทรงปกป้องเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้”

            เห็นไหม? ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปอีกต่อไป ก็คือเราเรียนรู้ไปแล้ว บังเกิดใหม่จากพระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แม้จะทำบาป ก็ไม่ใช่ทำบาปชนิดที่เป็นบาปที่ทำเป็นกิจวัตร คือที่ทำจากธรรมชาติวิญญาณที่เป็นบาปอยู่ ไม่มีอีกต่อไปแล้ว

            พระองค์ที่ทรงบังเกิดจากพระเจ้า ก็คือพระบุตร ก็คือพระเยซูคริสต์ทรงคุ้มครองป้องกัน ปกป้องผู้ที่บังเกิดใหม่เช่นเดียวกับพระองค์ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่เหมือนกับพระเยซูคริสต์เหมือนกันเลย  มันเป็นความจริงที่เรานั้น เป็นเหมือนพระองค์ อาจารย์ยอห์นอธิบายให้ฟังนะ เราเป็นเหมือนพระองค์ มารร้ายไม่สามารถแตะต้องเราได้เลย ไม่ได้หมายถึงมารทำร้ายทำลายเรา เปล่า มารร้ายไม่สามารถมาโกหกมดเท็จ กล่าวหาเราได้เลย  เพราะว่ามารร้ายได้แต่โกหก หลอกลวง  แต่เราเป็นความจริงอยู่ในตัวเรา คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วในวิญญาณนั่นเอง

            ยอห์นได้บอกชัดเจนว่ามารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้ “เขา” ก็คือพวกเราที่บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนแล้วนั้น  มารร้ายไม่อาจแตะต้องเขา ก็คือไม่อาจโกหก หลอกลวง ให้เขาสูญเสียความรอดได้เลย ความรอดที่เราได้รับ จึงเป็นนิรันดร์ ทุกอย่าง คุณสมบัติของความรอด ที่ตะกี้นี้ เราอ่านมาทั้งหมด สรุปในหนังสือ 1 ยอห์น 5 บทนั้น อยู่ไปนิรันดร์ ตลอดเวลา มารไม่สามารถทำให้มันเสียหายไปได้เลย ไม่สามารถเอาออกไปจากชีวิตเราได้เลย เพราะว่ามารมันทำได้แค่เพียง โกหก หลอกลวง ทำให้เราคิดว่ามันสามารถทำได้ แต่มันไม่สามารถทำได้เลย มันจึงแค่ใส่ร้ายด้วยคำเท็จ กล่าวหา กล่าวโทษเรา ทั้งกลางวันและกลางคืน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น กล่าวหาทั้งกลางวันและกลางคืน ว่าเรา ด่าเรา ใส่ร้ายเราต่างๆ นานา เพื่อให้เราไม่มั่นใจในความรอดนั้น แต่ในพระคัมภีร์บอกแล้วใช่ไหมว่าแตะต้องเราไม่ได้เลย ก็คือเอาความรอดออกไปจากเราไม่ได้เลย แม้แต่นิดหนึ่ง

            วันนี้เรามาต่อ 2 ยอห์น จดหมายนี้มีแค่ 13 ข้อ แต่มีเนื้อหาสาระที่สำคัญ ก็คือเรื่องความจริง  พระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ภายในเรา พระองค์ทรงเป็นความจริง และความจริงนี้อยู่ในเรา และเราอยู่ในความจริงนี้ ซีรี่ย์ 2 ยอห์นในวันนี้ จึงใช้ชื่อเรื่องว่า “เราคริสเตียนผู้เชื่อ อยู่ในความจริงของพระเจ้าตลอดไป” นี่คือสาระสำคัญในหนังสือ 2 ยอห์น

            เพราะว่าจดหมายฉบับนี้ อาจารย์ยอห์นจะเน้นเรื่องว่าแม้ว่าโลกจะเต็มไปด้วยความโกหกมดเท็จของมารซาตานก็ตาม แต่คริสเตียนผู้เชื่อมีความจริงของพระเจ้าอยู่ในใจตลอดเวลา และคริสเตียนผู้เชื่ออาศัยอยู่ในความจริง เพราะฉะนั้น มารมันแตะต้องเราไม่ได้เลย นอกจากหลอกเรา โกหกเรา ลวงเรา แต่ไม่สามารถทำอันตรายเราได้ เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ พระเจ้าจะนำพาชีวิตเรา พาเราเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช มันแตะต้องเราไม่ได้เลย มันมีแค่เงา มีแค่เห่า มีแค่เสียงคำราม ขู่ แต่มันทำอะไรเราไม่ได้ ไม่ต้องกลัว พูดง่ายๆ เราเริ่มต้นที่ 2 ยอห์น 1:1-2 …

        2 ยอห์น 1:1-2 “1 ข้าพเจ้า​ผู้​ปกครอง เรียนท่าน​สุภาพสตรี​ที่​พระ​เจ้า​ได้​เลือก​ไว้ และ​ลูกๆ ของ​เธอ ​ผู้​ซึ่ง​ข้าพเจ้า​รัก​ใน​ความ​จริง ไม่​เพียง​ข้าพเจ้า​เท่า​นั้น แต่​ทุก​คน​ที่​รู้​ถึง​ความ​จริง​ด้วย 2 เพราะ​ความ​จริง​ดำรง​อยู่​ใน​ตัว​เรา และ​จะ​อยู่​กับ​เรา​ตลอดไป”

            “สุภาพสตรีที่ทรงเลือกและลูกๆ ของเธอ” ไม่ได้หมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่หมายถึงคริสตจักรและสมาชิกของคริสตจักร หมายถึงคริสตจักรที่เหมือนคริสตจักรลูก เรียกว่าคริสตจักรพี่น้อง อย่างที่เรามีคริสตจักรในเมืองไทย เราก็มีคริสตจักรของเรา และก็มีคริสตจักรที่อยู่ในเขตเดียวกัน อยู่ในกรุงเทพ อะไรต่างๆ  เป็นคริสตจักรพี่น้องที่มีความเชื่อในข่าวประเสริฐ ในข่าวดีของพระเจ้าเหมือนกัน มีปฏิสัมพันธ์ มีการติดต่อกัน

            ยอห์นแสดงความรักในความจริงนี้กับพวกเขา ก็คือกับพี่น้องคริสเตียนในโบสถ์อื่นๆ  คือทักทายเขาด้วย และบอกว่ารักพวกเขาในความจริง เห็นไหม? ยอห์นแสดงความรักนี้ในความจริง ข้าพเจ้ารักในความจริง อาจารย์ยอห์นกำลังจะเน้นถึงเรื่องว่าเราคริสเตียนมีสัมพันธ์กัน มีสามัคคีธรรมกันฝ่ายวิญญาณในพระคริสต์นั้นในความจริงด้วย ซึ่งเป็นความจริงที่เขามีร่วมกันในความเชื่อ ในการเป็นคริสเตียน และยืนยันอีกว่าความจริงนี้ จะอยู่กับพวกเขาตลอดไป พูดง่ายๆ ก็คือมารไม่สามารถแตะต้องเราได้ มารไม่สามารถมาโกหก หลอกลวง ขโมยความจริงนี้ออกไปจากเราได้เลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากหลอก โกหกว่าเอาไปแล้ว แต่มันไม่ได้เอาไปหรอก ยังอยู่กับเรานั่นแหละ

            ความจริงที่กล่าวถึงนี้ คือความจริงของข่าวดี สรุปสั้นๆ ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเมสิยาห์จริงๆ จำได้ใช่ไหม? 1 ยอห์นที่เราเรียนรู้ไป เน้นเรื่องนี้เลย พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เพื่อที่จะตายที่ไม้กางเขน มีโลหิตไหลลงมาจริงๆ เพื่อจะชำระบาปจริงๆ และเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ในวันที่ 3 เพื่อให้เราได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ด้วย และบัดนี้ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เพื่อว่าเราจะได้นั่งกับพระองค์ด้วย

            นี่สรุปสั้นๆ นี่คือความจริงในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของคริสเตียนในการที่จะมีสามัคคีธรรมกัน ใครจะมีการสามัคคีธรรมในคริสเตียน ไม่ใช่มาที่โบสถ์แล้วมีการสามัคคีธรรมกัน ไม่ใช่หมายถึงอย่างนั้น แต่หมายถึงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ จึงจะได้สามารถมาสามัคคีธรรมกับคริสเตียน กับเราได้

            เพราะฉะนั้น การสัมพันธ์ในการติดต่อกันในทางคริสตจักร ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐนี้ คืออยู่ในความจริงนั่นเอง ความจริง คือที่ตะกี้นี้บอก ยอห์นบอกว่าท่านต้องอยู่ในความจริง เพราะพระเยซูตรัสว่าพระองค์ คือความจริง ดังนั้น ถ้าท่านอยู่ในพระเยซูท่านก็อยู่ในความจริง ถ้าท่านบอกว่าท่านอยู่ในความจริง มีสามัคคีธรรมกับเรา  แต่ถ้าท่านไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระมาซีฮาห์  ท่านไม่มีพระเยซู ท่านก็ไม่มีความจริง เพราะความจริง ก็คือตัวพระองค์เอง คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            มาดูความหมายละเอียดขึ้น การอยู่ในความจริง ในชีวิตจริงๆ คืออะไร? เราบอกเราอยู่ในความจริง และการใช้ชีวิตอยู่ในความจริงนั้น มันคืออะไร? ท่านลองนึกภาพว่าท่านอยู่ในความจริง มันเป็นอย่างไร? ก็หมายถึงท่านถูกห้อมล้อมด้วยความจริง ความจริงอยู่หน้าท่าน อยู่หลังท่าน อยู่ข้างท่าน ข้างซ้าย ข้างขวา ท่านเดินไปที่ไหน เป็นความจริงตลอดเวลา มันอาจจะเข้าใจยากนิดหนึ่ง นี่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณเป็นเช่นนั้น ท่านกำลังดำเนินชีวิตอยู่ในความจริงทุกฝีก้าว  ทุกลมหายใจเข้าออก

            นึกถึงความจริงนี้เป็นองค์พระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นความจริง พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา ไปไหนกับเราด้วยตลอดเวลา ก็คือความจริงไปไหนกับเราตลอดเวลา  อยู่ในเราตลอดเวลา ท่านได้รับการบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับท่านถูกบัพติศมาเข้าไปในความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงที่อยู่ในเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน เป็นชีวิตของท่านเลย ชีวิตท่าน คือความจริง  ไม่มีใครที่จะมาแก้ไข เปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้

            และความจริงนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ปัญญาว่าท่านรู้ถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันไม่ใช่มีความจริง แต่มันเป็นความจริง ท่านได้เป็นความจริง ไม่ว่าท่านจะถูกทดลองให้กระทำอะไร ประพฤติอะไรที่ตรงกันข้าม หรือไม่ตรงกับความเป็นจริงของการเป็นคริสเตียน แต่ท่านก็เป็นความจริง เพราะว่าการเป็นความจริงกับการประพฤติความจริงนั้น มันคนละเรื่องกัน นี่พูดหลายครั้งแล้วว่าการที่ท่าน “เป็น” กับการที่ท่าน “ประพฤติ” นั้น มันคนละเรื่อง เราเป็นมนุษย์ แต่เราอาจจะประพฤติไม่เหมือนมนุษย์ก็ได้ นึกออกใช่ไหม?

            เพราะฉะนั้น เราเป็นความจริง เราเป็นเหมือนพระเยซู แต่เราอาจจะประพฤติไม่เหมือนก็ได้ เราอาจจะถูกหลอกก็ได้  เหมือนเกิดเป็นมนุษย์ อาจจะถูกหลอกให้คลานก็ได้  อาจจะถูกหลอกให้เลื้อยก็ได้ หรือถูกหลอกให้ประพฤติไม่เหมือนมนุษย์ก็ได้ มนุษย์เขาไม่ทำกันอย่างนี้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น

            เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะเกิดความสับสนอย่างไร? เกิดการถูกล่อลวง โดยการโกหกมดเท็จของมารอย่างไร? ให้ประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม ท่านก็ยังคงเป็นความจริง เป็นเหมือนพระเยซูอยู่เหมือนเดิม  เพราะว่ามารมันทำได้แค่ หลอก ล่อ  ลวงให้ท่านประพฤติในสิ่งที่ไม่ได้เป็นจริง  แต่ความจริงยังเป็นอยู่ในตัวท่าน เป็นอย่างไร ก็ยังเป็นอย่างนั้น มันไม่มีการเปลี่ยนแปลง พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในท่าน ก็ยังสถิตอยู่เหมือนเดิม พระวิญญาณที่เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้คอยแนะนำให้ท่านดำเนินชีวิตอย่างไร? ก็ยังแนะนำอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ท่านไม่ได้ฟัง ท่านไปเชื่อคำเท็จของมาร ถูกหลอกเท่านั้นเอง แล้วมารทำอะไรท่านได้ไหม?  ก็ไม่ได้ เพียงแค่ทำให้ท่านทุกข์ลำบากมากขึ้น ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น

            เพราะฉะนั้น ความจริง จึงไม่ใช่ปัญญาหรือความรู้ต่างๆ แต่มันเป็นความจริงที่มันเกิดขึ้นในวิญญาณของเราว่ามันเป็นอย่างไร? ก็คือพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ภายในเรา ทั้ง 3 พระภาคนี้ เป็นความจริง ท่านจะประพฤติตัวอย่างไร? ไม่ตรงกับความจริงนี้ ความจริงนี้ ก็ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าท่านประพฤติตัวไม่ถูกต้องนั้น ก็เพียงแต่ว่าขณะนั้น ท่านไม่ได้เชื่อในความจริง เข้าใจใช่ไหม? เชื่อในความจริง มันไม่ได้หมายถึงท่านจะเป็นความจริง เพราะว่าชีวิตคริสเตียนไม่ใช่แค่การเชื่อในความจริง แต่คือการดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง ซึ่งก็คือพระคริสต์

            ชีวิตคริสเตียน ไม่ใช่เรามาเชื่อความจริง บางครั้งเราไม่เชื่อ เราไปเชื่อมาร เชื่อกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แต่เราก็ยังอยู่ในพระคริสต์ เราดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง คืออยู่ในพระคริสต์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้โลกจะเปลี่ยนแปลง แต่ความจริงพระเจ้าที่อยู่ในเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย แม้แต่นิดเดียว นี่คือความมั่นใจ ความมั่นคงที่พระคัมภีร์บอกไว้ของชีวิตคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่ ที่เรียกว่าความจริงที่ดำรงอยู่ในท่านตลอดไปจนถึงนิรันดร์ ไม่ต้องกลัวเลย ไม่มีใครมาทำอะไรท่านได้ พระคัมภีร์พูดไว้ในโรม 8:38-39 บอกว่าไม่มีใครมาเอาตรงนี้ออกไปจากเราได้เลย ไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหน? ความตายก็เอาไปไม่ได้ ทูตสวรรค์ หรือสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าจะมีอำนาจขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเอาความจริงนี้ออกไปจากท่านได้ เพราะว่าความรอดนี้เป็นของท่านแล้ว นี่คือความจริง …

        2 ยอห์น 1:2 “เพราะ​ความ​จริง​ดำรง​อยู่​ใน​ตัว​เรา และ​จะ​อยู่​กับ​เรา​ไป​ตลอด​กาล”

            อาจารย์ยอห์นเน้นตรงนี้ว่าความจริงจะอยู่กับเราตลอดไป  เพราะว่ามันเป็นความจริง  ไม่มีการเท็จ เพราะว่าเป็นความจริงที่อยู่ในโลกวิญญาณ ความจริงของพระเจ้า เป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ได้มาแบบมาๆ ไปๆ วันนี้ได้รับความรอด เดินออกไปรู้สึกทำอะไรผิด ความรอดหายไปแล้ว อย่างนี้เรียกว่าถูกหลอก เดี๋ยวมีความประพฤติอะไรออกมาไม่ดี เกิดโมโหใคร เกิดโกรธใคร พูดจาไม่ดีกับใคร ตวาดใครขึ้นมา มารมันก็หลอกเรา นี่สูญเสียความรอดแล้ว สูญเสียไม่ได้ ไม่มีทางสูญเสีย ความจริงจะอยู่กับเราตลอดไป หมายถึงอย่างนี้ คำโกหก คำเท็จ หลอกลวง ที่พบบ่อย เช่น …

            “คุณทำบาป คุณสารภาพบาปหรือยัง?  คุณต้องสารภาพบาปทุกๆ ครั้ง ถึงจะได้สามารถกลับมาอยู่ในพระคริสต์ได้ ถ้าคุณทำบาป แล้วไม่สารภาพบาป คุณหลุดออกจากการอยู่ในพระคริสต์ คุณหลุดออกจากการเป็นความจริง คุณหลุดออกจากความรอดแล้ว  คุณต้องสารภาพบาป เพื่อจะกลับเข้ามาใหม่ได้” เคยได้ยินใช่ไหม?  “เพราะฉะนั้น คุณต้องสารภาพบาป ไม่สารภาพบาป ไม่ได้”

            อย่างนี้ มันเป็นความเท็จ เป็นการหลอกลวงของมาร สำหรับคริสเตียนแล้ว ไม่มีการสารภาพบาป แล้วกลับเข้ามาใหม่ อยู่ก็อยู่เลย ไม่อยู่ก็ไม่อยู่ ถ้าเป็นคริสเตียนแล้วก็เป็นเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็คือมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว มาอยู่ในความจริงแล้ว ก็อยู่เลย ตลอดนิรันดร์แล้ว ไม่ว่าคุณจะประพฤติอะไร ก็จะอยู่ในนี้ มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่มารมันจะใช้ความประพฤติของท่าน มาหลอกลวง มาใส่ความเท็จ กล่าวหาท่าน แล้วก็พยายามให้ท่านบอกว่าหลุดแล้ว ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เป็นต้น

            จำ 1 ยอห์น 1:9 ได้ไหม?  ที่พูดถึงเรื่องคนที่ไม่เชื่อ ที่ปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้เป็นคนบาป เพราะว่าในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเพราะว่าเขาไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขาอยู่แล้ว เขาจึงปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ แต่เราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ เรามีความจริงนี้อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว แล้วปรากฏว่าแทนที่ข้อความนี้จะเป็นข้อความที่ย้ำยืนยันว่าให้คริสเตียนมั่นใจ สบายใจว่ามันเรื่องจริงว่าเราได้รับเชื่อแล้ว เราสารภาพบาปของเรากับพระเจ้า กลับใจใหม่แล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  เราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแล้ว เราได้รับการอภัยบาปทั้งปวงหมดสิ้นไปแล้ว แล้วจะอยู่ในความรอดนี้อย่างมั่นคงตลอดไป น่าจะเป็นอย่างนั้น มันก็ถูกหลอกอีก  มารก็บิดเอาข้อความนี้ออกมา กลายเป็นว่าเอามาใช้กับคริสเตียน ว่าเป็นคริสเตียนแล้วนะ ต้องสารภาพบาป ถ้าทำอะไรผิดไป ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ ก็ต้องสารภาพบาป บางครั้งต้องกลับไปสารภาพบาป ทั้งๆ ที่ไม่รู้ ยกตัวอย่างเช่น …

            “พระเจ้าลูกขออภัยจากการที่ลูกโกรธคนนี้ วันนี้ลูกพูดจาไม่ดี และลูกขออภัย ถ้าลูกทำอะไรผิดบาป ที่ลูกจำไม่ได้ หรือไม่รู้ว่าทำบาปไป ขอทรงยกโทษให้ลูกด้วย”

            มันเป็นอย่างนั้น มันเลยกลายเป็นหนึ่งในความเชื่อทั่วๆ  หรือเรียกว่าเชื่อพระเยซูเหมือนกับศาสนา คือต้องชำระตัวเองทุกวันๆ ไม่มั่นใจในความรอด ไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ได้รับความรอดแล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้เลย แม้แต่นิดเดียว นี่มันเป็นอย่างนี้ ลองอ่านดูใน 1 ยอห์น 1:8-10 …

        1 ยอห์น 1:8-10 “8 ถ้า​เรา (มนุษย์คนใดก็ตาม) ปฏิเสธว่า​เรา​ไม่​ได้เป็นคนบาป เรา​ก็​หลอกลวง​ตนเอง และ​ไม่​มี​ความ​จริง​อยู่​ใน​ตัว​เรา 9 ถ้า​เรายอมจำนน รับว่าเราเป็นคนบาปและเรา​สารภาพ​บาป​ของ​เรา พระ​องค์​เป็น​ผู้​รักษา​คำมั่น​สัญญา​และ​มี​ความ​เที่ยงธรรม พระ​องค์​จะ​ยกโทษ​บาป​ทั้งหมดแก่​เรา และ​ชำระ​เราให้​บริสุทธิ์ พ้น​จาก​ความ​ไม่​ชอบธรรม​ทั้ง​ปวง 10 ถ้า​เรา​พูดว่า​เรา​ไม่​เคย​ทำ​บาปเลย ก็​เท่า​กับ​เรา​ทำ​ให้​พระ​องค์​เป็น​ผู้​โกหก และ​ถ้อยคำของ​พระ​องค์​ (คือพระเยซู) ก็ไม่ได้อยู่​ใน​ตัว​เรา”

            ตรงนี้เขากำลังพูดถึงคนที่ไม่มีความจริงอยู่ในตัว ก็คือคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน แล้วเราเอามาใช้ เราก็ถูกหลอก  เราที่เป็นคริสเตียนแล้วนะ เห็นชัดๆ เลย ข้อ 8 บอกถ้าเรา คือมนุษย์คนใดก็ตาม ปฏิเสธว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป เราก็หลอกตัวเอง และไม่มีความจริงในตัวเรา แต่เมื่อตะกี้นี้ ในหนังสือ 2 ยอห์น ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ พูดถึงพี่น้องที่เป็นคริสเตียนเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ ความจริงดำรงอยู่ในท่านตลอดไป นึกออกใช่ไหม? ถ้าเราเข้าใจและเรารับรู้เรื่องนี้ ตามที่ยอห์นบอก เราเชื่อฟัง เรารู้ว่าความจริงอยู่ในเรานี้แล้วตลอดไป ตรงนี้ก็ไม่ใช่ของเรา  เพราะตรงนี้บอกว่าคนนี้ คนที่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนบาป ก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา ก็คือไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขาคนนี้ แล้วก็บอกต่อไปว่าถ้าเขาคนนี้ยอมจำนน รับความจริงว่าเป็นคนบาป ตามที่พระเยซูบอก ก็คือข่าวประเสริฐ และเขาสารภาพบาปของเขาว่าเขาเป็นคนบาป พระองค์ผู้รักษาคำมั่นสัญญาและมีความเที่ยงธรรม พระองค์ทรงยกโทษบาปทั้งหมดแก่เขา และชำระเขาให้บริสุทธิ์ พ้นจากความอธรรมทั้งปวง เห็นไหม?

            นี่พูดถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ได้มีความจริงอยู่ในนั้น ถ้าสำหรับคนที่เป็นคริสเตียนอยู่แล้ว เชื่ออยู่แล้ว เรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องของเราเลย เราก็ไม่ต้องสารภาพบาป กลับไปอยู่ในความจริง อยู่ในพระคริสต์ เพราะว่าเราอยู่ในนั้นอยู่แล้ว อยู่แล้วอยู่เลย รอดแล้วรอดเลยนั่นเอง  ไม่ใช่เข้าๆ ออกๆ อยู่ในนั้นก็อยู่ในนั้น ประพฤติก็ประพฤติไป คนละเรื่องกัน ประพฤติอย่างไรก็มีทางเอาตัวเองออกมาได้  ประพฤติอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในนั้นได้  ประพฤติอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ได้ ประพฤติอย่างไร พยายามให้ตาย อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในความจริงนี้ได้ ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในพระเจ้านี้ได้  ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ได้  ประพฤติอย่างไรก็ไม่สามารถออกจากนี้ได้ ถ้าเผื่อเข้าไปแล้ว ได้รับความรอดแล้ว

            นี่อาจารย์ยอห์น กำลังอธิบายให้เราฟังอย่างนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับความจริง ไม่ใช่ว่าวันนี้เข้าอยู่กับพระคริสต์  อยู่ในความจริง พรุ่งนี้หงุดหงิด ประพฤติผิด ทำสิ่งไม่ดี ออกจากความจริง ออกจากพระคริสต์ เดินป้วนเปี้ยนอยู่ข้างนอก อยู่บนโลกนี้  เพราะในโลกนี้มีอยู่แค่ 2 สถานที่เอง คือในพระคริสต์ ในความจริง ในพระเจ้า  เป็นของพระเจ้า  หรือว่าในโลก ในบาป ในความมืด มันมีอยู่ 2 ที่เท่านั้นเอง 

            เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าไปแล้ว มีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย ไม่ต้องกลัวอะไร?  ไม่ต้องกลัวว่าจะหลุดไป ในพระคัมภีร์บอกว่าต่อให้ท่านดำเนินชีวิตกับพระเจ้าไป ประพฤติไม่ถูกต้องไป  เขาเรียกว่าสะดุด ล้มลงในความบาป แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าสะดุด ล้มลง พระเจ้าเตะทิ้งเลยหรือ? ลูกของเราเดินสะดุด ล้มลง …

            “โอ๊ย! สะดุดหลายครั้งแล้ว รำคาญ เตะทิ้งเลยดีกว่า คายทิ้งเลย”

            หรือ! สะดุดและล้มลงทำอย่างไรเนี้ย อุ้ม ถูกไหม?

            สะดุดหลายครั้งแล้วทำอย่างไร? สะดุดครั้งแรกๆ ยังพอมีแรงอุ้มเฉยๆ  สะดุดหลายครั้งแล้ว หมดแรงแล้ว  ต้องทำอย่างไร? ต้องแบกขึ้นมาเลย เห็นอะไรบางอย่างหรือยังว่าอาจารย์ยอห์นกำลังอธิบายให้เราฟังว่าไม่ต้องกลัว ความรอดอยู่กับเรา การทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ในเรา ความจริงนี้อยู่ในเรา พระเยซูคริสต์อยู่ในเราแล้ว จะอยู่อย่างนี้ตลอดไป ในหนังสือ 2 ยอห์นนี้ เน้นเรื่องนี้ เรื่องความจริง และความจริงนี้ ก็คือข่าวที่ดีที่สุดเท่านั้นเอง ข่าวดีที่เรารู้กันเมื่อตะกี้นี้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายนั้น ก็เป็นข่าวดีแล้ว แต่ข่าวดีที่สุด เพิ่มเติมไป คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระเยซูอยู่ในเรา ความจริงอยู่ในเรา ไม่มีใครเอาไปได้เลย พระเจ้าจะไม่มีวันจากเราไปไหนเลย  อยู่กับเราอย่างนี้ตลอดไป  เราไม่ต้องกลัวสูญเสียความรอด  ไม่ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ วันนี้ พรุ่งนี้ เริ่มต้นใหม่ ทำใหม่ ไม่ต้องกลับใจใหม่ทุกวันทุกคืน กลับใจใหม่ทุกวันเกิด กลับใจใหม่ทุกวันปีใหม่ ไม่ต้องแล้ว พระองค์ทรงเป็นความจริงนิรันดร์ และความจริงนิรันดร์นี้ วนเวียนอยู่ตรงนี้ อยู่ในเรา

            เพราะฉะนั้น เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน  เราจึงไม่แสวงหาความจริงอีกต่อไปแล้ว เพราะความจริงนี้อยู่ในเรา แต่ถ้าเราไม่มีความจริงนี้  เราก็จะแสวงหาความจริง ก็ถูกหลอกไปเรื่อยๆ การถูกหลอก คือนึกว่ามันเป็นจริง แล้วมันใช่ไหม? ไม่ใช่ ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้น เราจึงมีความหวังอยู่ในรูปเคารพ หรืออะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมดเลย เชื่ออย่างนั้น เชื่ออย่างนี้ ในที่สุด เมื่อมาถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เมื่อมาเชื่อพระเยซู ความจริงเข้ามา เราหยุดทันทีเลย เราร้องเพลงนี้เลย …

                        “ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู  ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู

                        ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู    ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”

            จริงไหม? นี่เรื่องจริงเลย ทุกคนในนี้มีประสบการณ์หมด ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผู้เชื่อแล้ว เราไม่ต้องตามหาความจริงอีกต่อไป เพราะว่าความจริงอยู่ในเราแล้ว พระเยซูคือความจริง พระองค์คือความจริง และพระองค์ทรงอยู่ในเรา และพระองค์ทรงตรัสว่า …

            “พระองค์จะอยู่กับเรา จนกระทั่งถึงสิ้นยุค” แปลเป็นภาษาไทยเดิมว่า “จนถึงนิรันดร์”

            หมายถึงพระองค์จะไม่ให้เราอยู่ลำพังเพียงผู้เดียว  และไม่ทอดทิ้งเรา แต่จะอยู่กับเราตลอดไป ตลอดเวลา …

        2 ยอห์น 1:3 “พระคุณ ความเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระบิดา จะดำรงอยู่กับเราทั้งหลาย ในความจริงและความรัก”

            เห็นไหม? “ในความจริงและความรัก” อีกแล้ว เพราะว่าจดหมายฉบับนี้ ยอห์นเน้นถึงความสำคัญของการดำเนินชีวิตในความจริง คือมีชีวิตอยู่ในความจริงนี้  และในความรัก เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิตคริสเตียน ก็คือพระคุณ ความรัก ความเมตตาของพระเจ้า เป็นสิ่งที่เราได้รับผ่านทางพระเยซูคริสต์มา โดยไม่ได้พึ่งพาการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว  และการดำเนินชีวิตอย่างนี้ มันจึงทำให้เกิดสันติสุขจากพระบิดาในพระเยซูคริสต์

            จะเกิดสันติสุขได้เมื่อไร? เมื่อเราดำเนินชีวิตแบบนี้ คือแบบที่ไม่ต้องกลัวว่าจะหลุดออกจากพระบิดา พระบิดาอยู่กับเราตลอดเวลา ดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงเหล่านี้ ทำให้เรามีชีวิตที่มีสันติสุข ไม่ใช่มีความสุข ไม่ใช่ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้  ไม่มีลำบาก ไม่มีปัญหา ไม่ใช่ มีสันติสุข เพราะรู้ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา และแม้ว่าเราจะทำอะไรต่างๆ ประพฤติอะไรต่างๆ ก็ไม่ต้องกลัวเลย มันไม่สามารถมากระทบกระทั่งความจริงที่อยู่ในตัวเราได้เลย แม้แต่นิดหนึ่งว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราแล้ว  พระองค์จะไม่ไปไหนอีกเลย …

        2 ยอห์น 1:4 “ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้พบว่าลูกหลานของท่านบางคน ดำเนินชีวิตตามความจริง ตามที่เราได้รับพระบัญชาจากพระบิดา”

            “ลูกหลานของท่านบางคน” ลูกหลานของท่าน “ท่าน” ในที่นี้ ย้อนไปถึงสุภาพสตรี ก็หมายถึงคริสตจักร พี่น้อง คริสตจักรอื่นๆ  ที่อาจารย์ยอห์นเป็นผู้อาวุโส สมมติว่าเป็นคริสตจักรแม่เขียนไปถึงคริสตจักรลูกให้อ่านด้วย คริสตจักรลูกและสมาชิกในคริสตจักรลูกเหล่านี้ เป็นลูกหลานของท่าน  เพราะว่าเป็นการสำแดงความสัมพันธ์ของการเป็นพี่น้องกันในพระคริสต์นั่นเอง

            สมาชิกในคริสตจักรบางคนของท่าน ก็คือเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวใหญ่ ทางฝ่ายวิญญาณที่อาจารย์ยอห์น กำลังจะให้พี่น้องที่เป็นคริสเตียนรุ่นใหม่ได้รู้ว่าพอมาเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นพี่น้องกันทางฝ่ายวิญญาณ บางคนเริ่มดำเนินชีวิตเป็นไปตามความจริงเหล่านี้แล้ว  แต่บางคนได้รับความรอดแล้ว แต่ยังไม่ดำเนินชีวิตตามความจริงเหล่านี้ มันก็ทุกข์หนัก ทุกข์เกิน ถูกหลอกไปเรื่อยๆ ทั้งที่ความจริงอยู่ในตัวแล้ว นี่หมายถึงอย่างนั้น แต่ก็ดีใจที่รู้ว่าลูกหลานบางคน คือผู้เชื่อบางคนที่เป็นรุ่นใหม่ ที่เป็นลูกๆ หลานๆ ในคริสตจักร มีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามหลักการที่อาจารย์ยอห์นได้อธิบายไป ยอห์นได้แสดงความยินดีที่เห็นว่าเขาดำเนินชีวิตตามความจริงนี้ ตามข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีเกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ และสำแดงออกมาเป็นความประพฤติ เข้าใจใช่ไหม?

            สำแดงออกมาเป็นความประพฤติ คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกมาจากชีวิตของเขา ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สำคัญที่สุด ก็คืออย่างที่บอกเมื่อตะกี้นี้ว่าเขารู้ว่าเขาได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งปวง  ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตเรียบร้อยแล้ว เขาสบายใจแล้ว นี่คือการดำเนินชีวิตที่เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกมา

            ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ไปเน้นที่การประพฤติว่าเพราะว่าเขาเต็มไปด้วยความเมตตา ช่วยเหลือคน ดูภายนอก ไม่ใช่อย่างนั้นนะ  อย่าเข้าใจผิด ความรักที่มีต่อพี่น้อง หมายถึงความรักที่เขามีต่อพี่น้องในคริสตจักร ที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อเหมือนกัน ที่อยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ เรารักเขา มันหมายถึงอย่างนั้น มันไม่ได้หมายถึงว่าดำเนินชีวิตด้วยความรัก คือท่านพาคนเดินข้ามถนน ลุกให้หญิงมีครรภ์นั่งบนรถเมล์ อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้หมายถึงตรงนั้น อย่าไปเน้นถึงตรงนั้น พูดง่ายๆ เพราะว่ามันเป็นการแสดงออกภายนอก แต่ผลของการแสดงออกภายใน คือความรักต่อพี่น้องซึ่งกันและกัน จงรักซึ่งกันและกันตามที่พระเยซูได้บัญญัติไว้

            อาจารย์ยอห์นเน้นถึงความสำคัญของการยึดมั่นในความจริง คำสอนที่ได้รับมา เพื่อป้องกันการหลงผิด การถูกชักจูงให้ดำเนินชีวิตในทางเท็จที่มารหลอกลวงไปในทางที่ไม่ถูกต้อง คำว่า “ไม่ถูกต้อง” ก็อย่างที่บอก ถ้าเป็นการไม่ถูกต้องทางความประพฤติ ศีลธรรมอะไรต่างๆ นั้น ไม่ต้องไปสอนหรอก ใครๆ ก็รู้ เขาก็สอนกันทั้งหมด ทั้งศาสนาทั้งปวง ทางสังคมมนุษย์ทั้งหมด  แต่อย่างที่บอกไงว่าไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์  อย่างที่ตะกี้เรายกตัวอย่างเรื่องการสารภาพบาป ทำบาป เลยมาสารภาพ เลยไม่รู้ว่าข่าวประเสริฐ มันคืออะไร? ข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระเยซูคริสต์มันจะไม่เหมือนกับความเชื่ออื่นๆ ไม่เหมือนกับศาสนาอื่นๆ ไม่เหมือนเลย เพราะมันไม่เกี่ยวกับความประพฤติของมนุษย์เลย มันเกี่ยวโดยตรงอย่างเดียว คือความประพฤติของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์กระทำอะไรที่ไม้กางเขน? พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย?  พระองค์ทรงกระทำอะไร? และมันเกิดอะไรขึ้น? ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว มันคืออะไร?  การบังเกิดใหม่ มันคืออย่างไร? ตรงนี้สำคัญที่สุด คือเรื่องข่าวประเสริฐ คือการดำเนินชีวิตด้วยความเป็นจริง คือความสัมพันธ์แท้ หมายถึง Fellowship คือการสามัคคีธรรมที่แท้จริงของเรื่องฝ่ายวิญญาณว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว เราไปผูกพันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน  และคนที่บังเกิดใหม่ในพระเจ้าเหมือนกัน ก็จะเป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน สามัคคีธรรมทางวิญญาณอะไรต่างๆ เหล่านี้ ตัวนี้แหละ สำคัญที่สุด อาจารย์ยอห์นกำลังจะพูดอย่างนี้ …

        2 ยอห์น 1:5-6 “5 บัดนี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ท่านสุภาพสตรี มิใช่ข้าพเจ้าเขียนพระบัญญัติใหม่ถึงท่าน แต่เป็นพระบัญญัติ ซึ่งเรามีตั้งแต่เริ่มแรก คือให้เรารักซึ่งกันและกัน 6 และนี่แหละคือความรัก คือการที่เราดำเนินตามพระบัญญัติของพระเจ้า นี่แหละคือพระบัญญัติที่ท่านได้ยินตั้งแต่แรกเริ่ม คือให้ท่านดำเนินในความรักนั้น”

            นี่แหละคือบัญญัติที่ท่านได้ยินตั้งแต่แรกเริ่ม  … “ตั้งแต่แรกเริ่ม” หมายถึงคำสอนที่เป็นพื้นฐานและสำคัญที่คริสเตียนได้รับตั้งแต่เริ่มแรกที่พวกเขาได้ยิน และเชื่อในข่าวประเสริฐ คือเมื่อตอนที่พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศข่าวดี ก่อนที่จะไปทำงานให้สำเร็จที่ไม้กางเขน พระองค์เดินประกาศ พระองค์บอกว่าพระองค์มา เพื่อทำให้บัญญัติสมบูรณ์ จาก 613 ข้อ จากกฎบัญญัติต่างๆ ที่มนุษย์วางไว้ ตั้งไว้เยอะแยะ รวมแล้ว จะทำให้สมบูรณ์เรียบร้อย ให้เหลืออยู่แค่ข้อเดียว  และหนึ่งเดียวนั้น ก็คือจงดำเนินชีวิตด้วยความรัก รักซึ่งกันและกันนั่นเอง

            ดังนั้น บัญญัติตั้งแต่แรกเริ่ม ก็คือความรัก การรักซึ่งกันและกันเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อและการสัมพันธ์กัน สามัคคีธรรมกัน ในชีวิตของคริสเตียน ที่เรามีต่อพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในคริสตจักร

            ตรงนี้ คือผลของการดำเนินชีวิตในความจริง ถ้าท่านดำเนินชีวิตด้วยความจริงเมื่อไร? หมายถึงในวิญญาณท่าน ท่านรู้ว่าท่านรักในพี่น้องคริสเตียนและรักพระเจ้าเท่าๆ กัน รู้ว่าเขาก็มีพระเจ้า เราก็มีพระเจ้า ส่วนความประพฤติก็แยกไปอีกต่างหาก

            ยอห์นเน้นว่าความรักนี้เป็นสิ่งที่เราควรดำเนินชีวิตตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นพยานถึงความจริงของพระเจ้าในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่อง ก็คือพูดง่ายๆ ว่าหลักข้อเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ คือ …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว พระโลหิตพระเยซูคริสต์ชำระฉันแล้ว         วิญญาณของฉันในปัจจุบัน และใจของฉันนั้น เป็นใจใหม่ วิญญาณใหม่ที่ได้บังเกิดใหม่จากพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ร่างกายได้รับรีไซเคิลใหม่ สะอาด หมดจด ชำระเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรเป็นด่างพร้อย ไม่มีมลทินเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่สกปรกโสโครกเลย ไม่เลย พระเจ้าจึงเข้ามาสถิตอยู่ได้ ฉันรอเพียงร่างกายใหม่เท่านั้น วันหนึ่งข้างหน้า ฉันจะเข้าผ่าตัดอีกทีหนึ่ง ผ่าตัดเอาร่างกายใหม่เข้ามาสวม ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์”

            สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันควรจะอยู่ในความคิดของเรา คือการดำเนินชีวิตของเราในความจริง มันจะเป็นอย่างนี้ พอมองไปถึงพี่น้องคริสเตียนทั่วโลก เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่เราเป็นหนึ่งเดียวกันธรรมดา เราเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ เราเป็นครอบครัว เป็นพี่น้องกันในพระคริสต์ เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน อยู่ในพระคริสต์อีกทีหนึ่ง และในพระคริสต์อยู่ในไหน? อยู่ในพระเจ้าอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นครอบครัวใหญ่ของมหาจักรวาลนี้ ของโลกนี้เลย คือครอบครัวของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

            ความคิดอย่างนี้ ความเชื่ออย่างนี้ ควรจะวนเวียนอยู่ในตัวเราตลอดเวลา เรียกว่าการดำเนินชีวิตในความจริงในพระคริสต์ มันเป็นอย่างนี้ เหมือนบทเพลงที่เราร้อง

                        “เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์  เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”

            ความรัก คือความจริง พระเยซูเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต และเป็นความรัก เราก็อยู่ในทางนั้น เป็นความรัก เป็นชีวิตและความจริงเหมือนพระองค์เลย “เรา” คือคริสเตียนทั้งหมด ผู้เชื่อทั้งหมด เป็นหนึ่งเดียวกัน และเราเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในพระเยซู แล้วพระเยซูอยู่ในไหน? พระเยซูอยู่ในพระเจ้าพระบิดา เราจึงเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว  ไม่ว่าท่านจะอะไร ต่อให้โลกจะแตก โลกจะสิ้นสุดลงเมื่อไรก็ตาม ท่านก็อยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ อยู่ในครอบครัวนี้ตลอดไป เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์ มันเป็นเช่นนี้ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

**************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “คนใจกว้างจะเจริญรุ่งเรือง และผู้ที่รดน้ำคนอื่น จะได้รับการรดน้ำตอบแทน”

            สุภาษิต 19:17 … “ผู้ที่มีเมตตาต่อคนยากจน ก็ให้พระเจ้าทรงยืม และพระองค์จะทรงตอบแทนแก่การกระทำของเขา”

            ข้อความนี้เน้นถึงความสำคัญของการมีเมตตา และช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะคนกำลังอยู่ในความขัดสน การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการให้พระเจ้ายืม และพระองค์จะตอบแทนด้วยพระพรและสิ่งดีๆ ในชีวิต ตามน้ำพระทัย

            ในบริบทของพันธสัญญาใหม่ การกระทำที่มีเมตตาและความรักต่อผู้อื่น เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทำงานอยู่ภายในวิญญาณ ในชีวิตของผู้เชื่อ เป็นของประทาน มีอยู่แล้วในวิญญาณของคริสเตียนทุกคน เมื่อได้บังเกิดใหม่

            กาลาเทีย 5:22-23 … “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือ …

                        – ความรัก

                        – ความชื่นชมยินดี

                        – สันติสุข

                        – ความอดทน

                        – ความปราณี

                        – ความดี

                        – ความสัตย์ซื่อ

                        23 ความสุภาพอ่อนโยน

                        และการควบคุมตนเอง

            สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย (ไม่มีการบังคับให้ทำ แต่ทำได้เองโดยอัตโนมัติ เพราะเป็นธรรมชาติใหม่ของผู้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์)

            และเป็นการแสดงออกถึงความรัก ที่พระเจ้าได้ใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา เราจึงสามารถแบ่งปันความรักนี้ให้กับผู้อื่นได้

            1 ยอห์น 4:19 … “เรา​รัก​ ก็​เพราะ​พระ​องค์​ได้​รัก​เรา​ก่อน”

            การรักผู้คนรอบข้าง และการทำดีต่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อรับรางวัล แต่เป็นการตอบสนองต่อความรักและพระคุณ ที่เราได้รับจากพระเจ้า และเป็นการสำแดงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในวิญญาณของเราออกมา เป็นการกระทำ

            เอเฟซัส 2:8-9 … “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปราน ของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้”

            ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีของตัวเองในความรอดของตนได้

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1529

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  กรกฎาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 20 “คริสเตียนเราไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 20 “คริสเตียนเราไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว”

            “ฉันไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว”

            ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 19 ชื่อเรื่องจำได้ไหม?  “บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร?” วันนี้ตอนที่ 20 เรื่อง “คริสเตียนเราไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว” ทวนครั้งที่แล้วหน่อย “บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร?” คือบาปทั้งหมดบนโลกใบนี้ที่มีอยู่ ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนถึงคิดอิจฉาริษยาเขา พูดโกหกนิดหน่อย มีค่าเท่ากัน บาปเหล่านี้ ปกติต้องนำไปสู่ความตาย  แต่พระเยซูช่วยเราหลุดพ้น เป็นคริสเตียนเกิดใหม่แล้ว  เพราะฉะนั้น บาปเหล่านี้ ต่อให้เราล้มลงและทำไป ก็ไม่นำให้เราไปสู่ความตาย คือตกนรกนั่นเอง  ตายนี้ หมายถึงตายฝ่ายวิญญาณ และบาปที่นำไปสู่ความตาย คืออะไร?  คือบาปเดียวบนโลกใบนี้ที่มนุษย์ทำ นอกเหนือจากที่ตะกี้นี้บอกมาทั้งหมด ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนกระทั่งถึงโกหก บาปเหล่านั้น  พระเจ้าอภัยให้ได้ผ่านทางพระเยซู แต่บาปเดียวที่พระเจ้าอภัยให้ไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียวบนโลกใบนี้  มีเพียงบาปเดียว ก็คือบาปที่ปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ ก็คือปฏิเสธผู้ที่จะมาอภัยบาปให้กับเรา ก็ไม่ได้รับความรอดนั่นเอง อันนี้ช่วยไม่ได้ พระเจ้าวางไว้ให้อย่างนั้นแล้ว ถ้าไม่รับ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?

            วันนี้ ตอนที่ 20 “คริสเตียนเราไม่ปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปแล้ว” คริสเตียนฟังอย่างนี้แล้ว จะเชื่อไหม? เชื่อหรือไม่ว่าเรามีธรรมชาติใหม่ มีวิญญาณใหม่ มีใจใหม่ที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่าบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ขณะนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเป็นอย่างนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณเรียบร้อยแล้ว เราไม่มีความปรารถนาที่จะทำบาปอีกต่อไปเลย เชื่อหรือไม่เชื่อ? ถ้าเชื่อ มาเริ่มต้นวันนี้เลย

            วันนี้ เริ่มจากหนังสือ 1 ยอห์น 5:18 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:18 “เรารู้ว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ไม่ทำบาปต่อไป แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้า ทรงปกป้องเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้”

            “ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า” ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย … คริสเตียนทั้งหลายไม่ทำบาปอีกต่อไป  ประโยคแรกก็ทำให้หลายคนสับสนแล้วนะ ถามตัวเองสิ เราเป็นคริสเตียนหรือเปล่า? ในนี้บอกว่า “ไม่ทำบาปอีกต่อไป” แล้วเราทำไหม?

            “ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปอีกต่อไป” รู้สึกมันขัดกับความเป็นจริงนะ วันนี้ก่อนเดินเข้ามาในโบสถ์ ก่อนเดินเข้ามาในห้องนี้ ทำบาปอะไรหรือเปล่า? หงุดหงิดกับใครหรือเปล่า?  หงุดหงิดเรื่องการจราจรไหม? บ่นว่าใคร? นินทาใครหรือเปล่า?  คิดอิจฉาใครไหม? คิดไม่ดีกับใครหรือเปล่า? แล้วเมื่อวานทำหรือเปล่า? แล้วเมื่อคืนทำหรือเปล่า?  แล้วเดี๋ยวจากนี้ต่อไปจะทำหรือเปล่า? ไม่ค่อยแน่ใจเลย งงเลยใช่ไหม?

            จะบอกอะไรให้ อ่านตรงนี้แล้วสะดุ้ง คิดสับสน  เป็นคริสเตียนแล้วเราทำบาป เราทำอยู่ พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แค่คิดอิจฉาคนก็ทำบาปแล้ว พระคัมภีร์ภาษาไทยได้แปลอย่างนี้ว่าไม่ทำบาปเลย เฉยๆ ไม่ได้หมายถึงว่าเขาใส่คำว่าเฉยๆ ลงไปข้างในนะ ก็คือแปลแบบตะกี้ที่บอก ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป  ไม่มีคำว่า “ต่อไป” อันนี้ผมมาใส่ให้กระจ่างขึ้นนิดหนึ่ง คำว่า “ต่อไป” มันก็กระจ่างไม่เยอะอยู่ดี มันก็ยังสับสนอยู่ดีใช่ไหมว่าเราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราไม่ทำบาปอีกต่อไปเลยหรือ? ก็ไม่ใช่

            ภาษาเดิมจริงๆ ในบางฉบับ ที่แปลมาเป็นภาษาอังกฤษแล้ว บางฉบับเขาถึงใช้คำแปลคำนี้ให้อธิบายละเอียดขึ้นว่าบริบทนี้ คำนี้ อาจารย์ยอห์นหมายถึงอะไร?  เพื่อจะได้ไม่แปล แล้วมาย้อนแย้งกับความจริงที่อาจารย์ยอห์นได้อธิบาย ได้สอนไว้

            คำว่า “Keep On” หมายถึงต่อไปเรื่อยๆ  เป็นคริสเตียนแล้ว เกิดใหม่ในพระเจ้าแล้ว เขาคนนั้นจะไม่ทำบาปต่อไปเรื่อยๆ  ก็ละเอียดขึ้นมานิดหนึ่งใช่ไหม? แต่มีบางฉบับที่แปลเป็นภาษาไทยแล้วละเอียดขึ้น เป็นคริสเตียนเกิดใหม่แล้ว เขาจะไม่ทำบาปต่อไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เป็นกิจวัตร ชัดขึ้นแล้วนะ

            คำว่า “ทำบาปเป็นกิจวัตร” หมายถึงการทำบาปเป็นวิสัย เป็นวิถีชีวิต เป็นแนวโน้ม เป็นเส้นทาง เป็นธรรมชาติ อันนี้ค่อยเข้าท่าหน่อยนะ  แต่ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว  เรามีแนวโน้ม มีวิถีชีวิต มีเส้นทางใหม่ มีนิสัยใหม่ มีธรรมชาติใหม่ จากวิญญาณใหม่ จากใจใหม่ที่เราได้เรียนรู้แล้ว เราจึงมีแนวโน้มในทางจิตใจแบบใหม่แล้ว คือตามแบบพระคริสต์ ตามแบบพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายใน อันนี้ค่อยเข้าท่า เป็นคริสเตียนต้องเป็นอย่างนั้นแหละ

            แต่ถ้าท่านยังอยู่ในแนวโน้มเก่า  ยังอยู่ในวิถีเดิม ในทางเดิม นิสัยเดิม  ก็หมายความว่าคนนั้น หรือท่านยังไม่ได้เกิดจากพระเจ้า ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนนั่นเอง  เพราะว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ไม่ทำบาปเป็นนิสัย เป็นธรรมชาติอีกต่อไปแล้ว  เอเมน ชัดเลยนะ

            ในพระคัมภีร์บอกว่าพอเราเกิดใหม่ พระเจ้าได้ประทานวิญญาณใหม่และใจใหม่ให้กับเรา และประทานความปรารถนาในใจใหม่ให้กับเรา ในใจใหม่เรามีแต่ความปรารถนาที่เป็นของพระเจ้าทั้งสิ้น การที่เรามีใจปรารถนาที่จะไม่ทำบาปอีกต่อไป ก็คือเราได้เกิดใหม่แล้ว ใจปรารถนาเราเปลี่ยนไปแล้ว จากข้างใน พระเจ้าให้มา ไม่ใช่เราตั้งใจจะทำเอง แต่มันเป็นของประทาน การที่มีใจปรารถนาที่ไม่ทำบาปต่อไปอีก ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำบาปอีกเลย คนละอันกันแล้วนะ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำบาปอีกเลย แต่หมายถึงว่าเราไม่ได้อยู่ภายใต้การครอบงำของบาป  ไม่ได้เป็นทาสบาป ให้เราปรารถนาที่จะทำบาปเหมือนแต่ก่อน  เป็นกิจวัตรเหมือนแต่ก่อน เป็นนิสัยเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว  เพราะเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน คอยนำเรา ให้ดำเนินชีวิตตามที่ถูกต้อง ตามที่เราได้บังเกิดใหม่ ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าที่สถิตอยู่ด้วย ภายในตัวเรานั่นเอง ในโรม 6:14 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 6:14 “เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านไม่ได้อีก เพราะว่าท่านไม่ได้อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ แต่ภายใต้พระคุณ”

            บาปเป็นเจ้านายเราไม่ได้อีกแล้ว เราหลุดแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว ในพระคริสต์ชีวิตเรามีแนวโน้มใหม่ มีทางใหม่ มีธรรมชาตินิสัยใหม่ คือเดินตามน้ำพระทัยพระเจ้า ซึ่งแม้เราอาจจะสะดุดล้มลงบ้างในขณะเดินกับพระเจ้า แต่เราจะไม่หลงอยู่ในเส้นทางเก่า ที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว หนังสือยากอบได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า “เราทุกคน หมายถึงคริสเตียนทุกคน สามารถสะดุด ล้มลงในการบาปหลายๆ ด้าน ทั้งหมดเลยนะ เราอาจจะโกหก อิจฉา อะไรที่บอก ตั้งแต่ฆ่าคนตาย จนกระทั่งถึงอิจฉา หรือหงุดหงิดอะไรแบบนี้ แต่บาปเหล่านั้น เป็นแค่ส่วนหนึ่ง ในการเรียนรู้ ฝึกฝนและเจริญเติบโตในฝ่ายวิญญาณใหม่ ที่เรากำลังเดินในทางใหม่ ในทางพระคริสต์ โดยพระวิญญาณนำเท่านั้นเอง

            คริสเตียนทุกส่วนในตัวของเรา อย่างที่บอกว่าเราบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมแล้ว บางทีเราคิดแค่ว่าเราบริสุทธิ์ ดีพร้อม แค่วิญญาณและใจใหม่เท่านั้น  เราลืมคิดไป หรือเราคิดไม่ถึงว่าร่างกายเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกไว้  พอเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เรียกว่าล้มลงในความบาป  เราก็นึกว่าร่างกายของเรา  ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ ร่างกายบาปอยู่ ซึ่งพระคัมภีร์ไม่ได้บอกอย่างนั้น พระคัมภีร์บอกคริสเตียนทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ จิตใจ หรือร่างกาย เป็นสิ่งที่ได้ทรงชำระแล้ว

            “ได้ชำระแล้ว ร่างกายของท่าน ร่างกายของฉัน ได้ถูกชำระล้างแล้ว  สะอาดหมดจดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว”

            แค่ไหนเรียกว่าบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ไร้มลทินใดๆ ที่พระเจ้าสามารถรับได้  และโปรดปรานด้วย พระคัมภีร์บันทึกไว้เช่นนั้น ในหนังสือโรม 12:1 โปรดปรานด้วย สะอาดหมดจดแล้ว พิสูจน์ได้อย่างไร? พระองค์จึงเสด็จเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า ไม่มีส่วนใดเลยที่เป็นบาป แม้ในร่างกายนี้ ซึ่งเป็นพระวิหารของพระเจ้า นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ขอบคุณพระเจ้า

            และย้ำในความคิดของเราว่านี่คือความจริง อย่าลืม เพราะเราเคยชินกับหนทางเก่า อันนี้ไม่ต้องพูดก็ได้ พอเราหงุดหงิด ฉันทำไมเป็นคนอย่างนี้  พอนินทาใคร ทำไมฉันเป็นคนอย่างนี้  นิสัยอย่างนี้ ฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว เอเมนไหม?  แต่ฉันเผลอ ฉันถูกหลอกลวง ถูกล่อลวง ให้กระทำไป เดี๋ยวเราดูสิว่าเป็นอย่างไรต่อไป ก็คือทำไมเรายังทำ ก็เราคริสเตียนยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ยังไม่หมดลมหายใจ เรายังอยู่บนโลกที่ปกคลุมไปด้วยความบาป ความตาย หรือกฎของความบาปและความตาย คำสาปแช่ง ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้อยู่ ซึ่งมีพลังอำนาจความบาปและความตายมาทางพลังของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่เรียกว่าระบบของโลก กระแสของโลก ซึ่งมีความชั่วร้าย ผลักดันให้มนุษย์ทำสิ่งที่ชั่วร้าย ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า มันมีอยู่จริงๆ เรามองไม่เห็น แต่พระคัมภีร์บอกมันมีอยู่ อะไรมีอยู่ แรงผลักดันให้ทำชั่ว ทำสิ่งที่ไม่ดี มีอยู่จริงๆ มีแรงผลักดันนี้จริงๆ  เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก

            แรงดึงดูดของโลกมีไหม? มี เห็นหรือไม่เห็น? ไม่เห็น โยนของขึ้นไป แล้วทำไมมันตกลงมาล่ะ โลกดึงดูดมันลงมา เราเห็นแรงดึงดูดของโลกไหม? ไม่เห็น แต่มันมีจริงๆ เช่นเดียวกัน คริสเตียนไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่ใช่คริสเตียนไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่เรียกว่าความชั่วร้าย  กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็คือระบบของแรงดึงดูดของฝ่ายวิญญาณดูดให้เขาทำในสิ่งที่ชั่วร้ายนั้น แต่ คริสเตียนมีจิตใจ มีความปรารถนาที่ไม่อยากจะทำอยู่แล้ว แต่เผลอร่วงหล่นลงไป เรียกว่าล้มลง ก็เหมือนคนที่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วเผลอ พลาดล้มลง ล้มลงมาเจ็บไหม? เจ็บ ก็หล่นลงมาจากต้นไม้ คล้ายๆ กันอย่างนั้น ซึ่งมารมีอิทธิพล คอยชักจูง ผลักดัน ล่อลวงให้เราหลงทำตามมัน โดยล่อลวงให้เราหลงล้มลง ด้วยแรงพลังของความบาป ความชั่วร้ายนี่แหละ ที่มองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ มันเป็นศัตรูกับพระเจ้า

            กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มารใช้ พลังอำนาจของความบาปและความตาย  ไม่ได้เป็นของพระเจ้า  แต่เป็นศัตรูกับพระเจ้า มันไม่ใช่ของพระเจ้า จึงไม่ได้อยู่ในตัวเรา เป็นของเรา มันไม่ได้มีส่วนอยู่ในตะกี้นี้ที่บอกว่าวิญญาณใหม่ ใจใหม่ ร่างกายสะอาดหมดจดใหม่แล้ว มันไม่ได้เป็นตัวเราเลยแม้แต่นิดเดียว  แต่มันเป็นพลังอำนาจที่แอบแฝงอยู่ในร่างกายของเรา  อยู่ในสมองของเรา ซึ่งผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบเหมือนปรสิต เหมือนพยาธิที่อยู่กับเรา มันไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นพยาธิ มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวเรา แต่มันทำร้ายเราได้

            คำว่า “ทำร้าย” หมายถึงมันทำให้เราเสียศูนย์ ก็คือล่อลวงให้เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ใน 2 โครินธ์ 5:17 บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจน เราจะได้มั่นใจว่าตัวเรา คริสเตียนเป็นอย่างไร? …

        2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่ ) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            ทุกสิ่งใหม่หมด พระเจ้าไม่ให้เราบังเกิดใหม่ เพื่อเป็นคนบาป หรือส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นคนบาป มีมลทิน สกปรกเหมือนเดิม ไม่มี เกิดใหม่ทั้งหมดเลย ร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้าที่เข้ามาสถิตอยู่ เพราะฉะนั้น บริสุทธิ์แน่นอน

            อัครทูตยอห์นบอกว่าคริสเตียนเป็นผู้ที่ไม่กระทำบาป แพ้การทำบาป ทำไม่ได้เลย ทำแล้วสะดุ้ง คือล้มลงในความบาป แล้วเจ็บ เผลอปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ไม่ระวังตัว หล่นลงมา เจ็บไหม? เจ็บ ชอบขึ้นไปอีกไหม? ไม่ชอบ ตามธรรมชาติ คือเจ็บ ก็ระวังแล้ว เช่นเดียวกัน คริสเตียน เมื่อเขาทำอะไรที่ผิดบาป เขาล้มลงในความบาป เขาเจ็บ เจ็บแล้ว เขาไม่อยาก ไม่ต้องการ ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:9 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 3:9 “ทุกคน​ที่​เป็น​ลูก​ของ​พระเจ้า ​จะ​ไม่​ทำ​บาป​อีก​ต่อไป ​เพราะ​ธรรมชาติ​ของ​พระเจ้า​ ได้​เข้า​ไป​อยู่​ใน​คนๆ นั้น​แล้ว ด้วย​เหตุนี้​ คนๆ นั้น​ก็​ไม่​สามารถที่​จะ​ทำ​บาป​ได้​อีก​ต่อไป เพราะ​เขาได้​มา​เป็น​ลูก​ของ​พระเจ้า​แล้ว”

            ชัดไหม? ชัดเลย อาจารย์ยอห์นจึงบอกอย่างนี้ว่าคริสเตียนไม่สามารถกระทำบาปจากใจใหม่ของเขาได้ เพราะพระเจ้าผู้บริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในเขา  และเขาก็บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ ต่างฝ่ายต่างบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเราคิดว่าเราอยากทำบาปด้วยตัวเราเอง ก็แสดงว่าเรากำลังบอกว่าพระเจ้าอยากทำบาป พระเจ้าทำบาปได้ พระเยซูทำบาปได้ เพราะเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน คนที่เป็น คริสเตียนได้บังเกิดใหม่ เป็นหน่อเชื้อทางวิญญาณของพระเจ้า เกิดจากพระเจ้า DNA วิญญาณมาจากพระเจ้า ไม่มีบาปในวิญญาณ และในใจใหม่เลย  จึงไม่มีทางทำบาป ตามธรรมชาติจากภายในเลย แม้แต่นิดเดียว นอกจากพลั้งเผลอ ถูกหลอก ถูกล่อลวงจากภายนอก ตามที่ตะกี้ได้บอก ระบบของโลกนี้ ตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่มารใช้ในการล่อลวง อยู่ภายนอกร่างกายเรา มันไม่ได้เป็นตัวเราที่เป็นผู้ทำ กาลาเทีย 5:17 จึงได้บอกอย่างนี้ว่า …

        กาลาเทีย 5:17 “เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนัง มันต่อสู้กับความต้องการของพระวิญญาณ และความต้องการของพระวิญญาณ ก็ต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง  เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจใหม่ของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์”

            เห็นไหม ภายในของท่าน พระเจ้าสถิตอยู่ และวิญญาณของท่านถูกสร้างใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด ต้องการทำสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้าแน่นอน 100% แต่ภายนอกมีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่เรียกว่าเนื้อหนัง มันเป็นศัตรู มันพยายามขัดขวาง ไม่ให้ท่านทำตามพระวิญญาณ

            “ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจใหม่ของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว” เห็นไหม? มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นปรสิต มันเป็นพยาธิที่พยายามที่จะขวางเรา ไม่ให้เราทำ ทำให้เราอ่อนแรง ทำให้เราหลงทาง นี่คือความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ระหว่างความปรารถนาในใจใหม่ของคริสเตียน โดยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน และความคิดแบบเนื้อหนัง หรือธรรมชาติบาปเดิม คือเรียกว่าทางเก่า แนวโน้มเก่า นิสัยเก่านั่นเอง ชัดเจนเลยนะ

            ในฐานะคริสเตียนที่มีใจใหม่ เรามีความปรารถนาที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เป็นไปตามธรรมชาติใหม่ในพระคริสต์ ไม่ใช่ว่าเราพยายามทำ แต่มันเป็นธรรมชาติ  ที่อยู่ในพระคริสต์ เมื่อเราบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า คือแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นเลย คือมีโอกาสจะถูกล่อลวงให้ปรารถนาที่จะทำบาป เป็นไปไม่ได้ พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแลอยู่ พระวิญญาณสถิตอยู่กับเราภายใน เราบริสุทธิ์ สะอาด เราต้องการทำตามพระเจ้า และมันก็เป็นอย่างนั้น 100% เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อมันเป็นตามธรรมชาติ มันไม่มีทางเป็นอื่น เหมือนปลารักน้ำ มันเป็นธรรมชาติ อย่างไรมันก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่างไรมันก็อยู่ในน้ำ อยู่กับน้ำ พอมันอยู่บนบก มันตาย มันไม่ตายก็คางเหลือง ดิ้น ทารุณ เพราะธรรมชาติมันอยู่ในน้ำ ฉันใดฉันนั้น คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว ธรรมชาติเขาบริสุทธิ์ ไม่ทำบาป อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกตะกี้นี้ว่าแต่คริสเตียน เรายังอาศัยอยู่บนโลกนี้อยู่ ซึ่งมีอิทธิพลของความบาป มีแรงดึงดูดให้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายอยู่ เรียกว่ากฎของความบาปและความสาปแช่งปกคลุมอยู่ ยังต้องเผชิญกับแรงดึงดูดของความชั่วร้ายนี้ ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทุกเสี้ยววินาที แรงดึงดูดนี้จะพยายามดึงดูดเราให้ออกห่างจากพระเจ้า ออกห่างจากความปรารถนาในใจ ออกห่างจากความจริงของพระเจ้า ออกห่างจากความเชื่อฟังความจริงของพระเจ้า คือมันพยายามโกหก ตอแหล พูดอะไรก็ตามที่มันอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า  เป็นศัตรูกับพระเจ้า มันต้องการให้เราดื้อกับพระเจ้า ต้องการให้เราดับพระวิญญาณ  คือไม่เชื่อฟังพระวิญญาณ  และมันทำได้อย่างไร? มันทำได้แค่ส่งกระแสมาในความคิด ในสมองของเรา  พยายามดึงเราให้เชื่อฟังตามมัน แทนที่จะตามพระวิญญาณ  ความคิดแบบเนื้อหนังนี้ มาจากระบบของความคิดแบบเดิม แบบเก่า โปรแกรมความคิดแบบเดิม ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ก่อนที่เราจะได้รับการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน  เราคิดอย่างนั้น เรามีทางเก่าอย่างนั้น  และตอนนี้เราเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียน  มีทางใหม่แล้ว มีธรรมชาติใหม่  แต่ความเคยชินเดิม มันยังคงอยู่ นึกออกใช่ไหม? มันยังคงอยู่ในร่างกายเรา ความเคยชินเดิม เหมือนกับรถ รถขับมา แล้วดับเครื่องเลย มันยังวิ่งอยู่นะ ที่มันยังวิ่งอยู่ เพราะมันมีแรงเก่าของเครื่องที่ผลักดันให้มันวิ่งอยู่ แต่มันค่อยๆ วิ่งไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ช้าลงๆ ในที่สุดมันก็หยุด

            คริสเตียนฉันใดก็ฉันนั้นแหละ อาจจะดูว่ายังทำบาปอยู่ แต่อีกไม่นานหรอก มันไม่ได้เป็นธรรมชาติของเขา ในที่สุด มันก็จะหยุดลง ตามแผนการพระเจ้าที่วางไว้ พระวิญญาณจะเป็นผู้นำ เพราะฉะนั้น คริสเตียนจึงไม่ทำบาปตามใจปรารถนา เป็นกิจวัตร เป็นนิสัยอย่างแน่นอน 100% เอเมน ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา

            คราวนี้ท่านก็พูดด้วยความมั่นใจได้แล้วใช่ไหมว่า … “ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรมเหมือนพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว”

            แต่ก่อนพูดไป ท่านก็อาจจะตะขิดตะขวางใจว่า … “ร่างกายฉันยังสกปรกอยู่ ร่างกายฉันยังมีมลทินอยู่”

            ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าไม่ใช่เลย

            ในข้อนี้ตอนที่ 2 ตอนต่อไป … “แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้า ทรงปกป้องเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้”

            ชัดเจนเลย “แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้า” ก็คือพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงปกป้องคุ้มครองเรา ผู้ที่ได้บังเกิดใหม่เช่นเดียวกันกับพระองค์ มันหมายถึงอย่างนี้ ข้อความนี้หมายถึงว่าผู้ที่บังเกิดจากพระเจ้า คือพระเยซูจะปกป้องคุ้มครองดูแลวิญญาณของเราที่ได้บังเกิดใหม่ เหมือนกับพระองค์ มารร้ายแตะต้องเราไม่ได้เลย  เพราะว่าพระเยซูคริสต์ปกป้องเรา และพระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน? พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา แล้วใครจะต่อสู้เราได้ เราร้องอยู่บ่อยๆ พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา ใครจะต่อสู้เราได้ ยอห์นบอกชัดเจนเลยว่ามารร้ายไม่อาจแตะต้องเราได้

            “มารร้ายไม่สามารถแตะต้องเราได้”

            เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ แตะต้องเรา ก็เท่ากับแตะต้องพระเยซู แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันเป็นไปได้ไหม? อาจารย์ยอห์นจึงเน้นตรงนี้ว่ามารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้ เขา คือคริสเตียนที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ภายในเขา ปกป้องเขา ถ้าเขาแตะเราได้ เราเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายของพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ แตะต้องเรา ก็เท่ากับแตะต้องพระคริสต์ ถ้าเรายังเชื่อว่ามารยังสามารถทำอันตรายเราได้ เรากำลังด้อยค่าพระเยซูคริสต์มากเลย  แตะต้องเราก็เท่ากับแตะต้องพระเยซูคริสต์

            ดังนั้น ศัตรู คือมาร เมื่อมันทำอะไรไม่ได้ แตะต้องพระเยซูไม่ได้ ก็มาแตะต้องผู้เชื่อ คือคริสเตียนดีกว่า แต่แตะต้องคริสเตียนก็เท่ากับแตะต้องพระเยซูก็ไม่ได้อีก มันเลยใช้วิธีแตะต้องโดยการโกหก หลอกลวง ทำให้คริสเตียน หรือผู้เชื่อคิดว่ามันยังมีอำนาจอยู่ มันยังเจ๋งอยู่ เราเป็นเหยื่อที่มันจะเขมือบได้ มันก็ทำให้เรากลัวได้ และมันทำสำเร็จไหม? สำเร็จบ้าง? ก็ทำให้คริสเตียนกลัวมาร ซึ่งมันได้แต่ใส่ร้าย ป้ายสี พูดมดเท็จ อย่างเช่น ตะกี้ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว”

            มันก็ใส่ร้ายป้ายสี … “เธอชอบธรรมหรือ? อะไรเนี้ย ขายผลไม้ยังขี้โกงตาชั่งเลย”

            มีไหม? มีคริสเตียนทำอย่างนี้ไหม? พูดกันตรงๆ มีไหม? ถ้าไม่มีเอาอย่างนี้ง่ายๆ ดีกว่า เมื่อตะกี้ยังโกหกอยู่เลย มีไหม? หรือไม่มีใครโกหกแล้ว  เธอยังอิจฉาริษยา ยิ่งตรงๆ เลย ตะกี้นี้ยังนินทาชาวบ้านเขาอยู่เลย นินทา ตกนรกนะ ในนี้เขียนไว้ แล้วอย่างนี้บริสุทธิ์ได้อย่างไร? กลับไปบ้านยังหงุดหงิดกับครอบครัวเลย  เถียงกัน ทะเลาะกัน อย่างนี้หรือบริสุทธิ์ ชอบธรรมหรืออย่างนี้ ยังโกงภาษีอยู่เลย ยังทำใจไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่าชอบธรรมหรือ? บุหรี่ก็ยังสูบอยู่ เหล้าก็ยังกินอยู่ กินเหล้า สูบบุหรี่ เขาเรียกว่าบาปทั้งนั้นแหละ แล้วเธอจะไม่เป็นคนบาปได้อย่างไร เธอเป็นคนบาป  เธอไม่ได้เป็นคนชอบธรรมหรอก เยอะไหม? ที่พูดไป ยังมีอีกเยอะไปหมดเลย มันก็เอาวิธีการนี้มาใส่ความคิดให้เรา ทำให้เราสะเทือน ทำให้เราเริ่มสงสัย …

            “ฉันเป็นคนชอบธรรมจริงไหม? แน่ใจหรือ? ชักไม่ค่อยแน่ใจ”

            ยากอบ 4:7 จึงรู้ แนะนำให้เราบอกว่า “จงยืนหยัดมั่นคงในพระเจ้า แล้วมารมันจะหนีท่านไป” ชัดกว่านั้น แปลอย่างลึกซึ้ง บอกว่า “จงยืนหยัดต่อต้านมาร แล้วมันจะหนีท่านไปด้วยความตกใจกลัวสุดขีดว่านี่มันรู้จริง อย่าไปหลอกมัน ไปหลอกทางอื่นดีกว่า”

            นี่แหละ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ บางทีความคิดเข้ามา โดยไม่ต้องมีอะไรเลย  ไม่ต้องมีการกระทำ แต่มันเอาข้อมูลในอดีต ที่เราฝังไว้ในความคิด แล้วก็เร้ามันขึ้นมา อย่างเช่นเมื่อตะกี้นี้บอกว่าไม่ชอบธรรม เพราะเราไปกินเหล้า สูบบุหรี่ สมมตินะ  หรือทำอะไรเห็นความประพฤติ แต่บางครั้งอยู่ดีๆ อาบน้ำ บอก …

            “พระเจ้ามีจริงไหมเนี้ย  เธอจะเชื่ออะไรบ้าๆ บอๆ หรือ?” มันคิดขึ้นมาเฉยๆ “มันเป็นจริงหรือเนี้ย เธอฝันไป เธอเพ้อไปแล้วหรือ? ตายไปจะได้รับความรอดหรือ? เธอยังไม่ได้สะสมความดีงามเลย แล้วจะไปรอดหรือ? จะไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า แน่ใจหรือว่าเธอทำบริสุทธิ์ ดีพร้อมทุกอย่าง”

            มันคิดขึ้นมาเอง เราก็ไขว้เขว เพราะมันต้องการให้เราไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าเรารอดด้วยความเชื่อ ผ่านทางพระคุณ ความเชื่อ … ความเชื่อ คือการมองไม่เห็น แต่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่พระองค์ทรงตรัสไว้ ทรงบอกไว้ เพราะฉะนั้น มารก็มีแค่โกหก ใส่ร้าย ด่าทอ กล่าวหา กล่าวโทษ ในพระคัมภีร์บอกว่าทั้งกลางวันและกลางคืน หมายถึงว่าตอนที่เราหลับอยู่มันก็ใส่ความฝันเข้ามาได้เหมือนกัน เอาข้อมูลต่างๆ มาให้เราฝันร้าย เคยไหม? ฝันว่าตีหัวชาวบ้านเขา ฝันว่าอะไรก็แล้วแต่

            สิ่งเหล่านี้ ที่มันทำ เพราะมันแตะต้องเราไม่ได้  ถ้ามันแตะต้องเราได้ มันไม่มาเสียเวลาโกหกหลอกลวงเราหรอก มันเข้ามาสิงเราหมดเรื่องหมดราว มันเข้ามาหักคอเราหมดเรื่องหมดราว มันทำไม่ได้ มันก็เลยใช้วิธีโกหกไปเรื่อยๆ วันต่อวัน  เพราะมันไม่มีอำนาจใดๆ

            เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ว่าศัตรู คือมาร ทำได้แค่เห่า ไม่มีเขี้ยวจริง ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น มันเหมือนสิงห์คำราม แต่เขี้ยวหัก เขมือบเราไม่ได้ แล้วให้เราทำอย่างไร? เราใส่ใจวิ่งสู้กับมันหรือ? ไม่ใช่ ตะกี้ที่ยากอบแนะนำ ให้เรายืนหยัด … ยืนหยัด แปลว่าอยู่เฉยๆ  เพิกเฉยกับมันซะ ไม่ต้องไปสนใจมัน ไม่ต้องพยายามหาทางไล่มัน ไม่ต้องไปหมกมุ่น จดจ่อ สนใจฟังมัน ไม่ต้องกังวลและกลัวเกินกว่าเหตุ ยืนหยัดบนถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าที่ตะกี้ที่เราทดลองกันดูตั้งแต่ตอนต้น …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระเยซูคริสต์ เหมือนพระเยซูเลย ตั้งแต่บัดนี้ จนกระทั่งถึงนิรันดร์” เอเมน ยืนหยัดอยู่ตรงนี้

            พระเยซูคริสต์ผู้สถิตภายในเรา ถ้อยคำบอกไว้ ทรงปกป้องเรา  และมารร้ายไม่สามารถแตะต้อง ทำอันตรายเราได้เลย สิ่งเหล่านี้ต้องอยู่ในสมอง อยู่ในใจของเราตลอดเวลา มารไม่สามารถกล่าวหาเราว่าเป็นคนบาป เหมือนแต่ก่อนได้อีกแล้ว เพราะเราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูแล้ว  แม้ว่าเราอาจจะถูกล่อลวงให้กระทำบาปอีกก็ตาม พระเยซูคริสต์ยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของเราต่อหน้าพระเจ้าในสวรรคสถานตลอดเวลา ในพระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เรา คริสเตียนผู้เชื่อ ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ตลอดเวลาชั่วนิรันดร์ เอเมน …

        1 ยอห์น 5:19 “เรารู้ว่าเราเป็นของพระเจ้า และทั้งโลกอยู่ใต้อำนาจของมาร”

            และต่อมา ยอห์นก็บอกว่าความแตกต่างระหว่างผู้ที่เป็นของพระเจ้า คือคริสเตียนเป็นของพระเจ้า และผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน คือเป็นของโลก ต่างกัน ถ้าเป็นของโลก อยู่ใต้อำนาจของมาร แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ พวกเราเป็นของพระเจ้า  และได้รับการปกป้องจากพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าพวกเราไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของมารอีกต่อไป  แต่ได้รับการปลดปล่อยให้มีชีวิตใหม่ในพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เราได้ถูกย้ายออกมาแล้ว อยู่ในบ้านของพระคริสต์ บ้านของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องกลัว นี่เป็นบ้านของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดสามารถเข้ามาในบ้านนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว  โคโลสี 1:13-14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์) เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษ บาปทั้งสิ้น ที่เราทำ (เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี หรือการกระทำใดๆ)”

            ในพระบุตร เราได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ เราได้รับการไถ่ หมดเวร หมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี การกระทำดีใดๆ ของเรา นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมเราจึงได้รับความรอด  อยู่ในสวรรค์ เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ตั้งแต่บัดนี้ถึงนิรันดร์ เพราะมันเป็นของประทานจากพระเจ้า และพระองค์ทรงปกปักษ์คุ้มครองดูแลไว้ รักษาไว้ ไม่ใช่เราพยายามทำด้วยตัวเราเอง

            ในทางตรงกันข้าม ในระบบของโลกที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ในโลกนี้มี 2 ทาง ยอห์นบอก คือในโลกฝ่ายวิญญาณ มีมนุษย์พวกหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้า เป็นของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ และอีกพวกหนึ่งที่ไม่ใช่ของพระเจ้าเป็นของโลก อยู่ในอาดัม ในทางโลก คนที่เป็นของโลก ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ ก็คือคนที่อยู่บนโลกนี้ แล้วไม่เชื่อในพระเจ้า เขาเหล่านั้นยังคงอยู่ในอำนาจของมาร ตามพระคัมภีร์บอก ซึ่งหมายถึงการถูกควบคุม โดยความบาป และการล่อลวงของมาร เป็นทาสมารอยู่ ไม่มีโอกาสได้โงหัวเลย นี่คือความจริงในพระคัมภีร์บอกไว้ อยู่ตรงกันข้ามกับลูกของพระเจ้าเลย มืดกับสว่าง ฟ้ากับเหวเลย 1 ยอห์น 4:4-5 ยอห์นได้บอกไว้อย่างนี้ ตอนก่อนหน้านี้ …

        1 ยอห์น 4:4-5 “4 ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือโลก  คือเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้” 5 ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกที่ถูกสาปแช่งแล้วนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            หมายความว่าพระเจ้าต้องการให้เรามองไปที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่เราเชื่อ สิทธิอำนาจ ฤทธานุภาพอำนาจทั้งสิ้น ทั้งหมดในมหาจักรวาลนี้ ทั้งในโลก ใต้โลก และบนสวรรค์ พระเจ้าได้ประทานให้พระบุตร คือพระเยซูคริสต์ และเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องการให้เราจ้องมองที่พระเยซู ไม่ใช่จ้องมองที่ศัตรู คือมาร ที่ตาเนื้อเราเห็น บนโลกใบนี้ มาร คือศัตรู หรือการทำอะไรของมัน ที่เราเห็น ไม่ใช่ไปจ้องมองที่นั่น แต่ให้เรามองไปที่สิ่งที่มองไม่เห็น  คือพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน ครอบครองเหนือทุกสิ่ง ไม่ใช่มองที่มารหรือศัตรู เพราะว่าหลายครั้งเลย ที่เราเห็นการสอนของผู้คนบนโลกใบนี้ เรื่องพระเจ้า แทนที่จะสอนให้เรามองที่พระคริสต์อย่างเดียวเลย ตามพระคัมภีร์ แต่กลับสอนให้เราหมกมุ่น จดจ้อง จดจ่ออยู่ที่ผีมารซาตาน จดจ่ออยู่ที่การไล่ผีออก การขับผี การขับวิญญาณชั่วออก เล่าถึงเรื่องผีต่างๆ ว่ามันจะทำอันตรายเราได้อย่างไร? เราต้องระมัดระวังมันอย่างไร? อะไรต่างๆ เหล่านั้น ยิ่งสอนมาก ฟังมาก ยิ่งเชื่อมาก ไม่ใช่ ยิ่งกลัวมาก ยิ่งสับสนมาก

            “ฉันจะได้รับความรอดหรือเปล่า? ตกลงฉันไปนี่ไปโน่น”

            กลัวไปหมดเลย ซึ่งความจริง คือพระเยซู คือผู้ช่วยให้รอดของเรา  เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายแล้ว พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา ฤทธานุภาพอำนาจทั้งหมดอยู่กับพระองค์แต่เพียงผู้เดียว  และพระองค์สถิตอยู่กับเรา อยู่ภายในเรา ศัตรู คือผีมารซาตานทั้งหลายเหล่านั้น เป็นแค่เพียงวิญญาณที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา  และตอนนี้มันตกสวรรค์แล้ว มันพ่ายแพ้ไปแล้ว มันไม่มีอะไรเลย อย่าไปให้ความสำคัญกับมันมากจนเกินกว่าเหตุ คือให้ความสำคัญกับมันแค่ตะกี้นี้ที่บอก มันได้แค่เห่า หอนไปเรื่อยๆ โกหกหลอกลวงไปเรื่อยๆ มันทำอะไรเราไม่ได้ ตราบใดที่เรายังยืนหยัดอยู่ที่ความจริงของถ้อยคำพระเจ้า นี่เป็นความจริง พูดถึงว่าเราเป็นใคร? เราไม่ต้องไปกลัวมัน ถ้าพระคัมภีร์บอกให้เรากลัวมัน โอเค เราจะเชื่อ แต่นี่พระคัมภีร์ไม่ได้บอก พระคัมภีร์บอกว่ามารร้ายมันแตะต้องเราไม่ได้ นี่คือสิ่งที่น่าจะสอน น่าจะประกาศให้คริสเตียนได้รับรู้

            จำเรื่องที่พระเยซูยกตัวอย่าง ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่ประกาศเรื่องนี้ เรื่องความจริงของความรอด ข่าวประเสริฐ พระเยซูบอกว่าท่านขับผีออกตัวหนึ่ง มันจะกลับเข้ามาใหม่อีก 7 ตัว ถ้าขับผีออก 1 ตัว มันยกโขยงมา เพราะว่าการขับผีออก ก็คือท่านทำให้มันสะอาด ผีออกไปแล้วใช่ไหม? แต่บ้านยังว่างอยู่ มันไม่มีใครอยู่ มันก็เอาผีมาอีกเป็นกองทัพเลย เข้ามาอยู่ด้วย  พระเยซูกำลังหมายถึงว่าถ้าเผื่อท่านขับผีออก แล้วพระองค์เข้าไปแทนที่ เข้าไปสถิตอยู่ภายใน มันเข้ามาไม่ได้อีกแล้ว หมายถึงอย่างนั้น ไม่ใช่สอนตรงนี้ เพื่อให้เราไปขับผีออก ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น

            มนุษย์ชอบอะไรประเภทนี้ พวกขับผีเอย ผีมีอำนาจ อะไรต่างๆ ในพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนไว้ ไม่ได้บอกว่ามันมีอำนาจอะไร มีแต่โกหก  แล้วเราทั้งโลก ก็ถูกหลอก เพราะว่าความต้องการของมนุษย์ เราต้องการอย่างนี้ เราก็ฝืนจากถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นความจริง ถูกหลอกแล้ว มารก็หลอกเราว่ามีอำนาจอยู่นะ มันยังยิ่ใหญ่อยู่ มันยังยอดเยี่ยมอยู่

            นี่ประสบการณ์ อย่างเช่น พอเราไปจดจ่อ จดจ้อง ไปให้ความสำคัญกับมารเกินกว่าเหตุ อย่างเช่นเขาบอกว่า …

            “ต้องขับผีออกทุกวันเลยนะ  เธอเดินเข้าป่า ต้องไล่ผีไปก่อน เดินเข้าป่ามืดๆ ไล่ผีไปด้วย”

            มีผีภูเขา มีผีนางไม้ ผีกระสือ ผีอะไรต่อมิอะไร ต้องเดินขับผีไปเรื่อยๆ แทนที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ร้องเพลงขับผีไปเลย  ในนามพระเยซู ผีร้ายจะต้องหนีไป ใช่หรือเปล่า ร้องอย่างนี้ใช่ไหม? …

                        “ในพระนามพระเยซู           ในพระนามพระเยซู             ผีร้ายจะต้องหนีไป”

            มันจะไปร้องอย่างนี้ทำไม ในพระนามพระเยซู ฉันเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ผีร้ายแตะต้องฉันไม่ได้ ผีร้ายต้องหนีไป ก็แสดงว่ามันทำอะไรเราได้ ต้องร้องไปตลอดทาง ต้องขับผีออก ไม่ใช่ผีตัวเดียว ท่านลองคิดดู ถ้าท่านสนใจเรื่องการขับผีอย่างนี้  สนุกสนานอย่างนี้ พระเยซูหายไปเลย เพราะว่าท่านต้องไปนั่งนับว่ามีผีอะไร ผีกระสือ ผีโน่น ผีนี่เยอะแยะไปหมดเลย  เสร็จแล้ว พอจากในป่าเข้ากรุง พอเข้าในกรุง ไม่มีต้นไม้มืดๆ แล้ว มีแต่สว่างๆ เดินผ่านศาลพระภูมิก็ไม่ได้ ต้องระวังนะ เดี๋ยวมันโดดเข้าใส่ อย่างนี้อีกเยอะแยะ

            หรือหนักกว่านั้น มีประสบการณ์มา ก็คือขับผีในโบสถ์เลย คือในโบสถ์ ในคริสตจักร ถึงขนาดนั้น ผีเข้ามาในโบสถ์เลย  อย่างนี้เป็นต้น  ขับผีออก ลงไปดิ้นๆ  ไม่ยอมออกอีก ดื้ออีก ต้องหาวิธีการอะไรต่างๆ มา อย่างนี้แหละ คือการเรียกว่าการจดจ้อง จดจ่อไปที่พระเยซูคริสต์มันดีกว่า ความจริงของพระองค์เป็นอย่างนั้น  พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้อย่างที่ตะกี้นี้บอก อาจารย์ยอห์นจึงเน้นตรงนี้ว่าไม่ต้องกลัวแล้ว เรามีชัยชนะเหนือโลกแล้ว เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นความชั่วร้ายบนโลกนี้แล้ว พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา 1 ยอห์น 5:20 …

        1 ยอห์น 5:20 “เรารู้ว่าพระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาแล้ว และได้ประทานความเข้าใจแก่เรา เพื่อเราจะได้รู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นจริง และเราอยู่ในพระองค์ ผู้ทรงเป็นจริง  คือในพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และทรงเป็นชีวิตนิรันดร์”

            พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมา เพื่อให้เราได้รู้จักพระเจ้าพระบิดาผู้เที่ยงแท้จริงๆ แต่พระองค์เดียว เป็นของจริง พูดง่ายๆ  พระเยซูเท่านั้น ที่นำพามนุษย์มารู้จักพระเจ้าแท้จริง คือพระบิดา พระองค์ประทานความเข้าใจแก่เรา เพื่อให้เรารู้จัก และมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ผ่านทางพระองค์

            พระองค์ประทานความเข้าใจให้เราสามารถเชื่อในพระบิดาว่าส่งพระเยซู มาเป็นพระเมสิยาห์ เมื่อเราเชื่อ เราก็ได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดา การที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ หมายถึงการมีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า มีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน  และการได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระองค์ มาเป็นชีวิตของเรา ร่วมกับพระเยซู ชีวิตของเราซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้า พระเจ้าประทานวิญญาณนิรันดร์ ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายด้วยชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า  แล้วพระเยซูก็แบ่ง ประทานวิญญาณนิรันดร์ หรือชีวิตนิรันดร์ให้กับผู้เชื่อ นึกภาพออกใช่ไหม? ผู้เชื่อก็เลยได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา เราเลยเป็นหนึ่งเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนี้  ยอห์น 10:28 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 10:28 “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้น จะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้น ไปจากมือของเราได้”

            เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น เป็นอย่างนี้นิรันดร์  พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแลเรา พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และเป็นแหล่งแห่งชีวิตนิรันดร์ สำหรับผู้เชื่อในพระองค์เท่านั้น นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีชีวิตนิรันดร์ที่ไหนแล้ว เมื่อเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เราก็จะเป็นอย่างนั้น เป็นตั้งแต่เมื่อไร ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็เป็นหนึ่งอย่างนี้เลย บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่ง  แล้วจะเป็นหนึ่งอย่างนี้ตลอดไป จนกระทั่งถึงนิรันดร์ ยอห์น 14:6 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 14:6 “พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใคร มาถึงพระบิดา (เข้าสวรรค์) ได้ นอกจากมาทางเรา”

            ทางเดียวเท่านั้นเห็นไหม? ทางที่เราจะเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดา เจ้าของสวรรค์ได้ คือผ่านทางพระเยซูคริสต์ เมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์ เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา คือเราเข้าไปอยู่ในสวรรค์นั่นเอง ก็หมายถึงว่าขณะนี้ บนโลกใบนี้ เราได้เริ่มต้นอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาแล้ว ข้อสุดท้ายของหนังสือ คือ 1 ยอห์น 5:21 …

        1 ยอห์น 5:21  “ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย จงรักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพเถิด”

            การบูชารูปเคารพ  ไม่ได้หมายถึงเพียงการบูชารูปปั้นหรือสิ่งของเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งใดก็ตามที่เราให้ความสำคัญมากกว่าพระเจ้า เช่น เงินทอง อำนาจ หรือความสำเร็จ การรักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพนี้ หมายถึงการยึดมั่นในพระเจ้า และให้พระองค์เป็นศูนย์กลางในชีวิตสูงสุดของเรา และการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในการนำทาง และเสริมทางความเชื่อของเรา คือให้ความสำคัญ อย่างที่ตะกี้นี้บอก จดจ่อ มองไปที่พระเยซูคริสต์ นี่แหละ ถ้าเรามองไปที่อื่นเมื่อไร คือรูปเคารพ ถ้าเรามองไปที่มารอย่างที่ตะกี้นี้บอก เน้นไปที่มาร ไล่ผีอะไรต่างๆ เรากำลังมีรูปเคารพ หรือต้องการแต่เรื่องเงินทองอย่างเดียว  เรากำลังมองไปที่รูปเคารพ

            ในนี้บอกว่าให้เราระวังรูปเคารพ หมายถึงรูปเคารพจากภายนอก  ไม่ใช่จากในใจ เพราะมีหลายคนเข้าใจผิด สอนว่าระวังนะ  อย่ามีรูปเคารพอยู่ในใจ  มีได้ไหม? ไม่มีทางเลย เราเรียนรู้แล้ว อาจารย์ยอห์นบอก ในใจเราสะอาด หมดจด และเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าไม่มีทางที่จะแบ่งเรา หมายถึงแบ่งหัวใจเรา หรือแบ่งร่างกายเราให้กับมาร เข้ามาอยู่อาศัยได้ คริสเตียนไม่มีทางมีผีมาอยู่ในตัวของเขาได้เลย พระเจ้าไม่ยอมแน่นอน เป็นไปไม่ได้เลย

            เพราะฉะนั้น จึงไม่มีรูปเคารพอยู่ในใจของท่านหรอก แต่มันอยู่ภายนอก  เพราะว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว  ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น ภายในตัวเราไม่มีรูปเคารพเด็ดขาด มีแต่พระคริสต์ แต่สิ่งที่เราต้องระวัง ก็คือระวังรูปเคารพจากภายนอก  ก็คือระบบของโลกใบนี้ กระแสของโลกใบนี้ที่มารมันใช้ในการต่อต้าน พระเจ้า ผ่านทางความคิดของเรา ให้หลง ให้หมกมุ่น ให้จดจ่อกับสิ่งที่อยู่ฝ่ายโลก มาจากความคิด

            พระคัมภีร์จึงบอกว่าจงจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน  ที่ซึ่งพระคริสต์สถิตอยู่ อย่าจดจ่อที่ฝ่ายโลก มันหมายถึงอย่างนี้ จดจ่อฝ่ายโลก ผ่านทางบุคคล ยกย่องบุคคลจนเกินเหตุ ยกย่องทรัพย์สิน เงินทองจนเกินเหตุ ยกย่อง แสวงหาความสำเร็จจนเกินเหตุ แม้แต่อย่างที่บอก ยกย่องศัตรูจนเกินเหตุ ยกย่องมารว่ามันมีความสามารถเยอะแยะเลย จนเกินเหตุ อย่างนี้แหละ คือรูปเคารพ

            เพราะฉะนั้น คริสเตียน อาจารย์ยอห์นแนะนำให้ สรุปให้ ก็คือปกป้องความคิดจิตใจของเรา จากความคิดจอมปลอมของมาร ซึ่งมันทำได้แค่นั้นเอง แล้วก็รักษาความจริงให้อยู่ในใจ หรืออยู่ในความคิดของเราตลอดเวลา  ความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า  และสุดท้าย คือให้เราหมกมุ่น จดจ่อมองที่พระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นชัยชนะของเรา ผู้ทรงเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองดูแลเราทุกอย่าง พระองค์สมควรได้รับการยกย่องสรรเสริญเพียงพระองค์เดียว และพระองค์ไม่มีวันที่จะทำให้เราผิดหวังเลย แม้แต่นิดเดียว  เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            สร้างอุปนิสัยใหม่  ในชีวิตใหม่  ในพระเยซูคริสต์

            เมื่อเรารู้ว่าเรากำลังต่อสู้กับอุปนิสัยที่แย่ๆ ความประพฤติที่ไม่เหมาะสม กับการเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว และพยายามเลิกแต่ยังไม่สำเร็จ สิ่งสำคัญ คือการเข้าใจว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในความพยายามนี้ พระเจ้าทรงอยู่กับเรา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในเรา เพื่อช่วยให้เราเอาชนะการล่อลวงชักจูง ให้ทำสิ่งที่ใจเราไม่ต้องการจะทำ

            ฟิลิปปี 2:13 … “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน  ให้ท่านมีใจปรารถนา  ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์”

            สร้างอุปนิสัยใหม่ ในชีวิตใหม่.   โดย …

            1. จดจ่อ จดจำ จนขึันใจ ว่าเราเป็นผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วในพระคริสต์ เราได้รับการอภัยบาปทั้งหมดแล้ว และไม่มีการลงโทษ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์

            โรม 8:1 … “เหตุฉะนั้น  บัดนี้  จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดใดแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป)”

            2. พึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา เพื่อให้เรามีพลังในการเอาชนะกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง พระวิญญาณทรงเป็นผู้ช่วย และทรงนำเราในทางที่ถูกต้อง

            กาลาเทีย  5:16-18 … “16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าให้เราดำเนินชีวิตสนองต่อการนำของพระวิญญาณ แล้วท่านจะได้ไม่สนองต่อความต้องการของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง (มัน คืออิทธิพลพลังอำนาจของความบาปและความตาย ที่กระทำการงานอยู่ในโลก และในร่างกาย ในสมอง ในความคิดจิตใจ ที่คอยผลักดันชักจูงให้เราทำตามกิเลสตัณหาของมันซึ่งเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า) 17 เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนัง มันต่อสู้กับความต้องการของพระวิญญาณ และความต้องการของพระวิญญาณก็ต่อสู้ กับความต้องการของเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ 18 แต่ถ้าท่านถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  (บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ในพระวิญญาณแล้ว) ท่านก็จะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (ไม่ได้อยู่ในอาดัม ไม่ได้เป็นทาสของบาปแล้ว จึงไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของมัน ตัณหาของเนื้อหนังอีกต่อไป)”

            3. เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา โดยการจดจ่อ จดจำรับรู้อยู่กับความจริงของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับเราในพระคริสต์

            โรม 12:2 … “อย่ากระทำตามระบบของโลกนี้ (คือกิเลสโลกียตัณหาของเนื้อหนังซึ่งขัดแย้ง ต่อต้านกับพระวิญญาณ คือทางของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์) แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมข้อมูลความคิดในสมอง) ความคิดสติปัญญาแบบเดิม (คือแบบเนื้อหนัง)  เสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบ ในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า  (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน (จะได้ ฝึกฝนประพฤติตามความคิดใหม่นั้น)”

            การรู้จักและเชื่อในตัวตนใหม่ของเราในพระคริสต์ จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตตามความจริงนั้น

            4. อย่าลืมว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง อิทธิพลของบาป ที่ปกคลุมอยู่บนโลกนี้ ด้วยตัวเอง พระเจ้าทรงอยู่กับเรา และทรงประทานพลังให้เราผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ การต่อสู้กับอิทธิพลของความบาปบนโลกนี้ มันอาจเป็นเรื่องยาก แต่เราสามารถวางใจในพระเจ้าที่ทรงอยู่กับเรา และทรงทำงานในเราเพื่อให้เรามีชัยชนะในพระคริสต์

            พระคริสต์อยู่ในเราตลอดเวลาเสมอไป  พระเจ้าอวยพรครับ