คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม 2025
เรื่อง “หนังสือ 2 ยอห์น” ตอน 1 “เราคริสเตียนผู้เชื่อ อยู่ในความจริงของพระเจ้าตลอดไป”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้ คำบรรยายเป็น “หนังสือ 2 ยอห์น” เรื่อง “เราคริสเตียนผู้เชื่อ อยู่ในความจริงของพระเจ้าตลอดไป”
หนังสือ 2 ยอห์น เป็นจดหมายสั้นๆ แต่มีเนื้อหาที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความจริงทางฝ่ายวิญญาณ ในชีวิตคริสเตียน เราเพิ่งจบคำบรรยาย ซีรี่ย์ 20 ตอนของหนังสือ 1 ยอห์น ซึ่งมีอยู่ 5 บท แต่เราใช้เวลาไป 20 อาทิตย์ ละเอียดยิ๊บเลย นี่รวมๆ แล้ว พูดถึงการที่พระเจ้าทรงอยู่กับเราเสมอตลอดไปนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เราคริสเตียน ผู้เชื่อ ได้มีสามัคคีธรรม เป็นหนึ่งเดียวกันทางฝ่ายวิญญาณ นี่คือความจริงที่อาจารย์ยอห์นอธิบายให้เราฟังในหนังสือ 1 ยอห์น ทั้ง 5 บทที่เราได้เรียนรู้ไปแล้วว่าเราคริสเตียนผู้เชื่อ ได้เข้าสามัคคีธรรมเป็นหนึ่งเดียวกันทางฝ่ายวิญญาณกับพระองค์ …
พระองค์ คือพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระองค์ตลอดเวลา ตลอดไปนิรันดร์
เราได้รับการอภัยจากบาปทั้งปวง ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตด้วย ได้ถูกยกเลิก ได้ถูกลบล้างออกไปหมดสิ้นแล้ว ล่วงหน้าด้วยซ้ำไป ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ที่อาจารย์ยอห์นบอกในหนังสือ 1 ยอห์น 5 บทนั้น
และยังบอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ด้วยการฟื้นคืนพระชนม์ การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูทำให้เราได้เป็นอย่างนั้น
และยังบอกอีกว่าเราได้เป็นลูกของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พอเปิดใจรับเชื่อปุ๊บ ได้เกิดใหม่ปั๊บ ได้เป็นลูกของพระเจ้าทันทีทันใดเลย
นี่ได้บอกเราอย่างนั้น ก็คือการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง ซึ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ เราลองมาอ่านในหนังสือ 1 ยอห์น บท 3 ดู ซึ่งพูดถึงเรื่องนี้ มันตื่นเต้น นี่คือสิ่งต่างๆ ที่เป็นเรื่องที่อาจารย์ยอห์นได้อธิบายให้เราฟังอย่างละเอียด ใน 5 บทของ 1 ยอห์น ที่เราเรียนรู้ไป 20 ตอน ลองอ่านใน 1 ยอห์น 3:1-2 ได้บอกอย่างนี้ว่า …
1 ยอห์น 3:1-2 “1 จงมองให้เห็นเถิด พระเจ้าพระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกเล็กๆ ของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลาย ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ 2 ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจว่าเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์จริงๆ อย่างที่พระองค์ ทรงเป็นอยู่นั้น”
พระเจ้าพระบิดาทรงประทานความรักกับเรามากขนาดไหน? ที่รับเรา เรียกเราว่าเป็นลูกของพระเจ้า และอาจารย์ยอห์นก็บอกว่าเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ คืออาจารย์ยอห์นยังตื่นเต้นเลย จริงๆ มันมองไม่เห็นด้วยตา แต่ทางฝ่ายวิญญาณมันเป็นจริงๆ เป็นเมื่อไร? ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ในโลกวิญญาณนั้น เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เป็นลูกพระเจ้าก็จริง แต่เรายังไม่สามารถเข้าใจอย่างละเอียดได้ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์เสด็จมาปรากฎนั้น หมายถึงเวลาที่เราจากร่างนี้ไป เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ เอเมน ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ และถึงวันนั้น เราก็สามารถเห็นพระองค์หน้าต่อหน้าได้ ด้วยร่างกายใหม่นั้น นี่คือข้อสำคัญอีกอันหนึ่งที่อยู่ใน 5 บทนี้ ลองอ่านอีกข้อหนึ่ง เลือกมาที่เด่นๆ นะ 1 ยอห์น 4:17 …
1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้น อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”
“ในการได้เข้าส่วนร่วม” ก็คือในการเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือการบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในการตายและการเป็นขึ้นจากความตายนั่นเอง
การเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ทำให้เกิดความรักขึ้น อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน พระเจ้าทรงเป็นความรัก เราก็เป็นความรัก เกิดขึ้นทันทีเลย ในวิญญาณของเรา
“เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม” ก็เพราะวิญญาณ จิตใจของเราขณะที่อยู่บนโลกนั้น เป็นเหมือนวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์ เป็นเหมือนพระคริสต์เลยทางโลกวิญญาณ เราจึงไม่กลัววันพิพากษาในอนาคต เมื่อเราจากโลกนี้ เราตายไป เราไม่กลัวหลังความตายแล้ว เพราะว่าเรามีมัดจำ มีค้ำประกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว คือตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ตัวตนแท้จริงของเรา คือวิญญาณและใจของเราที่ได้รับใหม่ จากการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์นั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ขณะนี้ แล้วร่างกายล่ะ ร่างกายที่อยู่เป็นใหม่ เป็นแบบไม่ใช่เป็นตัวใหม่เลย เป็นอันเก่า แต่รีไซเคิลใหม่ ขณะที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเป็น คริสเตียน อาจารย์ยอห์นบอกว่าวิญญาณเราบังเกิดใหม่จากพระเจ้า ใจเราพระเจ้าประทานให้ใหม่ วิญญาณกับใจใหม่เอี่ยม เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายที่รีไซเคิล
รีไซเคิล แปลว่าฟื้นฟูใหม่ พูดอย่างนี้อาจจะไม่ชัด อธิบายนิดหนึ่ง เป็นร่างกายเก่า แต่ได้รับการชำระล้างใหม่ ให้สะอาดหมดจดเลย เพื่อรองรับการเสด็จมาของพระเจ้า เข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายเรา เป็นพระวิหารของพระเจ้า เหมือนคนที่เขาทำค้าขายเครื่องดื่มที่มีน้ำอยู่ข้างใน เป็นขวดแก้ว เขารับซื้อขวดแก้วที่ใช้แล้ว เขาเรียกว่าขวดแก้วเก่า เราดื่มหมดแล้ว เอาขวดเก่ามา จะสกปรกอย่างไร? ขอให้มันยังไม่แตก เขาจะซื้อกลับไปรีไซเคิล คือมันสกปรกอย่างไรแล้วแต่ มันอาจจะเปื้อนโคลน มีน้ำสกปรกอยู่ข้างใน มีโคลนอยู่ข้างใน มีน้ำคลองอยู่ข้างใน เขาซื้อมาปุ๊บ ก็เอาเข้าโรงงานทันที โรงงานฟอกสะอาด ฆ่าเชื้ออย่างดี เข้าเครื่องอบจนแห้ง สะอาดเอี่ยมเลย เสร็จแล้ว เขาก็เอาไปใส่น้ำที่เขาจะขาย เขาทำอย่างนี้ เราเรียกรีไซเคิล พระเจ้าทำมาก่อนแล้ว ให้วิญญาณใหม่ ใจใหม่ แต่ใส่ในร่างกายเก่าไม่ได้ ร่างกายเก่ามันสกปรก ก็เอาไปรีไซเคิล ด้วยพระโลหิตของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ผ่านพระโลหิตพระเยซูคริสต์ชำระให้สะอาดหมดจดปุ๊บ ขวดเก่า ก็คือร่างกายเก่าเรานั้น ได้รีไซเคิลได้กลายเป็นสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ พร้อมที่จะใส่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พร้อมที่จะให้พระเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ เป็นวิหารของพระเจ้า เอเมน ขอบคุณพระเจ้า
ที่ตะกี้พูดมาทั้งหมด ในหนังสือ 1 ยอห์น ที่อธิบายนั้น รวมทั้งหมด เรียกกันว่า “ความรอดในพระเยซูคริสต์” คือทั้งหมดนั้น ใครอยากจะรู้ว่าความรอดในพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? ย้อนกลับไปฟัง ซีรี่ย์หนังสือ 1 ยอห์น 20 บทที่ได้อธิบายไปอย่างละเอียด ซึ่งความรอดตรงนี้ อาจารย์ยอห์นสรุปว่าเป็นความรอดที่เป็นนิรันดร์ ในหนังสือ 1 ยอห์น 5:13 ก็คือช่วงท้ายๆ ของหนังสือ 1 ยอห์น อาจารย์ยอห์นได้พูดตรงนี้นะ ลองอ่านดู …
1 ยอห์น 5:13 “สิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่าน ที่วางใจในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อให้ท่านรู้ว่าท่านได้มีชีวิตนิรันดร์แล้ว”
“ท่านได้มีชีวิตนิรันดร์แล้ว” ข้าพเจ้าเขียนมาทั้งหมดในหนังสือ 1 ยอห์น 5 บทนี้ เขียนมา เพื่อให้ท่านได้รู้ คือได้รับรู้ความจริงนี้ ไม่ใช่ให้ท่านรู้สึก ไม่ใช่ให้ท่านเข้าใจ เพราะไม่มีทางเข้าใจได้หรอก มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ มันอยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ และท่านไม่สามารถที่จะรู้สึกได้ด้วยร่างกายของท่าน …
“โอ๊ย! รู้สึกว่าฉันได้รับชีวิตนิรันดร์” ไม่ใช่
แต่ให้ท่านรู้จากความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า เพื่อท่านจะรู้ว่าท่านได้มีชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว … ชีวิตนิรันดร์ ก็คือตะกี้ที่อธิบายมาทั้งหมด พูดง่ายๆ ก็คือท่านได้รับความรอดแล้ว รอดเลย ไม่มีใครสามารถเอาความรอดนี้ ไปจากท่านได้อีกแล้ว เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ท่านได้รับความรอดและบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว รอดแล้วรอดเลย เอเมน 1 ยอห์น 5:18 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
1 ยอห์น 5:18 “เรารู้ว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปต่อไป แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้าทรงปกป้องเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้”
เห็นไหม? ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปอีกต่อไป ก็คือเราเรียนรู้ไปแล้ว บังเกิดใหม่จากพระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แม้จะทำบาป ก็ไม่ใช่ทำบาปชนิดที่เป็นบาปที่ทำเป็นกิจวัตร คือที่ทำจากธรรมชาติวิญญาณที่เป็นบาปอยู่ ไม่มีอีกต่อไปแล้ว
พระองค์ที่ทรงบังเกิดจากพระเจ้า ก็คือพระบุตร ก็คือพระเยซูคริสต์ทรงคุ้มครองป้องกัน ปกป้องผู้ที่บังเกิดใหม่เช่นเดียวกับพระองค์ ก็คือเราได้บังเกิดใหม่เหมือนกับพระเยซูคริสต์เหมือนกันเลย มันเป็นความจริงที่เรานั้น เป็นเหมือนพระองค์ อาจารย์ยอห์นอธิบายให้ฟังนะ เราเป็นเหมือนพระองค์ มารร้ายไม่สามารถแตะต้องเราได้เลย ไม่ได้หมายถึงมารทำร้ายทำลายเรา เปล่า มารร้ายไม่สามารถมาโกหกมดเท็จ กล่าวหาเราได้เลย เพราะว่ามารร้ายได้แต่โกหก หลอกลวง แต่เราเป็นความจริงอยู่ในตัวเรา คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วในวิญญาณนั่นเอง
ยอห์นได้บอกชัดเจนว่ามารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้ “เขา” ก็คือพวกเราที่บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนแล้วนั้น มารร้ายไม่อาจแตะต้องเขา ก็คือไม่อาจโกหก หลอกลวง ให้เขาสูญเสียความรอดได้เลย ความรอดที่เราได้รับ จึงเป็นนิรันดร์ ทุกอย่าง คุณสมบัติของความรอด ที่ตะกี้นี้ เราอ่านมาทั้งหมด สรุปในหนังสือ 1 ยอห์น 5 บทนั้น อยู่ไปนิรันดร์ ตลอดเวลา มารไม่สามารถทำให้มันเสียหายไปได้เลย ไม่สามารถเอาออกไปจากชีวิตเราได้เลย เพราะว่ามารมันทำได้แค่เพียง โกหก หลอกลวง ทำให้เราคิดว่ามันสามารถทำได้ แต่มันไม่สามารถทำได้เลย มันจึงแค่ใส่ร้ายด้วยคำเท็จ กล่าวหา กล่าวโทษเรา ทั้งกลางวันและกลางคืน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น กล่าวหาทั้งกลางวันและกลางคืน ว่าเรา ด่าเรา ใส่ร้ายเราต่างๆ นานา เพื่อให้เราไม่มั่นใจในความรอดนั้น แต่ในพระคัมภีร์บอกแล้วใช่ไหมว่าแตะต้องเราไม่ได้เลย ก็คือเอาความรอดออกไปจากเราไม่ได้เลย แม้แต่นิดหนึ่ง
วันนี้เรามาต่อ 2 ยอห์น จดหมายนี้มีแค่ 13 ข้อ แต่มีเนื้อหาสาระที่สำคัญ ก็คือเรื่องความจริง พระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ภายในเรา พระองค์ทรงเป็นความจริง และความจริงนี้อยู่ในเรา และเราอยู่ในความจริงนี้ ซีรี่ย์ 2 ยอห์นในวันนี้ จึงใช้ชื่อเรื่องว่า “เราคริสเตียนผู้เชื่อ อยู่ในความจริงของพระเจ้าตลอดไป” นี่คือสาระสำคัญในหนังสือ 2 ยอห์น
เพราะว่าจดหมายฉบับนี้ อาจารย์ยอห์นจะเน้นเรื่องว่าแม้ว่าโลกจะเต็มไปด้วยความโกหกมดเท็จของมารซาตานก็ตาม แต่คริสเตียนผู้เชื่อมีความจริงของพระเจ้าอยู่ในใจตลอดเวลา และคริสเตียนผู้เชื่ออาศัยอยู่ในความจริง เพราะฉะนั้น มารมันแตะต้องเราไม่ได้เลย นอกจากหลอกเรา โกหกเรา ลวงเรา แต่ไม่สามารถทำอันตรายเราได้ เหมือนในพระคัมภีร์บอกว่าเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ พระเจ้าจะนำพาชีวิตเรา พาเราเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช มันแตะต้องเราไม่ได้เลย มันมีแค่เงา มีแค่เห่า มีแค่เสียงคำราม ขู่ แต่มันทำอะไรเราไม่ได้ ไม่ต้องกลัว พูดง่ายๆ เราเริ่มต้นที่ 2 ยอห์น 1:1-2 …
2 ยอห์น 1:1-2 “1 ข้าพเจ้าผู้ปกครอง เรียนท่านสุภาพสตรีที่พระเจ้าได้เลือกไว้ และลูกๆ ของเธอ ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักในความจริง ไม่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้น แต่ทุกคนที่รู้ถึงความจริงด้วย 2 เพราะความจริงดำรงอยู่ในตัวเรา และจะอยู่กับเราตลอดไป”
“สุภาพสตรีที่ทรงเลือกและลูกๆ ของเธอ” ไม่ได้หมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่หมายถึงคริสตจักรและสมาชิกของคริสตจักร หมายถึงคริสตจักรที่เหมือนคริสตจักรลูก เรียกว่าคริสตจักรพี่น้อง อย่างที่เรามีคริสตจักรในเมืองไทย เราก็มีคริสตจักรของเรา และก็มีคริสตจักรที่อยู่ในเขตเดียวกัน อยู่ในกรุงเทพ อะไรต่างๆ เป็นคริสตจักรพี่น้องที่มีความเชื่อในข่าวประเสริฐ ในข่าวดีของพระเจ้าเหมือนกัน มีปฏิสัมพันธ์ มีการติดต่อกัน
ยอห์นแสดงความรักในความจริงนี้กับพวกเขา ก็คือกับพี่น้องคริสเตียนในโบสถ์อื่นๆ คือทักทายเขาด้วย และบอกว่ารักพวกเขาในความจริง เห็นไหม? ยอห์นแสดงความรักนี้ในความจริง ข้าพเจ้ารักในความจริง อาจารย์ยอห์นกำลังจะเน้นถึงเรื่องว่าเราคริสเตียนมีสัมพันธ์กัน มีสามัคคีธรรมกันฝ่ายวิญญาณในพระคริสต์นั้นในความจริงด้วย ซึ่งเป็นความจริงที่เขามีร่วมกันในความเชื่อ ในการเป็นคริสเตียน และยืนยันอีกว่าความจริงนี้ จะอยู่กับพวกเขาตลอดไป พูดง่ายๆ ก็คือมารไม่สามารถแตะต้องเราได้ มารไม่สามารถมาโกหก หลอกลวง ขโมยความจริงนี้ออกไปจากเราได้เลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากหลอก โกหกว่าเอาไปแล้ว แต่มันไม่ได้เอาไปหรอก ยังอยู่กับเรานั่นแหละ
ความจริงที่กล่าวถึงนี้ คือความจริงของข่าวดี สรุปสั้นๆ ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเมสิยาห์จริงๆ จำได้ใช่ไหม? 1 ยอห์นที่เราเรียนรู้ไป เน้นเรื่องนี้เลย พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เพื่อที่จะตายที่ไม้กางเขน มีโลหิตไหลลงมาจริงๆ เพื่อจะชำระบาปจริงๆ และเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ในวันที่ 3 เพื่อให้เราได้บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ด้วย และบัดนี้ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน เพื่อว่าเราจะได้นั่งกับพระองค์ด้วย
นี่สรุปสั้นๆ นี่คือความจริงในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของคริสเตียนในการที่จะมีสามัคคีธรรมกัน ใครจะมีการสามัคคีธรรมในคริสเตียน ไม่ใช่มาที่โบสถ์แล้วมีการสามัคคีธรรมกัน ไม่ใช่หมายถึงอย่างนั้น แต่หมายถึงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ จึงจะได้สามารถมาสามัคคีธรรมกับคริสเตียน กับเราได้
เพราะฉะนั้น การสัมพันธ์ในการติดต่อกันในทางคริสตจักร ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐนี้ คืออยู่ในความจริงนั่นเอง ความจริง คือที่ตะกี้นี้บอก ยอห์นบอกว่าท่านต้องอยู่ในความจริง เพราะพระเยซูตรัสว่าพระองค์ คือความจริง ดังนั้น ถ้าท่านอยู่ในพระเยซูท่านก็อยู่ในความจริง ถ้าท่านบอกว่าท่านอยู่ในความจริง มีสามัคคีธรรมกับเรา แต่ถ้าท่านไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ ท่านไม่มีพระเยซู ท่านก็ไม่มีความจริง เพราะความจริง ก็คือตัวพระองค์เอง คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง
มาดูความหมายละเอียดขึ้น การอยู่ในความจริง ในชีวิตจริงๆ คืออะไร? เราบอกเราอยู่ในความจริง และการใช้ชีวิตอยู่ในความจริงนั้น มันคืออะไร? ท่านลองนึกภาพว่าท่านอยู่ในความจริง มันเป็นอย่างไร? ก็หมายถึงท่านถูกห้อมล้อมด้วยความจริง ความจริงอยู่หน้าท่าน อยู่หลังท่าน อยู่ข้างท่าน ข้างซ้าย ข้างขวา ท่านเดินไปที่ไหน เป็นความจริงตลอดเวลา มันอาจจะเข้าใจยากนิดหนึ่ง นี่เป็นโลกฝ่ายวิญญาณเป็นเช่นนั้น ท่านกำลังดำเนินชีวิตอยู่ในความจริงทุกฝีก้าว ทุกลมหายใจเข้าออก
นึกถึงความจริงนี้เป็นองค์พระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นความจริง พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา ไปไหนกับเราด้วยตลอดเวลา ก็คือความจริงไปไหนกับเราตลอดเวลา อยู่ในเราตลอดเวลา ท่านได้รับการบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับท่านถูกบัพติศมาเข้าไปในความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงที่อยู่ในเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน เป็นชีวิตของท่านเลย ชีวิตท่าน คือความจริง ไม่มีใครที่จะมาแก้ไข เปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้
และความจริงนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ปัญญาว่าท่านรู้ถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันไม่ใช่มีความจริง แต่มันเป็นความจริง ท่านได้เป็นความจริง ไม่ว่าท่านจะถูกทดลองให้กระทำอะไร ประพฤติอะไรที่ตรงกันข้าม หรือไม่ตรงกับความเป็นจริงของการเป็นคริสเตียน แต่ท่านก็เป็นความจริง เพราะว่าการเป็นความจริงกับการประพฤติความจริงนั้น มันคนละเรื่องกัน นี่พูดหลายครั้งแล้วว่าการที่ท่าน “เป็น” กับการที่ท่าน “ประพฤติ” นั้น มันคนละเรื่อง เราเป็นมนุษย์ แต่เราอาจจะประพฤติไม่เหมือนมนุษย์ก็ได้ นึกออกใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น เราเป็นความจริง เราเป็นเหมือนพระเยซู แต่เราอาจจะประพฤติไม่เหมือนก็ได้ เราอาจจะถูกหลอกก็ได้ เหมือนเกิดเป็นมนุษย์ อาจจะถูกหลอกให้คลานก็ได้ อาจจะถูกหลอกให้เลื้อยก็ได้ หรือถูกหลอกให้ประพฤติไม่เหมือนมนุษย์ก็ได้ มนุษย์เขาไม่ทำกันอย่างนี้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะเกิดความสับสนอย่างไร? เกิดการถูกล่อลวง โดยการโกหกมดเท็จของมารอย่างไร? ให้ประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม ท่านก็ยังคงเป็นความจริง เป็นเหมือนพระเยซูอยู่เหมือนเดิม เพราะว่ามารมันทำได้แค่ หลอก ล่อ ลวงให้ท่านประพฤติในสิ่งที่ไม่ได้เป็นจริง แต่ความจริงยังเป็นอยู่ในตัวท่าน เป็นอย่างไร ก็ยังเป็นอย่างนั้น มันไม่มีการเปลี่ยนแปลง พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในท่าน ก็ยังสถิตอยู่เหมือนเดิม พระวิญญาณที่เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้คอยแนะนำให้ท่านดำเนินชีวิตอย่างไร? ก็ยังแนะนำอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ท่านไม่ได้ฟัง ท่านไปเชื่อคำเท็จของมาร ถูกหลอกเท่านั้นเอง แล้วมารทำอะไรท่านได้ไหม? ก็ไม่ได้ เพียงแค่ทำให้ท่านทุกข์ลำบากมากขึ้น ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้น ความจริง จึงไม่ใช่ปัญญาหรือความรู้ต่างๆ แต่มันเป็นความจริงที่มันเกิดขึ้นในวิญญาณของเราว่ามันเป็นอย่างไร? ก็คือพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ภายในเรา ทั้ง 3 พระภาคนี้ เป็นความจริง ท่านจะประพฤติตัวอย่างไร? ไม่ตรงกับความจริงนี้ ความจริงนี้ ก็ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าท่านประพฤติตัวไม่ถูกต้องนั้น ก็เพียงแต่ว่าขณะนั้น ท่านไม่ได้เชื่อในความจริง เข้าใจใช่ไหม? เชื่อในความจริง มันไม่ได้หมายถึงท่านจะเป็นความจริง เพราะว่าชีวิตคริสเตียนไม่ใช่แค่การเชื่อในความจริง แต่คือการดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง ซึ่งก็คือพระคริสต์
ชีวิตคริสเตียน ไม่ใช่เรามาเชื่อความจริง บางครั้งเราไม่เชื่อ เราไปเชื่อมาร เชื่อกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แต่เราก็ยังอยู่ในพระคริสต์ เราดำเนินชีวิตอยู่ในความจริง คืออยู่ในพระคริสต์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้โลกจะเปลี่ยนแปลง แต่ความจริงพระเจ้าที่อยู่ในเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย แม้แต่นิดเดียว นี่คือความมั่นใจ ความมั่นคงที่พระคัมภีร์บอกไว้ของชีวิตคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่ ที่เรียกว่าความจริงที่ดำรงอยู่ในท่านตลอดไปจนถึงนิรันดร์ ไม่ต้องกลัวเลย ไม่มีใครมาทำอะไรท่านได้ พระคัมภีร์พูดไว้ในโรม 8:38-39 บอกว่าไม่มีใครมาเอาตรงนี้ออกไปจากเราได้เลย ไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหน? ความตายก็เอาไปไม่ได้ ทูตสวรรค์ หรือสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าจะมีอำนาจขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเอาความจริงนี้ออกไปจากท่านได้ เพราะว่าความรอดนี้เป็นของท่านแล้ว นี่คือความจริง …
2 ยอห์น 1:2 “เพราะความจริงดำรงอยู่ในตัวเรา และจะอยู่กับเราไปตลอดกาล”
อาจารย์ยอห์นเน้นตรงนี้ว่าความจริงจะอยู่กับเราตลอดไป เพราะว่ามันเป็นความจริง ไม่มีการเท็จ เพราะว่าเป็นความจริงที่อยู่ในโลกวิญญาณ ความจริงของพระเจ้า เป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ได้มาแบบมาๆ ไปๆ วันนี้ได้รับความรอด เดินออกไปรู้สึกทำอะไรผิด ความรอดหายไปแล้ว อย่างนี้เรียกว่าถูกหลอก เดี๋ยวมีความประพฤติอะไรออกมาไม่ดี เกิดโมโหใคร เกิดโกรธใคร พูดจาไม่ดีกับใคร ตวาดใครขึ้นมา มารมันก็หลอกเรา นี่สูญเสียความรอดแล้ว สูญเสียไม่ได้ ไม่มีทางสูญเสีย ความจริงจะอยู่กับเราตลอดไป หมายถึงอย่างนี้ คำโกหก คำเท็จ หลอกลวง ที่พบบ่อย เช่น …
“คุณทำบาป คุณสารภาพบาปหรือยัง? คุณต้องสารภาพบาปทุกๆ ครั้ง ถึงจะได้สามารถกลับมาอยู่ในพระคริสต์ได้ ถ้าคุณทำบาป แล้วไม่สารภาพบาป คุณหลุดออกจากการอยู่ในพระคริสต์ คุณหลุดออกจากการเป็นความจริง คุณหลุดออกจากความรอดแล้ว คุณต้องสารภาพบาป เพื่อจะกลับเข้ามาใหม่ได้” เคยได้ยินใช่ไหม? “เพราะฉะนั้น คุณต้องสารภาพบาป ไม่สารภาพบาป ไม่ได้”
อย่างนี้ มันเป็นความเท็จ เป็นการหลอกลวงของมาร สำหรับคริสเตียนแล้ว ไม่มีการสารภาพบาป แล้วกลับเข้ามาใหม่ อยู่ก็อยู่เลย ไม่อยู่ก็ไม่อยู่ ถ้าเป็นคริสเตียนแล้วก็เป็นเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็คือมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว มาอยู่ในความจริงแล้ว ก็อยู่เลย ตลอดนิรันดร์แล้ว ไม่ว่าคุณจะประพฤติอะไร ก็จะอยู่ในนี้ มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่มารมันจะใช้ความประพฤติของท่าน มาหลอกลวง มาใส่ความเท็จ กล่าวหาท่าน แล้วก็พยายามให้ท่านบอกว่าหลุดแล้ว ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เป็นต้น
จำ 1 ยอห์น 1:9 ได้ไหม? ที่พูดถึงเรื่องคนที่ไม่เชื่อ ที่ปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้เป็นคนบาป เพราะว่าในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเพราะว่าเขาไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขาอยู่แล้ว เขาจึงปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ แต่เราผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ เรามีความจริงนี้อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว แล้วปรากฏว่าแทนที่ข้อความนี้จะเป็นข้อความที่ย้ำยืนยันว่าให้คริสเตียนมั่นใจ สบายใจว่ามันเรื่องจริงว่าเราได้รับเชื่อแล้ว เราสารภาพบาปของเรากับพระเจ้า กลับใจใหม่แล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแล้ว เราได้รับการอภัยบาปทั้งปวงหมดสิ้นไปแล้ว แล้วจะอยู่ในความรอดนี้อย่างมั่นคงตลอดไป น่าจะเป็นอย่างนั้น มันก็ถูกหลอกอีก มารก็บิดเอาข้อความนี้ออกมา กลายเป็นว่าเอามาใช้กับคริสเตียน ว่าเป็นคริสเตียนแล้วนะ ต้องสารภาพบาป ถ้าทำอะไรผิดไป ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ ก็ต้องสารภาพบาป บางครั้งต้องกลับไปสารภาพบาป ทั้งๆ ที่ไม่รู้ ยกตัวอย่างเช่น …
“พระเจ้าลูกขออภัยจากการที่ลูกโกรธคนนี้ วันนี้ลูกพูดจาไม่ดี และลูกขออภัย ถ้าลูกทำอะไรผิดบาป ที่ลูกจำไม่ได้ หรือไม่รู้ว่าทำบาปไป ขอทรงยกโทษให้ลูกด้วย”
มันเป็นอย่างนั้น มันเลยกลายเป็นหนึ่งในความเชื่อทั่วๆ หรือเรียกว่าเชื่อพระเยซูเหมือนกับศาสนา คือต้องชำระตัวเองทุกวันๆ ไม่มั่นใจในความรอด ไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ได้รับความรอดแล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้เลย แม้แต่นิดเดียว นี่มันเป็นอย่างนี้ ลองอ่านดูใน 1 ยอห์น 1:8-10 …
1 ยอห์น 1:8-10 “8 ถ้าเรา (มนุษย์คนใดก็ตาม) ปฏิเสธว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป เราก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเรา 9 ถ้าเรายอมจำนน รับว่าเราเป็นคนบาปและเราสารภาพบาปของเรา พระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญาและมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เรา และชำระเราให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง 10 ถ้าเราพูดว่าเราไม่เคยทำบาปเลย ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้โกหก และถ้อยคำของพระองค์ (คือพระเยซู) ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา”
ตรงนี้เขากำลังพูดถึงคนที่ไม่มีความจริงอยู่ในตัว ก็คือคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน แล้วเราเอามาใช้ เราก็ถูกหลอก เราที่เป็นคริสเตียนแล้วนะ เห็นชัดๆ เลย ข้อ 8 บอกถ้าเรา คือมนุษย์คนใดก็ตาม ปฏิเสธว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป เราก็หลอกตัวเอง และไม่มีความจริงในตัวเรา แต่เมื่อตะกี้นี้ ในหนังสือ 2 ยอห์น ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ พูดถึงพี่น้องที่เป็นคริสเตียนเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ ความจริงดำรงอยู่ในท่านตลอดไป นึกออกใช่ไหม? ถ้าเราเข้าใจและเรารับรู้เรื่องนี้ ตามที่ยอห์นบอก เราเชื่อฟัง เรารู้ว่าความจริงอยู่ในเรานี้แล้วตลอดไป ตรงนี้ก็ไม่ใช่ของเรา เพราะตรงนี้บอกว่าคนนี้ คนที่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนบาป ก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา ก็คือไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขาคนนี้ แล้วก็บอกต่อไปว่าถ้าเขาคนนี้ยอมจำนน รับความจริงว่าเป็นคนบาป ตามที่พระเยซูบอก ก็คือข่าวประเสริฐ และเขาสารภาพบาปของเขาว่าเขาเป็นคนบาป พระองค์ผู้รักษาคำมั่นสัญญาและมีความเที่ยงธรรม พระองค์ทรงยกโทษบาปทั้งหมดแก่เขา และชำระเขาให้บริสุทธิ์ พ้นจากความอธรรมทั้งปวง เห็นไหม?
นี่พูดถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ได้มีความจริงอยู่ในนั้น ถ้าสำหรับคนที่เป็นคริสเตียนอยู่แล้ว เชื่ออยู่แล้ว เรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องของเราเลย เราก็ไม่ต้องสารภาพบาป กลับไปอยู่ในความจริง อยู่ในพระคริสต์ เพราะว่าเราอยู่ในนั้นอยู่แล้ว อยู่แล้วอยู่เลย รอดแล้วรอดเลยนั่นเอง ไม่ใช่เข้าๆ ออกๆ อยู่ในนั้นก็อยู่ในนั้น ประพฤติก็ประพฤติไป คนละเรื่องกัน ประพฤติอย่างไรก็มีทางเอาตัวเองออกมาได้ ประพฤติอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในนั้นได้ ประพฤติอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ได้ ประพฤติอย่างไร พยายามให้ตาย อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในความจริงนี้ได้ ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในพระเจ้านี้ได้ ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ได้ ประพฤติอย่างไรก็ไม่สามารถออกจากนี้ได้ ถ้าเผื่อเข้าไปแล้ว ได้รับความรอดแล้ว
นี่อาจารย์ยอห์น กำลังอธิบายให้เราฟังอย่างนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับความจริง ไม่ใช่ว่าวันนี้เข้าอยู่กับพระคริสต์ อยู่ในความจริง พรุ่งนี้หงุดหงิด ประพฤติผิด ทำสิ่งไม่ดี ออกจากความจริง ออกจากพระคริสต์ เดินป้วนเปี้ยนอยู่ข้างนอก อยู่บนโลกนี้ เพราะในโลกนี้มีอยู่แค่ 2 สถานที่เอง คือในพระคริสต์ ในความจริง ในพระเจ้า เป็นของพระเจ้า หรือว่าในโลก ในบาป ในความมืด มันมีอยู่ 2 ที่เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าไปแล้ว มีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย ไม่ต้องกลัวอะไร? ไม่ต้องกลัวว่าจะหลุดไป ในพระคัมภีร์บอกว่าต่อให้ท่านดำเนินชีวิตกับพระเจ้าไป ประพฤติไม่ถูกต้องไป เขาเรียกว่าสะดุด ล้มลงในความบาป แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าสะดุด ล้มลง พระเจ้าเตะทิ้งเลยหรือ? ลูกของเราเดินสะดุด ล้มลง …
“โอ๊ย! สะดุดหลายครั้งแล้ว รำคาญ เตะทิ้งเลยดีกว่า คายทิ้งเลย”
หรือ! สะดุดและล้มลงทำอย่างไรเนี้ย อุ้ม ถูกไหม?
สะดุดหลายครั้งแล้วทำอย่างไร? สะดุดครั้งแรกๆ ยังพอมีแรงอุ้มเฉยๆ สะดุดหลายครั้งแล้ว หมดแรงแล้ว ต้องทำอย่างไร? ต้องแบกขึ้นมาเลย เห็นอะไรบางอย่างหรือยังว่าอาจารย์ยอห์นกำลังอธิบายให้เราฟังว่าไม่ต้องกลัว ความรอดอยู่กับเรา การทรงสถิตของพระเจ้าอยู่ในเรา ความจริงนี้อยู่ในเรา พระเยซูคริสต์อยู่ในเราแล้ว จะอยู่อย่างนี้ตลอดไป ในหนังสือ 2 ยอห์นนี้ เน้นเรื่องนี้ เรื่องความจริง และความจริงนี้ ก็คือข่าวที่ดีที่สุดเท่านั้นเอง ข่าวดีที่เรารู้กันเมื่อตะกี้นี้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายนั้น ก็เป็นข่าวดีแล้ว แต่ข่าวดีที่สุด เพิ่มเติมไป คือพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระเยซูอยู่ในเรา ความจริงอยู่ในเรา ไม่มีใครเอาไปได้เลย พระเจ้าจะไม่มีวันจากเราไปไหนเลย อยู่กับเราอย่างนี้ตลอดไป เราไม่ต้องกลัวสูญเสียความรอด ไม่ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ วันนี้ พรุ่งนี้ เริ่มต้นใหม่ ทำใหม่ ไม่ต้องกลับใจใหม่ทุกวันทุกคืน กลับใจใหม่ทุกวันเกิด กลับใจใหม่ทุกวันปีใหม่ ไม่ต้องแล้ว พระองค์ทรงเป็นความจริงนิรันดร์ และความจริงนิรันดร์นี้ วนเวียนอยู่ตรงนี้ อยู่ในเรา
เพราะฉะนั้น เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราจึงไม่แสวงหาความจริงอีกต่อไปแล้ว เพราะความจริงนี้อยู่ในเรา แต่ถ้าเราไม่มีความจริงนี้ เราก็จะแสวงหาความจริง ก็ถูกหลอกไปเรื่อยๆ การถูกหลอก คือนึกว่ามันเป็นจริง แล้วมันใช่ไหม? ไม่ใช่ ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดังนั้น เราจึงมีความหวังอยู่ในรูปเคารพ หรืออะไรต่างๆ เยอะแยะไปหมดเลย เชื่ออย่างนั้น เชื่ออย่างนี้ ในที่สุด เมื่อมาถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เมื่อมาเชื่อพระเยซู ความจริงเข้ามา เราหยุดทันทีเลย เราร้องเพลงนี้เลย …
“ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู
ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”
จริงไหม? นี่เรื่องจริงเลย ทุกคนในนี้มีประสบการณ์หมด ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผู้เชื่อแล้ว เราไม่ต้องตามหาความจริงอีกต่อไป เพราะว่าความจริงอยู่ในเราแล้ว พระเยซูคือความจริง พระองค์คือความจริง และพระองค์ทรงอยู่ในเรา และพระองค์ทรงตรัสว่า …
“พระองค์จะอยู่กับเรา จนกระทั่งถึงสิ้นยุค” แปลเป็นภาษาไทยเดิมว่า “จนถึงนิรันดร์”
หมายถึงพระองค์จะไม่ให้เราอยู่ลำพังเพียงผู้เดียว และไม่ทอดทิ้งเรา แต่จะอยู่กับเราตลอดไป ตลอดเวลา …
2 ยอห์น 1:3 “พระคุณ ความเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระบิดา จะดำรงอยู่กับเราทั้งหลาย ในความจริงและความรัก”
เห็นไหม? “ในความจริงและความรัก” อีกแล้ว เพราะว่าจดหมายฉบับนี้ ยอห์นเน้นถึงความสำคัญของการดำเนินชีวิตในความจริง คือมีชีวิตอยู่ในความจริงนี้ และในความรัก เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิตคริสเตียน ก็คือพระคุณ ความรัก ความเมตตาของพระเจ้า เป็นสิ่งที่เราได้รับผ่านทางพระเยซูคริสต์มา โดยไม่ได้พึ่งพาการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว และการดำเนินชีวิตอย่างนี้ มันจึงทำให้เกิดสันติสุขจากพระบิดาในพระเยซูคริสต์
จะเกิดสันติสุขได้เมื่อไร? เมื่อเราดำเนินชีวิตแบบนี้ คือแบบที่ไม่ต้องกลัวว่าจะหลุดออกจากพระบิดา พระบิดาอยู่กับเราตลอดเวลา ดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงเหล่านี้ ทำให้เรามีชีวิตที่มีสันติสุข ไม่ใช่มีความสุข ไม่ใช่ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่มีลำบาก ไม่มีปัญหา ไม่ใช่ มีสันติสุข เพราะรู้ว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา และแม้ว่าเราจะทำอะไรต่างๆ ประพฤติอะไรต่างๆ ก็ไม่ต้องกลัวเลย มันไม่สามารถมากระทบกระทั่งความจริงที่อยู่ในตัวเราได้เลย แม้แต่นิดหนึ่งว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราแล้ว พระองค์จะไม่ไปไหนอีกเลย …
2 ยอห์น 1:4 “ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้พบว่าลูกหลานของท่านบางคน ดำเนินชีวิตตามความจริง ตามที่เราได้รับพระบัญชาจากพระบิดา”
“ลูกหลานของท่านบางคน” ลูกหลานของท่าน “ท่าน” ในที่นี้ ย้อนไปถึงสุภาพสตรี ก็หมายถึงคริสตจักร พี่น้อง คริสตจักรอื่นๆ ที่อาจารย์ยอห์นเป็นผู้อาวุโส สมมติว่าเป็นคริสตจักรแม่เขียนไปถึงคริสตจักรลูกให้อ่านด้วย คริสตจักรลูกและสมาชิกในคริสตจักรลูกเหล่านี้ เป็นลูกหลานของท่าน เพราะว่าเป็นการสำแดงความสัมพันธ์ของการเป็นพี่น้องกันในพระคริสต์นั่นเอง
สมาชิกในคริสตจักรบางคนของท่าน ก็คือเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวใหญ่ ทางฝ่ายวิญญาณที่อาจารย์ยอห์น กำลังจะให้พี่น้องที่เป็นคริสเตียนรุ่นใหม่ได้รู้ว่าพอมาเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นพี่น้องกันทางฝ่ายวิญญาณ บางคนเริ่มดำเนินชีวิตเป็นไปตามความจริงเหล่านี้แล้ว แต่บางคนได้รับความรอดแล้ว แต่ยังไม่ดำเนินชีวิตตามความจริงเหล่านี้ มันก็ทุกข์หนัก ทุกข์เกิน ถูกหลอกไปเรื่อยๆ ทั้งที่ความจริงอยู่ในตัวแล้ว นี่หมายถึงอย่างนั้น แต่ก็ดีใจที่รู้ว่าลูกหลานบางคน คือผู้เชื่อบางคนที่เป็นรุ่นใหม่ ที่เป็นลูกๆ หลานๆ ในคริสตจักร มีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามหลักการที่อาจารย์ยอห์นได้อธิบายไป ยอห์นได้แสดงความยินดีที่เห็นว่าเขาดำเนินชีวิตตามความจริงนี้ ตามข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีเกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ และสำแดงออกมาเป็นความประพฤติ เข้าใจใช่ไหม?
สำแดงออกมาเป็นความประพฤติ คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกมาจากชีวิตของเขา ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สำคัญที่สุด ก็คืออย่างที่บอกเมื่อตะกี้นี้ว่าเขารู้ว่าเขาได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งปวง ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตเรียบร้อยแล้ว เขาสบายใจแล้ว นี่คือการดำเนินชีวิตที่เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกมา
ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ไปเน้นที่การประพฤติว่าเพราะว่าเขาเต็มไปด้วยความเมตตา ช่วยเหลือคน ดูภายนอก ไม่ใช่อย่างนั้นนะ อย่าเข้าใจผิด ความรักที่มีต่อพี่น้อง หมายถึงความรักที่เขามีต่อพี่น้องในคริสตจักร ที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อเหมือนกัน ที่อยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ เรารักเขา มันหมายถึงอย่างนั้น มันไม่ได้หมายถึงว่าดำเนินชีวิตด้วยความรัก คือท่านพาคนเดินข้ามถนน ลุกให้หญิงมีครรภ์นั่งบนรถเมล์ อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้หมายถึงตรงนั้น อย่าไปเน้นถึงตรงนั้น พูดง่ายๆ เพราะว่ามันเป็นการแสดงออกภายนอก แต่ผลของการแสดงออกภายใน คือความรักต่อพี่น้องซึ่งกันและกัน จงรักซึ่งกันและกันตามที่พระเยซูได้บัญญัติไว้
อาจารย์ยอห์นเน้นถึงความสำคัญของการยึดมั่นในความจริง คำสอนที่ได้รับมา เพื่อป้องกันการหลงผิด การถูกชักจูงให้ดำเนินชีวิตในทางเท็จที่มารหลอกลวงไปในทางที่ไม่ถูกต้อง คำว่า “ไม่ถูกต้อง” ก็อย่างที่บอก ถ้าเป็นการไม่ถูกต้องทางความประพฤติ ศีลธรรมอะไรต่างๆ นั้น ไม่ต้องไปสอนหรอก ใครๆ ก็รู้ เขาก็สอนกันทั้งหมด ทั้งศาสนาทั้งปวง ทางสังคมมนุษย์ทั้งหมด แต่อย่างที่บอกไงว่าไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ อย่างที่ตะกี้เรายกตัวอย่างเรื่องการสารภาพบาป ทำบาป เลยมาสารภาพ เลยไม่รู้ว่าข่าวประเสริฐ มันคืออะไร? ข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระเยซูคริสต์มันจะไม่เหมือนกับความเชื่ออื่นๆ ไม่เหมือนกับศาสนาอื่นๆ ไม่เหมือนเลย เพราะมันไม่เกี่ยวกับความประพฤติของมนุษย์เลย มันเกี่ยวโดยตรงอย่างเดียว คือความประพฤติของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์กระทำอะไรที่ไม้กางเขน? พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย? พระองค์ทรงกระทำอะไร? และมันเกิดอะไรขึ้น? ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว มันคืออะไร? การบังเกิดใหม่ มันคืออย่างไร? ตรงนี้สำคัญที่สุด คือเรื่องข่าวประเสริฐ คือการดำเนินชีวิตด้วยความเป็นจริง คือความสัมพันธ์แท้ หมายถึง Fellowship คือการสามัคคีธรรมที่แท้จริงของเรื่องฝ่ายวิญญาณว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว เราไปผูกพันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน และคนที่บังเกิดใหม่ในพระเจ้าเหมือนกัน ก็จะเป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน สามัคคีธรรมทางวิญญาณอะไรต่างๆ เหล่านี้ ตัวนี้แหละ สำคัญที่สุด อาจารย์ยอห์นกำลังจะพูดอย่างนี้ …
2 ยอห์น 1:5-6 “5 บัดนี้ ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ท่านสุภาพสตรี มิใช่ข้าพเจ้าเขียนพระบัญญัติใหม่ถึงท่าน แต่เป็นพระบัญญัติ ซึ่งเรามีตั้งแต่เริ่มแรก คือให้เรารักซึ่งกันและกัน 6 และนี่แหละคือความรัก คือการที่เราดำเนินตามพระบัญญัติของพระเจ้า นี่แหละคือพระบัญญัติที่ท่านได้ยินตั้งแต่แรกเริ่ม คือให้ท่านดำเนินในความรักนั้น”
นี่แหละคือบัญญัติที่ท่านได้ยินตั้งแต่แรกเริ่ม … “ตั้งแต่แรกเริ่ม” หมายถึงคำสอนที่เป็นพื้นฐานและสำคัญที่คริสเตียนได้รับตั้งแต่เริ่มแรกที่พวกเขาได้ยิน และเชื่อในข่าวประเสริฐ คือเมื่อตอนที่พระเยซูดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศข่าวดี ก่อนที่จะไปทำงานให้สำเร็จที่ไม้กางเขน พระองค์เดินประกาศ พระองค์บอกว่าพระองค์มา เพื่อทำให้บัญญัติสมบูรณ์ จาก 613 ข้อ จากกฎบัญญัติต่างๆ ที่มนุษย์วางไว้ ตั้งไว้เยอะแยะ รวมแล้ว จะทำให้สมบูรณ์เรียบร้อย ให้เหลืออยู่แค่ข้อเดียว และหนึ่งเดียวนั้น ก็คือจงดำเนินชีวิตด้วยความรัก รักซึ่งกันและกันนั่นเอง
ดังนั้น บัญญัติตั้งแต่แรกเริ่ม ก็คือความรัก การรักซึ่งกันและกันเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อและการสัมพันธ์กัน สามัคคีธรรมกัน ในชีวิตของคริสเตียน ที่เรามีต่อพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในคริสตจักร
ตรงนี้ คือผลของการดำเนินชีวิตในความจริง ถ้าท่านดำเนินชีวิตด้วยความจริงเมื่อไร? หมายถึงในวิญญาณท่าน ท่านรู้ว่าท่านรักในพี่น้องคริสเตียนและรักพระเจ้าเท่าๆ กัน รู้ว่าเขาก็มีพระเจ้า เราก็มีพระเจ้า ส่วนความประพฤติก็แยกไปอีกต่างหาก
ยอห์นเน้นว่าความรักนี้เป็นสิ่งที่เราควรดำเนินชีวิตตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นพยานถึงความจริงของพระเจ้าในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่อง ก็คือพูดง่ายๆ ว่าหลักข้อเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้าต้องเป็นอย่างนี้ คือ …
“ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ฉันได้บังเกิดใหม่แล้ว พระโลหิตพระเยซูคริสต์ชำระฉันแล้ว วิญญาณของฉันในปัจจุบัน และใจของฉันนั้น เป็นใจใหม่ วิญญาณใหม่ที่ได้บังเกิดใหม่จากพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ร่างกายได้รับรีไซเคิลใหม่ สะอาด หมดจด ชำระเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรเป็นด่างพร้อย ไม่มีมลทินเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่สกปรกโสโครกเลย ไม่เลย พระเจ้าจึงเข้ามาสถิตอยู่ได้ ฉันรอเพียงร่างกายใหม่เท่านั้น วันหนึ่งข้างหน้า ฉันจะเข้าผ่าตัดอีกทีหนึ่ง ผ่าตัดเอาร่างกายใหม่เข้ามาสวม ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์”
สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันควรจะอยู่ในความคิดของเรา คือการดำเนินชีวิตของเราในความจริง มันจะเป็นอย่างนี้ พอมองไปถึงพี่น้องคริสเตียนทั่วโลก เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่เราเป็นหนึ่งเดียวกันธรรมดา เราเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ เราเป็นครอบครัว เป็นพี่น้องกันในพระคริสต์ เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน อยู่ในพระคริสต์อีกทีหนึ่ง และในพระคริสต์อยู่ในไหน? อยู่ในพระเจ้าอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นครอบครัวใหญ่ของมหาจักรวาลนี้ ของโลกนี้เลย คือครอบครัวของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์
ความคิดอย่างนี้ ความเชื่ออย่างนี้ ควรจะวนเวียนอยู่ในตัวเราตลอดเวลา เรียกว่าการดำเนินชีวิตในความจริงในพระคริสต์ มันเป็นอย่างนี้ เหมือนบทเพลงที่เราร้อง
“เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์”
ความรัก คือความจริง พระเยซูเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต และเป็นความรัก เราก็อยู่ในทางนั้น เป็นความรัก เป็นชีวิตและความจริงเหมือนพระองค์เลย “เรา” คือคริสเตียนทั้งหมด ผู้เชื่อทั้งหมด เป็นหนึ่งเดียวกัน และเราเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในพระเยซู แล้วพระเยซูอยู่ในไหน? พระเยซูอยู่ในพระเจ้าพระบิดา เราจึงเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่ว่าท่านจะอะไร ต่อให้โลกจะแตก โลกจะสิ้นสุดลงเมื่อไรก็ตาม ท่านก็อยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ อยู่ในครอบครัวนี้ตลอดไป เราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์ มันเป็นเช่นนี้ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ
**************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
“คนใจกว้างจะเจริญรุ่งเรือง และผู้ที่รดน้ำคนอื่น จะได้รับการรดน้ำตอบแทน”
สุภาษิต 19:17 … “ผู้ที่มีเมตตาต่อคนยากจน ก็ให้พระเจ้าทรงยืม และพระองค์จะทรงตอบแทนแก่การกระทำของเขา”
ข้อความนี้เน้นถึงความสำคัญของการมีเมตตา และช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะคนกำลังอยู่ในความขัดสน การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการให้พระเจ้ายืม และพระองค์จะตอบแทนด้วยพระพรและสิ่งดีๆ ในชีวิต ตามน้ำพระทัย
ในบริบทของพันธสัญญาใหม่ การกระทำที่มีเมตตาและความรักต่อผู้อื่น เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทำงานอยู่ภายในวิญญาณ ในชีวิตของผู้เชื่อ เป็นของประทาน มีอยู่แล้วในวิญญาณของคริสเตียนทุกคน เมื่อได้บังเกิดใหม่
กาลาเทีย 5:22-23 … “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือ …
– ความรัก
– ความชื่นชมยินดี
– สันติสุข
– ความอดทน
– ความปราณี
– ความดี
– ความสัตย์ซื่อ
23 ความสุภาพอ่อนโยน
และการควบคุมตนเอง
สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย (ไม่มีการบังคับให้ทำ แต่ทำได้เองโดยอัตโนมัติ เพราะเป็นธรรมชาติใหม่ของผู้บังเกิดใหม่แล้วในพระคริสต์)”
และเป็นการแสดงออกถึงความรัก ที่พระเจ้าได้ใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา เราจึงสามารถแบ่งปันความรักนี้ให้กับผู้อื่นได้
1 ยอห์น 4:19 … “เรารัก ก็เพราะพระองค์ได้รักเราก่อน”
การรักผู้คนรอบข้าง และการทำดีต่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อรับรางวัล แต่เป็นการตอบสนองต่อความรักและพระคุณ ที่เราได้รับจากพระเจ้า และเป็นการสำแดงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในวิญญาณของเราออกมา เป็นการกระทำ
เอเฟซัส 2:8-9 … “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปราน ของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้”
ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีของตัวเองในความรอดของตนได้
พระเจ้าอวยพรครับ