คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2025
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 18
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาดูในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 6 …
กาลาเทีย 6:1 “ พี่น้องทั้งหลาย หากใครถูกจับได้ว่าทำบาป ท่านที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ ควรช่วยเขาอย่างสุภาพอ่อนโยน ให้เขากลับตั้งตัวใหม่ แต่จงระวังตัวท่านเอง มิฉะนั้น ท่านเองจะถูกล่อลวงให้ทำบาปไปด้วย”
อาจารย์เปาโลได้พูดกับพี่น้องชาวกาลาเทีย ตรงนี้กำลังพูดกับคริสเตียนด้วยกัน เราอาจจะสงสัยว่าพูดกับคริสเตียนด้วยกัน ทำไมคริสเตียนยังทำบาปอยู่ล่ะ นี่ก็คือเรื่องปกติ พี่น้องอย่าคาดหวังว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราทำบาปไม่เป็น มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เรามีโอกาสที่จะทำผิดพลาดได้ทุกวัน แต่เราขอบคุณพระเจ้าตรงที่ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมที่เผลอไปทำบาปเท่านั้นเอง ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยหนุนใจพี่น้องด้วยกันในพระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าบังเอิญมีใครถูกจับได้ว่าทำบาป บาปตรงนี้ไม่ได้พูดว่าบาปอะไร? ไปขโมยเงินเขาไหม? ไปโกงเขาไหม? หรือไปตีหัวเขาไหม? หรือไปทำอะไรต่อมิอะไร? คือทุกอย่างที่ไม่ได้ทำตามเป้าหมายของพระเจ้า ถือว่าเป็นบาปหมด ถ้าผิดจากน้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือบาป ถ้าไม่ได้ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ถือว่าบาป อันนี้ทั้งหมดเลย
ฉะนั้น โอกาสที่แต่ละคน เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะทำผิดพลาดมันมี แล้วหลายคนอาจจะคิดว่า …
“ตอนนี้ฉันไม่ได้ทำผิดอะไร”
พอคนอื่นทำผิด เราก็จะไปจี้เขา ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกอย่าทำแบบนั้น เพราะว่าโอกาสที่อนาคตข้างหน้า เราอาจจะทำผิดบ้างก็ได้ แต่ความผิดตรงนี้อาจจะไม่เหมือนกัน คนละแบบ แต่มันก็ยังคงเป็นความผิดบาปอยู่ดี ตามสายพระเนตรของพระเจ้า ฉะนั้น ถ้าถูกจับได้แล้ว เราผู้ซึ่งอยู่ฝ่ายวิญญาณ เราผู้ซึ่งอยู่ในพระคุณของพระเจ้า ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เราควรจะช่วยเขาอย่างสุภาพ อ่อนโยน ให้กำลังใจเขา
คำว่า “ให้กำลังใจ” ไม่ได้หมายความว่าเราไปส่งเสริมให้พี่น้องเราทำบาป ไม่ใช่ การให้กำลังใจ หมายความว่าเราเปิดโอกาสให้พี่น้องคนนั้น สามารถที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้กับพระเจ้าทุกวัน ซึ่งพระเจ้าก็คาดหวังอย่างนั้นอยู่แล้ว พระเจ้าก็ให้เรา ผู้เชื่อทุกคนเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าได้ทุกวัน เมื่อผิดปุ๊บ พระโลหิตของพระเยซูชำระทันที แล้วเราก็เริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าอีกทันทีด้วย นี่คือความหมายของการที่เราอยู่ร่วมกัน เป็นส่วนหนึ่งของการสำแดงความรักของพระเจ้า ความรักที่พระเยซูคริสต์ให้กับเราข้างใน เป็นความรักชนิด แบบเป็นของพระเจ้า คือความรักที่อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง นี่คือความรักในหนังสือ 1 โครินธ์ได้เขียนไว้
ฉะนั้น ของประทานแห่งความรัก หรือผลของความรักที่มีอยู่ในตัวเรา มันจะสำแดงออก การเห็นอกเห็นใจผู้ที่เขาล้มลงในความบาป ก็เป็นการสำแดงความรัก หลายคนคิดว่าถ้าเราไปเห็นใจ ก็เท่ากับเราส่งเสริมเขา ไม่ใช่ เพราะว่าคนที่ทำผิด เมื่อเราอยู่ในวิญญาณ ไม่มีผู้เชื่อคนไหนอยากทำบาป นี่เรื่องจริง เพราะว่าข้างในวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ หมดจดแล้ว แต่ถ้าเราเผลอไปทำบาป แปลว่าเราถูกหลอก แล้วก็ล้มลง เมื่อเราถูกหลอก ล้มลง เราก็รู้สึกแย่อยู่แล้ว ในตัวของเราเอง เมื่อเราเป็นผู้เชื่อ แล้วถ้าพี่น้องในผู้เชื่อ แทนที่จะให้กำลังใจเรา กลับมาทับถมเรา มาชี้หน้าด่าเรา มาพูดให้เรารู้สึกแย่มาก อันนี้ก็ไม่ได้หนุนจิตชูใจ ไม่ได้สำแดงความรัก
การสำแดงความรักที่แท้จริงจากพระเจ้า คือความรักไม่ช่างจดจำความผิด แต่ความรักนี้สามารถที่จะเชื่อในส่วนดีของคนอื่นอยู่เสมอ นี่พี่น้องไปเปิดหนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 จะเห็นว่านี่คือคุณลักษณะของคำว่าความรักของพระเจ้า เราไม่ได้ชื่นชมยินดีที่พี่น้องเราทำผิด แต่เราเห็นในส่วนดีของเขาว่านี่เขาเผลอทำผิดไป แต่เขาสามารถที่จะเริ่มต้นใหม่ได้ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเขา พระองค์จะสามารถให้กำลังเขาที่จะเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าได้ทุกวัน
กาลาเทีย 6:2 “จงช่วยรับภาระของกันและกัน ทำดังนี้แล้ว ท่านก็ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระคริสต์”
การช่วยรับภาระ อันนี้ก็สืบเนื่องมาจากข้อที่ 1 นั่นแหละ ก็คือการสนับสนุน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในขณะที่พี่น้องบางคนกำลังไม่พอ อ่อนกำลัง เราก็ไปช่วยเสริมกำลังเขา เมื่อถึงคราวที่เราอ่อนกำลังบ้าง พี่น้องคนอื่นที่มีกำลัง เขาก็จะได้มาเสริมเรา เราไม่สามารถที่จะมีกำลังได้ตลอดเวลา ไม่มีทาง บางครั้งเราก็อ่อนแอ เมื่อเราอ่อนแอ เราต้องการกำลังใจ เมื่อเราผิดพลาด เราไม่ได้ต้องการใครมาทับถมต่อ แต่ต้องการกำลังใจจากพี่น้องในพระคริสต์
ฉะนั้น การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสำแดงความรักต่อกัน นี่คือบทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ คือให้เรารักซึ่งกันและกัน แล้วจริงๆ ความรักตรงนี้ มันมีอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว คือพระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเรา เรียบร้อยไปแล้ว เป็นของประทานแห่งความรัก
กาลาเทีย 6:3 “หากผู้ใดคิดว่าตนสำคัญทั้งๆ ที่ไม่สำคัญ ผู้นั้นก็หลอกตัวเอง”
ทำไมอาจารย์เปาโลถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าหลายคนเวลามาเชื่อพระเจ้า ก็คิดว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น แต่พระเจ้าบอกไม่ใช่ ทุกคนสำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้าหมด ถ้าวันนี้เราสามารถประพฤติ ปฏิบัติดี ไม่มีข้อผิดพลาด ก็ให้เราช่วยเหลือคนอื่น เพื่อวันหนึ่ง อนาคตข้างหน้าเราอาจจะผิดพลาดได้เหมือนกัน ดังนั้น การดำเนินชีวิตแบบนี้ มันสามารถเกิดขึ้นกับพี่น้องในพระคริสต์ทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นสมาชิก จะเป็นผู้รับใช้ หรือจะเป็นใครก็ตามที่มีความเชื่อสูงส่ง ก็มีโอกาสที่จะผิดพลาดได้ทั้งหมดเลย อันนี้อาจารย์เปาโลก็ย้ำเตือนว่าให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าเราทุกคนอยู่ในสถานะเดียวกัน คือเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักเหมือนกัน
กาลาเทีย 6:4 “แต่ละคนควรสำรวจการกระทำของตนเอง จึงจะมีข้อภาคภูมิใจในตัวเอง โดยไม่ต้องเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น”
อาจารย์เปาโลไม่ได้สอนเราให้ไปเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่น แต่ให้เราดูชีวิตของตัวเอง คุมชีวิตของตัวเองให้อยู่ในทางของพระเจ้าเท่านั้นเอง ฉะนั้น การเปรียบเทียบกับคนอื่น สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ก็ทำให้เรารู้สึกไม่ดี ถ้าเปรียบเทียบแล้ว คนอื่นดีกว่าเรา เราก็รู้สึกตัวเองด้อย ถ้าเปรียบเทียบแล้ว คนอื่นด้อยกว่าเรา เราก็รู้สึกว่าตัวเองดีกว่า แล้วก็เกิดเย่อหยิ่งจองหองขึ้นมา อันนั้นไม่โอเค ในพระคัมภีร์ พระเจ้าก็สอนเราว่าไม่ต้องไปเปรียบเทียบ แค่ดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวันให้สอดคล้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ดำเนินชีวิตด้วยความรักในพระเจ้าก็พอ
กาลาเทีย 6:5 “เพราะว่าแต่ละคนต้องแบกภาระของตัวเอง”
อันนี้พี่น้องอาจจะรู้สึก อ้าว! ข้อที่ 2 บอกให้ช่วยแบ่งเบาภาระ พอข้อที่ 5 บอกให้แบกภาระเอง มันคืออะไร? การช่วยแบ่งเบาภาระ ก็คือสำแดงความรัก เวลาพี่น้องล้มลง แต่การที่เราต้องแบกภาระของตัวเอง นี่คือส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของเรา ที่ผู้เชื่อทุกคนจำเป็นต้องรับผิดชอบ การกระทำของพวกเราเองทุกคน อย่าโบ้ยความรับผิดชอบไปให้คนอื่น เราต้องจัดการกับตัวเองตามที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเรา ฉะนั้น การดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือให้พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้นำเราจากข้างใน และอาจารย์เปาโลบอกว่าจงทำทุกอย่างจากใจ
จากใจ คือจากข้างในวิญญาณของเราออกไป ไม่ใช่ทำทุกอย่างจากการหว่านล้อมจากผู้คนรอบข้าง ไม่ใช่ แต่สิ่งที่มันออกจากข้างใน คือสิ่งที่พระเจ้ายอมรับได้ ถ้าทำจากใจ แปลว่าคนนั้น กำลังทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งทุกอย่างที่ทำตามพระวิญญาณ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ พระเจ้ารับได้หมดเลย แต่ถ้าเราทำตามอิทธิพลของโลกนี้ ที่พยายามส่งเข้ามา แล้วก็เหมือนบีบบังคับในตัว ต้องทำๆๆ แล้วเราก็พยายามทำมัน ทุกอย่างที่เราทำ ไม่ว่าสิ่งที่เราทำจะใหญ่โต ในสายตาของมนุษย์อาจจะรู้สึกโคตะระดี ในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ถือว่าดี ถือว่าเป็นศูนย์ เพราะว่าเราไม่ได้ทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เรากำลังทำตามระบบของเนื้อหนังในโลกใบนี้
กาลาเทีย 6:6-9 “6 ผู้ที่รับคำสั่งสอน จงแบ่งสิ่งดีทั้งปวงแก่ผู้สอน 7 อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไรย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ 9 อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันเหมาะสม”
อันนี้ อาจารย์เปาโลกำลังบอกกับผู้เชื่อทั้งหลายว่าอย่าคิดว่าจะหลอกลวงพระเจ้าได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรออกมาในสภาวะที่เราดำเนินชีวิต หรือผลที่เราทำออกมา ไม่ว่ามนุษย์รอบข้างจะมองว่าดีหรือเลว แต่เราต้องดูว่าที่เราทำ พระเจ้าบอกว่าดีไหม? เพราะเราหลอกพระเจ้าไม่ได้
เวลาเราทำอะไร ถ้าทำโดยพึ่งกำลังของตัวเอง เราก็กำลังทำตามเนื้อหนัง แต่ถ้าเราพึ่งพระวิญญาณ เราก็ทำตามพระวิญญาณ ฉะนั้น เราหลอกพระเจ้าไม่ได้เลย แม้ว่าคนรอบข้างอาจจะถูกหลอกว่า …
“คนนี้นิสัยดีมากเลยนะ ทำโน่นทำนี่ดี”
แต่พระเจ้ามองลึกเข้าไปในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน แล้วพระองค์ทรงรู้ว่าคนๆ นี้ แม้เป็นผู้เชื่อแล้วนะ กำลังดำเนินชีวิต หรือทำอะไรบางอย่างตามพระวิญญาณนำ หรือตามระบบของเนื้อหนังบนโลกใบนี้ ที่พยายามดึงหรือแนะแนว แล้วบอกว่ามันดีนะๆ อะไรแบบนี้ ซึ่งเราหลอกพระเจ้าไม่ได้เลย นี่คือความจริง และสิ่งที่ตาเรามองเห็น อย่างที่บอก ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นต้นไม้ เราเป็นกิ่งก้านสาขาที่ถูกปักไว้ในลำต้นของพระเจ้า ก็คือในลำต้นชีวิตนิรันดร์
ลำต้นชีวิตนิรันดร์นี้ กิ่งไม้ต่างๆ อาจจะออกมา บางทีมันไม่สวยงาม มันหงิกๆ งอๆ แต่ว่าคนอื่นมองแล้ว ไม่เห็นงามเลย ทำไมคริสเตียนถึงเป็นแบบนี้ล่ะ แต่พระเจ้าบอกอันนั้น โอเค พระเจ้ารับได้ แม้หงิกๆ งอๆ แต่อนาคตข้างหน้า มันจะเกิดเป็นผลดี เพราะมันเป็นต้นไม้ดี มันเป็นต้นไม้มีชีวิต แต่ถ้าคนที่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า ยังอยู่ในอาดัม อยู่ในวิสัยบาป แม้จะดูผลที่ออกมา เป็นผลที่ดี คนทั่วไปดูว่าคนนี้ ดีมากเลย นิสัยดี การงานก็ดี ทำโน่นก็ดี ทำนี่ก็ดี คริสเตียนสู้ไม่ได้เลย แต่สิ่งที่เขาสู้ไม่ได้ คือเขาไม่มีชีวิตนิรันดร์ เขาเป็นต้นไม้ที่ไม่มีชีวิต แต่เขาเป็นต้นไม้พลาสติก รู้จักต้นไม้พลาสติกไหม? ดิฉันชอบต้นไม้พลาสติก เพราะไม่ต้องดูแล คือเป็นต้นไม้เราปักเอาไว้เฉยๆ แล้วก็ไม่ต้องไปดูแลมันเลย ถ้าฝุ่นจับ ก็เอาน้ำยาล้างจานใส่ แล้วไปเขย่าๆ มันก็สวยงาม แต่มันไม่มีชีวิต
ฉะนั้น ต้นไม้ไม่มีชีวิต คือต้นไม้พลาสติก ต้นไม้ปลอม เป็นของปลอม คนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า ต่อให้เขาสวยงามขนาดไหน? เขาก็ยังเป็นของปลอม เป็นผลไม้ปลอม เป็นดอกไม้ปลอม เป็นใบไม้ปลอม เขียวชอุ่มหมดเลย แต่มันไม่มีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เกิดจากชีวิตของคนนั้น ภาพมันต่างกันเยอะ
ในโลกวิญญาณ ถ้าเรามองด้วยสายตาของมนุษย์ เราก็จะผิดพลาด แต่ถ้าเรามองด้วยสายตาของพระเจ้า เราก็จะสามารถแยกแยะได้ว่าถ้าคนนี้อยู่ในพระคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ในเขา พระองค์ทรงนำพาย่างเท้า เริ่มต้นการงานดี พี่น้องนึกภาพที่อาจารย์เปาโลบอกว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นงานดีไว้ในชีวิตของท่าน พระองค์ก็จะจูงมือเราเดินไปจนถึงจุดหมายปลายทาง จนถึงวินาทีสุดท้ายที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า
ดังนั้น ระหว่างการเดินทาง อาจจะล้มลุกคลุกคลาน อาจจะผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่พระเจ้าก็จะนำพาเรา พาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายปลายทาง เวลาพระเจ้ามองพวกเราผู้เชื่อ พระเจ้าไม่ได้มองระหว่างการเดินทาง เพราะว่าระหว่างการเดินทาง เราก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบแน่นอน ผู้เชื่อทุกคนอย่าคิดว่าเราจะสมบูรณ์แบบ ดีเลิศ ประเสริฐศรี ทุกอย่าง ทุกวัน ทุกเวลา ไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าเราสมบูรณ์แบบในสายพระเนตรของพระเจ้า คือพระเจ้ามองทะลุไปถึงวันสุดท้ายในชีวิตของเรา ที่พระเจ้าบอกว่า …
“พอถึงวันสุดท้าย อย่างไร เธอได้ดีแน่ ได้ดี ตรงที่เธอเป็นของเราแล้ว”
เราเป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่ว่าขณะเดินทางบนโลกใบนี้ เราจะเจอหุบเขาเงาแห่งความตาย พระเจ้าบอกพระเจ้าจะพาเราผ่านไป และพระองค์จะจูงมือเราไปเรื่อยๆ ซึ่งหลายอย่าง เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา ทำไมอันนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา เราก็รักพระองค์นะ เราก็ทำทุกอย่างตามที่พระองค์บอก เราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร? ไม่สามารถบอกได้เลย แต่บอกได้อย่างเดียวว่าพระเจ้าทรงดูแลอยู่ และพระองค์ทรงควบคุมทุกอย่างอยู่
ในโลกใบนี้ มันเสียหายไปแล้ว โลกนี้ถูกสาปแช่ง ตั้งแต่วันที่อาดัมกับเอวาขายให้มารแล้ว ถูกสาปแช่งไปแล้ว มนุษย์ทุกคน ก็ถูกสาปแช่งไปเรียบร้อยแล้ว สัตว์ทุกชนิด หรือต้นไม้ทุกอย่างบนโลกใบนี้ ถูกสาปแช่งหมดเรียบร้อยไปแล้ว
อย่างที่พระเจ้าบอก … “เจ้าจะหาเลี้ยงชีพจากแผ่นดิน ด้วยเความลำบากตรากตรำตลอดชีวิตของเจ้า” บอกอาดัมนะ
เพราะว่าสมัยก่อน อาดัม เอวาไม่ต้องทำมาหากิน คือพระเจ้าให้ผลหมากรากไม้ คือเดินไปตรงไหน ก็เก็บกินได้หมด แต่เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป ความเสียหายมันเกิดขึ้นกับทุกสิ่งอย่าง
ทุกสิ่งอย่าง หมายถึงไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น โลกใบนี้ด้วย ผลหมากรากไม้ด้วย ปลาในน้ำ นกบนอากาศ คือทุกอย่างถูกสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น สรรพสิ่งเหล่านี้ เขาเฝ้ารอคอยว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อไรโลกนี้จะจบสิ้นสักที ก็คือพระเจ้าบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า โลกใบนี้จะต้องสูญสลายไป จะต้องหมดไป แล้วพระเจ้าก็เตรียมโลกใหม่ให้กับผู้เชื่อทุกคน เตรียมไว้แล้ว ณ เวลานี้ เป็นโลกที่สวยงาม ฉะนั้น ทุกคนก็รอคอยโลกใหม่
ผู้เชื่อหลายคนก็ยังคงคิดว่าเรามีความสามารถ มีความเชื่อพอที่จะอธิษฐานให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ พี่น้องเข้าใจผิดนะ อธิษฐานไปเถอะ เปลี่ยนไม่ได้ พระเจ้าบอกมันเสียหายไปแล้ว พระเจ้าเปลี่ยนอันใหม่ให้เลย ไม่ต้องมาซ่อมแซมอันเก่า พระเจ้าไม่ซ่อม ก็ปล่อยให้มันค่อยๆ เป็นไปตามวาระของมัน ซึ่งมันจะมีวาระของการเป็นอยู่ของโลกใบนี้ แล้วก็มีจังหวะเวลาที่พระองค์ได้กำหนดไว้แล้ว ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าเมื่อไร? อย่างไร? แต่สิ่งที่เรารู้ ก็คือเมื่อถึงกำหนดเวลาของพระเจ้า สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้น
แล้วพวกเรา ซึ่งอยู่บนโลกใบนี้ ที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็แค่เฝ้ารอคอย แล้วพระเจ้าผู้สถิตอยู่ในเรา เป็นผู้ที่ประทานกำลังให้กับพวกเรา ที่จะสามารถเผชิญกับหุบเขาเงาแห่งความตายได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า แล้วแต่ละคน ก็จะเจอหุบเขาเงามัจจุราชที่ไม่เหมือนกัน ทุกคนเจอแน่ เจอเล็ก เจอน้อย เจอใหญ่ เจอฝอยอย่างไร มันก็เจอ แต่พระเจ้ารู้ว่าแต่ละคนสามารถรับได้แค่ไหน? พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือให้เราสามารถผ่านไปได้
คำว่า “ผ่านไปได้” ไม่ได้ผ่านตามใจเรา ผ่านตามน้ำพระทัยของพระองค์ ดังนั้น คำว่า “ผ่านตามน้ำพระทัย” หลายครั้ง พระเจ้าก็ให้ปัญหา ภูเขามันอยู่ข้างหน้าเรา พระองค์ไม่ย้ายภูเขา อยู่ตรงนี้แหละ แล้วพระองค์ก็ให้กำลังเรา
เหมือนกับที่พระเจ้าบอกกับอาจารย์เปาโลว่า … “การที่มีคุณของเรา ก็เพียงพอแล้ว”
อาจารย์เปาโลยังต้องทนทุกข์กับหนามในเนื้อ จนตลอดชีวิตของท่าน จนท่านตายจากไป ก็ยังมีหนามในเนื้อไปด้วยกันนั่นแหละ ทิ้งร่างกายนี้ วิญญาณไปอยู่กับพระเจ้า ฉะนั้น เราไม่รู้ว่าพระองค์จะจัดการ หรือจะกำหนดอะไรให้กับพวกเราแต่ละคน ซึ่งแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือพระองค์ทรงรักเรา รักมาก รักขนาดที่ได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน ได้ให้ชีวิตของพระองค์เองมาชดใช้บาปแทนเรา ทำให้พวกเราทุกคนสามารถบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า สามารถเข้ามาเป็นประชากรของพระองค์ นี่คือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉะนั้น ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่เราสามารถอธิษฐานได้กับพระเจ้า ก็คือขอพระเจ้าเมตตา ประทานกำลังให้กับพวกเราทุกๆ คน ถ้าเราเจอปัญหาที่หนักหนาสาหัส ขอพระเจ้าทรงให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถไปคู่กันกับปัญหานี้ได้ จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ขอพระเจ้าประทานความอดทนให้กับพวกเราทุกๆ คน ไม่ต้องขอประทานสันติสุข เพราสันติสุขมีอยู่แล้ว ขอพระเจ้าให้สันติสุขที่อยู่ข้างในได้สำแดงออกมา คุ้มครองความคิดจิตใจของเราให้สามารถยิ้มได้ ท่ามกลางปัญหา ยิ้มได้ท่ามกลางอะไรเยอะแยะมากมาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
มีพี่น้องท่านหนึ่ง พี่น้องในโบสถ์ของเรา ไปตรวจเจอมะเร็งที่เต้านมกับที่ปอด แรกๆ เจอที่เต้านม แล้วหมอก็ให้ไปทำการรักษา พอไปเอ๊กซ์เรย์ ทำอะไรจนเสร็จ ไปเจอที่ปอดอีก เจอ 2 ที่นะ แต่ท่าทีของพี่น้องคนนี้จริงๆ เขารู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย เขารู้ว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เขาไปรักษาตามที่หมอนัด แล้วเขาก็สามารถหัวเราะได้กับสิ่งที่เผชิญอยู่ เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย พระองค์จะนำพาเขาผ่านวิกฤตนี้ไปได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า แล้วเขาพูดคำหนึ่งว่า …
“ชีวิตฝากไว้กับพระองค์ พระองค์จะรักษาอย่างไร ก็แล้วแต่น้ำพระทัย หรือถ้าถึงเวลา พระองค์ก็พาเขากลับบ้าน ก็แค่นั้นเอง”
นี่คือท่าทีของผู้เชื่อทุกคน จริงๆ แล้วควรจะเป็นแบบนี้ เพราะเรารู้ว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราก็เจอความทุกข์ยาก ไม่ว่าเราเผชิญอะไร พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา แล้วเมื่อถึงคราววิกฤตจริงๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จริงๆ ไม่ใช่ความกล้าหาญ หรือความดีของพี่น้องคนนี้เลย แต่พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเขาได้สำแดงให้เขาเห็นว่าพระเจ้าอยู่ด้วยในทุกสถานการณ์ เขาสามารถมั่นใจได้ว่าพระองค์นำพาเขาได้ พระองค์มีวิธีการ มีอะไรต่างๆ แล้วหมอก็นัดเขาให้ทานยาพุ่งเป้า เราก็ไม่รู้จัก พอทานไปวันที่ 3 อาการออกเลย อาเจียนแบบหนักหนาสาหัส แต่เขาก็ยังสามารถหัวเราะได้
“มันเป็นอาการอย่างนี้นะพี่ อาการมันอาเจียนออกมาเลยนะ แต่ว่าไม่เป็นไร ชีวิตฝากไว้กับพระเจ้า”
ขนลุกเลย เขาหนุนใจเรามากๆ คือเป็นอะไรที่เราเห็นพระคุณของพระเจ้าผ่านทางชีวิตของพี่น้องของเรา ซึ่งหลายๆ ครั้งพวกเราเจอหน้ากัน ทุกคนอยู่ดีมีสุข ไม่เป็นไร? แต่เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนเจออะไรมาเยอะแยะมากมาย แต่ทุกคนสามารถพึ่งพาในพระเจ้าได้ พระเจ้าผู้ทรงดูแลพวกเรา พระองค์ก็สามารถนำพาย่างเท้าของพวกเราทุกๆ คน ให้ผ่านไปได้ด้วยพระคุณความรักของพระเจ้า
ดังนั้น การดำเนินชีวิตของผู้เชื่ออย่างที่บอกในข้อ 8 ถ้าท่านหว่านเพื่อวิสัยบาป จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยบาป เก็บเกี่ยวความพินาศตรงนี้ ไม่เกี่ยวกับความพินาศทางฝากวิญญาณนะ เพราะว่าฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อไม่พินาศแล้ว อยู่ในชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว แต่เขาจะเก็บเกี่ยวความพินาศทางร่างกาย คือการดำเนินชีวิต ถ้าหว่านตามวิสัยบาป ก็เก็บเกี่ยว ไปตีหัวเขา ก็ถูกเขาตีหัวกลับ หรือไม่ก็ไปเสียค่าปรับ คือทุกอย่างมันมีผลเก็บเกี่ยวทั้งหมด เราจะไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีสันติสุขได้ ถ้าเราหว่านในย่านเนื้อหนัง แต่ถ้าเราหว่าน เพื่อพระวิญญาณก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น ก็คือเก็บเกี่ยวสันติสุขในพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประทานให้กับพวกเรา แล้วอาจารย์เปาโลยังหนุนใจว่าให้เรากระทำการดี อย่าอ่อนล้า อย่าเหน็ดเหนื่อยที่จะทำดี เพราะว่าการทำดี เรียกว่าเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้เชื่อ เพราะว่าพระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าดี แล้วพระเจ้าได้ประทานความดี เราเป็นผู้เชื่อ เราเป็นผู้ชอบธรรม ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม สะอาด เหมือนพระเจ้าเลย ก็คือคุณสมบัติเหล่านี้มันอยู่ในเราแล้ว
ฉะนั้น การดำเนินชีวิตกับผู้คนรอบข้าง อาจารย์เปาโลหนุนใจว่าอย่าอ่อนล้าในการกระทำดี ถ้าเรายังพอมีกำลัง แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องต้องไปวิ่งหาใครทุกคน ดาหน้าไปทำดีให้เขา ไม่ต้อง ก็แค่ว่าคนที่พระเจ้านำมาให้เราทำดีกับเขา เราก็ทำไปเถอะ นี่คือสิ่งที่เราจะสำแดงความรักให้กับผู้คนรอบข้าง และเป็นการสำแดงตัวตนจริงๆ ของเราที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ให้ผู้คนอื่นได้รับรู้ เมื่อเราทำสิ่งที่ดี เราก็จะเก็บเกี่ยวผล ไม่ได้หมายความว่าเราทำดี เราจะได้ความดีตอบ บางทีไม่ได้ความดีตอบนะ ทำความดีไปแล้ว ไม่เห็นได้อะไรเลย แต่ว่าสิ่งที่ได้อันดับแรก ก็คือสันติสุขในใจ พี่น้องเคยรู้สึกไหม? เวลาเราทำอะไรดีปุ๊บ ข้างในปิติยินดี ยิ้มอยู่คนเดียวนั่นแหละ คนนี้ท่าจะบ้า อยู่ดีๆ ก็ยิ้มอยู่คนเดียว ไม่ใช่ เราตื้นตัน เรามีความสุข เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เปิดโอกาสให้เราได้ทำความดี มันเป็นโอกาสที่พิเศษ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ที่ได้ทำความดี เราเก็บเกี่ยวผลของชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว คือเก็บเกี่ยวสันติสุข ความสุขที่ได้รับทันทีเลย ไม่ต้องรอให้ใครมาชม ไม่ต้องรอผลว่าพระเจ้าจะอวยพรเรา ไม่ต้อง เราได้รับพรแล้ว ก็คือความสุขที่มันเกิดขึ้นในใจของเรา ฉะนั้น ในข้อที่ 10 บอกว่า
กาลาเทีย 6:10 “เหตุฉะนั้น เมื่อมีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ”
คนทั้งปวง คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เรามีโอกาส เราสามารถทำดีให้เขาได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อยู่ในพระเจ้า พี่น้องของเราเอง ที่เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นลูกของพระเจ้าพระบิดา เป็นพี่น้องกับพระเยซูคริสต์เดียวกัน มีโอกาส ก็ให้เราทำดีต่อกัน การทำดีต่อกันไม่เหนื่อยนะ กับการทำไม่ดีต่อกัน เหนื่อยกว่า เพราะพอทำไม่ดี ข้างในวิญญาณเราก็รู้สึกแย่ เพราะวิญญาณข้างในเราเป็นวิญญาณดี พอทำอะไรที่ขัดกับตัวตนจริงๆ ของเรา เราก็จะรู้สึกอึดอัด เราไม่น่าทำเลย อะไรแบบนี้ มันจะมีผลทันทีในทุกๆ สิ่งที่เราตัดสินใจ
ฉะนั้น การทำดีกับครอบครัวแห่งความเชื่อ คือพี่น้องของเราทุกคน เราไม่จำเป็นต้องทำดีเยอะแยะมากมาย แต่เราสามารถทำดีได้ แบบเล็กๆ น้อยๆ แค่ทักทายกัน นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำดี ยิ้มให้กัน กอดกัน ก็คือส่วนหนึ่งของการทำดี ไม่ต้องไปวิ่งหาอะไรเยอะกว่านั้น ทุกอย่างมันมีอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องไปสรรหา มันเป็นคุณสมบัติที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือพระพรที่พวกเราผู้เชื่อสามารถรับได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า
กาลาเทีย 6:11-12 “11 ดูเถิด ข้าพเจ้าใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่เพียงไร เมื่อเขียนถึงท่านด้วยมือของข้าพเจ้าเอง! 12 บรรดาผู้ที่อยากสร้างความประทับใจ แต่เพียงเปลือกนอกพยายามบังคับให้ท่านเข้าสุหนัต เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองถูกข่มเหง เพราะเรื่องไม้กางเขนของพระคริสต์”
อันนี้ อาจารย์เปาโลวกกลับมาอีกแล้ว พูดถึงผู้ที่พยายามหว่านล้อมให้ผู้เชื่อชาวกาลาเทียไปทำพิธีเข้าสุหนัต ต้องเล็งถึงคนที่เป็นคนยิวแน่ๆ ถ้าไม่ใช่คนยิว เขาจะไม่รู้เรื่องการเข้าสุหนัต ดังนั้น คนยิวที่ได้กลับใจใหม่ ถ้าคนยิวไม่กลับใจใหม่ คงไม่มายุ่งกับผู้เชื่อทั้งหลาย ก็เป็นการข่มเหงเลย แต่คนยิวที่กลับใจใหม่ ที่ยังยึดถือกฎเกณฑ์เดิมที่พระเจ้าให้มา ก็คือเอาทั้ง 2 อย่าง พระเยซูฉันก็จะเอา บทบัญญัติฉันก็จะเอา กฎเกณฑ์ที่โมเสสพูดไว้ฉันก็จะเอา ฉันเอาหมดเลย ทำทุกอย่าง ฉะนั้น เมื่อเอาหมดทุกอย่าง ก็เลยบีบบังคับให้คนอื่น คือผู้เชื่อชาวต่างชาติ เขาไม่รู้เรื่องการเข้าสุหนัตเลย บีบบังคับให้เขามาเข้าสุหนัตด้วย แนะแนวว่า …
“เธอเชื่อพระเยซูคริสต์อย่างเดียวไม่พอ”
ทั้งๆ ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าแค่เชื่อเท่านั้น ท่านก็ได้ความรอดแล้ว แค่เชื่ออย่างเดียว เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ ท่านก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ แล้วท่านไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพราะพระเยซูได้ทำให้หมดแล้ว แต่ผู้เชื่อเหล่านี้ กลับมาสอนผู้เชื่อชาวต่างชาติว่าไม่พอ
“ไม่พอๆ ยังต้องทำเยอะกว่านั้น นั่นก็คือไปทำพิธีเข้าสุหนัตด้วย จะได้เข้ากฎเกณฑ์”
อาจารย์เปาโลบอกที่เขาแนะนำ เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ถูกข่มเหงเรื่องของไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ เพราะคนยิวที่มาเชื่อพระเจ้าจะถูกข่มเหง เชื่อพระเยซูคริสต์จะถูกข่มเหง ฉะนั้น เขาก็เหมือนกับป้องกันตัวเอง พาคนอื่นมาเข้าสุหนัต จะได้เนียนๆ เราเป็นพวกเดียวกัน ซึ่งอาจารย์เปาโลไม่ยอม เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ขัดกับความจริงในพระวจนะของพระเจ้า อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าท่านทำพิธีเข้าสุหนัต ก็เท่ากับท่านยอมรับกฎบัญญัติของโมเสส การยอมรับกฎบัญญัติของโมเสส คือต้องทำพิธีเข้าสุหนัต ต้องไปวิหารวันสะบาโต ต้องไปถวายเครื่องบูชาในวันสำคัญที่พระเจ้ากำหนดไว้ ต้องไปถวายอะไรต่อมิอะไร เวลาเราทำผิดทำบาป ก็ต้องไปถวายเครื่องบูชา หมายความว่าถ้าท่านยอมตัวเข้าสุหนัต ท่านก็เอาตัวเองมุดเข้าไปอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ
แล้วใครก็ตามที่เข้ามาอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ คนเหลานั้น จะถูกสาปแช่ง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์ 100% เมื่อไม่ครบถ้วนปุ๊บ ถูกสาปแช่งแน่นอน ก็คือพระเจ้าไม่รับ ถ้าพระเจ้าไม่รับ ก็คือไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งคนเหล่านี้เข้ามาอยู่แล้ว ได้รับเชื่อแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องไปทำตามกฎระเบียบเหล่านี้อีก
กาลาเทีย 6:13 “แม้แต่คนที่เข้าสุหนัตแล้ว ยังไม่เชื่อฟังบทบัญญัติ แต่พวกเขาต้องการให้ท่านเข้าสุหนัต จะได้อวดอ้างเนื้อหนังของท่าน”
เพราะว่าคนที่เข้าสุหนัต ก็ยังไม่เชื่อฟังบทบัญญัติเลย ไม่มีใครสามารถเชื่อฟังได้ 100% ผิดบ้าง ถูกบ้าง ดื้อบ้าง อะไรบ้าง นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังอยู่ในความบาป อยู่ในธรรมชาติบาป อยู่ในร่างกายที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ มันเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น คนเหล่านี้ที่พยายามชักจูง หรือชักชวนผู้เชื่อชาวกาลาเทีย ไปทำพิธีเข้าสุหนัต ก็เพื่อจะอวด ถ้าจะพูดถึงอวด
เหมือนอวดว่า … “นี่ ฉันพาคนนี้มานะ มาทำพิธีเข้าสุหนัต เห็นไหม ฉันได้ทำอะไรบางอย่าง เพื่อสนองกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าตั้งไว้ให้กับโมเสส”
ซึ่งพระเจ้าบอก … “ฉันไม่เอา ฉันไม่รับแล้ว”
วันที่พระเยซูทำสำเร็จ ไม่ว่าคนยิวหรือคนต่างชาติ ไปทำพิธีกรรมใดๆ ก็ตามที่พยายามทำด้วยกำลังของตัวเอง เพื่อได้รับความรอด พระเจ้าไม่รับหมด พระเจ้ารับแค่เงื่อนไขเดียว คือใครก็ตามที่เปิดใจยอมรับผลของการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น คนนั้นพระเจ้ายอมรับและรับได้ คนนั้นจะได้รับชีวิตนิรันดร์ นี่คือเงื่อนไข
กาลาเทีย 6:14 “ขออย่าให้ข้าพเจ้าอวดอะไร เว้นแต่ไม้กางเขนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา โดยไม้กางเขนนั้น โลกถูกตรึงไว้จากข้าพเจ้าแล้ว และข้าพเจ้าถูกตรึงไว้จากโลกแล้ว”
โลก คือระบบของโลกนี้ ที่เข้ามาพยายามที่จะดึงเราให้ไปทำตามมัน
อาจารย์เปาโลบอกว่า … “ตัวท่านเองจะไม่อวดอะไรเลย นอกจากอวดเรื่องไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์เท่านั้น”
เราสังเกตดีๆ ตอนที่ท่านยังไม่ได้กลับใจใหม่ ท่านเป็นคนที่รู้บทบัญญัติเยอะที่สุด คือเข้าใจทั้งหมดเลย แล้วเป็นคนที่รักษากฎบัญญัติได้ดี ดีกว่าพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ จริงๆ อาจารย์เปาโลเป็นฟาริสี เขาทำตามบทบัญญัติเข้มงวดมาก แต่พอวันที่อาจารย์เปาโลมาเชื่อพระเยซูปุ๊บ บทบัญญัติ อาจารย์เปาโลเลิกเลย เลิกคุยว่าตัวเองเก่งแค่ไหน? ตัวเองพร้อมแค่ไหน? ตัวเองรักษาบทบัญญัติได้เยอะขนาดไหน? อาจารย์เปาโลไม่เคยคุยต่อเลย เรื่องนี้ถูกพับเก็บเข้าลิ้นชัก ไม่เปิดออกมาเลย แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูด มีสิ่งเดียว คืออวดเรื่องไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ โดยไม้กางเขนนี่แหละ เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้มนุษยชาติบนโลกใบนี้ได้รับความรอด นี่คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า
กาลาเทีย 6:15 เข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต ก็ไม่มีความหมาย ความสำคัญอยู่ที่การได้รับการทรงสร้างใหม่”
แปลว่าการประพฤติไม่สำคัญ อันนี้จริงนะ ท่านจะเข้าสุหนัต ไม่เข้าสุหนัต มันไม่มีผลอะไรกับความรอดเลย แต่ผลที่สามารถทำให้รอดได้ ก็คือการได้รับการทรงสร้างใหม่ คือการได้มีโอกาสได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ ได้รับความคิดจิตใจใหม่ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษยชาติบนโลกใบนี้
ฉะนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าไม่ได้มองว่าเราทำอะไร ไม่ได้สนใจเลยว่าเราทำอะไร แต่พระเจ้าสนใจว่าตอนนี้ เราอยู่ตรงไหน? เราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจะทรงนำเราเอง เราอาจจะดื้อกับพระเจ้าบ้าง ทำผิดบ้าง พลาดบ้าง อะไรบ้าง ก็ไม่เป็นไร พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทรงช่วยเหลือเรา ทำให้เรามีกำลังพอที่จะสำแดงตัวตนจริงๆ ของเราออกไปให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น
กาลาเทีย 6:16-18 “16 สันติสุขและพระเมตตาคุณ จงมีแก่คนทั้งปวง ที่ทำตามกฎนี้ คือแก่ชนอิสราเอลของพระเจ้า 17 สุดท้ายนี้ อย่าให้ใครมาก่อความเดือดร้อนแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ามีเครื่องหมายของพระเยซูอยู่บนกายของข้าพเจ้า 18 พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พระคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ดำรงอยู่กับวิญญาณจิตของท่านทั้งหลายเถิด อาเมน”
อาจารย์เปาโลสรุปจบเลย ก็คือขอพระเจ้าเมตตา ขอสันติสุขของพระองค์ทรงเมตตา คนทั้งปวงที่ทำตามกฎนี้ กฎนี้ คือกฎอะไร? ไม่ใช่กฎของการทำตามบทบัญญัติของพระเจ้า แต่กฎที่บอกว่าให้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด กฎที่บอกว่ามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถพามนุษย์ไปถึงพระเจ้าพระบิดาได้ ก็คือทางสวรรค์ ที่พระเยซูเอง เป็นผู้บอกว่า …
“เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดสามารถมาถึงพระบิดาได้ ถ้าคนนั้นไม่มาทางเรา” แค่นั้น จบ
นี่คือหนทางเดียวเท่านั้น พระเจ้าอวยพรค่ะ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
อัศจรรย์จริงๆ! ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้ถูกยกขึ้นให้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ในขณะที่ร่างกายยังดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้
ใช่แล้ว! คริสเตียนผู้เชื่อได้ถูกยกขึ้นและนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในทางจิตวิญญาณ นี่คือความจริงที่น่าทึ่ง ที่แสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมและความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้าในพระคริสต์ พระคัมภีร์กล่าวว่า …
“พระเจ้าได้ทรงให้เราเป็นขึ้นมาพร้อมกับพระคริสต์ และให้เรานั่งอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ในพระเยซูคริสต์”
เอเฟซัส 2:6 … “และพระองค์ได้ทรงให้ วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”
การนั่งอยู่กับพระคริสต์ในสวรรค์ หมายถึงการที่เราได้รับการยอมรับ และมีสิทธิ์ในพระเจ้าอย่างเต็มที่ เราไม่ต้องพยายามแสวงหาความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าอีกต่อไป เพราะเราได้ถูกทำให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว
1 โครินธ์ 6:17 … “ผู้เชื่อที่ได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ (บัพติศมาในพระคริสต์) ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์”
และชีวิตของเราได้ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า
โคโลสี 3:3 … “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”
ชีวิตคริสเตียนบนโลกนี้ คือการดำเนินชีวิตด้วยชีวิตใหม่ ที่ได้รับจากการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นชีวิตของเรา และเรามีชีวิตอยู่ในพระองค์
การที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย ทำให้เรามีชีวิตนิรันดร์ และชีวิตนี้ไม่ใช่ชีวิตที่ยาวนานขึ้น แต่เป็นลักษณะชีวิตของพระคริสต์เองที่อยู่ในเรา อยู่ในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของเราที่จะอยู่ไปชั่วนิรันดร์
พระเจ้าอวยพรครับ