วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1528

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  มิถุนายน  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 18

โดย  วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาดูในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 6  …

        กาลาเทีย 6:1 “ พี่น้องทั้งหลาย  หากใครถูกจับได้ว่าทำบาป ท่านที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ ควรช่วยเขาอย่างสุภาพอ่อนโยน ให้เขากลับตั้งตัวใหม่ แต่จงระวังตัวท่านเอง มิฉะนั้น ท่านเองจะถูกล่อลวงให้ทำบาปไปด้วย”

            อาจารย์เปาโลได้พูดกับพี่น้องชาวกาลาเทีย ตรงนี้กำลังพูดกับคริสเตียนด้วยกัน เราอาจจะสงสัยว่าพูดกับคริสเตียนด้วยกัน ทำไมคริสเตียนยังทำบาปอยู่ล่ะ นี่ก็คือเรื่องปกติ พี่น้องอย่าคาดหวังว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราทำบาปไม่เป็น มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เรามีโอกาสที่จะทำผิดพลาดได้ทุกวัน แต่เราขอบคุณพระเจ้าตรงที่ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมที่เผลอไปทำบาปเท่านั้นเอง ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยหนุนใจพี่น้องด้วยกันในพระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าบังเอิญมีใครถูกจับได้ว่าทำบาป บาปตรงนี้ไม่ได้พูดว่าบาปอะไร? ไปขโมยเงินเขาไหม? ไปโกงเขาไหม?  หรือไปตีหัวเขาไหม? หรือไปทำอะไรต่อมิอะไร? คือทุกอย่างที่ไม่ได้ทำตามเป้าหมายของพระเจ้า ถือว่าเป็นบาปหมด  ถ้าผิดจากน้ำพระทัยพระเจ้า  ก็คือบาป ถ้าไม่ได้ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็ถือว่าบาป อันนี้ทั้งหมดเลย

            ฉะนั้น โอกาสที่แต่ละคน เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะทำผิดพลาดมันมี แล้วหลายคนอาจจะคิดว่า …

            “ตอนนี้ฉันไม่ได้ทำผิดอะไร”

            พอคนอื่นทำผิด เราก็จะไปจี้เขา ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกอย่าทำแบบนั้น เพราะว่าโอกาสที่อนาคตข้างหน้า เราอาจจะทำผิดบ้างก็ได้ แต่ความผิดตรงนี้อาจจะไม่เหมือนกัน คนละแบบ แต่มันก็ยังคงเป็นความผิดบาปอยู่ดี  ตามสายพระเนตรของพระเจ้า ฉะนั้น ถ้าถูกจับได้แล้ว เราผู้ซึ่งอยู่ฝ่ายวิญญาณ เราผู้ซึ่งอยู่ในพระคุณของพระเจ้า ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เราควรจะช่วยเขาอย่างสุภาพ อ่อนโยน ให้กำลังใจเขา

            คำว่า “ให้กำลังใจ” ไม่ได้หมายความว่าเราไปส่งเสริมให้พี่น้องเราทำบาป ไม่ใช่ การให้กำลังใจ หมายความว่าเราเปิดโอกาสให้พี่น้องคนนั้น สามารถที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้กับพระเจ้าทุกวัน ซึ่งพระเจ้าก็คาดหวังอย่างนั้นอยู่แล้ว พระเจ้าก็ให้เรา ผู้เชื่อทุกคนเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าได้ทุกวัน เมื่อผิดปุ๊บ พระโลหิตของพระเยซูชำระทันที แล้วเราก็เริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าอีกทันทีด้วย นี่คือความหมายของการที่เราอยู่ร่วมกัน  เป็นส่วนหนึ่งของการสำแดงความรักของพระเจ้า ความรักที่พระเยซูคริสต์ให้กับเราข้างใน เป็นความรักชนิด แบบเป็นของพระเจ้า คือความรักที่อดทนนาน กระทำคุณให้ ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง นี่คือความรักในหนังสือ 1 โครินธ์ได้เขียนไว้

            ฉะนั้น ของประทานแห่งความรัก หรือผลของความรักที่มีอยู่ในตัวเรา มันจะสำแดงออก การเห็นอกเห็นใจผู้ที่เขาล้มลงในความบาป ก็เป็นการสำแดงความรัก หลายคนคิดว่าถ้าเราไปเห็นใจ ก็เท่ากับเราส่งเสริมเขา ไม่ใช่ เพราะว่าคนที่ทำผิด เมื่อเราอยู่ในวิญญาณ ไม่มีผู้เชื่อคนไหนอยากทำบาป นี่เรื่องจริง เพราะว่าข้างในวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ หมดจดแล้ว แต่ถ้าเราเผลอไปทำบาป แปลว่าเราถูกหลอก แล้วก็ล้มลง เมื่อเราถูกหลอก ล้มลง เราก็รู้สึกแย่อยู่แล้ว ในตัวของเราเอง เมื่อเราเป็นผู้เชื่อ แล้วถ้าพี่น้องในผู้เชื่อ แทนที่จะให้กำลังใจเรา กลับมาทับถมเรา มาชี้หน้าด่าเรา มาพูดให้เรารู้สึกแย่มาก อันนี้ก็ไม่ได้หนุนจิตชูใจ ไม่ได้สำแดงความรัก

            การสำแดงความรักที่แท้จริงจากพระเจ้า คือความรักไม่ช่างจดจำความผิด แต่ความรักนี้สามารถที่จะเชื่อในส่วนดีของคนอื่นอยู่เสมอ  นี่พี่น้องไปเปิดหนังสือ 1 โครินธ์ บทที่ 13 จะเห็นว่านี่คือคุณลักษณะของคำว่าความรักของพระเจ้า เราไม่ได้ชื่นชมยินดีที่พี่น้องเราทำผิด แต่เราเห็นในส่วนดีของเขาว่านี่เขาเผลอทำผิดไป แต่เขาสามารถที่จะเริ่มต้นใหม่ได้ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเขา พระองค์จะสามารถให้กำลังเขาที่จะเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าได้ทุกวัน

        กาลาเทีย 6:2 “จงช่วยรับภาระของกันและกัน ทำดังนี้แล้ว ท่านก็ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระคริสต์”

            การช่วยรับภาระ อันนี้ก็สืบเนื่องมาจากข้อที่ 1 นั่นแหละ  ก็คือการสนับสนุน การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในขณะที่พี่น้องบางคนกำลังไม่พอ อ่อนกำลัง เราก็ไปช่วยเสริมกำลังเขา เมื่อถึงคราวที่เราอ่อนกำลังบ้าง พี่น้องคนอื่นที่มีกำลัง เขาก็จะได้มาเสริมเรา เราไม่สามารถที่จะมีกำลังได้ตลอดเวลา ไม่มีทาง บางครั้งเราก็อ่อนแอ เมื่อเราอ่อนแอ เราต้องการกำลังใจ  เมื่อเราผิดพลาด เราไม่ได้ต้องการใครมาทับถมต่อ  แต่ต้องการกำลังใจจากพี่น้องในพระคริสต์

            ฉะนั้น การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสำแดงความรักต่อกัน นี่คือบทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ คือให้เรารักซึ่งกันและกัน แล้วจริงๆ ความรักตรงนี้ มันมีอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว คือพระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเรา เรียบร้อยไปแล้ว เป็นของประทานแห่งความรัก

        กาลาเทีย 6:3 “หากผู้ใดคิดว่าตนสำคัญทั้งๆ ที่ไม่สำคัญ ผู้นั้นก็หลอกตัวเอง”

            ทำไมอาจารย์เปาโลถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าหลายคนเวลามาเชื่อพระเจ้า ก็คิดว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น แต่พระเจ้าบอกไม่ใช่ ทุกคนสำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้าหมด ถ้าวันนี้เราสามารถประพฤติ ปฏิบัติดี ไม่มีข้อผิดพลาด ก็ให้เราช่วยเหลือคนอื่น  เพื่อวันหนึ่ง อนาคตข้างหน้าเราอาจจะผิดพลาดได้เหมือนกัน ดังนั้น การดำเนินชีวิตแบบนี้ มันสามารถเกิดขึ้นกับพี่น้องในพระคริสต์ทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นสมาชิก จะเป็นผู้รับใช้ หรือจะเป็นใครก็ตามที่มีความเชื่อสูงส่ง ก็มีโอกาสที่จะผิดพลาดได้ทั้งหมดเลย อันนี้อาจารย์เปาโลก็ย้ำเตือนว่าให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าเราทุกคนอยู่ในสถานะเดียวกัน คือเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักเหมือนกัน

        กาลาเทีย 6:4 “แต่ละคนควรสำรวจการกระทำของตนเอง  จึงจะมีข้อภาคภูมิใจในตัวเอง โดยไม่ต้องเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น”

            อาจารย์เปาโลไม่ได้สอนเราให้ไปเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่น แต่ให้เราดูชีวิตของตัวเอง คุมชีวิตของตัวเองให้อยู่ในทางของพระเจ้าเท่านั้นเอง ฉะนั้น การเปรียบเทียบกับคนอื่น สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ก็ทำให้เรารู้สึกไม่ดี ถ้าเปรียบเทียบแล้ว คนอื่นดีกว่าเรา เราก็รู้สึกตัวเองด้อย ถ้าเปรียบเทียบแล้ว คนอื่นด้อยกว่าเรา เราก็รู้สึกว่าตัวเองดีกว่า แล้วก็เกิดเย่อหยิ่งจองหองขึ้นมา อันนั้นไม่โอเค ในพระคัมภีร์ พระเจ้าก็สอนเราว่าไม่ต้องไปเปรียบเทียบ แค่ดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวันให้สอดคล้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ดำเนินชีวิตด้วยความรักในพระเจ้าก็พอ

        กาลาเทีย 6:5 “เพราะว่าแต่ละคนต้องแบกภาระของตัวเอง”

            อันนี้พี่น้องอาจจะรู้สึก อ้าว! ข้อที่ 2 บอกให้ช่วยแบ่งเบาภาระ พอข้อที่ 5 บอกให้แบกภาระเอง มันคืออะไร? การช่วยแบ่งเบาภาระ ก็คือสำแดงความรัก เวลาพี่น้องล้มลง แต่การที่เราต้องแบกภาระของตัวเอง นี่คือส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของเรา ที่ผู้เชื่อทุกคนจำเป็นต้องรับผิดชอบ การกระทำของพวกเราเองทุกคน อย่าโบ้ยความรับผิดชอบไปให้คนอื่น เราต้องจัดการกับตัวเองตามที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเรา ฉะนั้น การดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือให้พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้นำเราจากข้างใน และอาจารย์เปาโลบอกว่าจงทำทุกอย่างจากใจ

            จากใจ คือจากข้างในวิญญาณของเราออกไป ไม่ใช่ทำทุกอย่างจากการหว่านล้อมจากผู้คนรอบข้าง ไม่ใช่ แต่สิ่งที่มันออกจากข้างใน คือสิ่งที่พระเจ้ายอมรับได้ ถ้าทำจากใจ แปลว่าคนนั้น กำลังทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ซึ่งทุกอย่างที่ทำตามพระวิญญาณ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ พระเจ้ารับได้หมดเลย  แต่ถ้าเราทำตามอิทธิพลของโลกนี้ ที่พยายามส่งเข้ามา แล้วก็เหมือนบีบบังคับในตัว ต้องทำๆๆ แล้วเราก็พยายามทำมัน ทุกอย่างที่เราทำ ไม่ว่าสิ่งที่เราทำจะใหญ่โต ในสายตาของมนุษย์อาจจะรู้สึกโคตะระดี ในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ถือว่าดี ถือว่าเป็นศูนย์ เพราะว่าเราไม่ได้ทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เรากำลังทำตามระบบของเนื้อหนังในโลกใบนี้

        กาลาเทีย 6:6-9 “6 ผู้ที่รับคำสั่งสอน  จงแบ่งสิ่งดีทั้งปวงแก่ผู้สอน 7 อย่าหลงเลย ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไรย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8 ผู้ที่หว่านเพื่อวิสัยบาปของเขา  จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยนั้น ส่วนผู้ที่หว่านเพื่อพระวิญญาณ จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ จากพระวิญญาณ 9 อย่าให้เราอ่อนล้าในการทำดี  เพราะถ้าเราไม่ย่อท้อ เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันเหมาะสม”

            อันนี้ อาจารย์เปาโลกำลังบอกกับผู้เชื่อทั้งหลายว่าอย่าคิดว่าจะหลอกลวงพระเจ้าได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรออกมาในสภาวะที่เราดำเนินชีวิต หรือผลที่เราทำออกมา ไม่ว่ามนุษย์รอบข้างจะมองว่าดีหรือเลว แต่เราต้องดูว่าที่เราทำ พระเจ้าบอกว่าดีไหม? เพราะเราหลอกพระเจ้าไม่ได้

            เวลาเราทำอะไร ถ้าทำโดยพึ่งกำลังของตัวเอง เราก็กำลังทำตามเนื้อหนัง แต่ถ้าเราพึ่งพระวิญญาณ เราก็ทำตามพระวิญญาณ ฉะนั้น เราหลอกพระเจ้าไม่ได้เลย แม้ว่าคนรอบข้างอาจจะถูกหลอกว่า …

            “คนนี้นิสัยดีมากเลยนะ ทำโน่นทำนี่ดี”

            แต่พระเจ้ามองลึกเข้าไปในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน แล้วพระองค์ทรงรู้ว่าคนๆ นี้ แม้เป็นผู้เชื่อแล้วนะ กำลังดำเนินชีวิต หรือทำอะไรบางอย่างตามพระวิญญาณนำ หรือตามระบบของเนื้อหนังบนโลกใบนี้ ที่พยายามดึงหรือแนะแนว แล้วบอกว่ามันดีนะๆ อะไรแบบนี้ ซึ่งเราหลอกพระเจ้าไม่ได้เลย นี่คือความจริง และสิ่งที่ตาเรามองเห็น อย่างที่บอก ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว  เราเป็นต้นไม้ เราเป็นกิ่งก้านสาขาที่ถูกปักไว้ในลำต้นของพระเจ้า ก็คือในลำต้นชีวิตนิรันดร์

            ลำต้นชีวิตนิรันดร์นี้ กิ่งไม้ต่างๆ อาจจะออกมา บางทีมันไม่สวยงาม  มันหงิกๆ งอๆ  แต่ว่าคนอื่นมองแล้ว ไม่เห็นงามเลย ทำไมคริสเตียนถึงเป็นแบบนี้ล่ะ แต่พระเจ้าบอกอันนั้น โอเค พระเจ้ารับได้ แม้หงิกๆ งอๆ  แต่อนาคตข้างหน้า มันจะเกิดเป็นผลดี เพราะมันเป็นต้นไม้ดี มันเป็นต้นไม้มีชีวิต แต่ถ้าคนที่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า ยังอยู่ในอาดัม อยู่ในวิสัยบาป แม้จะดูผลที่ออกมา เป็นผลที่ดี  คนทั่วไปดูว่าคนนี้ ดีมากเลย นิสัยดี การงานก็ดี  ทำโน่นก็ดี ทำนี่ก็ดี คริสเตียนสู้ไม่ได้เลย  แต่สิ่งที่เขาสู้ไม่ได้ คือเขาไม่มีชีวิตนิรันดร์  เขาเป็นต้นไม้ที่ไม่มีชีวิต แต่เขาเป็นต้นไม้พลาสติก รู้จักต้นไม้พลาสติกไหม?  ดิฉันชอบต้นไม้พลาสติก เพราะไม่ต้องดูแล  คือเป็นต้นไม้เราปักเอาไว้เฉยๆ  แล้วก็ไม่ต้องไปดูแลมันเลย ถ้าฝุ่นจับ ก็เอาน้ำยาล้างจานใส่ แล้วไปเขย่าๆ มันก็สวยงาม แต่มันไม่มีชีวิต

            ฉะนั้น ต้นไม้ไม่มีชีวิต คือต้นไม้พลาสติก ต้นไม้ปลอม เป็นของปลอม คนที่ไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า ต่อให้เขาสวยงามขนาดไหน? เขาก็ยังเป็นของปลอม เป็นผลไม้ปลอม เป็นดอกไม้ปลอม เป็นใบไม้ปลอม เขียวชอุ่มหมดเลย แต่มันไม่มีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เกิดจากชีวิตของคนนั้น ภาพมันต่างกันเยอะ

            ในโลกวิญญาณ ถ้าเรามองด้วยสายตาของมนุษย์ เราก็จะผิดพลาด  แต่ถ้าเรามองด้วยสายตาของพระเจ้า  เราก็จะสามารถแยกแยะได้ว่าถ้าคนนี้อยู่ในพระคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ในเขา พระองค์ทรงนำพาย่างเท้า เริ่มต้นการงานดี พี่น้องนึกภาพที่อาจารย์เปาโลบอกว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นงานดีไว้ในชีวิตของท่าน พระองค์ก็จะจูงมือเราเดินไปจนถึงจุดหมายปลายทาง จนถึงวินาทีสุดท้ายที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า

            ดังนั้น ระหว่างการเดินทาง อาจจะล้มลุกคลุกคลาน อาจจะผิดบ้าง ถูกบ้าง  แต่พระเจ้าก็จะนำพาเรา พาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายปลายทาง  เวลาพระเจ้ามองพวกเราผู้เชื่อ พระเจ้าไม่ได้มองระหว่างการเดินทาง เพราะว่าระหว่างการเดินทาง เราก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบแน่นอน ผู้เชื่อทุกคนอย่าคิดว่าเราจะสมบูรณ์แบบ ดีเลิศ ประเสริฐศรี ทุกอย่าง ทุกวัน ทุกเวลา ไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าเราสมบูรณ์แบบในสายพระเนตรของพระเจ้า คือพระเจ้ามองทะลุไปถึงวันสุดท้ายในชีวิตของเรา ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “พอถึงวันสุดท้าย อย่างไร เธอได้ดีแน่ ได้ดี ตรงที่เธอเป็นของเราแล้ว”

            เราเป็นของพระเยซูคริสต์แล้ว เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่ว่าขณะเดินทางบนโลกใบนี้ เราจะเจอหุบเขาเงาแห่งความตาย พระเจ้าบอกพระเจ้าจะพาเราผ่านไป และพระองค์จะจูงมือเราไปเรื่อยๆ ซึ่งหลายอย่าง เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา ทำไมอันนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา เราก็รักพระองค์นะ เราก็ทำทุกอย่างตามที่พระองค์บอก เราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร? ไม่สามารถบอกได้เลย แต่บอกได้อย่างเดียวว่าพระเจ้าทรงดูแลอยู่ และพระองค์ทรงควบคุมทุกอย่างอยู่

            ในโลกใบนี้ มันเสียหายไปแล้ว โลกนี้ถูกสาปแช่ง ตั้งแต่วันที่อาดัมกับเอวาขายให้มารแล้ว ถูกสาปแช่งไปแล้ว มนุษย์ทุกคน ก็ถูกสาปแช่งไปเรียบร้อยแล้ว สัตว์ทุกชนิด หรือต้นไม้ทุกอย่างบนโลกใบนี้ ถูกสาปแช่งหมดเรียบร้อยไปแล้ว

            อย่างที่พระเจ้าบอก … “เจ้าจะหาเลี้ยงชีพจากแผ่นดิน ด้วยเความลำบากตรากตรำตลอดชีวิตของเจ้า” บอกอาดัมนะ

            เพราะว่าสมัยก่อน อาดัม เอวาไม่ต้องทำมาหากิน คือพระเจ้าให้ผลหมากรากไม้ คือเดินไปตรงไหน ก็เก็บกินได้หมด  แต่เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป ความเสียหายมันเกิดขึ้นกับทุกสิ่งอย่าง

            ทุกสิ่งอย่าง หมายถึงไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น โลกใบนี้ด้วย  ผลหมากรากไม้ด้วย ปลาในน้ำ นกบนอากาศ คือทุกอย่างถูกสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น สรรพสิ่งเหล่านี้ เขาเฝ้ารอคอยว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อไรโลกนี้จะจบสิ้นสักที ก็คือพระเจ้าบอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า โลกใบนี้จะต้องสูญสลายไป จะต้องหมดไป แล้วพระเจ้าก็เตรียมโลกใหม่ให้กับผู้เชื่อทุกคน เตรียมไว้แล้ว ณ เวลานี้ เป็นโลกที่สวยงาม ฉะนั้น ทุกคนก็รอคอยโลกใหม่

            ผู้เชื่อหลายคนก็ยังคงคิดว่าเรามีความสามารถ มีความเชื่อพอที่จะอธิษฐานให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ ให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ  พี่น้องเข้าใจผิดนะ อธิษฐานไปเถอะ เปลี่ยนไม่ได้ พระเจ้าบอกมันเสียหายไปแล้ว พระเจ้าเปลี่ยนอันใหม่ให้เลย ไม่ต้องมาซ่อมแซมอันเก่า พระเจ้าไม่ซ่อม ก็ปล่อยให้มันค่อยๆ เป็นไปตามวาระของมัน ซึ่งมันจะมีวาระของการเป็นอยู่ของโลกใบนี้  แล้วก็มีจังหวะเวลาที่พระองค์ได้กำหนดไว้แล้ว ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าเมื่อไร? อย่างไร?  แต่สิ่งที่เรารู้ ก็คือเมื่อถึงกำหนดเวลาของพระเจ้า สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้น

            แล้วพวกเรา ซึ่งอยู่บนโลกใบนี้ ที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็แค่เฝ้ารอคอย แล้วพระเจ้าผู้สถิตอยู่ในเรา เป็นผู้ที่ประทานกำลังให้กับพวกเรา ที่จะสามารถเผชิญกับหุบเขาเงาแห่งความตายได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า แล้วแต่ละคน ก็จะเจอหุบเขาเงามัจจุราชที่ไม่เหมือนกัน  ทุกคนเจอแน่ เจอเล็ก เจอน้อย เจอใหญ่ เจอฝอยอย่างไร มันก็เจอ แต่พระเจ้ารู้ว่าแต่ละคนสามารถรับได้แค่ไหน? พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือให้เราสามารถผ่านไปได้

            คำว่า “ผ่านไปได้” ไม่ได้ผ่านตามใจเรา ผ่านตามน้ำพระทัยของพระองค์  ดังนั้น คำว่า “ผ่านตามน้ำพระทัย” หลายครั้ง พระเจ้าก็ให้ปัญหา ภูเขามันอยู่ข้างหน้าเรา พระองค์ไม่ย้ายภูเขา อยู่ตรงนี้แหละ แล้วพระองค์ก็ให้กำลังเรา

            เหมือนกับที่พระเจ้าบอกกับอาจารย์เปาโลว่า … “การที่มีคุณของเรา ก็เพียงพอแล้ว”

            อาจารย์เปาโลยังต้องทนทุกข์กับหนามในเนื้อ จนตลอดชีวิตของท่าน จนท่านตายจากไป ก็ยังมีหนามในเนื้อไปด้วยกันนั่นแหละ ทิ้งร่างกายนี้ วิญญาณไปอยู่กับพระเจ้า ฉะนั้น เราไม่รู้ว่าพระองค์จะจัดการ หรือจะกำหนดอะไรให้กับพวกเราแต่ละคน ซึ่งแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือพระองค์ทรงรักเรา รักมาก รักขนาดที่ได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน ได้ให้ชีวิตของพระองค์เองมาชดใช้บาปแทนเรา ทำให้พวกเราทุกคนสามารถบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า สามารถเข้ามาเป็นประชากรของพระองค์ นี่คือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

            ฉะนั้น ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่เราสามารถอธิษฐานได้กับพระเจ้า ก็คือขอพระเจ้าเมตตา ประทานกำลังให้กับพวกเราทุกๆ คน ถ้าเราเจอปัญหาที่หนักหนาสาหัส ขอพระเจ้าทรงให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถไปคู่กันกับปัญหานี้ได้ จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ขอพระเจ้าประทานความอดทนให้กับพวกเราทุกๆ คน ไม่ต้องขอประทานสันติสุข เพราสันติสุขมีอยู่แล้ว ขอพระเจ้าให้สันติสุขที่อยู่ข้างในได้สำแดงออกมา คุ้มครองความคิดจิตใจของเราให้สามารถยิ้มได้ ท่ามกลางปัญหา ยิ้มได้ท่ามกลางอะไรเยอะแยะมากมาย  ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา

            มีพี่น้องท่านหนึ่ง พี่น้องในโบสถ์ของเรา ไปตรวจเจอมะเร็งที่เต้านมกับที่ปอด แรกๆ เจอที่เต้านม แล้วหมอก็ให้ไปทำการรักษา พอไปเอ๊กซ์เรย์ ทำอะไรจนเสร็จ ไปเจอที่ปอดอีก เจอ 2 ที่นะ แต่ท่าทีของพี่น้องคนนี้จริงๆ เขารู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย เขารู้ว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เขาไปรักษาตามที่หมอนัด แล้วเขาก็สามารถหัวเราะได้กับสิ่งที่เผชิญอยู่ เพราะเขารู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วย  พระองค์จะนำพาเขาผ่านวิกฤตนี้ไปได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า  แล้วเขาพูดคำหนึ่งว่า …

            “ชีวิตฝากไว้กับพระองค์ พระองค์จะรักษาอย่างไร ก็แล้วแต่น้ำพระทัย หรือถ้าถึงเวลา พระองค์ก็พาเขากลับบ้าน ก็แค่นั้นเอง”

            นี่คือท่าทีของผู้เชื่อทุกคน จริงๆ แล้วควรจะเป็นแบบนี้ เพราะเรารู้ว่าอยู่บนโลกใบนี้  เราก็เจอความทุกข์ยาก  ไม่ว่าเราเผชิญอะไร พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา แล้วเมื่อถึงคราววิกฤตจริงๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จริงๆ ไม่ใช่ความกล้าหาญ หรือความดีของพี่น้องคนนี้เลย แต่พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเขาได้สำแดงให้เขาเห็นว่าพระเจ้าอยู่ด้วยในทุกสถานการณ์ เขาสามารถมั่นใจได้ว่าพระองค์นำพาเขาได้ พระองค์มีวิธีการ มีอะไรต่างๆ แล้วหมอก็นัดเขาให้ทานยาพุ่งเป้า เราก็ไม่รู้จัก พอทานไปวันที่ 3 อาการออกเลย อาเจียนแบบหนักหนาสาหัส แต่เขาก็ยังสามารถหัวเราะได้

            “มันเป็นอาการอย่างนี้นะพี่  อาการมันอาเจียนออกมาเลยนะ แต่ว่าไม่เป็นไร ชีวิตฝากไว้กับพระเจ้า”

            ขนลุกเลย เขาหนุนใจเรามากๆ  คือเป็นอะไรที่เราเห็นพระคุณของพระเจ้าผ่านทางชีวิตของพี่น้องของเรา ซึ่งหลายๆ ครั้งพวกเราเจอหน้ากัน ทุกคนอยู่ดีมีสุข ไม่เป็นไร? แต่เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนเจออะไรมาเยอะแยะมากมาย แต่ทุกคนสามารถพึ่งพาในพระเจ้าได้ พระเจ้าผู้ทรงดูแลพวกเรา พระองค์ก็สามารถนำพาย่างเท้าของพวกเราทุกๆ คน ให้ผ่านไปได้ด้วยพระคุณความรักของพระเจ้า

            ดังนั้น การดำเนินชีวิตของผู้เชื่ออย่างที่บอกในข้อ 8 ถ้าท่านหว่านเพื่อวิสัยบาป  จะเก็บเกี่ยวความพินาศจากวิสัยบาป  เก็บเกี่ยวความพินาศตรงนี้ ไม่เกี่ยวกับความพินาศทางฝากวิญญาณนะ เพราะว่าฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อไม่พินาศแล้ว อยู่ในชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว แต่เขาจะเก็บเกี่ยวความพินาศทางร่างกาย คือการดำเนินชีวิต ถ้าหว่านตามวิสัยบาป ก็เก็บเกี่ยว ไปตีหัวเขา ก็ถูกเขาตีหัวกลับ หรือไม่ก็ไปเสียค่าปรับ คือทุกอย่างมันมีผลเก็บเกี่ยวทั้งหมด  เราจะไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีสันติสุขได้ ถ้าเราหว่านในย่านเนื้อหนัง แต่ถ้าเราหว่าน เพื่อพระวิญญาณก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น ก็คือเก็บเกี่ยวสันติสุขในพระเจ้า  ที่พระองค์ทรงประทานให้กับพวกเรา แล้วอาจารย์เปาโลยังหนุนใจว่าให้เรากระทำการดี อย่าอ่อนล้า  อย่าเหน็ดเหนื่อยที่จะทำดี เพราะว่าการทำดี เรียกว่าเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้เชื่อ  เพราะว่าพระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าดี  แล้วพระเจ้าได้ประทานความดี เราเป็นผู้เชื่อ เราเป็นผู้ชอบธรรม ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม สะอาด เหมือนพระเจ้าเลย  ก็คือคุณสมบัติเหล่านี้มันอยู่ในเราแล้ว

            ฉะนั้น การดำเนินชีวิตกับผู้คนรอบข้าง อาจารย์เปาโลหนุนใจว่าอย่าอ่อนล้าในการกระทำดี ถ้าเรายังพอมีกำลัง แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องต้องไปวิ่งหาใครทุกคน ดาหน้าไปทำดีให้เขา ไม่ต้อง ก็แค่ว่าคนที่พระเจ้านำมาให้เราทำดีกับเขา เราก็ทำไปเถอะ นี่คือสิ่งที่เราจะสำแดงความรักให้กับผู้คนรอบข้าง และเป็นการสำแดงตัวตนจริงๆ ของเราที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ให้ผู้คนอื่นได้รับรู้ เมื่อเราทำสิ่งที่ดี เราก็จะเก็บเกี่ยวผล ไม่ได้หมายความว่าเราทำดี เราจะได้ความดีตอบ บางทีไม่ได้ความดีตอบนะ ทำความดีไปแล้ว ไม่เห็นได้อะไรเลย แต่ว่าสิ่งที่ได้อันดับแรก ก็คือสันติสุขในใจ พี่น้องเคยรู้สึกไหม?  เวลาเราทำอะไรดีปุ๊บ ข้างในปิติยินดี ยิ้มอยู่คนเดียวนั่นแหละ คนนี้ท่าจะบ้า อยู่ดีๆ ก็ยิ้มอยู่คนเดียว ไม่ใช่ เราตื้นตัน เรามีความสุข เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เปิดโอกาสให้เราได้ทำความดี มันเป็นโอกาสที่พิเศษ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา  ที่ได้ทำความดี เราเก็บเกี่ยวผลของชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว คือเก็บเกี่ยวสันติสุข ความสุขที่ได้รับทันทีเลย ไม่ต้องรอให้ใครมาชม ไม่ต้องรอผลว่าพระเจ้าจะอวยพรเรา ไม่ต้อง เราได้รับพรแล้ว ก็คือความสุขที่มันเกิดขึ้นในใจของเรา ฉะนั้น ในข้อที่ 10 บอกว่า

        กาลาเทีย 6:10 “เหตุฉะนั้น เมื่อมีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ”

            คนทั้งปวง คือคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า เรามีโอกาส เราสามารถทำดีให้เขาได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อยู่ในพระเจ้า พี่น้องของเราเอง ที่เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นลูกของพระเจ้าพระบิดา เป็นพี่น้องกับพระเยซูคริสต์เดียวกัน มีโอกาส ก็ให้เราทำดีต่อกัน การทำดีต่อกันไม่เหนื่อยนะ กับการทำไม่ดีต่อกัน เหนื่อยกว่า เพราะพอทำไม่ดี ข้างในวิญญาณเราก็รู้สึกแย่ เพราะวิญญาณข้างในเราเป็นวิญญาณดี พอทำอะไรที่ขัดกับตัวตนจริงๆ ของเรา เราก็จะรู้สึกอึดอัด เราไม่น่าทำเลย อะไรแบบนี้ มันจะมีผลทันทีในทุกๆ สิ่งที่เราตัดสินใจ

            ฉะนั้น การทำดีกับครอบครัวแห่งความเชื่อ คือพี่น้องของเราทุกคน  เราไม่จำเป็นต้องทำดีเยอะแยะมากมาย แต่เราสามารถทำดีได้ แบบเล็กๆ น้อยๆ แค่ทักทายกัน นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำดี ยิ้มให้กัน กอดกัน ก็คือส่วนหนึ่งของการทำดี ไม่ต้องไปวิ่งหาอะไรเยอะกว่านั้น ทุกอย่างมันมีอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องไปสรรหา มันเป็นคุณสมบัติที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือพระพรที่พวกเราผู้เชื่อสามารถรับได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า

        กาลาเทีย 6:11-12 “11 ดูเถิด ข้าพเจ้าใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่เพียงไร เมื่อเขียนถึงท่านด้วยมือของข้าพเจ้าเอง! 12 บรรดาผู้ที่อยากสร้างความประทับใจ แต่เพียงเปลือกนอกพยายามบังคับให้ท่านเข้าสุหนัต เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองถูกข่มเหง เพราะเรื่องไม้กางเขนของพระคริสต์”

            อันนี้ อาจารย์เปาโลวกกลับมาอีกแล้ว  พูดถึงผู้ที่พยายามหว่านล้อมให้ผู้เชื่อชาวกาลาเทียไปทำพิธีเข้าสุหนัต ต้องเล็งถึงคนที่เป็นคนยิวแน่ๆ ถ้าไม่ใช่คนยิว เขาจะไม่รู้เรื่องการเข้าสุหนัต ดังนั้น คนยิวที่ได้กลับใจใหม่ ถ้าคนยิวไม่กลับใจใหม่ คงไม่มายุ่งกับผู้เชื่อทั้งหลาย ก็เป็นการข่มเหงเลย แต่คนยิวที่กลับใจใหม่ ที่ยังยึดถือกฎเกณฑ์เดิมที่พระเจ้าให้มา ก็คือเอาทั้ง 2 อย่าง  พระเยซูฉันก็จะเอา บทบัญญัติฉันก็จะเอา  กฎเกณฑ์ที่โมเสสพูดไว้ฉันก็จะเอา  ฉันเอาหมดเลย ทำทุกอย่าง ฉะนั้น เมื่อเอาหมดทุกอย่าง ก็เลยบีบบังคับให้คนอื่น คือผู้เชื่อชาวต่างชาติ เขาไม่รู้เรื่องการเข้าสุหนัตเลย บีบบังคับให้เขามาเข้าสุหนัตด้วย แนะแนวว่า …

            “เธอเชื่อพระเยซูคริสต์อย่างเดียวไม่พอ”

            ทั้งๆ ที่พระเยซูคริสต์บอกว่าแค่เชื่อเท่านั้น ท่านก็ได้ความรอดแล้ว แค่เชื่ออย่างเดียว เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ ท่านก็ได้รับชีวิตนิรันดร์  แล้วท่านไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพราะพระเยซูได้ทำให้หมดแล้ว  แต่ผู้เชื่อเหล่านี้ กลับมาสอนผู้เชื่อชาวต่างชาติว่าไม่พอ

            “ไม่พอๆ ยังต้องทำเยอะกว่านั้น นั่นก็คือไปทำพิธีเข้าสุหนัตด้วย จะได้เข้ากฎเกณฑ์”

            อาจารย์เปาโลบอกที่เขาแนะนำ เพื่อว่าเขาจะได้ไม่ถูกข่มเหงเรื่องของไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ เพราะคนยิวที่มาเชื่อพระเจ้าจะถูกข่มเหง เชื่อพระเยซูคริสต์จะถูกข่มเหง ฉะนั้น เขาก็เหมือนกับป้องกันตัวเอง พาคนอื่นมาเข้าสุหนัต จะได้เนียนๆ เราเป็นพวกเดียวกัน ซึ่งอาจารย์เปาโลไม่ยอม เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ขัดกับความจริงในพระวจนะของพระเจ้า อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าท่านทำพิธีเข้าสุหนัต ก็เท่ากับท่านยอมรับกฎบัญญัติของโมเสส การยอมรับกฎบัญญัติของโมเสส คือต้องทำพิธีเข้าสุหนัต ต้องไปวิหารวันสะบาโต ต้องไปถวายเครื่องบูชาในวันสำคัญที่พระเจ้ากำหนดไว้  ต้องไปถวายอะไรต่อมิอะไร เวลาเราทำผิดทำบาป ก็ต้องไปถวายเครื่องบูชา หมายความว่าถ้าท่านยอมตัวเข้าสุหนัต ท่านก็เอาตัวเองมุดเข้าไปอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ

            แล้วใครก็ตามที่เข้ามาอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ คนเหลานั้น จะถูกสาปแช่ง พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์ 100% เมื่อไม่ครบถ้วนปุ๊บ ถูกสาปแช่งแน่นอน ก็คือพระเจ้าไม่รับ ถ้าพระเจ้าไม่รับ ก็คือไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งคนเหล่านี้เข้ามาอยู่แล้ว ได้รับเชื่อแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องไปทำตามกฎระเบียบเหล่านี้อีก

        กาลาเทีย 6:13 “แม้แต่คนที่เข้าสุหนัตแล้ว  ยังไม่เชื่อฟังบทบัญญัติ แต่พวกเขาต้องการให้ท่านเข้าสุหนัต  จะได้อวดอ้างเนื้อหนังของท่าน”

            เพราะว่าคนที่เข้าสุหนัต ก็ยังไม่เชื่อฟังบทบัญญัติเลย ไม่มีใครสามารถเชื่อฟังได้ 100% ผิดบ้าง ถูกบ้าง ดื้อบ้าง อะไรบ้าง นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังอยู่ในความบาป อยู่ในธรรมชาติบาป อยู่ในร่างกายที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ มันเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น คนเหล่านี้ที่พยายามชักจูง หรือชักชวนผู้เชื่อชาวกาลาเทีย ไปทำพิธีเข้าสุหนัต ก็เพื่อจะอวด ถ้าจะพูดถึงอวด

            เหมือนอวดว่า … “นี่ ฉันพาคนนี้มานะ มาทำพิธีเข้าสุหนัต เห็นไหม ฉันได้ทำอะไรบางอย่าง เพื่อสนองกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าตั้งไว้ให้กับโมเสส”

            ซึ่งพระเจ้าบอก … “ฉันไม่เอา ฉันไม่รับแล้ว”

            วันที่พระเยซูทำสำเร็จ ไม่ว่าคนยิวหรือคนต่างชาติ ไปทำพิธีกรรมใดๆ ก็ตามที่พยายามทำด้วยกำลังของตัวเอง เพื่อได้รับความรอด พระเจ้าไม่รับหมด พระเจ้ารับแค่เงื่อนไขเดียว คือใครก็ตามที่เปิดใจยอมรับผลของการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น คนนั้นพระเจ้ายอมรับและรับได้ คนนั้นจะได้รับชีวิตนิรันดร์ นี่คือเงื่อนไข

        กาลาเทีย 6:14 “ขออย่าให้ข้าพเจ้าอวดอะไร  เว้นแต่ไม้กางเขนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา โดยไม้กางเขนนั้น โลกถูกตรึงไว้จากข้าพเจ้าแล้ว  และข้าพเจ้าถูกตรึงไว้จากโลกแล้ว”

            โลก คือระบบของโลกนี้ ที่เข้ามาพยายามที่จะดึงเราให้ไปทำตามมัน

            อาจารย์เปาโลบอกว่า … “ตัวท่านเองจะไม่อวดอะไรเลย นอกจากอวดเรื่องไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์เท่านั้น”

            เราสังเกตดีๆ ตอนที่ท่านยังไม่ได้กลับใจใหม่ ท่านเป็นคนที่รู้บทบัญญัติเยอะที่สุด คือเข้าใจทั้งหมดเลย  แล้วเป็นคนที่รักษากฎบัญญัติได้ดี ดีกว่าพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ จริงๆ อาจารย์เปาโลเป็นฟาริสี เขาทำตามบทบัญญัติเข้มงวดมาก แต่พอวันที่อาจารย์เปาโลมาเชื่อพระเยซูปุ๊บ บทบัญญัติ อาจารย์เปาโลเลิกเลย เลิกคุยว่าตัวเองเก่งแค่ไหน? ตัวเองพร้อมแค่ไหน?  ตัวเองรักษาบทบัญญัติได้เยอะขนาดไหน? อาจารย์เปาโลไม่เคยคุยต่อเลย เรื่องนี้ถูกพับเก็บเข้าลิ้นชัก ไม่เปิดออกมาเลย  แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูด มีสิ่งเดียว คืออวดเรื่องไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ โดยไม้กางเขนนี่แหละ เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้มนุษยชาติบนโลกใบนี้ได้รับความรอด นี่คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า

        กาลาเทีย 6:15 เข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต   ก็ไม่มีความหมาย  ความสำคัญอยู่ที่การได้รับการทรงสร้างใหม่”

            แปลว่าการประพฤติไม่สำคัญ อันนี้จริงนะ  ท่านจะเข้าสุหนัต ไม่เข้าสุหนัต มันไม่มีผลอะไรกับความรอดเลย แต่ผลที่สามารถทำให้รอดได้ ก็คือการได้รับการทรงสร้างใหม่ คือการได้มีโอกาสได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ ได้รับความคิดจิตใจใหม่ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษยชาติบนโลกใบนี้

            ฉะนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าไม่ได้มองว่าเราทำอะไร ไม่ได้สนใจเลยว่าเราทำอะไร แต่พระเจ้าสนใจว่าตอนนี้ เราอยู่ตรงไหน? เราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจะทรงนำเราเอง เราอาจจะดื้อกับพระเจ้าบ้าง ทำผิดบ้าง พลาดบ้าง อะไรบ้าง ก็ไม่เป็นไร พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทรงช่วยเหลือเรา ทำให้เรามีกำลังพอที่จะสำแดงตัวตนจริงๆ ของเราออกไปให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น

        กาลาเทีย 6:16-18 “16 สันติสุขและพระเมตตาคุณ  จงมีแก่คนทั้งปวง  ที่ทำตามกฎนี้  คือแก่ชนอิสราเอลของพระเจ้า 17 สุดท้ายนี้  อย่าให้ใครมาก่อความเดือดร้อนแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ามีเครื่องหมายของพระเยซูอยู่บนกายของข้าพเจ้า 18 พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พระคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ดำรงอยู่กับวิญญาณจิตของท่านทั้งหลายเถิด อาเมน”

            อาจารย์เปาโลสรุปจบเลย ก็คือขอพระเจ้าเมตตา ขอสันติสุขของพระองค์ทรงเมตตา คนทั้งปวงที่ทำตามกฎนี้ กฎนี้ คือกฎอะไร? ไม่ใช่กฎของการทำตามบทบัญญัติของพระเจ้า แต่กฎที่บอกว่าให้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด กฎที่บอกว่ามีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถพามนุษย์ไปถึงพระเจ้าพระบิดาได้ ก็คือทางสวรรค์ ที่พระเยซูเอง เป็นผู้บอกว่า …

            “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดสามารถมาถึงพระบิดาได้ ถ้าคนนั้นไม่มาทางเรา” แค่นั้น จบ

            นี่คือหนทางเดียวเท่านั้น พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            อัศจรรย์จริงๆ! ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้ถูกยกขึ้นให้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ในขณะที่ร่างกายยังดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้

            ใช่แล้ว! คริสเตียนผู้เชื่อได้ถูกยกขึ้นและนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในทางจิตวิญญาณ นี่คือความจริงที่น่าทึ่ง ที่แสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมและความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้าในพระคริสต์ พระคัมภีร์กล่าวว่า …

            “พระเจ้าได้ทรงให้เราเป็นขึ้นมาพร้อมกับพระคริสต์ และให้เรานั่งอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ในพระเยซูคริสต์”

            เอเฟซัส 2:6 … “และพระองค์ได้ทรงให้ วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

            การนั่งอยู่กับพระคริสต์ในสวรรค์ หมายถึงการที่เราได้รับการยอมรับ และมีสิทธิ์ในพระเจ้าอย่างเต็มที่ เราไม่ต้องพยายามแสวงหาความใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าอีกต่อไป เพราะเราได้ถูกทำให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว

            1 โครินธ์ 6:17 … “ผู้เชื่อที่ได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ (บัพติศมาในพระคริสต์) ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์”

            และชีวิตของเราได้ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า

            โคโลสี 3:3 … “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

            ชีวิตคริสเตียนบนโลกนี้ คือการดำเนินชีวิตด้วยชีวิตใหม่ ที่ได้รับจากการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นชีวิตของเรา และเรามีชีวิตอยู่ในพระองค์

            การที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย ทำให้เรามีชีวิตนิรันดร์ และชีวิตนี้ไม่ใช่ชีวิตที่ยาวนานขึ้น แต่เป็นลักษณะชีวิตของพระคริสต์เองที่อยู่ในเรา อยู่ในวิญญาณของเรา  ซึ่งเป็นตัวตนแท้จริงของเราที่จะอยู่ไปชั่วนิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1527

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  มิถุนายน  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 19

“บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร? & คำอุปมา เรือแห่งสวรรค์ ที่มีแต่ประตูเข้า ไม่มีประตูออก”

โดย  นคร  เวชสุภาพร

            เราลองฟังอุปมานี้ดู เผื่อจะจำสิ่งที่เกิดขึ้น ที่บทเพลงนี้ได้แต่งมา แล้วร้องเมื่อสักครู่นี้ เราจินตนาการ อุปมานี้ ผมใช้เชื่อเรื่องว่า “เรือแห่งสวรรค์ ที่มีแต่ประตูเข้า ไม่มีประตูออก” เรือสวรรค์ ลองจินตนาการดู เรือลำใหญ่ๆ ที่งดงาม เกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ ลอยอยู่กลางทะเลในโลกอันปั่นป่วน เรือลำนี้มีชื่อว่าเรือแห่งสวรรค์ของพระเยซู และมีประตูทางเข้าเพียงประตูเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าไปได้ และข้อสำคัญ คือเข้าไปแล้ว ไม่มีประตูออก ที่หน้าประตูนั้น มีพระเยซูต้อนรับอยู่ พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกมา พร้อมตรัสอย่างอ่อนโยนว่า …

            “เข้ามาสิลูก เราจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า เข้ามาสิลูก เราจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า”

            พระองค์พูดอย่างอ่อนโยน  “เราจะให้ชีวิตนิรันดร์แก่เจ้า”

            ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือยอห์น 10:28 เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระองค์ เขาก็จะถูกจูงมือเข้าไปในเรือลำนี้ ไม่ต้องซื้อตั๋ว ไม่ต้องสอบเข้า ไม่ต้องมีคุณสมบัติใดๆ  เพียงแค่เชื่อและเปิดใจต้อนรับพระองค์ ประตูก็เปิดต้อนรับเขาผู้นั้นทันที  และเมื่อเขาเข้าไปในเรือแล้ว ประตูก็ปิดลง  ไม่ใช่เพื่อกักขัง แต่เพื่อความปลอดภัย  ประตูนั้น ไม่มีลูกบิดด้านใน  ไม่มีทางออก ไม่มีใครเปิดได้อีก ไม่ใช่เพราะพระเจ้ากักขังเขา แต่เพราะพระองค์ทรงมั่นใจว่าลูกของพระองค์จะไม่มีใครพรากไปอีก ไม่ว่าจะเกิดพายุร้ายแรงแค่ไหน?  ไม่ว่าจะมีคลื่นแห่งความกลัว หรือความสงสัย ความล้มเหลว  หรือความบาป ต่อให้มีขโมยมาพยายามแย่ง ก็ไม่มีใครสามารถฉุดเขาจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ไปได้เลย

            พระองค์ทรงตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้ อาจจะมีเสียงกระซิบจากศัตรูว่าเจ้าทำบาปอีกแล้ว พระเจ้าคงจะทิ้งเจ้าแน่ เจ้าดื้อกี่ครั้งแล้ว พระเจ้าคงไม่รักเจ้าแล้ว เจ้าทำแล้ว ก็ทำอีก พลาดแล้วก็พลาดอีก  พระเจ้าไม่เอาเจ้าแล้ว”

            แต่พระเจ้าตะโกนกลับด้วยความรักว่า “ไม่ว่าอะไรในโลกนี้ จะไม่มีสิ่งใดแยกลูกออกจากเราได้ทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะเป็นความตายหรือชีวิตก็ตาม” ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือโรม 8:38-39  เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรือ นี่คือบ้านของลูก ลูกคือลูกพระเจ้า เรือลำนี้  เป็นที่ที่บุตรของพระเจ้าได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ และจะยังมีร่องรอยความอ่อนแอ แม้จะเรียนรู้ยังไม่จบ ยังไม่สิ้นก็ตาม พระองค์ก็ไม่เคยทิ้ง เมื่อเข้าแล้วเข้าเลย ไม่มีวันออก ไม่มีตั๋วหมดอายุ ไม่มีวันหมดสัญญา มีแต่ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และการทรงสถิตที่ไม่มีวันพรากจากกัน แม้เราจะล้มลงผิดพลาดเท่าไรก็ตาม  แต่พระองค์จะไม่โยนเรากลับลงทะเล เพราะความรอดในพระคริสต์มั่นคงนิรันดร์ ไม่มีวันหายไปเลย เอเมน”

            ครั้งที่แล้ว ตอนที่ 18 จบลงที่ 1 ยอห์น 5:14-15 วันนี้ตอนที่ 19 ใช้ชื่อเรื่องว่า “บาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย และบาปที่นำไปสู่ความตายคืออะไร?” เริ่มต้นที่ 1 ยอห์น 5:16 …

        1 ยอห์น 5:16 “คน​ที่เห็น​พี่น้อง​ของ​ตัวเอง​ทำ​บาป แต่​เป็น​บาป​ที่​ไม่ได้​นำ​ไป​ถึง​ความตาย เขา​ควร​จะ​ขอ​ต่อ​พระเจ้า​ สำหรับ​พี่น้อง​คนนั้น และ​พระเจ้าจะ​ให้​ชีวิต​กับ​พี่น้อง​คนนั้น ผม​กำลัง​พูด​ถึง​คน​ที่​ทำ​บาป ​ซึ่ง​ไม่ได้​นำ​ไป​ถึง​ความตาย แต่​บาป​ที่​นำ​ไป​ถึง​ความตาย​ก็​มี​ด้วย ผม​ไม่ได้​บอก​ให้​คุณ​ขอ ​สำหรับ​คน​ที่​ทำ​บาป​แบบนั้น”

            บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ ความตายตรงนี้  คืออะไร? บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณในบริบทนี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น บทที่ 5 หมายถึงบาปเล็กน้อย บาปทั่วไป ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าบาปใหญ่หรือบาปเล็ก เรียกว่าบาปก็แล้วกัน  ที่คริสเตียนทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ยังคงทำในชีวิตประจำวัน  คือบาปที่ประพฤติตามกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง  แทนที่จะประพฤติตามพระวิญญาณบริสุทธิ์  เรียกว่าบาป ซึ่งเป็นบาปที่ไม่ใช่คริสเตียนเผชิญเท่านั้น แต่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ก็เผชิญกับบาปนี้ทั้งหมดเลย มันเป็นอิทธิพลของความบาปที่ปกคลุมอยู่เหนือบนโลกใบนี้ ก็คืออิทธิพลของความบาปที่จะชักจูง ล่อลวงให้มนุษย์ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต่อต้าน หรือตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ทำ เราเรียกว่าการชักจูง ล่อลวงของระบบของโลกนี้ ที่มีอิทธิพล มีพลัง เรียกว่าพลังของความบาปและความตาย ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้ และอยู่เหนือมนุษย์ทุกคน ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เขียนไว้ ใช้ชื่อว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง หรือกระแสของโลก

            กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง กระแสของโลก หรือเนื้อหนังเฉยๆ ก็คือความบาปนั่นเอง  ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ใช้คำเหล่านี้หมดเลย  อิทธิพลเหล่านี้ เรามองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริงๆ เป็นจริงๆ เป็นลักษณะวิญญาณจริงๆ คือมันมีพลังจริงๆ ที่ดูดให้คน ผลักดันให้คนไปทำสิ่งที่เรียกว่าบาป ไปทำตามมัน จะได้รู้ว่าไม่ใช่ตัวเรา เป็นมัน มันคือไม่ใช่ตัวเรา หลายครั้งเราทำบาป หลายครั้งเราทำไม่ถูกต้อง เรานึกว่าตัวเราเองเป็นคนทำ จริงๆ มันมีพลังอำนาจหนึ่งที่มองไม่เห็น ผลักดัน ชักจูง ล่อลวงให้เราทำ  นี่แหละ ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราก็ถูกชก 2 ต่อเลย 1 มันล่อลวงเรา ล่อลวงเราไม่พอ แถมพอล่อลวงเราเสร็จปุ๊บ เราทำปุ๊บ มันใส่หมัดที่ 2 มา ให้เราฟ้องผิดตัวเอง …

            “ฉันมันแย่ ฉันมันเลว”

            อ้าว! ชกตัวเองอีก นึกภาพนะ น่าสงสารไหม? ถ้าเรารู้ความจริง อย่างน้อยเราถูกชก ถูกล่อลวงไป มันไม่ใช่ตัวเรานี่ เราต้องสู้กับมัน อย่างนี้พอจะมีทางแล้ว เหมือนพยาธิที่อยู่ในตัวเรา เราไม่รู้ว่าพยาธิ เรานึกว่าตัวเราเองเป็นอย่างนั้น  ตายเลย หาทางไม่เจอ ไม่รู้จักต้นเหตุ แต่พอเรารู้ว่าเป็นพยาธิ ไม่ใช่เราเอง กินยาถ่ายพยาธิก็จบแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

            ถ้าเปรียบเหมือนกับแรงดึงดูดของโลก  แรงดึงดูดของโลกมีไหม? มี มีแรงดึงดูดของโลก มองเห็นไหม? ไม่เห็น แต่ทำงานไหม? ทำงาน ทำงานหมดเลย ไม่ว่าคนนั้นจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็ตาม มันทำงานตลอด

            “ฉันไม่ได้ตั้งใจเดินไปตรงนั้น แล้วไม่ใส่เข็มขัดนิรภัยเลย แล้วมันร่วงลงมา ฉันไม่ได้ตั้งใจเลย”

            ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจมันก็ดูด เป็นคนดีหรือเป็นคนไม่ดี ก็ดูด ดูดตกลงมาเท่านั้น ถ้าเผื่อเข้าไปสู่เงื่อนไขของระบบการทำงานของแรงดึงดูดของโลก มันดูดตกหมด

            กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังก็เช่นเดียวกัน “ทำบาป ฉันไม่ตั้งใจ พระเจ้าคงเข้าใจ” ไม่เข้าใจหรอก เหมือนกับเราบอก เราเดินขึ้นไปข้างบน แล้วเราไม่ใส่เซฟตี้ แล้วเราตกลงมา แล้วเราก็บอกว่า

            “แรงดึงดูดน่าจะเข้าใจนะว่าฉันลืมใส่ครั้งเดียวเอง ทุกทีฉันใส่ตลอด แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้ใส่ น่าจะเข้าใจ น่าจะไม่ดูดฉัน หรือว่าฉันเป็นคนดี ไม่น่าดูดฉันเลย” อย่างนี้เป็นต้น

            จะได้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นธรรมชาติ มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าเราตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ มันมีอยู่ในนั้น ไม่ตั้งใจ มันก็ผลักดันให้เราทำ ตั้งใจก็คือมาจากมันที่ชักจูงให้เราทำ

            พอบอกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันชักจูงให้เราทำบาป บาปเหล่านั้นมีอาการอย่างไร? บอกหมดเลยว่าอาการมันเป็นอย่างนี้ ใครที่ถูกชักจูง มนุษย์ที่ถูกชักจูงกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังให้กระทำ อาการมันจะเป็นอย่างนี้ กาลาเทีย 5:19-21 …

        กาลาเทีย 5:19-21 “การ​กระทำ​ฝ่าย​เนื้อหนัง​นั้น ​เห็น​ได้​ชัด ​คือการ​ประพฤติ​ผิด​ทาง​เพศ ความ​สกปรก​โสมม ความ​มักมาก​ใน​กาม การ​บูชา​รูป​เคารพ การ​ใช้​วิทยาคม ความ​เกลียด​ชัง การ​มี​ความ​เห็น​ที่​ไม่​ลงรอย​กัน  ความ​อิจฉา ความ​โกรธ​เกรี้ยว การ​แก่งแย่ง​ชิงดี ความ​แตกแยก และ​การ​แบ่ง​พรรค​แบ่ง​พวก ความ​ริษยา การ​เมา​เหล้า ดื่ม​สุรา​เฮฮา​มั่วสุม และ​สิ่ง​อื่นๆ ใน​ทำนอง​นี้”

            และในโรม 1:29-31 …

        โรม 1:29-31 “ความ​ไม่​ชอบธรรม ความ​ชั่วร้าย ความ​โลภ และ​เสื่อม​ศีลธรรม​สารพัด พวก​เขา ​เต็ม​ด้วย​ความ​อิจฉา ฆาตกรรม การ​วิวาท หลอกลวง การ​ปองร้าย ช่าง​นินทา การ​ว่าร้าย เกลียดชัง​พระ​เจ้า สบประมาท เย่อหยิ่ง โอ้อวด ริ​วางแผน​ทำ​ความ​ชั่ว ไม่​เชื่อฟัง​บิดา​มารดา โง่​เง่า ไร้​ความ​เชื่อ ไร้​ความ​รัก ไร้​ความ​เมตตา”

            นี่บันทึกไว้อยู่ในพระคัมภีร์ และยังมีอยู่ในพระคัมภีร์ ข้ออื่นๆ อีกประมาณหนึ่งว่าการขาดความอดทน หรือขาดความเมตตาต่อผู้อื่น อาการนี้ก็เช่นเดียวกัน หรือการพึ่งพาตนเอง มากกว่าการพึ่งพาพระเจ้า  ก็เป็นบาป อันสุดท้ายยิ่งชัดเลย การละเลยที่จะทำความดี เมื่อมีโอกาส รู้ว่าดี แล้วไม่ทำ ก็เป็นอาการหนึ่งของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันจะรอดไหมเนี้ยมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ มนุษย์ทุกคนทำหมด ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ  เพราะมาอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย บนโลกใบนี้ พลังงานของการดึงดูดให้เราไปทำสิ่งนี้เท่ากันทุกคน เพียงแต่มันจะโผล่ออกมาอาการใด ไม่เหมือนกัน  แต่อยู่ในข่ายนี้ คิดดูสิ พระเจ้าให้เท่ากันเลยว่าเป็นความบาปเหมือนกัน ตั้งแต่ฆ่าคนตายถึงไม่เชื่อฟังพ่อแม่ หรือเย่อหยิ่ง มีค่าเท่ากัน เป็นบาปเหมือนกัน มาจากแหล่งเดียวกัน มาจากตะกร้าเดียวกัน เรียกว่าตะกร้าของเนื้อหนัง หรือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แล้วจะมีใครรอดสักคนหนึ่ง ที่ไม่เคยทำเลย เกิดมา ไม่เคยดื้อต่อพ่อแม่เลย  เกิดมาไม่เคยพูดโกหกเลย มันเป็นไปไม่ได้เลย เห็นไหม? นี่คือมนุษย์ไม่สามารถพึ่งตนเองได้เลย เพราะว่ามันมีอำนาจของความบาปปกคลุมอยู่

            ซึ่งนี่ก็คือความบาปที่เราอ่านมาทั้งหมด อาการทั้งหมด ความบาปบนโลกใบนี้ บาปเหล่านี้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคน รวมทั้งผู้เชื่อพระเจ้าแล้ว หรือคริสเตียนแล้ว ต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน เพราะผู้เชื่อได้รับการอภัยทั้งหมดนี้เรียบร้อยไปแล้วทางฝ่ายวิญญาณ ก็จริงอยู่ แต่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เขาก็อยู่ใต้พลังอำนาจนี้เหมือนกัน เหมือนกับยังอยู่ใต้แรงดึงดูดของโลกอยู่ ยังไม่ได้หลุดออกจากโลกนี้ไป มันก็ยังอยู่ภายใต้พลังแรงดึงดูดของโลก ยังไม่ได้ออกจากโลกนี้ยังอยู่ภายใต้พลังอำนาจของกิเลสตัณหาของความบาปและความตาย ก็คือภายใต้อาการเหล่านี้ แต่ว่าภายใต้ในลักษณะที่ไม่ได้ต้องชดใช้ อะไรอีกแล้ว  เพราะเขาได้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งหมดนี้แล้ว ที่อ่านมาทั้งหมด มีโอกาสทำดี แต่ไม่ทำดี ก็ได้อภัยไปแล้ว นี่คือคริสเตียน แต่ถ้าเผื่อยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็ยังอยู่ในการชดใช้ ทำบาป ก็ต้องชดใช้หนี้บาป  นึกภาพออกใช่ไหม?

            และข้อที่เขียนไว้ว่าพระเจ้าจะประทานชีวิต แก่ผู้ที่ทำบาปเหล่านี้  ก็คือประทานชีวิตแก่คริสเตียนที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ลองอ่านอีกครั้งหนึ่ง คำว่า “ชีวิต” ในที่นี้จะหมายถึงอะไร? ย้อนกลับไปเมื่อสักครู่นี้ 1 ยอห์น 5:16

        1 ยอห์น 5:16 “คน​ที่เห็น​พี่น้อง​ของ​ตัวเอง​ทำ​บาป แต่​เป็น​บาป​ที่​ไม่ได้​นำ​ไป​ถึง​ความตาย เขา​ควร​จะ​ขอ​ต่อ​พระเจ้า​ สำหรับ​พี่น้อง​คนนั้น และ​พระเจ้าจะ​ให้​ชีวิต​กับ​พี่น้อง​คนนั้น”

            เกรงว่าท่านจะสับสน อ้าว! ให้ชีวิต ไหนบอกว่าเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าประทานชีวิตแล้ว แล้วไหนจะให้ชีวิต

            คำว่า “ชีวิต” ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษย์ ตอนเปิดใจรับเชื่อแล้วทันที คำว่า “ชีวิต” ในข้อนี้ หมายถึงการฟื้นฟู การเสริมสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณของคริสเตียน ผู้เชื่อที่กำลังหลงผิด ถูกล่อลวง โดยพลังอำนาจของความบาปและความตาย ของเนื้อหนัง ให้ทำสิ่งที่มีอาการ ที่เรียกว่าอาการของเนื้อหนัง ให้ทำบาปออกมา  เขายังมีชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิม แต่ว่าพระเจ้าจะช่วยเขาให้หลุดพ้นออกจากการติดบ่วง ถูกล่อลวงให้ทำผิดบาป ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเขา อยู่ภายใน เพราะว่าสำหรับคริสเตียนแล้ว เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วนั้น ชีวิตนิรันดร์เป็นสิ่งที่เขาได้รับเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  เขาได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ชีวิตนิรันดร์เป็นของเขาแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกเลย เป็นชีวิตนิรันดร์ที่อยู่ในตัวแล้วตลอดไป พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา  ไม่มีทางที่จะเป็นอื่นไปได้อีกเลย  เขาได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าเข้ามาอยู่ในตัวแล้ว เข้าแล้ว ไม่มีออกแล้ว  ได้รับแล้ว ไม่มีทางสูญเสียไปเลย ยอห์น 3:16 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการ บังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์”

            คนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตรจะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์เลย  เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ไม่มีทางที่จะไปไหนได้อีกแล้ว  นี่คือความรอดนิรันดร์ที่ผู้เชื่อ หรือคริสเตียนได้รับแล้ว  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ยอห์น 10:28  ก็บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 10:28 “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้น ไปจากมือของเราได้”

            เป็นการยืนยันว่าชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ให้กับคริสเตียนผู้เชื่อ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูนั้น เขาได้รับชีวิตนิรันดร์ทันทีเลย และชีวิตนิรันดร์จะอยู่กับเขาอย่างนั้นตลอดไป ชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกัน

            ดังนั้น การประทานชีวิตในข้อนี้ ในบริบท 1 ยอห์น บทที่ 5 นี้จึงหมายถึงการฟื้นฟูความสัมพันธ์และการเสริมสร้าง  ความแข็งแรง แข็งแกร่งของชีวิตฝ่ายวิญญาณของพวกเขาที่ถูกล่อลวงให้ทำบาป มันเป็นการฟื้นฟู ประทานการฟื้นฟู ให้ชีวิตดีขึ้น ไม่สับสน เพื่อให้ผู้เชื่อเหล่านั้น ได้ กลับมาดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามถ้อยคำพระเจ้า ให้สมควรกับการที่เขาได้เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว และไม่หลงกลศัตรู คือไม่หลงกลการผลักดัน การชักจูงของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งคือระบบของโลกนี้  ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า คอยทำอะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้านั่นเอง ในยากอบ 5:19-20 ก็ได้พูดในลักษณะนี้ …

        ยากอบ 5:19-20 “พี่น้องทั้งหลายถ้าคนใดในพวกท่านหลงผิดไปจากความจริง  และผู้ใดชักจูงเขา ให้เขากลับใจเสียใหม่ได้ จงให้ผู้นั้นรู้เถิดว่าผู้ที่ช่วยคนบาปคนนั้น ให้พ้นจากทางผิดของเขา ก็ได้ช่วยชีวิตหนึ่ง ให้รอดพ้นจากความตาย (หมายถึงความทุกข์ยากลำบาก และปัญหาต่างๆ ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งเป็นผลจากการกระทำบาป) และได้ขจัดการบาป เป็นอันมากไว้”

            คำว่า “ให้รอดพ้นจากความตาย” อย่าเข้าใจผิด นึกว่าพอเขาทำบาป แล้วเขาตาย  ไม่ใช่หมายถึง ลักษณะวิญญาณตาย วิญญาณเขาไม่ตายแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นพี่น้อง แต่ทำไมในนี้บอกว่ารอดพ้นจากความตาย

            รอดพ้นจากความตายตรงนี้ ก็คือตรงกันข้ามกับประทานชีวิต ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ในหนังสือ 1 ยอห์น 5:16  ไม่ได้หมายถึงชีวิตนิรันดร์ คำว่า “ตาย” ก็ไม่ได้หมายถึงความตายทางฝ่ายวิญญาณ แต่หมายถึงการรับสิ่งที่ผลของการถูกล่อลวงให้ทำบาป การเก็บเกี่ยวทางฝ่ายวิญญาณ การเก็บเกี่ยว หรือผลที่ตัวเองหว่านลงไปในย่านเนื้อหนัง ไม่ใช่พระวิญญาณ หว่านทางเนื้อหนัง ก็คือทำตามกระแสของโลกนี้ ระบบของโลกนี้ ก็เก็บเกี่ยวความตาย  หมายถึงเก็บเกี่ยวย่านของความตาย ก็คือความทุกข์ ความลำบาก  ปัญหาต่างๆ  สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความทุกข์ที่มันมีอยู่แล้วเป็นประจำ ในโลกใบนี้ มันก็มากขึ้น ไปเพิ่มเติมความทุกข์ให้มากขึ้น

            ในนี้บอกว่าให้เราอธิษฐานให้กับพี่น้องที่ทำบาปเหล่านี้ ก็คือให้กับคริสเตียนเหล่านี้ เป็นการแสดงความรัก ความห่วงใยในชุมชนคริสเตียน โดยเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำพวกเขาให้กลับมาสู่ทางที่ถูกต้อง  เขาถูกล่อลวงให้ทำผิด มันเป็นทุกข์ต่อตัวเขา เก็บเกี่ยวในด้านฝ่ายวิญญาณแห่งความตาย ช่วยเขา เป็นกำลังใจให้เขา อธิษฐานให้เขา เข้าใจเขา หนุนใจเขา เพราะขณะที่เราหนุนใจเขา หรืออธิษฐานให้เขา ตัวเราเองข้างใน เราก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ นึกออกใช่ไหมว่าพระวิญญาณก็จะช่วยนำพาให้เขา ได้กลับมาสู่ทางที่ถูกต้อง  โดยพระเจ้าจะนำเขากลับมาสู่ทางที่พระองค์ต้องการ  เพื่อเสริมสร้างเขาให้มีความเชื่อ  มีความเข้มแข็งในถ้อยคำของพระเจ้า สามารถชนะการล่อลวงเหล่านั้นได้ อย่างเช่น คนติดเหล้า ติดบุหรี่  ติดนิสัยที่ไม่ดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น  นี่เรากำลังพูดถึงคริสเตียน แล้วทำอย่างไร? ให้อธิษฐานให้คนทำผิดเหล่านั้น เขาได้รับการอภัยแล้ว แต่เขาต้องการกำลังจากพวกเราที่เข้าใจเขา เพื่อช่วยเขาให้หลุดพ้นออกจากการหลงไปสู่การกระทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเป็นโทษให้กับเขา

            ยกตัวอย่าง อย่างเช่นตะกี้นี้บอกว่ากินเหล้า สูบบุหรี่ มันก็ทำให้เขาเสียสุขภาพ เสียเงิน เสียทอง เสียอะไรอีกหลายๆ อย่าง แล้วกระทบไปถึงครอบครัว กระทบไปถึงคนอื่น ออกไปขับรถ ไปชนคนอื่นเสียชีวิตอีก มีแต่เรื่องมากขึ้น ก็คือบาปต่อบาป ผลของความบาป ไปเรื่อยๆ ต่อไปเยอะแยะมากมาย จากคนนี้กระทบไปถึงคนนี้ กระทบไปถึงครอบครัว กระทบไปถึงคนโน้นคนนี้ ทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นเรื่องใหญ่เลย เหมือนน้ำผึ้งหยดเดียว อย่างนั้นแหละ

            ในนี้จึงบอกว่าการที่พระเจ้าให้พี่น้องอธิษฐานให้คนเหล่านี้ เพื่อที่จะช่วยเหลือคนเหล่านี้ ให้ฟื้นฟูชีวิตในพระคริสต์ ในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้กลับคืนมาใหม่ เป็นการขจัดความบาปออกจากโลกนี้ด้วย คือการขจัดความบาป ไม่ให้มันมากขึ้น เพราะถ้าเขาหยุดกระทำสิ่งเหล่านั้นได้ สิ่งที่กระทบมา สิ่งไม่ดีต่างๆ เหล่านั้น มันก็น้อยลงไป จะเห็นชัดเลย

            คราวนี้มาอันที่ 2 บาปที่นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ คืออะไร? ที่ตะกี้เราอ่านใน 1 ยอห์น 5:16 ที่บอกว่า …

        1 ยอห์น 5:16   “แต่​บาป​ที่​นำ​ไป​ถึง​ความตาย​ก็​มี​ด้วย   ผม​ไม่ได้​บอก​ให้​คุณ​อธิษฐานขอ  ​สำหรับ​คน​ที่​ทำ​บาป​แบบนั้น”

            เมื่อตะกี้นี้ บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตาย พระเจ้าบอกว่าให้อธิษฐาน ช่วยเหลือคนเหล่านั้น แต่ทำไมมาถึงตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าไม่ต้องอธิษฐานให้กับคนที่ทำบาป ที่นำไปสู่ความตาย

            เรามาดูกันสิ “บาปที่นำไปสู่ความตาย คืออะไร?”  ทำไม่ได้เลย เพราะนำไปสู่ความตาย คำว่า “นำไปสู่ความตาย” ความตายนี้ คือตายนิรันดร์ฝ่ายวิญญาณ  ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้านิรันดร์เลย มัทธิว 12:31-32 พระเยซูเป็นผู้อธิบายให้เราฟัง …

        มัทธิว 12:31-32  “เพราะฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่าความผิดบาป และคำหมิ่นประมาททุกอย่าง จะโปรดยกให้มนุษย์ได้  เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้มนุษย์ไม่ได้ ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะโปรดยกให้ผู้นั้นได้  แต่ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ ทั้งโลกนี้ โลกหน้า”

            “ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า” ชัดเลย โลกนี้และโลกหน้า หมายถึงชีวิตในปัจจุบัน โลกนี้ โลกหน้า คือชีวิตหลังความตาย  ก็หมายถึงความบาปนี้จะไม่ได้รับการอภัยจนถึงนิรันดร์นั่นเอง  และมันคืออะไร?  พระเยซูบอกว่า “กล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์” หมายถึงการปฏิเสธ และต่อต้านการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระกายของพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ และ 3 ปีสุดท้ายมาประกาศว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระคริสต์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะมาช่วยเหลือมนุษย์นั่นเอง การปฏิเสธนี้  เป็นการปฏิเสธไม่ยอมรับการช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง ผ่านทางพระเยซูคริสต์ และเป็นการปฏิเสธความเชื่อในพระเยซู ไม่ไว้วางใจ ไม่พึ่งพาพระองค์  ในฐานะเป็นพระมาซีฮาห์  พระเมสโปดกของพระเจ้า  ลูกแกะของพระเจ้า พระคริสต์  พระผู้ช่วยให้รอด ที่มนุษย์รอคอยมาเป็นเวลาหลายพันปี  ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ตอนนี้มาแล้ว และมาสำแดงว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์แล้ว  โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ลงมาสถิตอยู่กับพระองค์ ตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกนี้ เป็นมนุษย์ และทำการอัศจรรย์อย่างไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าพระองค์เป็นพระเจ้า และกระทำหลายสิ่งหลายอย่างเป็นไปตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิมของชาวยิว

            เพราะนี่กำลังพูดกับชาวยิว ให้ชาวยิวได้รู้ว่าการปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทั้งๆ ที่เห็นอัศจรรย์เหล่านั้น ที่พระเยซูทำ การชุบคนตายให้เป็นขึ้นมาใหม่ การอัศจรรย์ คนหายโรคอย่างอัศจรรย์ ที่พระองค์ทรงกระทำนั้น ไม่มีใครที่ไหนบนโลกใบนี้ มนุษย์คนไหนเคยทำมาก่อน และจะทำอีก และจะเคยทำ และจะมีขึ้นมาในโลกนี้ ไม่มีอีกแล้ว มีพระองค์เพียงผู้เดียวที่ทำการอัศจรรย์จริงๆ เหล่านี้ มีเพียงพระองค์ผู้เดียว ตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปี ก็ไม่เคยมีใครทำอย่างนี้เลย แม้แต่นิดเดียว ใกล้เคียงนิดหนึ่งก็ยังไม่มีเลย และก่อนหน้าที่พระเยซูจะมา ก็ไม่มีทำอัศจรรย์ถึงขนาดนี้  คนตายไปแล้ว อยู่ในอุโมงค์ตั้งหลายวันแล้ว เรียกออกมา กลิ่นเหม็นอยู่เลย  การอัศจรรย์เหล่านี้ มันปฏิเสธไม่ได้ แต่พวกฟาริสี ชาวยิวบางคนปฏิเสธ ไม่เชื่อพระองค์  โดยบอกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำอัศจรรย์นั้น เป็นผี เป็นมาร เป็นซาตาน เป็นผู้กระทำ หมายถึงพระเยซูทำการอัศจรรย์ผ่านทางมารที่อยู่ภายใน

            ก็คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์จริงๆ ทั้งๆ ที่ได้รับการอัศจรรย์เหล่านั้น พระเยซูจึงบอกว่าพวกนี้ไม่มีทางหรอก เพราะว่าเขาปฏิเสธ ต่อให้อัศจรรย์ที่เขาบอกว่า “ไหนลองทำอัศจรรย์ให้ดูหน่อย” ที่ทำไปมันเยอะพอแล้ว  พระเยซูบอกว่าต่อให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายอีกไม่กี่วัน พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว เป็นขึ้นจากความตาย เขาก็ไม่เชื่อหรอก เพราะว่าในใจเขาดื้อด้านไปหมดแล้ว มันไม่เชื่อ  เพราะไม่เห็นการอัศจรรย์ เห็น แต่ใจไม่รับซะอย่าง ไม่มีเหตุผลเลย ก็คือไม่รับ ใจปฏิเสธพระเยซู ซึ่งเทียบกับปัจจุบัน ก็คือพูดอย่างไร? ให้ตายอย่างไร? ก็ไม่เข้าใจ ต่อให้ตอนนี้มีอัศจรรย์เกิดขึ้น คนก็ไม่เชื่อพระเยซูหรอก เพราะว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัศจรรย์อย่างเดียว แต่มันขึ้นอยู่ภายในใจของเขา ที่จะยอมรับพระเยซูคริสต์เมื่อถึงเวลา ยอห์น 3:18 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            “เหมือนเดิมอยู่แล้ว” ก็คือมนุษย์ตกอยู่ในความบาป อยู่ในทะเลของความบาป รอคอยการจมลงไปให้ตาย  แล้วพระเยซูนำสวรรค์มาให้ แล้วยื่นมือไป ถ้าใครรับ พระองค์ก็จับมือเขาดึงขึ้นมา เขาก็ไม่จม แต่ใครปฏิเสธ ในที่สุด เขาก็จะหมดแรง แล้วก็ต้องจมลงไปใต้ทะเล เพราะว่าเขาปฏิเสธการช่วยให้รอดของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็คือไม่ไว้วางใจ ไม่พึ่งพาในนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษย์ เป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าสู่สวรรค์ของพระบิดาได้

            เพราะฉะนั้น นี่คือบาปเดียวที่นำไปสู่ความตายฝ่ายวิญญาณ ที่บันทึกไว้เมื่อสักครู่นี้  สรุป ก็คือการปฏิเสธ ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระคริสต์นั่นเอง แล้วลองคิดดู นี่คือบาปเดียว  ที่ทำให้ไม่รอด สำหรับคริสเตียน ผู้เชื่อในพระเยซู และวางใจ และยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว บาปทั้งหมด ได้รับการอภัยแล้ว นี่ไง มันเป็นอย่างนี้ เห็นชัดใช่ไหม? มนุษย์ทุกคน ทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ อยู่ในทะเลของความบาปบนโลกใบนี้ เห็นชัดๆ ทุกคนทำบาปหมด เปียกปอนด้วยความบาปหมด  เพราะอยู่ในทะเลความบาปเหมือนกัน  แต่ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ได้รับการอภัยจากบาป ผู้ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้รับการอภัย ก็อยู่ในบาป ก็แค่นี้เอง  พระเยซูไม่ได้มาตัดสินว่าให้คนนี้บาป คนนี้ไม่บาป  เพราะมนุษย์ทุกคนบาปอยู่แล้ว พระเยซูมา เพื่อช่วยให้รอด โคโลสี 2:13-14 …

        โคโลสี 2:13-14 “13ท่านทั้งหลายซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า ตอนนี้ ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิต บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ 14 พระองค์ทรงยกเลิกกฎแห่งการกระทำ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ ซึ่งกล่าวถึงข้อบังคับที่เราต้องทำตามทุกข้อโดยสมบูรณ์ ผิดข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่ได้ ซึ่งมนุษย์เราไม่สามารถทำได้ พระองค์ได้ทรงยกเลิกมันไปบนไม้กางเขน พระเยซูได้ทำสิ่งนี้ เพื่อให้เรา ได้รับการอภัย และกลับมามีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่ในพระองค์”

            “ผิดข้อใดข้อหนึ่ง ก็ไม่ได้” เห็นไหม? เมื่อตะกี้เราอ่านตอนต้น ในหนังสือกาลาเทีย ในหนังสือโรม ที่บอกว่าอาการของความบาปเหล่านี้ ตั้งแต่ฆ่าคนตาย ถึงนินทาชาวบ้านเขา ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ซึ่งทุกคนโดนหมด ผิดข้อหนึ่งก็ไม่ได้  โกรธเขานิดหนึ่ง ก็ไม่ได้แล้ว ก็ต้องชดใช้  ก็ต้องพินาศ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำได้ ในข้อนี้บอกไว้ พระเยซูจึงต้องมาช่วยไง พระเยซูได้ทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้เราได้รับการอภัย และได้กลับมามีชีวิตใหม่ ได้บังเกิดใหม่ในพระองค์ มาช่วย เพื่อให้เราหลุดพ้นจากกฎของการกระทำ คือทำบาป ก็ต้องโดนลงโทษทุกคน และทุกคนก็ต้องทำบาปอยู่แล้ว ก็ต้องโดนลงโทษ  แต่พระเยซูบอกว่าเพื่อให้เราหลุดพ้นจากกฎของการกระทำ คือไม่ต้องอยู่ในกฎนั้น มาอยู่ในกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่กฎแห่งการกระทำ เป็นกฎแห่งพระคุณ คือพระเยซูคริสต์ได้เอาความบาปของเราออกไปหมดเลย ยกเราออกจากกฎนั้น เข้ามาอยู่ในกฎของพระคุณของพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าบาปเดียว ซึ่งคริสเตียนผู้เชื่อไม่สามารถทำได้อีกแล้ว ก็คือเขาหรือเราคริสเตียนไม่สามารถปฏิเสธพระเยซูคริสต์ได้อีกแล้ว เพราะว่าเราได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้ต้อนรับไปแล้ว เราได้อยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้ว เราไม่มีโอกาสที่จะปฏิเสธพระเยซูคริสต์อีกแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อบาปเดียว ที่ทำให้มนุษย์ไม่ได้รับความรอด อยู่ในความพินาศนั้น คือการปฏิเสธพระเยซูคริสต์ คริสเตียนจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะสูญเสียความรอดอีกเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะเขาไม่มีโอกาสกลับไปทำบาป ที่นำไปสู่ความตายอีก ชัดเจนเลยนะ

            เพราะในขณะนี้ เขาได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ได้รับความรอด ก็คือได้รับวิญญาณนิรันดร์จากพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้า พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในเขา และพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเขา เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไม่มีทาง เป็นอื่นไปได้ อย่างชัดเจนเลย บาปทั้งหลายทั้งปวงที่ผู้เชื่อได้ทำ หรืออาจจะทำบาปในอนาคต พระเจ้าได้อภัยให้หมดแล้ว

            นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น โดยพระเยซูคริสต์กระทำบนไม้กางเขน จริงๆ แล้วมนุษย์ทุกคนได้รับการอภัยโทษจากบาปเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบันและบาปในอนาคต หมดแล้ว เพียงแต่ผู้ที่ไม่เชื่อ มันก็ไม่ได้เกิดผลในชีวิตของเขา

            ข้อความต่อไปใน 1 ยอห์น 5:16 บอกว่า “ผมไม่ได้บอกให้คุณขอ หรืออธิษฐานขอการอภัย สำหรับคนที่ทำบาปแบบนั้น”

            “ผมไม่ได้บอกให้คุณขอ หรือเขาเรียกว่าอธิษฐานขอสำหรับคนที่ทำบาปแบบนั้นเลย” ก็คือคนที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ ทำไมอาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าไม่ต้องไปขอให้เขาหรอก เพราะอะไร? เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าเพราะเขาได้รับการอภัยทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว  ได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน  ไม่ต้องขอแล้ว เขาแค่เชื่อและรับเอาเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เรา พี่น้องที่รู้จักกับเขา จะไปขอความรอดให้กับเขา ขออภัยความบาปให้กับเขา รู้ว่าเขาเป็นคนบาปเหมือนเราในอดีต

            “พระเจ้าขออภัยให้กับเขาด้วย”

            พระเจ้าบอกว่า “ให้ไปแล้วไง”

            เราบอก “พระเจ้า ขอความรอดให้กับเขา”

            พระเจ้าบอก “ทำให้เรียบร้อยแล้ว”

            แล้วไปขอ มันก็ไม่มีประโยชน์  เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรทำ ก็คือ “พระเจ้า ขอพระเมตตาพระองค์ส่งข่าวประเสริฐ ที่เขาสามารถรับได้ไปช่วยเขาด้วยเถิด ให้เขาได้ยินได้ฟังอีก”

            อย่างนี้ยังมีโอกาส เพราะว่าคนจะรอดได้ ต้องรอดจากการได้ยินได้ฟังข่าวประเสริฐของแท้ ของจริง เพราะข่าวประเสริฐของแท้ของจริงเป็นฤทธิ์เดช ไม่ใช่เป็นศาสนา ไม่ได้มาสอนศาสนา ไม่ได้มาเป็นการปรับปรุงความประพฤติ แต่เป็นการอัศจรรย์เกิดขึ้น คือเขาจะได้บังเกิดใหม่ จากข่าวประเสริฐ ข่าวดีนั้น 1 ยอห์น 5:17 …

        1 ยอห์น 5:17 “การอธรรมทุกอย่างเป็นบาป แต่มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย (ฝ่ายวิญญาณ)”

            “การอธรรม” คือการทำชั่วทุกอย่าง เป็นบาป  แต่บาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย ก็คือตายทางฝ่ายวิญญาณ ข้อความนี้สื่อถึงความจริงที่ว่าทุกการกระทำ ที่ไม่เป็นไปตามความประสงค์ของพระเจ้า เขาเรียกว่ามีส เดอะ ทาเก็ต ไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า เรียกว่าบาปทั้งสิ้น การอธรรม  เป็นบาปทั้งสิ้น  ไม่ใช่ทุกบาปที่นำไปสู่ความตาย  บาปที่นำไปสู่ความตายก็มี บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายก็มี

            การรับรู้แล้วว่าเมื่อเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้รับการอภัยโทษจากบาป หมดเรียบร้อยแล้ว ในพันธสัญญาใหม่ ได้เขียนชัดเจนเลยบอกว่าเมื่อทำบาป โดยที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว  บาปที่กระทำในพระเยซูคริสต์นั้น ที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกว่าการทำชั่วหรือทำบาปนั้น มันก็ยังเป็นบาปอยู่ แต่เป็นบาปในพระเยซูคริสต์ที่ได้รับการอภัยแล้ว ไม่ใช่ไม่เป็นบาปนะ เป็นบาป แต่เป็นบาปที่ได้รับการอภัย เพราะว่าการกระทำทุกอย่างเป็นบาป แต่มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย ก็คือทุกอย่างที่ทำชั่ว เป็นบาปทั้งนั้น คริสเตียนหรือไม่คริสเตียนทำชั่ว ก็เป็นบาปทั้งนั้น แต่มีบาปที่ไม่ถึงความตาย ก็คือบาปที่คนมาเป็นคริสเตียนทำ มันแปลว่าอย่างนั้น บาปที่ไม่ส่งผลถึงตาย ก็คือบาปที่คนทำ อยู่ในพระคริสต์ ถ้าบาปนั้น ความชั่วนั้น เขาทำ ไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ เขายังอยู่ในโลกนี้ อยู่ในอาดัม  อยู่ในบรรพบุรุษเดิม  ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ยังไม่ได้เชื่อ บาปนั้นต้องถูกลงโทษ  ต้องถูกชดใช้ ต้องถูกพิพากษา แต่บาปใด ทำบนโลกใบนี้เหมือนกันเลย แต่คนทำนั้นอยู่ในพระคริสต์ เป็นผู้เชื่อ บาปนั้น ได้รับการอภัย มันหมายถึงอย่างนี้

            อธิบายยากนะ  ก็ต้องพยายามอธิบายให้มันวกไปวนมาให้เข้าใจ ตรงนี้สำคัญมากเลย เพราะคนไม่เข้าใจ รับไม่ได้หรอก รับรอง พูดง่ายๆ ถ้าไม่ใช่คริสเตียน หรือแม้แต่คริสเตียนเอง บางครั้ง ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า พระคัมภีร์ ข่าวดีจริงๆ ก็จะไม่เข้าใจ ก็จะนึกว่าทำไมอย่างนี้ …

            “โอ้โห! มันเป็นไปได้หรือ? อย่างนี้คนเราก็ไม่ต้องทำดีสิ”

            การทำชั่วทุกอย่างเป็นบาป แต่การทำชั่วทุกอย่างที่เป็นบาปนั้น มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตายฝ่ายวิญญาณด้วย แต่ส่งผลถึงตาย คือต้องเก็บเกี่ยวถึงตาย ก็คือขับรถเร็ว ตำรวจก็จับ

            พอตำรวจจับ แล้วบอกว่า … “ผมเป็นคริสเตียนครับ ผมไม่ต้องรับโทษ ไม่ต้องส่งผล”

            แต่ตำรวจบอกเอาใบปรับ 2 กระทงเลย  อีกกระทงหนึ่ง คือกระทงเพี้ยน  บนโลกใบนี้ ก็ต้องเก็บเกี่ยวย่านความตาย เก็บเกี่ยวผลของการกระทำนั้นว่าทำผิดกฎจราจร ก็ต้องถูกปรับ ถูกจับ แต่ในทางด้านวิญญาณ ไม่ต้องรับโทษอะไรเลย  โรม 8:1 ได้บันทึกไว้ชัดเจนเลย …

        โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ใน พระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป)”

            เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ ไม่มีโทษแล้ว ไม่มีกล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาอยู่ในพระคริสต์ เป็นผู้เชื่อ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  แต่คนที่ยังปฏิเสธอยู่ เขายังต้องอยู่ในกฎเหมือนเดิม  ก็คืออยู่ในกฎของความบาปและความตาย เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้อาศัยอยู่ในกฎของความบาปและความตายต่อจากนี้ไป เขียนไว้ในข้อ 2  ดังนั้น แม้ว่าการทำบาป การอธรรมทั้งหลายที่เป็นบาป แต่ผู้เชื่อในพระคริสต์ได้รับการอภัย และไม่ต้องกลัวการลงโทษทางฝ่ายวิญญาณเลย  ไม่ต้องห่วง ทางฝ่ายวิญญาณ ความรอดยังอยู่เหมือนเดิม ห่วงอย่างเดียวว่าไปเสียค่าปรับซะ ยอมรับซะ ถ้าไปตีหัวชาวบ้านเขา ก็จะถูกจับ ถูกปรับ ถูกติดคุก ทางวิญญาณไม่ต้องไปสนใจใครเลย เรารอดแน่นอน 100% เอเมนไหม?

            สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือการรับรู้ความจริงว่าพระเยซูได้ทำให้เราสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว คือบริสุทธิ์ สะอาด ชอบธรรม ดีพร้อม ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว เรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว 2 โครินธ์ 5:17 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            พระเจ้าทรงให้เรามีหัวใจใหม่ มีวิญญาณใหม่ที่สอดคล้องกับความประสงค์ของพระองค์ ในใจเรายินดีที่จะทำตามพระองค์ทุกประการ  การเติบโตในความเชื่อ ในการดำเนินชีวิต โดยตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการถูกล่อลวง ให้ทำบาป ตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตด้วยความรัก ความจริง และตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้มากขึ้น คือการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ ก็เรียนรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปทีละนิดทีละหน่อยว่าเรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ในใจเราเหมือนพระเยซูเลย เราอยากจะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า 100% อย่าได้ถ่อมตัวเอง อย่าได้ตำหนิตัวเอง อย่าได้ฟ้องผิดตัวเองว่า …

            “ฉันทำไมอยากทำสิ่งที่ชั่วร้าย”

            ท่านไม่ได้อยากทำเลย มันเป็นการล่อลวงจากภายนอก  เพราะฉะนั้น คริสเตียนผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ท่านไม่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ แต่ท่านได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว จึงไม่มีบาปใดๆ ที่ท่านทำ ที่พระเจ้าจะอภัยให้ท่านไม่ได้ พระเจ้าอภัยให้ท่านหมดเรียบร้อยไปแล้ว ท่านรับไปแล้วด้วย  เพราะพระองค์ได้อภัยบาปทั้งหมด ทั้งสิ้น ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ล่วงหน้า ในพระเยซูคริสต์ โดยการหลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ พระเยซูได้กระทำ ลบบาปให้กับเราล่วงหน้าแล้ว เพราะฉะนั้น บาปเราล่วงหน้า ได้รับการลบแล้ว เชื่อไหม? บาปที่ท่านจะกระทำพรุ่งนี้ ได้ถูกอภัยให้เรียบร้อยแล้ว ท่านเชื่อไหม? เชื่อ บาปที่ท่านจะทำปีหน้า ได้รับการอภัยแล้ว เชื่อไหม? เชื่อ บาปที่ท่านจะกระทำอีกสักครู่หนึ่ง  เดี๋ยวออกไป ก็เริ่มทำบาป ได้รับการอภัยแล้ว เชื่อไหม? เชื่อ

            จะไม่เชื่อได้อย่างไร? คิดดูสิ ก็ในเมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ เมื่อไร? กี่ปีมาแล้ว? 2,000 ปีมาแล้ว เราเกิดหรือยัง? เรายังไม่เกิด เราทำแล้วหรือยัง? เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้เราเรียบร้อยไปแล้วหรือยัง? เรียบร้อยแล้ว มันก็คือล่วงหน้า  ล่วงหน้าไป 2,000 ปีแล้ว เราเพิ่งมาเกิดตอนนี้เอง  ฮีบรู 10:10 และ 14 …

        ฮีบรู 10:10, 14 “10 และโดยพระประสงค์นี้ เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการได้ถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 14  โดยการได้ถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป”

            “โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป” คือคนทั้งหลายที่รับในสิ่งที่พระเยซูกระทำให้ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น สมบูรณ์ตลอดไป ตั้งแต่วันนั้น 2,000 ปีมาแล้ว ก็คือชำระเราเรียบร้อยไปแล้ว ก่อนล่วงหน้า การเสียสละของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนี้ ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนได้รับการอภัยโทษจากบาป  ได้ทำให้มนุษย์ทุกคนนะ  ได้ลบล้างหนี้บาปทั้งสิ้นทั้งปวงของมนุษย์ทุกคน อย่างสมบูรณ์ เรียบร้อยแล้ว ทุกคนได้รับเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่จะรับเอา หรือจะปฏิเสธ

            เพราะฉะนั้น การอธรรมทุกอย่างที่เป็นบาปบนโลกใบนี้ มีบาปที่ไม่ส่งผลถึงตายทางฝ่ายวิญญาณ ไม่พินาศทางฝ่ายวิญญาณ  ก็คือบาปที่คริสเตียน ที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วกระทำ  เพราะเขากระทำในขณะที่วิญญาณของเขาดำเนินชีวิต อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว  เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความจริงที่ยิ่งใหญ่! พระคริสต์สถิตอยู่ภายในผู้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์

            พระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ เป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ในพันธสัญญาใหม่ ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและใกล้ชิด ระหว่างพระเยซูคริสต์และผู้ที่เชื่อในพระองค์

            โคโลสี 1:27 … “พระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลายเป็นความหวังแห่งศักดิ์ศรี”

            ซึ่งหมายความว่าพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา และเป็นความหวังของเรา สำหรับอนาคตที่มีศักดิ์ศรี

            กาลาเทีย 2:20 เปาโลกล่าวว่า … “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว และข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า”

            ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชีวิตของผู้เชื่อถูกเปลี่ยนแปลง โดยการมีพระคริสต์อยู่ภายใน

            ยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสว่า … “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะรักษาคำของเรา และพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

            ซึ่งยืนยันถึงการสถิตอยู่ของพระคริสต์ในชีวิตของผู้เชื่อ การที่พระคริสต์สถิตอยู่ในเรานั้น เป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกจากกันได้ ระหว่างพระองค์และผู้เชื่อ และเป็นการรับรองถึงความสมบูรณ์และความบริบูรณ์ในพระองค์

            โคโลสี 2:10 … “และ​ท่าน​มี​ชีวิต​ที่​บริบูรณ์​ใน​พระ​องค์ และ​พระ​องค์​เป็น​ประมุข​เหนือ​การ​ปกครอง​และ​สิทธิ​อำนาจ​ทั้ง​ปวง”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1526 (ฉบับนี้มีเสียงในยูทูป)

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  มิถุนายน  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 17

โดย  วราพร  คงล้วน

            เรามาดูในหนังสือกาลาเทีย 5:15 บอกว่า …

        กาลาเทีย 5:15 “หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดีจะย่อยยับไปตามๆ กัน”

            ในพระคัมภีร์ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับผู้เชื่อ ผู้ที่วางใจในพระองค์ เตือนว่าอย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน  กัดกินกัน นึกภาพออกไหม?  ทะเลาะเบาะแว้งในเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เรื่องมีสาระบ้าง? ไม่มีสาระบ้าง? ถ้าเรามีการทะเลาะเบาะแว้งกัน มันก็ไม่ได้เป็นผลดีทั้ง 2 ฝ่าย

            ดังนั้น คริสเตียน เราควรจะดำเนินชีวิตตามแบบของพระเจ้า สิ่งที่สำคัญ คือให้เรารักษาความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความสามัคคีกัน ในภาคของการปฏิบัติ จริงๆ แล้วในวิญญาณของพวกเรา พระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  วิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว วิญญาณของเรารักกันโดยปริยายอยู่แล้ว คือความรักนี้มาจากพระเจ้า แต่ต่อจากนั้น คือผลของการประพฤติของเรา ที่จะส่งออกมาให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นว่าเราได้มีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ออกมาจากชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ผลอันแรกที่พระเจ้าให้เรามี คือผลแห่งความรัก ในหนังสือกาลาเทียจะพูดถึงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งผลนี้มันจะบังเกิดขึ้นทันที ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด บังเกิดใหม่แล้ว ผลนี้ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเราผู้เชื่อทุกๆ คน

        กาลาเทีย 5:16 “ดังนั้น    ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ   อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป (ตัณหาของเนื้อหนัง)”

            การดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เป็นเรื่องที่ผู้เชื่อทุกคนต้องตัดสินใจ  คือพระเจ้าให้พระวิญญาณมาอยู่ในเราแล้ว แต่พระเจ้าก็ยังอนุญาตให้เรามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าเราเลือกที่จะทำตาม พระวิญญาณ หรือเลือกที่จะไม่ทำตามพระวิญญาณ ถ้าเราเลือกที่จะทำตามพระวิญญาณ เราก็จะส่งผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าออกไป ให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็นชีวิตของเราในพระเยซูคริสต์ แต่ถ้าเราเลือกที่จะไม่ทำตามพระวิญญาณ คือยอมที่จะดำเนินชีวิตตามความต้องการของตัวเราเอง หรือตามเนื้อหนัง ตามอิทธิพลของความบาปและความตายบนโลกใบนี้ที่ส่งมา ให้กับพวกเรา เราก็จะประพฤติเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

            ฉะนั้น เราสามารถที่จะแยกแยะได้ว่า ณ เวลานี้เรากำลังดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ หรือเรากำลังดำเนินชีวิตตามอิทธิพลของเนื้อหนัง ของความบาปและความตายที่อยู่บนโลกใบนี้ส่งผลมาที่เรา เราสามารถที่จะเทียบได้กับชีวิตของเรา

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลหนุนใจ ให้เราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ  เพราะว่าเราสามารถและมีกำลังพอที่จะทำได้ด้วย เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือเรา ให้กำลังเรา เมื่อเราตัดสินใจที่จะทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะช่วยเหลือเรา ให้เราสามารถสำแดงตัวตนจริงๆ ของเราที่เป็นเหมือนพระเจ้า ออกไป เป็นผลที่สามารถสัมผัส จับต้องได้ เป็นแสงสว่าง เป็น เกลือของแผ่นดินโลกนี้

            แต่ว่าถ้าเราไม่ยอมล่ะ พระเจ้าก็ต้องเอเมนตามนั้น พี่น้องนึกออกไหม? พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมน พระเจ้าไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้เชื่อคนหนึ่งคนใดประพฤติตามแบบอย่างของเนื้อหนัง  หรือถูกอิทธิพลของโลกใบนี้ โน้มนำเรา ให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวตนจริงๆ ของเรา แต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ต้องเอเมน เพราะในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมน ก็คือเมื่อเราเลือกปุ๊บ  พระเจ้าก็บอกเอเมน เป็นไปตามนั้น  แต่ถามว่าพระเจ้าต้องการให้เราเป็นแบบนั้นไหม?  ไม่ต้องการแน่นอน  พระเจ้าต้องการให้ผู้เชื่อทุกคน สามารถที่จะสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเรา ก็คือความดีงามของพระเจ้าออกไป ให้ผู้คนรอบข้าง ได้สัมผัสถึงพระชนม์ของพระเจ้าในชีวิตของพวกเรา

        กาลาเทีย 5:17 “เพราะตัณหาของวิสัยบาปขัดกับพระวิญญาณ   และพระวิญญาณขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทำจึงไม่ได้ทำ”

            สองสิ่งนี้ เป็นศัตรูกันโดยปริยาย  คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในโลกวิญญาณ เรากับโลกนี้เป็นศัตรูกันเลย โดยเราไม่ต้องทำอะไร เราอยู่เฉยๆ เป็นศัตรูกัน เพราะว่าอยู่กันคนละขั้ว เมื่อเราอยู่ในพระเจ้า เราอยู่ในความดีงาม อยู่ในความสว่าง อยู่ในความรัก ก่อนหน้านั้น ก่อนเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราอยู่ในความมืด อยู่ในความเกลียดชัง อยู่ในความบาปและความตาย วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น พอทันทีที่เราวางใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค คือพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทันทีที่เป็นอย่างนั้นปุ๊บ  เราก็เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เกิดมาเป็น เป็นความรัก เป็นความชื่นชมยินดี เป็นความดีงาม มันเกิดมาเป็นอัตโนมัติเลย พระเจ้าให้ของขวัญชิ้นนี้ ให้กับผู้เชื่อทุกคน ที่ได้เป็นอย่างนั้น หลังจากที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเจ้าก็จริง  แต่ร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเรายังสามารถที่จะดำเนินชีวิต ตามแต่ที่พระเจ้าให้สิทธิ์ หมายความว่าพระเจ้าให้สิทธิ์ในการดำเนินชีวิต ให้กับผู้เชื่อทุกคน สิทธิ์ตรงนี้ พระเจ้าอนุญาต แต่คำว่า “อนุญาต” ไม่ได้หมายความว่าเราจะถือโอกาสใช้สิทธิ์เหล่านี้  ไปทำความชั่วร้าย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ความเป็นจริง เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติใหม่ของเรา คือไม่ได้มีความต้องการที่จะทำชั่วเลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีทางเลย วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเราสามารถหลงกลหรือถูกล่อลวง โดยอิทธิพลของโลกใบนี้  ทำให้เราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงของตัวตนแท้ๆ ของเรา แต่ว่าไม่ว่าเราจะเผลอทำไป หรืออย่างไรก็แล้วแต่ พระเจ้าก็จะทรงนำพาเรา ทันทีที่เราทำผิด พี่น้องต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ ทันทีที่ผู้เชื่อทำผิด พระโลหิตของพระเยซูคริสต์จะชำระล้างความผิดบาปของเราทันที โดยอัตโนมัติ คือความจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น

            ฉะนั้น พระเจ้าก็จะยกโทษ พระเยซูบอก พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว  พระโลหิตของพระเยซูหลั่งออกมาเพียงครั้งเดียว ได้ยกโทษบาปทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเราเรียบร้อยไปแล้ว หมายความว่าพระองค์เตรียมการไว้ล่วงหน้า รู้อยู่แล้วว่าขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เรามีโอกาสถูกล่อลวงให้ทำผิดบาปได้อย่างแน่นอน ฉะนั้น พระเจ้าก็เลยเตรียมแผนไว้เรียบร้อยเลยว่าผิดปุ๊บ พระเจ้าก็ยกโทษให้ทันทีเลย นี่คือพระคุณ เป็นพระคุณ เป็นพระเมตตา แล้วเมื่อเรารู้ความจริงอย่างนี้ว่าพระเจ้าทรงรักเราขนาดนี้ ข้างในวิญญาณเรารับรู้ความจริงมากๆ คือเอาความจริงมาใส่ไว้ในความคิดของเรา เมื่อเราเปลี่ยนแปลงความคิดของเราได้มากเท่าไร? เราก็สามารถดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้ามากเท่านั้น นี่คือผลที่มันจะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเรา

            แล้วรับรู้ความจริงอันหนึ่ง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์กับโลกนี้มันเข้ากันไม่ได้ แน่นอน และหลายๆ สิ่ง ที่ผู้เชื่อ คือพวกเราอยากจะทำ ข้างในวิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งความรัก เราอยากจะสำแดงความรัก แต่หลายครั้ง เราก็ไม่สามารถสำแดงความรักออกไปได้เต็มที่ เพราะว่าโลกนี้พยายามดึงเราออกจากวิถีทางของพระเจ้า แต่ไม่ว่าเราจะดำเนินไปในรูปแบบไหนก็ตาม พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน

        กาลาเทีย 5:18 “แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน   ท่านก็ไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ”

            บทบัญญัติ คือกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่พระเจ้าตั้งขึ้น สมัยก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตาย  บทบัญญัตินี้เป็นข้อผูกมัดให้คนยิว ต้องทำตามกฎแป๊ะๆ ทุกข้อ ถ้าทำผิดข้อใดข้อหนึ่ง  ก็ต้องเอาเครื่องบูชาไปถวาย และต้องไปสารภาพบาป นี่คือกฎ

            ฉะนั้น พระเจ้าบอกว่ากฎบัญญัติ มีไว้ เพื่อสำแดงให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป บทบัญญัติไม่ได้มีไว้ เพื่อให้มนุษย์ครบถ้วนสมบูรณ์ และสามารถดำเนินชีวิตได้ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างที่พระเจ้าทรงพอพระทัย ฉะนั้น บทบัญญัติเหล่านี้ วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และบอกว่าสำเร็จแล้ว คือพระเจ้าได้ทำให้บทบัญญัติทุกข้อในพระคัมภีร์ครบถ้วน สมบูรณ์ คือพระเยซูคริสต์ทำแทนเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราเข้ามารับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราปุ๊บ ทันทีเรากลายเป็นผู้ชอบธรรม หรือเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย เมื่อเราบังเกิดใหม่

            คำว่า “ผู้ชอบธรรม” คือคนที่พระเจ้าสามารถรับได้  แล้วคนที่พระเจ้าเห็นว่าเขาสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด สามารถมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ด้วย และสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยกำลังของมนุษย์ที่จะพยายามประพฤติ ปฏิบัติตามกฎบัญญัติ เพื่อให้มันเกิดสิ่งนี้ขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นจากการที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเราได้ยินได้ฟังข่าวดีนี้  แล้วเราเชื่อ เรายอมรับ เรารับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้า สิ่งนี้เกิดขึ้นทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้บังเกิดใหม่ทันทีในขบวนการของโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น เราสัมผัสไม่ได้ แต่พระเจ้าบอกว่าขบวนการนี้ มันเกิดขึ้นทันที เมื่อใครก็ตาม ได้บอกกับพระเจ้าว่า …

            “ลูกต้องการพระองค์ ลูกต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ พระเจ้าขอเข้ามาเป็นพระเจ้าส่วนตัวของลูกด้วยเถิด”

            ทันทีเลย ขบวนการนี้จะเกิดขึ้น โดยที่เราไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย ไม่ได้สามารถที่จะใช้สติปัญญาของเราที่จะรับรู้ แต่วิญญาณข้างในของเราจะรับรู้ วันที่เราเปิดใจ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา  เข้ามาเปลี่ยนแปลง เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา เข้ามาฆ่าตัวเก่าของเราที่เป็นบาป ให้ตายไปพร้อมกับพระองค์  เข้ามาเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับเราผู้เชื่อ เป็นวิญญาณชนิดเดียวกับพระเจ้าพระบิดา เป็นวิญญาณชนิดเดียวกับที่พระเจ้าให้กับพระเยซูคริสต์ ก็คือเป็นวิญญาณนิรันดร์แบบพระเจ้า ชนิดเป็นคุณภาพ คุณสมบัติเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

            ฉะนั้น ตรงนี้มันบังเกิดขึ้นทันที เมื่อบังเกิดขึ้นทันทีปุ๊บ ในโลกวิญญาณ เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ไม่ว่าการดำเนินชีวิตของเราบนโลก เราอาจจะเผลอบ้าง  ผิดบ้าง  พลั้งบ้าง พระเจ้าก็ไม่ได้ถือสาอะไร? พระองค์ก็แก้ไข โดยให้พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ชำระเราทันทีเหมือนกัน ชำระทันทีเลย ผิดปุ๊บ แก้ไข ผิดปุ๊บ เป็นหนี้ปุ๊บ จ่ายหนี้ให้ทันที นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ แล้วเราจำเป็นต้องรับรู้เรื่องนี้  แล้วก็ยอมรับเรื่องนี้ ไม่ว่าใครหรือบนโลกนี้จะว่าเราแบบไหน? อย่างไร? เราก็ไม่ต้องไปใส่ใจ เราใส่ใจตรงที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นอย่างไร? มันไม่เกี่ยวกับว่ามนุษย์บนโลกนี้ พูดว่าเราเป็นอะไร? แต่เกี่ยวกับว่าพระเจ้าพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด บนฟ้าสวรรค์บอกว่าเราเป็นอย่างไร?  และเราเป็นใคร?  ณ เวลานี้ เราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เราเป็นที่อาศัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เข้ามาสถิตอยู่ในเรา ร่างกายเราในนี้เป็นอย่างนั้นเรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น ตัวตนแท้ๆ ของเราเป็นแบบนี้ แล้วเราเอเมนกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นอย่างนี้ ทันทีที่เราเอเมนกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา ก็คือเรากำลังนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง

            พระเจ้าบอกว่า … “เธอเป็นคนดีพร้อมแล้ว”

            เรา … “เอเมน” ด้วย

            ทั้งๆ ที่สมองของเรา … “ดีตรงไหน? เรายังไม่ดีเลย เรายังนินทาคนอื่นอยู่เลย เรายังคิดไม่ดีกับคนอื่นอยู่เลย แล้วมันดีตรงไหน?”

            แต่พระเจ้าบอกว่า … “เธอดี”

            พระเจ้าจะบอกเหมือนกับบอกอาดัมกับเอวา ครั้งแรกที่บอกว่า … “ฉันสร้างเธอมาดี เธอเชื่อไหม?  ถ้าเธอเชื่อ รับเอาไป”

            แต่ปรากฏว่าอาดัมกับเอวาอยู่นานๆ แล้วไม่เชื่อไง ไม่เชื่อว่าพระองค์สร้างเขามาดี เขาก็เลย ไปเชื่อมาร ไปกินผลไม้ต้องห้าม นี่คือผล ฉะนั้น พอถึงยุคปัจจุบัน มันจะแตกต่างจากยุคของอาดัมมากๆ ยุคนั้น เป็นยุคพระเดช แต่ยุคของเรา คือยุคพระคุณ ซึ่งบางครั้งเราเผลอ ไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าบอก พระเจ้าก็ยังคงโอเค ไม่เป็นไร ไม่เชื่อ เดี๋ยวพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะค่อยๆ โน้มนำเรา จะค่อยๆ บอกเราว่า

            “นี่คือเรื่องจริงนะลูก ตอนนี้ลูกเป็นลูกที่พ่อรักมาก รักดั่งแก้วตาดวงใจ ตอนนี้ลูกเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ตอนนี้ลูกเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ตอนนี้ลูกได้รับพระพรนานัปการที่พระเจ้าได้ทำให้เรียบร้อยไปแล้ว ตอนนี้ลูกได้รับการอภัยโทษบาปทั้งหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าที่ลูกจะเผลอทำอีก ลูกได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ถ้าเราเชื่อตามนี้ เราก็ขอบคุณพระเจ้า เราก็เอเมนตามนั้น สมองเราได้รับการเปลี่ยน เมื่อสมองเราเปลี่ยนปุ๊บ  พฤติกรรมของเราจะเปลี่ยนด้วย เราจะขอบคุณพระเจ้า เราจะเริ่มมีชีวิตที่ดำเนินตามพระวิญญาณได้มากขึ้น เพิ่มขึ้น หลายครั้งเราคิดว่าถ้าสอนอย่างนี้ พระเจ้าไม่เอาผิด ผู้เชื่อก็สามารถไปทำอะไรเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน มันไม่เป็นความจริง มันเป็นไปไม่ได้

            ถ้าลูกคนไหนรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่รักเขาขนาดไหน? ลูกคนนั้นจะไม่พยายามที่จะทำสิ่งที่เลวร้าย เพื่อทำให้พ่อแม่เสียใจ ไม่มี เขาจะพยายามทำดี เพื่อที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นใจ นี่คือความเป็นจริง แต่ถ้าลูกคนไหนไม่สัมผัสถึงความรักของพ่อแม่ เขามีความรู้สึกว่า …

            “พ่อแม่ไม่รักฉัน เมื่อพ่อแม่ไม่รักฉัน ฉันทำดีเพื่ออะไร? ฉันจะทำเลวอย่างไรก็ได้  ก็พ่อแม่ไม่รักฉันอยู่แล้ว ฉันก็จะทำให้มันเลวไปเลย ตามที่พ่อแม่ชอบด่าฉัน”

            “แกมันเลว แกมันไม่ดี แก แก แก” อย่างนี้ นึกออกไหม?

            ฉะนั้น พ่อแม่ที่พยายามใส่ความคิดแบบนี้ลงไปให้ลูก แทนที่จะทำให้ลูกรับความรักจริงๆ จากพ่อแม่ หรือสามารถที่จะสัมผัสถึงความมีคุณค่าของตัวเอง มันหายไปเลย มันไม่มี ทำให้เด็กคนนั้น แทนที่จะสามารถเป็นเด็กดี เขาก็จะเตลิด เตลิดตรงที่ว่า …

            “ไหนๆ  พ่อแม่ก็คิดว่าฉันเลวแล้ว ฉันก็จะเลวไปถึงที่สุดนั่นแหละ”

            เพื่อจะเลวให้พ่อแม่ดู อะไรประมาณนั้น ฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน เมื่อรับรู้ความจริงในพระวจนะของพระเจ้า รับรู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? จะทำให้เราเตรียมพร้อม ปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

            คำว่า “ปรารถนา” ไม่ใช่หมายความว่าเราจะสามารถทำดีเลิศ ประเสริฐศรีตลอดชีวิตของเรา มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ความต้องการของวิญญาณของเรา คือต้องการที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ถ้าเผลอไปทำผิดจากน้ำพระทัย ก็ไม่เป็นไร ก็แก้ไข พระเจ้ายกโทษให้ แล้วเราก็ลุกขึ้นมาใหม่ นี่คือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ในผู้เชื่อ

        กาลาเทีย 5:19-21 “19 พฤติกรรมของวิสัยบาปนั้นเห็นได้ชัด   คือการผิดศีลธรรมทางเพศ  ความไม่บริสุทธิ์  และการลามก 20 การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม ความเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยาหึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวก 21 และการอิจฉากัน การเมามาย การมั่วสุมเสพสุราและกาม และอื่นๆ ในทำนองนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนที่เคยเตือนแล้วว่าผู้ที่ประพฤติเช่นนี้   จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”

            ข้อสุดท้าย “ผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก” อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ  ที่เขามีลักษณะอาการของคนบาปที่ฝึกฝนจนชำนาญ ในการทำสิ่งที่ชั่วร้าย  ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็ฝึกฝนเหมือนกัน  แต่เราฝึกฝนที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าอันนี้ คือตัวตนแท้ๆ ของเรา เราก็ฝึกฝนมัน

            คำว่า “ฝึกฝน” หมายความว่ามีฝึกพลาดไหม? หัวทิ่ม หัวตำไหม? มี ไม่ใช่ฝึกฝนปุ๊บ เราเป็นผู้เชี่ยวชาญเลย มันไม่ใช่ ผู้เชื่อทุกคน ฝึกฝนเหมือนกัน แต่ว่าฝึกฝนทีละเล็ก ทีละน้อย หัวทิ่มบ้าง หัวตำบ้าง  ไม่เป็นไร พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงช่วยเหลือเรา  ให้เราสามารถฝึกฝนตัวเราเอง ให้พัฒนาการเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราได้ดีมากขึ้น ให้สติปัญญาเราที่จะเลือกเสื้อที่จะใส่ เวลาเราตื่นเช้า ยิ่งเวลาวันอาทิตย์ เราก็ต้องเลือกว่าเสื้อผ้าชุดไหนที่เราจะใส่มาโบสถ์ แล้วดูดี เรารู้สึกชุดนี้ ชุดเก่งของเรา บางทีชุดเก่งของเรา มีชุดเดียว ก็ไม่เป็นไร ใส่มาทุกอาทิตย์ก็ไม่มีใครว่าอะไร? จริงๆ นะ มันเป็นเรื่องจริง  แต่มันเป็นชุดเก่งของเรา เป็นชุดที่เราใส่แล้ว เราภาคภูมิใจ  เรารู้สึกมันสุดยอด มันดี นี่คือการเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสถานะ เหมาะสมกับการมาโบสถ์  ไม่ใช่ มาโบสถ์ก็ใส่เสื้อขาดมาอย่างนี้  มันก็ไม่ใช่เนอะ เสื้อขาดใส่ที่บ้านก็ได้ มันใส่สบายดี พี่น้องเคยมีเสื้อขาดอยู่ในบ้านไหม? ดิฉันก็มี เสื้อขาดมันใส่สบาย เพราะมันเป็นเสื้อที่เราใส่มาเป็น 10ๆ ปี มันผ้านุ่ม มันสบาย  แต่มันไม่เหมาะที่จะใส่ออกมาข้างนอก

            มันเป็นภาพเดียวกัน ฉะนั้น การเลือกเสื้อใส่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ พระเจ้าบอกว่าพระองค์มีเสื้อเยอะแยะมากมาย แขวนไว้ในตู้ให้กับพวกเราที่เลือกใส่ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่เฉพาะมาโบสถ์ ในชีวิตประจำที่เราไปพบเจอใครต่อใคร? เราสามารถเลือกเสื้อที่จะใส่ได้ ถ้าเราเลือกผิด ทำอย่างไร?  แทนที่เราจะเลือกเสื้อแห่งความชื่นชมยินดี เวลาเห็นคนอื่นได้ดี เราชื่นชมยินดี  แต่เราไปเลือกเสื้อผิด ไปหยิบเอาเสื้อของการอิจฉาริษยา อิจฉามาเลย เขาดีกว่าเรา เราก็เลือกเสื้อผิดใช่ไหม?  ถ้าเลือกเสื้อผิด ใส่ออกมามันไม่งามไง มันไม่สวย เหมือนใส่เสื้อฟิตๆ แบบใส่แล้วพุงปริ้นอะไรแบบนี้ มันก็ไม่สวย เราก็ต้องเลือกให้มันดูดี ถ้าเรามีพุง เราก็เอาเสื้อหลวมๆ จะได้บังพุงไว้ อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ … ฉันมีพุง แต่ฉันอยากจะโชว์ ฉันก็ฟิตปั๊งเลย เห็นแบบเป็นเนื้อก้อนๆ มา ก็ไม่สวย มันเป็นภาพ

            ตรงนี้แหละเป็นการดำเนินชีวิตของพวกเราผู้เชื่อ  ก็คือเราเลือกเสื้ออย่างไร ที่เราจะออกไปใช้ชีวิตกับผู้คนรอบข้าง เมื่อเราเลือกเสื้อถูก เสื้อของพระเจ้าที่ให้กับพวกเรา มันอยู่ในข้อที่ 22 เดี๋ยวจะอ่านให้ฟัง …

        กาลาเทีย 5:22-23 “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23 ความสุภาพอ่อนโยน  และการควบคุมตนเอง สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย”

            เสื้อแห่งความรัก เสื้อแห่งความชื่นชมยินดี เสื้อแห่งสันติสุข เสื้อแห่งความอดทน เสื้อแห่งความปราณี เสื้อแห่งความดี เสื้อแห่งความสัตย์ซื่อ เสื้อแห่งความสุภาพอ่อนโยน เสื้อแห่งการควบคุมตนเอง นี่คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มี 9 อย่าง  ตอนนี้เรามีเสื้อ 9 ตัว  แล้วจริงๆ มันมีอีกเยอะแยะมากมาย แต่พูดตรงๆ 9 ตัวเราก็ใส่ไม่ทันแล้ว  9 ตัว เดือนหนึ่งเราใส่ได้แค่ 3 ครั้งนิดๆ  เราเคยรู้สึกไหม? เรามีเสื้อเต็มตู้เลย แต่เราก็หยิบใส่ไม่กี่ตัว เพราะเราใส่แล้ว รู้สึกมั่นใจ  ใส่แล้วเรารู้สึกดูดี ใส่แล้วเรารู้สึกมันโอเคนะ อะไรแบบนี้ เราก็จะเลือกเสื้อที่เรารู้สึกโอเค มาใส่บ่อย ฉะนั้น ภาพเดียวกันในโลกวิญญาณ เสื้อเหล่านี้ พระเจ้าได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ผู้เชื่อ วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์มันอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว แขวนไว้ในตู้แล้ว แค่พระเจ้าให้เราเลือกที่จะหยิบออกมาใช้ในแต่ละสถานการณ์ แต่ละเหตุการณ์ ที่เราไปเจอ

            ถ้าโดนเขาเหยียบขาทำอย่างไร? ใส่เสื้ออะไร? เสื้อแห่งความเมตตาปราณี  เขาเหยียบขาเรา เขาไม่ได้ตั้งใจหรอก ไม่ใช่เขาเหยียบขาปุ๊บ ก็เหยียบตอบเลย เหยียบแรงกว่านั้นอีก มันไม่ใช่ เขาเหยียบขาเรา เขารีบขอโทษเราแล้ว เราก็โอเคไม่เป็นไร? เจ็บนะ ไม่ใช่ไม่เจ็บ แต่โอเคไม่เป็นไร เขาขอโทษเราเรียบร้อยแล้วไง เราก็หยิบเสื้อแห่งความเมตตาปราณี ก็คือยกโทษให้เขา ก็ประมาณนั้น

            ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้พระเจ้าให้เราเลือกได้ พระเจ้าให้เสรีภาพในการเลือกสรร การใช้ชีวิตในแต่ละวันของเรา ตรงนี้เป็นภาพที่ให้เราเห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา  แล้วเราอย่าคิดด้อยค่าตัวเอง หรืออย่าคิดไปด้อยค่าคนอื่น เพราะพระเจ้าบอกว่าเราทุกคนมีค่าเท่ากันในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้ามองดูพวกเราทุกคน ไม่ว่าพี่น้องจะอยู่ในสถานะแบบไหน? พี่น้องจะรวยหรือจะจน พี่น้องจะมีทรัพย์สมบัติอยู่ในแบงค์ หนึ่งพันล้าน หรือในแบงค์ไม่มีตังค์สักบาท  พระเจ้ามองท่านเหมือนกัน คือท่านเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ

            ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าทรงรักเราแล้ว เราอย่าให้มนุษย์บนโลกใบนี้มาด้อยค่าเรา อย่าให้คำพูดของมนุษย์คนหนึ่งคนใดบนโลกใบนี้มาทำให้เรารู้สึกว่าเรานี่แย่ ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ อย่าเด็ดขาด ให้เรารับรู้ว่าพระเจ้ารักเรา และเรามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้าจริงๆ พระองค์มองเราด้วยความรัก เป็นสายตาแห่งความเมตตา เป็นสายตาที่พระองค์ต้องการที่จะโอบอุ้มเราตลอดเวลา ในทุกครั้ง ถ้าเราผิดพลาด พระองค์ก็ช่วยเหลือให้สติปัญญา  ถ้าเราล้มลง พระองค์ก็อุ้มเราขึ้น นี่คือภาพที่พระเจ้าให้กับเรา แล้วก็ให้กับผู้เชื่อทุกๆ คน

            ในขณะที่เราเป็นพี่น้องกัน พระเจ้าบอกเราเป็นพี่น้องกันใช่ไหมในพระเยซูคริสต์ ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก ให้เราเห็นมนุษย์ หรือเห็นพี่น้อง เพื่อนร่วมโลก เพื่อนร่วมคริสตจักร ให้สายตาเรามองเขา เหมือนกับที่พระเจ้าทรงมองเรา พระเจ้ามองเราด้วยความรัก  ให้เรามองเขาด้วยความรัก มองด้วยความเห็นอกเห็นใจ เราไม่รู้หรอกว่าตื้นลึกหนาบางของมนุษย์ หรือพี่น้องแต่ละคนเขาต้องเจอสภาวะอะไรมามากมายขนาดไหน? แต่ให้เรารับรู้ว่าพระเจ้าทรงรักเขา เหมือนกับที่พระองค์ทรงรักเรา เอเมนไหม?

        กาลาเทีย 5:24 “ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์  ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาป  ไว้ที่กางเขนแล้ว”

            อันนี้ คือในโลกวิญญาณ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรึงวิญญาณของเรา คือวิญญาณเก่าของเราที่อยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่งไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว อันนี้พระเจ้าเป็นคนทำ พระเจ้าตรึงเราแล้ว แล้วพระเจ้าก็ให้วิญญาณใหม่ ให้ความคิดจิตใจใหม่ ให้กับพวกเรา คือเป็นวิญญาณและความคิดจิตใจที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย อันนี้พระเจ้าทำให้เราแล้ว แต่ข้อนี้ คือผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ตรึงวิสัยบาป อันนี้เราต้องทำเอง การดำเนินชีวิตของเรา ที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์นำเรา ก็คือตรึงกิเลสตัณหาความอยากได้อยากมี ความเย่อหยิ่งจองหองที่มันพยายามกระตุ้น เร้าเราให้เรารู้สึกภาคภูมิใจ เราแน่กว่าคนอื่น เรายิ่งใหญ่กว่าคนอื่น พระเจ้าอวยพรฉันมากกว่าเธอ อะไรอย่างนี้

            นี่คือภาพของการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ ของพี่น้องในคริสตจักร ฉะนั้น ตรงนี้เราต้องทำเอง คือต้องขจัดมัน ตรึงมัน คือทำให้วิสัยบาป หรือความรู้สึกเย่อหยิ่งจองหอง อวดตัวของเรา ขนาบมันให้อยู่มือ  คือเราสามารถทำได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราจะช่วยเรา เรารู้ เราเริ่มเย่อหยิ่งขึ้นมาปุ๊บ

            “ในนามพระเยซู แกเย่อหยิ่งไม่ได้ เพราะว่าแกไม่ได้ดีกว่าใคร”

            นึกออกไหม? ถ้าเราเย่อหยิ่ง เราต้องบอกตัวเองเลยว่าเธอไม่ได้ดีกว่าใครเลย เพราะว่าเธอกับทุกคนเท่ากัน เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ซื้อชีวิตของพวกเราทุกๆ คน พระเจ้าเป็นผู้ให้สิ่งสารพัดให้กับเรา เหมือนในถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่า …

            “ท่านมีอะไรที่ได้มาด้วยตัวเอง ทุกอย่างที่ท่านมีล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น ฉะนั้น ท่านจะไปอวด ทับถมใครไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว”

            ก็คือให้รับรู้ว่านั่นแหละ คือความจริงที่พระเจ้าบอกเราว่าเราไม่ได้ดีกว่าใคร? ถ้าพระเจ้าอวยพรเรา เราก็ขอบคุณพระเจ้า  แต่การอวยพรตรงนี้ไม่ได้เป็นเหตุ ทำให้เราไปมองคนอื่นด้อยกว่าเรา เพราะว่าพระเจ้าทรงดูแล แต่ละคนไม่เหมือนกัน  ไม่เท่ากัน แต่ว่าความรักที่พระเจ้ามีต่อทุกๆ คน มันเท่าเทียมกัน  คือทุกคนเป็นที่รักที่พระเจ้าทรงหวงแหนอย่างมากมาย

        กาลาเทีย 5:25-26 “25 ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็ให้เราดำเนินตามพระวิญญาณเถิด 26 เราอย่าอวดดี ยั่วโมโห และอิจฉากันเลย”

            นี่คือจบของบทที่ 5 ให้เราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ เมื่อไรที่เรารู้สึกอวดดี เราก็ขนาบตัวเองลง กดตัวเองลงบ้าง เพราะพระเจ้าบอกว่าถ้าใครยกตัวเองขึ้น  พระเจ้าจะเป็นคนกดลงเอง แต่ถ้าใครถ่อมใจลง พระเจ้าเองจะเป็นผู้ยกขึ้น เราเลือกเอาแล้วกันว่าเราอยากให้พระเจ้ายก หรืออยากจะยกตัวเอง เราอยากให้พระเจ้ากดเราลง  หรือเรากดตัวเองลงดีกว่า

            ฉะนั้น ทุกอย่างพระเจ้ามีกฎของพระองค์ทั้งหมดเลย อยู่ในถ้อยคำของพระเจ้า  พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิต รับรู้ว่าพระเจ้าทรงรักเราและรักพี่น้องทุกคนในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เรากับทุกคนเสมอภาคกัน พระเจ้ารักเขาแล้ว เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตำหนิติเตียน หรือไม่มีสิทธิ์ที่จะไปพิพากษาเขาเลยแม้แต่นิดเดียว  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเยซูตรัสกับผู้เชื่อและวางใจในพระองค์ว่า “… จงมองให้เห็นเถิด! เราอยู่ในท่านทั้งหลายตลอดเวลาเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก” เอเมน

            เพราะพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา เราจึงสามารถเผชิญกับวันพรุ่งนี้ได้ ด้วยความมั่นใจและความหวัง พระองค์ทรงเป็นแหล่งของกำลังและความมั่นคงในชีวิตของเรา

            ฟิลิปปี 4:13 เปาโลกล่าวว่า … “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

            ซึ่งหมายความว่าเราสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ในชีวิตได้ เพราะพระคริสต์ทรงเสริมกำลังเรา พระองค์ทรงอยู่ภายในเรา ดำเนินไปกับเราในทุกย่างก้าว และทรงนำทางเราในทุกสถานการณ์บนโลกนี้

            ฮีบรู 13:5-6 … “พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะไม่ละทิ้งหรือทอดทิ้งเรา  ดังนั้น เราจึงสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว”

            การได้รับรู้ความจริงว่าพระองค์ทรงอยู่ภายในเรา เดินไปกับเรา ทำให้เรามีความกล้าที่จะเผชิญกับอนาคตโดยไม่ต้องกลัว ไม่ต้องหวั่นไหว วิตกกังวล และด้วยความรัก และพระคุณของพระองค์ เราสามารถวางใจในพระองค์ และมีความหวังในวันพรุ่งนี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ทรงควบคุมทุกสิ่ง และทรงมีแผนการที่ดีสำหรับชีวิตของเรา

            เยเรมีย์ 29:11 … “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เพราะเรารู้แผนการที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนการเพื่อทำให้เจ้ารุ่งเรืองไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เป็นแผนการเพื่อให้ความหวังและอนาคตแก่เจ้า”

            พระเจ้าอวยพรครับ