วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1524

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  พฤษภาคม  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย”  ตอน 17

โดย  วราพร  คงล้วน

            เรามาดูในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5 เดือนที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 14 ที่บอกว่า …

        กาลาเทีย 5:14 “บทบัญญัติทั้งหมดสรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”

            อาจารย์เปาโลกำลังคุยถึงเรื่องของการประพฤติตามบทบัญญัติ ไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปและความตายได้  ไม่สามารถทำให้มนุษย์ได้รับความรอดได้   เพียงความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่จะสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นได้ สรุปคนยิวในยุคก่อนหน้านั้น ก็คือพวกธรรมาจารย์ ฟาริสีได้ออกกฎมา 613 ข้อ จากที่เริ่มต้น คือพระเจ้าให้มา 10 ข้อ บวกมาเรื่อยๆ  คือพัฒนาการฝึกฝนในการกระทำตามกฎบัญญัติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมาถึงยุคของพระเยซูคริสต์ พระเยซูรวบยอด บทบัญญัติมาเป็นบัญญัติเดียว และบัญญัติเดียว พระเจ้าบอกให้พวกเราทำตาม ก็คือให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ก่อนหน้านั้น ก็คือจงรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง

            สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ถ้าเรายังเป็นมนุษย์คนเดิม คือเป็นมนุษย์บาป ซึ่งมันทำไม่ได้อยู่แล้ว มนุษย์บาปข้างในยังไม่มีความรัก เมื่อข้างในวิญญาณไม่มีความรัก จะไม่สามารถผลิตความรักชนิดแบบพระเจ้าออกมาได้ เป็นไปไม่ได้ แต่ว่าพระเยซูคริสต์พูดตรงนี้หมายถึงในวันที่พระองค์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ   พระองค์เป็นความรัก  ใครก็ตามที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ให้พระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาในวิญญาณของเราปุ๊บ วิญญาณใหม่ของเรา เกิดเป็นความรักเลย เมื่อเกิดมาเป็นความรักปุ๊บ เราก็สามารถผลิตผลแห่งความรักออกมาให้กับผู้อื่นได้ เกิดมาเป็น ฉะนั้น สิ่งที่พระเยซูคริสต์สั่ง ก็คือไม่เป็นภาระ มันมีอยู่แล้ว พระเจ้าให้อยู่แล้วความรัก เราแค่นำเอาสิ่งที่เรามีอยู่ ตัวตนใหม่ของเรา ที่เป็นอยู่ให้สำแดงออกไปเท่านั้นเอง ไม่เป็นภาระใดๆ แล้วเราสามารถทำได้ด้วย  ไม่ใช่กำลังของเรา  พระเจ้าได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว พอมาวันนี้ เรามาต่อข้อที่ 15 …

        กาลาเทีย 5:15 “หากท่านยังคอยแต่กัดกินกันเอง ระวังให้ดีจะย่อยยับไปตามๆ กัน”

            เวลานั้น ชาวกาลาเทียน่าจะมีปัญหา ทะเลาะเบาะแว้งในหมู่คริสเตียน บางทีเราคิดว่าเป็นคริสเตียนทะเลาะกันได้ด้วยเหรอ ทะเลาะได้ เป็นคริสเตียนถ้าเราเผลอ เราก็อาจจะมีพฤติกรรม แบบนั้น ไปทะเลาะเบาะแว้งกับใครเราไม่รู้ การทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ได้เป็นผลพระวิญญาณ  ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกว่ายังคงทะเลาะกันอยู่ ระวังจะย่อยยับไปตามๆ กัน คือมันไม่ได้เกิดผลดีสำหรับชีวิตของเรา ทั้งคนที่ชวนทะเลาะและคนที่ร่วมวงทะเลาะด้วย

            ถ้ามีคนมาชวนเราทะเลาะ วิธีดีที่สุด เราเดินหนี ไม่ต้องไปทะเลาะด้วย แล้วการเดินหนีของผู้เชื่อ ไม่ได้หมายความว่าเราแพ้ เราเป็นผู้ชนะ เราสามารถบังคับตนเองได้ สามารถข่มจิตใจของเราได้ เราไม่ทะเลาะกับเขา เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอกว่าเรื่องที่ขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบกับคนทั้งปวง มันอยู่ที่เราว่าในเหตุการณ์นี้ เราจะชวนทะเลาะต่อ หรือเราจะไม่ทะเลาะกัน ไม่ทะเลาะกัน ก็คือเดินหนีเฉยๆ เขาจะว่าเราขี้แพ้ก็ไม่เป็นไร? เป็นขี้แพ้ แต่ในวิญญาณเรามีความสุข ก็โอเคเลย แต่ถ้าเราชวนทะเลาะ มีเรื่องแน่ๆ จากเรื่องเล็ก มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยเตือนว่าถ้ายังทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ ระวัง มันไม่มีผลดีกับใครเลย มันเสียทั้งคู่

        กาลาเทีย 5:16 “ดังนั้น    ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ   อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป (เนื้อหนัง)”

            การดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ คือยอมให้อิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเราควบคุมเรา กับการไม่ยอม คือการดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง คือเราอนุญาตให้อิทธิพลของโลกใบนี้ส่งเข้ามาควบคุมความคิดของเรา สั่งการให้ร่างกายเราประพฤติปฏิบัติตามเนื้อหนัง ซึ่งเราสามารถที่จะแยกได้ มองเห็นได้ เมื่อเราเป็นผู้เชื่อแล้ว  เราสามารถจับทางได้ ด้วย ณ เวลานี้ เราอยู่ในสภาวะแบบไหน? เรากำลังดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ หรือเรากำลังดำเนินชีวิตตามที่โลกใบนี้ส่งเข้ามา คืออิทธิพลของโลกที่พยายามฉุดรั้งเราให้เราทำตาม

        กาลาเทีย 5:17 “เพราะตัณหาของวิสัยบาปขัดกับพระวิญญาณ   และพระวิญญาณขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทำจึงไม่ได้ทำ”

            สิ่งที่ท่านอยากทำ ก็ไม่ได้ทำ อะไรคือสิ่งที่ท่านอยากทำ ผู้เชื่อนะ สิ่งที่เราอยากทำในวิญญาณของเราจริงๆ คือทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราอยากทำมาก เราอยากสำแดงความรักออกไป เราอยากสำแดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตา ความกรุณาออกไป แต่ว่าโดนอิทธิพลของเนื้อหนัง พยายามฉุดรั้งเรา แล้วพยายามที่จะโน้มน้าวเรา ให้ไปทำตามมัน ฉะนั้น 2 อย่างนี้มันอยู่ด้วยกันไม่ได้ พระวิญญาณกับโลกนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้ ความบาปกับความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ สีขาวกับสีดำก็อยู่ด้วยกันไม่ได้

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลกำลังพูดชัดๆ เลยว่าพระเจ้ากับ อิทธิพลของโลกนี้ คนละพวกกัน ฉะนั้น ให้รับรู้ความจริงว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า วิญญาณข้างในเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เต็มไปด้วยความเชื่อฟัง คือเกิดมาเป็นผู้เชื่อฟังเลยในวิญญาณ พร้อมเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเดียว ไม่ต้องการที่จะกบฏหรือไม่ต้องการที่จะดื้อกับพระเจ้า นั่นคือวิญญาณแท้ๆ ของเรา แต่ว่าความเป็นจริงในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ มันต่อต้านกัน ต่อต้านระหว่างความดีงามที่มันอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้วกับโลกนี้ที่พยายามดึงเราให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า

            ฉะนั้น ตรงนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเราผู้เชื่อว่า ณ เวลานั้น  ณ เหตุการณ์นั้น เราตัดสินใจแบบไหนอย่างไร? แต่อย่างที่บอก  ยังคงยืนกรานเหมือนเดิมว่าถ้า ณ เวลานั้น เราเผลอไปตัดสินใจตามโลกนี้ ไปเผลอทำตามอิทธิพลของโลกนี้ คือทำตามเนื้อหนังนั่นแหละ ทำตามโลกนี้ส่งมา ณ เวลานั้น เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักและเมตตาเหมือนเดิม แต่ว่าถ้าในวิญญาณเรา เราจะไม่สบายใจ มันเป็นทันที คือรับผล ผลที่มันเกิดขึ้น เมื่อทำไปแล้ว ข้างในวิญญาณ เราไม่น่าทำเลย ไม่น่าตัดสินใจแบบนี้ แล้วเราก็จะเริ่มต้นขอกำลังจากพระเจ้า แล้วในอนาคตข้างหน้า ถ้าเราเจอเหตุการณ์นี้อีก เราก็อาจจะสามารถต่อต้านมัน สามารถหยุด ไม่เอา …

            “ฉันไม่ทำตามแก ฉันจะทำตามพระวิญญาณที่อยู่ในฉัน”

            เราก็จะเป็นผู้ชนะ แล้วมันจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป  มีคนถามว่าเราจะต้องต่อสู้แบบนี้ นานขนาดไหน? พี่น้องว่านานขนาดไหน?  ในขณะที่เราเป็นผู้เชื่อแล้ว อาจารย์เปาโล ซึ่งเป็นผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเจ้ามากๆ อาจารย์เปาโลพูดเองเลยว่า …

            “ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่น่าสมเพชอะไรเช่นนี้ สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ยังทำอยู่”

            อะไรที่อยากทำ ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า สิ่งที่ติดตามตัวอาจารย์เปาโลอยากทำ แต่มันทำไม่ได้ ทำไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ที่ไม่อยากทำ คือไปโต้ตอบคนอื่น มันไม่ได้เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา เราไม่อยากทำ แต่เผลอ เรายังไปทำมัน แล้วอาจารย์เปาโลบอก ถ้าพูดภาษาปัจจุบัน “มันทุเรศตัวเองจริงๆ” นึกออกไหม? ทำไมถึงน่าเวทนาอะไรเช่นนี้ ขนาดตัวเองมีความเชื่อขนาดนี้ ในขณะที่อยู่ในร่างกายนี้ เรายังฝืนไม่ได้ ยังเผลอไปทำสิ่งที่ไม่อยากทำเลย

            อาจารย์เปาโลบอก “ถ้าเกิดข้าพเจ้าทำแบบนี้ มันไม่ใช่ฉันทำนะ แต่เป็นอิทธิพลของโลกนี้ มาโน้มน้าวให้ฉันเผลอทำ แต่ตัวตนจริงๆ ของฉัน คือฉันเป็นความรัก ฉันเมตตากรุณา ฉันเป็นความสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย”

            นี่คือสิ่งที่อยู่ในชีวิตของผู้เชื่อทุกๆ คน พี่น้องไม่ต้องขอพระเจ้าให้เอาออกไปนะ มันเป็นไปไม่ได้ ก็แล้วแต่ในชีวิตประจำวันของเราว่าเราอนุญาตให้ถ้อยคำของพระเจ้าแห่งความจริง สะสมเข้ามาในตัวเรามากน้อยแค่ไหน? ความจริงที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นความดีงาม เป็นความชอบธรรม เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรัก เป็นผู้ที่เต็มล้นไปด้วยความเมตตา  ฉันเป็นอย่างนั้น  พอเรารู้ความจริงแบบนี้ เราก็สามารถแบ่งส่วนนี้ออกไปได้เยอะหน่อย แต่ถ้าเราไม่รู้ เราก็โดนอิทธิพลของโลกนี้หลอกให้เราทำตามเดิมๆ  เหมือนความเคยชินเดิมๆ ที่เราทำอยู่  ตอนก่อนที่มาเชื่อพระเจ้า เราโต้ตอบทันที เหมือนคนว่าเรา เราว่ากลับทันที มันเป็นอัตโนมัติ เป็นธรรมชาติเดิมของเรา ซึ่งเดี๋ยวนี้ ณ เวลานี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราไม่มีธรรมชาตินั้นอยู่ในตัวเราอีกเลย แม้แต่นิดเดียว

            ถ้าเราทำ แปลว่าไม่ใช่ฉันทำ เราถูกหลอก แค่นั้นเอง และเมื่อเราถูกหลอก เราก็เก็บเกี่ยวผล เวลาเราไปทำไม่ดีกับใคร? คนที่ถูกเราทำ เขาก็เหม็นหน้าเรา เขาก็ไม่ชอบหน้าเรา เจอคนนี้ไม่ชอบหน้า มาทำเรา มาว่าเราตลอดเวลา ไม่ชอบหน้า เท่ากับเราได้เก็บเกี่ยวผล แต่ถ้าเราทำในสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา สำแดงความรัก ความเมตตาออกไป เราก็เก็บเกี่ยวผลเหมือนกัน คนที่อยู่ใกล้เรา ก็มีความสุข พอเห็นหน้า มีความสุข อยู่ใกล้แล้วชื่นใจ อยู่ใกล้แล้วเจอแต่สิ่งดีๆ ที่เขาส่งผ่านมาให้เรา คนรอบข้างก็อยากจะอยู่ใกล้ นี่คือผลที่มันจะเกิดขึ้น

        กาลาเทีย 5:18 “แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน   ท่านก็ไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ”

            ถ้าพระวิญญาณทรงนำท่าน แปลว่าถ้าท่านบังเกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในท่านแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในท่าน เป็นผู้นำท่าน เมื่อพระวิญญาณนำท่านปุ๊บ ท่านก็ไม่ได้อยู่ใต้กฎบัญญัติ กฎบัญญัติ ก็คือกฎที่ตั้งไว้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎบัญญัติเหล่านี้ พระเจ้าบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหน สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์  100% ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถกระทำ โดยบทบัญญัติ แล้วพระเจ้าบอกว่าเมื่อท่านได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านได้ตายจากบทบัญญัติเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือตัวเก่าของเรา ที่ถูกควบคุม โดยบทบัญญัติบนโลกใบนี้ ได้ตายไปแล้ว  ฉะนั้น เราไม่ได้อยู่ใต้มัน และเมื่อเรารู้ว่าตัวตนแท้ๆ ของเราไม่ได้อยู่ใต้มัน ฉันก็ไม่จำเป็นต้องฟังเธอ นึกภาพออกไหม? เธอไม่มีอิทธิพลในฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องยอมเธอ ประมาณนั้น

            โลกนี้ ส่งอิทธิพลเข้ามา คือให้ทำอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับตัวตนแท้ๆ ของเรา  เราก็สามารถปฏิเสธมันได้ อันนี้ไม่ใช่ฉัน ฉันเป็นความรัก ฉันเป็นความดีงาม  ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก ก็ปฏิเสธไป แต่ไม่ได้หมายความว่าพอเชื่อพระเจ้าแล้ว เราสามารถปฏิเสธได้ตลอด เราเผลอ เราก็ขอกำลังจากพระเจ้า ไม่ว่าเราจะไม่ทำ หรือเผลอไปทำ เราก็ยังเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจ

            พอมาข้อที่ 19 อาจารย์เปาโลก็มาบอกถึงลักษณะของคนที่อยู่ในอาดัมหรืออยู่ในบาปว่ามีลักษณะแบบไหน?

        กาลาเทีย 5:19-21 “19 พฤติกรรมของวิสัยบาปนั้นเห็นได้ชัด   คือการผิดศีลธรรมทางเพศ  ความไม่บริสุทธิ์  และการลามก 20 การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้คาถาอาคม ความเกลียดชัง ความบาดหมาง ความริษยาหึงหวง ความโมโหโทโส ความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว การไม่ลงรอยกัน การแบ่งพรรคแบ่งพวก 21 และการอิจฉากัน การเมามาย การมั่วสุมเสพสุราและกาม และอื่นๆ ในทำนองนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านเหมือนที่เคยเตือนแล้ว ว่าผู้ที่ประพฤติเช่นนี้   จะไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”

            จริงๆ ไม่ได้เกี่ยวกับผู้ที่ประพฤติเช่นนี้ แต่เป็นคนแบบนี้  การประพฤติกับการเป็น มันไม่เหมือนกัน เราสามารถเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่บางครั้งเผลอประพฤติผิดได้ เราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยแล้ว แต่เผลอไปทำผิด

            แต่ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง คือคนที่อยู่ในสภาวะแบบนั้น คือคนที่อยู่ในอาดัม คนที่เป็นแบบนี้จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า ก็คือเขาไม่ได้เชื่อพระเจ้า เมื่อไม่เชื่อพระเจ้า เขาก็ไม่สามารถอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าได้ โดยปริยาย เหมือนกับที่อาจารย์ยอห์นประกาศว่าผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์จะได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่คนที่ไม่ได้วางใจในพระองค์ เขาก็อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว หมายความว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในความพินาศตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว เพราะว่าเชื้อบาปมันอยู่ตั้งแต่ในอาดัมจนถึงยุคของเรา ฉะนั้น ใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา แต่ละคนที่เข้ามาหาพระเจ้า ก็อยู่ในวาระที่ต่างกัน  บางคนเชื่อพระเจ้าไปแล้ว 40, 50 ปี บางคนเพิ่งมาเชื่อ  บางคนก็เชื่อไป 2, 3 ปี 5, 6 ปี 10 ปีก็แล้วแต่

            แต่ไม่ว่าท่านเชื่อเวลาไหนก็ตาม ท่านก็เป็นลูกพระเจ้า เวลานั้น นั่นแหละ ถ้า 30 ปีที่แล้ว ท่านเชื่อพระเจ้า ตั้งแต่ตอนนั้น ท่านก็เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในพระคัมภีร์บอกว่าเป็นแล้ว เป็นเลย ก็คือไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ที่จะสามารถดึงเราออกจากมือของพระเจ้าได้ ไม่มี ไม่ว่าการประพฤติของเรา โลกนี้มองเราแบบไหน? ทำไมคริสเตียนทำแบบนี้ พระเจ้าไม่เอาเธอแน่ๆ แต่ยืนกรานว่าไม่ว่านิสัยจะเป็นแบบไหน? พระเจ้าก็ยังรักฉันเหมือนเดิม นึกออกไหม? แค่ว่าฉันกำลังค่อยๆ ฝึกฝนนิสัยให้มันดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะฝึกฝนเรา ให้เราดีขึ้นเรื่อยๆ เราลองหันไปดูชีวิตตัวเอง ตั้งแต่วันแรกที่เชื่อพระเจ้า จนถึงวันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงที่เราก็งงเหมือนกัน เปลี่ยนได้อย่างไร? งง แล้วทำไมเราถึงสามารถมีความสุขได้ ในเหตุการณ์เยอะแยะมากมาย ทั้งๆ ไม่น่าจะมีความสุขได้เลย แต่เราสามารถทำได้ เรามีความเมตตากับคนอื่นมากขึ้น เราสามารถสำแดงความรักกับคนอื่นมากขึ้น มันเกิดมาเป็นธรรมชาติใหม่ ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเราทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงได้ขนาดไหน? พระเจ้าก็ไม่ถือสาเรา เหมือนกับลูก ลูกก็คือลูก เรารักลูก ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นเด็กดี ต่อให้ลูกเราไม่ใช่เด็กดี เราก็ยังคงรักเขา รักมากด้วย ไม่สามารถเอาความรักนี้ไปเทียบกับอะไรได้ เขาบอกว่าความรักของพ่อแม่บนโลกใบนี้ คือสุดยอดที่สุด  ไม่มีความรักไหนที่จะสามารถเทียบพ่อแม่ได้ ไม่ว่าพ่อแม่คนนั้นจะสามารถเอื้ออำนวยความสะดวกให้ลูกมากน้อยแค่ไหน? ก็แล้วแต่ เพราะว่าต้นทุนชีวิตของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ว่าสิ่งที่เท่ากัน คือความรักที่อยู่ในวิญญาณของพ่อและแม่ที่พระเจ้าใส่มามันเท่ากัน  ต่อให้ลูกเราไม่ดี เราก็ยังคงรักเขา  ต่อให้ลูกเป็นโจร พ่อแม่ก็ยังคงรักเหมือนเดิม แค่ว่าเราเสียใจกับลูกเรา  เราอยากให้ลูกเราเป็นคนดี แค่นั้น แต่ว่าไม่สามารถกำจัดเขาออกไปจากชีวิตของเราได้

            ถ้าเราเจอลูกเป็นคนดี ขอบคุณพระเจ้า พี่น้องนึกภาพออกไหม? ถ้าลูกเราเป็นเด็กดี โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี อยู่ในสังคมที่ดี  ไปถึงไหนก็มีแต่คนชอบ ลูกเราไม่ได้ยิ้มกว้างเหมือนเราหรอก ลูกเราก็โอเคๆ คนชื่นชอบ แต่คนที่มีความสุขมากที่สุด ก็คือพ่อแม่นั่นแหละ และถ้ามีใครมาชมลูกเรา ปลื้ม ดีใจมากๆ ที่คนมาชมลูกเรา นี่คือธรรมชาติ มันเป็นความรัก รู้สึกภาคภูมิใจในลูกของเราที่เขาเป็นคนดี และมีคนชม  แต่ถ้ามีคนมาติลูกเรา เธอติได้ แต่ฉันก็ยังคงรักลูกของฉันอยู่ นึกภาพออกไหม? มันเป็นความรักชนิดที่พระเจ้าใส่เข้ามาในคุณพ่อคุณแม่ทุกคน แล้วถ้าเราเป็นผู้เชื่อ ยิ่งสบายใหญ่เลย เรามีพระเจ้า เราก็อธิษฐานกับพระเจ้า ขอพระเจ้าเมตตา ขอพระเจ้าทรงปกปักษ์พิทักษ์รักษา คุ้มครองลูกเรา  ทรงเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเขา ให้เขาเป็นคนดีได้ นี่คือสิทธิพิเศษที่พระเจ้าให้กับพวกเรา

            ฉะนั้น สิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดถึงทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์คนเดียวจะมีพฤติกรรมแบบนี้ทั้งหมด ไม่ใช่ แต่ว่ามันเป็นอาการ ลักษณะที่คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า อยู่ในบาปจะส่งพฤติกรรมแบบนี้ออกมาเยอะเป็นพิเศษ เพราะว่าไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขา แม้ว่าคนบาป เขาอาจจะประพฤติดีได้ แต่ไม่ว่าเขาประพฤติดีขนาดไหน? พื้นฐานข้างในวิญญาณของเขา ก็เป็นบาป เป็นต้นไม้ที่รอวันเอาไปเผาทิ้งเท่านั้นเอง พอมาข้อที่ 22

        กาลาเทีย 5:22-24 “22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดทน ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23 ความสุภาพอ่อนโยน  และการควบคุมตนเอง สิ่งเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติข้อไหนห้ามเลย 24 ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์  ได้ตรึงวิสัยบาปและกิเลสตัณหาของวิสัยบาป  ไว้ที่กางเขนแล้ว”

            ฉะนั้น ผลของพระวิญญาณ คือลักษณะแบบนี้ และ ณ เวลานี้ พวกเราผู้เชื่อทุกคน มีผลนี้อยู่ในวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว พอเรารู้ว่าเรามีผลนี้อยู่ในวิญญาณของเรา เราก็ค่อยๆ พัฒนา ฝึกฝนให้ผลนี้ ถูกสำแดงออกไป เรารู้สึกไหมว่าเรามีความสุขมากขึ้น  เรามีความรักมากขึ้น เรามีความชื่นชมยินดีกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเมื่อก่อนจะไปยินดีอะไร? แต่เดี๋ยวนี้ เราชื่นชมยินดี อย่างตะกี้มีอะไรขาดตกบกพร่อง แทนที่เราจะโวยวาย เรากลับขำ ปล่อยผ่านไป นี่คือลักษณะของความอดทนต่อกันและกัน ดีต่อกันและกัน

            ลักษณะแบบนี้ เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เราสามารถเปรียบเทียบชีวิตของเรา ในแต่ละวันว่าเราได้สำแดงผล ไม่ได้หมายความว่าทุกวันเราจะสำแดงผลทุกผลออกมา ไม่ใช่ ก็คือในโอกาส หรือในเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเราให้สำแดงผลอะไรออกมา อย่างเช่น ผลแห่งความอดทน ถ้าเราไปเจอคนงี่เง่า ผลแห่งความอดทนมันจะสำแดงออกมา เราก็จะสามารถอดทนได้ 1, 2, 3, 4, 5, 6 นี่มันจะออกมาเองโดยอัตโนมัติ บางทีเราก็งง เราทำได้อย่างไร?  เรื่องอย่างนี้ไม่น่าอดทนได้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ก็พาเราสำแดงสิ่งนี้ออกไปให้คนอื่นได้เห็น

            ข้อที่ 24 ที่บอกว่าผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ได้ตรึงวิสัยบาป ตรึงเนื้อหนังเก่า ตรึงกิเลสตัณหาเก่า ที่เป็นตัวตนเก่าที่เราอยู่ในอาดัม อยู่ในบาป ตรงข้ามกับพระเจ้า อยู่ในความสาปแช่งได้ถูกตรึงไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว  เมื่อถูกตรึงไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีผลอะไรกับชีวิตของเรา มันมีแค่สิทธิ์ที่จะหลอกเรา นึกว่าเรายังอยู่ตรงนั้นอยู่ เรายังคิดว่าเราอยู่ในอาดัม เรานึกว่าเรายังอยู่ในบาปอยู่ ไม่ใช่ เราไม่ได้อยู่ในบาป  เราไม่ได้รู้สึกว่าเราอยากทำบาป  เราไม่ได้อยากจุมปุ๊กตัวเองอยู่ในบาป  ไม่ใช่ ฉะนั้น ตรงนี้ ให้เรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าได้นำเอาตัวเก่าที่เป็นบาปของเราตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว และ ณ เวลานี้ เราเป็นคนใหม่ในพระเยซูคริสต์ เรามีวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าเปลี่ยนให้เราใหม่ มีจิตใจใหม่  ที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของความบาปและความตายอีกต่อไป ฉะนั้น เราสามารถที่จะยืดอก และไม่ยอมมันได้

            ขอพระคุณพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในเราเปิดเผยสำแดง ให้เราสามารถเห็นถึงความจริงเหล่านี้ เพื่อว่าชีวิตของพวกเราทุกๆ คนจะได้สามารถสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราออกมาได้มากขึ้นๆ ทุกวันๆ เอเมนไหม? พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! ท่านมีวิญญาณใหม่ ใจใหม่ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สถิตอยู่ด้วยภายในตลอดเวลา

            พระเจ้าตรัสไว้ในหนังสือเอเสเคียล 36:25-27 ว่า … “25 เราจะประพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้า  จากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 จะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า  เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเรา ไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า  ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

            เมื่อมนุษย์ผู้ใดเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และได้บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้ามิได้ให้พระวิญญาณของพระองค์สถิตอยู่กับเราเท่านั้น แต่พระองค์ได้ทรงให้วิญญาณใหม่กับเราด้วย เพราะมนุษย์ถูกสร้างประกอบไปด้วยร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ตัวตนจริงๆของเราคือวิญญาณและใจ ที่อาศัยอยู่ในเรือนดิน คือร่างกายนี้

            มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้เป็นวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป อยู่ใต้อำนาจบังคับของบาป เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ เพื่อตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ด้วย วิญญาณใหม่และใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์ ความต้องการภายในจิตใจ แรงจูงใจภายในจิตใจใหม่ทั้งสิ้นเหมือนพระเจ้า

            วิญญาณและใจใหม่ของเรา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์จากเดิม กลายเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ มีความต้องการ มีความดีงาม มีความบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู  เมื่อสะอาดบริสุทธิ์ไร้ตำหนิแล้ว พระวิญญาณของพระองค์ ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา รวมเป็นหนึ่งกับวิญญาณของเราที่เกิดใหม่นั้นได้ทันที

            ไม่ว่าเราคริสเตียนผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จะได้รับการฝึกฝนจากพระเจ้าให้ดำเนินชีวิต สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมแล้ว ในวิญญาณนั้นฝึกฝนได้มากเท่าไหร่ ในความประพฤติให้สมกับเป็นลูกของพระองค์ก็ตาม ก็ไม่มีวันที่จะกระทบต่อความเป็นลูก ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมในวิญญาณ ตัวตน ธาตุแท้จริงๆ ของเราเลย เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมตลอดไปนิรันดร์

            ลิงพยายามฝึกฝนเดินตัวตรงเท่าไหร่ ก็ยังเป็นลิง มนุษย์ฝึกฝนคลานเหมือนลิงเท่าไหร่ ก็ยังคงเป็นมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง ทาร์ซาน คือมนุษย์ ต่อให้ไปอยู่กับลิงนานแค่ไหน? พยายามพูดภาษาลิง ทำท่าทางเหมือนลิง กินอาหารเหมือนลิงได้ แต่ธรรมชาติของทาร์ซาน ตัวตนแท้ๆ ของทาร์ซานเป็นมนุษย์วันยังค่ำ

            อย่างไรก็เป็นมนุษย์ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้  เพราะนี่คือธรรมชาติ เขาเกิดมาเป็นมนุษย์ ต่อให้เขาอยู่กับลิงมาเป็น 10 ปี ประพฤติปฏิบัติตัวเหมือนลิง เขาก็ยังเป็นมนุษย์  มีธรรมชาติเดียว คือธรรมชาติมนุษย์  แต่ประพฤติเหมือนลิง อย่างนี้ถึงจะถูก

            ฉันใดก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่า “เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า และได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลง ให้เราเกิดใหม่ มีธรรมชาติตัวตนที่แท้จริงของเรา ก็คือธรรมชาติของเรา จากธรรมชาติวิสัยบาป หรือภาษาเดิม ที่แปลภาษาอังกฤษ เรียกว่า Sinful nature มาเป็นธรรมชาติแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า คือเป็นเหมือนพระเยซู เป็นเหมือนพระเจ้า และเมื่อพระเจ้าได้เปลี่ยนธรรมชาติของเรา ด้วยการให้เราตายจากตัวเก่า และมาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป แม้บางครั้งจะประพฤติตนไม่เหมือนกับเป็นลูกพระเจ้าก็ตาม”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1523

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  พฤษภาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 18 “อธิษฐานตามน้ำพระทัยพระเจ้า ด้วยความมั่นใจ”

โดย  นคร   เวชสุภาพร

            พูดถึงเรื่องนี้ทีไร เราก็ขอบคุณพระเจ้าทุกที เรื่องเกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว  เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วในพระเยซูคริสต์ เอเมน

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ในพระเยซูคริสต์”

            ต้องขึ้นใจตรงนี้ให้ได้เลย ถ้าใครพูดตรงนี้ขึ้นใจ ก็แสดงว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของคริสตจักรอภิสุทธิสถาน อย่างแท้จริง เพราะว่าเราย้ำเรื่องนี้กันมาตั้งนาน ตั้งแต่ถ้อยคำพระเจ้าเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งถึงเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้อยคำพระเจ้าเกือบจะทั้งเล่มเลย หลายปีมานี้เราได้เน้นเรื่องนี้มาก จากถ้อยคำพระเจ้า เอามาตีแผ่ให้เห็นชัดเจนว่าถ้อยคำพระเจ้าได้บันทึกให้เห็นว่าอย่างนี้จริงๆ ซึ่งมันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เกินกว่าการรับได้ของความคิด สติปัญญาของมนุษย์ที่จะรับรู้ พอเป็นอย่างนี้จริงๆ มันก็ต้องใช้ความเชื่อเหมือนพระเจ้าบอกว่าเราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่าในโลกวิญญาณนั้น พระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเป็นอย่างนี้แล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว  พระองค์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว แล้วมันสำเร็จจริง ซึ่งต้องใช้ความเชื่อ เราต้องต่อสู้กับความคิด สติปัญญาของมนุษย์กับความเชื่อในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ตลอดเวลา ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราจึงจำเป็นต้องจำให้ได้เลยว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร?

            “ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเรียบร้อยแล้ว เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นเหมือนพระคริสต์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า”

            เรากลับมาดูกันต่อในหนังสือ 1 ยอห์น ซึ่งเป็นจดหมายที่อัครทูตยอห์นเขียน เพื่อเน้นย้ำให้เรามีความมั่นใจ ในความเชื่อว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียน ในโลกวิญญาณเราเป็นใคร? มีสถานะเป็นอย่างไร? และขณะเดียวกัน ก็ต่อต้าน ประกาศให้คนที่สอนเท็จ  คนที่เชื่อผิดๆ คนที่เข้าใจข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ผิดๆ คนที่สอน หลอกลวง ล่อลวง หรือเขาเรียกว่าผู้สอนเท็จนั้น ต่อต้านเขาเหล่านั้น ประกาศให้เขาเหล่านั้นรู้ว่า …

            “ที่พวกคุณไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายบนไม้กางเขน คุณไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ว่าเป็นพระบุตรที่จะลงมาช่วยเหลือมนุษย์ ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่อดีต บรรพบุรุษแล้วว่าพระองค์จะส่งพระบุตรลงมา เพื่อเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระคริสต์ เพื่อจะมาตายที่ไม้กางเขน  เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากบาป นี่คือพระเยซูผู้นั้นแหละ ที่ได้ถูกส่งลงมาช่วยเหลือท่านทั้งหลาย ท่านไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ไม่เชื่อว่าพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านไม่ใช่คริสเตียนแท้จริง  ถึงท่านจะบอกว่าท่านเป็นคริสเตียน แต่ท่านไม่เชื่อ”

            แล้วก็กล่าว ประกาศให้เขาได้เห็น ขณะเดียวกันก็อธิบายถึงการเป็นคริสเตียนในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเกิดอะไรกับท่านที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาสิฮาห์ ก็คือเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตร ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าจะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป และพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ก็คือพระเยซูผู้นี้ที่ตายที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 จริงๆ นี่คือคำยืนยัน เพื่อที่จะบอกชาวคริสเตียน ผู้เชื่ออย่างแท้จริงว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว

            ครั้งที่แล้ว เราจบกันในตอนที่ 17 ซึ่งใช้หัวข้อเรื่องว่า “พยาน คือพระวิญญาณผู้สถิตอยู่ภายในผู้เชื่อ อย่างสมบูรณ์แล้ว”

            อยู่ใน 1 ยอห์น 5:13 แต่เป็นตอนที่ 17 แล้ว หนังสือ 1 ยอห์น  มีแค่ 5 บท สั้นนิดเดียวเอง แต่ทำไมว่ากันมาตั้ง  17 อาทิตย์ยังไม่จบเลย วันนี้ตอนที่ 18 จวนจบแล้ว บทสุดท้ายแล้ว บทที่ 5 ทำไมต้องยาวขนาดนี้ ก็อย่างที่ผมบอก ต้องเอาอย่างละเอียด เพราะว่ามันสำคัญมาก เป็นเรื่องเกี่ยวกับต้นกำเนิดของความเชื่อพื้นฐานของคริสเตียนที่แท้จริง อย่างลึกซึ้งมาก เพราะอาจารย์ยอห์น ผู้ที่เป็นอัครทูต ที่เดินกับพระเยซู ใกล้ชิดกับพระเยซู และอายุมากที่สุดในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ในการประกาศข่าวดี มากกว่าอัครทูตทั้งปวงเลย  มีอายุมาก นอกนั้น เสียชีวิตไปก่อนท่านหลายปี ท่านอายุ 90 หรือ 90 กว่า เพราะฉะนั้น มีประสบการณ์ และได้เห็นอะไรต่างๆ มากกว่า เขียนอะไรลึกซึ้งกว่า แต่เป็นพื้นฐานเดียวกันกับอัครทูตทั้งหมด รวมทั้งเปาโลที่เป็นอัครทูตใหม่เอี่ยมล่าสุด คือคนสุดท้าย ก็เขียนเหมือนกัน ลักษณะเดียวกันหมด ก็คือเรื่องจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้าว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ที่เรียกว่าเป็นคริสเตียน ผู้เชื่อนั้นในโลกวิญญาณเขาเป็นใคร?

            วันนี้ตอนที่ 18 ผมใช้ชื่อเรื่องตามหัวข้อพระคัมภีร์ที่จะต่อในวันนี้ ครั้งที่แล้ว เราจบใน 1 ยอห์น 5:13 วันนี้มาต่อในข้อ 14 – 15 ผมใช้ชื่อเรื่องอย่างนี้ว่า “อธิษฐานตามน้ำพระทัยพระเจ้า ด้วยความมั่นใจ” จาก 1 ยอห์น 5:14-15 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:14-15 “14 นี่คือความมั่นใจที่เรามี เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า คือถ้าเราทูลขอสิ่งใด ที่สอดคล้องกับพระประสงค์ (น้ำพระทัย ความต้องการ แผนการ) ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา 15 และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์”

            ต้องละเอียดหน่อยหนึ่ง เพราะว่ามีคนเอาไปใช้ผิดๆ เยอะแยะมากมาย เข้าใจตรงนี้ผิดไป วันนี้เราจะมาเจาะลึก

            เริ่มต้นด้วยคำว่า “นี่คือ” นี่คือคืออะไร? เราต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ก็คือบทที่ 5 ข้อ 13  ที่เราเพิ่งจบไป เมื่อตอนที่แล้ว พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอะไร เมื่อตอนที่แล้ว? เกี่ยวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผู้สถิตอยู่ภายในวิญญาณของผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคน พระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ สถิตอยู่ภายในท่านจริงๆ นี่กำลังจะพูดอย่างนี้ อาจารย์ยอห์นบอกพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ ท่านรู้ได้ โดยการรับรู้จากภายใน ไม่ใช่รับรู้จากความรู้สึก เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ ที่สถิตอยู่ภายในท่าน เพื่อเป็นพยานยืนยันว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า เป็นพระคริสต์ให้กับท่าน ท่านจึงมีความเชื่อ ท่านไม่สามารถมีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ได้เลย นอกเสียจากว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปสถิตอยู่ภายในท่าน ครั้งที่แล้วพูดอย่างนี้ว่าพระวิญญาณสถิตภายในท่าน เป็นพยาน ยืนยัน ค้ำประกันด้วยว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้า ท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร? เชื่อได้ โดยการรับรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพยานยืนยันอยู่ภายในท่าน ไม่ใช่ท่านรับรู้จากความคิด จากการฟังคำเทศนา แล้วก็คิดเอา หาเหตุผลว่า …

            “เพราะว่าพระเยซูมาช่วยฉัน วันก่อนฉันลำบากลำบนเรื่องการเงิน มาเชื่อพระเยซู แล้วพระเยซูมาช่วยฉันพ้นจากการเงิน”

            ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่วิธีนั้น เพราะว่า … “คนนี้ที่เขามาประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ เป็นคนที่น่าเชื่อถือ ฉันเคารพเขา เขามีสติปัญญาดี ฉันเลยเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระคริสต์ตามที่เขาว่า”

            ไม่ใช่วิธีนี้ อาจารย์ยอห์นบอกว่ามาจากข้างในของท่าน ไม่มีใครสอนท่านให้รู้จักพระเจ้าได้ นอกจากว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้สอนท่านเอง

            พระเจ้าบอกว่า … “จากนี้ต่อไป จะไม่มีใครสอนท่านเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ให้รู้จักพระเจ้า เพราะเราจะสอนเอง”

            ก็คือเรา คือพระวิญญาณบิรสุทธิ์

            เรามาดูใน 1 ยอห์น 5:14 “นี่คือความมั่นใจที่เรามี” นี่คือ หมายถึงที่ย้อนกลับมาก่อนหน้านี้ ที่พูดถึงว่านี่คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับท่านแล้ว ท่านมีชีวิตนิรันดร์แล้ว ท่านมีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนของพระเจ้าอยู่ในตัวท่านเลย ท่านได้รับความรอดแล้ว ท่านเป็นชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระเจ้า พระเยซูแบ่งให้กับท่านแล้ว ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ในวิญญาณ มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยานค้ำประกัน ยืนยันในเรื่องนี้แล้ว จงรับรู้เถิด

            ทั้งหมดเหล่านี้ คือสิ่งที่อาจารย์ยอห์นได้อธิบายก่อนหน้านี้ เลยบอกว่าจงรับรู้เถิด นี่เป็นเหตุให้ท่าน มีความมั่นใจ เมื่อท่านเข้าเฝ้าพระเจ้า นี่คือความมั่นใจที่เรามี เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า คือเมื่อเราเข้าไปหาพระเจ้า  เข้าไปอธิษฐานกับพระเจ้า พูดคุยกับพระเจ้า วางใจในพระเจ้า เราจะมั่นใจได้อย่างไร? ความมั่นใจที่เรามีเมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เรามาดูว่าความมั่นใจที่เรามี เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า คืออะไร? ขณะที่เราอธิษฐานต่อพระเจ้า อาจารย์ยอห์นกำลังบอกว่าให้เรามีความมั่นใจในสิ่งที่อาจารย์ยอห์นได้พูดมาก่อนหน้านี้ ก็คือสถานะของเราในพระเยซูคริสต์ว่าเราเป็นใคร?  เรามีสถานะที่เป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว โดยผ่านทางความเชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับเรา มนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ และพระองค์ทรงกระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน

            พระองค์ได้กระทำจนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน  และการที่เราได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันทางฝ่ายวิญญาณกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว สามัคคีธรรม เป็นหนึ่งเดียวกันเรียบร้อยแล้ว นั่นแหละ เป็นความมั่นใจของเรา เวลาเราเข้าไปหาพระเจ้า จงมั่นใจในความรู้ที่ได้เรียนก่อนหน้านี้แล้ว อาจารย์ยอห์นกำลังพูดอย่างนั้นว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา และเราซ่อนอยู่ในพระเจ้าแล้ว มีความมั่นใจในความจริงอย่างนี้ว่าขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ กำลังหายใจอยู่นี้ เราเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เอเมน ต้องฝืนความคิด สติปัญญา ความรู้สึก เชื่อถ้อยคำเหล่านี้ว่านี่ใช่ เอเมน เวลาเข้าไปหาพระเจ้า บอกมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 ไล่มาจนจะจบนี้แล้ว ก็คือตรงนี้แหละ บอกว่าเราเป็นใคร?

            เพราะฉะนั้น ความมั่นใจเมื่อเรามี เมื่อเราเข้าเฝ้าพระเจ้า ไม่ใช่เหมือนอย่างที่หลายคนคิด ตามสติปัญญาของตนเอง หลายคนเข้าใจผิด เข้าข้างตัวเอง ไม่ใช่เรื่องของความมั่นใจ ในการได้รับความโปรดปรานพิเศษจากพระเจ้า

            “เพราะว่าฉันกระทำอะไรบางอย่างที่ดีๆ แล้วพระองค์พอใจในการกระทำของฉัน ฉันเลยเข้าไปอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยความมั่นใจว่าพระองค์จะฟังคำอธิษฐานของฉันแน่นอน เพราะว่าฉันมั่นใจว่าฉันรับใช้พระเจ้าเยอะ ฉันถวายทรัพย์เยอะ ถวายสิ่งของเยอะ ถวายเวลาเยอะ ฉันมาโบสถ์วันอาทิตย์เป็นประจำเลย ไม่เคยขาด ฉันมีความประพฤติดี มีชื่อเสียงดี มีคนชมเยอะแยะเลยว่าฉันรักพระเจ้ามาก”

            หรือว่า … “ฉันมั่นใจมากในเรื่องนี้ เพราะฉันอธิษฐาน รบเร้าพระเจ้า ตื้อพระเจ้าไม่หยุดเลย วิงวอนขอพระเจ้า อดอาหาร อธิษฐาน มั่นใจว่าพระเจ้าตอบฉันแน่นอน”

            คุ้นๆ ไหม? หรือมากกว่านั้น ก็คือ … “ฉันมั่นใจ ฝากคนอื่นช่วยอธิษฐานทั้งประเทศเลย อดอาหารอธิษฐาน ฉันรู้ว่าพระเจ้าพอใจ ฉันได้แน่ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้ ที่ฉันทำ”

            คือมั่นใจในตัวเอง ที่ตัวเองทำ นั่นเอง

            “ฉันมีความเชื่อพอ ฉันอดทนรอคอยได้”

            นี่คือสิ่งเข้าใจผิด ในเรื่องความมั่นใจในการเข้าไปหาพระเจ้า ในการอธิษฐาน พูดคุยกับพระเจ้า ที่เราคริสเตียนชอบคิดตามความคิด สติปัญญาของมนุษย์ว่าทำสิ่งนี้แล้ว พระเจ้าจะพอใจ (เป็นพิเศษกว่าคนที่ไม่ทำ เราก็เลยเชียร์ให้คนอื่นทำตามเรา เพื่อจะได้สิ่งที่เราได้ ก๊อปปี้กันอย่างนี้เป็นต้น มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่ถ้อยคำที่เราอ่านตรงนี้ อาจารย์ยอห์นกำลังจะบอกว่าความมั่นใจตรงนี้ คือเป็นความมั่นใจในการดำเนินชีวิต ตามความจริงในพระคำที่ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ที่อาจารย์ยอห์นบอกให้เรา เล่าให้ฟัง อธิบายให้ฟังมาตลอด 4-5 บทมาแล้วนั้นว่าความจริงเราเป็นใคร? พระเจ้าโปรดปรานเราทุกคน เราผู้เชื่อ หรือคริสเตียน เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว เราอยู่ในพระองค์ พระองค์ทรงรู้จักเราดี แล้วเราก็น่าจะรู้จักพระองค์ดี เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตามความเป็นจริง ถ้อยคำของพระองค์ได้บอกไว้ว่าพระองค์ประสงค์สิ่งใด เราก็ต้องการสิ่งนั้นเหมือนกันกับพระองค์ นี่คือความเป็นจริง นี่คือถ้อยคำพระเจ้า พระองค์ประสงค์สิ่งใด? น้ำพระทัยของพระองค์คืออะไร?  เราก็เหมือนกับพระองค์อย่างนั้นแหละ ไม่มีผิดเลย เพราะเราเหมือนพระองค์ เราเหมือนพระคริสต์ เรามีความรัก  มีความจริงของพระองค์อยู่ในใจของเรา อยู่ในวิญญาณของเรา  เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามถ้อยคำพระเจ้า ที่อาจารย์ยอห์นได้สอนเราก่อนหน้านี้

            ดังนั้น เราจึงพร้อมเสมอที่จะมีความเชื่อและวางใจในพระองค์ในทุกๆ สถานการณ์อยู่แล้ว ในวิญญาณของเรา นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น ไม่เหมือนกับที่ตาเรามองเห็น หรือความรู้สึกของเรา หรือความคิด หรือความเข้าใจของเรา เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องโลกวิญญาณ เกิดขึ้นในวิญญาณ เพราะพระเจ้าเป็นวิญญาณ และเราบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ตัวตนแท้จริงของเรา ก็คือวิญญาณ เราเป็นหนึ่งกับพระเจ้า ก็เป็นหนึ่งทางวิญญาณ

            เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ในวิญญาณ มองไม่เห็น แต่ต้องใช้ความเชื่อ ในโลกวิญญาณ …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงนิรันดร์”

                        “ฉันอยู่ในพระคริสต์  พระคริสต์อยู่ในฉัน

                        เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  ตั้งแต่บัดนี้ จนนิรันดร์

                        ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ และดีพร้อม เหมือนพระองค์

                        ไม่มีอะไรมาแยกเราออกจากกัน  เพราะความรักพระองค์เป็นนิรันดร์

                        ที่มอบให้กับฉัน เป็นวิญญาณเดียวกัน ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงนิรันดร์”

            เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ  เป็นอย่างที่ตะกี้นี้บอก คล้ายๆ เพลง ร้องเพี้ยน คล้ายๆ เพลง เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงนิรันดร์ นี่คือความจริง

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราเข้าไปหาพระเจ้า  เข้าไปทูลขอ หรือไปอธิษฐานอะไรกับพระเจ้า ติดต่อ พูดคุยกับพระเจ้า  เราต้องเข้าไปด้วยท่าทีนี้ ความมั่นใจนี้ นี่แหละ ความจริงเหล่านี้ ต้องเข้าไปด้วยความมั่นใจ  เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าไปด้วยความมั่นใจเหล่านี้ คำอธิษฐานของเรา ก็พร้อมเสมอ คนนั้นที่เข้าไปด้วยความมั่นใจอย่างนี้ ก็พร้อมเสมอที่จะคิดเหมือนพระเยซูคริสต์ อธิษฐาน ทูลขอจากพระเจ้า เหมือนกันเลย พร้อมเสมอที่จะจบคำอธิษฐาน ด้วยคำว่า …

            “ลูกมั่นใจ พระองค์ให้ลูกแน่นอน เอเมน ได้แน่”

            ใช่หรือเปล่า? ไม่ใช่ จบเหมือนที่พระเยซูจบ เหมือนพระองค์ เรามั่นใจแล้ว เราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ เราอยู่กับพระองค์แล้ว เพราะฉะนั้น เราพร้อมเสมอที่จะเข้าไปหาพระองค์ และอธิษฐาน ทูลขอพระองค์ และจบคำอธิษฐานว่า …

            “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ ความต้องการของพระองค์ แผนการของพระองค์ อย่าให้เป็นไปตามความต้องการของลูกเลย ของฉันเลย แม้ว่าลูกอยากจะได้ก็ตาม ลูกอยากมากเลย อยากได้ๆ อย่างนี้ ลูกขออย่างนี้ แต่อย่าให้เป็นไปตามใจลูกเลย  เพราะลูกเชื่อแล้วว่าพระองค์ทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น ลูกเชื่อวางใจในพระองค์ พระองค์ทรงรักลูกอย่างมาก ลูกไม่มีทางที่จะทำให้ดีกว่านี้ได้ ลูกยอมดีกว่า”

            พระเยซูก็อธิษฐานอย่างนั้นแหละ … “เป็นไปได้ไหมที่จะไม่ถูกตรึงบนกางเขน ไม่ต้องหลั่งพระโลหิต สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนอย่างนั้น เป็นไปได้ไหม? ลูกอยากให้เป็นไปได้ แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ ขอให้เลื่อนไปก่อน เลื่อนเป็นอย่างอื่นเถอะ”

            พระเจ้าบอกไม่ได้ คือเงียบ ไม่ตอบ คำว่า “ไม่ตอบ” คือไม่ฟัง เดี๋ยวเราเรียนรู้ต่อไป ถ้อยคำพระเจ้าก็จะบอกว่าพระองค์ทรงฟัง ฟังสิ่งที่เราทูลขอ ที่เป็นไปตามน้ำพระทัย ถ้าไม่เป็นไปตามน้ำพระทัย พระองค์ไม่ฟัง พระเยซูอธิษฐาน พระองค์ไม่ฟัง เพราะว่าไม่เป็นตามน้ำพระทัย

            น้ำพระทัยของพระองค์ คือพระองค์ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์มาเพื่อตาย บนไม้กางเขน เพื่อเป็นขึ้นมาจากความตาย นั่นหมายถึงอะไร? ถ้าเราพร้อมเสมอที่จะอธิษฐานอย่างนี้ แสดงว่าเรามีความคิดที่สอดคล้องกับพระเจ้า สอดคล้องกับความต้องการของพระเจ้า ความคิดเดียวกับพระเจ้า พูดง่ายๆ คือเราอธิษฐานจากใจนั่นเอง  เพราะใจเราสอดคล้องกับพระเจ้าอยู่แล้ว ใจเราต้องการสิ่งต่างๆ เหมือนพระเจ้า เหมือนพระคริสต์อยู่แล้ว เพราะเราอธิษฐานอย่างนี้ ก็อธิษฐานจากใจ ตามที่เปาโลบอกว่าจงทำทุกสิ่งทุกอย่างจากข้างใน จากใจ ให้ก็ให้จากใจ ถวายก็ถวายจากใจ ทำงาน ก็ทำงานจากใจ ใจที่ได้รับใหม่จากพระเจ้า พร้อมกับวิญญาณใหม่นั้น

            เพราะในฐานะผู้เชื่อ หรือเป็นคริสเตียน พระเจ้าบอกแล้วว่าเรามีวิญญาณใหม่และใจใหม่แล้ว พระเจ้าให้แล้ว สร้างเราเรียบร้อยแล้ว  และเรามีความคิดของพระคริสต์ที่เรียกว่า The mind of Christ ความคิดจิตใจที่เหมือนพระคริสต์อยู่เรียบร้อยแล้ว ในวิญญาณของเรา  เพราะฉะนั้น เราสามารถคิดเหมือนกับความต้องการ หรือเรียกว่าน้ำพระทัย หรือความประสงค์ของพระเจ้าได้ เราสามารถคิดอย่างนั้นได้ วิญญาณของเราเป็นอย่างนั้น เป็นธรรมชาติที่เราได้รับจากพระเจ้า จากการบังเกิดใหม่ของเรา เราบังเกิดจากวิญญาณของพระเจ้า ที่พระเยซูได้รับ และแบ่งให้กับเรา เพราะฉะนั้น เราเหมือนกับพระเยซูในวิญญาณ ไม่มีผิดเลย ใน 1 โครินธ์ 2:16 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 2:16 “ใคร​หรือ! ที่​จะ​หยั่งรู้​ความคิดของ​องค์​เจ้า​ชีวิต เพื่อ​ที่​จะ​สั่งสอน​พระองค์​ได้ แต่​เรา​เข้าใจ​สิ่ง​เหล่านี้ ​เพราะ​เรา​มี​ความคิดของ​พระคริสต์”

            มนุษย์ยิ่งเข้าใจยากมากเลย ข้อนี้ … “ใครหรือจะหยั่งรู้ความคิดขององค์เจ้าชีวิต เพื่อจะสั่งสอนพระองค์ได้”

            มนุษย์กับพระเจ้าไม่มีทางคิดเหมือนกันเลย เป็นไปไม่ได้หรอก เราจะมีความคิดเหมือนพระเจ้าได้อย่างไร? พูดง่ายๆ ตรงนี้หมายความว่าอย่างนี้ แต่ในนี้บอกว่าอย่างไร? “แต่เรา” เราคือใคร? เรา คือคริสเตียน ผู้เชื่อ

            “แต่เราเข้าใจสิ่งเหล่านี้”

            คุณเป็นใคร? มนุษย์ก็ถาม “คุณเป็นใคร? จะรู้จักใจพระเจ้าหรือ? พระเจ้าสูงส่งขนาดไหน? แต่ในนี้บอก … “แต่เราเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เพราะเรามีความคิดของพระคริสต์”

            เพราะว่าใจใหม่ วิญญาณใหม่ของเรามาจากพระเจ้า มาจากพระคริสต์ เราคิดเหมือนพระองค์ เหมือนทันทีเลย อัศจรรย์ขนาดไหน? ความคิดของพระคริสต์อยู่ที่ไหน? อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจใหม่ของเรา ที่บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และบัพติศมาเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ได้บังเกิดใหม่ พร้อมกับใจใหม่ และวิญญาณใหม่

            นี่แหละ ความคิดก็อยู่ในวิญญาณใหม่ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ เราได้รับ เรามีแล้วก็จริง เรามีความคิดของพระคริสต์อยู่ในวิญญาณใหม่ของเรา อยู่ในการบังเกิดใหม่ของเราเรียบร้อยแล้วก็จริง แต่เรายังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายที่มีระบบความคิดเดิม ยังอยู่บนโลกที่ปกคลุมด้วยความบาป ความตาย และคำสาปแช่ง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ที่เราเรียกกันว่าโลกของเนื้อหนัง ซึ่งมันต่อต้าน ต่อสู้กับความคิดของพระเจ้า เจอเหตุผลแล้วใช่ไหม? ว่าเรามีแล้ว อยู่ในวิญญาณเรา แต่ว่าทำไมเราคิดอะไรบางอย่าง ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เราเรียนรู้กันเลย

            ต้นเหตุ ปัญหาของคริสเตียน ผู้เชื่ออยู่ที่ไหน? อยู่ที่ความคิดตรงนี้แหละ ไม่ใช่อยู่ที่การกระทำ ใจอยากทำดี แต่ก็ทำดีไม่ได้ตามที่ใจอยาก ใจไม่อยากทำบาป แต่ก็ทำตามใจที่ถูกครอบงำ ถูกหรือไม่ถูก

            “ใจอยากทำดี แต่ก็ทำไม่ได้ ตามที่ใจอยาก ใจไม่อยากทำบาป แต่ก็ทำตามความคิดที่ถูกครอบงำ”

            ความคิด จึงเป็นสมรภูมิที่มองไม่เห็น เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์พูดถึงนั่นเอง ไม่ใช่ตามสติปัญญา หรือความเชื่อของคริสเตียนบางกลุ่ม ที่พูดว่าสงครามฝ่ายวิญญาณของคริสเตียน ต้องไปสู้กับพวกผี พวกอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่เลย ผีตัวใหญ่ ก็คือความคิดนี่แหละ ความคิดเดิมของเรา  ถ้าไม่เชื่อ เราลองอ่านดูในหนังสือ 2 โครินธ์ 10:4-5 นี้ อาจารย์เปาโลได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างไร? จะได้เห็นชัดว่าสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ มันคือความคิดจริงๆ ไม่เกี่ยวกับผีมารซาตานที่ไหนหรอก …

        2 โครินธ์ 10:4-5  “4 อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ ไม่ใช่อาวุธของโลก แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วย ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า สามารถทำลายล้างป้อมปราการต่างๆ ได้ 5 เราทำลายล้างประเด็นโต้แย้ง และคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และเราสยบทุกความคิด ให้ยอมจำนน เชื่อฟังพระคริสต์”

            “สยบทุกความคิด” … ความคิดอะไร? ความคิดที่แอบอ้าง ตั้งตัวขัดขวาง ความรู้ของพระเจ้า ความจริงของพระเจ้า

            อาวุธที่เราใช้ต่อสู้ ไม่ใช่อาวุธของโลก หมายถึงไม่ใช้อาวุธที่เป็นวัตถุ จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ แต่เป็นอาวุธที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งสามารถทำลายล้างป้อมปราการต่างๆ ได้ ป้อมปราการอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ความคิดในสมองของร่างกายของเรานั่นแหละ อาวุธฝ่ายวิญญาณ ก็คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้า สามารถทำลายล้าง ประเด็นโต้แย้งและคำแอบอ้างทั้งปวง ที่ตั้งตัวขัดขวางความรู้ของพระเจ้า

            ความรู้ของพระเจ้า คือถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า บอกไว้ว่าอย่างนี้ๆ อย่างที่เราเรียนรู้กัน และความคิดที่อยู่ในสมองในร่างกายนี้ มันต่อต้าน มันเป็นป้อมปราการอยู่

            ป้อมปราการนี้ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? เกิดตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว อยู่ในครรภ์มารดา มันก็เกิดแล้ว ความคิด ความรู้สึกของแม่ ประสบการณ์ของแม่ ส่ง ถ่ายทอดผ่านสายสะดือ เข้าไปในประสาท เข้าไปในสมองเด็ก ตั้งแต่แรกแล้ว แต่จะมากหรือน้อย ก็แล้วแต่ เสร็จแล้ว จากนั้น พอคลอดออกมา ก็เริ่มสะสมความคิด ระบบของโลกนี้ ที่ปกคลุมไปด้วยอิทธิพลของความบาปและความตาย  และคำสาปแช่ง ค่อยๆ เข้ามาอยู่เรื่อยๆ จนเคยชิน เรียกว่าเคยชินกับระบบของโลกนี้ กระแสของโลกนี้  หรือระบบของเนื้อหนัง ใช้คำนี้ว่าระบบของเนื้อหนัง

            ป้อมปราการเหล่านี้อาจจะเป็นพื้นที่ในชีวิตของเรา ที่ศัตรูได้เข้ามามีอิทธิพล และพยายามทำให้ไขว้เขวจากตัวตนใหม่ในพระคริสต์ของเรา ในพื้นที่ชีวิต แล้วแต่ แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ในฐานะผู้เชื่อ เรามีอำนาจในพระคริสต์ ที่จะทำลายป้อมปราการเหล่านี้ได้ โดยการอาศัย การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า การปรับเปลี่ยนความคิดของเรา จึงเป็นเรื่องสำคัญ ปรับเปลี่ยนความคิดของเราให้มันสอดคล้องกับความจริงของพระเจ้า นี่คืออาวุธของเรา อาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าให้พกอาวุธของเรา ติดตั้งอาวุธของเราประจำวัน ก็คือถ้อยคำแห่งความจริง ความเชื่อ ไม่ใช่แค่เชื่ออย่างเดียว แต่ความเชื่อในความจริงของถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นอาวุธร้ายแรงของเรา ในการต่อสู้กับธนูเพลิงของมาร ก็คือความคิดจอมปลอม ความคิดต่อต้านกับพระเจ้า ความคิดที่มาจากกระแสของโลกนี้ ความคิดที่มาจากเนื้อหนัง คอยตี ส่งเข้ามาจากภายนอก  พุ่งเข้ามาในความคิดในสมองของเรา ต่อต้านกับความจริงจากใจของเรา ที่ส่งมา พอจะเห็นไหม?

            การปรับเปลี่ยนความคิดจิตใจของเราให้สอดคล้อง เป็นไปด้วยกันกับความคิดของพระเจ้าที่อยู่ภายในวิญญาณ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการดำเนินชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ โลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยอิทธิพลของความบาป ความตายและคำสาปแช่งอยู่ และเต็มด้วยกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็คือความอยากที่จะทำตามระบบของโลกนี้ มีอิทธิพลอยู่ ซึ่งเปาโลก็ได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนว่ามันมีอยู่จริงๆ อิทธิพลเหล่านี้ยังคงอยู่ บางคนพยายามอธิษฐานให้เปลี่ยนโลกนี้ พระเจ้าเปลี่ยนโลกนี้ ให้โลกนี้สวยงามสักทีหนึ่ง เราอธิษฐาน เราทำอะไรต่างๆ เพื่อจะเปลี่ยนโลกนี้ให้สวยงาม ไม่ใช่ ไม่ได้เกี่ยวเลย เราดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า ทำงานในชีวิตของเรา  ทำสิ่งที่เป็นแสงสว่าง ฉายออกไป แสงสว่าง เอาไป เพื่อให้โลกนี้กลับคืน ดีงาม ไม่ใช่ แสงสว่างไป เพื่อให้คนที่กำลังจะจมไปกับโลกนี้  โลกนี้มันจมอยู่แล้ว ไม่มีทางดีขึ้นมาได้หรอก

            ให้เราอธิษฐานให้กับคนที่จมอยู่ ให้เขาได้รับแสงสว่าง ฉุดเขาขึ้นมาทีละคนๆ โลกนี้ปล่อยมันไป มันต้องลงไปอยู่แล้ว ไม่ใช่ไปอธิษฐานขอเปลี่ยนแปลงโลกนี้ ไม่ใช่ อธิษฐานขอเปลี่ยนแปลงความคิดของมนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้ ให้เขาเห็นแสงสว่าง แล้วก็มาเชื่อ แล้วก็รับความรอดไป ตรงนี้มากกว่า เพราะฉะนั้น ในโรม 12:2 อาจารย์เปาโลจึงแนะนำให้เราเปลี่ยนความคิดของเราอย่างนี้  ดูสิว่าอาจารย์เปาโลว่าอย่างไร? …

        โรม 12:2 “อย่ากระทำตามระบบของโลกนี้ (คือกิเลส โลกียตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งขัดแย้ง ต่อต้านกับพระวิญญาณ คือทางของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์) แต่ให้มายอมรับการปรับเปลี่ยน (โปรแกรมข้อมูลความคิดในสมอง) ความคิดสติปัญญาแบบเดิม (คือแบบเนื้อหนัง ตามกระแสของโลก) เสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบ ในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน (จะได้ฝึกฝน ประพฤติตามความคิดใหม่นั้น)”

            “อย่ากระทำตามระบบของโลกนี้ ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งขัดแย้ง ต่อต้านกับพระวิญญาณ ต่อต้านกับทางของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์”

            ระบบของโลกนี้อยู่ในความบาปและความตาย มันจะวิ่งไปสู่ความตาย วิ่งไปสู่ความบาป มันกำลังวิ่งไปสู่ความพินาศ อย่าไปทำตามมัน อย่าไปตามกระแสของโลกนี้ ซึ่งไปสู่ความพินาศ

            “แต่ให้มายอมรับการเปลี่ยนแปลง ปรับเปลี่ยนโปรแกรม ข้อมูล ความคิดในสมอง สติปัญญาเดิมที่มาจากโลกใบนี้  ที่เราเรียนรู้มาจากระบบของโลกใบนี้ ปรับมันเสียใหม่ เพื่อให้เอาความคิดใหม่เข้าไปแทนที่ ทางวิทยาศาสตร์ เขาว่ากันว่าความคิดของคนในสมอง ไม่มีการว่างเปล่า มีความคิดอยู่แน่นอน ถ้าอยากจะเอาความคิดนี้ออกไป ต้องเอาความคิดใหม่เข้าไปแทนที่ ไม่ใช่จะลบความคิดนี้ออกไปเฉยๆ …

            “ฉันไม่อยากคิดอันนี้ ฉันไม่อยากคิดอันนั้น”

            ไม่ได้ ถ้าไม่อยากคิดอย่างนี้ ก็ต้องคิดอย่างนั้นเข้ามาแทนที่ มันต้องมีอะไรเข้าไปแทน มันไม่มีสมองว่าง เพราะฉะนั้น อะไรเข้าไปแทนที่ เปลี่ยนให้เป็นถ้อยคำพระเจ้าแห่งความจริง เพื่อท่านจะสามารถรู้ว่าอะไรเป็นความต้องการของพระเจ้า เห็นไหม? เปลี่ยน เพื่อเราจะได้รู้น้ำพระทัยของพระเจ้า รู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า  รู้ถึงความต้องการของพระเจ้า ด้วยถ้อยคำพระเจ้า ให้เรารู้จักน้ำพระทัยพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยม ก็คืออะไรที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าที่ดีเฉยๆ อะไรที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าที่ดีกว่า และดียอดเยี่ยม ขอพระเจ้าในการรักษาโรค ขอให้พ้นจากโรคนี้ดีไหม? ดีพระเจ้าบอกรู้จักพึ่งพาในพระเจ้า อธิษฐานกับพระเจ้า พระเจ้าก็จะรักษาตามสถานการณ์ต่างๆ แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละสถานการณ์ไม่เหมือนกัน

            ดี ดีกว่าคืออะไร? บางทีก็รักษาไม่หายบ้าง? แต่ทำให้เขามีความอดทน เขาสามารถรับกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นได้ ซึ่งพระเจ้าไม่ได้ทำให้เกิดขึ้น แต่โลกนี้มันเป็นเช่นนี้เอง มันถูกสาปแช่งไปแล้ว ความทุกข์ยากลำบากมีอยู่แล้ว แต่เขาเผชิญได้มากขึ้น เขามีความอดทนมากขึ้น มันดีกว่า เห็นไหม?

            และที่ดีที่สุด คืออะไร? ดีที่สุด คือเขาพร้อมแล้ว ที่จะจากโลกนี้ไป โดยไม่มีเยื่อใยกับโลกใบนี้อีกแล้ว พร้อมที่จะจากไปเลย เพราะจากไปดีกว่าอยู่ พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น อาจารย์เปาโลบอก อยู่ก็ต้องทำงานเพื่อพระคริสต์ ตายไปก็ได้กำไร ตายไปดีกว่าอยู่ ตายไปก็ได้รับร่างกายใหม่ จบสิ้นสักที ไม่มีภาระ อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ดียอดเยี่ยมเลย นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เราจะได้รู้ว่าถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นความจริงเหล่านั้น ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเรา เปลี่ยนแปลงไปสู่ความประสงค์ของพระเจ้า เหมือนกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อเราจะได้รู้น้ำพระทัยพระเจ้าที่ดียอดเยี่ยม สมบูรณ์แบบ ในสายพระเนตรของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า

            แผนการของพระเจ้า ที่เรียกเรามาอยู่ในพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว ที่วางไว้ให้กับท่าน เพื่อท่านจะได้ฝึกฝน  ปฏิบัติ ประพฤติตามความคิดใหม่นั้น ไปเรื่อยๆ แรกๆ มาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ อยากได้ ให้พระองค์ทรงรักษาอย่างเดียว พระองค์ทรงช่วยแก้ปัญหาอย่างเดียว แล้วพระองค์ก็ทำอย่างนั้น ไม่ผิดอะไรเลย เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า แต่พอโตขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง โตมากขึ้น เข้าใจพระองค์มากขึ้น ความคิดเริ่มเปลี่ยนไปว่าบางครั้งก็ต้องทนทุกข์เวลาหนึ่ง  พระเจ้าเคยตอบคำอธิษฐานใน 1 วัน 3 วัน 5 วัน กลายเป็น 1 ปี กว่าจะได้ ถึงจะเข้าใจ แล้วตอบคำอธิษฐาน ไม่เหมือนกับที่เราคิด ไม่ใช่วิธีการที่เราคิด แต่ตอบอีกแบบหนึ่ง ที่เราเข้าใจว่าอย่างนี้ดีกว่า มาอีกแล้ว แล้วก็โตขึ้นไปเรื่อยๆ กระทั้งในที่สุด ไม่หาย ถึงปัญหายังอยู่ ก็ไม่เป็นไร ก็อยู่ได้ มีสันติสุขได้ สันติสุขที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่เข้าใจ ปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของเราในพระเยซูคริสต์ ในสถานการณ์เช่นนั้น อย่างนี้แหละ

            ฉะนั้น การรับรู้ การรู้จัก และเชื่อในความจริงของตัวตนใหม่ทางวิญญาณของเราในพระคริสต์ จะช่วยให้เราดำเนินชีวิตตามความจริงนั้นได้  มันขึ้นอยู่กับการรับรู้ความจริงเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด การเปลี่ยนแปลงความประพฤตินี้จะเกิดขึ้น เมื่อเราเปลี่ยนแปลงความคิดของเราใหม่ ด้วยถ้อยคำพระเจ้า ด้วยพระคำความจริงของพระเจ้า  พระเจ้าพูดไว้อย่างนั้น เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความประพฤติ การกระทำของเราได้ ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงความคิด

            การปรับเปลี่ยนความคิด หมายถึงการปรับเปลี่ยนวิธีคิด ให้สอดคล้องกับถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ ซึ่งช่วยให้เรามองเห็นกระแสของโลก ระบบของโลก ที่ถูกปกคลุมไปด้วยความบาปและความสาปแช่ง  และสามารถมองเห็นตัวเราเอง ตามความเป็นจริง ตามมุมมองของพระเจ้า  จากถ้อยคำ คำสอนของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พระองค์บอกว่าเราเป็นใคร? เราเป็นผู้ชอบธรรม เราก็เป็นผู้ชอบธรรม  แม้ว่าเราจะทำบาป  ทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม เราก็เป็นผู้ชอบธรรม  ไม่ใช่พอเรากระทำผิด กระทำบาป ล้มลงไปในความบาป เราก็บอกเราไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  เรา “เป็น” กับเรา “ทำ” คนละอย่างกัน มันคนละเรื่องกัน ในเอเฟซัส 4:23-24 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 4:23-24 “23 คำสอน​นั้น ​ยัง​สอน​ให้​ท่านยอม​ให้​พระเจ้า ​สร้าง​ความคิด​จิตใจ​ของ​ท่านขึ้น​มา​ใหม่ 24 คำสอน​นี้ยัง​บอก​อีกว่าให้​สวม​คนใหม่​นั้น ​ที่​พระเจ้า​สร้าง​ขึ้นมา ​เป็น​เหมือน​พระองค์ เพื่อ​จะได้​มี​ชีวิต​ที่​พระเจ้า​ชอบใจ เป็น​ชีวิต​ที่​บริสุทธิ์ ตาม​ความจริงที่​เรา​รับรู้  จากคำสอนนั้น”

            เห็นไหม? “คำสอนนั้น” ก็คือพระคำ … พระคำ ก็คือถ้อยคำ คำสอนในพระคัมภีร์ จะทำให้พระเจ้าชอบใจ  ก็คือเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า  เป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ ตามความจริง แสดงว่าความจริงเราเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว พอเราได้รับพระคำเหล่านั้น เราเลยสามารถประพฤติบริสุทธิ์ ตามความเป็นจริง ที่เราบริสุทธิ์อยู่แล้วนั้น ก็คือทำตามพระเจ้า ความประสงค์ของพระองค์ในวิญญาณของเรา ไม่ทำตามอย่างคนในยุคนี้  ตามระบบของโลก ไม่โลภ เหมือนคนในโลกนี้ ใครๆ ก็รู้ว่าระบบของโลกนี้มีแต่ความโลภ คือโลภในลาภ ยศ สรรเสริญ เกียรติยศ ชื่อเสียงอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่เราทำตามพระคำของพระองค์ คือเราไม่โลภ ไม่ประพฤติอย่างคนในโลกนี้ ที่ไม่รู้จักพระเจ้า คนไม่รู้จักพระเจ้าในโลกนี้ เขาพึ่งในความดีของตนเอง พึ่งในตนเอง เรียกง่ายๆ ว่าตัวกู ของกู เป็นใหญ่ เรียกว่าเป็นรูปเคารพอันเบ้อเริ่มเทิ่มเลย แต่พอมาเชื่อพระเจ้า มามีความต้องการเหมือนพระเจ้า ทุกอย่างอยู่ที่พระเจ้า พึ่งในพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของพระองค์ เพื่อพระองค์ แด่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว มันหมายถึงอย่างนี้ โคโลสี 3:10 …

        โคโลสี 3:10 “ท่าน​ได้​สวม​ใส่​คน​ใหม่ ​ที่​พระเจ้า​กำลัง​สร้าง​ขึ้น​มา​ใหม่​ ให้​เป็น​เหมือน​พระองค์​ พระผู้สร้าง ​มาก​ขึ้น​เรื่อยๆ​ จน​กว่า​ท่านจะ​รู้จัก​พระเจ้า​เต็มที่”

            “จนกว่าท่านจะรู้จักพระเจ้าเต็มที่” โดยการศึกษาพระคัมภีร์ ถ้อยคำพระเจ้า การใคร่ครวญถ้อยคำพระเจ้า  ที่เป็นความจริงของพระเจ้า  เป็นวิธีที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเราได้ เปลี่ยนแปลง โดยการใคร่ครวญ ศึกษาถ้อยคำของพระเจ้า (ถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นจริง) ถูกต้อง ไม่ใช่เข้าข้างตัวเอง  ไม่ใช่ถูกสอนเท็จมา และเมื่อเราปล่อยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในใจของเราอย่างนี้ นำทางของเราอย่างนี้  เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเรา คือเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในความคิดของเราก่อน ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความคิดของเรา แล้วความคิดของเราก็จะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความประพฤติของเรา ให้สะท้อนถึงพระลักษณะของพระคริสต์ ที่สถิตอยู่ภายในเรามากขึ้น พระสิริของพระคริสต์ ตัวตนของพระคริสต์ที่อยู่ในเรา ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ก็จะฉายแสงออกมามากขึ้น ดูใน 2 โครินธ์ 3:18 ได้บอกไว้อย่างนี้ …

        2 โครินธ์ 3:18 “พวกเราทุกคนที่ไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว ก็มองเห็นสง่าราศีขององค์เจ้าชีวิต เหมือนกับดูจากกระจก เรากำลังถูกเปลี่ยนให้เหมือนกับพระองค์ ทำให้เรามีสง่าราศี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดนี้ มาจากองค์เจ้าชีวิต ผู้เป็นพระวิญญาณ”

            “พวกเราที่ไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว” หมายถึงคริสเตียนที่ไม่มีบาปแล้ว ถ้ามีบาปอยู่ เราละอาย เราไม่กล้าอยู่ต่อหน้าพระเจ้า แต่นี่เราไม่มีแล้ว เราบริสุทธิ์แล้ว เราสะอาดแล้ว พร้อมแล้ว ที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า  เราดูพระเจ้า เหมือนกับดูจากกระจก หมายถึงพระสิริของพระเจ้าที่เราได้ร่วมรับกับพระองค์ เราดูเหมือนกับกระจก หมายถึงเป็นกระจกสะท้อน หมายถึงว่าเรามีชีวิตอยู่ สะท้อนถึงพระสิริ การทรงสถิตของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา ออกมา เป็นความประพฤติของเรา พูดง่ายๆ เราประพฤติเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นนั่นเอง พูดตรงๆ เหมือนสะท้อน เหมือนดวงจันทร์ … ดวงจันทร์ไม่มีแสงในตัวเอง แต่ดวงจันทร์สะท้อนพระสิริจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์อยู่เฉยๆ ดวงอาทิตย์ส่องมา ดวงจันทร์สว่างอย่างไร? เราก็อยู่เฉยๆ แต่เราประพฤติพระสิริออกมาจากการสะท้อนจากพระสิริของพระเจ้า ที่อยู่ภายในเรา ออกมาเป็นความประพฤติภายนอก

            เราย้อนไปข้อ 15 ตะกี้นี้ มาต่อสุดท้าย ในข้อ 15 ที่บอกว่า … “และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าเราจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระเจ้า จากพระองค์”

            อันนี้ชัดเจนเลยนะ พออธิบายก่อนหน้านี้ พอมาอ่านตรงนี้ ชัดเจนเลยว่าถ้าเรารู้ว่าคำอธิษฐานของเราสอดคล้องกับความต้องการของพระเจ้า อย่างที่ว่าตะกี้นี้ เราเป็นใคร? แล้วพระองค์ต้องการอะไร? เรารู้แล้ว เราอธิษฐานตามนั้นเลย ก็คือพระองค์ฟังเรา แน่นอนเป็นแผนการของพระองค์อย่างนั้นอยู่แล้ว พระองค์ต้องการอย่างนั้นอยู่แล้ว ก็ให้เรามั่นใจ วางใจได้เลยว่าพระเจ้าสามารถทำในสิ่งที่เราอธิษฐานได้ เกินกว่าความคิดและความเข้าใจ และความคาดหมายของเราด้วยซ้ำ

            เราฝากเรื่องไว้ที่พระองค์ แทนที่เราจะขอ ให้ได้ๆ  เราจบสุดท้ายว่า … “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ฝากไว้ที่พระองค์” โอเคดีกว่าแน่นอน เพราะเราเจริญเติบโตเพียงพอแล้ว เรารู้ว่าพระองค์ทรงรักเรามากขนาดไหน? เราจึงสามารถวางใจในพระเจ้าได้ ซึ่งการวางใจของเรานั้น ไม่ใช่การวางใจว่ามันจะต้องเป็นไปตามที่เราต้องการอย่างนั้น แต่เราวางใจในพระเจ้าแล้ว ทุกอย่างฝากไว้ที่พระองค์ อะไรก็ได้ รู้แล้วว่าพระองค์ทรงรัก รู้แล้วว่าพระองค์ทรงอยู่ รู้และเข้าใจแล้วว่าเราไม่มีทางคิดเหมือนพระองค์ สามารถเหมือนพระองค์ พระองค์มีแผนการอะไรบางอย่าง ที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่เราจะคิด แต่พระองค์ทรงทำได้

            ซึ่งการตอบคำอธิษฐานที่เราร้องทูลนั้น  มันอาจจะไม่ใช่เวลาที่เรากำหนดไว้ว่าเราต้องได้ภายในอาทิตย์นี้ ภายในเดือนนี้ ภายในปีนี้ มันอาจจะเป็นเวลาไหนก็ได้แล้วแต่พระองค์ อาจจะไม่ใช่วิธีการที่เราคิดไว้ว่าต้องเป็นวิธีนี้เท่านั้น อย่างนี้เท่านั้น ต้องเป็นธนาคารเขาจึงให้เราผ่อนส่งเท่านั้น บ้านตรงนี้ให้เราอยู่เท่านั้น พระองค์อาจจะมีวิธีอื่น เราต้องหายจากโรคนี้ พระองค์มีวิธีอื่น ด้วยวิธีใดเราไม่รู้ เกินกว่าที่เราจะเข้าใจ แต่ให้เราเชื่อมั่นว่าพระองค์จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีกว่าที่เราคิด หรือที่เราขอ ดังนั้น ฝากไว้ที่พระองค์ ดีกว่าแบกไว้เองเยอะเลย

            โรม 8:28 บอกไว้ว่าพระองค์ทรงสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ให้ทำงานร่วมกัน อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา พระองค์สามารถให้ทำงานร่วมกัน ให้เกิดเป็นผลดี สำหรับเรา อะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ที่พระองค์จะทำให้สามารถร่วมกันทำงานให้เป็นผลดีกับเรา อะไรที่เกิดขึ้น รวมทั้งอะไรที่เราไม่ชอบ  อะไรที่เรารู้สึกเป็นทุกข์  อะไรที่เรารู้สึกชอบ รู้สึกเป็นสุข ไม่ว่าดีหรือร้าย อะไรต่างๆ ทำให้รวมกัน เป็นดีก็แล้วกัน มันหมายถึงอย่างนั้น

            ดังนั้น ให้เรารับรู้ตัวตนทางวิญญาณที่แท้จริง เป็นเรื่องสำคัญ และรู้เป้าหมายในการดำเนินชีวิตของเรา ตามถ้อยคำพระเจ้าว่าเป้าหมายในการดำเนินชีวิตของเรา เส้นทางในการดำเนินชีวิตของเราในฐานะคริสเตียนในพระคริสต์ สุดท้าย ก็คือการได้รับร่างกายใหม่ หลังจากที่ร่างกายเดิมนี้ไปแล้ว วิญญาณของเราที่เป็นใหม่อยู่แล้ว ใจของเราที่เป็นใหม่อยู่แล้วนั้น  ขณะนี้นั้น ออกจากร่างเดิมนี้ไป สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเราจะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทั้งหมด อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์แบบเลย ทั้งวิญญาณใหม่ ใจใหม่ และร่างกายใหม่ และเราจะสามารถเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า และเข้าครอบครองโลกใหม่ ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นใหม่ เมื่อโลกนี้สูญสิ้นลงแล้ว ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์และธรรมิกชนตลอดชั่วนิจนิรันดร์

            นี่คือเป้าหมายชัดเจน และนี่คือน้ำพระทัยที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ดีที่สุด ที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับเราทุกคน เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงอนุญาตและกระทำในการตอบคำอธิษฐานของเรา คือสิ่งที่ดีที่สุด ที่จะนำเราไปถึงจุดหมายนี้ ตามแผนการของพระองค์ที่วางไว้ พระองค์กำลังพาเราไปที่นี่แหละ ฟีลิปปี 1:6 ก็เลยหนุนใจเรา ให้มั่นใจอย่างนี้ว่า …

        ฟีลิปปี 1:6 “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว จะกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์ จอมเจ้านายของเรา”

            ผมจะพูดเหมือนที่พระคัมภีร์ได้พูดไว้ว่า “ผมก็เชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงเริ่มต้นการงานดีในท่านแล้ว ให้ท่านเข้ามาเป็นคริสเตียน บังเกิดใหม่แล้ว ณ เดี๋ยวนี้ พระองค์จะกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ จนกว่าจะถึงวันของพระเยซูคริสต์จอมเจ้านาย จนกว่าจะถึงวันที่ท่านไปพบกับพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า และได้รับร่างกายใหม่นั้น พระองค์เป็นผู้พาท่านไปที่นั่นเอง  ท่านไม่ต้องไปด้วยตัวเองหรอก”

            สรุปในวันนี้ ก็คือ 1 เธสะโลนิกา 5:16-18 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 เธสะโลนิกา 5:16-18 “ให้เราชื่นชมยินดีอยู่เสมอ ให้เราอธิษฐานอยู่เสมอ ให้เราขอบพระคุณในทุกสถานการณ์ เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ในพระเยซูคริสต์”

            เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียนผู้เชื่อ! พระเจ้าได้ทำให้เรากำเนิดเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ไปจนถึงนิรันดร์

            เรากำเนิดเกิดใหม่เป็น ตรงนี้เป็นหัวใจ เป็นพื้นฐานของความรอด จากโทษของความบาปในพระเยซูคริสต์ ที่ต้องจำไว้แม่นๆ ว่าเราได้เป็นทั้งหมดเหล่านี้แล้ว คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เพราะเรากำเนิดเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้วในวิญญาณ

            ไม่มีใครสามารถให้กำเนิดด้วยตัวเองได้ ต้องมีผู้ที่ให้กำเนิดเรา แล้วผู้ที่ให้กำเนิดเราในโลกวิญญาณนั้น ก็คือพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่โดยความเชื่อวางใจในการประพฤติดีของตัวเราเอง ที่ทำให้เราเกิดใหม่ได้  เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

            และพระเจ้าได้กระทำสิ่งเหล่านี้สำเร็จแล้ว ตามพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งผลของการกระทำเหล่านี้  ที่พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน พร้อมแล้วที่จะให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มาใช้สิทธิของเขา  ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้

            คือรับของขวัญนี้ไป  โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์ในชีวิต เรียกว่า “ได้รับการบังเกิดใหม่” ทันที

            หลังจากการเปิดใจต้อนรับสิทธินี้ในพระเยซูคริสต์  เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูช่วยได้ ช่วยให้คนไม่ดีกลายเป็นคนดีได้ ช่วยให้คนบาปกลายเป็นคนดีพร้อม กลายเป็นผู้คนชอบธรรม สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้

            สิ่งเหล่านี้ ถ้าใครอยากได้ก็เปิดใจต้อนรับ พร้อมแล้วสำหรับท่าน พระเจ้าทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้วบนไม้กางเขน ท่านจะได้กำเนิดเกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เป็นลูกของพระเจ้าทันที

            สำหรับผู้ที่เปิดใจต้อนรับสิทธิไปแล้ว ได้เป็นคริสเตียนผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว ลองถามตัวท่านเองว่าท่านบังเกิดใหม่แล้วหรือยัง?

            ทุกคนก็ต้องมั่นใจว่าเราบังเกิดใหม่แล้ว เพราะว่าเราเชื่อในพระเยซู ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว อันนี้ไม่ยาก แต่ถ้าให้ท่านลองถามตัวเองดูสิว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเท่าไร? ในขณะนี้เลย

            ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ที่ท่านพูดว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เท่าไร?”

            ลองหาคำตอบดูนะครับ เมื่อลองถามตัวเองแล้ว  คราวนี้ลองมาถามพระเจ้าดีกว่า มาดูในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร?

            ในขณะที่เราได้เป็นคริสเตียนผู้เชื่อแล้ว กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมขนาดไหน?  เท่าเปาโลได้ไหม? หรือเท่าเปโตร? หรือบริสุทธิ์เท่าพาสเตอร์ที่เราชื่นชอบ? หรือบริสุทธิ์เท่าคนโน้นคนนี้ได้ไหม?  และตัวเราเองทำอะไรบ้าง? ที่เรียกว่าเราบริสุทธิ์เท่านั้นได้  เรามั่นใจขนาดไหน?

            อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ ข้อเดียวเท่านั้นเอง  ท่านจะตกใจเลย เป็นไปได้หรือ? เป็นไปแล้วสิ จริงๆ มันมีหลายข้อ ในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ ซึ่งเราอาจจะไม่ค่อยได้สังเกต แต่ข้อนี้ชัดเจนมาก

            1 ยอห์น 4:17 … “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา  (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​ ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเราขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่​เหมือน​กับ​วิญญาณ และจิตใจของ​พระคริสต์”

            เพราะฉะนั้น ในขณะที่เราได้เป็นคริสเตียนผู้เชื่อแล้ว กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมขนาดไหน?

            คำตอบจากข้อพระคัมภีร์ คือ …

            “เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์”

            พระเจ้าอวยพรครับ