วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1520

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  เมษายน  2025

เรื่อง “สำเร็จแล้ว พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว เราเป็นขึ้นด้วย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันเป็นขึ้นจากความตาย วันอีสเตอร์ คือวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย และเราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย นี่ถึงสุขสันต์ไง ถ้าบอกพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายเฉยๆ  เราก็ไม่ค่อยสุขสันต์เท่าไร? เราก็ยังอยู่ในบาปอยู่ แต่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย เคยได้ยินเพลงนี้ไหม? เราร้องกันเป็นประจำทุกปี วันอีสเตอร์ …

                        “เป็นขึ้นแล้ว  เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

                        เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์”

            วันนี้เราจะมาดูการเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนและหลังวันอีสเตอร์ ก่อนและหลังจากวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ย้อนเวลากลับไปยุคปฐมกาล เป็นหมื่นปีว่าได้  ตอนที่พระเจ้าสร้างโลก และสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ให้กำเนิดมนุษย์

            โถใบนี้ สื่อถึงโลกที่พระเจ้าทรงสร้าง ในสมัยโน้น ใหม่ๆ  เป็นโลกที่สวยงาม ทุกสิ่งดีหมด และในพระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่าพระองค์ทรงให้กำเนิดมนุษย์ ใคร 2 คนแรก? คนแรก คืออาดัม  คนที่สอง คือเอวา บรรพบุรุษของเรามวลมนุษยชาติ

            มนุษย์คู่แรก คือส้ม 2 ผลนี้ (เอาผลส้มใส่ลงไปในโถน้ำ) นี่เปรียบเทียบให้ดู พระเจ้าสร้างหรือให้กำเนิดอาดัมกับเอวา  และอาดัมกับเอวาถูกสร้างให้มีพระฉายเหมือนพระเจ้า  เพราะฉะนั้น  พระฉายเหมือนพระเจ้า จึงเป็นสีส้มสดใสนั้น มีสถานะเป็นลูกของพระเจ้า มีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่  ที่เราเห็น คือพระสิริของพระเจ้า ใส สีส้มนั้น ครอบครองโลกอันสวยงามนี้  คืออยู่เหนือโลก อยู่เหนือเห็นไหม?  ครอบครองโลกอันสดสวยที่พระเจ้าสร้างให้

            ต่อมาจากการล่อลวงของมาร  พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่ามนุษย์คู่แรกนี้ ได้ล้มลงในความบาป ดื้อต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟัง และสิ่งที่เกิดขึ้นทันที ที่อาดัมและเอวาล้มลงในความบาป เชื้อบาปก็เข้ามาในโลก โลกใบนี้ต้องตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง  อยู่ภายใต้อำนาจของความบาปและความตาย ไม่มีพระเจ้าอีกต่อไป โลกใบนี้ที่สดสวยนี้ โลกใบนี้ที่ใสแจ๋วนี้ ที่สวยงามนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทรงสร้างบนโลกใบนี้ ทั้งสัตว์เอย พืชพันธุ์อะไรต่างๆ ทั้งหมดนั้น รวมทั้งร่างกายของมนุษย์ทั้งหลาย ก็เลยกลายเป็นอย่างนี้ (เทกาแฟลงในโถ) เห็นหรือยัง? บาปเข้ามา ค่อยๆ ทำให้โลกเสียหายจนกระทั่งเต็มใบ โลกเสียหายไปแล้ว  ค่อยๆ ขึ้นมา เต็มไปหมดเลย

            มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ได้รับผล ก็คือมนุษย์ อาดัมและเอวาหลังจากทำบาป หลังจากเอาพระสิริของพระเจ้าออกไปแล้ว  ก็อยู่ในโลกนี้ (เอาส้มใส่เข้าไปในโถที่ใส่กาแฟ) แต่ทำไม? มันจมอยู่เห็นไหม? มันไม่ได้ลอยแล้ว  มันจมอยู่ในความบาป เห็นหรือยัง? ทันทีที่ล้มลงในความบาป อาดัมก็ถอดหรือหลุด จากพระสิริของพระเจ้า ที่ปกคลุมอยู่ พระสิรินั้น ก็หายไป สีส้มหายไป กลายเป็นมืดๆ อยู่ใต้ความบาปและความตาย สถานะลูกของพระเจ้า ก็กลายมาเป็นคนบาป เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เรียกว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า ถูกกลืนอยู่ในโลกแห่งความบาป ความสาปแช่ง ก็คือส้มที่ปลอกเปลือกออกหมดแล้ว  ก็คือชีวิตของมนุษย์ รวมทั้งร่างกาย วิญญาณ  พระสิริของพระเจ้าไม่อยู่แล้ว ก็คือไม่มีอะไรห่อหุ้มอยู่ ก็เลยจมอยู่ในความบาปและความตาย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปฐมกาลที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา แรกๆ อย่างดีงาม และมันก็ดำเนินอย่างนี้เรื่อยๆ มา เป็นอย่างนี้ อย่างที่เราเห็น ก่อนที่จะมีวันอีสเตอร์ พระเจ้าก็บอกล่วงหน้าแล้วว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เป็นอย่าง จะมาช่วยให้กลับคืนสู่สมบูรณ์ ตั้งแต่แรกเริ่มที่ทรงสร้าง ที่เราเห็นใสๆ สัญญาไว้กับมนุษย์อย่างนั้น

            มนุษย์ทุกคนเกิดมา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูมาบังเกิด ก่อนวันอีสเตอร์นั้น มนุษย์ทุกคน เกิดมาอยู่ในสภาพแบบนี้ เหมือนกันหมดทุกคน  เพราะว่าทุกคนอยู่ในอาดัม เป็นลูกหลานของอาดัม  เกิดมามีเชื้อของความบาป ติดตัวมา จมอยู่ในโลกแห่งความบาปทั้งหมด นี่บันทึกไว้ในหนังสือพระคัมภีร์ ผมจะอ่านให้ท่านฟัง ในหนังสือเอเฟซัส 2:1-3 ได้อธิบายเรื่องนี้ชัดเจนว่าก่อนที่เราจะเชื่อพระเยซูคริสต์นั้น ชีวิตเราเป็นอย่างไร? …

        เอเฟซัส 2:1-3  “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิด และในบาป  (ในอาดัม) ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิต ตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณ ที่บัดนี้ ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู)  ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษ สาปแช่งเหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำ”

            ในอาดัม ในบาป ในความมืด ในนรก คือไม่มีพระเยซู ไม่มีพระสิริของพระเจ้า จนกระทั่ง วันศุกร์ประเสริฐ และวันอีสเตอร์ 2,000 กว่าปีที่ผ่านมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระองค์มาไถ่มนุษย์ มาช่วยลบล้างบาปของมนุษย์ คำสาปแช่งของมนุษย์นั้นออกไปเรียบร้อยแล้ว  พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว และเราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย เอเฟซัส 2:4-6 ได้บันทึกต่อมาอย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 2:4-5 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ”

            โดยพระคุณ พระเจ้าจัดการให้เสร็จเรียบร้อย ย้ายท่านออกจากในอาดัม ย้ายท่านออกจากความมืดมิดในความบาปนี้ ย้ายท่านออกมาอยู่ในพระคริสต์ ข้อ 6 ได้บันทึกต่อมาว่า …

        เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

            ความหมายของคำว่า “เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์” คือเราได้รับการบังเกิดใหม่ ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม เหมือนวันแรกที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ๆ  ตอนเริ่มต้นที่ยังไม่บาปเลย  คือเป็นอย่างนี้ (เอาส้มที่ยังไม่ปลอกเปลือกใส่ลงไปในโถ) ตัวเก่าตายไปแล้ว  หมดไป  เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ (ส้มลอยอยู่เหนือผิวน้ำในโถ) อยู่เหนือโลก โลกยังดำอยู่ไหม? ยังดำอยู่ โลกยังถูกสาปแช่งอยู่ไหม? ยังถูกสาปแช่งอยู่ ยังดำอยู่ ยังสกปรกอยู่ แต่เราสะอาด ลอยตัว เพราะว่ามีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่ เอเมน เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า  ได้รับสถานะเป็นลูกของพระเจ้า กลับคืนสู่สภาพ จากคนบาป กลายเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า มีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหมือนเดิม ดีกว่าเดิมด้วย ไม่ใช่ปกคลุมเฉยๆ ของเก่า ปกคลุมอยู่เฉยๆ  แต่ข้างใน ยังไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ แต่นี่ปกคลุมอยู่ และแถมพระเจ้ามาสถิตอยู่ภายในนี้ด้วย เอเมน ดีกว่าเดิมอีก แต่ว่าร่างกายก็ยังคงอยู่ในโลกใบเดิม ที่เราเห็นนี้ โลกใบเดิมที่เสียหายไปแล้ว โลกใบเดิมที่สกปรกอยู่แล้ว ก็สกปรกเหมือนเดิม

            แต่แม้เราอยู่ในโลกนี้ก็จริง เสียหายไปแล้วก็จริง แต่เราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้อีกต่อไปแล้ว เราไม่ได้ถูกกลืนกินอยู่ใต้ความสาปแช่ง ใต้ความบาป ความตายนี้อีกต่อไปแล้ว  เราหลุดพ้นแล้ว แต่ยังอยู่ในโลกนี้ เราลอยอยู่เหนือคำสาปแช่งนี้ ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ เขาก็ยังอยู่ที่เดิม อยู่ที่ข้างใต้นี้ เพราะว่าในกาลาเทีย 3:27 ได้บันทึกว่า …

        กาลาเทีย 3:27 “เพราะว่าท่านทั้งหลาย (หมายถึงคริสเตียนทั้งหลายที่เชื่อ) ที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ได้รับบัพติศมา (เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน ในทางวิญญาณ) ในพระคริสต์แล้ว ก็ได้สวมพระสิริของพระคริสต์”

            ใครที่เชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ได้รับบัพติศมา แปลเป็นไทย  แปลว่าเข้าส่วนร่วม คือถ้าเป็นภาษาชาวบ้าน เขาเรียกว่าขอเอี่ยวด้วยคน เราได้ยินข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ เราบอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง ทั้งหมดทุกคน รวมทั้งตัวเราด้วย  เราเชื่อ เราก็เลยบอกว่า …

            “พระเจ้า ลูกขอเอี่ยวด้วยคน”

            ก็คือร่วมด้วย พระเยซูได้เป็นอะไร? เราก็ขอเป็นด้วย พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว เราก็ขอเป็นด้วย พระองค์ทรงนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า เราก็ขอนั่งด้วย พระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า เราก็ขอเป็นบุตรด้วย เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา

            ซึ่งข้อความตะกี้ หมายความว่าเราได้รับการสวมใส่ ด้วยความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เรียบร้อยแล้ว เหมือนพระองค์เลย พระองค์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น และก็จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป เหมือนที่ตะกี้เราร้องกันว่า …

                        “เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

                        เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์”

            “พระเยซูเป็นเช่นไร? ฉันก็เป็นอย่างนั้นด้วย”

            ดังนั้น เราจึงไม่ต้องพยายามแสวงหาความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความดีพร้อมเพิ่มขึ้นอีก หลังจากเชื่อพระเยซูแล้ว ไม่ต้องแสวงหาความชอบธรม ความบริสุทธิ์ ความดีพร้อมด้วยการกระทำของเราเองอีกต่อไป แต่เราสามารถเชื่อและวางใจในความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมที่พระเยซูคริสต์ได้มอบให้กับเราอย่างสมบูรณ์แล้วตลอดไป เป็นนิจนิรันดร์ เอเมน

            นี่คือการที่เรามาฉลองวันอีสเตอร์ วันเป็นขึ้นจากความตาย ก็เพราะอย่างนี้แหละ และต้องประกาศให้มนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ รับทราบว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อมนุษย์ทุกคน โคโลสี 3:3 ได้บันทึกว่า …

        โคโลสี 3:3  “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า”

            นี่คือข้อความที่พูดถึงผู้เชื่อ คนที่เป็นคริสเตียน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ขณะนี้ ที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในส้มที่มีเปลือกนี้ อยู่ในโลกแห่งคำสาปแช่งนี้ พระคัมภีร์ตอนนี้ได้บอกว่าตัวตนที่เป็นบาป ตัวตนเก่าที่เป็นคนบาป เป็นคนที่ถูกสาปแช่งนั้น ที่จมอยู่ข้างใต้นั้น มันสูญไปแล้ว มันตายไปแล้ว แต่บัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในนี้ อยู่ในตัวตนของเรา อยู่ในนี้ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์

            ชีวิตคริสเตียนบนโลกใบนี้ คือการดำเนินชีวิต ด้วยชีวิตใหม่ ที่ได้รับจากการเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นชีวิตของเรา และเรามีชีวิตอยู่ในพระองค์อย่างนี้ ตามที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย ทำให้เรามีชีวิตนิรันดร์ และชีวิตนี้ ไม่ใช่เฉพาะแค่เรารู้จักว่ายืนยาวนิรันดร์  แต่เป็นชีวิตที่มีลักษณะ หรือพระลักษณะของพระคริสต์ ของพระเจ้าเอง อยู่ในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวตนใหม่แท้จริงของเรา ที่จะอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกต่อไปเลย เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา

            เพราะฉะนั้น พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา จึงเป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริของพระเจ้า รอวันที่หมดภาระของเรา  เราก็ไปอยู่ในสวรรค์ และก็เปลี่ยนร่างกายใหม่ของเราเท่านั้นเอง นอกนั้นเหมือนเดิม อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม

            นี่คือความหวังของคริสเตียน ความหวังแห่งพระสิริของพระเจ้า คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา  และเราอยู่ในพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ตราบนี้ ชั่วนิรันดร์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            พระองค์สถิตอยู่ภายในเรา ใกล้ชิดกับเรา  พระองค์มีพระนามว่าอิมมานูเอล  พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา อยู่ในเรา ใกล้ชิดที่สุดกับเรา  คือพระเยซูคริสต์ อิมมานูเอล เอเมน

            พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ท่านเป็นทาสของบาป  ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ชีวิต เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า นี่คือความจริงของกฎในโลกวิญญาณ

            โรม 6:16 … “ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด  ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ชีวิต เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าก็ตาม”

            • นมัสการ แปลว่าบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนน อย่างไม่มีเงื่อนไข เหมือนดั่งทาส

            • อาดัม เอาเชื้อบาป คือการพึ่งพาในตนเอง  ทำตนเองเป็นรูปเคารพ บูชานมัสการตนเอง คือเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง เชื่อฟังตนเองเหมือนดั่งทาส

            • ยกตนเองเป็นใหญ่ คือยอมจำนน  ก้มกราบ  เชื่อฟังในตัวเอง คิด และกระทำตามใจปรารถนาของตนเอง  ซึ่งไม่มีทางที่จะทำดี สมบูรณ์ครบถ้วน ดีพร้อมได้เพราะตายจากความดีงาม คือพระสิริของพระเจ้า  จึงไม่มีกำลังที่จะทำดี ให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมได้

            • เพราะพระเจ้านั้นดี  เป็นความรัก  เป็นความบริสุทธิ์  เป็นความชอบธรรม  เป็นความสว่าง  เมื่อไม่มีพระเจ้า  ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้าในวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า ก็มีลักษณะของความตรงกันข้าม  เกิดขึ้นแทนในวิญญาณ คือความชั่ว ความเกลียดชัง มลทิน  ความอธรรม  ความมืด

            ซึ่งไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเลย  ตั้งแต่เริ่มต้นแผนการ ที่สร้างมนุษย์เป็นลูกของพระองค์  จึงเรียกการกระทำนี้ว่า “บาป”  แปลว่าผิดเป้าหมาย

            พระเจ้าต้องการให้มนุษย์พึ่งพา วางใจในพระองค์ แต่มนุษย์อาดัมถูกล่อลวงให้พึ่งตนเอง

            อาดัมทำบาป ไม่เชื่อฟัง ฝืนคำสั่ง กินผลไม้ต้องห้าม

            อาดัมนำเอาพลังอำนาจของความบาปและความตาย และคำสาปแช่ง (คือสิ่งดีดี สิ่งดีงาม ที่เรียกว่าพรของพระเจ้าสูญสิ้นไป) เข้ามาปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ครอบครองอยู่ในวิญญาณ จิตใจ ร่างกายของมนุษย์

            ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง  รวมทั้งร่างกายมนุษย์ต้องตาย สูญสิ้น ตกอยู่ใต้พลังอำนาจของความบาปและความตายนี้ เหมือนทาส  พิสูจน์ได้แม้มองไม่เห็น แต่สามารถส่งอิทธิพล ผ่านทางความคิดเข้ามาในเรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามบนโลกนี้

            ตราบใดที่เรายังมีร่างกายที่เป็นส่วนหนึ่งของโลก สามารถรับสื่อ อิทธิพล คลื่นกระแสความคิดนี้  มันสามารถเกิดขึ้นได้จากภายในตัวของเราเอง และจากภายนอก มันสามารถผ่านทะลุกำแพงไม่ว่าจะหนาเท่าใดก็ตาม ไม่ว่าจะปิดหูปิดตาก็ตาม

            เราสามารถรับ คิดตามกระแสนี้ได้ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่า เนื้อหนัง กระแส ระบบของโลกนี้ คืออิทธิพล พลังอำนาจของความบาปและความตาย ซึ่งเป็นศัตรูอยู่ตรงกันข้ามต่อต้านพระเจ้า ซึ่งเป็นความดีงาม ความบริสุทธิ์ ความรักเป็นพระเจ้าตัวจริง

            • ผล  คือลูกหลานเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ที่ตามมา   ตกอยู่ใต้พลังอำนาจแห่งความบาปและความตายนี้ คือเป็นทาส เชื่อฟังความคิดของตนเอง  เห็นแก่ตัว เย่อหยิ่ง จองหอง บูชา นมัสการตนเอง  ซึ่งเปรียบเสมือน  รูปเคารพที่อยู่ในใจ และเป็นผลออกมาทางภายนอก   คือสร้างรูปปั้น จากสัตว์  จากอะไรต่างๆ ที่ทรงสร้างมา เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงรูปเคารพที่อยู่ในใจ  ต้องการให้รูปเคารพนั้น ทำตามความปรารถนา  ที่เป็นของตัวเอง  อยู่ในใจของตน

            ความจริง  คือในโลกวิญญาณ  มีสองเจ้านายเท่านั้น  คือบาป  หรือความชอบธรรม

            • ตัวเองเป็นใหญ่หรือพระเจ้าเป็นใหญ่  ความตายหรือชีวิต

            พระเยซูตรัสว่า …  ท่านไม่สามารถเป็นข้าสองจ้าว บ่าวสองนายได้  ต้องตัดสินใจเลือก  ระหว่าง …

            ➢ ท่านจะเป็นทาสของบาป  ซึ่งนำไปสู่ความตาย

                                    หรือ …

            ➢ จะเป็นทาสของการเชื่อฟัง  ซึ่งนำไปสู่ชีวิต เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1519

คำบรรยายวันศุกร์ที่  18  เมษายน  2025

เรื่อง “วันศุกร์ประเสริฐ”

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาฟังพระคัมภีร์ยาวๆ เลย 2 บท ในหนังสือสดุดี บทที่ 22 และบทที่ 23

        สดุดี 22:1-31 “1 พระเจ้าของข้าพระองค์  พระเจ้าของข้าพระองค์  ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์? เหตุใดพระองค์จึงทรงห่างไกล ไม่มาช่วยกู้ข้าพระองค์? ทรงห่างไกล ไม่ฟังคำคร่ำครวญของข้าพระองค์? 2 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลตลอดวัน แต่พระองค์ไม่ทรงตอบ ยามค่ำคืนข้าพระองค์ก็ไม่หยุดวิงวอน 3 ถึงกระนั้นพระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์    เป็นองค์บริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นที่สรรเสริญของอิสราเอล 4 บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายวางใจในพระองค์     เขาเหล่านั้นวางใจในพระองค์ และพระองค์ทรงช่วยกู้พวกเขา 5 พวกเขาร้องทูลพระองค์และได้รับการช่วยกู้    พวกเขาวางใจในพระองค์และไม่ผิดหวัง

        6 แต่ข้าพระองค์เป็นตัวหนอน ไม่ใช่คน ผู้คนก็ประณาม ประชาชนก็ดูแคลน 7 คนทั้งปวงที่เห็นข้าพระองค์ก็เย้ยหยัน พวกเขาส่ายหน้าและพูดเหยียดหยามใส่ข้าพระองค์ว่า 8 “เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าช่วยเขาสิ  ในเมื่อพระองค์ปีติยินดีในตัวเขา ก็ให้พระองค์ช่วยกู้เขาสิ” 9 ถึงกระนั้นพระองค์ทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากครรภ์ พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ตั้งแต่อยู่ในอ้อมอกแม่ 10 ตั้งแต่เกิด   ข้าพระองค์ก็ถูกทิ้งให้พึ่งพิงพระองค์   ตั้งแต่ข้าพระองค์ยังอยู่ในครรภ์มารดา พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์

        11 ขออย่าทรงไกลห่างจากข้าพระองค์  เพราะความทุกข์ร้อนอยู่ใกล้ และไม่มีใครช่วยได้เลย 12 เหล่ากระทิงห้อมล้อมข้าพระองค์ ฝูงโคถึกแห่งบาชานรุมล้อมข้าพระองค์ 13 พวกเขาอ้าปากกว้างเข้าใส่ข้าพระองค์  ดั่งสิงโตคำรามและกัดฉีกเหยื่อ 14 พละกำลังของข้าพระองค์เหือดแห้งไปดั่งสายน้ำ กระดูกทุกซี่ของข้าพระองค์หลุดจากข้อต่อ ใจของข้าพระองค์อ่อนล้าดั่งขี้ผึ้ง หลอมละลายภายในข้าพระองค์ 15 กำลังของข้าพระองค์แห้งผากไปดั่งดินเผา  ลิ้นของข้าพระองค์เกาะติดเพดานปาก พระองค์ทรงปล่อยให้ข้าพระองค์นอนเกลือกธุลีแห่งความตาย

        16 เหล่าสุนัขรายล้อมข้าพระองค์  กลุ่มคนชั่วรุมล้อมข้าพระองค์ พวกเขาทิ่มแทงมือและเท้าของข้าพระองค์ 17 ข้าพระองค์สามารถนับกระดูกทั้งหมดของข้าพระองค์   ผู้คนจ้องมองข้าพระองค์อย่างสะใจ 18 พวกเขาเอาเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์มาแบ่งกัน     และเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาจับสลาก 19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนพระองค์ ขออย่าทรงห่างไกล ข้าแต่องค์ผู้ทรงเป็นพละกำลังของข้าพระองค์ โปรดรีบรุดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ 20 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากคมดาบ ขอทรงช่วยชีวิตอันมีค่าของข้าพระองค์ให้พ้นจากอำนาจของเหล่าสุนัข

        21 ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากปากสิงห์   ขอทรงช่วยให้รอดพ้นจากเขาของวัวป่า 22 ข้าพระองค์จะประกาศพระนามของพระองค์   แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ จะสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุม 23 ท่านทั้งหลายที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระองค์! ท่านทั้งปวงผู้เป็นวงศ์วานของยาโคบ จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์! จงยำเกรงพระองค์เถิด ท่านทั้งปวงผู้เป็นวงศ์วานของอิสราเอล! 24 เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงดูแคลน  หรือรังเกียจเดียดฉันท์ ความทุกข์ทรมานของผู้ตกทุกข์ได้ยาก พระองค์ไม่ได้ทรงซ่อนพระพักตร์จากเขา แต่ทรงสดับฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขา 25 เนื่องด้วยพระองค์   ข้าพระองค์ร้องสรรเสริญในที่ชุมนุมใหญ่ ข้าพระองค์จะทำตามคำปฏิญาณของข้าพระองค์ ให้สำเร็จต่อหน้าบรรดาผู้ยำเกรงพระองค์

        26 คนยากไร้จะรับประทานและอิ่มหนำ  บรรดาผู้เสาะหาองค์พระผู้เป็นเจ้า จะสรรเสริญพระองค์ ขอให้จิตใจของท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ตลอดกาล! 27 ทั่วทุกมุมโลกจะระลึกได้ และหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกครอบครัวของชาติต่างๆ จะหมอบกราบต่อหน้าพระองค์ 28 เพราะอำนาจการปกครองเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า     และพระองค์ทรงปกครองเหนือมวลประชาชาติ 29 คนมั่งคั่งทุกคนในแผ่นดินโลกจะเลี้ยงฉลอง    และนมัสการพระองค์ ทุกคนที่ต้องกลับสู่ผงคลีดินจะคุกเข่าลง  ต่อหน้าพระองค์  คือผู้ที่ไม่สามารถรักษาชีวิตของตนไว้ได้ 30 บรรดาลูกหลานจะปรนนิบัติพระองค์  มนุษย์จะกล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าให้คนรุ่นต่อไปฟัง 31 พวกเขาจะประกาศความชอบธรรมของพระองค์   แก่ชนรุ่นหลังที่ยังไม่เกิดมา   เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนั้น”

            ในหนังสือสดุดี บทที่ 22 ทั้งบท เป็นคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าให้กษัตริย์ดาวิดเขียนไว้ พูดถึงสิ่งที่พระองค์จะกระทำในอนาคตข้างหน้า ที่จะส่งพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และมาสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเราทั้งหลาย บนไม้กางเขน คำอธิษฐานทั้งหมด เป็นการคร่ำครวญ ในพระคัมภีร์ไม่เขียนระบุชัดเจน ตอนที่พระเยซูคริสต์อยู่ที่สวนเกทเสมนี ที่ไปอธิษฐานกับพระเจ้าถึง 3 ครั้ง  อธิษฐานจนกระทั่งเหงื่อออกมาเป็นเลือด ไม่ได้ระบุว่าพระองค์อธิษฐานอะไร?  แต่เชื่อมั่นว่าพระเยซูคริสต์ต้องอธิษฐานตามบทนี้แน่ๆ คร่ำครวญกับพระเจ้า ถึงสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น คร่ำครวญที่พระองค์จะต้องแยกจากพระเจ้าชั่วขณะหนึ่ง ในขณะที่พระเยซูคริสต์กับพระบิดาตั้งแต่เริ่มต้นเลย ไม่เคยแยกจากกันทั้ง 3 พระภาค

            แต่ว่า ณ วันนี้ วันศุกร์ประเสริฐ วันที่พระเยซูคริสต์จะต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  จะต้องรับเอาความบาป  ความผิดของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ มาไว้ที่พระกายของพระองค์ เป็นการคร่ำครวญที่รู้ว่าต่อแต่นี้ไป ตอนที่พระองค์อธิษฐาน ในค่ำคืนนั้น หลังจากที่อธิษฐานเสร็จ พระองค์จะถูกจับ ในวันรุ่งขึ้น จะต้องถูกตรึงที่ไม้กางเขน จนสิ้นพระชนม์ จนพระเยซูคริสต์ยอมละ สละวิญญาณของพระองค์เอง

            ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าและเป็นทั้งมนุษย์ พระเจ้าไม่สามารถตายได้ ถ้าพระองค์ไม่ยอม ฉะนั้น พระเยซูยอมที่จะสละชีวิต หรือวิญญาณของพระองค์เอง ละวิญญาณ ตายเพื่อพวกเราทั้งหลาย บนไม้กางเขน  แต่ช่วงเวลาที่พระองค์อธิษฐาน ณ เวลานั้น พระองค์ยังเป็นมนุษย์อยู่ พระองค์มีความกลัว กลัวมากๆ ด้วย ไม่ได้กลัวเฉยๆ แต่กลัวมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นมนุษย์  เราไม่รู้ว่าอีก 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมงข้างหน้าจะเกิดอะไรกับเรา เราก็จะกลัวไม่มากเท่าไร? แต่พระเยซูคริสต์รับรู้ว่าจากที่พระองค์อธิษฐาน หลังจากนั้น พระองค์จะต้องไปเจออะไร?  จะต้องถูกโบยตี ถูกเฆี่ยนตี ถูกสวมมงกุฎหนาม ถูกเยาะเย้ย ถูกถากถาง ถูกถ่มน้ำลาย ถูกสารพัดสิ่ง  จนถูกตรึงบนไม้กางเขน และสิ่งที่หนักหนาสาหัสที่สุด สำหรับพระเยซูคริสต์ คือจะต้องถูกแยกจากพระเจ้า พระบิดาเป็นการชั่วคราว นั่นเป็นความทุกข์ที่ใหญ่ที่สุดของพระเยซูคริสต์ แต่พระองค์ตัดสินใจ เมื่ออธิษฐาน 3 ครั้ง พระเจ้าเงียบ หมายความว่างานนี้ อย่างไรพระเยซูก็ต้องเดินไป  เพื่อมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เพื่อพวกเราทั้งหลายจะได้สามารถเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าได้  สามารถเข้ามาบังเกิดใหม่ได้

            พระเยซูคริสต์อธิษฐานจนในที่สุด สิ่งที่พระเยซูคริสต์ตัดสินใจ คือพระองค์บอกว่าขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ แม้ว่า ณ เวลานั้น พระเยซูคริสต์อาจจะคิดว่าไม่ไปได้ไหม? มันทุกข์ทรมาน รู้อยู่แก่ใจว่าเดินไปต้องเจออะไร?  แต่ว่าพระองค์เก็เลือกที่จะตัดสินใจทำตามน้ำพระทัยของพระองค์

            และเมื่อพระองค์เลือกที่จะตัดสินใจปุ๊บ ทันทีที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ก่อนที่พระองค์จะละวิญญาณ พระองค์ตะโกนดังๆ ว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือคืนวันศุกร์ประเสริฐ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระองค์ทำอย่างนั้น แล้ววันนี้เราก็มาระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์เสียสละ เพื่อมนุษยชาติ พระองค์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

            ความสำเร็จของพระเยซูคริสต์ได้ทำให้พวกเราทุกคนสามารถที่จะบังเกิดใหม่ สามารถที่จะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าได้ สามารถรับชีวิตนิรันดร์ ชนิดแบบเป็นของพระเยซูคริสต์ แบบเหมือนพระเจ้าเลย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ได้

            การที่พวกเราได้เข้ามา ไม่ได้โศกเศร้าเสียใจ แต่เข้ามาชื่นชมยินดี ขอบพระคุณพระองค์ ที่พระเจ้าได้ทำสิ่งนี้ เพื่อพวกเราทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น ทุกครั้ง ทุกปี ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว จนถึงยุคปัจจุบัน จนถึงอนาคตข้างหน้า ผู้เชื่อทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่คริสตจักรใดก็ตาม เมื่อถึงวันศุกร์ประเสริฐ ทุกคนจะมารวมตัวกันระลึกถึงความรักของพระเจ้า เข้ามาขอบพระคุณพระองค์ สำหรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วบนไม้กางเขน

            ในบทที่ 22 ที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ผลที่พวกเราทั้งหลายได้รับ มาอยู่ที่สดุดี บทที่ 23  ที่เราชอบอ่านมากเลย พระเจ้าทรงเลี้ยงข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ เรามาดูบทที่ 23 ข้อที่ 1 บอกว่า …

        สดุดี 23:1 “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดั่งเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน”

            คำว่า “ขัดสน” ของพระเจ้า ตรงนี้ สมัยก่อน เราก็คิดว่าไม่ขัดสนในเรื่องของชีวิตประจำวัน ก็คือเรื่องเงินทอง เรื่องสุขภาพร่างกาย  หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่เราอยากได้ มนุษย์ทั่วไป ส่วนใหญ่อยากได้ แต่ถ้อยคำตรงนี้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับร่างกายเราเลย พระเจ้ากำลังบอกเราถึงเรื่องโลกวิญญาณ ผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ทำให้มนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว

            ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อันดับแรกเลย เขาไม่ขัดสนในวิญญาณ วิญญาณของเขาจะไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะทำสำเร็จ มนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ เกิดมาเป็นคนบาปเลย ไม่ต้องทำอะไรก็บาปแล้ว รอวันตายอย่างเดียว รอวันที่พระเจ้าจะพิพากษา ทั้งอยู่บนโลกใบนี้และหลังความตาย วิญญาณออกจากร่าง ก็ยังต้องถูกพิพากษาอยู่ แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จบนไม้กางเขนแล้ว ผลที่เราได้รับ คือเราจะไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป หมายถึงคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วนะ วิญญาณของเราจะไม่ได้อยู่ในความมืดอีกต่อไป เราได้อยู่ในพระเจ้า พระเจ้าเป็นความสว่าง เราก็เป็นความสว่างด้วย วิญญาณของเราจะไม่ถูกสาปแช่งอีกต่อไป นี่คือความจริงที่พระวจนะของพระเจ้าพูดไว้

            พระเยซูคริสต์ได้รับเอาคำสาปแช่งของมนุษยชาติทั้งหมด ไปไว้ที่พระกายของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ในวันที่พระองค์ถูกเฆี่ยนตี ถูกโบยตี รับเอาบาปทั้งหมดของมนุษยชาติไปไว้ที่พระองค์เรียบร้อยไปแล้ว

            และผลอีกอันหนึ่งที่ชัดเจนมากเลย ก็คือวิญญาณของเราจะได้กลับคืนสู่พระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราไม่ต้องไปกังวลอะไรเลยทั้งหมดนี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพวกเราผู้เชื่อ ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้รับทั้งหมดนี้เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องพยายามไปดิ้นรนทำ เพื่อให้เกิดออกมาเป็นผลแบบนี้ แต่ผลนี้ เป็นผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เรียบร้อยไปแล้ว

        สดุดี 23:2 “พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนลงในทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามายังริมน้ำอันสงบ”

            ในพระคัมภีร์ยอห์น พระเจ้าเปรียบพวกเรา ผู้เชื่อทั้งหลายเป็นแกะของพระองค์ “แกะ” เป็นสัตว์ที่ไม่ชอบวุ่นวาย ชอบอยู่ในที่สงบ แล้วพระเจ้าก็บอกว่าพระองค์ได้นำพวกเราทั้งหลาย เป็นแกะของพระองค์ไปที่ริมน้ำแดนสงบ

            ในสมัยก่อน ตอนที่กษัตริย์ดาวิดเขียนคำเผยพระวจนะตรงนี้ คนอิสราเอลจะมีอาชีพเลี้ยงสัตว์ คนอิสราเอลนะ พวกเราจำได้ใช่ไหม? ตอนที่โยเชฟให้ครอบครัวเดินทางไปที่อียิปต์ โยเชฟไปบอกกับฟาโรห์ว่าพวกเขาชอบเลี้ยงแกะ แต่คนอียิปต์ไม่ชอบเลี้ยงสัตว์ ก็เลยแยกชิ้นส่วนไปเลย เอาที่ที่ดีที่สุด ที่มีหญ้าเขียวสดให้คนอิสราเอลไปเลี้ยงแกะ ฉะนั้น การที่มีหญ้าเขียวสดกับริมน้ำแดนสงบ  เป็นที่ที่แกะชอบที่สุด แล้วเป็นภาพที่พระเจ้าแสดงให้เราเห็นถึงภาพของสวรรค์

            สวรรค์ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้กับพวกเราทั้งหลาย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณของเราสงบ วิญญาณของเราไม่ต้องดิ้นรนอีกต่อไป ก่อนเรามาเชื่อพระเจ้า เราพยายามดิ้นรน  เพื่อที่เราจะได้รับความรอด มนุษย์ทุกคนแสวงหาการหลุดพ้นจากบาป เพราะรู้แล้วว่าตัวเองเป็นคนบาป แต่แสวงหาอย่างไรก็ไม่พบสักที ก็ยังคงต้องดิ้นรนต่อไป แต่เมื่อเรามาพบกับพระเยซูคริสต์ เราได้เจอริมน้ำแดนสงบ เจอทุ่งหญ้าที่เขียวสดแล้ว เราพอแล้ว เราหยุดตรงนี้ แกะจะไม่ยอมไปไหนแล้ว

            “ฉันจะนอนแช่นิ่งอยู่ตรงนี้แหละ”

            นี่คือภาพของสวรรค์ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ให้กับพวกเราผู้เชื่อ ซึ่งสวรรค์ไม่ต้องรอเราตาย คอยไป พี่น้องไม่ต้องรอจนตาย แล้วค่อยคิดว่าเราจะได้ไปสวรรค์ แต่ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูคริสต์บอกกับเราว่าเราได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ณ สวรรคสถาน ก็คือวิญญาณของพวกเรา ณ เวลานี้ อยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว เราได้หายเหนื่อยและเป็นสุขเรียบร้อยไปแล้ว  นี่คือพระพรที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เป็นผลสำเร็จที่มาจากตอนที่พระเยซูคริสต์ยอมถูกตรึงบนไม้กางเขน ยอมสิ้นพระชนม์และถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันทีในชีวิตของพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย

        สดุดี 23:3 “พระองค์ทรงฟื้นฟูจิตวิญญาณของข้าพเจ้า    พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพื่อเห็นแก่พระนามของพระองค์”

            ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมทันที เกิดมา “เป็น” พระเจ้าทำให้วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเรา ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ และให้วิญญาณใหม่ ที่เป็นขึ้นมาใหม่ เป็นชนิดเดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์เลย ก็คือเป็นวิญญาณที่ชอบธรรม  เป็นผู้ชอบธรรมเลย เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม เกิดมาเป็นความรัก เกิดมาเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจ  สิ่งเหล่านี้มันบังเกิดขึ้น ทั้งหมด เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราจะได้รับ

            มาถึงข้อที่ 4 ไม่เกี่ยวกับวิญญาณแล้ว ตอนนี้เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ หลังจากที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว

        สดุดี 23:4 “แม้ข้าพระองค์เดิน  ผ่านหุบเขาเงาแห่งความตาย  ข้าพระองค์จะไม่หวาดกลัวความชั่วร้ายใดๆ เพราะพระองค์สถิตกับข้าพระองค์ พระองค์ทรงปกป้องและนำทางข้าพระองค์  ทำให้ข้าพระองค์สบายใจ”

            มีใครสามารถสบายใจท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากไหม? ไม่มี มีเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้น คือเผ่าพันธุ์ใหม่ ผู้เชื่อที่วางใจในพระองค์ ผู้เชื่อที่มั่นใจในการทรงสถิตของพระเจ้า มั่นใจ รับรู้ความจริงว่าพระเยซูทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์ไม่ทิ้งเราไปไหน ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอุปสรรคใดๆ ก็ตาม  พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา ฉะนั้น แม้เราจะเจอหุบเขา เงามัจจุราช ความตาย หรือความยากลำบาก เจอความเดือดร้อน เรื่องของสภาวะความเป็นอยู่ เรื่องของการงาน เรื่องของสุขภาพร่างกาย เราก็สามารถที่จะยืนหยัดและผ่านมันไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า และรับรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์ไม่ทอดทิ้งเรา แล้วพระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงนำเราไป ไม่ว่าจะนำด้วยเหตุผล ด้วยวิธีการใดก็ตาม เรารับรู้ว่าพระองค์ไม่ทิ้งเราแน่นอน

            นี่เป็นความมั่นใจของผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เราได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทำให้เราสามารถเกิดความสบายใจได้ในขณะที่เผชิญกับปัญหาความทุกข์ยาก

        สดุดี 23:5 “พระองค์ทรงจัดเตรียมอาหารสำหรับข้าพระองค์ ต่อหน้าศัตรูทั้งหลายของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน จอกของข้าพระองค์เปี่ยมล้นอยู่”

            ถ้อยคำของพระเจ้ากำลังเล็ง ให้เราเห็นถึงการดูแลของพระเจ้าว่าพระองค์จะดูแลทุกย่างก้าวของเรา จัดสำรับให้กับเราต่อหน้าต่อตาศัตรู ก็คือดูแลทุกข์สุขของเราอย่างไม่ลดละ หมายความว่าไม่ใช่พอเราเจอความทุกข์ปุ๊บ พระเจ้าที่อยู่ในเราทั้ง 3 พระภาคก็หนีชิ่งไปเลย ไม่มี พระองค์ยังคงอยู่ด้วยกับเรา ประคับประคองพาเราไปเรื่อยๆ ให้เราผ่านไปได้

            พี่น้องที่เดินกับพระเจ้า ยิ่งเราเดินกับพระเจ้านานมากเท่าไร? เรายิ่งจะเห็นพระคุณของพระเจ้า แล้วเราจะเห็นการช่วยเหลือของพระองค์ตลอดเวลาในชีวิตของเรา เรายอมรับเลยว่าชีวิตของผู้เชื่อไม่ได้เดินอยู่บนกลีบกุหลาบแน่นอน ไม่ใช่ เพราะพระเยซูคริสต์บอกว่าในโลกใบนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ท่านชื่นชมยินดี ชื่นชมยินดีได้อย่างไร? เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว ความทุกข์ยากบนโลกใบนี้ ไม่สามารถที่จะทำให้เราถอดใจได้  เพราะเรารับรู้ว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกสถิตอยู่ในเรา แล้วไม่ทิ้งเราแน่นอน

        สดุดี 23:6 “แน่ทีเดียว ความดีและความรักอันยั่งยืน จะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป”

            ข้อนี้ที่กษัตริย์ดาวิดเขียนไว้  เพื่อให้เราทั้งหลายมั่นใจในความรักมั่นคง ความดีงามของพระเจ้าที่มีอยู่เหนือชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ให้เรามั่นใจเลย ไม่ใช่มั่นใจตอนที่ลมหายใจเราออกจากร่างนะ ณ เวลานี้ที่ตัวเป็นๆ อยู่ เรารู้ว่าเราอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ แล้วเราจะอยู่แบบนี้ตลอดไปนิรันดร์กาล จนถึงวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง วิญญาณเราไปอยู่กับพระเจ้า เราก็ยังคงอยู่ที่เดิมแหละ ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดเขียนไว้ เป็นคำเผยพระวจนะ เป็นคำพยากรณ์ที่พูดถึงการช่วยกู้ของพระเจ้า การจัดเตรียมของพระเจ้า สำหรับมนุษยชาติ และสิ่งนี้ได้ทำสำเร็จเรียบร้อย  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

            เราจึงเข้ามาขอบพระคุณพระองค์ สำหรับความดีงามที่พระเจ้าได้ทำเพื่อมนุษยชาติ และพระองค์ก็ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว สิ่งที่เราจำเป็นจะต้องทำต่อไป คือรับรู้ความจริงของพระเจ้าเรื่อยๆ รับรู้มากขึ้นทุกวันๆ ว่าตอนนี้ พระเจ้าทำอะไรให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วบ้าง แล้วเราก็ชื่นชมยินดีรับผลสำเร็จเหล่านี้ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เป็นพรให้กับชีวิตของพวกเราเอง และเป็นพรให้กับผู้คนรอบข้างที่ได้เจอพวกเราว่าคริสเตียนสุดยอดมากเลย เราสามารถชื่นชมยินดีท่ามกลางปัญหาอุปสรรค เราสามารถยิ้มได้ ท่ามกลางน้ำตาเล็ด น้ำตาหยดติ่งๆ แต่เรายังสามารถยิ้มได้ เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าองค์นี้อยู่กับเรา จูงมือเราเดิน จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ที่พระเจ้าบอกว่าโลกนี้พอแล้ว เราทำงานสำเร็จแล้ว กลับบ้านได้ พักผ่อนได้ พระองค์ก็จะรับวิญญาณของเราไปอยู่กับพระองค์ ตอนนั้น เราไปอยู่กับพระเจ้าจริงๆ ได้เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า ได้เห็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ร่างกายใหม่ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกๆ คน อันนี้พระองค์ทำเรียบร้อยไปแล้ว

            แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับทุกครั้งที่เราเข้ามาระลึกถึงความรักของพระเยซูคริสต์ ระลึกถึง ไม่ว่าจะเป็นวันศุกร์ประเสริฐ ไม่ว่าจะเป็นวันอีสเตอร์ วันที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย หรือไม่ว่าจะเป็นวันคริสตมาส วันที่พระองค์มาบังเกิด หรือทุกอาทิตย์ที่เราเข้ามาหาพระเจ้าในคริสตจักรของพระองค์ เราก็จะขอบพระคุณพระองค์ สำหรับสิ่งดีงามเหล่านี้ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            บาป คือการบูชานมัสการ พึ่งพาตนเองในการกระทำดี ซึ่งไม่มีใครทำสมบูรณ์ได้ครบถ้วน แทนที่จะบูชานมัสการ พึ่งพาพระเจ้า ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้กระทำ ให้สมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว

            บาป คือการผิดเป้าหมายวัตถุประสงค์ที่พระเจ้าวางไว้ตั้งแต่ให้กำเนิดมนุษย์

            คือการบูชานมัสการพึ่งพาตนเองในการกระทำดี เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าที่บริสุทธิ์ แทนที่จะบูชานมัสการพึ่งพาพระเจ้า

            คือวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าที่บริสุทธิ์

            โคโลสี 2:13-14 “13 และท่านทั้งหลายซึ่งก่อนเชื่อนั้น  ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ  เพราะวิญญาณเป็นบาป  อยู่ในบาป  จึงทำบาป  คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า  และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน  ตอนนี้ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว  พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิตบังเกิดใหม่ในพระคริสต์  เช่นเดียวกันกับเรา  และได้ทรงให้อภัยในการละเมิดกฎทั้งหลายของพวกเรา 14 พระองค์ทรงยกเลิก  กฎแห่งการกระทำ  ตามธรรมบัญญัติ  ที่บันทึกไว้  ในหนังสือธรรมบัญญัติ  (หนังสือธรรมบัญญัติ  ที่พระเจ้าได้ประทาน  ให้กับชาวยิว  ผ่านทางโมเสส  และสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว  หนังสือธรรมบัญญัติ  บันทึกไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน)   ซึ่งมีระบุไว้ว่า  เราต้องทำตามทุกจุด  ทุกขีด  ทุกข้อในหนังสือบทบัญญัติ  อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน  ไม่มีการละเมิดเลยแม้จุดๆ เดียว”

            กฎแห่งการกระทำนี้  จึงเป็นศัตรูต่อต้านชีวิตเรา  คอยกล่าวโทษเราว่า  เราทำผิดกฎ  ละเมิดกฎ  คือทำบาป  ต้องได้รับโทษ  คือความพินาศในวิญญาณ  (เพราะมนุษย์เรา  ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์  บริบูรณ์ดีพร้อม  ตามบัญญัตินั้นได้  โดยไม่ละเมิดเลย  แม้แต่จุดเดียว)

            พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือธรรมบัญญัตินี้  ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน  (เพื่อว่า  การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  จะได้เป็นตัวแทนของเรา  มวลมนุษย์  ในการตายจากชีวิตเดิม  ร่วมกับพระองค์  จากชีวิตเดิม  ซึ่งเป็นหนี้บาป  ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม  กฎแห่งการกระทำ  ตามบทธรรมบัญญัตินี้)

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1518

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  13  เมษายน  2025

เรื่อง “คริสเตียน! เราไม่ได้เป็นแค่ผู้เชื่อแต่เป็นลูกของพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “คริสเตียน! เราไม่ได้เป็นแค่ผู้เชื่อ แต่เป็นลูกของพระเจ้า” นี่คือหัวข้อเรื่อง ในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยการแสวงหาคุณค่าของตนเอง แสวงหาการยอมรับจากสังคม จากผู้คนอื่นๆ แสวงหาความรักจากคนในสังคม แสวงหาสถานะในสังคม  ทุกคนเป็นอย่างนี้หมด แต่ไม่มีสถานะหรือฐานะใดที่ล้ำค่ากว่าการได้เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า สถานะในการเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่ามีค่าสูงสุด ล้ำค่าเลิศสุดกว่าสิ่งใดๆ บนโลกใบนี้ที่มนุษย์แสวงหากัน คริสเตียนไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่เราบอกว่าผู้เชื่อๆ แต่คริสเตียนได้รับสถานะใหม่ บันทึกไว้ว่าเป็นลูก เป็นทายาท เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอันศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ของพระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรคสถาน เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผู้เรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงครอบครองและควบคุมอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งหมด ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด พระองค์ทรงตรัสไว้เช่นนั้นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้นั้นแหละ และเรา เป็นหนึ่งในสมาชิกของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์

            คริสเตียนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ ที่เรียกว่ายิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว  เราเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวนี้หรือ! มันเป็นความจริง เพราะถ้อยคำพระเจ้าได้พูดไว้อย่างนั้นเยอะแยะมากมายเลยว่าเราเป็นอย่างนั้น ซึ่งเป็นความจริง ที่เขาเรียกว่าอัศจรรย์ล้ำลึกมากๆ เกินกว่ามนุษย์จะสามารถเข้าใจ สามารถคิดออกได้ว่า …

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้าหรือ? ฉันเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าหรือ? มันเป็นไปได้หรือ?”

            จึงต้องมีการย้ำความจริงนี้บ่อยๆ ในถ้อยคำพระเจ้าแห่งความจริงนี้ อยู่เรื่อยๆ ในตลอดชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้ย้ำถึงความจริงเหล่านี้ว่ามันใช่จริงๆ จากถ้อยคำพระเจ้าที่ได้บันทึกไว้

            และความจริง ก็จะทำให้เราเกิดพลัง เกิดกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน ที่เต็มไปด้วยความหวัง เป็นความหวังที่ไม่ได้เป็นความหวังแบบโลกใบนี้ แต่เป็นความหวังแบบคริสเตียน คือความหวังในสิ่งที่เราหวังไว้ในโลกวิญญาณ และเรารู้ว่ามันเป็นจริง ก็คือความหวังในสิ่งที่จับต้องมองไม่เห็น แต่เรารู้ ความหวังนี้ ทำให้เราสามารถจับต้องมองเห็นได้ในสิ่งที่มองไม่เห็น

            ความหวังในคริสเตียนนี้  เป็นความหวังที่เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธาที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเราผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ที่ทรงสถิตอยู่กับเรา ความหวังนี้ประกอบด้วยความเชื่อศรัทธานี้ จึงเป็นความหวังที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ คือความหวังที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ ในสิ่งที่มองไม่เห็น  ปกติความหวังในโลกนี้ คือความหวังที่จับต้องมองไม่เห็น เราหวังว่า … มันมองไม่เห็น แต่ความหวังในทางคริสเตียน ในทางวิญญาณนี้ มันจับต้องมองเห็นได้

            ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นลูกของพระเจ้า เรารู้เลยเราเป็นลูกพระเจ้า และเราเป็นแล้วจริงๆ เราหวังว่าเราเป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่ความหวังที่ลมๆ แล้งๆ  แต่เป็นความหวังที่ยืนยันอยู่ภายในวิญญาณเรา เราจับต้องมองเห็นได้ไหม? ไม่เห็น เรารู้สึกได้ไหม? ไม่รู้สึก เขาเรียกว่าจับต้องมองไม่เห็น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด ไม่ได้รับรู้เลย แต่ด้วยวิญญาณเรารับรู้ว่าเราได้เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ไม่เช่นนั้น เราคงไม่เรียกพระองค์ว่า “พระบิดา” “พ่อ” เราคงไม่อธิษฐานบ่อยๆ เราคงไม่เดือดร้อน แล้วอธิษฐานขอพระเจ้า

            “พระบิดาเจ้าข้า … พระบิดา … พ่อ … พระเจ้า พระบิดาช่วยลูกที”

            ทำไมเราทำอย่างนั้น เพราะเป็นความหวัง ที่จับต้องมองเห็นได้แล้วว่าเราเป็นลูก เราจึงอธิษฐาน เอเมนไหม? เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นพลัง เป็นอำนาจ เป็นฤทธิ์เดช ในตัวของผู้เชื่อ คริสเตียนที่จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ความสับสนวุ่นวายบนโลกใบนี้ ซึ่งมันมีอยู่แล้ว นี่แหละคือพลังภายในของคริสเตียน

            พระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งหมด ที่ยืนยันถึงสถานะตรงนี้ คือลูกของพระเจ้า ให้เราได้เห็น ให้เราได้อ่าน ให้เราที่จะสามารถพอเห็นลางๆ ได้ทางสายตา ทางความคิดของมนุษย์ เรื่องสถานะของเรา ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า และสิ่งสำคัญของถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงนี้ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์นี้ ที่ยืนยันว่าเป็นจริงนั้น เป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว คือได้บันทึกเอาไว้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้บันทึกไว้ว่ามันจะเกิดขึ้นในอนาคต  แต่บันทึกว่ามันเป็นขึ้นแล้ว มันได้เป็นแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว ทันที ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราได้เป็นตรงนี้แล้ว ไม่ได้หวังว่าจะได้เป็นในอนาคต

            “ได้เป็นแล้ว ได้เกิดขึ้นแล้ว เดี๋ยวนี้ ทันที ในโลกนี้”

            ไม่ใช่สิ่งที่หวังว่าจะได้เกิดขึ้นในอนาคต เชื่อ แล้วจะเกิดขึ้นในอนาคตว่าจะได้เป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่ เชื่อแล้ว ได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้เลย และเราที่เป็นคริสเตียนสามารถรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในเรา อยู่กับเรา ในวิญญาณของเรา ทำให้เรารู้ว่าถ้อยคำแห่งความจริงเหล่านี้ ที่บันทึกเอาไว้ ที่เราได้อ่าน มันเป็นความจริง ไม่ต้องพิสูจน์ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือเข้าใจไม่เข้าใจ แต่มันก็เป็นจริง จับไม่ได้ แต่มันก็เป็นจริง มองไม่เห็น แต่มันก็เป็นจริง นี่เขาเรียกว่าความเชื่อ พระเจ้าบอกว่าคริสเตียน ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น พระวิญญาณที่สถิตกับเราจะเป็นพยานยืนยันว่าเราได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเดี๋ยวนี้ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ อธิษฐานเมื่อไรก็ได้ พระเจ้าอยู่กับเราเสมอ และดูแลเรา เป็นลูกของพระองค์เสมอ ไม่ว่าเราจะรู้สึกเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่ามันเป็นจริงหรือไม่จริงก็ตาม ในขณะที่เราอธิษฐานอยู่ ไม่ว่าเราจะรู้สึกเช่นใดก็ตาม แต่ในวิญญาณของเราแฝงเอาไว้ซึ่งความเชื่อแน่นอน 100% เลย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ภายในวิญญาณของเรา และวิญญาณของเราก็รับรู้ความจริงเหล่านี้ เอเมน  นี่เขาเรียกว่าความเชื่อ

            เรามาดูส่วนหนึ่งในความจริง ในถ้อยคำพระเจ้านี้ ซึ่งมีเยอะแยะ ผมจะยกตัวอย่างมาสักประมาณหนึ่ง ความจริงของการเป็นลูกพระเจ้า เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์  เพื่อเราจะได้มาดูกัน และย้ำยืนยันให้เรารับรู้ในวันนี้ว่าวันครอบครัว วันพรุ่งนี้เป็นวันครอบครัวของไทย แต่เราทั้งหลายเชื่อในพระเจ้า เราระลึกถึงวันครอบครัวของพระเจ้าในสวรรค สถานที่เราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว           เราได้เป็นสมาชิกคนหนึ่ง เป็นลูกของพระองค์ใน

สวรรคสถาน ในครอบครัวของพระเจ้านี้แล้ว บันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนี้จริงๆ ให้ตา หู ความคิดของเรา ได้สัมผัสกับความจริงเหล่านี้ ผ่านทางถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ ให้มันฝังรากลึกลงไปในความคิดของเรา เพราะหลายครั้งอย่างที่บอก เราไปมองดูโลกใบนี้ สัมผัสกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เราอาจจะไขว้เขวไปก็ได้

            “เอ๊ะ ฉันเป็นลูกพระเจ้า ทำไมเกิดอะไรขึ้นกับฉัน อะไรต่างๆ เหล่านั้น”

            แต่ความจริงเป็นความจริง หนีไม่พ้น เราเป็นลูก ก็เป็นลูกจริงๆ

            1. เราได้รับสิทธิเป็นบุตรของพระเจ้า อันดับแรกเลย เราได้รับการยืนยันว่า เราได้รับสิทธิเป็นบุตรของพระเจ้า เราได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า เพราะมีบันทึกไว้อย่างนั้นว่าเราได้รับสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้า ยอห์น 1:12 …

        ยอห์น 1:12 “แต่บรรดาผู้ที่ได้ต้อนรับพระองค์ (พระเยซู) คือผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ได้ทรงให้สิทธิ์แก่เขาเหล่านั้น เป็นลูกของพระเจ้า”

            “แต่บรรดาผู้ที่ “ได้” ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทรงประทานแก่เขาเหล่านั้น เป็นลูกของพระองค์ พระองค์ “ได้” ทรงให้สิทธิ์แก่เขาเหล่านั้น  เป็นลูกของพระองค์ พอใครได้รับเชื่อปุ๊บ  เขาก็ได้ทันที ได้เป็นลูกทันที

            คำว่า “สิทธิ์” แสดงถึงสิ่งที่ถูกมอบให้ ไม่ใช่เราทำขึ้นเอง เพราะเราไม่สมควรที่จะได้รับ แต่เพราะพระเจ้ามอบให้ โดยพระคุณ เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซู เราก็ได้รับสถานะ ฐานะใหม่นี้ทันที คือเป็นลูกของพระเจ้า เปรียบเหมือนเด็กที่ถูกรับเลี้ยง  เด็กคนนี้อาจจะมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ทันทีที่ถูกรับเป็นบุตร เขาก็ได้รับนามสกุลใหม่ สิทธิ ความรัก จากครอบครัวใหม่นั้นทันที นี่ตามกฎหมายของมนุษย์

            ในทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน บันทึกไว้อย่างนี้ เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้รับสิทธิที่พระเยซูทำให้กับเรา ให้เราได้เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า มาดูข้อพระคัมภีร์ต่อไป ข้อที่ 2

            2. เราได้รับพระวิญญาณของพระเจ้าที่เป็นพยาน   ให้เรารับรู้อยู่ภายในว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า  พอเราใช้สิทธิของเรา เป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ พอเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงประทานให้เข้ามาสถิตอยู่กับเราทันที โรม 8:15-16 ความจริงที่บันทึกไว้ว่า …

        โรม 8:15-16 “เพราะท่านไม่ได้รับวิญญาณแห่งการเป็นทาสอีกต่อไป ให้ตกอยู่ในความกลัว   แต่ท่านได้รับวิญญาณแห่งการเป็นลูกบุญธรรม ซึ่งทำให้เราร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ ป่าป๊า)” พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณของเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า”

            แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ ไม่ใช่ท่านจะได้ แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เพียงทำให้เราเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีมนุษย์ผู้ใดในโลกใบนี้เลย ที่สามารถที่จะเชื่อพระเจ้าด้วยตัวของเขาเองได้ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร? จะท่องคาถาพระคัมภีร์อะไรก็ตาม ไม่มีทางสามารถเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ได้ นอกเสียจากว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จเข้าไปในวิญญาณของเขา ให้เขาได้บังเกิดใหม่ และประทานความเชื่อตรงนี้ให้กับเขา เขาจึงสามารถพูดออกจากปาก และเชื่อด้วยใจว่าพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้า และพระเจ้ามีอยู่จริง นั่นมันหมายถึงอย่างนี้

            พระวิญญาณได้ประทานความเชื่อตรงนี้ให้กับเราว่าเรารู้ว่ามีพระเจ้าอยู่ พระเยซูเป็นพระเจ้าเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรานั้น ยังเป็นพยานยืนยันให้กับเรา ในความเป็นลูกของพระเจ้า ให้เราเกิดความมั่นใจ มั่นใจสู้กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งมันสัมผัสแตะต้องได้ ซึ่งมันไม่เข้าใจ มันก็พยายามไม่เชื่อ มันก็จะตื้อว่าเป็นไปได้อย่างไร? จับ มองเห็นหรือ? เป็นไปได้อย่างไรล่ะ  แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในยืนยันตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องห่วงเลย เราไม่ต้องพยายามที่จะไปยืนยัน  พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ภายในวิญญาณของเรา

            หลายครั้งเราอาจมีความรู้สึกไม่เชื่อ อาบน้ำไป ตกลงมีพระเจ้าจริงไหมเนี้ย ไม่ต้องไปแคร์มัน ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปคิดอะไรต่างๆ พระเยซูมีจริงหรือเปล่าเนี้ย เดินตกท่อ เพิ่งจะอธิษฐานมาหยกๆ พระเยซูมีจริงไหม? มันก็จะส่งข้อมูลเหล่านี้มา ถ้ามีจริง ตกท่อได้อย่างไร? เพิ่งจะอธิษฐาน เพิ่งจะออกจากโบสถ์มา ไม่ต้องไปสนใจ สนใจในวิญญาณ ในถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ว่า …

            “ฉันเป็นของพระเจ้า พระองค์สถิตอยู่กับฉันตอนนี้แล้ว”

            ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้  เป็นโรคร้ายแรงอะไรต่างๆ เกิดขึ้น

            “มีพระเจ้าอยู่ พระเจ้าจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นกับเราอย่างนี้ได้อย่างไร?”

            “ฉันไม่รู้ ฉันไม่ใช้ความรู้สึก ไม่ได้มายืนยันว่าฉันแข็งแรง แล้วถึงจะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ฉันเป็นลูกพระเจ้า ไม่ใช่ฉันแข็งแรง ไม่ใช่ฉันร่ำรวย ฉันถึงจะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ไม่ใช่ แต่ที่ฉันรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าได้เขียนไว้ ฉันรู้ รู้จักว่ามันเป็นจริง รู้จากภายในวิญญาณของฉัน”

            มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ตรงนั้นแหละ แม้ว่ามันจะรู้สึกเสียงเล็กๆ เพราะในขณะนั้น สิ่งที่หูได้ยิน สิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ ความรู้สึก มันจะเจ็บปวด มันจะไม่อยากได้ มันจะต่อต้านก็ตาม แต่เสียงเล็กๆ นั้น ก็ยังบอกว่า …

            “ฉันมีความหวัง ฉันเป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงสถิตอยู่กับฉัน”

            เอเมนไหม? เอเมน นี่มันเป็นอย่างนี้แหละ

            คำว่า “อับบา” ร้องเรียกพระเจ้าว่า “พ่อ” อับบา คือภาษาฮีบรูของชาวยิว เขาเรียกพ่อที่สนิทๆ กันว่าปะป๊า เวลาเด็กๆ ตกใจ

            “โอ๊ย! พ่อช่วยด้วย ปะป๊าๆ”

            เป็นความสนิทสนมกัน ในฐานะเป็นลูก และผู้ใดที่นำพาเรา ให้เรามีสัมพันธ์กับพระเจ้า  เป็นลูกของพระเจ้าที่สนิทกับพระองค์อย่างนี้ ก็พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน จะเป็นผู้นำเรา บอกตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าพอเรามาเชื่อปุ๊บ ก็จะเริ่มต้นสอนเราแล้ว บอกเราแล้วว่าพระเจ้าเป็นพ่อเรานะ สนิทสนมกันมาก  เราจึงเริ่มต้นอธิษฐาน ถ้าเราอธิษฐานเมื่อไร นั่นแหละ คือพระวิญญาณเริ่มทำงานแล้วว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า แม้ว่าจะชัดหรือไม่ชัดก็ตาม เราเป็นเหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่ตกใจกลัวความมืด ตกใจกลัวสิ่งที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น แล้วเราก็โดดไปหาพ่อเรา แล้วก็ …

            “ปะป๊าช่วยด้วย”

            นั่นแหละ คือเราอธิษฐาน ไม่ว่าจะความรู้สึก รู้สึกไม่เชื่อหรือรู้สึกทุกข์ใจก็ตาม ถ้าเราอธิษฐาน เมื่อไร ก็คือเราเรียกปะป๊า พ่อจ๋า แด็ดดี้ช่วยด้วย ในวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น และคำนี้เป็นคำที่พูด ชี้ให้เห็นถึงลักษณะของการไว้วางใจในพ่อ เรียกพ่อว่าปะป๊า แด๊ดดี้ เป็นการไว้วางใจในพ่อ สนิทกับพ่อมากว่าพ่อรักเรา พ่อช่วยเราแน่นอน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในวิญญาณของเราจริงๆ ตามพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้นี้ ไม่ใช่ต้องพิสูจน์ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดต้องเข้าใจ ไม่ต้องเข้าใจ ไม่ต้องเห็น ไม่ต้องจับต้องสัมผัสได้ ไม่ต้องรู้สึกได้ แต่เชื่อตามถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้นี้ มาดูอย่างที่ 3

            3. ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า ดูถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า เอเฟซัส 2:19 …

        เอเฟซัส 2:19 “ดังนั้น ท่านทั้งหลายจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือคนต่างชาติอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองร่วมกับธรรมิกชน และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า”

            ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า หมายถึงเราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องคริสเตียนทั่วโลกเลย  เป็นพี่น้อง เป็นพลเมือง เป็นสมาชิก ประชากรของพระเจ้า ลูกๆ ของพระเจ้า ร่วมกับธรรมิกชน หมายถึงร่วมกับคริสเตียนอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งหมดเลย เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องคริสเตียนทั่วโลก ในครอบครัวเดียวกัน ในพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้บังเกิดใหม่นั้น ในพระเยซูคริสต์เราได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน พี่ใหญ่ของเรา หัวหน้าครอบครัวของเรา คือพระเยซูคริสต์ คริสเตียน ก็คือน้องๆ ของพระเยซูนั่นเอง พระองค์ทรงเรียกเราว่าน้องๆ มันจะเกิดขึ้นเมื่อเรายอมรับเชื่อ และใช้สิทธิของเรา ในข่าวดีของพระเยซู ที่พระองค์ได้ทรงประกาศว่าพระองค์ได้ไถ่บาปให้มนุษย์ทุกคนแล้ว รวมทั้งเราด้วย สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นทันที คือวิญญาณของเราได้รับการเปลี่ยน เมื่อเราเปิดใจ ซึ่งเรียกว่าบังเกิดใหม่ ได้รับการย้ายเข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัวพระเจ้าในฐานะลูกของพระเจ้าร่วมกับพระเยซู เป็นทายาทร่วมกับพระองค์ เข้าส่วนรับมรดกกับพระองค์

            ก่อนหน้าที่เราจะรับเชื่อ เราไม่ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า เราเป็นสมาชิกของโลกนี้ เราเป็นของโลก เราไม่ได้เป็นของพระเจ้า เราอยู่ในครอบครัวของโลก ซึ่งไม่มีพระเจ้า เราไม่ได้อยู่ในฐานะลูกพระเจ้า เราอยู่ในฐานะคนบาป เราไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่ได้เป็นทายาทร่วมกับพระองค์ เราอยู่ห่างจากพระองค์ แต่เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้บัพติศมาเรา เข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่ง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ในพระเยซูคริสต์เราจึงได้เป็นทายาท เป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับพระองค์ เป็นน้องๆ ร่วมกับพระองค์ เราเรียกกันว่าเราเข้าส่วนรับร่วมกับพระเยซู พระเยซูรับอะไร? เราขอแจมด้วย เข้าส่วนร่วม แปลว่าอย่างนี้ คือเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิ์เราเมื่อไร คือเราจะขอส่วนเข้าร่วมแล้ว เหมือนกับเมื่อเขากำลังกินข้าวอยู่ เราขอแจมด้วย ขอแชร์หน่อยได้ไหม? เขาบอกได้ เราตักเลย นั่นแหละ เรามีส่วนร่วม เพราะฉะนั้น เราได้มีส่วนร่วมรับสิ่งที่พระเยซูรับ พระเยซูรับอะไร? เรารับด้วย พระเยซูเป็นอะไร? เราเป็นด้วย พระเยซูนั่งอยู่ที่ไหน? เรานั่งอยู่ด้วย พระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า เรารู้อยู่แน่นอน เรามั่นใจเลย เราก็เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย  ดูฮีบรู 2:11-12 …

        ฮีบรู 2:11-12 “11 ทั้งพระเยซูผู้ชำระวิญญาณมนุษย์ทั้งหลาย ให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาป เพื่อถวายแด่พระเจ้ากับบรรดามนุษย์ทั้งหลายที่ได้ถูกชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป ผ่านทางการยอมรับ-เชื่อ ในข่าวดีของการไถ่บาปของพระเยซูนั้น (หมายถึงคริสเตียน) ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน เกิดจากพระบิดาเดียวกันกับพระเยซู ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ละอายที่จะเรียกเขาเหล่านั้น (คริสเตียน) ว่าพี่น้อง 12 พระเยซูพูดว่า “ข้าพระองค์จะประกาศ สำแดงพระนามพระองค์ (พระเจ้าพระบิดา)  แก่พี่น้องทั้งหลายของข้าพระองค์ (มนุษย์ทั้งหลายที่ยอมรับเชื่อ และใช้สิทธิของเขาที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้เขา ชำระวิญญาณของเขาให้บริสุทธิ์ สะอาด) และท่ามกลางที่ประชุมของพี่น้อง ผู้ยอมรับ-เชื่อ ข้าพระองค์จะร้องสรรเสริญพระองค์”

            ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน พระเยซูบอกว่าพระองค์มา เพื่อประกาศ เพื่อช่วยชำระวิญญาณของมนุษย์ทั้งหลาย ให้สะอาดหมดจด พ้นจากบาป เพื่อเขาจะได้มาอยู่ในครอบครัว เป็นหนึ่งเดียวกัน ในครอบครัวของพระบิดาเดียวกัน คือพระเจ้า นี่เป็นข่าวดี และใครที่ยอมรับข่าวดีนี้ ยอมเชื่อในข่าวดีนี้ ก็หมายถึงพวกคริสเตียนทั้งหลาย ก็คือเราที่นั่งอยู่ที่นี่  คือผู้ที่เชื่อในข่าวดีที่พระเยซูบอก  พอเชื่อปุ๊บ ก็ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน  เกิดจากพระบิดาเดียวกันกับพระเยซู พระเยซูเกิดเมื่อไร? งงเลยนะ เกิดในพระบิดาเดียวกัน  เกิดอย่างไร? ไหนบอกว่าพระเยซูเป็นอยู่ตั้งแต่ก่อนสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายแล้ว เป็นอยู่มาก่อนโน้น ตั้งแต่พระบิดา พระบุตร พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ก่อนที่จะมีอะไรทั้งปวง แล้วทำไมเรามาเกิดจากพระบิดาเดียวกันกับพระเยซูได้อย่างไร? ก็เพราะว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า จำได้ใช่ไหม? ข่าวดี ก็คือพระเยซูเป็นพระเจ้า ทรงยอม ให้พระบิดาใช้  เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่งลงมาเป็นมนุษย์ เสียสละสภาพพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์

            คำว่า “เสียสละสภาพพระเจ้า” คือไม่ได้เป็นพระเจ้าอีกต่อไปแล้ว เป็นมนุษย์ แม้ว่าจะมาจากพระเจ้าก็ตาม แต่อยู่ในสภาพมนุษย์ เพื่อจะได้ไปตายที่ไม้กางเขน  เพื่อชดใช้ความบาปแทนมนุษย์ทั้งปวง  และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3  เพื่อให้มนุษย์เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย วันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  คือในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าวันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายนั้น ภาษาเดิมที่ให้ชัดขึ้น คือวันที่ 3 นั้น พระองค์ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย บางทีบอกเป็นขึ้นจากความตาย บางทีก็บอกเป็นขึ้นเอง

            เป็นขึ้นจากความตาย คือในวันที่ 3 พระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ได้ทรงชุบหรือยกพระเยซูขึ้นจากตาย ด้วยพระวิญญาณนิรันดร์ของพระองค์ หรือของพระบิดา  ให้พระเยซูได้บังเกิดใหม่ มันหมายถึงอย่างนี้ และพระองค์ก็เท่ากับบังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า หรือเราเรียกกันว่าชีวิตนิรันดร์ก็ได้  ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าได้ถูกมอบให้กับพระเยซูในวันที่ 3 นั้น  โดยพระบิดาชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  และชีวิตนิรันดร์นี้ พระเยซูบอก พระองค์ก็แบ่งให้กับมนุษย์ทุกคน เมื่อ 2,000 ปีผ่านไปแล้ว สำหรับระยะเวลาของมนุษย์นะ ซึ่งในโลกวิญญาณไม่มีเวลา คือพระองค์ทรงแบ่งวิญญาณนิรันดร์ให้กับมนุษย์ทุกคน ใครที่เชื่อ ก็มารับเอาไป ใครที่ไม่เชื่อ เขาก็ได้ แต่เขาไม่มารับ สิทธิมันก็ค้างอยู่ตรงนั้น ตรงนี้มันจึงแปลว่าได้เป็นครอบครัวเดียวกัน เกิดจากบิดาเดียวกันกับพระเยซู เห็นภาพหรือยังว่าเรากับพระเยซู มีวิญญาณนิรันดร์เหมือนกัน บังเกิดลักษณะเดียวกันเลย  แต่เราไม่ใช่พระเจ้า  แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เราเป็นมนุษย์คนบาปที่ได้รับพระเมตตา รับเป็นบุตร แต่พระองค์เป็นบุตรอยู่แล้ว  เป็นพระเจ้า เราไม่ใช่พระเจ้า แต่เรามีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระเยซู ที่พระองค์ทรงประทานให้

            ฉะนั้น พระเยซูจึงไม่ละอายที่จะเรียกเขาเหล่านั้น  คือคริสเตียน เรียกเหล่านั้นว่าอะไร? ว่าพี่น้อง เพราะว่ามีพ่อเดียวกัน นี่เห็นไหม? เห็นภาพครอบครัวหรือยัง? เท่ากับวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เป็นวันที่ครอบครัวของพระเจ้า คือมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งพระเยซูที่สละสภาพพระเจ้า จากครอบครัวพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ มาอยู่เป็นคนบาปเหมือนกับเราทั้งหลาย บัดนี้ มนุษย์ที่เป็นคนบาปและพระเจ้าได้กลับคืนสมบูรณ์ กลับคืนดีกันแล้ว ครอบครัวได้กลับคืนดีกัน หลังจากที่ต้องแตกหัก แยกกันออกไป เป็นเวลานาน บัดนี้ ได้คืนสมบูรณ์แล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่านี่คือข่าวดี ที่พระเจ้าได้ทรงให้มนุษย์ กลับคืนดีกับพระองค์ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ข่าวดีที่เราประกาศออกไปทุกวันนี้ คือการประกาศข่าวดีว่าพระเจ้าทรงให้มนุษย์ได้กลับคืนดีกับพระองค์แล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ มนุษย์กลับมาเป็นสมาชิก เป็นลูกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว

            พระเยซูจึงเรียกพวกเราว่าพี่น้อง ซึ่งนั่นหมายถึงว่ามนุษย์ทุกคน ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา เขาก็ได้เป็นพี่น้อง ซึ่งว่ากันตามจริง เขามีสิทธิที่เป็นพี่น้องอยู่แล้ว เพียงแต่ยอมรับสิทธิ์ไหม? จะเอาไหม? แค่บอกเอาก็พอแล้ว ทุกอย่างทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว

            เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ฟังข่าวดีนี้อยู่ เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของพระเจ้า ที่กลับคืนดีกับพระเจ้า อยากถามว่าท่านยอมรับและเชื่อตรงนี้ไหม? เชื่อในข่าวดีว่าพระเยซูได้ไถ่บาป ให้กับท่าน ชำระวิญญาณให้กับท่าน บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปแล้วจริงๆ ท่านเชื่อไหม? ท่านยอมที่จะมาใช้สิทธิของท่านไหม? ถ้าท่านเชื่อและรับสิทธิ์ ท่านก็เหมือนกับเราที่นั่งที่นี่ ที่รับสิทธิ์แล้ว ท่านก็สบายใจ มั่นใจและรู้อยู่ในใจว่าอะไรเกิดขึ้นในวิญญาณของท่าน ท่านเป็นสมาชิกคนหนึ่ง  แต่ท่านไม่ใช้สิทธิของท่าน ไม่เปิดใจรับเชื่อในสิทธิของท่าน ที่พระเยซูทำให้ สิทธิของท่าน ก็วางอยู่ที่ไม้กางเขนตรงนั้น เหมือนเดิม ไม่ได้ใช้อะไรเลย ไม่มีใครใช้ได้ด้วย เพราะมันประทับชื่อท่านอยู่ มีคนเดียวที่ใช้ได้ตรงนั้น ก็คือชื่อของท่าน ช่วยใช้แทนก็ไม่ได้ เพราะชื่อของท่าน เป็นของท่าน ที่พระเยซูได้ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ได้แบ่งวิญญาณนิรันดร์ให้กับท่าน เป็นชื่อของท่าน เป็นสิทธิ์ของท่าน  ท่านต้องใช้ด้วยตัวท่านเอง

            และพระเจ้าพระบิดา ในพระคัมภีร์บอกรอคอยด้วยใจจดใจจ่อ ด้วยความห่วงใย ให้ท่านเปิดใจรับสิทธิของท่านเถิด วิงวอนตลอดเวลาเลย บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เป็นเรื่องราว เป็นอุปมาที่พระเยซูคริสต์ ให้เราเห็นภาพว่าพระเจ้าพระบิดาเป็นห่วงเป็นใยท่านขนาดไหน? ท่านผู้ที่ไม่ใช้สิทธิของท่านนะ ในอุปมานี้ บอกว่าท่านหลงหายไป แล้วพระบิดาทำอะไร? รอคอยด้วยใจจดใจจ่อ ไม่ได้อยู่ในบ้านด้วย อยู่หน้าบ้าน มองออกไปตลอดเวลา มองทุกวันๆ ตลอดเวลาว่าเมื่อไร ท่านจะกลับมาเสียที  พระองค์อภัยให้หมดเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้คิดอะไรกับท่านเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าท่านจะคิดว่าตัวเองบาป หรือไม่สมควร หรือเลวอย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ได้มองตรงนั้นเลย พระองค์บอกว่ามันจบไปแล้ว ที่พระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นตัวแทน พระองค์อภัยให้หมดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ท่านเข้ามารับสิทธิของท่านเท่านั้นเอง และเราก็จะได้มาแฮปปี้ในครอบครัวเดียวกัน ในครอบครัวใหม่นี้ พระองค์รักและห่วงใยท่าน

            4. เราได้รับความรักอย่างลึกซึ้งจากพระบิดา มากถึงขนาดทรงเรียกเราว่าลูก คิดดูสิว่ารักเราขนาดไหน? 1 ยอห์น 3:1-2 …

        1 ยอห์น 3:1-2 “1 จงมองให้เห็นเถิดพระบิดาทรงโปรดประทานความรัก แก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกเล็กๆ ของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลายก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ 2 ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ)   เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจว่าเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์จริงๆ อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”

            ท่านที่รัก ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกนี้ ในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ  แม้ว่าตาเราจะมองไม่เห็น แต่เรารู้อยู่ภายใน  และวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราจากโลกนี้ไป เราก็คือทิ้งร่างกายอันเปื่อยเน่าบนโลกใบนี้ไป เราจะได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราจะได้เห็นหน้าพระเจ้าอย่างแท้จริง  อย่างชัดๆ  อย่างเป็นตามความเป็นจริง และเห็นตัวเองเต็มด้วยสง่าราศีในร่างกายใหม่ เรารู้ได้อย่างไร? เรารู้ ถ้อยคำพระเจ้าได้บันทึกไว้อย่างนั้น และเรารับรู้ได้ด้วยพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า  ก็คือได้อยู่ในสวรรค์แล้ว ในขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ทันที ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ในขณะที่เจ็บป่วยอยู่ ในขณะที่ยากจนอยู่ ในขณะที่ประสบกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ธรรมดาเหมือนกับคนอื่นบนโลกใบนี้

            แต่ในทางโลกฝ่ายวิญญาณ และในความเป็นจริงนั้น เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราไม่ต้องรอคอยสวรรคสถาน  เราอยู่ในสวรรคสถานแล้ว และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป จนถึงนิรันดร์  และพระเจ้าทรงรักเรามากมาย มหาศาล  ไม่ใช่ เพราะว่าเราประพฤติดี ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนดี พยายามทำดี ไม่ใช่เลย  พระเจ้าทรงรักเรามหาศาล ก็เพราะว่าเราเป็นลูกของพระองค์อยู่แล้ว และพระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเรารับสิทธิของเราเท่านั้น เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนเท่ากันหมด เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นบาปอยู่แล้ว ทำบาปอยู่แล้ว ไม่มีใครช่วยตัวเองได้เลย แต่พระเยซูคริสต์มาเป็นความรักของพระเจ้า ที่ปรากฏเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือเรา แล้วเรารับสิทธิของเรา เราก็ได้เป็นลูกของพระองค์ ลูกที่บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ซึ่งเป็นการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เปลี่ยนแปลงภายในวิญญาณ เราไม่สามารถจับต้องมองเห็นได้  แต่มันเป็นจริง เมื่อเราเชื่อวางใจและต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือต้อนรับสิทธิของเรา ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            พอต้อนรับปุ๊บ อะไรเกิดขึ้น ก็คืออัศจรรย์นั่นเอง ต้องพูดว่าอัศจรรย์ ไม่ต้องพูดอย่างอื่นแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรถึงจะเข้าใจตรงนี้ได้ ไม่มีทางที่มนุษย์คนหนึ่งจะเข้าใจตรงนี้ได้ จนกว่าเขาจะได้รับการอัศจรรย์นี้ อัศจรรย์นี้เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ ตามถ้อยคำพระเจ้าที่ตะกี้นี้ได้บันทึกไว้ ทันทีบนโลกใบนี้ เราจะมีประสบการณ์ในการเป็นลูกของพระเจ้าทันทีบนโลกใบนี้ เริ่มต้นเดี๋ยวนี้ ทันทีบนโลกใบนี้  โดยพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในเรา นำพาชีวิตเรา ดำเนินไปกับเราบนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้จนถึงนิรันดร์ เราจะรู้เอง ไม่มีทางที่จะอธิบายยกตัวอย่างให้กับคนที่ไม่เชื่อฟัง เพราะว่ามันไม่สามารถที่จะสัมผัสแตะต้องได้ คิดได้แบบมนุษย์ แต่ต้องด้วยความเชื่อและประสบการณ์เท่านั้น คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            เราจะเห็นได้ว่าจากถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ พระเจ้าไม่ได้แค่ให้สถานะลูกกับเรา แต่ให้ความรักอย่างเต็มล้นกับเรา เราไม่ต้องพยายามทำให้พระเจ้ารัก เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อนแล้ว ตอนที่เราเป็นคนบาป ก็รักเราแล้ว เหมือนพ่อแม่มีความภูมิใจในลูก ลูกเล็กๆ ออกมาเป็นทารก ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ภูมิใจมากเลย นี่ลูกของฉัน ไปอวดใหญ่เลย นี่ลูกของฉัน ลูกของเรา พระเจ้าก็ภูมิใจเราอย่างนั้นแหละ ลูกของฉันเหมือนกัน นี่คือลูกของเรา  เรารักเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข

            เหมือนกัน เด็กทารกยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่เป็นคนดี ไม่เป็นอะไรสักอย่าง เรารักเขา นี่ลูกของเรา ไม่มีลูกของใครสวย หล่อเท่าลูกของเราอีกแล้ว อะไรๆ ก็ลูกของเรา ลูกของเรา พระเจ้าก็อย่างนั้นแหละ ลูกของเรา ไม่ว่าท่านจะมีความรู้สึกว่าท่านไม่พร้อม ท่านมีนิสัยไม่ดี เชื่อพระเจ้า ตรงนั้นก็ยังไม่ดี ยังอิจฉาริษยา คิดสกปรก คิดอย่างนั้นไม่ดี อย่างนี้ไม่ดี พระเจ้าไม่สนใจหรอก พระเจ้าสนใจอย่างเดียวว่าในพระเยซูคริสต์ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้ว นี่คือลูกของเรา

            ฉะนั้น ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ ที่วันนี้ นำมาดูกัน  แสดงให้เห็นถึงความรัก และการยอมรับ ที่พระเจ้ามีต่อเรา ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า  ในฐานะเป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อและความไว้วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น คิดดูสิ พระคุณขนาดไหน? ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น รับเราเป็นลูก อัศจรรย์แค่ไหน? แค่เชื่อในพระเยซู ก็ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ท่านลองคิดดู แค่นี้ เชื่อเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ประพฤติอะไรเลย โลกจะเข้าใจไหมเนี้ย ไม่มีทางเข้าใจ  แต่นี่มันเป็นอัศจรรย์ไง จะเข้าใจได้อย่างไร? มันต้องมีประสบการณ์ อัศจรรย์แค่ไหน แค่เชื่อในพระเยซู ก็ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า มีฐานะเป็นคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซู มีมรดกมากมาย พระเจ้าบอกภูมิใจในคนๆ นี้มาก แค่เชื่อ

            “พระเจ้าภาคภูมิใจในฉันมาก  พระเจ้าภูมิใจในเรามาก”

            พูดด้วยความภูมิใจนะ

            “ฉันไม่ได้เป็นแค่ผู้เชื่อ  แต่เป็นลูกของพระเจ้า”

            ยืนยันเวลาเราจะพูดคำนี้ ไม่ว่าเราจะประสบการท้าทายอย่างไรในชีวิต ในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าเขาจะบอกว่า …

            “แกไม่ดีเลย”

            ในสังคม เขาอาจจะบอก … “เธอฐานะอย่างนี้ ไม่ได้เรื่องเลย ทำอันนั้นก็ล้มเหลว ทำอันนี้ก็ล้มเหลว ทำไมทำอะไรก็เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่ดีสักที โชคร้ายตลอดเลย ทำไมเธอป่วยอย่างนี้” อะไรแบบนี้

            ยืนขึ้น ยืดอกในใจ แล้วก็บอกว่า … “ฉันไม่ใช่แค่คริสเตียน  แต่ฉันเป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงไว้ใจ และภูมิใจในฉัน”

            เอเมนไหม? เดินไปที่ไหน ก็คิดอย่างนี้ มีความภูมิใจอย่างนี้ มั่นใจอย่างนี้ นี่คือสถานะของฉัน ที่แท้จริง ไม่ใช่เดินอยู่บนโลกใบนี้ คนบอกสถานะอย่างเราไม่ไหวหรอกอย่างนี้ เราเป็นคนจน

            “ฉันรวยจะตาย เพราะฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันมีความหวังแน่นอน เพราะฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันสะอาดบริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นพี่น้องกับพระเยซูคริสต์ สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงทั้งสิ้นเลย ยืดอก ยกไหล่ ยื่นหน้า ยิ้มแย้ม ยินดี แล้วก็กล่าวว่า …

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันไม่ได้เป็นแค่คริสเตียนเท่านั้น ฉันเป็นลูกของพระเจ้า”

            คนชอบบอก  … “คริสเตียนทำไมเป็นอย่างนี้”

            บอก … “ฉันไม่แค่เป็นคริสเตียน ฉันเป็นลูกของพระเจ้า เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้ทันที ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ฉันก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะฉันเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”

            พระเจ้าอวยพรครับ

****************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! ตัวตนจริงๆ ในวิญญาณของเราเป็นความรัก โกรธ เกลียดใครไม่เป็นเลย … จริงๆ เราเป็นแสงสว่างไร้ความมืด … จริงๆ

            พระเจ้าทรงเป็นความรัก และเรา คริสเตียน ผู้เชื่อเป็นลูก ก็เป็นความรักเช่นเดียวกัน ความรักชนิดที่เป็นของพระเจ้านี้ มีคุณสมบัติลักษณะอย่างนี้ คือ …

            1 โครินธ์ 13:4-8ก …  “4 ความรักเป็นการอดทนนาน  และกระทำคุณให้  ความรักเป็นการไม่อิจฉา  ไม่อวดตัว  ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย  ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว  ไม่ฉุนเฉียว  ไม่ช่างจดจำความผิด 6 ไม่ชื่นชมยินดี  เมื่อมีการประพฤติผิด  แต่ชื่นชมยินดี  เมื่อประพฤติชอบ 7 ความรักเป็นการทนได้ทุกอย่าง  แม้ความผิดของคนอื่น  และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ  และมีความหวังอยู่เสมอ  และทนต่อทุกอย่าง 8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น”

            ทั้งหมดนี้เป็นธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณข้างในของเราเป็นความรัก ชนิดแบบของพระเจ้าเลย พระเจ้าทรงเป็นความรัก เราก็ได้เกิดเป็นความรักเลย ไม่ใช่พยายามทำตัวให้รักคนอื่น แต่ความจริงในโลกวิญญาณ คือตัวตนจริงๆ ในวิญญาณของเราเป็นความรักเลย โกรธ  เกลียดใครไม่เป็นเลย

            รับรู้ความจริงนี้มากเท่าไหร่ว่าเราเป็นความรัก ไม่ใช่มีความรัก ซึ่งถ้ามีความรักอาจสูญหาย พร่องไปได้ แต่เมื่อเป็นความรัก ตามธรรมชาติ โดยการเกิดมาเป็นความรัก ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะเกิดมาเป็น

            มีประสบการณ์กับความจริงนี้มากเท่าไหร่ เราก็จะสำแดงธรรมชาติใหม่ ที่เป็นความรักได้มากเท่านั้น เราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่รับรู้ความจริง ซึมซับ รับเอาความรักจากพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในวิญญาณของเรา  และฝึกฝนที่จะยอมมอบอวัยวะทุกส่วน ในร่างกายของเราให้พระเจ้าใช้  ก็คือปล่อยให้ความรักจากภายในวิญญาณ สำแดงออกมา เป็นการกระทำนั่นเอง

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1517

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  เมษายน  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 16

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5 เริ่มตั้งแต่ข้อที่ 1 …

        กาลาเทีย 5:1 “พระคริสต์ทรงปลดปล่อยเราเป็นไท เพื่อเสรีภาพ ฉะนั้น จงยืนหยัด อย่ายอมตกอยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาสอีก”

            อาจารย์เปาโลพูดในหนังสือกาลาเทีย เน้นย้ำถึงเรื่องการบังเกิดใหม่ที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว คือข่าวดีที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ฉะนั้น ผู้เชื่อในกาลาเทีย ซึ่งเป็นคนต่างชาติ และพวกคนยิวบางกลุ่ม เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดด้วย แต่ส่วนใหญ่คนยิวเขาเคยชินกับการทำพิธีกรรม ในสมัยเดิมที่โมเสสสั่งไว้ เขาเลยมีความรู้สึกว่าแค่เชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ไม่พอ มันควรจะมีการทำอะไรบ้างตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ เขาเลยไปแนะนำคริสเตียนต่างชาติ ซึ่งอยู่ในกาลาเทีย ให้พวกคริสเตียนเหล่านี้ประพฤติ ปฏิบัติอะไรบางอย่างที่เขาเห็นว่าสมควร

            อย่างเช่น มาเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวไม่พอ ต้องมาเข้าสุหนัตด้วยนะ การเข้าสุหนัต คือเป็นพระสัญญาของพระเจ้า สมัยพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าได้ทำกับอับราฮัม แล้วมันโยงมาถึงพระคัมภีร์มัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น ยังไม่ถึงพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาใหม่เริ่มต้นที่หนังสือกิจการ ก็คือเริ่มต้นที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว แล้วมนุษยชาติสามารถที่จะได้รับการบังเกิดใหม่ พระคัมภีร์ใหม่จะเริ่มต้น จากตรงนี้แหละ หมายความว่าจะมีมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้น ตามพระสัญญา ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เป็นผลแรก คือเป็นผู้แรกของมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  หรือกฎบัญญัติต่างๆ ที่พระเจ้าให้โมเสสไว้

            ฉะนั้น ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราได้ตายจากกฎ ก็คือเราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎอีกต่อไป กฎบัญญัติเหล่านี้ ไม่มีผลในชีวิตของเราเลย แม้แต่นิดเดียว  แต่ว่ามนุษย์หรือคนยิวเหล่านี้ ก็ยังคงคิดว่าเราควรจะทำตามกฎบัญญัติ และอย่างที่บอก อาจารย์เปาโลบอกถ้าใครคิดที่จะทำตามกฎบัญญัติให้ผู้นั้น ถูกสาปแช่ง ทำไมอาจารย์เปาโลพูดอย่างนั้น  เพราะว่าถ้าใครคิดที่จะทำตัวเองให้รับความรอด หรือได้ไปเป็นลูกของพระเจ้า ได้ขึ้นสวรรค์ โดยผ่านทางการประพฤติ ตามบทบัญญัติ ถูกสาปแช่งแน่นอน เพราะว่าไม่มีใครสามารถทำได้ตามที่บทบัญญัติตั้งไว้

            บทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ก็คือต้องดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ต้องทำได้ทุกจุด ทุกขีด ทุกตัวอักษร ซึ่งงดเว้นไม่ได้ แล้วในขณะเดียวกันตลอดเวลาด้วย  ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถทำได้ ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายบาปนี้อยู่ ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ แม้ว่าเราจะถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ พอที่พระเจ้ารับได้ แล้วเข้ามาสถิตอยู่ในเรา  แต่เรายังอยู่ภายใต้กฎนี้อยู่ ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถทำได้ และถ้าใครคิดที่จะพึ่งบทบัญญัติ เพื่อไปสวรรค์ ก็หล่นพ้นจากพระคุณ พระคุณก็ไม่มีประโยชน์

            พระคุณ คือพระเจ้าให้เราเปล่าๆ โดยเราไม่ต้องทำอะไร พระเยซูทำให้เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว และเราแค่มาวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเท่านั้น เราก็ได้รับไปเลย นี่พระคุณ ถ้าเราไขว้เขว และคิดว่าเราควรจะทำโน่นทำนี่ เพื่อที่จะให้เราได้รับความรอด เราเสร็จโลกนี้เลย คือโลกนี้พยายามล่อลวงเรา ให้หลงทางไป แต่ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ถ้าเราเกิดหลงทางไป  เรายังรอดอยู่ไหม? ยังคงยืนยันว่าเรารอดอยู่ เรารอด ไม่ได้รอด เพราะการกระทำ  แต่รอด เพราะวันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ด้วยความเชื่อวางใจ แล้วพระเจ้าถือว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม ตั้งแต่วันนั้น พระเจ้าจดชื่อเราไว้ที่สมุดทะเบียนแห่งชีวิตเรียบร้อยไปแล้ว ต่อจากนั้น ไม่ว่าเราจะประพฤติแบบไหน ออกนอกลู่นอกทางขนาดไหน? เราก็ไม่หลุดจากความรอดในพระเยซูคริสต์ แต่เราก็จะทุกข์ทรมานในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แทนที่เราจะมีอิสรภาพในการดำเนินชีวิต เราก็ต้องถูกผูกมัดด้วยกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้น เรียกว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ตั้งขึ้นเยอะแยะมากมาย ให้กับผู้เชื่อ คิดว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะดี แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ดีแน่นอน มีวิธีเดียวที่ทำให้เรารอดได้ พระเจ้าบอกแล้ว ทางเดียวเท่านั้น ก็คือวางใจ เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเท่านั้น

            ฉะนั้น เมื่อเราได้รับเสรีภาพแล้ว เป็นไทแล้ว ก็ให้ผู้เชื่อเหล่านี้ยืนหยัด อย่ายอมตกอยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาสอีก คือต้องไม่ยอมมัน อาจารย์เปาโลบอกว่าไม่ยอม แปลว่าผู้เชื่อ มีกำลังพอที่จะยืนหยัด และมีกำลังพอที่จะไม่ยอมให้อิทธิพลของกฎต่างๆ ที่มนุษย์พยายามยัดเยียด ใช้คำว่ายัดเยียดให้เราต้องทำๆ เราสามารถที่จะปฏิเสธมันได้ เราไม่ยอมมัน สิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ หลายคนคิดว่าเราไม่ยอม เราไม่ประพฤติดี แล้วคริสเตียนทำอะไร? คริสเตียนผู้เชื่อ เมื่อเราวางใจในพระเจ้า บังเกิดใหม่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในเราทุกคน แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้นี้ จะประกอบกิจอยู่ภายในเรา คือทำงานอยู่ในวิญญาณของเรา ใส่ความปรารถนาในใจให้กับพวกเราทุกคนผู้เชื่อ ที่อยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่แล้ว มันต้องออกจากข้างในวิญญาณ ที่เราอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ไม่ใช่มาจากภายนอก ที่โลกนี้พยายามสร้างกฎเกณฑ์ ทำให้เรากลัว กลัวว่าถ้าเราไม่ทำ พระเจ้าจะไม่รัก ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ เราจะไม่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า หรือถ้าเราไม่ทำแบบนี้ วันดีคืนดีเผลอๆ เราอาจจะตกสวรรค์ก็ได้ หรือความรอดเราหลุดหายไป ก็ได้ ซึ่งความเป็นจริงถ้อยคำของพระเจ้าไม่ได้บอกเราอย่างนั้น

            พระเยซูคริสต์บอกเราว่าท่านรอดด้วยพระคุณ เพราะความเชื่อ เมื่อวันที่ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว วิญญาณท่านได้รับความรอด ได้รับการบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว จะไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ สามารถแยกท่านออกจากความรักของพระเยซูคริสต์ได้ ไม่มีทาง มันทำไม่ได้ แต่ว่ามันสามารถหลอกเราได้ หลอกเราว่าถ้าเธอทำอย่างนี้ หรือถ้าเธอไม่ทำอย่างนี้ เดี๋ยวพระเจ้าไม่รัก เดี๋ยวพระเจ้าจะทิ้งเธอไป

            ซึ่งโลกนี้ พยายามส่งข้อมูลแบบนี้เข้ามาในความคิดของเรา ซึ่งพระคัมภีร์ถึงบอกเราว่าให้เรารับรู้ความจริง ผู้เชื่อทำอย่างเดียว คือรับรู้ความจริง ไม่ต้องทำอะไรเยอะกว่านั้น เมื่อเรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นใคร? ถ้าเรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นเจ้าหญิง พี่น้องนึกออกไหม?  เราเป็นเจ้าหญิง และความเป็นจริงในโลกวิญญาณเราเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายของพระเจ้าจริงๆ พระเจ้าพระบิดาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นพระเจ้าผู้ครอบครองกัลปจักรวาลนี้  เป็นพระเจ้าผู้ทรงควบคุมทั้งหมด แล้วพระเจ้าองค์นี้เป็นพ่อของเรา ซึ่งขณะนี้ วิญญาณของพวกเราทุกคน เป็นบุตรที่รักของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ ก็คือเราเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงของพระเจ้า

            เมื่อเรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงของพระเจ้า ท่าทีข้างในวิญญาณเราก็จะเปลี่ยน เราไม่ได้เป็นเด็กโกโรโกโส ขอทานตามท้องถนนที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ไม่ใช่ แต่เรามีศักดิ์ศรี ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา เรามีเกียรติที่พระเจ้าให้กับพวกเรา แล้วเราก็จะดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้เป็นบุตรที่รักของพระองค์ สมกับที่เราได้เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราก็จะเริ่มระมัดระวังการดำเนินชีวิตของเราโดยอัตโนมัติ มันออกมาโดยอัตโนมัติ จากข้างในวิญญาณจะส่งออกมา แล้วทำให้เราประพฤติตาม อาจารย์เปาโลบอกว่าให้ท่านดำเนินชีวิตตามแบบพระเจ้า เมื่อท่านได้เป็นลูกของพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว

            การดำเนินชีวิตตามแบบของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ข้างในจะเป็นผู้นำเรา แล้วมันจะออกมาโดยอัตโนมัติ พี่น้องไม่ต้องรู้สึกว่าเราจะทำได้ไหม? ท่านทำได้หรือไม่ได้ ไม่เป็นไร ไม่เป็นปัญหา เพราะว่าพระเจ้าที่อยู่ในท่านจะเป็นผู้ผลักดัน เป็นผู้กระทำในชีวิตของพวกท่าน แล้วเราก็จะสามารถ บางวันเราทำได้เยอะ บางวันเราทำได้น้อย  บางวันเราอาจจะทำไม่ได้เลย ก็ไม่เป็นไร มันไม่มีผลกับวิญญาณของเราเลย

            อย่างที่บอก ถ้าลูกของเรา บางวันเป็นลูกน่ารักเชื่อฟัง เราก็มีความสุข เราก็ยิ้ม เราก็ปลื้ม แล้วถ้ายิ่งมีคนอื่นมาชมลูกเราอีก ยิ่งปลื้มใหญ่เลย เป็นไหม? พ่อแม่ทุกคนเป็น

            “ทำไมลูกถึงน่ารักอย่างนี้ มีมารยาทจังเลย ทำไมขยันขันแข็งอย่างนี้ มือไม้อ่อนจังเลย เจอใครก็สวัสดีๆ ทำไมน่ารักอย่างนี้”

            นี่คือความภาคภูมิใจ เช่นกัน พระเจ้ามีความภาคภูมิใจในชีวิตของพวกเรา เมื่อเราดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความเป็นจริงในถ้อยคำของพระองค์ว่าตัวตนแท้ๆ ของเราเป็นแบบนี้แล้วนะ แล้วเราดำเนินชีวิตสอดคล้องกัน แต่ถ้าเราไม่ดำเนินชีวิตตามนั้นล่ะ  ถ้าลูกเราไม่เชื่อฟัง  เป็นเด็กดื้อ เป็นเด็กที่ไปถึงไหนก็วีนชาวบ้านทั่วเลย คนเขาเจอหน้าปุ๊บ สั่นหัวแล้ว ไม่เอา เด็กคนนี้มา ฉันไปดีกว่า อะไรแบบนี้ แล้วเรารู้สึกอย่างไร? เราไม่ได้โกรธเกลียดลูกเรานะ เขายังคงเป็นลูกเรา เราก็ยังคงรักเขาเหมือนเดิม แต่เราแค่เสียใจ เราไม่สามารถตัดขาดแล้วบอกว่า …

            “นิสัยอย่างนี้ ไปเป็นลูกคนอื่นไป”

            ต่อให้เราพูดแบบนั้น เขาก็ยังไม่สามารถไปเป็นลูกคนอื่นได้ เพราะว่าเขาได้เป็นลูกของเราเรียบร้อยไปแล้ว นึกออกไหม?  เกิดจากท้องของเราเรียบร้อยไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณเหมือนกัน เปลี่ยนแปลงไม่ได้  เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว แม้ว่าการประพฤติของเราบางวันอาจจะหัวทิ่มหัวตำ ก็ไม่เป็นไร พระเจ้าก็ยังคงรักเราอยู่ วันที่เราอ่อนแอ พระเจ้าก็จะเสริมกำลังเรา  พระเจ้าจะคอยบอกเรา เตือนเรา ในสิ่งต่างๆ ในการดำเนินชีวิตของเรา นี่คือพระคุณ นี่คือความรักที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเราที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกที่พระองค์ทรงรักและห่วงใย เป็นแก้วตาดวงใจของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

        กาลาเทีย 5:2 “จงจดจำคำพูดของข้าพเจ้า! ข้าพเจ้าเปาโลขอบอกท่านว่าหากท่านยอมตัวเข้าสุหนัต พระคริสต์จะไร้ค่าสำหรับท่านอย่างสิ้นเชิง”

            ตรงนี้ในหนังสือกาลาเทีย คนยิวพยายามที่จะรบเร้าผู้เชื่อต่างชาติ ให้ไปทำพิธีเข้าสุหนัต ซึ่งพิธีเข้าสุหนัตนี้ ถูกกำหนดมาสมัยของอับราฮัม  ที่พระเจ้าให้อับราฮัมทำพิธีนี้ เป็นสัญลักษณ์ หรือเป็นเครื่องหมายการทำสัญญาระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า แล้วใครก็ตามที่ทำพิธีนี้ พระเจ้าถือว่าเขาเป็นคนของพระองค์ ซึ่งพิธีนี้มีทำในชนชาติยิว ชนชาติเดียวเท่านั้น ชนต่างชาติไม่มีสิทธิ์ทำพิธีนี้เลย เพราะว่าพระเจ้าไม่ถือว่าเขาเป็นประชากรของพระองค์

            ฉะนั้น คนยิวก็พยายามที่จะรบเร้าให้คนต่างชาติที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ให้มาทำพิธีเข้าสุหนัตเหมือนเขา อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าท่านมาเชื่อพระเจ้า ท่านได้เข้าสุหนัตแล้วหรือ! ท่านก็ไม่ต้องไปลบรอยสุหนัตออก หรือท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัตหรือ! ท่านก็ไม่ต้องไปพยายามเข้าสุหนัต เพราะว่าท่านเป็นไทในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าไถ่ท่านแล้ว ท่านมาหาพระเจ้าลักษณะไหน? ก็ให้อยู่ในลักษณะนั้นแหละ ท่านมาแบบซอมซอ เสื้อผ้าขาดวิ่นมาหาพระเจ้า พระเจ้าก็รับท่านเป็นบุตร ที่รับท่านเป็นบุตร ไม่ใช่เพราะท่านแต่งตัวดี หรือเพราะท่านเป็นคนดี

            พระคัมภีร์บอกว่าในขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา  แปลว่าตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ไม่ใช่เพราะเราเป็นคนดี แต่ในขณะที่เราเป็นคนบาป ฉะนั้น ไม่ว่าท่านเข้ามาหาพระเจ้าด้วยลักษณะแบบไหน? พระเจ้าบอกว่าให้เข้ามาเลย แล้วให้อยู่ในลักษณะแบบนั้นนั่นแหละ เป็นตัวตนของเราเอง แล้วพระเจ้ายอมรับเรา ยอมรับทุกคนในสภาวะที่เขาเป็นอยู่

            แต่พี่น้องเชื่อเถอะ ในขณะที่เราเข้ามาหาพระเจ้า เราอาจจะมีอะไรกะรุ่งกะริ่งแล้วแต่ แต่เมื่อเรามาหาพระเจ้า พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะทรงดูแลชีวิตของเรา ชีวิตเราจะดีขึ้น พี่น้องเคยสังเกตตัวเองไหม? ตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เป็นแบบไหน? แล้ว ณ เวลานี้ เราเป็นแบบไหน? ชีวิตเราดีขึ้นไหม? ถ้าฐานะเราไม่ดีขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่วิญญาณข้างใน เราดีขึ้น เรามีสันติสุขมากขึ้น ดำเนินชีวิตแบบมีความสุขมากขึ้น เป็นไหม? มันเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วในชีวิตของพวกเรา แล้วพระเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี  พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นเหมือนลูกกำพร้า

            คำว่า “ผู้เลี้ยงที่ดี” หลายคนอาจจะคิดว่าพระเจ้าคงจะอวยพรให้เราร่ำรวยมหาศาล มีเงินทองเก็บไว้ในแบงค์ เป็นร้อยล้านพันล้านแน่ๆ เลย มันไม่เกี่ยวกัน ผู้เลี้ยงที่ดี คือพระเจ้าจะดูแลเรา ตามที่พระองค์เห็นว่าเหมาะสม และสมควร  พระเจ้าจะนำพาย่างเท้าของพวกเรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาวะไหน?  บางคนมาเชื่อพระเจ้า เขาทุกข์ยากลำบากมาก แต่พระเจ้าดูแลเขาทุกวัน ไม่ว่าจะยากลำบากขนาดไหน?  เขาก็สามารถผ่านมาได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า หลายคนสามารถเป็นพยานได้ว่าพระเจ้าทรงดูแลเราแบบไหน? นั่นคือความเมตตาของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงดูแลพวกเราอย่างสุดๆ เลย เราสามารถยืนยันได้ แม้ว่าบางครั้งดูเหมือนว่ามันไปไม่ไหว  แต่พระเจ้าก็ยังคงสามารถทำให้เราผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า

        กาลาเทีย 5:3 “ข้าพเจ้าขอประกาศอีกครั้ง   แก่ทุกคนที่ยอมตัวเข้าสุหนัตว่าเขาจำเป็นต้องทำตามบทบัญญัติทั้งหมด”

            คนที่ยอมตัวเข้าสุหนัต ก็คือเขาต้องทำตามบทบัญญัติทุกอย่างทั้งหมด เพราะว่าเขาเริ่มต้นที่จะไม่พึ่งในพระเยซูคริสต์ แต่คิดจะพึ่งในการกระทำของตัวเอง เมื่อพึ่งการกระทำของตัวเองปุ๊บ เขาก็ต้องทำทุกอย่างที่พระเจ้าได้บอกไว้

        กาลาเทีย 5:4 “ท่านที่ขวนขวายจะให้พระเจ้าทรงนับว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมโดยบทบัญญัติ ก็ขาดจากพระคริสต์ ท่านได้หล่นพ้นจากพระคุณไปเสียแล้ว”

            แปลว่าถ้าจะพึ่งตัวเอง ก็ไม่สามารถพึ่งพระเจ้าได้  ถ้าจะพึ่งพระคุณของพระเจ้า  ก็อย่าคิดที่จะพึ่งตัวเอง ง่ายๆ แค่นี้เอง ส่วนใหญ่เราก็ขอพึ่ง 2 อย่างได้ไหม?  พึ่งพระคุณพระเจ้า แล้วก็ขอพึ่งตัวเองนิดหนึ่งเถอะ อยากทำ มนุษย์ชอบทำ แต่พระเยซูคริสต์บอกว่าไม่ต้อง ให้พึ่งพระองค์อย่างเดียว แล้วจากนั้น ชีวิตของเรา พระองค์จะเป็นผู้นำเราเอง บอกเราเองว่าเราควรจะทำอะไรแบบไหน? อย่างไรในชีวิตประจำวัน ในแต่ละวันที่เราดำเนินชีวิตอยู่กับพระเจ้า พระองค์จะนำเราเอง พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา จะบอกเราเองว่าแต่ละวัน พระองค์จะนำเราไปไหน? ซึ่งอย่างที่บอก ชีวิตเรา เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละวันเราจะเจออะไร? เราไม่สามารถบอกได้เลย

            อย่างที่พระคัมภีร์บอกมีเศรษฐีคนหนึ่ง เขาคิดเองว่า …

            “ของฉันเยอะมากเลย ฉันได้รับกำไรเยอะแยะ เดี๋ยวฉันจะไปสร้างยุ้งฉาง เก็บของไว้ เพื่อเป็นเสบียงไว้เลี้ยงตัวเองจนแก่เฒ่า”

            แต่พระคัมภีร์บอกว่าเศรษฐีคนนี้ไม่รู้เลยว่าคืนนี้ชีวิตของเขาจะไม่อยู่แล้ว คือพระเจ้าจะเอาเขากลับบ้าน ทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ ก็เอาไปไม่ได้ ฉะนั้น เราไม่สามารถที่จะรู้เลยว่าชีวิตของเราแต่ละคนจะอยู่ได้แค่ไหน? อย่างไร? อย่างง่ายๆ แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ใครจะไปรู้ว่าญาติของเรา เดินทางออกไปทำงาน ตอนเย็นเขากลับมาไม่ได้แล้ว เขาได้ตายจากเราไปแล้ว ฉะนั้น เรื่องเหล่านี้มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนเลย พระเจ้าจึงหนุนใจให้คนที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดว่าอย่ารอถึงวันนั้น วันนั้นอาจจะมาไม่ถึงท่านก็ได้ ถ้าคิดว่า …

            “รอนิดหนึ่งๆ ไม่เป็นไรหรอก เรายังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ ยังอีกยาวนาน  เดี๋ยวไว้ค่อยมาเชื่อพระองค์แล้วกัน”

            แต่ว่าวันนั้นอาจจะมาไม่ถึงเราก็ได้ เราขอบคุณพระเจ้าที่พวกเราได้ทำเรียบร้อยไปแล้ว ทำสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการดำเนินชีวิตของพวกเรา  ก็คือเปิดใจยอมรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ ได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว แล้วดิฉันก็เชื่อว่าในวันที่แผ่นดินไหว คนที่อยู่ในตึกที่ถล่มอาจจะมีคนที่เชื่อพระเจ้าก็ได้ เราไม่รู้ แต่ถ้าในนั้นมีคนที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ถ้าเป็นดิฉัน ดิฉันเฮเลยนะ ฮาเลลูยา เราได้พักแล้ว ถ้าเราไปก่อน คือเราได้พักก่อน เพราะเราไม่ต้องไปหวาดหวั่นว่าจากโลกนี้ไป แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน?  เพราะเรามั่นใจได้เต็ม 100% ที่พระเจ้าสัญญาว่าวิญญาณเราเมื่อออกจากร่างปุ๊บ เราไปอยู่กับพระเจ้าแน่นอน แล้วได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า นั่นคือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน

            ดังนั้น ถ้าบังเอิญเราอยู่ในเหตุการณ์ แล้วเราเป็นผู้เชื่อ แล้วเราไปเจอลูกหลงด้วย ถล่มลงมา ตายคาที่เลย คือวิญญาณเราจะชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าๆ เราได้พักยาวๆ แล้วก็ได้ไปรอพี่น้องของเราที่จะค่อยๆ ทยอยกลับบ้าน สวรรค์ ไปอยู่กับพวกเรานิรันดร์กาล นี่คือความหวังใจของพวกเรา ฉะนั้น ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญ คือเราได้รู้จักกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว  ในวันที่เราไปหาพระเจ้า พระเยซูคริสต์จะไม่พูดว่า …

            “เราไม่เคยรู้จักเจ้า”

            ไม่ใช่ แต่พระเยซูคริสต์ได้รู้จักเราแล้ว ตั้งแต่ที่เรามีชีวิตอยู่ เป็นๆ มีลมหายใจอยู่ ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์รู้จักเรา แล้วพระองค์บอกว่าเราเป็นลูกที่รักของพระเจ้า พระบิดา เป็นพี่น้องของพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรบนโลกใบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แป๊บเดียวเอง หายใจเข้าหายใจออก เดี๋ยวเราก็กลับบ้านแล้ว ทุกข์ยากขนาดไหน พระเจ้าก็จะพาเราผ่านไปได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า ฉะนั้น ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ให้เราเต็มล้นไปด้วยสันติสุขและความชื่นชมยินดี ซึ่งสิ่งนี้พระเจ้าใส่ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ต้องไปหาที่อื่น ไม่ต้องไปวิ่งหา มันอยู่ในวิญญาณเราเรียบร้อยไปแล้ว แค่เราเอามันออกมาใช้เท่านั้นเอง นำเอาความชื่นชมยินดี ความพึงพอใจ

            พระคัมภีร์บอกว่าให้เราพึงพอใจกับสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับพวกเรา คำว่า “พึงพอใจ” สำคัญสำหรับพวกเรามากๆ เลย เมื่อเราพอใจเมื่อไร? มีความสุขเมื่อนั้น ทันที แต่ถ้าเราไม่พอใจ ความสุขไม่มี เราก็จะทุกข์ เราทุกข์มาก เพราะว่าเราไม่พอใจ เราไม่พอใจในทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา  แต่ถ้าเราพอใจ เราเอเมน ขอบคุณพระเจ้า เรารู้ว่าพระองค์ทรงมีแผนการที่ล้ำเลิศ สำหรับพวกเรา ตอนนี้เราเป็นมนุษย์ เราไม่เข้าใจว่าทำไมพระองค์อนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเรา? ทำไมพระองค์ต้องให้เราป่วยด้วย? ทำไมพระองค์ต้องให้เราขัดสนด้วย? ทำไมๆ แต่ความเป็นจริง พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ทำ ที่เราเป็น เพราะว่าโลกนี้มันเสียหายไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่บรรพบุรุษเรา ขายพวกเราไปเป็นทาส โลกนี้ค่อยๆ เสื่อมทรามไป แล้วบังเอิญเราอยู่ในโลกนี้แล้ว ฉะนั้น ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ มันจะเกิดขึ้นกับเราแน่นอน พระเยซูบอกไว้ ท่านจะพบกับความทุกข์ยากลำบาก แต่ให้ชื่นใจ เพราะท่านชนะโลกแล้ว พระเยซูที่อยู่ในเราชนะแล้ว ฉะนั้น เราสามารถที่จะดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ด้วยความสุขที่เราได้มีพระเจ้า ด้วยสันติสุขที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว

        กาลาเทีย 5:5-7 “5 แต่โดยความเชื่อเราจดจ่อรอคอย ที่จะได้รับความชอบธรรมผ่านทางพระวิญญาณตามที่เรามุ่งหวังไว้ 6 เพราะในพระเยซูคริสต์การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัต ก็ไม่มีค่าอันใด สิ่งเดียวที่สำคัญ คือความเชื่ออันแสดงออกด้วยความรัก 7 ท่านกำลังวิ่งแข่งด้วยดีอยู่แล้ว ใครมาขัดจังหวะทำให้ท่านเลิกเชื่อฟังความจริง?

            นี่อาจารย์เปาโลกำลังต่อว่าคนกาลาเทียอยู่นะว่าเดินมาอยู่ดีๆ แล้ว ใครทำให้สะดุดหัวทิ่มล่ะ เดินมาด้วยความเชื่อ ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าได้รับความรอด โดยพระคุณ พระเจ้าทำให้เรียบร้อยไปแล้ว ชื่นชมยินดี มีความสุขมากเลย วันดีคืนดี คนมาแนะนำแนวทางใหม่ ทำเพิ่มๆ คนเหล่านี้ก็หัวทิ่มหัวตำไปคล้อยตาม ซึ่งทำให้อาจารย์เปาโลเคือง เคืองตรงที่ว่าท่านควรจะมีความสุข ท่านควรจะชื่นชมยินดี ท่านควรจะไชโยโห่ฮิ้วเลยกับพระคุณ พระพรที่พระเยซูคริสต์ทำให้แล้ว แต่ท่านกลับยอมตัวเป็นทาส ไปยอมเชื่อหลักการพื้นฐานบนโลกใบนี้ หรือเชื่อฟังกฎระเบียบต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อที่จะมากดดันให้ท่านทำตามมัน ทำไป ก็ทำให้ตัวเองเหนื่อย พอเหนื่อยมากๆ ทำไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็ท้อใจ ซึ่งพระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทำให้เราเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน การตายของพระเยซูคริสต์ได้รับเอาโทษทัณฑ์ของพวกเราทุกคนไปไว้ที่พระองค์เรียบร้อยไปแล้ว แล้วการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ได้ทำให้กฎบัญญัติทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราไม่ต้องทำเองแล้ว รับเอาอย่างเดียว

        กาลาเทีย 5:8-10 “8 การโน้มน้าวแบบนั้น ไม่ได้มาจากพระองค์ผู้ทรงเรียกท่าน 9 “เชื้อขนมนิดเดียว ทำให้แป้งดิบฟูขึ้นทั้งก้อน” 10 ข้าพเจ้ามั่นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ว่าท่านจะไม่ยอมรับทัศนะอื่นๆ ผู้ที่มาทำให้ท่านสับสนวุ่นวายนั้นจะต้องรับโทษ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม”

            อาจารย์เปาโลพูดแรง ใครมาทำให้ชาวกาลาเทียสับสน เลิกเชื่อในพระคุณของพระเจ้า แล้วพยายามพึ่งพาในตัวเอง ให้คนนั้นได้รับโทษ ฉะนั้น เป็นอะไรบางอย่างที่อาจารย์เปาโลรับไม่ได้ ทนไม่ไหวที่เห็นผู้เชื่อ เดินอยู่ดีๆ แล้วไปให้คนอื่นชักจูงให้พยายามดิ้นรนด้วยกำลังของตัวเอง ซึ่งพระเยซูคริสต์บอกอยู่แล้วว่ากำลังตัวเองท่านทำไม่ได้หรอก พระเยซูคริสต์ทำให้เรียบร้อยไปแล้ว

        กาลาเทีย 5:11 “พี่น้องทั้งหลาย หากข้าพเจ้ายังประกาศให้เข้าสุหนัต ทำไมข้าพเจ้ายังถูกข่มเหงอยู่อีก? ถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องไม้กางเขนก็ไม่ถูกต่อต้านแล้ว”

            ที่อาจารย์เปาโลถูกต่อต้าน เพราะว่าอาจารย์เปาโลถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ แล้วอาจารย์เปาโลประกาศเรื่องความจริงในพระเยซูคริสต์ว่าใครก็ตามที่จะได้รับความรอดนั้น ได้รับมาอย่างเดียว คือโดยพระคุณ โดยความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับพฤติกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสุหนัต ไม่ว่าจะเป็นการไปถวายเครื่องบูชา หรือไปทำพิธีกรรม 108-1009 อย่างที่ถูกกำหนดไว้ ไม่สามารถทำให้เขารอดได้เลย โดยการประกาศเรื่องนี้ ทำให้อาจารย์เปาโลถูกข่มเหง ถูกไล่ล่า ถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกอะไรสารพัดสารเพ เอาไปติดคุก เอาไปอยู่ในถ้ำมืด อะไรก็แล้วแต่ เพราะอาจารย์เปาโลประกาศความจริงของพระเจ้าว่าโดยพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเขาได้รับความรอด

            แล้วอาจารย์เปาโลพูดในข้อที่ 11 ว่าถ้าฉันประกาศเรื่องการเข้าสุหนัต เรียกว่ายอม เขาบอกเข้าสุหนัตสักหน่อย หยวน ไปทำตามเขาแล้วกัน แปลว่าอาจารย์เปาโลยอมอ่อนข้อ ถ้ายอมอ่อนข้อกับคนกลุ่มนี้ ก็เท่ากับทำให้พระคุณของพระเจ้าด้อยค่าลง ทำให้ผู้เชื่อไขว้เขว อย่างนี้ เราเอาทั้ง 2 อย่างแล้วกัน อยากได้ทั้งพระคุณ อยากทำเองด้วย มันน่าจะดี แต่มันไม่ใช่ อาจารย์เปาโลไม่ยอม อาจารย์เปาโลเลยบอกว่าถ้าอาจารย์เปาโลยอมนิดหนึ่ง ก็คงถูกยกย่อง เพราะว่าอาจารย์เปาโลความรู้เยอะ ในเรื่องเกี่ยวกับบทบัญญัติ ก็ไม่ถูกต่อต้านแน่นอน เพราะว่าเป็นคนที่น่าเชื่อถือมาก แต่อาจารย์เปาโลไม่ยอม และยืนยันความจริงในพระวจนะของพระเจ้าว่าถ้าใครอยากได้รับความรอด ต้องมาทางพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น ต้องมาเปิดใจต้อนรับเอาความจริงนี้เท่านั้น ถึงจะได้รับความรอด

        กาลาเทีย 5:12-13 “12 สำหรับนักก่อกวนพวกนั้น ข้าพเจ้าอยากให้เขาตอนตัวเองเสียเลย! 13 พี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านนั้น ก็เพื่อให้มีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพของท่าน  เพื่อปล่อยตัวตามวิสัยบาป แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรัก”

            เราไม่มีวิสัยบาปแล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว ความหมายตรงนี้ คือเมื่อเราได้รับเสรีภาพแล้ว อย่าปล่อยตัวให้ทำตามอิทธิพลของเนื้อหนัง หรืออิทธิพลของโลกใบนี้ที่ส่งเข้ามา พยายามดึงเราออกนอกลู่นอกทาง ก็คืออย่ายอมมัน พูดจนเสร็จ ก็คือเราสามารถต่อต้านได้ สามารถขัดขืนได้ สามารถไม่ยอมมันได้ ถ้าเราไม่ยอมมัน ก็คือเราจะเป็นผู้ที่สามารถดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า

        กาลาเทีย 5:14 “บทบัญญัติทั้งหมดสรุปรวมเป็นข้อเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”

            เห็นไหม พระเยซูคริสต์สรุปเหลือข้อเดียว แต่บทบัญญัติของคนยิวทั้งหมด 613 ข้อ  แล้วก็ต้องทำจนหัวบาน ทำจนหัวแตกก็ทำไม่ได้ แล้วพระเจ้าก็รู้ว่า …

            “อย่างไรเธอก็ทำไม่ได้ ฉันทำให้เธอเรียบร้อยแล้ว แล้วเธอจะกลับไปทำมันทำไม?”

            นึกภาพออกไหม? มันจะเป็นลักษณะแบบนี้

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลยังคงยืนยันว่าบทบัญญัติมีข้อเดียวเท่านั้น ที่พระเจ้าให้มา คือจงรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดของท่าน และจงรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง แล้วความรักตรงนี้มาจากไหน? พระเจ้าให้มา  พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าเป็นความรัก เคยร้องเพลงนี้ใช่ไหม?

                        “พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความรัก”

            แค่นี้เอง พระเจ้าเป็นความรัก และพระเจ้าผู้เป็นความรัก ขณะนี้ สถิตอยู่ในเรา เราก็เลยเป็นความรักด้วย  เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน “เป็น” นะ ไม่ใช่ “มี” มีความรัก อาจจะวันดีคืนดี มันถูกขโมยไป มันหายไป แต่เป็นมันหายไปไม่ได้ ตัวตนแท้ๆ ของเรา เป็นความรัก เราสามารถผลิตความรัก โดยที่ไม่ต้องออกแรง พระเจ้าให้เครื่องไม้เครื่องมือเรียบร้อยไปแล้ว แค่หยิบมาใช้เท่านั้นเอง ถ้าเราไม่รู้ว่าเรามี เราก็ไม่รู้ว่าเราจะหยิบอย่างไร? เหมือนในครัวเรามีหม้อ ไห กะละมัง ชาม แล้วเราไม่รู้ว่ามันมี พอคนเอาของมาให้ เอาหม้อมาใส่ของให้หน่อย วิ่งวุ่นเลย ไปเอาตรงไหนมาใส่ของ แล้วเราจะได้เอาหม้อคืนเขา  หาไม่เจอ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองมี

            คริสเตียนส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นความรัก ไม่รู้ว่าความรักมีอยู่ในตัวแล้ว แค่อนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในชีวิตของเรา สำแดงมันออกไป แค่นั้นเอง ง่ายไหม? ง่ายนิดเดียว แล้วพระเยซูก็บอกว่าคำสั่งของพระองค์ไม่เป็นภาระ มันเป็นภาระได้อย่างไร? เราไม่ต้องทำเอง พระเจ้าให้วัสดุทุกอย่างมาเรียบร้อยแล้ว วัสดุดิบก็ให้มาแล้ว ทุกอย่างให้มาครบถ้วนแล้ว แค่รู้ไหมว่ามี ถ้ารู้ว่ามีคิดอยากจะทำอะไร? ก็เดินเข้าไปเลย ไปหยิบจับทุกอย่างที่เราต้องออกมาใช้ แค่นั้นเอง ใช้ออกไป แล้วเราก็จะเห็นพระคุณของพระเจ้า ชีวิตของเราก็จะมีความสุข เราจะเป็นอิสรภาพ เราจะไม่ต้องถูกบังคับด้วยกฎเกณฑ์อะไรก็ไม่รู้ ที่พยายามให้เราเป็นทาส พระเยซูบอกว่าเราไม่ได้เป็นทาสแล้ว เราเป็นไทในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! พระเจ้าเป็นความรัก เราก็เป็นความรักเหมือนพระเจ้า เพราะเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้วในพระคริสต์

            1 ยอห์น 3:1 … “ดูสิ ความรัก​ที่​พระบิดา​มี​ต่อ​พวกเรา​นั้น มัน​มากมาย​มหาศาล​แค่ไหน ถึง​ขนาด​ได้​เรียก​เรา​ว่า​เป็น​ลูก​ของ​พระองค์ และ​เรา​ก็​เป็น​อย่างนั้น​จริงๆ โลก​นี้​ไม่รู้จัก​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​เหตุ​ที่​โลก​ไม่รู้จัก​เรา​เหมือนกัน”

            1 ยอห์น 4:15-18 … “15 ถ้าผู้ใดยอมรับ และรับรู้ในวิญญาณว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็เข้าไปอาศัยอยู่ในวิญญาณผู้นั้น และเขาก็อาศัยอยู่ในพระเจ้า 16 เช่นนี้เราจึงได้มารู้จักสนิทกับพระเจ้า เป็นการส่วนตัว และได้เชื่อศรัทธาอย่างมั่นใจลึกซึ้ง ในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา พระเจ้าเป็นความรัก วิญญาณผู้ใดอาศัยอยู่ในความรัก ก็อาศัยอยู่ในพระเจ้าและพระเจ้าอาศัยอยู่ภายในวิญญาณของเขาตลอดเวลา 17 ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา  (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​ ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจ ที่​เหมือน​กับ​วิญญาณและจิตใจของ​พระคริสต์”

            2 เปโตร 1:3-4 … “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เราที่จำเป็นแล้ว ในการมีชีวิตที่ชอบธรรมและดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์  (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ และความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

            พระเจ้าอวยพรครับ