วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1515

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  มีนาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 17 “พยาน คือพระวิญญาณผู้สถิตอยู่ภายในผู้เชื่ออย่างสมบูรณ์แล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มาต่อหนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 17  ตอนที่แล้ว คือตอนที่ 16 ชื่อเรื่อง “พระวิญญาณในตัวผู้เชื่อ ทรงเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์” วันนี้ตอนที่ 17 เรื่อง “พยาน คือพระวิญญาณผู้สถิตอยู่ภายในผู้เชื่ออย่างสมบูรณ์แล้ว” ครั้งที่แล้วจบลงที่ 1 ยอห์น 5:10 วันนี้เริ่มต้นที่ 1 ยอห์น 5:11 …

        1 ยอห์น 5:11 “คำพยานนี้ ก็คือพระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้อยู่ในพระบุตรของพระองค์”

            คำพยานในข้อความนี้ หมายถึงการยืนยันหรือการประกาศความจริง  ที่ว่าพระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่เราทั้งหลาย  ผู้เชื่อแล้ว  และชีวิตนี้ในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์นี่แหละ คือพยาน พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยาน

            พระวิญญาณบริสุทธิ์มีบทบาทสำคัญ เป็นพยานยืนยันถึงความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เชื่อคริสเตียน พระวิญญาณมีบทบาทสำคัญที่สุด ในการเป็นพยาน การที่มนุษย์ออกมาเป็นพยานว่า …

            “ฉันเชื่อพระเจ้า พระเจ้ามีจริงนั้น”

            พูดได้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายใน แต่มนุษย์พูดก็ไม่ชัดเจนเท่ากับพระวิญญาณพูด พระวิญญาณพูด คือสิ่งที่เป็นถ้อยคำพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์

            อย่างข้อความนี้ หมายถึงว่าในขณะนี้ ในตอนนี้ ขณะที่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ภายในตัวคริสเตียน  ภายในตัวของเราผู้เชื่อ มีพยานอยู่กับตัวเลย ดังนั้น เราไม่ต้องแสวงหาคำพยานจากที่ไหนแล้ว ไม่ต้องแสวงหาคำพยาน บอก …

            “คำพยานของพี่น้องคนนี้ ใหญ่โตมากเลย ดีมากเลย”

            โอเคดี ฟังได้ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปพึ่งคำพยานเหล่านั้น  เพราะว่าเรามีวิญญาณที่อยู่ในตัวเราแล้ว พยานนั้น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณนี้กำลังย้ำยืนยันในตัวเรา ให้เราทั้งหลายรู้ว่าไม่ใช่พยานยืนยันให้เรารู้สึกว่า นี่เราเข้าใจผิด เราถูกหลอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเราแล้ว ทำให้เรารู้สึก น้ำตาไหล เพราะฉะนั้น แสดงว่าพระเจ้าอยู่ด้วย ไม่ใช่ น้ำตาไม่ไหล ขนไม่ลุก ตัวไม่สั่น แต่ก็ยืนยันโดยความจริงว่าให้เรารับรู้ตามถ้อยคำของพระเจ้าที่บันทึกไว้ว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย  และยืนยันว่าเรามี ก็ได้ เราเป็นก็ได้  เราได้เป็นชีวิตนิรันดร์แล้วทางวิญญาณ  เราได้รับความรอดแล้ว  และเราได้เกิดจากพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่เรียกพระเจ้าว่าพ่อเลยแหละ นี่คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันภายใน ให้เรารับรู้ ไม่ใช่รู้สึก ถ้าเผื่อเรามั่นคงตรงนี้ได้ เราจะไม่ถูกหลอก

            เพราะฉะนั้น ถ้าใครก็ตามที่บังเกิดจากพระเจ้า ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พยานนี้ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ก็จะอยู่ในตัวเขา  และพระองค์ก็จะไม่ไปไหนอีกเลย และพระองค์จะอยู่กับเขา และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไปถึงนิรันดร์เลย เอเฟซัส 1:13-14 ได้ยืนยันอย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:13-14 “13 และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ ด้วยดวงตราคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้” 14 “ผู้เป็นมัดจำค้ำประกัน (พยานยืนยัน) ว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่  อันเป็นการสรรเสริญ พระเกียรติสิริของพระองค์”

            เราเชื่อแล้วใช่ไหม? เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่เราได้ยิน พระเจ้าก็ทรงประทับตราเราที่เชื่อนั้นไว้ในพระองค์

            คำว่า “ประทับตรา” หมายถึงผนึกเข้าไปในเซฟเลย  เหมือนเขาใส่ของมีค่าในเซฟ ธนาคาร ปิด ผนึกอย่างดี หรือเหมือนน้ำอัดลม ที่เขาไปซื้อขวดเก่ามา  แล้วเอามารีไซเคิล ล้างให้สะอาด ฆ่าเชื้อเสร็จปุ๊บ  ใส่น้ำใหม่เข้าไป เสร็จแล้วทำอย่างไร? ออกมาโชว์ได้อย่างไร? ยังไม่โชว์ ใส่น้ำใหม่ แล้วก็ปิดฝาจุกเข้าไป อย่างนั้นแหละ เขาเรียกว่าปิดผนึก  ในที่นี่ใช้คำว่า “ประทับตราในพระองค์” ก็คืออยู่ในขวดนั่น ก็คือในพระเจ้า ทั้ง 3 พระภาค

            ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสัญญาไว้  แล้วก็ปิดผนึกวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน  3 พระภาคอยู่ข้างใน เราก็อยู่ข้างในนั้น ขวด คือร่างกายของเรา ปิดผนึก แล้วก็ห่อหุ้มไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า นี่แหละ คือสภาพของวิญญาณของตัวของเรา ที่เชื่อในพระเจ้า เป็นเช่นนี้

            พระวิญญาณผู้ทรงเป็นพยาน เป็นมัดจำ ค้ำประกัน ยืนยันว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เราได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการรับรอง ยืนยันถึงการที่เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และมี หรือเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า ประทับตราโดยพระเจ้า ออกไปสู่ตลาดได้ ทำจากโรงงานตรีเอกานุภาพ  ให้กำเนิดเรา ออกไปได้ โชว์ ประทับตราเรียบร้อยเลย แล้วก็ออกไปตลาด ออกไปสู่โลกแห่งความมืด เราเป็นแสงสว่าง เป็นดวงไฟที่พระองค์ทรงให้ออกมา ทั้ง 3 พระภาคและตัวเรา  ผนึกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในโรม 8:9 ก็ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        โรม 8:9 “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน  (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป อยู่ในเนื้อหนัง แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ สถิตอยู่ภายใน คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            และท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ  ในขวดที่ตะกี้นี้ผมบอก รีไซเคิล ก็คือร่างกายของเราในปัจจุบัน แม้ว่าร่างกายที่ต้องตายและอ่อนแอ แต่มันถูกรีไซเคิล ทำจนสะอาดหมดจด ปราศจากบาป  พระเจ้ารับได้แล้ว เข้ามาสถิตอยู่ได้ ส่วนวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกับตรีเอกานุภาพอยู่ภายใน ภายในไหน? ภายในขวด ปิดผนึกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คลุมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เรากำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ

            ใครก็ตามไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ปกคลุมอย่างนี้ สถิตอยู่ภายในอย่างนี้ คนนั้น ก็แสดงว่าไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นของพระเจ้า ไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไร? เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วันนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า หรือเรียกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ เข้ามาสถิตอยู่ภายในเราทันที เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์นั่นแหละ พระเยซูคริสต์ หรือเรียกอีกสถานะหนึ่งในขณะที่เข้าไปอยู่ในตัวเรา เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์  … พระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือผู้เดียวกัน เข้ามาเมื่อไร? เข้ามาทันทีที่เราเปิดใจ เราเรียกกันว่าได้บังเกิดใหม่ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของพระเยซูคริสต์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่พระเยซูคริสต์แบ่งให้เรา อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนเลย เราเลยไม่ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมอีกแล้ว สำหรับด้านโลกฝ่ายวิญญาณ  เพราะเราได้รับทุกสิ่งที่จำเป็นในการเป็นลูกของพระเจ้า  เราได้เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน เราได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์เลย ไม่แตกต่างกันเลย 2 เปโตร 1:3-4 ได้พูดถึงตรงนี้ว่า …

        2 เปโตร 1:3-4 “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้วในการมีชีวิตที่ชอบธรรมและดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริและความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และรอดพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

            ด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่  ปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทำ จึงได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เราที่จำเป็นแล้ว  ได้ให้กับเราในคุณสมบัติที่จำเป็นในการที่จะเป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง  ได้เตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้ว ในการที่จะมีชีวิตที่เป็นผู้ชอบธรรม  และดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ในพระคริสต์ ก็คือผ่านทางการต้อนรับพระเยซูจากข่าวประเสริฐที่เราได้ยิน

            ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์ ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ คือเข้าร่วมในชีวิตนิรันดร์  พระเกียรติสิริ คือชีวิตนิรันดร์ของพระเยซู

            ให้เราเข้าร่วม มีส่วนในเกียรติสิริ คือชีวิตนิรันดร์และความดีงามของพระองค์ในพระคริสต์ โดยสิ่งเหล่านี้  พระองค์ได้ประทานพันธสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนเข้าไปในพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือเข้าไปมีส่วนใน DNA ของวิญญาณของพระเจ้า พอมองภาพออกแล้วใช่ไหม? ก็คือบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ วิญญาณมาจาก DNA ของพระเจ้า มีพระลักษณะของพระเจ้า เหมือนเลย และรอดพ้นจากความเสื่อมทรามของโลกนี้ ก็คือเมื่อเป็นเช่นนี้ ได้บังเกิดใหม่อย่างนี้ ก็คือรอดพ้นจากความบาปและความตาย และคำสาปแช่งที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ที่เรียกว่าอาณาจักรของความมืด เราได้ถูกย้ายมาอยู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระคริสต์แล้ว เป็นอย่างนี้

            นี่คือความจริง ที่เกิดขึ้นแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราทั้งหลายนั้น เป็นพยานยืนยันอย่างนี้ตลอดเวลา เราจะรับรู้หรือไม่รับรู้ แต่ก็ยืนยันอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่ใช่รับรู้ โดยการที่เรารู้สึกว่าอย่างนี้มันเกิดขึ้นกับเรา ไม่ได้รู้สึกได้เลย บางครั้งเรารู้สึกซาบซึ้ง น้ำตาไหล ก็ดีไป ก็ขอบคุณไป แต่ไม่ใช่พึ่งว่าน้ำตาไหลเมื่อไร? เรื่องเหล่านี้จึงเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ หรือบางครั้งเรานมัสการไป ร้องเพลงไป รู้สึกอินในเรื่องนี้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว แล้วตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ ตัวสั่นไปหมดเลย พระวิญญาณสถิตกับเรา มันก็จริง แต่ไม่ได้พึ่งตรงนี้ว่าเมื่อไรไม่สั่น พระเจ้าไม่อยู่ด้วย เพราะส่วนใหญ่พระเจ้าไม่อยู่ด้วยมากกว่า ถ้าเราไปคิดอย่างนั้น ก็คือส่วนใหญ่ในชีวิตของเราไม่ได้สั่นอย่างนั้นตลอดเวลา ใช่ไหม? ถ้าเราไปพึ่งอย่างนั้น เราก็เสร็จ ถูกโกหก

            แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันภายในตัวเราแล้วจริงๆ แต่หลายครั้งที่ความคิด จิตใจของเราเกิดความไขว้เขว บ่อยครั้งเลย  เกิดความไขว้เขวในความจริงเหล่านี้  เพราะความมั่นใจในความรอด ในชีวิตนิรันดร์ของเรานั้น ไม่ได้อยู่ที่ความคิดของเรา  เพราะว่าพยานยืนยันในเรื่องความจริงเหล่านี้ที่เกิดขึ้นอยู่ที่ไหน? อยู่ในใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่ความคิดของเรา

            ความคิดของเรามักจะเข้าๆ ออกๆ เปลี่ยนไปมาตลอดเวลา แต่ใจเราไม่เปลี่ยน ใจเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ แต่ความคิดของเรา พระวิญญาณไม่ได้สถิตอยู่ที่ความคิดของเรา เราต้องรับรู้ในความคิดว่าพระวิญญาณสถิตอยู่ภายในเรา  และยืนยันถึงความจริงเหล่านี้ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ไม่ได้อยู่ที่ความคิดของเรา บางวันเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสงสัย บางวันเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเศร้าโศก บางวันเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความกลัว วิตกกังวล บางวันเราดำเนินชีวิตด้วยการถูกกล่าวหาจากมาร ผ่านมาทางความคิดเยอะแยะไปหมดเลย เรารู้สึกว่าเราถูกโจมตีทางความคิด โจมตีความจริงที่อยู่ในใจของเรา  ทำให้เราเกิดความคิด ที่เริ่มย้อนอดีตแล้ว ก่อนที่เราจะมาเชื่อ เริ่มคิดที่จะขุดคุ้ยว่าอดีตเราทำอะไรมา แล้วตอนนี้เราทำอะไรอยู่ แล้วเราก็เริ่มคิดต่อต้านความจริงที่เกิดขึ้นในใจและในวิญญาณของเรา ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยัน คิดต่อต้านว่า …

            “เอ๊ะ! เรามีชีวิตนิรันดร์จริงหรือ?  เราเป็นลูกพระเจ้าจริงหรือ?  เราสมบูรณ์ครบถ้วนดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์จริงหรือ?  เรายังทำตัวอย่างนี้เลย  เราดีพอหรือยัง?  เราทำดีได้เพียงพอหรือยังที่จะเป็นลูกพระเจ้า เราทำดีพอหรือยัง ที่จะมีชีวิตนิรันดร์”

            ทั้งๆ ที่ในวิญญาณแห่งความเป็นจริงนั้น เราเป็นอยู่แล้ว แต่ในความคิดเราต่อต้าน มันก็เกิดความเครียด ความกังวล ความวิตก ท่านลองคิดดูนะ ถ้าพระเจ้าทรงรักเราตามถ้อยคำพระเจ้าบอกเราไว้ และพระองค์เสด็จเข้ามาอยู่ภายในเรา  พยาน ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็อยู่ในตัวเราเสมอตลอดเวลา พยาน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ไม่ได้อยู่ที่ความคิด ไม่ได้อยู่ที่สมองของเรา แต่พยานนี้อยู่ในใจ เพราะฉะนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะมีความคิด มีความรู้สึกว่าจริงหรือเปล่า  เราไม่ต้องไปฟ้องผิดว่า …

            “ทำไมเกิดขึ้นกับฉัน พระเจ้ายกโทษด้วยๆ”

            มันเป็นธรรมดาอยู่บนโลกใบนี้ เราสามารถเลือกที่จะคิดไปทิศทางไหน?  ต้องฝึก เรื่องที่จะตั้งความคิดของเรา ไว้ที่คำพยานที่อยู่ในใจ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์  หรือจะตั้งความคิดจิตใจเราไว้ที่เนื้อหนัง เนื้อหนัง คือระบบของโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความบาปและความตายและคำสาปแช่ง ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่ในชีวิตเก่าของเรา ระบบเขาทำอย่างไร เราก็คิดตามเขา ในระบบของโลกนี้ ง่ายๆ ก็คือตามกิเลสตัณหาของตามองเห็น ที่จับต้องมองเห็นได้ เราไปเชื่อสิ่งเหล่านั้น เราไปคิดตามสิ่งเหล่านั้น มันก็ต่อต้านความจริง เราสามารถที่จะตั้งอยู่บนพยานแห่งความจริง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเลือกที่จะตั้งจิตใจเราที่คำกล่าวโทษของมัน ที่มารส่งความคิดเข้ามาว่าเราดีไม่พอ คอยจะยุแหย่เรา คอยประณามหรือว่ากล่าวเราตลอดเวลาว่า …

            “เราไม่ดีหรอก ทำตัวอย่างนี้ เรียกว่าลูกพระเจ้าจริงหรือ? นี่บริสุทธิ์หรือ? รับได้หรือ? ตัวเองบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระเยซูเลยหรือ!”

            รับได้หรือ! อะไรประมาณนั้น มันจะมาอยู่ตลอดเวลา โดยผ่านทางระบบสัมผัสต่อสมอง ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิด สมองของเรา นี่แหละ มันผ่านทางสิ่งเหล่านี้ คือความคิดของเราเหมือนสวิตช์ไฟ เปิดปิด ความคิดของเราเหมือนสมรภูมิ ที่มารต้องการมาโจมตี ทางเดียวที่มันทำได้ คือโจมตี ไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย แม้แต่นิดเดียว  เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เราไม่ต้องกลัวตัวมาร กลัวก็คือ? เกรงก็คือข้อมูลที่ส่งหลอกลวง ล่อลวง ในความคิดของเรา น่ากลัวที่สุด มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว แตะต้องเราก็ไม่ได้ ทำได้อย่างเดียว คำราม คือส่งข้อมูลเหล่านี้มา ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิดจิตใจ ยิงเข้ามาตลอดเวลา

            ถ้าสมองเราเหมือนสวิตช์ไฟ เปิดปิด มีอยู่ 2 อัน ก็คือสวิตช์ที่เหมือนในใจ จะเปิดหรือจะปิด ปิดเรียกว่าดับพระวิญญาณ ถ้าเปิดแสดงว่าเชื่อพระวิญญาณ  อีกสวิตช์หนึ่ง ก็คือของโลกใบนี้ คือรับของมาร จะเปิดหรือจะปิด? สวิตช์ที่ความคิดตามโลกนี้ จะเปิด ก็คือรับมันเข้ามา ถ้าปิด ก็ไม่รับ มาเปิดสวิตช์ของพระวิญญาณดีกว่า อย่างนี้แหละ

            อย่างเช่นความจริง ก็คือพระเยซูคริสต์ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เราเปิดไหม? เปิดต้อนรับ ถ้าเปิดต้อนรับตลอดเวลา เราก็ไม่ต้องสนใจข้างนอกที่จะพูดว่า …

            “เฮ้ย! ยังไม่ดีเลย อย่างนี้ อย่างโน้น อย่างนั้น  เธอทำอย่างนี้ยังไม่ดีเลย ยังอิจฉา ริษยาเขาอยู่เลย ยังโกรธ ยังเกลียดเขาอยู่เลย ประพฤติตัวอย่างนี้หรือ? เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์และดีพร้อม”

            เราปิดสวิตช์ซะ แล้วก็บอกว่า “เอ้อ! ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์และดีพร้อมอยู่ มีอะไรหรือเปล่า?”

            อย่างนี้เขาเรียกว่าเปิดสวิตช์พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่ส่งถ้อยคำเหล่านี้มานั้น  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  สิ่งที่สังเกตได้ ก็คือซ้ำข้อความเดิมตลอดเวลา หลายท่านก็ถูกข้อมูลจากโลกนี้ส่งเข้ามา มาฟังบรรยายทีไร ไม่เห็นพูดเรื่องอื่นเลย พูดแต่เรื่องเหล่านี้ ก็มันเป็นคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับตัวท่าน ฟังเบื่อแล้ว นั่นแหละ คำว่า “เบื่อ” เริ่มจะเปิดสวิตช์ระบบของโลกใบนี้ อยากจะฟังเรื่องอื่นๆ เรื่องวิชาความรู้ เรื่องสนุกสนาน เริ่มแถออกไป

            เพราะฉะนั้น สังเกตได้ ถ้ามาจากพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ มันต้องเป็นเรื่องชัดๆ เรื่องเดียว คือต้องพุ่งไปตรงนี้ว่าท่านทั้งหลาย เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์และดีพร้อม เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้ท่านอยู่ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว  ไม่มีอะไรสามารถมาแยกท่านออกจากพระเจ้าได้ ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมาต่อต้านท่านได้เลย แม้แต่นิดเดียว พระเจ้าอยู่ข้างท่านตลอดเวลา พระเจ้าไม่ถือโทษ โกรธท่าน  ไม่ว่าท่านทำบาปต่างๆ นานา พระเจ้าอภัยให้เสมอตลอดเวลา ฉันเชื่อตามนี้ ฉันจะฟังแค่นี้ ที่เหลือเหตุผลมากมาย 180 ประการ เอาเหตุผลมาอ้าง อันโน้นทำไมเป็นอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ๆ เป็นคนดี ทำอย่างนี้ๆ ไม่ดี จะขึ้นสวรรค์ได้อย่างไร? ไม่ต้องไปฟัง

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงเป็นวิญญาณย้ำยืนยัน ค้ำประกันในการสถิตอยู่ นี่แหละ คือเหตุผลที่เราสามารถเรียกความมั่นใจได้ว่าเราได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์  เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่มีวันเป็นอื่นไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว ขอบคุณพระเจ้า 1 ยอห์น 5:12 …

        1 ยอห์น 5:12 “ผู้ที่มีพระบุตร ก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระเจ้า ก็ไม่มีชีวิต”

            ตรงนี้หมายถึงผู้ที่มีพระบุตร ก็คือพระคริสต์ ผู้ที่มีพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน ก็มีชีวิต พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์ พูดง่ายๆ ก็คือผู้ที่มีพระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์ ก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ และไม่มีพระคริสต์สถิตอยู่ ก็ไม่มีชีวิต ก็หมายถึงไม่มีชีวิต

            เพราะฉะนั้น ทั้งพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับผู้เชื่อนั้น ถึงจะมีชีวิตนิรันดร์  เพราะว่าชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นชีวิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือพระคริสต์นั่นแหละ ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตในท่าน ยอห์น 17:21-23 ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าพระคริสต์อยู่ในเราอย่างไร? และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในเราอย่างไร? …

        ยอห์น 17:21-23 “21 ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับพระองค์พระบิดาอยู่ในตัวลูก และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา 22 เกียรติสิริ (ชีวิตนิรันดร์) ซึ่งพระองค์ประทานแก่ลูกนั้น ลูกได้มอบให้พวกเขา (ทุกคนที่เชื่อในลูก) แล้ว เพื่อพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับลูก เป็นหนึ่งเดียวกัน คือ 23 ลูกอยู่ในพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) และพระองค์ อยู่ในลูก ขอให้พวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งลูกมา และทรงรักพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) เหมือนที่พระองค์ทรงรักลูก”

            เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ทั้ง 3 พระภาค ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เขาทั้งหลายเหล่านี้ ผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกับพระเจ้าพระบิดาอยู่ในตัวลูก อยู่ในตัวพระเยซู ลูกอยู่ในพระองค์ พระเยซูอยู่ในพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกัน ขอให้พวกเขา ก็คือขอให้พวกเราคริสเตียน ผู้เชื่อนั้น อยู่ในพวกเราด้วย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย  เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ส่งลูกมา เกียรติ สิริ ซึ่งพระองค์ประทานให้กับลูกนั้น

            เกียรติ สิริ ก็คือชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระองค์ทรงประทานให้แก่ลูก ถามว่าตรงนี้มาจากไหน? ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝัง และวันที่ 3 พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาใหม่

            คำว่า “เป็นขึ้นมาใหม่” นั้น ภาษาเดิม ละเอียดขึ้นอีก ในวันที่ 3 พระเจ้าพระบิดาได้ชุบพระเยซู แปลว่าพระเจ้าได้ประทานชีวิตนิรันดร์กลับคืนมาใหม่ให้กับพระเยซู มันหมายถึงอย่างนั้น

            คือพระเยซูบอก … “ชีวิตนิรันดร์ที่ข้าพระองค์ได้รับจากพระองค์ ทรงชุบข้าพระองค์ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์นั้น”

            พวกเราอยู่ในนั้นด้วย เรามีส่วนด้วย คนที่เชื่อในพระองค์ ในนี้จึงบอกว่าเกียรติสิริ คือชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่ลูกนั้น ลูกได้มอบให้พวกเขาแล้ว มอบอะไร? มอบชีวิตนิรันดร์ส่วนหนึ่งให้กับเขา ผู้เชื่อทั้งหลาย เมื่อเขาเชื่อ เขาก็จะได้สิ่งนี้ เพื่อพวกเขาผู้เชื่อทั้งหลายจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับลูกเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันเพราะอะไร?  เพราะมีชีวิตนิรันดร์ มี DNA ในวิญญาณเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน เหมือนกับใคร? เหมือนกันกับพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์ได้มาจากใคร? พระเยซูคริสต์ได้มาเหมือนกับพระบิดา  เพราะฉะนั้น เรากับพระบิดา ก็มี DNA ทางวิญญาณเหมือนกัน  ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าเรามีพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ในเรา เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            ข้อ 23 บอกว่า “ลูกอยู่ในพวกเขา” ก็คือผู้เชื่อ “และพระองค์อยู่ในลูก ขอให้พวกเขาผู้เชื่อได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์  เพื่อให้โลกได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งลูกมา และทรงรักพวกเขา คือพวกคริสเตียนผู้เชื่อทั้งหลายนั้น เหมือนที่พระองค์ทรงรักลูก” เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเท่าๆ กันกับรักพระเยซูคริสต์

            นี่คือคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เชื่อได้ไหม? เชื่อได้ไม่ได้ คิดได้ไหม? คิดไม่ออกเลย คิดทีไร ไม่เชื่อทุกที รู้สึกได้ไหม? รู้สึกไม่ได้ จับต้องมองเห็นไหม? ไม่เห็น เกิดผลหรือยังบนโลกใบนี้ ไม่เกิด ไม่เห็นเลยว่าเป็นลูกพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บนโลกใบนี้ต้องทำอัศจรรย์ได้ ไม่มีเลย ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา  โคโลสี 1:27 ก็ได้บันทึกไว้อย่างนี้เหมือนกัน …

        โคโลสี 1:27 “พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริของความล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั้นคืออะไร? คือพระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ (ที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์)”

            “พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งพระเกียรติสิริ” ก็คือความยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริ สง่าราศี ที่อยู่ในชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระองค์ อย่างที่ตะกี้เราได้อ่านกันในหนังสือยอห์นนั้น พระเจ้าทำให้กับคนต่างชาติ ก็คือคนที่ไม่ใช่ชาวยิว มันคืออะไร? มันคือพระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เป็นความหวังแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์นั่นเอง ยิ่งใหญ่มาก นี่พูดถึงว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ต้องการให้คนที่ไม่ใช่ยิวมาได้รับสิ่งนี้ กำลังพูดให้กับชาวยิวฟังว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ให้กับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว ต้องการได้รับอย่างนี้เช่นเดียวกัน ชาวยิวในอดีต เขาอยากรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจะทำให้เกิดขึ้น ณ ที่ใด? อย่างไร? ให้กับใคร? โคโลสี 3:3 ก็บันทึกอย่างนี้เหมือนกัน …

        โคโลสี 3:3  “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า”

            “เพราะท่านตายแล้ว” ก็คือเราถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์ที่ไม้กางเขน ตายพร้อมพระเยซู ถูกฝังไว้ในอุโมงค์พร้อมพระเยซู เพราะฉะนั้น วันที่ 3 พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยพระสิริของพระเจ้า ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับพระเยซู เราจึงได้รับชีวิตนิรันดร์นั้น พร้อมพระเยซูไปด้วย เราจึงถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า เราเป็นส่วนหนึ่งในพระคริสต์ในพระเจ้าไปแล้ว  เพราะเรามีชีวิตนิรันดร์  เกิดจากชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ลักษณะที่เป็นเหมือนพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์แบ่งให้กับเรา

            แสดงให้เห็นว่านี่คือเราได้รับการปกป้อง คุ้มครองให้ซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ไม่ต้องไปกลัวใครแล้ว  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ไม่ว่าเราจะทำอะไร? ประพฤติตัวอย่างไร?  หรือว่าใครจะมาว่าเราก็ตาม ไม่ว่าจะมีฤทธิ์เดชอำนาจอะไรต่างๆ  ไม่สามารถแยกเราออกมาจากการซ่อนอยู่ในพระคริสต์ได้เลย  เราซ่อนอยู่ในนี้ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน นี่คือทำให้เรามีความมั่นใจ ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน  โดยพระคุณของพระเจ้าว่าโดยพระคุณของพระเจ้า เราได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ตลอดนิรันดร์กาล เอเมน นี่คือคำพยานยืนยันจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเรา  เราได้มีสิ่งเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว …

            “ฉันเป็นความชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เป็นพยานยืนยันอยู่ภายใน อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เอเมน”

            แต่ก็ยังมีผู้เชื่อบางคน บางกลุ่ม ที่ถูกล่อลวง โดยความไม่เชื่อจากความคิด แบบระบบโลก เคยได้ยินไหม? ที่บอกว่า …

            “ดีมากเลย คุณรับเชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว คุณได้รับความรอดและมีชีวิตนิรันดร์แล้ว ดีใจด้วย แต่คุณยังขาดอะไรบางอย่าง  เพราะฉะนั้น หลังเลิกนมัสการ เราเจอกันหน่อย ผมจะได้อธิษฐานเพิ่มเติม คุณจะได้รับการเจิมที่มากขึ้น ตอนนี้คุณเชื่อแล้ว ได้รับการเจิมจากพระเจ้าระดับหนึ่งแล้ว ฉะนั้น คุณจะต้องได้รับการเจิมเพิ่มขึ้น ให้สูงขึ้น คุณจะได้เข้าสู่ระดับความเชื่อที่มากขึ้น และต่อจากนี้ไป”

            พอเลิก เขาก็ไปหาคนที่นำ คนที่พูด ก็อธิษฐานให้เขาได้รับไฟ เสร็จแล้วก็บอกว่า …

            “นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่คุณต้องทำในการรักษาความรอดที่ได้รับไปแล้ว ชีวิตนิรันดร์ที่ได้รับไปแล้ว คุณต้องรักษาให้ดีๆ นะ ระวังชีวิตนิรันดร์นี้จะหายไป”

            เห็นไหม? ตอนนี้เรารู้ความจริง คำพยานเมื่อตะกี้นี้ยืนยันชัดเจน “ใช่แน่” แต่ถ้าท่านไม่หมั่นฟังคำพยานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้บ่อยๆ สิ่งที่ตรงกันข้ามจะเข้ามาด้วยวิธีนี้ คืบคลานเข้ามาว่าท่านยังไม่พร้อมหรอก ท่านต้องได้รับการเจิมเพิ่ม เจิมเพิ่มแค่นั้นไม่พอ ท่านต้องมีความประพฤติ ระวังสูญเสียความรอด ท่านออกไปจากที่นี่ ท่านได้รับความรอดแล้วก็จริง แต่ท่านต้องออกไปประพฤติปฏิบัติอย่างนี้นะ  เพื่อเป็นการรักษาความรอดของท่านตลอด ก็คือท่านต้องอธิษฐานเป็นประจำ ตื่นเช้ามา ต้องเฝ้าเดี่ยว กลางคืนต้องเฝ้าเดี่ยว ท่านต้องทำอย่างนี้ ท่านต้องขออภัยจากพระเจ้าตลอดเวลา ท่านต้องถวายทรัพย์นะ ไม่อย่างนั้นท่านจะถูกสาปแช่ง ท่านต้องอีกหลายต้องเลย  ต้อง 4 ต้อง 5 ต้อง 6 ท่านต้องอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่ม  เอาพระคัมภีร์ไปเลย แบกภาระกลับบ้านไปพร้อมชีวิตนิรันดร์

            ท่านว่าอะไรจะชนะ ท่านว่าอะไร? ภาระนั้นชนะ หรือชีวิตนิรันดร์นั้นชนะ เพราะชีวิตนิรันดร์ไม่ได้บอกเลยว่าให้ท่านกลับไปทำ เพียงแต่บอกให้กลับไปชื่นชมยินดีในชีวิตนิรันดร์ รับรู้สิ่งเหล่านี้ แล้วขอบคุณพระเจ้า แต่อีกอันหนึ่งบอกท่านต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั่น พูดง่ายๆ อันหนึ่งเชื่อว่าพระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว จึงขอบคุณพระเจ้า สำเร็จเรียบร้อยแล้ว อีกอันหนึ่งบอกพระเยซูยังทำไม่สำเร็จ ท่านต้องทำเพิ่ม 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 แล้วมาเช็คดูว่าท่านทำได้ขนาดไหนแล้ว ท่านต้องมาคริสตจักรเป็นประจำ และต้องเข้าเรียนรวีตอนเช้า แล้วตอนเย็นต้องเรียนอาทิตย์ละครั้ง เพื่อจะลงน้ำบัพติศมา ถ้าท่านไม่เรียน ไม่ให้ลง

            ที่พูดนี้ไม่ใช่ไปต่อต้านสิ่งเหล่านั้น อะไรที่สำคัญ อะไรที่ควรจะพูด อะไรที่ควรจะย้ำยืนยันมากกว่ากัน

            ซึ่งความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าถ้าคุณมีพระบุตร คือพระวิญญาณของพระคริสต์ คุณก็มีชีวิตนิรันดร์ ถ้าคุณมีชีวิตนิรันดร์ คุณก็มีพระบุตร คือพระวิญญาณของพระคริสต์ ไม่มีการแบ่งแยก 2 สิ่งออกจากกัน ไม่มีทางเลย ถ้าคุณมีพระวิญญาณ คุณก็มีพระวิญญาณ และมีพระคริสต์ และมีชีวิตนิรันดร์พร้อมกัน โรม 8:9 ยืนยันอย่างนี้เช่นเดียวกัน …

        โรม 8:9 “ถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ (ไม่ได้เป็นลูกของพระองค์)”

            พูดง่ายๆ ว่าคุณไม่สามารถเป็นลูกของพระเจ้า โดยที่ยังไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าได้เลย คุณไม่สามารถได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้าก่อน แล้วค่อยมาได้รับพระวิญญาณทีหลัง คุณมีพระวิญญาณและเป็นของพระเจ้า  หรือไม่เช่นนั้น คุณก็ไม่มีพระวิญญาณและไม่ได้เป็นของพระเจ้าเลย  ไม่มีพื้นที่ตรงกลาง  ไม่มีพระวิญญาณขั้น 2 ขั้น 3 หรือเต็มล้นขึ้น  ไม่มีพระวิญญาณระดับสูง หรือเต็มล้นท่วมท้น นี่คือข่าวดี

            เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตในท่าน พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่ในท่านอย่างเต็มบริบูรณ์ เรียบร้อยแล้ว

            ท่านลองดูนะ สมมติว่าเราเชิญเพื่อนมารับประทานอาหารที่บ้าน เพื่อนเราก็เป็นบุคคล มีตัวตน มีสิทธิ์ที่จะตอบเราได้แค่ 2 ทางเท่านั้น คือบอกว่ามาหรือไม่มา  เราเชิญไปแล้วนะ  เพื่อนเราไม่สามารถบอกว่าโอเคๆ เดี๋ยวจะไปครึ่งตัว เสร็จแล้ว ถ้าเมื่อไรว่างจะไปอีกครึ่งหนึ่งให้ครบ เราก็หัวเราะก๊ากเลยนะ

            เช่นเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็อย่างนี้แหละ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นบุคคล มาก็คือมา ไม่มาก็คือไม่มา เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกใครเปิดประตู เราจะเข้าไป พระองค์เข้าไปแค่ครึ่งตัว รอก่อน เมื่อเธอแน่ใจ ฉันจะเข้าไปอีกครึ่งหนึ่ง ไม่มี พระองค์เป็นบุคคล เมื่อพระองค์เข้าไป ก็คือเข้าไป อยู่ก็คืออยู่ ไม่อยู่ก็คือไม่อยู่

            เพราะฉะนั้น ท่านจงมั่นใจได้ว่าท่านเชื่อ เปิดใจแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับท่านอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เต็มที่ตลอดเวลา พระองค์มีตัวตน เป็นบุคคล เป็นตรีเอกานุภาพ พระองค์เข้าไป ก็คือเข้าไป และไม่ได้เข้าไปเพียงบุคคลเดียว  เข้าไปทั้ง 3 บุคคล เป็นตรีเอกานุภาพ อยู่ในท่านแล้ว

            เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ จงรับรู้สิ่งเหล่านี้ว่านี่คือความจริง คำพยานเหล่านี้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผู้บอกเราให้เรารับรู้สิ่งเหล่านี้ว่ามันเป็นจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์นั้น สถิตอยู่ในเรา และเราไม่ขาดอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่ต้องไปหาอะไรเพิ่ม ไม่ต้องรับการเจิมเพิ่ม พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเราแล้ว เพียงแต่รับรู้เพิ่มเท่านั้นเอง สิ่งที่ควรทำ คือรับรู้สิ่งเหล่านี้เพิ่มเติม สิ่งที่จำเป็นในโลกฝ่ายวิญญาณ ในชีวิต การดำเนินชีวิตคริสเตียนนั้น ไม่จำเป็นต้องหาอะไรเพิ่มแล้ว เพิ่มอย่างเดียว  คือเพิ่มการรับรู้ว่าความจริงคืออะไร? คือถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้เท่านั้น  เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ต้องรับสิ่งเหล่านี้ แล้วบอกเราตลอดเวลาว่าสิ่งเหล่านี้เป็นจริง

            พระเจ้าไม่เคยตรัสว่า … “เจ้ามีพรทางฝ่ายวิญญาณแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว แต่เจ้ายังขาดพระวิญญาณบริสุทธิ์ ต้องเติมอีกนิดหนึ่ง” หรือ “เจ้ามีทุกสิ่งที่จำเป็นแล้วในทางฝ่ายวิญญาณ แต่เจ้ายังขาดพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

            ไม่มี  มาพร้อมกันทุกอย่าง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ คำพูดโกหกเหล่านี้ เราคอยระมัดระวังและคอยสังเกตว่ามันใช่หรือไม่? ถ้าไม่ใช่ เราปิดสวิตช์ อย่าไปฟัง อย่าไปคิดตาม เพราะนั่นไม่ใช่คำสัญญาที่แท้จริง แต่ถ้อยคำพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์บอกนั้น จะทำให้เราเป็นไทเสมอ เป็นอิสระเสมอในพระเยซูคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “พระเยซูไม่ได้​เอา​เลือด​แพะ​ และ​เลือด​ลูกวัว​เข้าไป แต่​ได้​ถวาย​เลือด​ของ​พระองค์​เอง พระองค์​จึง​ทำให้​เรา​เป็น​อิสระ​ จาก​บาป​ตลอดไป”

            เมื่อ 2, 000 ปีที่แล้ว พระเยซูถูกเฆี่ยนตีปางตาย แล้วถูกนำไปตรึงบนกางเขน

            ยอห์น 19:28-30 … “28 หลังจาก​นั้น​พระเยซู​รู้​ว่าทุก​อย่าง​เสร็จสิ้น​สมบูรณ์​แล้ว เพื่อ​ให้​คำ​ต่างๆ​ ใน​พระคัมภีร์​เกิด​ขึ้น​จริง พระองค์​พูด​ว่า “เรา​หิว​น้ำ” 29 มี​ไห​ใส่​เหล้าองุ่น​เปรี้ยว​อยู่​ที่​นั่น พวก​เขา​จึง​เอา​ฟองน้ำ​ชุบ​เหล้าองุ่น​เปรี้ยวนี้​ ใส่​ปลาย​กิ่ง​ไม้​หุสบ แล้ว​ยื่น​ไป​จ่อ​ไว้​ที่​ปาก​ของ​พระองค์ 30 เมื่อ​พระองค์​ได้​ชิม​เหล้าองุ่น​เปรี้ยว​แล้ว จึง​ได้​ร้อง​ว่า  “สำเร็จ​แล้ว” จาก​นั้น​ก็​คอพับ​และ​สิ้นใจ​ตาย”

            พระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ ผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป

            โรม 5:8-9 … “8 แต่​พระเจ้า​ได้​แสดง​ความรัก​ต่อ​เรา (มวลมนุษย์) โดย​ยอม​ส่ง​พระคริสต์​มา​ตาย​เพื่อ​เรา ทั้งๆ​ที่​เรา​ยัง​เป็น​คน​บาป ​(ศัตรูกับพระเจ้า) อยู่ 9 ตอนนี้​พระเจ้า​ยอมรับ​เรา ​(เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว​ เพราะ​เลือด​ของ​พระคริสต์ ยิ่งกว่า​นั้น​เรา​จะ​รอด​พ้น​จาก​ความ​โกรธ​ (การถูกลงโทษ เพราะบาป) ของ​พระเจ้า​ (ในวันพิพากษา) เพราะ​พระคริสต์​อย่าง​แน่นอน”

            ฮีบรู 9:12 … “พระองค์​เข้าไป​ใน​ห้อง​ที่​ศักดิ์สิทธิ์​ที่สุด​ (ที่สถิตอยู่ของพระเจ้าพระบิดาในสวรรค์) นั้น​เพียง​ครั้งเดียว​ก็​พอ​สำหรับ​ตลอดไป พระองค์​ไม่ได้​เอา​เลือด​แพะ​และ​เลือด​ลูกวัว​เข้าไป แต่​ได้​ถวาย​เลือด​ของ​พระองค์​เอง พระองค์​จึง​ทำให้​เรา​ (มวลมนุษย์) เป็น​อิสระ​จาก​บาป​ตลอดไป”

            พระองค์ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ให้มนุษย์กระทำดีเหมือนที่โมเสสได้สอนแล้ว แต่พระองค์มา เพื่อตายด้วยความทุกข์ทรมาน แบกรับบาปของมวลมนุษย์ (เป็นแกะปัสกา เป็นแพะรับบาป) เพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาป

            และพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามพระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย เพื่อมนุษย์จะได้สามารถบังเกิดใหม่ มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์

            พระเยซูไม่ได้เป็นอาจารย์ของศาสนาคริสต์ พระองค์ไม่ได้มาสอนให้คนทำความดี  เพราะโมเสสสอนให้คนทำดีตามกฎบัญญัติอยู่แล้ว ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนดีพร้อม ตามข้อกำหนดของกฎนั้นๆ ได้ เพราะเกิดมาเป็นคนบาป

            แต่พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า มาเพื่อกำจัดบาป ให้มนุษย์สามารถเป็นคนที่ดีพร้อมในสายตาของพระเจ้าโดยการตาย ถูกฝังไว้และรับการบังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ พระเยซูมาเกิดเพื่อการนี้ จึงได้เน้นย้ำประกาศข่าวดีนี้ ให้กับมนุษย์ทุกคน ให้เชื่อในคำพูดของพระองค์ ให้วางใจในพระองค์ว่า พระองค์ คือผู้นั้นแหละที่พระเจ้าเตรียมไว้ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ คือพระคริสต์ พระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด

            พระเยซูจึงไม่ได้มาสอนให้คนทำดี แต่มาทำให้คนเป็นคนดีได้ โดยการเกิดใหม่จากพระเจ้า

            พระเยซูมาลบล้างบาปทั้งสิ้น ให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นคนดีโดยกำเนิด และทำดีตามธรรมชาติตัวตนภายในที่เหมือนพระองค์

            พระเยซูตรัสว่า “เราไม่ได้มาลบล้างกฎต่างๆ ที่ดีงาม แต่เรามาทำให้สมบูรณ์ครบถ้วน”

            “ใครมีหูจงฟังเถิด!”

            พระเจ้าอวยพรครับ