คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม 2025
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 15
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อหนังสือกาลาเทีย บทที่ 4 สัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 23 อ่านทวนนิดหนึ่ง …
กาลาเทีย 4:23 “บุตรจากหญิงที่เป็นทาสเกิดตามปกติธรรมดา ส่วนบุตรจากหญิงที่เป็นไทเกิดตามพระสัญญา”
สัปดาห์ที่แล้วเราจบลงตรงนี้ อาจารย์เปาโลเน้นถึงความสำคัญของพระสัญญาของพระเจ้า ที่พระองค์ได้สัญญาไว้ว่าจะประทานบุตรตามพระสัญญา เป็นหน่อเชื้อหน่อเดียวที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เริ่มต้นเลย ตั้งแต่สมัยของอับราฮัมที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่าพระเจ้าจะอวยพรพงศ์พันธุ์ของอับราอัม แล้วพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม จะทำให้ผู้คนบนโลกใบนี้ได้รับพระพร ที่พระเจ้าเน้นถึงพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม ก็ไม่ได้หมายถึงทุกคนบนโลกใบนี้ แต่สิ่งที่พระเจ้าเน้นถึง คือหน่อเชื้อหน่อเดียว คือพระเยซูคริสต์ที่ไม่มีบาปเลย วันหนึ่งพระเจ้าจะส่งมา แล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาจากความตาย
เมื่อตอนที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้มนุษยชาติมีตัวเลือก เมื่อก่อนมนุษย์ไม่มีตัวเลือก ตอนที่บรรพบุรุษของเราล้มลงในความบาป ตอนที่แผนการของพระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาติยังไม่สำเร็จ ตอนนั้น มนุษย์ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมไป เราเคยได้ยินใช่ไหมคนไทยชอบพูดว่า …
“เกิดมา ก็มารับเวรรับกรรม เมื่อไรจะรับหมดสักที ใช้เวรใช้กรรมอยู่นี่แหละ ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดสักทีหนึ่ง”
ความรู้สึกของคนเป็นอย่างนี้ คิดว่าเราเกิดมา ก็ต้องมาชดใช้เวรกรรม แล้วความเป็นจริงมันก็ใช่ด้วย เพราะว่ามนุษย์เกิดมา ก็เป็นคนบาป เกิดมา ก็เดินทางไปสู่ความตาย ต้องชดใช้เวรกรรม แต่พระเจ้าได้ทรงเตรียมแผนการของพระองค์ไว้ สำหรับมนุษยชาติ เป็นเวลาหลายพันปี เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิด แล้วเดินไปที่ไม้กางเขน เป็นวันที่พระเจ้าเตรียม การไว้ เป็นเวลาที่เหมาะสม
เราจะสังเกตว่าเวลาพระเจ้าเตรียม พระเจ้าบอกเราว่าพระองค์จะทำอะไร? ไม่ได้หมายความว่าพระองค์บอกปุ๊บ เรื่องนั้นมันจะเกิดขึ้นทันที ไม่ใช่ มันต้องใช้เวลาของพระเจ้า ที่พระองค์ได้กำหนดไว้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อถึงเวลากำหนด พระองค์ก็ทำให้สิ่งสารพัดเหล่านี้เกิดขึ้น ตามพระสัญญา
วันนี้เราจะมาต่อข้อ 24 …
กาลาเทีย 4:24-26 “24 เรื่องนี้ถือเป็นการเปรียบเทียบได้ หญิงทั้งสองหมายถึงสองพันธสัญญา พันธสัญญาหนึ่งมาจากภูเขาซีนาย คือนางฮาการ์ให้กำเนิดลูกทาส 25 นางฮาการ์ หมายถึงภูเขาซีนาย ในประเทศอาระเบีย เล็งถึงกรุงเยรูซาเล็มปัจจุบัน เพราะนางกับบรรดาบุตรของนางเป็นทาสอยู่ 26 ส่วนเยรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบนนั้นเป็นไท เป็นมารดาของเราทั้งหลาย”
เราจะเห็นภาพ มีอยู่ 2 พวก ฝั่งหนึ่งเป็นทาส อีกฝั่งหนึ่งเป็นไท เป็นทาส ก็คือมนุษย์เกิดมา ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เป็นทาสแล้ว เป็นทาสบาป แต่รอถึงพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา มนุษย์มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ยอมเป็นทาสอีกต่อไป เรามีสิทธิ์เลือกนะ บางคนก็ยังคงเลือกที่จะอยู่เป็นทาสต่อไป อยู่เป็นทาสของกฎบัญญัติต่างๆ กฎบัญญัติคนยิว ที่พระเจ้าเป็นคนตั้ง แต่ว่าสิ่งที่มนุษย์ทั่วไป ที่ไม่ใช่ชนชาติยิว กฎบัญญัติพระเจ้าเขียนไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน ก็คือเป็นกฎที่ทุกคนจะรู้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จิตใต้สำนึกทุกคนรู้
ฉะนั้น กฎเหล่านี้ พยายามที่จะครอบคลุมมนุษย์ ให้พยายามกระทำความดี ซึ่งมนุษย์ทำ แต่ไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ พระเจ้าไม่ได้บอกว่ามนุษย์ทำดีไม่เป็น มนุษย์ทำดีเป็นนะ แต่ว่าไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามมาตรฐานที่พระเจ้าตั้งไว้ ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือพระเจ้าแยกระหว่างพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ ให้กับพวกเราได้เห็น แล้วก็ได้รับรู้ถึงพระคุณของพระเจ้า
พันธสัญญาเดิม มนุษย์ต้องทำเอง ทำเองทุกอย่างเลย ตอนที่พระเจ้าสั่งโมเสส ให้ชนชาติอิสราเอลถวายเครื่องบูชา ใครทำผิดทำบาป ก็คือตัวคนๆ นั้นแหละต้องไปหาเครื่องบูชามาถวาย ไม่ว่าจะเป็นแกะ เป็นแพะ เป็นนกพิราบให้มาถวาย เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป แต่ลบล้างตรงนี้เป็นชั่วคราวนะ ไม่ใช่เป็นถาวร ฉะนั้น มนุษย์จำเป็นต้องทำเอง พยายามที่จะฝึกฝนที่จะไม่ทำบาป
แต่พอถึงยุคที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์ เป็นขึ้นมาจากความตายเรียบร้อย พันธสัญญาใหม่ได้เกิดขึ้นในวันอีสเตอร์แรกของโลกใบนี้ แล้วเกิดขึ้นที่สมบูรณ์แบบที่สุด คือในวันเพนเตคอสแรกของโลกใบนี้ด้วย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว หมายความว่าแผนการทั้งหมดเรียบร้อย มนุษย์สามารถที่จะมาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มารับความรอดนี้จากพระเจ้าได้ คือทุกคนมีสิทธิ์เลยนะ ตอนนี้ไม่ใช่เฉพาะชนชาติอิสราเอล แต่ทุกคน ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ประเทศใด ถ้าเขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาจะได้รับตรงนี้ทันที คือได้รับพระพรนานัปการที่พระเจ้าได้ทำให้สำเร็จแล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับการผ่าตัดวิญญาณ ได้รับการเปลี่ยนจากวิญญาณเก่า ที่เป็นบาป มาเป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า คือทุกส่วนเหล่านี้ พระเจ้าทำให้หมดแล้ว ทำให้เป็นของขวัญ ถ้าใครเดินเข้ามา รับเลย พระเยซูไม่ต้องทำเพิ่ม หรือทำใหม่ คือมันมีอยู่แล้ว
ฉะนั้น ตรงนี้ พันธสัญญาเดิม มนุษย์ยังต้องทำ พอถึงพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าบอกว่าเป็นพันธสัญญาแห่งพระคุณ คำว่า “พระคุณ” แปลว่าพระเจ้าให้เปล่าๆ โดยที่มนุษย์ไม่ต้องพยายามดิ้นรนทำ เพื่อที่จะได้รับของขวัญชิ้นนี้ ลักษณะเหมือนเวลาพี่น้องวันเกิดคนที่เรารัก ไม่ได้หมายความว่าใครเกิด แล้วเราต้องวิ่งไปหาของขวัญให้ทุกคน เราทำไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หมายความว่าคนที่อยู่ในครอบครัวเรา หรือคนที่เป็นเพื่อนสนิท มิตรสหายที่เรารัก เวลาเขาเกิด เราก็อยากจะเตรียมของขวัญให้เขา พอเตรียมของขวัญให้เขา เราก็ไปแฮปปี้เบิร์ดเดย์ เขาก็ขอบคุณค่ะ รับของขวัญไป
คงไม่มีใครรับของขวัญเสร็จ ก็ควักกระเป๋าเอาตังค์ให้ จ่ายตังค์ค่าของขวัญ มีไหม? ไม่มี ตังค์ค่าของขวัญไม่มี ถ้าจะจ่ายตังค์ หมายความว่าเราฝากเขาซื้อ ถ้าพี่น้องฝากใครซื้อของ ต้องจ่ายตังค์นะ อย่าเนียน ฝากซื้อ พอเขาเอาของมาให้ปุ๊บ ขอบคุณค่ะ แล้วก็เงียบไปเลย มันไม่ได้นะอย่างนี้
ฉะนั้น มันมีกฎเกณฑ์เยอะแยะมากมาย ที่พระเจ้าเขียนไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า หลักการในการอยู่ด้วยกัน หรือหลักการในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ทำสำเร็จแล้ว
พระคุณตรงนี้ คือสิ่งที่มนุษย์ไม่สมควรได้รับ แต่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว มนุษย์คนใดก็ตาม ถ้าได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาจะได้ของขวัญนี้ทันที โดยที่เขายังไม่ได้ทำดีเลย
ตอนที่เรามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราต้องทำดีก่อน แล้วค่อยรับของขวัญไหม? ไม่มีนะ ตอนที่เรามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ คือเราได้ยินได้ฟังเรื่องพระเจ้า แล้วเราก็ได้ยินคนที่อยู่ในโบสถ์ ได้ยินคนที่เขาเล่าเรื่องราวของพระเจ้าให้เราฟัง แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน บางคนใช้เวลาแป๊บเดียว ฟัง ข้างในวิญญาณอาจจะรับพระเยซูคริสต์ บางคนใช้เวลา 20 ปี 30 ปี กว่าจะยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉะนั้น ตรงนี้ พอได้ยินได้ฟังเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง
เมื่อคนนั้นบอกพระเจ้าว่าเขาต้องการพระองค์ ต้องการการช่วยเหลือจากพระองค์ เราสู้ด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว เราทำด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว หมดแรงแล้ว ลิ้นห้อยแล้ว ขอช่วยลูกด้วยเถิด พอบอกอย่างนี้ปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันเกิดขึ้นจริงๆ แต่ว่าเราไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ไม่รู้สึกด้วยซ้ำไป
ตอนที่พี่น้องอธิษฐานรับเชื่อ รู้สึกอะไรไหม? ไม่รู้สึกเนอะ อาจารย์บอกอธิษฐานรับเชื่อ เราก็อธิษฐานรับเชื่อ แล้วอาจารย์ก็จะบอกเราว่าตอนนี้พระเยซูอยู่ในท่านแล้วนะ เราก็เหรอๆ เดี๋ยวนี้พระเยซูอยู่ในเรา ตอนนั้นเราจะไม่รู้เรื่อง เราจะแค่เกิดวิญญาณหนึ่ง คือวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง เมื่อเรายอมรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาทำขบวนการการบังเกิดใหม่ เกิดสิ่งหนึ่ง เกิดขึ้น วิญญาณแห่งการเชื่อฟัง แล้วของประทานแห่งความเชื่อด้วย ทำให้เราสามารถเชื่อได้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย เชื่อเฉยเลย ถ้าเมื่อก่อนเชื่อไหม? ไม่มีทาง คิดให้สมองแตก เราก็เชื่อไม่ได้มันเป็นเรื่องตลกโปกฮา พูดอะไร …
“พวกคริสเตียนแปลกเนอะ มาเล่าอะไรก็ไม่รู้ให้เราฟัง เป็นไปไม่ได้หรอก แล้วยังมาบอกว่าเราเป็นคนบาป พอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราจะสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมเลย ยิ่งเชื่อไม่ได้ใหญ่เลย”
แต่ว่าพอวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา พระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับตราลงไปในวิญญาณของเรา ให้เรามีความสามารถเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ มีความสามารถเชื่อว่าเราได้บังเกิดใหม่จริงๆ มีความสามารถเชื่อว่าเราอยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ นี่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเราเชื่อได้อย่างไร? แต่มันเชื่อไปแล้ว อย่างดิฉันเชื่อได้อย่างไรก็ไม่รู้ เกือบ 40 ปีแล้ว พอเชื่อแล้ว เชื่อเลย เชื่อปุ๊บ มันจะมีสิ่งแปลกอันหนึ่งเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน คือทันทีที่เราเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ จากวันนั้น ในวิญญาณจะไม่มีความรู้สึกอยากจะแสวงหาอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณเลย อย่างก่อนหน้านั้น เรายังไม่เชื่อ เราอาจจะหิว ยังกระหายอยู่ หาที่ไหนก็เติมไม่เต็ม เราจะหาไปเรื่อยๆ หาไปเรื่อยๆ เขาเรียกว่าหิวกระหายฝ่ายวิญญาณ แต่ยังไม่เจอตัวจริงๆ เราก็เลยต้องหาไปเรื่อยๆ แต่พอวันที่เราหาพระเยซูคริสต์เจอ ความหิวกระหาย มันหายไปเลย เรารู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ พอแล้ว เราพอใจแล้ว เราไม่อยากจะไปหาอะไรอีกแล้ว เราอยากหาพระองค์นั่นแหละ แค่นั้น แล้วมันก็ดำเนินอย่างนั้นมาจนถึงวินาทีสุดท้ายในชีวิตของพวกเรา มันก็จะเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราชัดเจน และตัวเราเองสามารถเป็นพยานได้ด้วยว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ คนอื่นบอกเราไม่ได้หรอก คนอื่นมาพูด เราก็ไม่สามารถเข้าใจ นอกจากเราได้ชิมพระองค์ แล้วเรารู้ว่าพระองค์สุดยอด ดีเลิศ ประเสริฐศรีมาก แล้วเราก็ขอบคุณพระองค์ได้ทุกวัน ขอบคุณพระเจ้านะ ที่พระองค์ทรงให้เราได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระองค์ ครอบครัวสวรรค์ของพระองค์ รับเราเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นบุตรที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วในชีวิตของเรา ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก เชื่อไม่เชื่อ ไม่รู้แหละ พระเยซูบอก …
“มันเป็นไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเรากับของเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้”
นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วในวิญญาณของเรา
กาลาเทีย 4:27-28 “27 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “จงยินดีเถิด หญิงหมันเอ๋ย ผู้ไม่เคยมีลูก จงเปล่งเสียงโห่ร้องเถิด เจ้าผู้ไม่เคยเจ็บครรภ์ เพราะลูกของหญิงที่โดดเดี่ยว ก็ยังมีมากกว่าลูกของหญิงผู้มีสามี” 28 พี่น้องทั้งหลาย ฝ่ายท่านเป็นบุตรแห่งพระสัญญาเช่นเดียวกับอิสอัค”
เราจำชื่ออิสอัคได้ใช่ไหม? อิสอัคเป็นบุตรแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าได้บอกกับอับราฮัมว่า …
“เราจะอวยพรพงศ์พันธุ์ของเจ้าผ่านทางอิสอัค”
แล้วพระเจ้าไม่ได้พูดลอยๆ แต่พระองค์กำหนดไว้ด้วยว่าอิสอัคจะเกิดจากนางซารายเท่านั้น คือผู้หญิงคนอื่นไม่ใช่มาจากพระสัญญา ฉะนั้น บุตรของนางฮาการ์ไม่ได้เป็นไปตามพระสัญญาของพระเจ้า แต่เกิดจากความต้องการของมนุษย์ เราจะเห็นภาพว่าตอนที่อับราฮัมมีลูกคนแรก อิชมาเอล ไม่ได้เกิดจากความต้องการของพระเจ้า แต่เกิดจากความปรารถนาของอับราฮัมกับนางซาราย ก็คือรอนานมาก รอพระเจ้า ไม่ไหว ช่วยพระเจ้านิดหนึ่งก็แล้วกัน สงสัยพระเจ้ายังไม่พร้อม แต่เราพร้อมแล้ว เราอยากจะช่วย ช่วยจริงๆ นะ แต่มันไม่เกิดผลอะไร พระเจ้าไม่นับอิชมาเอล เป็นลูกแห่งพันธสัญญา ฉะนั้น เมื่ออิชมาเอลไม่ได้เป็นลูกแห่งพันธสัญญา เขาก็เป็นลูกแห่งการพึ่งพาตัวเอง จากมนุษย์เอง ก็คือลูกบาป พูดง่ายๆ คือเป็นลูกบาปนั่นเอง
ภาพตรงนี้ เป็นข้อความที่มาจากพระคัมภีร์เดิม ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นว่ามีผู้หญิงหลายๆ คน ซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงด้วยนะ พระเจ้าเลือกไว้ด้วย อย่างเช่น นางเรเบคาห์อย่างนี้ นางเรเบคาห์กว่าจะมีลูก ต้องใช้เวลานานมากเลย เป็นหมัน แล้วจนต้องอธิษฐานขอพระเจ้า แล้วพระเจ้าเปิดครรภ์ ทำให้เขาได้มีลูก เหมือนกับตอนยาโคบ ยาโคบมีภรรยา 4 คน แล้วภรรยาที่เขารักที่สุด คือนางราเชล เป็นหมันเหมือนกัน ภรรยาคนอื่น 3 คน คลอดลูกแล้วคลอดลูกอีก เป็นขบวนเลย แต่นางราเชลไม่มีลูก จนต้องอธิษฐาน พระเจ้าก็เปิดครรภ์
แล้วถ้าเป็นพระคัมภีร์เดิม ผู้หญิงคนไหน ถ้าไม่มีลูก ถือว่าผู้หญิงคนนั้น ถูกสาปแช่ง แต่ว่าในยุคปัจจุบัน มันไม่เกี่ยวกัน ถ้าพี่น้องจะเอาพระคัมภีร์เดิมมาผสมกันกับพระคัมภีร์ใหม่ ปัจจุบัน คนไม่มีลูกเยอะแยะมากมาย มีคู่สามีภรรยาเขาแต่งงานกัน แล้วเขาก็ไม่มีลูก แล้วถ้าเราเอาพระคัมภีร์เดิมมาผสม เราก็จะไปมองครอบครัวใดที่ไม่มีลูกว่านี่เป็นครอบครัวที่ถูกสาปแช่ง พระเจ้าไม่รัก พระเจ้าลงโทษ มันไม่เกี่ยวกัน นี่เป็นประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์เดิมที่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วพระเจ้าก็เปิดครรภ์ พอเปิดครรภ์ ถือว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับพระพร คนสมัยก่อน ถ้ามีลูกเยอะยิ่งได้รับพระพรนะ แต่ปัจจุบัน ถ้ามีลูกยิ่งเยอะ ยิ่งยากจน จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย ยุคสมัยมันต่างกัน แต่สิ่งที่มันมีในชีวิตของพวกเรา ก็คือเราอยู่ในยุคพระคุณ
ยุคพระคุณตรงนี้ เขาเรียกว่าเราเป็นลูกแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า เหมือนอิสอัค อิสอัคถือว่าเป็นต้นตระกูลเลย เพราะว่ามาจากลูกคนแรกที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัม
กาลาเทีย 4:29-30 “29 ครั้งนั้น บุตรที่เกิดตามปกติธรรมดา รังแกบุตรที่เกิดโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ บัดนี้ ก็เช่นกัน 30 แต่พระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไร? “ขอให้ไล่เมียทาสกับลูกของนางไปเถิด เพราะลูกของเมียทาสนั้น จะไม่มีวันมีส่วนร่วมในมรดกกับลูกของหญิงที่เป็นไท”
เหตุการณ์ตรงนี้ อยู่ในพระคัมภีร์เดิม อิชมาเอลโตกว่าอิสอัคประมาณ 14 ขวบ คือตอนที่อิสอัคคลอด อิชมาเอลน่าจะอายุ 14 แล้ว นึกภาพนะ พี่ตัวใหญ่ น้องตัวเล็ก เวลาเล่นในพระคัมภีร์ใช้คำ เหมือนรังแกกัน อาจจะว่าเขาโต แล้วเล่นแรง ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าบุตรที่เกิดตามปกติธรรมดา เล็งถึงอิชมาเอล มารังแกบุตรที่เกิดโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ คือมารังแกอิสอัค พอรังแกอิสอัคปุ๊บ นางซาราไม่ยอม ไม่ได้ ก็มางอแงกับอับราฮัม เหมือนเดิม
“นี่ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ อิชมาเอลจะมาอยู่กับลูกของฉันไม่ได้”
ก็คือมันต้องแยกจากกันอยู่แล้ว ตามถ้อยคำพระเจ้า ยังไงก็ต้องแยกจากกัน คือบุตรแห่งพันธสัญญากับบุตรตามธรรมดา อยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็เลยให้ไล่หญิงทาสนั้นไป พระเจ้าก็บอกกับอับราฮัม พี่น้องลองนึกภาพอับราฮัม ตอนที่นางซาราให้ไล่นางฮาการ์ไป อับราฮัมก็กลุ้มใจ เพราะว่านางฮาการ์ ก็ถือว่าเป็นภรรยา ภรรยาน้อย 1 คน อิชมาเอล ก็ถือว่าเป็นลูก 1 คน ทีนี้ให้ทำอย่างไรดี ให้ไล่ทั้งลูก ทั้งเมียออกไป แล้วเราจะตัดสินใจอย่างไร?
แต่สิ่งที่อับราฮัมได้รับจากพระเจ้า คือพระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่าให้เชื่อฟังนางซารา ก็คือให้เชิญนางฮาการ์กับอิชมาเอลออกจากบ้าน ก็คือไม่ให้อยู่แล้ว ต้องให้อิสอัคอยู่ครอบครองคนเดียว ตามพระสัญญา สมัยก่อน ก็แปลกดี อับราฮัมให้นางฮาการ์ออกไป ให้น้ำ 1 ถุงกับขนมปังนิดหน่อย แล้วบอกเหมือนไปตายเอาดาบหน้า อะไรประมาณนั้น แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น คือเราขอบคุณพระเจ้ามากๆ แม้มนุษย์จะผิดพลาด แต่พระเจ้าก็ยังคงเมตตา ทรงดูแล ความผิดพลาดเกิดจากอับราฮัมกับนางซารา ถ้าจะพูดถึงนางฮาการ์ไม่เกี่ยวอะไรเลย เพราะว่าเขาเป็นคนใช้ คนใช้ในสมัยก่อนเหมือนทาส นายให้ทำอะไรก็ต้องทำ
ฉะนั้น พระเจ้าก็เลยอวยพรพงศ์พันธุ์ของอิชมาเอลเหมือนกัน ก็คือไม่ได้ทอดทิ้ง อวยพร แต่คำอวยพรตรงนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องของโลกวิญญาณ อวยพรเฉพาะในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้เท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบกับปัจจุบัน พระเจ้าสามารถอวยพรคนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า ให้เขาเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งได้ ถ้าเขาดำเนินชีวิตที่ดี นึกออกไหม?
ผลของสิ่งที่พระเจ้าบอก อย่างเช่น พระเจ้าบอกจงให้เกียรติบิดามารดา แล้วเจ้าจะไปดีมาดีบนแผ่นดินโลก มนุษย์ใครก็ได้ที่ทำตามนี้ เขาก็จะได้รับพระพร แม้ว่าเขาไม่ได้เชื่อพระเจ้า เขาจะได้รับพระพรเฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่วิญญาณของเขายังอยู่ในวิญญาณเดิม ถ้าเขาไม่ยอมย้าย แม้เขาจะได้รับพระพรจากพระเจ้าก็ตาม แต่เขาจะไม่ได้พระพรฝ่ายวิญญาณ คือวันหนึ่งเมื่อวิญญาณออกจากร่าง เขาก็ต้องไปชดใช้ คือไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ นี่คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ฉะนั้น คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ก็สามารถรับพระพรจากพระเจ้าได้
ในขณะเดียวกัน พวกเราซึ่งเชื่อวางใจในพระเจ้า เราสามารถรับพระพรจากพระเจ้าทั้งฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายวิญญาณเราได้ชัวร์ๆ แบบ 1,000% เรียบร้อยไปแล้ว ฝ่ายร่างกายก็แล้วแต่ อย่างที่บอก พระเจ้าบอกว่าพระองค์พอใจจะอวยพรใคร พระองค์ก็จะอวยพรคนนั้น เป็นสิทธิ์ขาดของพระองค์ว่าพระองค์อยากจะอวยพรใคร พระองค์ก็จะอวยพรคนนั้น ฉะนั้น เราไม่ต้องตะเกียกตะกาย ในพระคัมภีร์บอกว่าทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตะเกียกตะกาย หรือพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง ไม่ต้อง แต่ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งดี ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว
แต่คำว่า “สิ่งดี” ของแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกัน สิ่งดีของคนๆ หนึ่ง อาจจะไม่ใช่สิ่งดีของอีกคนหนึ่งก็ได้ แต่ว่าพระเจ้าเห็นแล้วว่าอันนี้ ถ้าเธอได้ มันจะเป็นผลดี แต่ส่วนใหญ่ สิ่งที่พระเจ้าให้เราเป็นผลดี เราก็ไม่ค่อยถูกอกถูกใจเท่าไรหรอก ถ้าพระเจ้าอวยพรเรา ให้อยู่ดีมีสุขทุกอย่าง เราดีนะ เรามีความสุข เราขอบคุณพระเจ้าได้ แต่ว่าในขณะเดียวกันถ้าเกิดเราเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ยาก บนโลกใบนี้ เรายังสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ไหม? ถ้าวิญญาณข้างในเราผูกพันกับพระเจ้า แล้วเรารับรู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? แล้วพระเจ้าบอกว่าสิ่งที่พระเจ้าให้กับเรามันจะเป็นผลดี พระเจ้าไม่เคยเอาสิ่งเลวร้ายมาสู่ชีวิตของเรา ฉะนั้น เมื่อเรายอมรับ และเราพอใจในการนำของพระเจ้า เราก็จะมีความสุข
เราเปรียบเหมือนเป็นเด็กๆ ของพระเจ้า เหมือนลูกหลานเรา เราจะสังเกตเวลาลูกเราเล็กๆ เด็กชอบเล่น เล่นอย่างเดียว เล่นเสร็จขอกินขนม บอกมากินข้าว ไม่เอาไม่อยากกิน ข้าวมีประโยชน์มากิน ไม่เอา ไม่อยากกิน ไม่หิว ขอกินเป็นขนมได้ไหม? นี่คือเด็ก มาๆ มาอ่านหนังสือ ไม่อยากอ่านหนังสือ ขอไปเล่นได้ไหม? ขอเล่นเกมได้ไหม? นี่คือภาพ ภาพปกติที่เราจะเห็นตามบ้านทุกบ้านเลย มันจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าผู้ใหญ่ คือพ่อแม่ที่ดูแล พระเจ้าจะให้สติปัญญา ไม่ได้หมายความว่าจะจับลูกเรามานั่งจุมปุ๊กเรียนทั้งวัน มันไม่ได้หรอก คือสมองเขารับได้ไม่เยอะ คือเด็กจะมีเวลาเรียน มีเวลาเล่น มีเวลาวิ่ง คือทุกอย่างจะมีให้เหมาะสม แล้วอย่างเด็กบอกให้แปรงฟัน แปรงไหม? งอแงกว่าจะยอมแปรง แต่มันเป็นประโยชน์ไง พ่อแม่ก็ต้องบังคับ ต้องแปรง ไม่อย่างนั้น ฟันผุ ก็ต้องไปถอดฟัน ฟันผุ แล้วมันกินอะไรไม่อร่อย ก็บอกเหตุผลให้ลูกฟัง เขาก็จะฟัง เด็กเนอะ พรุ่งนี้ก็จะมาใหม่อีกแล้ว มาแปรงฟัน ไม่อยากแปรงฟัน อะไรอย่างนี้ ถึงวัยที่ต้องเรียน พ่อแม่ก็สรรหา เราขอบคุณพระเจ้า พ่อแม่ยุคใหม่ สรรหาจริงๆ ลูกเพิ่งเกิด ไปหาโรงเรียนให้แล้ว สมัยก่อน ยุคของเรา เราก็รอให้เขาถึงวัย เราค่อยไปหาโรงเรียนใกล้ๆ บ้าน สะดวกดี เราไปส่งง่าย แต่ยุคปัจจุบันไม่ได้ คือต้องสรรหาโรงเรียนที่มีชื่อเสียง โรงเรียนที่ดี ทุกอย่างดีเลิศประเสริฐศรี แม้ว่าจะอยู่ไกลบ้าน เราก็จะยอมขับรถพาลูกไปส่ง อะไรประมาณนั้น ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป
ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่การดูแลของพระเจ้าเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยน คือทุกอย่างมันจะเป็นเหมือนเดิม ก็คือเด็กยังต้องมีการควบคุม ดูแล มีการสอน มีการแนะแนวทางว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี แต่ไม่ใช่ว่าพ่อแม่แนะปุ๊บ ลูกเราก็จะเชื่อฟังทุกอย่างนะ ไม่มี ดื้อบ้าง เชื่อฟังบ้าง วันที่เชื่อฟังพ่อแม่ก็มีความสุข วันนี้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก พอไม่เชื่อฟัง เราก็ต้องปล้ำสู้กับเขา นี่คือปกติของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้
เช่นกันในฝ่ายวิญญาณ คิดดูเราเป็นพ่อแม่ในโลกนี้ เรายังสรรหาอะไรที่ดีเลิศให้กับลูก แล้วพระเจ้าล่ะ พระเจ้าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์จะสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา มากกว่าเราตั้งอีก 100 เท่า 1,000 เท่า เราเป็นมนุษย์ เราไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรับรู้ไม่ว่าสถานการณ์จะมาเป็นแบบไหน? ไม่ว่าเราจะเผชิญกับสิ่งใดก็ตาม ที่ไม่ถูกใจ ถูกใจ แล้วแต่ แต่ให้เรารับรู้ว่าพระเจ้ารักเรา รักขนาดไหน? รักขนาดยอมตายแทนเราบนไม้กางเขน พอไหม? รักแค่นี้ แล้วพระเจ้าองค์นี้ ไม่เคยทอดทิ้งเรา นี่คือพระสัญญา พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา อยู่กับเรา ทั้ง 3 พระภาค นี่คือสิ่งที่ อัศจรรย์มาก ตรงนี้มันปกติมากเลย บุตรที่เกิดธรรมดาก็รังแกบุตรที่เกิดตามพระสัญญา
ทุกวันนี้เราเห็นไหม? บางคนมาเป็นคริสเตียน ถูกข่มแหงรังแกไหม? ถูกข่มเหงรังแกนะ ขอบคุณพระเจ้าที่ดิฉัน ครอบครัวไม่มีการต่อต้าน ใครจะไปเชื่ออะไร เชิญตามสบาย ขอบคุณพระเจ้า ดิฉันเป็นคนที่เชื่อเกือบสุดท้าย คนอื่นเขาเชื่อไปหมดแล้ว เราเลยไม่มีปัญหาเรื่องการต่อต้านจากครอบครัว แต่ว่าก็จะมีการต่อต้านจากคนรอบข้าง บางทีจากคนที่เรารู้จักหรือจากเพื่อนที่เราคุ้นเคย เคยชินกับเขา เมื่อก่อนเราก็ไปคลุกคลีตีโมงกับเขาได้ ตอนนี้ เราก็ไม่ไปผสมโรงกับเขา แบบนั้น ก็ถอยห่างออกมา แต่ว่าถ้าเพื่อนที่เขาเข้าใจเรา เขาก็โอเคกับเรามากๆ แค่เขารู้ว่าเราเป็นคริสเตียน
อย่างทุกวันนี้ อายุเยอะแล้ว 70 กว่า เพื่อนที่คบกันตั้งแต่ประถม 3-4 เขาก็จะนัดมากินข้าวด้วยกัน แต่อยู่ในวงกินข้าว อย่าคุยเรื่องความเชื่อ เดี๋ยวคุยแล้วทะเลาะกัน เราไปเพื่อสนุกสนาน เพื่อไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับเพื่อน เป็นอย่างไรสบายดีไหม? อะไรอย่างนี้ แค่นี้พอ อย่าไป พระเจ้าบอกต้องถือทุกโอกาสเลย ไปถึงเราจะพยายามเอาข่าวประเสริฐให้เพื่อน พอดี เขาตีหัวเราแตก พอคราวหน้าไม่ชวนคนนี้แล้ว มาทีไรวงแตกทุกที มันก็ไม่ใช่
ถ้าพระเจ้าเปิดโอกาส เราก็ประกาศได้ แค่เพื่อนรู้ว่าเราเป็นคริสเตียน แค่นั้นพอแล้ว เราได้ประกาศชั้นหนึ่ง ตรงนี้เป็นพระพรสำหรับพวกเราทุกๆ คน
กาลาเทีย 4:31 “ฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราไม่ใช่บุตรของหญิงที่เป็นทาส แต่เป็นบุตรของหญิงที่เป็นไท”
เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน มีพระเจ้าองค์เดียวกัน เป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์
กาลาเทีย 3:28-29 “28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวง เป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์ 29 ถ้าท่านเป็นของพระคริสต์ ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมและเป็นทายาทตามพระสัญญา”
แล้วตอนนี้ พวกเราทุกคนเป็นเรียบร้อยแล้ว เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ พอคนที่เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าครอบครัวใหญ่ของพระเจ้า พอครอบครัวใหญ่ของพระเจ้า เขาบอกว่าไม่มียิว ไม่มีกรีก สมัยก่อนเขามีแยกนะ คนในยุคพระคัมภีร์เดิม หรือตอนพระกิตติคุณ คนยิวเขายังแยกชนชั้น ระหว่างชนชาติยิวกับคนต่างชาติ คนยิวจะถือว่าเขาเป็นคนพิเศษของพระเจ้า เขาถูกเลือกโดยพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า แล้วเขาก็จะมองคนต่างชาติแบบมองจากขาขึ้นข้างบน มองแบบดูถูก แล้วยิวเขาเปรียบคนต่างชาติเหมือนหมา เหมือนสุนัข เป็นอย่างนั้น คนที่ไม่มีสกุลรุนชาติ แต่พอถึงยุคที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว เราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหน? เราจะเป็นผู้จัดการใหญ่ หรือเราจะเป็นเจ้าของกิจการ หรือเราจะเป็นคนงาน หรือเราจะเป็นแม่บ้าน เป็นคนกวาดขยะ เป็นคนอะไรก็แล้วแต่ พอเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเจ้าไม่ได้แยกชนชั้น ทุกคนเท่าเทียมกัน เพราะว่าเราทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ก็คือไม่มีการแยกเยอะแยะมากมาย แล้วรับรู้ว่าเมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็เป็นลูกของอับราฮัม อับราฮัม คือเป็นบิดาแห่งความเชื่อ แล้วก็เป็นทายาทตามพระสัญญา
นี่คือพระพรที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน แล้วพวกเราทุกคน ณ ปัจจุบัน เราได้รับเรียบร้อยไปแล้วด้วย เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
*****************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
คริสเตียน! ท่านดูดี สมฐานะ เมื่อสวมเสื้อใหม่ในพระคริสต์ แทนเสื้อเก่าในอาดัม
1 เปโตร 2:1 … “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงละความชั่วทั้งปวง การอุบายต่างๆ ความไม่จริงใจ ความริษยา และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย”
เพราะฉะนั้น เมื่อท่านรู้ถึงพระคุณของพระเจ้า ที่ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ ชำระท่านจนสะอาด หมดจด แยกท่านออกมาเป็นส่วนพระองค์เลย มีค่าในสายพระเนตรพระองค์ และให้ท่านบังเกิดใหม่ ด้วยหน่อเชื้อที่เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์ และเป็นนิรันดร์ด้วย ท่านได้รับความรอดนิรันดร์ อยู่ในสวรรคสถานกับพระองค์แล้ว ด้วยความเมตตา ด้วยความรักของพระเจ้า ท่านเป็นเช่นนี้แล้ว
เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านจงถอดเสื้อเก่า ก็คือตัวเก่าของท่านที่ตายกับพระเยซู ที่ไม้กางเขน ตายไปแล้ว
ฉะนั้น ความประพฤติที่เคยทำสมัยก่อน ที่เป็นทาสของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็อย่าให้มันหลอกลวง ให้ไปสวมเสื้อเก่า แต่จงสวมเสื้อใหม่ จงขจัดข้อมูลจอมปลอม หลอกล่อ ที่มันส่งเข้ามาในความคิดของเราออกไป ทิ้งมันออกไป
เสื้อเก่า คือความคิดมุ่งร้าย การฉ้อฉล ความหน้าซื่อใจคด คือเมื่อท่านรู้แล้วว่าท่านเป็นคนที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรคสถาน มีมรดกนิรันดร์แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ก็จงมีความภูมิใจ มั่นใจ เมื่อมีความภูมิใจ มั่นใจแล้ว ท่านก็จะไม่มุ่งร้ายกับใคร? ไม่โกหกใคร? ไม่หน้าซื่อใจคด ไม่ริษยาใคร?
พระเจ้าอวยพรครับ