วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1515

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  มีนาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 17 “พยาน คือพระวิญญาณผู้สถิตอยู่ภายในผู้เชื่ออย่างสมบูรณ์แล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มาต่อหนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 17  ตอนที่แล้ว คือตอนที่ 16 ชื่อเรื่อง “พระวิญญาณในตัวผู้เชื่อ ทรงเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์” วันนี้ตอนที่ 17 เรื่อง “พยาน คือพระวิญญาณผู้สถิตอยู่ภายในผู้เชื่ออย่างสมบูรณ์แล้ว” ครั้งที่แล้วจบลงที่ 1 ยอห์น 5:10 วันนี้เริ่มต้นที่ 1 ยอห์น 5:11 …

        1 ยอห์น 5:11 “คำพยานนี้ ก็คือพระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้อยู่ในพระบุตรของพระองค์”

            คำพยานในข้อความนี้ หมายถึงการยืนยันหรือการประกาศความจริง  ที่ว่าพระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่เราทั้งหลาย  ผู้เชื่อแล้ว  และชีวิตนี้ในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์นี่แหละ คือพยาน พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยาน

            พระวิญญาณบริสุทธิ์มีบทบาทสำคัญ เป็นพยานยืนยันถึงความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เชื่อคริสเตียน พระวิญญาณมีบทบาทสำคัญที่สุด ในการเป็นพยาน การที่มนุษย์ออกมาเป็นพยานว่า …

            “ฉันเชื่อพระเจ้า พระเจ้ามีจริงนั้น”

            พูดได้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายใน แต่มนุษย์พูดก็ไม่ชัดเจนเท่ากับพระวิญญาณพูด พระวิญญาณพูด คือสิ่งที่เป็นถ้อยคำพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์

            อย่างข้อความนี้ หมายถึงว่าในขณะนี้ ในตอนนี้ ขณะที่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ภายในตัวคริสเตียน  ภายในตัวของเราผู้เชื่อ มีพยานอยู่กับตัวเลย ดังนั้น เราไม่ต้องแสวงหาคำพยานจากที่ไหนแล้ว ไม่ต้องแสวงหาคำพยาน บอก …

            “คำพยานของพี่น้องคนนี้ ใหญ่โตมากเลย ดีมากเลย”

            โอเคดี ฟังได้ แต่เราไม่จำเป็นต้องไปพึ่งคำพยานเหล่านั้น  เพราะว่าเรามีวิญญาณที่อยู่ในตัวเราแล้ว พยานนั้น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณนี้กำลังย้ำยืนยันในตัวเรา ให้เราทั้งหลายรู้ว่าไม่ใช่พยานยืนยันให้เรารู้สึกว่า นี่เราเข้าใจผิด เราถูกหลอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเราแล้ว ทำให้เรารู้สึก น้ำตาไหล เพราะฉะนั้น แสดงว่าพระเจ้าอยู่ด้วย ไม่ใช่ น้ำตาไม่ไหล ขนไม่ลุก ตัวไม่สั่น แต่ก็ยืนยันโดยความจริงว่าให้เรารับรู้ตามถ้อยคำของพระเจ้าที่บันทึกไว้ว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย  และยืนยันว่าเรามี ก็ได้ เราเป็นก็ได้  เราได้เป็นชีวิตนิรันดร์แล้วทางวิญญาณ  เราได้รับความรอดแล้ว  และเราได้เกิดจากพระเจ้าแล้ว เราได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่เรียกพระเจ้าว่าพ่อเลยแหละ นี่คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันภายใน ให้เรารับรู้ ไม่ใช่รู้สึก ถ้าเผื่อเรามั่นคงตรงนี้ได้ เราจะไม่ถูกหลอก

            เพราะฉะนั้น ถ้าใครก็ตามที่บังเกิดจากพระเจ้า ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พยานนี้ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ก็จะอยู่ในตัวเขา  และพระองค์ก็จะไม่ไปไหนอีกเลย และพระองค์จะอยู่กับเขา และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไปถึงนิรันดร์เลย เอเฟซัส 1:13-14 ได้ยืนยันอย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:13-14 “13 และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ ด้วยดวงตราคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้” 14 “ผู้เป็นมัดจำค้ำประกัน (พยานยืนยัน) ว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่  อันเป็นการสรรเสริญ พระเกียรติสิริของพระองค์”

            เราเชื่อแล้วใช่ไหม? เมื่อเราเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่เราได้ยิน พระเจ้าก็ทรงประทับตราเราที่เชื่อนั้นไว้ในพระองค์

            คำว่า “ประทับตรา” หมายถึงผนึกเข้าไปในเซฟเลย  เหมือนเขาใส่ของมีค่าในเซฟ ธนาคาร ปิด ผนึกอย่างดี หรือเหมือนน้ำอัดลม ที่เขาไปซื้อขวดเก่ามา  แล้วเอามารีไซเคิล ล้างให้สะอาด ฆ่าเชื้อเสร็จปุ๊บ  ใส่น้ำใหม่เข้าไป เสร็จแล้วทำอย่างไร? ออกมาโชว์ได้อย่างไร? ยังไม่โชว์ ใส่น้ำใหม่ แล้วก็ปิดฝาจุกเข้าไป อย่างนั้นแหละ เขาเรียกว่าปิดผนึก  ในที่นี่ใช้คำว่า “ประทับตราในพระองค์” ก็คืออยู่ในขวดนั่น ก็คือในพระเจ้า ทั้ง 3 พระภาค

            ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสัญญาไว้  แล้วก็ปิดผนึกวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน  3 พระภาคอยู่ข้างใน เราก็อยู่ข้างในนั้น ขวด คือร่างกายของเรา ปิดผนึก แล้วก็ห่อหุ้มไว้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า นี่แหละ คือสภาพของวิญญาณของตัวของเรา ที่เชื่อในพระเจ้า เป็นเช่นนี้

            พระวิญญาณผู้ทรงเป็นพยาน เป็นมัดจำ ค้ำประกัน ยืนยันว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เราได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการรับรอง ยืนยันถึงการที่เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และมี หรือเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า ประทับตราโดยพระเจ้า ออกไปสู่ตลาดได้ ทำจากโรงงานตรีเอกานุภาพ  ให้กำเนิดเรา ออกไปได้ โชว์ ประทับตราเรียบร้อยเลย แล้วก็ออกไปตลาด ออกไปสู่โลกแห่งความมืด เราเป็นแสงสว่าง เป็นดวงไฟที่พระองค์ทรงให้ออกมา ทั้ง 3 พระภาคและตัวเรา  ผนึกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในโรม 8:9 ก็ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        โรม 8:9 “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน  (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป อยู่ในเนื้อหนัง แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ สถิตอยู่ภายใน คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            และท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ  ในขวดที่ตะกี้นี้ผมบอก รีไซเคิล ก็คือร่างกายของเราในปัจจุบัน แม้ว่าร่างกายที่ต้องตายและอ่อนแอ แต่มันถูกรีไซเคิล ทำจนสะอาดหมดจด ปราศจากบาป  พระเจ้ารับได้แล้ว เข้ามาสถิตอยู่ได้ ส่วนวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกับตรีเอกานุภาพอยู่ภายใน ภายในไหน? ภายในขวด ปิดผนึกด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คลุมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เรากำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ

            ใครก็ตามไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ปกคลุมอย่างนี้ สถิตอยู่ภายในอย่างนี้ คนนั้น ก็แสดงว่าไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นของพระเจ้า ไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไร? เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วันนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า หรือเรียกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ เข้ามาสถิตอยู่ภายในเราทันที เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์นั่นแหละ พระเยซูคริสต์ หรือเรียกอีกสถานะหนึ่งในขณะที่เข้าไปอยู่ในตัวเรา เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์  … พระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือผู้เดียวกัน เข้ามาเมื่อไร? เข้ามาทันทีที่เราเปิดใจ เราเรียกกันว่าได้บังเกิดใหม่ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของพระเยซูคริสต์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่พระเยซูคริสต์แบ่งให้เรา อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนเลย เราเลยไม่ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมอีกแล้ว สำหรับด้านโลกฝ่ายวิญญาณ  เพราะเราได้รับทุกสิ่งที่จำเป็นในการเป็นลูกของพระเจ้า  เราได้เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน เราได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์เลย ไม่แตกต่างกันเลย 2 เปโตร 1:3-4 ได้พูดถึงตรงนี้ว่า …

        2 เปโตร 1:3-4 “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้วในการมีชีวิตที่ชอบธรรมและดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริและความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และรอดพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

            ด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่  ปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทำ จึงได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เราที่จำเป็นแล้ว  ได้ให้กับเราในคุณสมบัติที่จำเป็นในการที่จะเป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง  ได้เตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้ว ในการที่จะมีชีวิตที่เป็นผู้ชอบธรรม  และดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ในพระคริสต์ ก็คือผ่านทางการต้อนรับพระเยซูจากข่าวประเสริฐที่เราได้ยิน

            ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์ ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ คือเข้าร่วมในชีวิตนิรันดร์  พระเกียรติสิริ คือชีวิตนิรันดร์ของพระเยซู

            ให้เราเข้าร่วม มีส่วนในเกียรติสิริ คือชีวิตนิรันดร์และความดีงามของพระองค์ในพระคริสต์ โดยสิ่งเหล่านี้  พระองค์ได้ประทานพันธสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนเข้าไปในพระลักษณะของพระเจ้า ก็คือเข้าไปมีส่วนใน DNA ของวิญญาณของพระเจ้า พอมองภาพออกแล้วใช่ไหม? ก็คือบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ วิญญาณมาจาก DNA ของพระเจ้า มีพระลักษณะของพระเจ้า เหมือนเลย และรอดพ้นจากความเสื่อมทรามของโลกนี้ ก็คือเมื่อเป็นเช่นนี้ ได้บังเกิดใหม่อย่างนี้ ก็คือรอดพ้นจากความบาปและความตาย และคำสาปแช่งที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ที่เรียกว่าอาณาจักรของความมืด เราได้ถูกย้ายมาอยู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระคริสต์แล้ว เป็นอย่างนี้

            นี่คือความจริง ที่เกิดขึ้นแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราทั้งหลายนั้น เป็นพยานยืนยันอย่างนี้ตลอดเวลา เราจะรับรู้หรือไม่รับรู้ แต่ก็ยืนยันอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่ใช่รับรู้ โดยการที่เรารู้สึกว่าอย่างนี้มันเกิดขึ้นกับเรา ไม่ได้รู้สึกได้เลย บางครั้งเรารู้สึกซาบซึ้ง น้ำตาไหล ก็ดีไป ก็ขอบคุณไป แต่ไม่ใช่พึ่งว่าน้ำตาไหลเมื่อไร? เรื่องเหล่านี้จึงเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ หรือบางครั้งเรานมัสการไป ร้องเพลงไป รู้สึกอินในเรื่องนี้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว แล้วตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ ตัวสั่นไปหมดเลย พระวิญญาณสถิตกับเรา มันก็จริง แต่ไม่ได้พึ่งตรงนี้ว่าเมื่อไรไม่สั่น พระเจ้าไม่อยู่ด้วย เพราะส่วนใหญ่พระเจ้าไม่อยู่ด้วยมากกว่า ถ้าเราไปคิดอย่างนั้น ก็คือส่วนใหญ่ในชีวิตของเราไม่ได้สั่นอย่างนั้นตลอดเวลา ใช่ไหม? ถ้าเราไปพึ่งอย่างนั้น เราก็เสร็จ ถูกโกหก

            แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันภายในตัวเราแล้วจริงๆ แต่หลายครั้งที่ความคิด จิตใจของเราเกิดความไขว้เขว บ่อยครั้งเลย  เกิดความไขว้เขวในความจริงเหล่านี้  เพราะความมั่นใจในความรอด ในชีวิตนิรันดร์ของเรานั้น ไม่ได้อยู่ที่ความคิดของเรา  เพราะว่าพยานยืนยันในเรื่องความจริงเหล่านี้ที่เกิดขึ้นอยู่ที่ไหน? อยู่ในใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่ความคิดของเรา

            ความคิดของเรามักจะเข้าๆ ออกๆ เปลี่ยนไปมาตลอดเวลา แต่ใจเราไม่เปลี่ยน ใจเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ แต่ความคิดของเรา พระวิญญาณไม่ได้สถิตอยู่ที่ความคิดของเรา เราต้องรับรู้ในความคิดว่าพระวิญญาณสถิตอยู่ภายในเรา  และยืนยันถึงความจริงเหล่านี้ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ไม่ได้อยู่ที่ความคิดของเรา บางวันเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสงสัย บางวันเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเศร้าโศก บางวันเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับความกลัว วิตกกังวล บางวันเราดำเนินชีวิตด้วยการถูกกล่าวหาจากมาร ผ่านมาทางความคิดเยอะแยะไปหมดเลย เรารู้สึกว่าเราถูกโจมตีทางความคิด โจมตีความจริงที่อยู่ในใจของเรา  ทำให้เราเกิดความคิด ที่เริ่มย้อนอดีตแล้ว ก่อนที่เราจะมาเชื่อ เริ่มคิดที่จะขุดคุ้ยว่าอดีตเราทำอะไรมา แล้วตอนนี้เราทำอะไรอยู่ แล้วเราก็เริ่มคิดต่อต้านความจริงที่เกิดขึ้นในใจและในวิญญาณของเรา ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยัน คิดต่อต้านว่า …

            “เอ๊ะ! เรามีชีวิตนิรันดร์จริงหรือ?  เราเป็นลูกพระเจ้าจริงหรือ?  เราสมบูรณ์ครบถ้วนดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์จริงหรือ?  เรายังทำตัวอย่างนี้เลย  เราดีพอหรือยัง?  เราทำดีได้เพียงพอหรือยังที่จะเป็นลูกพระเจ้า เราทำดีพอหรือยัง ที่จะมีชีวิตนิรันดร์”

            ทั้งๆ ที่ในวิญญาณแห่งความเป็นจริงนั้น เราเป็นอยู่แล้ว แต่ในความคิดเราต่อต้าน มันก็เกิดความเครียด ความกังวล ความวิตก ท่านลองคิดดูนะ ถ้าพระเจ้าทรงรักเราตามถ้อยคำพระเจ้าบอกเราไว้ และพระองค์เสด็จเข้ามาอยู่ภายในเรา  พยาน ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็อยู่ในตัวเราเสมอตลอดเวลา พยาน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ ไม่ได้อยู่ที่ความคิด ไม่ได้อยู่ที่สมองของเรา แต่พยานนี้อยู่ในใจ เพราะฉะนั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะมีความคิด มีความรู้สึกว่าจริงหรือเปล่า  เราไม่ต้องไปฟ้องผิดว่า …

            “ทำไมเกิดขึ้นกับฉัน พระเจ้ายกโทษด้วยๆ”

            มันเป็นธรรมดาอยู่บนโลกใบนี้ เราสามารถเลือกที่จะคิดไปทิศทางไหน?  ต้องฝึก เรื่องที่จะตั้งความคิดของเรา ไว้ที่คำพยานที่อยู่ในใจ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์  หรือจะตั้งความคิดจิตใจเราไว้ที่เนื้อหนัง เนื้อหนัง คือระบบของโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความบาปและความตายและคำสาปแช่ง ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่ในชีวิตเก่าของเรา ระบบเขาทำอย่างไร เราก็คิดตามเขา ในระบบของโลกนี้ ง่ายๆ ก็คือตามกิเลสตัณหาของตามองเห็น ที่จับต้องมองเห็นได้ เราไปเชื่อสิ่งเหล่านั้น เราไปคิดตามสิ่งเหล่านั้น มันก็ต่อต้านความจริง เราสามารถที่จะตั้งอยู่บนพยานแห่งความจริง คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเลือกที่จะตั้งจิตใจเราที่คำกล่าวโทษของมัน ที่มารส่งความคิดเข้ามาว่าเราดีไม่พอ คอยจะยุแหย่เรา คอยประณามหรือว่ากล่าวเราตลอดเวลาว่า …

            “เราไม่ดีหรอก ทำตัวอย่างนี้ เรียกว่าลูกพระเจ้าจริงหรือ? นี่บริสุทธิ์หรือ? รับได้หรือ? ตัวเองบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระเยซูเลยหรือ!”

            รับได้หรือ! อะไรประมาณนั้น มันจะมาอยู่ตลอดเวลา โดยผ่านทางระบบสัมผัสต่อสมอง ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิด สมองของเรา นี่แหละ มันผ่านทางสิ่งเหล่านี้ คือความคิดของเราเหมือนสวิตช์ไฟ เปิดปิด ความคิดของเราเหมือนสมรภูมิ ที่มารต้องการมาโจมตี ทางเดียวที่มันทำได้ คือโจมตี ไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย แม้แต่นิดเดียว  เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เราไม่ต้องกลัวตัวมาร กลัวก็คือ? เกรงก็คือข้อมูลที่ส่งหลอกลวง ล่อลวง ในความคิดของเรา น่ากลัวที่สุด มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว แตะต้องเราก็ไม่ได้ ทำได้อย่างเดียว คำราม คือส่งข้อมูลเหล่านี้มา ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กายและความคิดจิตใจ ยิงเข้ามาตลอดเวลา

            ถ้าสมองเราเหมือนสวิตช์ไฟ เปิดปิด มีอยู่ 2 อัน ก็คือสวิตช์ที่เหมือนในใจ จะเปิดหรือจะปิด ปิดเรียกว่าดับพระวิญญาณ ถ้าเปิดแสดงว่าเชื่อพระวิญญาณ  อีกสวิตช์หนึ่ง ก็คือของโลกใบนี้ คือรับของมาร จะเปิดหรือจะปิด? สวิตช์ที่ความคิดตามโลกนี้ จะเปิด ก็คือรับมันเข้ามา ถ้าปิด ก็ไม่รับ มาเปิดสวิตช์ของพระวิญญาณดีกว่า อย่างนี้แหละ

            อย่างเช่นความจริง ก็คือพระเยซูคริสต์ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เราเปิดไหม? เปิดต้อนรับ ถ้าเปิดต้อนรับตลอดเวลา เราก็ไม่ต้องสนใจข้างนอกที่จะพูดว่า …

            “เฮ้ย! ยังไม่ดีเลย อย่างนี้ อย่างโน้น อย่างนั้น  เธอทำอย่างนี้ยังไม่ดีเลย ยังอิจฉา ริษยาเขาอยู่เลย ยังโกรธ ยังเกลียดเขาอยู่เลย ประพฤติตัวอย่างนี้หรือ? เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์และดีพร้อม”

            เราปิดสวิตช์ซะ แล้วก็บอกว่า “เอ้อ! ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์และดีพร้อมอยู่ มีอะไรหรือเปล่า?”

            อย่างนี้เขาเรียกว่าเปิดสวิตช์พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่ส่งถ้อยคำเหล่านี้มานั้น  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  สิ่งที่สังเกตได้ ก็คือซ้ำข้อความเดิมตลอดเวลา หลายท่านก็ถูกข้อมูลจากโลกนี้ส่งเข้ามา มาฟังบรรยายทีไร ไม่เห็นพูดเรื่องอื่นเลย พูดแต่เรื่องเหล่านี้ ก็มันเป็นคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับตัวท่าน ฟังเบื่อแล้ว นั่นแหละ คำว่า “เบื่อ” เริ่มจะเปิดสวิตช์ระบบของโลกใบนี้ อยากจะฟังเรื่องอื่นๆ เรื่องวิชาความรู้ เรื่องสนุกสนาน เริ่มแถออกไป

            เพราะฉะนั้น สังเกตได้ ถ้ามาจากพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ มันต้องเป็นเรื่องชัดๆ เรื่องเดียว คือต้องพุ่งไปตรงนี้ว่าท่านทั้งหลาย เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์และดีพร้อม เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้ท่านอยู่ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว  ไม่มีอะไรสามารถมาแยกท่านออกจากพระเจ้าได้ ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมาต่อต้านท่านได้เลย แม้แต่นิดเดียว พระเจ้าอยู่ข้างท่านตลอดเวลา พระเจ้าไม่ถือโทษ โกรธท่าน  ไม่ว่าท่านทำบาปต่างๆ นานา พระเจ้าอภัยให้เสมอตลอดเวลา ฉันเชื่อตามนี้ ฉันจะฟังแค่นี้ ที่เหลือเหตุผลมากมาย 180 ประการ เอาเหตุผลมาอ้าง อันโน้นทำไมเป็นอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ๆ เป็นคนดี ทำอย่างนี้ๆ ไม่ดี จะขึ้นสวรรค์ได้อย่างไร? ไม่ต้องไปฟัง

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงเป็นวิญญาณย้ำยืนยัน ค้ำประกันในการสถิตอยู่ นี่แหละ คือเหตุผลที่เราสามารถเรียกความมั่นใจได้ว่าเราได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์  เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์ในฐานะเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่มีวันเป็นอื่นไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว ขอบคุณพระเจ้า 1 ยอห์น 5:12 …

        1 ยอห์น 5:12 “ผู้ที่มีพระบุตร ก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระเจ้า ก็ไม่มีชีวิต”

            ตรงนี้หมายถึงผู้ที่มีพระบุตร ก็คือพระคริสต์ ผู้ที่มีพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน ก็มีชีวิต พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์ พูดง่ายๆ ก็คือผู้ที่มีพระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์ ก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ และไม่มีพระคริสต์สถิตอยู่ ก็ไม่มีชีวิต ก็หมายถึงไม่มีชีวิต

            เพราะฉะนั้น ทั้งพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับผู้เชื่อนั้น ถึงจะมีชีวิตนิรันดร์  เพราะว่าชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นชีวิตของพระเยซูคริสต์นั่นเอง อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือพระคริสต์นั่นแหละ ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตในท่าน ยอห์น 17:21-23 ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าพระคริสต์อยู่ในเราอย่างไร? และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในเราอย่างไร? …

        ยอห์น 17:21-23 “21 ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับพระองค์พระบิดาอยู่ในตัวลูก และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา 22 เกียรติสิริ (ชีวิตนิรันดร์) ซึ่งพระองค์ประทานแก่ลูกนั้น ลูกได้มอบให้พวกเขา (ทุกคนที่เชื่อในลูก) แล้ว เพื่อพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) จะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับลูก เป็นหนึ่งเดียวกัน คือ 23 ลูกอยู่ในพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) และพระองค์ อยู่ในลูก ขอให้พวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งลูกมา และทรงรักพวกเขา (ผู้ที่เชื่อ) เหมือนที่พระองค์ทรงรักลูก”

            เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ทั้ง 3 พระภาค ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  เขาทั้งหลายเหล่านี้ ผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกับพระเจ้าพระบิดาอยู่ในตัวลูก อยู่ในตัวพระเยซู ลูกอยู่ในพระองค์ พระเยซูอยู่ในพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกัน ขอให้พวกเขา ก็คือขอให้พวกเราคริสเตียน ผู้เชื่อนั้น อยู่ในพวกเราด้วย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย  เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ส่งลูกมา เกียรติ สิริ ซึ่งพระองค์ประทานให้กับลูกนั้น

            เกียรติ สิริ ก็คือชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระองค์ทรงประทานให้แก่ลูก ถามว่าตรงนี้มาจากไหน? ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝัง และวันที่ 3 พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาใหม่

            คำว่า “เป็นขึ้นมาใหม่” นั้น ภาษาเดิม ละเอียดขึ้นอีก ในวันที่ 3 พระเจ้าพระบิดาได้ชุบพระเยซู แปลว่าพระเจ้าได้ประทานชีวิตนิรันดร์กลับคืนมาใหม่ให้กับพระเยซู มันหมายถึงอย่างนั้น

            คือพระเยซูบอก … “ชีวิตนิรันดร์ที่ข้าพระองค์ได้รับจากพระองค์ ทรงชุบข้าพระองค์ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์นั้น”

            พวกเราอยู่ในนั้นด้วย เรามีส่วนด้วย คนที่เชื่อในพระองค์ ในนี้จึงบอกว่าเกียรติสิริ คือชีวิตนิรันดร์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่ลูกนั้น ลูกได้มอบให้พวกเขาแล้ว มอบอะไร? มอบชีวิตนิรันดร์ส่วนหนึ่งให้กับเขา ผู้เชื่อทั้งหลาย เมื่อเขาเชื่อ เขาก็จะได้สิ่งนี้ เพื่อพวกเขาผู้เชื่อทั้งหลายจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์กับลูกเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันเพราะอะไร?  เพราะมีชีวิตนิรันดร์ มี DNA ในวิญญาณเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน เหมือนกับใคร? เหมือนกันกับพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์ได้มาจากใคร? พระเยซูคริสต์ได้มาเหมือนกับพระบิดา  เพราะฉะนั้น เรากับพระบิดา ก็มี DNA ทางวิญญาณเหมือนกัน  ในพระคัมภีร์จึงบอกว่าเรามีพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ในเรา เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            ข้อ 23 บอกว่า “ลูกอยู่ในพวกเขา” ก็คือผู้เชื่อ “และพระองค์อยู่ในลูก ขอให้พวกเขาผู้เชื่อได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์  เพื่อให้โลกได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งลูกมา และทรงรักพวกเขา คือพวกคริสเตียนผู้เชื่อทั้งหลายนั้น เหมือนที่พระองค์ทรงรักลูก” เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงรักเราทั้งหลายเท่าๆ กันกับรักพระเยซูคริสต์

            นี่คือคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เชื่อได้ไหม? เชื่อได้ไม่ได้ คิดได้ไหม? คิดไม่ออกเลย คิดทีไร ไม่เชื่อทุกที รู้สึกได้ไหม? รู้สึกไม่ได้ จับต้องมองเห็นไหม? ไม่เห็น เกิดผลหรือยังบนโลกใบนี้ ไม่เกิด ไม่เห็นเลยว่าเป็นลูกพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บนโลกใบนี้ต้องทำอัศจรรย์ได้ ไม่มีเลย ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา  โคโลสี 1:27 ก็ได้บันทึกไว้อย่างนี้เหมือนกัน …

        โคโลสี 1:27 “พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริของความล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั้นคืออะไร? คือพระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ (ที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์)”

            “พระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งพระเกียรติสิริ” ก็คือความยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริ สง่าราศี ที่อยู่ในชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระองค์ อย่างที่ตะกี้เราได้อ่านกันในหนังสือยอห์นนั้น พระเจ้าทำให้กับคนต่างชาติ ก็คือคนที่ไม่ใช่ชาวยิว มันคืออะไร? มันคือพระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เป็นความหวังแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์นั่นเอง ยิ่งใหญ่มาก นี่พูดถึงว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ต้องการให้คนที่ไม่ใช่ยิวมาได้รับสิ่งนี้ กำลังพูดให้กับชาวยิวฟังว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ให้กับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว ต้องการได้รับอย่างนี้เช่นเดียวกัน ชาวยิวในอดีต เขาอยากรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจะทำให้เกิดขึ้น ณ ที่ใด? อย่างไร? ให้กับใคร? โคโลสี 3:3 ก็บันทึกอย่างนี้เหมือนกัน …

        โคโลสี 3:3  “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า”

            “เพราะท่านตายแล้ว” ก็คือเราถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์ที่ไม้กางเขน ตายพร้อมพระเยซู ถูกฝังไว้ในอุโมงค์พร้อมพระเยซู เพราะฉะนั้น วันที่ 3 พระเยซูถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยพระสิริของพระเจ้า ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับพระเยซู เราจึงได้รับชีวิตนิรันดร์นั้น พร้อมพระเยซูไปด้วย เราจึงถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า เราเป็นส่วนหนึ่งในพระคริสต์ในพระเจ้าไปแล้ว  เพราะเรามีชีวิตนิรันดร์  เกิดจากชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ลักษณะที่เป็นเหมือนพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์แบ่งให้กับเรา

            แสดงให้เห็นว่านี่คือเราได้รับการปกป้อง คุ้มครองให้ซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ไม่ต้องไปกลัวใครแล้ว  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ไม่ว่าเราจะทำอะไร? ประพฤติตัวอย่างไร?  หรือว่าใครจะมาว่าเราก็ตาม ไม่ว่าจะมีฤทธิ์เดชอำนาจอะไรต่างๆ  ไม่สามารถแยกเราออกมาจากการซ่อนอยู่ในพระคริสต์ได้เลย  เราซ่อนอยู่ในนี้ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน นี่คือทำให้เรามีความมั่นใจ ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน  โดยพระคุณของพระเจ้าว่าโดยพระคุณของพระเจ้า เราได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ตลอดนิรันดร์กาล เอเมน นี่คือคำพยานยืนยันจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเรา  เราได้มีสิ่งเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว …

            “ฉันเป็นความชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เป็นพยานยืนยันอยู่ภายใน อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เอเมน”

            แต่ก็ยังมีผู้เชื่อบางคน บางกลุ่ม ที่ถูกล่อลวง โดยความไม่เชื่อจากความคิด แบบระบบโลก เคยได้ยินไหม? ที่บอกว่า …

            “ดีมากเลย คุณรับเชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว คุณได้รับความรอดและมีชีวิตนิรันดร์แล้ว ดีใจด้วย แต่คุณยังขาดอะไรบางอย่าง  เพราะฉะนั้น หลังเลิกนมัสการ เราเจอกันหน่อย ผมจะได้อธิษฐานเพิ่มเติม คุณจะได้รับการเจิมที่มากขึ้น ตอนนี้คุณเชื่อแล้ว ได้รับการเจิมจากพระเจ้าระดับหนึ่งแล้ว ฉะนั้น คุณจะต้องได้รับการเจิมเพิ่มขึ้น ให้สูงขึ้น คุณจะได้เข้าสู่ระดับความเชื่อที่มากขึ้น และต่อจากนี้ไป”

            พอเลิก เขาก็ไปหาคนที่นำ คนที่พูด ก็อธิษฐานให้เขาได้รับไฟ เสร็จแล้วก็บอกว่า …

            “นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่คุณต้องทำในการรักษาความรอดที่ได้รับไปแล้ว ชีวิตนิรันดร์ที่ได้รับไปแล้ว คุณต้องรักษาให้ดีๆ นะ ระวังชีวิตนิรันดร์นี้จะหายไป”

            เห็นไหม? ตอนนี้เรารู้ความจริง คำพยานเมื่อตะกี้นี้ยืนยันชัดเจน “ใช่แน่” แต่ถ้าท่านไม่หมั่นฟังคำพยานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้บ่อยๆ สิ่งที่ตรงกันข้ามจะเข้ามาด้วยวิธีนี้ คืบคลานเข้ามาว่าท่านยังไม่พร้อมหรอก ท่านต้องได้รับการเจิมเพิ่ม เจิมเพิ่มแค่นั้นไม่พอ ท่านต้องมีความประพฤติ ระวังสูญเสียความรอด ท่านออกไปจากที่นี่ ท่านได้รับความรอดแล้วก็จริง แต่ท่านต้องออกไปประพฤติปฏิบัติอย่างนี้นะ  เพื่อเป็นการรักษาความรอดของท่านตลอด ก็คือท่านต้องอธิษฐานเป็นประจำ ตื่นเช้ามา ต้องเฝ้าเดี่ยว กลางคืนต้องเฝ้าเดี่ยว ท่านต้องทำอย่างนี้ ท่านต้องขออภัยจากพระเจ้าตลอดเวลา ท่านต้องถวายทรัพย์นะ ไม่อย่างนั้นท่านจะถูกสาปแช่ง ท่านต้องอีกหลายต้องเลย  ต้อง 4 ต้อง 5 ต้อง 6 ท่านต้องอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่ม  เอาพระคัมภีร์ไปเลย แบกภาระกลับบ้านไปพร้อมชีวิตนิรันดร์

            ท่านว่าอะไรจะชนะ ท่านว่าอะไร? ภาระนั้นชนะ หรือชีวิตนิรันดร์นั้นชนะ เพราะชีวิตนิรันดร์ไม่ได้บอกเลยว่าให้ท่านกลับไปทำ เพียงแต่บอกให้กลับไปชื่นชมยินดีในชีวิตนิรันดร์ รับรู้สิ่งเหล่านี้ แล้วขอบคุณพระเจ้า แต่อีกอันหนึ่งบอกท่านต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั่น พูดง่ายๆ อันหนึ่งเชื่อว่าพระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว จึงขอบคุณพระเจ้า สำเร็จเรียบร้อยแล้ว อีกอันหนึ่งบอกพระเยซูยังทำไม่สำเร็จ ท่านต้องทำเพิ่ม 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 แล้วมาเช็คดูว่าท่านทำได้ขนาดไหนแล้ว ท่านต้องมาคริสตจักรเป็นประจำ และต้องเข้าเรียนรวีตอนเช้า แล้วตอนเย็นต้องเรียนอาทิตย์ละครั้ง เพื่อจะลงน้ำบัพติศมา ถ้าท่านไม่เรียน ไม่ให้ลง

            ที่พูดนี้ไม่ใช่ไปต่อต้านสิ่งเหล่านั้น อะไรที่สำคัญ อะไรที่ควรจะพูด อะไรที่ควรจะย้ำยืนยันมากกว่ากัน

            ซึ่งความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าถ้าคุณมีพระบุตร คือพระวิญญาณของพระคริสต์ คุณก็มีชีวิตนิรันดร์ ถ้าคุณมีชีวิตนิรันดร์ คุณก็มีพระบุตร คือพระวิญญาณของพระคริสต์ ไม่มีการแบ่งแยก 2 สิ่งออกจากกัน ไม่มีทางเลย ถ้าคุณมีพระวิญญาณ คุณก็มีพระวิญญาณ และมีพระคริสต์ และมีชีวิตนิรันดร์พร้อมกัน โรม 8:9 ยืนยันอย่างนี้เช่นเดียวกัน …

        โรม 8:9 “ถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ (ไม่ได้เป็นลูกของพระองค์)”

            พูดง่ายๆ ว่าคุณไม่สามารถเป็นลูกของพระเจ้า โดยที่ยังไม่มีพระวิญญาณของพระเจ้าได้เลย คุณไม่สามารถได้รับความรอด เป็นลูกของพระเจ้าก่อน แล้วค่อยมาได้รับพระวิญญาณทีหลัง คุณมีพระวิญญาณและเป็นของพระเจ้า  หรือไม่เช่นนั้น คุณก็ไม่มีพระวิญญาณและไม่ได้เป็นของพระเจ้าเลย  ไม่มีพื้นที่ตรงกลาง  ไม่มีพระวิญญาณขั้น 2 ขั้น 3 หรือเต็มล้นขึ้น  ไม่มีพระวิญญาณระดับสูง หรือเต็มล้นท่วมท้น นี่คือข่าวดี

            เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตในท่าน พระองค์ก็เข้ามาสถิตอยู่ในท่านอย่างเต็มบริบูรณ์ เรียบร้อยแล้ว

            ท่านลองดูนะ สมมติว่าเราเชิญเพื่อนมารับประทานอาหารที่บ้าน เพื่อนเราก็เป็นบุคคล มีตัวตน มีสิทธิ์ที่จะตอบเราได้แค่ 2 ทางเท่านั้น คือบอกว่ามาหรือไม่มา  เราเชิญไปแล้วนะ  เพื่อนเราไม่สามารถบอกว่าโอเคๆ เดี๋ยวจะไปครึ่งตัว เสร็จแล้ว ถ้าเมื่อไรว่างจะไปอีกครึ่งหนึ่งให้ครบ เราก็หัวเราะก๊ากเลยนะ

            เช่นเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็อย่างนี้แหละ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นบุคคล มาก็คือมา ไม่มาก็คือไม่มา เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูบอกใครเปิดประตู เราจะเข้าไป พระองค์เข้าไปแค่ครึ่งตัว รอก่อน เมื่อเธอแน่ใจ ฉันจะเข้าไปอีกครึ่งหนึ่ง ไม่มี พระองค์เป็นบุคคล เมื่อพระองค์เข้าไป ก็คือเข้าไป อยู่ก็คืออยู่ ไม่อยู่ก็คือไม่อยู่

            เพราะฉะนั้น ท่านจงมั่นใจได้ว่าท่านเชื่อ เปิดใจแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับท่านอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เต็มที่ตลอดเวลา พระองค์มีตัวตน เป็นบุคคล เป็นตรีเอกานุภาพ พระองค์เข้าไป ก็คือเข้าไป และไม่ได้เข้าไปเพียงบุคคลเดียว  เข้าไปทั้ง 3 บุคคล เป็นตรีเอกานุภาพ อยู่ในท่านแล้ว

            เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ จงรับรู้สิ่งเหล่านี้ว่านี่คือความจริง คำพยานเหล่านี้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผู้บอกเราให้เรารับรู้สิ่งเหล่านี้ว่ามันเป็นจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์นั้น สถิตอยู่ในเรา และเราไม่ขาดอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่ต้องไปหาอะไรเพิ่ม ไม่ต้องรับการเจิมเพิ่ม พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเราแล้ว เพียงแต่รับรู้เพิ่มเท่านั้นเอง สิ่งที่ควรทำ คือรับรู้สิ่งเหล่านี้เพิ่มเติม สิ่งที่จำเป็นในโลกฝ่ายวิญญาณ ในชีวิต การดำเนินชีวิตคริสเตียนนั้น ไม่จำเป็นต้องหาอะไรเพิ่มแล้ว เพิ่มอย่างเดียว  คือเพิ่มการรับรู้ว่าความจริงคืออะไร? คือถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้เท่านั้น  เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ต้องรับสิ่งเหล่านี้ แล้วบอกเราตลอดเวลาว่าสิ่งเหล่านี้เป็นจริง

            พระเจ้าไม่เคยตรัสว่า … “เจ้ามีพรทางฝ่ายวิญญาณแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว แต่เจ้ายังขาดพระวิญญาณบริสุทธิ์ ต้องเติมอีกนิดหนึ่ง” หรือ “เจ้ามีทุกสิ่งที่จำเป็นแล้วในทางฝ่ายวิญญาณ แต่เจ้ายังขาดพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

            ไม่มี  มาพร้อมกันทุกอย่าง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ คำพูดโกหกเหล่านี้ เราคอยระมัดระวังและคอยสังเกตว่ามันใช่หรือไม่? ถ้าไม่ใช่ เราปิดสวิตช์ อย่าไปฟัง อย่าไปคิดตาม เพราะนั่นไม่ใช่คำสัญญาที่แท้จริง แต่ถ้อยคำพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์บอกนั้น จะทำให้เราเป็นไทเสมอ เป็นอิสระเสมอในพระเยซูคริสต์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “พระเยซูไม่ได้​เอา​เลือด​แพะ​ และ​เลือด​ลูกวัว​เข้าไป แต่​ได้​ถวาย​เลือด​ของ​พระองค์​เอง พระองค์​จึง​ทำให้​เรา​เป็น​อิสระ​ จาก​บาป​ตลอดไป”

            เมื่อ 2, 000 ปีที่แล้ว พระเยซูถูกเฆี่ยนตีปางตาย แล้วถูกนำไปตรึงบนกางเขน

            ยอห์น 19:28-30 … “28 หลังจาก​นั้น​พระเยซู​รู้​ว่าทุก​อย่าง​เสร็จสิ้น​สมบูรณ์​แล้ว เพื่อ​ให้​คำ​ต่างๆ​ ใน​พระคัมภีร์​เกิด​ขึ้น​จริง พระองค์​พูด​ว่า “เรา​หิว​น้ำ” 29 มี​ไห​ใส่​เหล้าองุ่น​เปรี้ยว​อยู่​ที่​นั่น พวก​เขา​จึง​เอา​ฟองน้ำ​ชุบ​เหล้าองุ่น​เปรี้ยวนี้​ ใส่​ปลาย​กิ่ง​ไม้​หุสบ แล้ว​ยื่น​ไป​จ่อ​ไว้​ที่​ปาก​ของ​พระองค์ 30 เมื่อ​พระองค์​ได้​ชิม​เหล้าองุ่น​เปรี้ยว​แล้ว จึง​ได้​ร้อง​ว่า  “สำเร็จ​แล้ว” จาก​นั้น​ก็​คอพับ​และ​สิ้นใจ​ตาย”

            พระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษย์พันธุ์ใหม่ ผู้บริสุทธิ์ ปราศจากบาป

            โรม 5:8-9 … “8 แต่​พระเจ้า​ได้​แสดง​ความรัก​ต่อ​เรา (มวลมนุษย์) โดย​ยอม​ส่ง​พระคริสต์​มา​ตาย​เพื่อ​เรา ทั้งๆ​ที่​เรา​ยัง​เป็น​คน​บาป ​(ศัตรูกับพระเจ้า) อยู่ 9 ตอนนี้​พระเจ้า​ยอมรับ​เรา ​(เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว​ เพราะ​เลือด​ของ​พระคริสต์ ยิ่งกว่า​นั้น​เรา​จะ​รอด​พ้น​จาก​ความ​โกรธ​ (การถูกลงโทษ เพราะบาป) ของ​พระเจ้า​ (ในวันพิพากษา) เพราะ​พระคริสต์​อย่าง​แน่นอน”

            ฮีบรู 9:12 … “พระองค์​เข้าไป​ใน​ห้อง​ที่​ศักดิ์สิทธิ์​ที่สุด​ (ที่สถิตอยู่ของพระเจ้าพระบิดาในสวรรค์) นั้น​เพียง​ครั้งเดียว​ก็​พอ​สำหรับ​ตลอดไป พระองค์​ไม่ได้​เอา​เลือด​แพะ​และ​เลือด​ลูกวัว​เข้าไป แต่​ได้​ถวาย​เลือด​ของ​พระองค์​เอง พระองค์​จึง​ทำให้​เรา​ (มวลมนุษย์) เป็น​อิสระ​จาก​บาป​ตลอดไป”

            พระองค์ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ให้มนุษย์กระทำดีเหมือนที่โมเสสได้สอนแล้ว แต่พระองค์มา เพื่อตายด้วยความทุกข์ทรมาน แบกรับบาปของมวลมนุษย์ (เป็นแกะปัสกา เป็นแพะรับบาป) เพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของความบาป

            และพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามพระองค์ได้เป็นขึ้นจากความตาย เพื่อมนุษย์จะได้สามารถบังเกิดใหม่ มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์

            พระเยซูไม่ได้เป็นอาจารย์ของศาสนาคริสต์ พระองค์ไม่ได้มาสอนให้คนทำความดี  เพราะโมเสสสอนให้คนทำดีตามกฎบัญญัติอยู่แล้ว ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนดีพร้อม ตามข้อกำหนดของกฎนั้นๆ ได้ เพราะเกิดมาเป็นคนบาป

            แต่พระเยซูเป็นพระบุตรพระเจ้า มาเพื่อกำจัดบาป ให้มนุษย์สามารถเป็นคนที่ดีพร้อมในสายตาของพระเจ้าโดยการตาย ถูกฝังไว้และรับการบังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ พระเยซูมาเกิดเพื่อการนี้ จึงได้เน้นย้ำประกาศข่าวดีนี้ ให้กับมนุษย์ทุกคน ให้เชื่อในคำพูดของพระองค์ ให้วางใจในพระองค์ว่า พระองค์ คือผู้นั้นแหละที่พระเจ้าเตรียมไว้ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ คือพระคริสต์ พระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด

            พระเยซูจึงไม่ได้มาสอนให้คนทำดี แต่มาทำให้คนเป็นคนดีได้ โดยการเกิดใหม่จากพระเจ้า

            พระเยซูมาลบล้างบาปทั้งสิ้น ให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นคนดีโดยกำเนิด และทำดีตามธรรมชาติตัวตนภายในที่เหมือนพระองค์

            พระเยซูตรัสว่า “เราไม่ได้มาลบล้างกฎต่างๆ ที่ดีงาม แต่เรามาทำให้สมบูรณ์ครบถ้วน”

            “ใครมีหูจงฟังเถิด!”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1514

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  16  มีนาคม  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 15

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อหนังสือกาลาเทีย บทที่ 4 สัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 23 อ่านทวนนิดหนึ่ง …

        กาลาเทีย 4:23 “บุตรจากหญิงที่เป็นทาสเกิดตามปกติธรรมดา   ส่วนบุตรจากหญิงที่เป็นไทเกิดตามพระสัญญา”

            สัปดาห์ที่แล้วเราจบลงตรงนี้ อาจารย์เปาโลเน้นถึงความสำคัญของพระสัญญาของพระเจ้า ที่พระองค์ได้สัญญาไว้ว่าจะประทานบุตรตามพระสัญญา เป็นหน่อเชื้อหน่อเดียวที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เริ่มต้นเลย ตั้งแต่สมัยของอับราฮัมที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่าพระเจ้าจะอวยพรพงศ์พันธุ์ของอับราอัม แล้วพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม จะทำให้ผู้คนบนโลกใบนี้ได้รับพระพร ที่พระเจ้าเน้นถึงพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม ก็ไม่ได้หมายถึงทุกคนบนโลกใบนี้ แต่สิ่งที่พระเจ้าเน้นถึง คือหน่อเชื้อหน่อเดียว คือพระเยซูคริสต์ที่ไม่มีบาปเลย วันหนึ่งพระเจ้าจะส่งมา แล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาจากความตาย

            เมื่อตอนที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้มนุษยชาติมีตัวเลือก เมื่อก่อนมนุษย์ไม่มีตัวเลือก ตอนที่บรรพบุรุษของเราล้มลงในความบาป ตอนที่แผนการของพระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาติยังไม่สำเร็จ ตอนนั้น มนุษย์ต้องก้มหน้าก้มตารับกรรมไป เราเคยได้ยินใช่ไหมคนไทยชอบพูดว่า …

            “เกิดมา ก็มารับเวรรับกรรม เมื่อไรจะรับหมดสักที ใช้เวรใช้กรรมอยู่นี่แหละ ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดสักทีหนึ่ง”

            ความรู้สึกของคนเป็นอย่างนี้ คิดว่าเราเกิดมา ก็ต้องมาชดใช้เวรกรรม แล้วความเป็นจริงมันก็ใช่ด้วย เพราะว่ามนุษย์เกิดมา ก็เป็นคนบาป เกิดมา ก็เดินทางไปสู่ความตาย ต้องชดใช้เวรกรรม แต่พระเจ้าได้ทรงเตรียมแผนการของพระองค์ไว้ สำหรับมนุษยชาติ  เป็นเวลาหลายพันปี  เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิด แล้วเดินไปที่ไม้กางเขน เป็นวันที่พระเจ้าเตรียม การไว้ เป็นเวลาที่เหมาะสม

            เราจะสังเกตว่าเวลาพระเจ้าเตรียม พระเจ้าบอกเราว่าพระองค์จะทำอะไร? ไม่ได้หมายความว่าพระองค์บอกปุ๊บ เรื่องนั้นมันจะเกิดขึ้นทันที ไม่ใช่ มันต้องใช้เวลาของพระเจ้า ที่พระองค์ได้กำหนดไว้เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อถึงเวลากำหนด พระองค์ก็ทำให้สิ่งสารพัดเหล่านี้เกิดขึ้น ตามพระสัญญา

            วันนี้เราจะมาต่อข้อ 24 …

        กาลาเทีย 4:24-26 “24 เรื่องนี้ถือเป็นการเปรียบเทียบได้    หญิงทั้งสองหมายถึงสองพันธสัญญา พันธสัญญาหนึ่งมาจากภูเขาซีนาย คือนางฮาการ์ให้กำเนิดลูกทาส 25 นางฮาการ์  หมายถึงภูเขาซีนาย   ในประเทศอาระเบีย เล็งถึงกรุงเยรูซาเล็มปัจจุบัน เพราะนางกับบรรดาบุตรของนางเป็นทาสอยู่ 26 ส่วนเยรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบนนั้นเป็นไท เป็นมารดาของเราทั้งหลาย”

            เราจะเห็นภาพ มีอยู่ 2 พวก ฝั่งหนึ่งเป็นทาส อีกฝั่งหนึ่งเป็นไท  เป็นทาส ก็คือมนุษย์เกิดมา ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เป็นทาสแล้ว  เป็นทาสบาป  แต่รอถึงพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์มา มนุษย์มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ยอมเป็นทาสอีกต่อไป เรามีสิทธิ์เลือกนะ บางคนก็ยังคงเลือกที่จะอยู่เป็นทาสต่อไป อยู่เป็นทาสของกฎบัญญัติต่างๆ กฎบัญญัติคนยิว ที่พระเจ้าเป็นคนตั้ง แต่ว่าสิ่งที่มนุษย์ทั่วไป ที่ไม่ใช่ชนชาติยิว กฎบัญญัติพระเจ้าเขียนไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน ก็คือเป็นกฎที่ทุกคนจะรู้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จิตใต้สำนึกทุกคนรู้

            ฉะนั้น กฎเหล่านี้ พยายามที่จะครอบคลุมมนุษย์ ให้พยายามกระทำความดี ซึ่งมนุษย์ทำ แต่ไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ พระเจ้าไม่ได้บอกว่ามนุษย์ทำดีไม่เป็น มนุษย์ทำดีเป็นนะ  แต่ว่าไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามมาตรฐานที่พระเจ้าตั้งไว้ ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้น  คือพระเจ้าแยกระหว่างพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ ให้กับพวกเราได้เห็น แล้วก็ได้รับรู้ถึงพระคุณของพระเจ้า

            พันธสัญญาเดิม มนุษย์ต้องทำเอง ทำเองทุกอย่างเลย ตอนที่พระเจ้าสั่งโมเสส ให้ชนชาติอิสราเอลถวายเครื่องบูชา ใครทำผิดทำบาป ก็คือตัวคนๆ นั้นแหละต้องไปหาเครื่องบูชามาถวาย ไม่ว่าจะเป็นแกะ เป็นแพะ เป็นนกพิราบให้มาถวาย เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป แต่ลบล้างตรงนี้เป็นชั่วคราวนะ ไม่ใช่เป็นถาวร ฉะนั้น มนุษย์จำเป็นต้องทำเอง พยายามที่จะฝึกฝนที่จะไม่ทำบาป

            แต่พอถึงยุคที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์ เป็นขึ้นมาจากความตายเรียบร้อย พันธสัญญาใหม่ได้เกิดขึ้นในวันอีสเตอร์แรกของโลกใบนี้ แล้วเกิดขึ้นที่สมบูรณ์แบบที่สุด คือในวันเพนเตคอสแรกของโลกใบนี้ด้วย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว หมายความว่าแผนการทั้งหมดเรียบร้อย มนุษย์สามารถที่จะมาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มารับความรอดนี้จากพระเจ้าได้ คือทุกคนมีสิทธิ์เลยนะ ตอนนี้ไม่ใช่เฉพาะชนชาติอิสราเอล แต่ทุกคน ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ประเทศใด ถ้าเขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาจะได้รับตรงนี้ทันที คือได้รับพระพรนานัปการที่พระเจ้าได้ทำให้สำเร็จแล้ว ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับการผ่าตัดวิญญาณ ได้รับการเปลี่ยนจากวิญญาณเก่า ที่เป็นบาป มาเป็นวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเจ้า คือทุกส่วนเหล่านี้ พระเจ้าทำให้หมดแล้ว ทำให้เป็นของขวัญ ถ้าใครเดินเข้ามา รับเลย พระเยซูไม่ต้องทำเพิ่ม หรือทำใหม่ คือมันมีอยู่แล้ว

            ฉะนั้น ตรงนี้ พันธสัญญาเดิม มนุษย์ยังต้องทำ พอถึงพันธสัญญาใหม่ พระเจ้าบอกว่าเป็นพันธสัญญาแห่งพระคุณ คำว่า “พระคุณ” แปลว่าพระเจ้าให้เปล่าๆ โดยที่มนุษย์ไม่ต้องพยายามดิ้นรนทำ เพื่อที่จะได้รับของขวัญชิ้นนี้ ลักษณะเหมือนเวลาพี่น้องวันเกิดคนที่เรารัก ไม่ได้หมายความว่าใครเกิด แล้วเราต้องวิ่งไปหาของขวัญให้ทุกคน เราทำไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว หมายความว่าคนที่อยู่ในครอบครัวเรา  หรือคนที่เป็นเพื่อนสนิท มิตรสหายที่เรารัก เวลาเขาเกิด เราก็อยากจะเตรียมของขวัญให้เขา พอเตรียมของขวัญให้เขา เราก็ไปแฮปปี้เบิร์ดเดย์  เขาก็ขอบคุณค่ะ รับของขวัญไป

            คงไม่มีใครรับของขวัญเสร็จ ก็ควักกระเป๋าเอาตังค์ให้ จ่ายตังค์ค่าของขวัญ มีไหม? ไม่มี ตังค์ค่าของขวัญไม่มี ถ้าจะจ่ายตังค์ หมายความว่าเราฝากเขาซื้อ ถ้าพี่น้องฝากใครซื้อของ ต้องจ่ายตังค์นะ อย่าเนียน ฝากซื้อ พอเขาเอาของมาให้ปุ๊บ ขอบคุณค่ะ แล้วก็เงียบไปเลย มันไม่ได้นะอย่างนี้

            ฉะนั้น มันมีกฎเกณฑ์เยอะแยะมากมาย ที่พระเจ้าเขียนไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า หลักการในการอยู่ด้วยกัน หรือหลักการในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ทำสำเร็จแล้ว

            พระคุณตรงนี้ คือสิ่งที่มนุษย์ไม่สมควรได้รับ แต่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว มนุษย์คนใดก็ตาม ถ้าได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาจะได้ของขวัญนี้ทันที โดยที่เขายังไม่ได้ทำดีเลย

            ตอนที่เรามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราต้องทำดีก่อน แล้วค่อยรับของขวัญไหม? ไม่มีนะ ตอนที่เรามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ คือเราได้ยินได้ฟังเรื่องพระเจ้า แล้วเราก็ได้ยินคนที่อยู่ในโบสถ์ ได้ยินคนที่เขาเล่าเรื่องราวของพระเจ้าให้เราฟัง  แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน  บางคนใช้เวลาแป๊บเดียว ฟัง ข้างในวิญญาณอาจจะรับพระเยซูคริสต์ บางคนใช้เวลา 20 ปี 30 ปี กว่าจะยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉะนั้น ตรงนี้ พอได้ยินได้ฟังเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง

            เมื่อคนนั้นบอกพระเจ้าว่าเขาต้องการพระองค์ ต้องการการช่วยเหลือจากพระองค์ เราสู้ด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว เราทำด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว หมดแรงแล้ว ลิ้นห้อยแล้ว ขอช่วยลูกด้วยเถิด พอบอกอย่างนี้ปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันเกิดขึ้นจริงๆ แต่ว่าเราไม่เห็น สัมผัสไม่ได้  ไม่รู้สึกด้วยซ้ำไป

            ตอนที่พี่น้องอธิษฐานรับเชื่อ รู้สึกอะไรไหม? ไม่รู้สึกเนอะ อาจารย์บอกอธิษฐานรับเชื่อ เราก็อธิษฐานรับเชื่อ แล้วอาจารย์ก็จะบอกเราว่าตอนนี้พระเยซูอยู่ในท่านแล้วนะ เราก็เหรอๆ เดี๋ยวนี้พระเยซูอยู่ในเรา ตอนนั้นเราจะไม่รู้เรื่อง  เราจะแค่เกิดวิญญาณหนึ่ง คือวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง เมื่อเรายอมรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาทำขบวนการการบังเกิดใหม่ เกิดสิ่งหนึ่ง เกิดขึ้น วิญญาณแห่งการเชื่อฟัง แล้วของประทานแห่งความเชื่อด้วย  ทำให้เราสามารถเชื่อได้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  มาตายแทนเราบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย เชื่อเฉยเลย ถ้าเมื่อก่อนเชื่อไหม? ไม่มีทาง คิดให้สมองแตก เราก็เชื่อไม่ได้มันเป็นเรื่องตลกโปกฮา พูดอะไร …

            “พวกคริสเตียนแปลกเนอะ มาเล่าอะไรก็ไม่รู้ให้เราฟัง เป็นไปไม่ได้หรอก แล้วยังมาบอกว่าเราเป็นคนบาป พอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราจะสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรมเลย ยิ่งเชื่อไม่ได้ใหญ่เลย”

            แต่ว่าพอวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา พระคัมภีร์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับตราลงไปในวิญญาณของเรา ให้เรามีความสามารถเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ มีความสามารถเชื่อว่าเราได้บังเกิดใหม่จริงๆ มีความสามารถเชื่อว่าเราอยู่กับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ นี่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเราเชื่อได้อย่างไร? แต่มันเชื่อไปแล้ว อย่างดิฉันเชื่อได้อย่างไรก็ไม่รู้ เกือบ 40 ปีแล้ว พอเชื่อแล้ว เชื่อเลย เชื่อปุ๊บ มันจะมีสิ่งแปลกอันหนึ่งเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเราทุกๆ คน คือทันทีที่เราเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ จากวันนั้น ในวิญญาณจะไม่มีความรู้สึกอยากจะแสวงหาอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับโลกวิญญาณเลย อย่างก่อนหน้านั้น เรายังไม่เชื่อ เราอาจจะหิว ยังกระหายอยู่ หาที่ไหนก็เติมไม่เต็ม  เราจะหาไปเรื่อยๆ หาไปเรื่อยๆ เขาเรียกว่าหิวกระหายฝ่ายวิญญาณ แต่ยังไม่เจอตัวจริงๆ  เราก็เลยต้องหาไปเรื่อยๆ แต่พอวันที่เราหาพระเยซูคริสต์เจอ ความหิวกระหาย มันหายไปเลย เรารู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ พอแล้ว เราพอใจแล้ว  เราไม่อยากจะไปหาอะไรอีกแล้ว เราอยากหาพระองค์นั่นแหละ แค่นั้น แล้วมันก็ดำเนินอย่างนั้นมาจนถึงวินาทีสุดท้ายในชีวิตของพวกเรา มันก็จะเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราชัดเจน  และตัวเราเองสามารถเป็นพยานได้ด้วยว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ คนอื่นบอกเราไม่ได้หรอก คนอื่นมาพูด เราก็ไม่สามารถเข้าใจ นอกจากเราได้ชิมพระองค์ แล้วเรารู้ว่าพระองค์สุดยอด ดีเลิศ ประเสริฐศรีมาก  แล้วเราก็ขอบคุณพระองค์ได้ทุกวัน ขอบคุณพระเจ้านะ ที่พระองค์ทรงให้เราได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระองค์ ครอบครัวสวรรค์ของพระองค์ รับเราเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นบุตรที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วในชีวิตของเรา ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก เชื่อไม่เชื่อ  ไม่รู้แหละ พระเยซูบอก …

            “มันเป็นไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา  เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเรากับของเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้”

            นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นเรียบร้อยไปแล้วในวิญญาณของเรา

        กาลาเทีย 4:27-28 “27 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “จงยินดีเถิด หญิงหมันเอ๋ย ผู้ไม่เคยมีลูก จงเปล่งเสียงโห่ร้องเถิด เจ้าผู้ไม่เคยเจ็บครรภ์ เพราะลูกของหญิงที่โดดเดี่ยว ก็ยังมีมากกว่าลูกของหญิงผู้มีสามี” 28 พี่น้องทั้งหลาย   ฝ่ายท่านเป็นบุตรแห่งพระสัญญาเช่นเดียวกับอิสอัค”

            เราจำชื่ออิสอัคได้ใช่ไหม? อิสอัคเป็นบุตรแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าได้บอกกับอับราฮัมว่า …

            “เราจะอวยพรพงศ์พันธุ์ของเจ้าผ่านทางอิสอัค”

            แล้วพระเจ้าไม่ได้พูดลอยๆ แต่พระองค์กำหนดไว้ด้วยว่าอิสอัคจะเกิดจากนางซารายเท่านั้น คือผู้หญิงคนอื่นไม่ใช่มาจากพระสัญญา ฉะนั้น บุตรของนางฮาการ์ไม่ได้เป็นไปตามพระสัญญาของพระเจ้า แต่เกิดจากความต้องการของมนุษย์ เราจะเห็นภาพว่าตอนที่อับราฮัมมีลูกคนแรก อิชมาเอล ไม่ได้เกิดจากความต้องการของพระเจ้า แต่เกิดจากความปรารถนาของอับราฮัมกับนางซาราย ก็คือรอนานมาก รอพระเจ้า ไม่ไหว ช่วยพระเจ้านิดหนึ่งก็แล้วกัน สงสัยพระเจ้ายังไม่พร้อม แต่เราพร้อมแล้ว  เราอยากจะช่วย ช่วยจริงๆ นะ แต่มันไม่เกิดผลอะไร พระเจ้าไม่นับอิชมาเอล เป็นลูกแห่งพันธสัญญา ฉะนั้น เมื่ออิชมาเอลไม่ได้เป็นลูกแห่งพันธสัญญา เขาก็เป็นลูกแห่งการพึ่งพาตัวเอง จากมนุษย์เอง ก็คือลูกบาป พูดง่ายๆ คือเป็นลูกบาปนั่นเอง

            ภาพตรงนี้ เป็นข้อความที่มาจากพระคัมภีร์เดิม ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะเห็นว่ามีผู้หญิงหลายๆ คน ซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงด้วยนะ พระเจ้าเลือกไว้ด้วย อย่างเช่น นางเรเบคาห์อย่างนี้ นางเรเบคาห์กว่าจะมีลูก ต้องใช้เวลานานมากเลย เป็นหมัน  แล้วจนต้องอธิษฐานขอพระเจ้า แล้วพระเจ้าเปิดครรภ์ ทำให้เขาได้มีลูก เหมือนกับตอนยาโคบ ยาโคบมีภรรยา 4 คน  แล้วภรรยาที่เขารักที่สุด คือนางราเชล เป็นหมันเหมือนกัน  ภรรยาคนอื่น 3 คน คลอดลูกแล้วคลอดลูกอีก เป็นขบวนเลย แต่นางราเชลไม่มีลูก จนต้องอธิษฐาน พระเจ้าก็เปิดครรภ์

            แล้วถ้าเป็นพระคัมภีร์เดิม ผู้หญิงคนไหน ถ้าไม่มีลูก ถือว่าผู้หญิงคนนั้น ถูกสาปแช่ง  แต่ว่าในยุคปัจจุบัน มันไม่เกี่ยวกัน ถ้าพี่น้องจะเอาพระคัมภีร์เดิมมาผสมกันกับพระคัมภีร์ใหม่ ปัจจุบัน คนไม่มีลูกเยอะแยะมากมาย มีคู่สามีภรรยาเขาแต่งงานกัน แล้วเขาก็ไม่มีลูก แล้วถ้าเราเอาพระคัมภีร์เดิมมาผสม เราก็จะไปมองครอบครัวใดที่ไม่มีลูกว่านี่เป็นครอบครัวที่ถูกสาปแช่ง พระเจ้าไม่รัก พระเจ้าลงโทษ มันไม่เกี่ยวกัน นี่เป็นประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์เดิมที่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  แล้วพระเจ้าก็เปิดครรภ์ พอเปิดครรภ์ ถือว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับพระพร คนสมัยก่อน ถ้ามีลูกเยอะยิ่งได้รับพระพรนะ แต่ปัจจุบัน ถ้ามีลูกยิ่งเยอะ ยิ่งยากจน  จับต้นชนปลายไม่ถูกเลย ยุคสมัยมันต่างกัน  แต่สิ่งที่มันมีในชีวิตของพวกเรา ก็คือเราอยู่ในยุคพระคุณ

            ยุคพระคุณตรงนี้ เขาเรียกว่าเราเป็นลูกแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า เหมือนอิสอัค อิสอัคถือว่าเป็นต้นตระกูลเลย  เพราะว่ามาจากลูกคนแรกที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัม

        กาลาเทีย 4:29-30 “29 ครั้งนั้น  บุตรที่เกิดตามปกติธรรมดา  รังแกบุตรที่เกิดโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ บัดนี้ ก็เช่นกัน 30 แต่พระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไร? “ขอให้ไล่เมียทาสกับลูกของนางไปเถิด เพราะลูกของเมียทาสนั้น จะไม่มีวันมีส่วนร่วมในมรดกกับลูกของหญิงที่เป็นไท”

            เหตุการณ์ตรงนี้ อยู่ในพระคัมภีร์เดิม อิชมาเอลโตกว่าอิสอัคประมาณ 14 ขวบ คือตอนที่อิสอัคคลอด อิชมาเอลน่าจะอายุ 14 แล้ว นึกภาพนะ พี่ตัวใหญ่ น้องตัวเล็ก เวลาเล่นในพระคัมภีร์ใช้คำ เหมือนรังแกกัน อาจจะว่าเขาโต แล้วเล่นแรง ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในพระคัมภีร์บอกว่าบุตรที่เกิดตามปกติธรรมดา เล็งถึงอิชมาเอล มารังแกบุตรที่เกิดโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ คือมารังแกอิสอัค พอรังแกอิสอัคปุ๊บ นางซาราไม่ยอม ไม่ได้ ก็มางอแงกับอับราฮัม เหมือนเดิม

            “นี่ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ  อิชมาเอลจะมาอยู่กับลูกของฉันไม่ได้”

            ก็คือมันต้องแยกจากกันอยู่แล้ว ตามถ้อยคำพระเจ้า ยังไงก็ต้องแยกจากกัน คือบุตรแห่งพันธสัญญากับบุตรตามธรรมดา อยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็เลยให้ไล่หญิงทาสนั้นไป พระเจ้าก็บอกกับอับราฮัม พี่น้องลองนึกภาพอับราฮัม ตอนที่นางซาราให้ไล่นางฮาการ์ไป อับราฮัมก็กลุ้มใจ  เพราะว่านางฮาการ์ ก็ถือว่าเป็นภรรยา ภรรยาน้อย 1 คน อิชมาเอล ก็ถือว่าเป็นลูก 1 คน ทีนี้ให้ทำอย่างไรดี ให้ไล่ทั้งลูก ทั้งเมียออกไป แล้วเราจะตัดสินใจอย่างไร?

            แต่สิ่งที่อับราฮัมได้รับจากพระเจ้า คือพระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่าให้เชื่อฟังนางซารา ก็คือให้เชิญนางฮาการ์กับอิชมาเอลออกจากบ้าน ก็คือไม่ให้อยู่แล้ว ต้องให้อิสอัคอยู่ครอบครองคนเดียว ตามพระสัญญา สมัยก่อน ก็แปลกดี อับราฮัมให้นางฮาการ์ออกไป ให้น้ำ 1 ถุงกับขนมปังนิดหน่อย แล้วบอกเหมือนไปตายเอาดาบหน้า อะไรประมาณนั้น แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น คือเราขอบคุณพระเจ้ามากๆ แม้มนุษย์จะผิดพลาด  แต่พระเจ้าก็ยังคงเมตตา ทรงดูแล ความผิดพลาดเกิดจากอับราฮัมกับนางซารา ถ้าจะพูดถึงนางฮาการ์ไม่เกี่ยวอะไรเลย เพราะว่าเขาเป็นคนใช้  คนใช้ในสมัยก่อนเหมือนทาส นายให้ทำอะไรก็ต้องทำ

            ฉะนั้น พระเจ้าก็เลยอวยพรพงศ์พันธุ์ของอิชมาเอลเหมือนกัน ก็คือไม่ได้ทอดทิ้ง อวยพร แต่คำอวยพรตรงนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องของโลกวิญญาณ อวยพรเฉพาะในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้เท่านั้น ถ้าเปรียบเทียบกับปัจจุบัน พระเจ้าสามารถอวยพรคนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้า ให้เขาเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งได้ ถ้าเขาดำเนินชีวิตที่ดี นึกออกไหม?

            ผลของสิ่งที่พระเจ้าบอก อย่างเช่น พระเจ้าบอกจงให้เกียรติบิดามารดา แล้วเจ้าจะไปดีมาดีบนแผ่นดินโลก  มนุษย์ใครก็ได้ที่ทำตามนี้ เขาก็จะได้รับพระพร แม้ว่าเขาไม่ได้เชื่อพระเจ้า  เขาจะได้รับพระพรเฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น  แต่วิญญาณของเขายังอยู่ในวิญญาณเดิม ถ้าเขาไม่ยอมย้าย แม้เขาจะได้รับพระพรจากพระเจ้าก็ตาม แต่เขาจะไม่ได้พระพรฝ่ายวิญญาณ คือวันหนึ่งเมื่อวิญญาณออกจากร่าง เขาก็ต้องไปชดใช้ คือไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ นี่คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ฉะนั้น คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ก็สามารถรับพระพรจากพระเจ้าได้

            ในขณะเดียวกัน พวกเราซึ่งเชื่อวางใจในพระเจ้า เราสามารถรับพระพรจากพระเจ้าทั้งฝ่ายวิญญาณ ฝ่ายวิญญาณเราได้ชัวร์ๆ แบบ 1,000% เรียบร้อยไปแล้ว ฝ่ายร่างกายก็แล้วแต่ อย่างที่บอก พระเจ้าบอกว่าพระองค์พอใจจะอวยพรใคร พระองค์ก็จะอวยพรคนนั้น เป็นสิทธิ์ขาดของพระองค์ว่าพระองค์อยากจะอวยพรใคร พระองค์ก็จะอวยพรคนนั้น ฉะนั้น เราไม่ต้องตะเกียกตะกาย ในพระคัมภีร์บอกว่าทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตะเกียกตะกาย หรือพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง ไม่ต้อง แต่ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งดี ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว

            แต่คำว่า “สิ่งดี” ของแต่ละคน ก็ไม่เหมือนกัน สิ่งดีของคนๆ หนึ่ง อาจจะไม่ใช่สิ่งดีของอีกคนหนึ่งก็ได้ แต่ว่าพระเจ้าเห็นแล้วว่าอันนี้ ถ้าเธอได้ มันจะเป็นผลดี แต่ส่วนใหญ่ สิ่งที่พระเจ้าให้เราเป็นผลดี เราก็ไม่ค่อยถูกอกถูกใจเท่าไรหรอก ถ้าพระเจ้าอวยพรเรา ให้อยู่ดีมีสุขทุกอย่าง เราดีนะ เรามีความสุข เราขอบคุณพระเจ้าได้ แต่ว่าในขณะเดียวกันถ้าเกิดเราเผชิญกับปัญหา ความทุกข์ยาก บนโลกใบนี้ เรายังสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ไหม? ถ้าวิญญาณข้างในเราผูกพันกับพระเจ้า แล้วเรารับรู้ว่าพระเจ้ารักเราขนาดไหน? แล้วพระเจ้าบอกว่าสิ่งที่พระเจ้าให้กับเรามันจะเป็นผลดี พระเจ้าไม่เคยเอาสิ่งเลวร้ายมาสู่ชีวิตของเรา ฉะนั้น เมื่อเรายอมรับ และเราพอใจในการนำของพระเจ้า  เราก็จะมีความสุข

            เราเปรียบเหมือนเป็นเด็กๆ ของพระเจ้า เหมือนลูกหลานเรา เราจะสังเกตเวลาลูกเราเล็กๆ เด็กชอบเล่น เล่นอย่างเดียว เล่นเสร็จขอกินขนม บอกมากินข้าว ไม่เอาไม่อยากกิน ข้าวมีประโยชน์มากิน ไม่เอา  ไม่อยากกิน ไม่หิว ขอกินเป็นขนมได้ไหม? นี่คือเด็ก มาๆ มาอ่านหนังสือ ไม่อยากอ่านหนังสือ ขอไปเล่นได้ไหม? ขอเล่นเกมได้ไหม? นี่คือภาพ ภาพปกติที่เราจะเห็นตามบ้านทุกบ้านเลย มันจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าผู้ใหญ่  คือพ่อแม่ที่ดูแล พระเจ้าจะให้สติปัญญา ไม่ได้หมายความว่าจะจับลูกเรามานั่งจุมปุ๊กเรียนทั้งวัน มันไม่ได้หรอก คือสมองเขารับได้ไม่เยอะ คือเด็กจะมีเวลาเรียน มีเวลาเล่น มีเวลาวิ่ง คือทุกอย่างจะมีให้เหมาะสม แล้วอย่างเด็กบอกให้แปรงฟัน แปรงไหม? งอแงกว่าจะยอมแปรง แต่มันเป็นประโยชน์ไง พ่อแม่ก็ต้องบังคับ ต้องแปรง ไม่อย่างนั้น ฟันผุ ก็ต้องไปถอดฟัน ฟันผุ แล้วมันกินอะไรไม่อร่อย ก็บอกเหตุผลให้ลูกฟัง เขาก็จะฟัง เด็กเนอะ พรุ่งนี้ก็จะมาใหม่อีกแล้ว มาแปรงฟัน ไม่อยากแปรงฟัน อะไรอย่างนี้ ถึงวัยที่ต้องเรียน พ่อแม่ก็สรรหา เราขอบคุณพระเจ้า พ่อแม่ยุคใหม่ สรรหาจริงๆ ลูกเพิ่งเกิด ไปหาโรงเรียนให้แล้ว สมัยก่อน ยุคของเรา เราก็รอให้เขาถึงวัย เราค่อยไปหาโรงเรียนใกล้ๆ บ้าน สะดวกดี เราไปส่งง่าย  แต่ยุคปัจจุบันไม่ได้ คือต้องสรรหาโรงเรียนที่มีชื่อเสียง โรงเรียนที่ดี ทุกอย่างดีเลิศประเสริฐศรี แม้ว่าจะอยู่ไกลบ้าน เราก็จะยอมขับรถพาลูกไปส่ง อะไรประมาณนั้น ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป

            ยุคสมัยเปลี่ยนไป แต่การดูแลของพระเจ้าเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยน คือทุกอย่างมันจะเป็นเหมือนเดิม ก็คือเด็กยังต้องมีการควบคุม ดูแล มีการสอน มีการแนะแนวทางว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี  แต่ไม่ใช่ว่าพ่อแม่แนะปุ๊บ ลูกเราก็จะเชื่อฟังทุกอย่างนะ ไม่มี ดื้อบ้าง เชื่อฟังบ้าง วันที่เชื่อฟังพ่อแม่ก็มีความสุข วันนี้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก พอไม่เชื่อฟัง เราก็ต้องปล้ำสู้กับเขา นี่คือปกติของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            เช่นกันในฝ่ายวิญญาณ คิดดูเราเป็นพ่อแม่ในโลกนี้ เรายังสรรหาอะไรที่ดีเลิศให้กับลูก แล้วพระเจ้าล่ะ  พระเจ้าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์จะสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา มากกว่าเราตั้งอีก 100 เท่า 1,000 เท่า เราเป็นมนุษย์ เราไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรับรู้ไม่ว่าสถานการณ์จะมาเป็นแบบไหน? ไม่ว่าเราจะเผชิญกับสิ่งใดก็ตาม ที่ไม่ถูกใจ ถูกใจ แล้วแต่ แต่ให้เรารับรู้ว่าพระเจ้ารักเรา รักขนาดไหน? รักขนาดยอมตายแทนเราบนไม้กางเขน พอไหม? รักแค่นี้ แล้วพระเจ้าองค์นี้ ไม่เคยทอดทิ้งเรา นี่คือพระสัญญา พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา อยู่กับเรา ทั้ง 3 พระภาค นี่คือสิ่งที่ อัศจรรย์มาก ตรงนี้มันปกติมากเลย  บุตรที่เกิดธรรมดาก็รังแกบุตรที่เกิดตามพระสัญญา

            ทุกวันนี้เราเห็นไหม? บางคนมาเป็นคริสเตียน ถูกข่มแหงรังแกไหม? ถูกข่มเหงรังแกนะ ขอบคุณพระเจ้าที่ดิฉัน ครอบครัวไม่มีการต่อต้าน ใครจะไปเชื่ออะไร เชิญตามสบาย ขอบคุณพระเจ้า ดิฉันเป็นคนที่เชื่อเกือบสุดท้าย คนอื่นเขาเชื่อไปหมดแล้ว  เราเลยไม่มีปัญหาเรื่องการต่อต้านจากครอบครัว แต่ว่าก็จะมีการต่อต้านจากคนรอบข้าง บางทีจากคนที่เรารู้จักหรือจากเพื่อนที่เราคุ้นเคย เคยชินกับเขา เมื่อก่อนเราก็ไปคลุกคลีตีโมงกับเขาได้ ตอนนี้ เราก็ไม่ไปผสมโรงกับเขา แบบนั้น ก็ถอยห่างออกมา  แต่ว่าถ้าเพื่อนที่เขาเข้าใจเรา เขาก็โอเคกับเรามากๆ แค่เขารู้ว่าเราเป็นคริสเตียน

            อย่างทุกวันนี้ อายุเยอะแล้ว 70 กว่า เพื่อนที่คบกันตั้งแต่ประถม 3-4 เขาก็จะนัดมากินข้าวด้วยกัน แต่อยู่ในวงกินข้าว อย่าคุยเรื่องความเชื่อ  เดี๋ยวคุยแล้วทะเลาะกัน  เราไปเพื่อสนุกสนาน เพื่อไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับเพื่อน เป็นอย่างไรสบายดีไหม? อะไรอย่างนี้ แค่นี้พอ อย่าไป พระเจ้าบอกต้องถือทุกโอกาสเลย ไปถึงเราจะพยายามเอาข่าวประเสริฐให้เพื่อน พอดี เขาตีหัวเราแตก พอคราวหน้าไม่ชวนคนนี้แล้ว มาทีไรวงแตกทุกที มันก็ไม่ใช่

            ถ้าพระเจ้าเปิดโอกาส เราก็ประกาศได้ แค่เพื่อนรู้ว่าเราเป็นคริสเตียน แค่นั้นพอแล้ว เราได้ประกาศชั้นหนึ่ง ตรงนี้เป็นพระพรสำหรับพวกเราทุกๆ คน

        กาลาเทีย 4:31 “ฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราไม่ใช่บุตรของหญิงที่เป็นทาส แต่เป็นบุตรของหญิงที่เป็นไท”

            เราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน มีพระเจ้าองค์เดียวกัน เป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์

        กาลาเทีย 3:28-29 “28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวง เป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์ 29 ถ้าท่านเป็นของพระคริสต์  ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมและเป็นทายาทตามพระสัญญา”

            แล้วตอนนี้ พวกเราทุกคนเป็นเรียบร้อยแล้ว  เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ พอคนที่เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าครอบครัวใหญ่ของพระเจ้า พอครอบครัวใหญ่ของพระเจ้า เขาบอกว่าไม่มียิว ไม่มีกรีก สมัยก่อนเขามีแยกนะ คนในยุคพระคัมภีร์เดิม หรือตอนพระกิตติคุณ คนยิวเขายังแยกชนชั้น ระหว่างชนชาติยิวกับคนต่างชาติ  คนยิวจะถือว่าเขาเป็นคนพิเศษของพระเจ้า เขาถูกเลือกโดยพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า แล้วเขาก็จะมองคนต่างชาติแบบมองจากขาขึ้นข้างบน มองแบบดูถูก แล้วยิวเขาเปรียบคนต่างชาติเหมือนหมา เหมือนสุนัข เป็นอย่างนั้น  คนที่ไม่มีสกุลรุนชาติ แต่พอถึงยุคที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว  เราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหน? เราจะเป็นผู้จัดการใหญ่  หรือเราจะเป็นเจ้าของกิจการ หรือเราจะเป็นคนงาน หรือเราจะเป็นแม่บ้าน เป็นคนกวาดขยะ  เป็นคนอะไรก็แล้วแต่ พอเราเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเจ้าไม่ได้แยกชนชั้น ทุกคนเท่าเทียมกัน  เพราะว่าเราทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ก็คือไม่มีการแยกเยอะแยะมากมาย  แล้วรับรู้ว่าเมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็เป็นลูกของอับราฮัม อับราฮัม คือเป็นบิดาแห่งความเชื่อ  แล้วก็เป็นทายาทตามพระสัญญา

            นี่คือพระพรที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน แล้วพวกเราทุกคน ณ ปัจจุบัน เราได้รับเรียบร้อยไปแล้วด้วย เอเมน  พระเจ้าอวยพรค่ะ

*****************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! ท่านดูดี สมฐานะ เมื่อสวมเสื้อใหม่ในพระคริสต์ แทนเสื้อเก่าในอาดัม

            1 เปโตร 2:1 … “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงละความชั่วทั้งปวง การอุบายต่างๆ ความไม่จริงใจ ความริษยา และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย”

            เพราะฉะนั้น เมื่อท่านรู้ถึงพระคุณของพระเจ้า ที่ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ ชำระท่านจนสะอาด หมดจด  แยกท่านออกมาเป็นส่วนพระองค์เลย มีค่าในสายพระเนตรพระองค์ และให้ท่านบังเกิดใหม่ ด้วยหน่อเชื้อที่เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของมนุษย์ และเป็นนิรันดร์ด้วย ท่านได้รับความรอดนิรันดร์ อยู่ในสวรรคสถานกับพระองค์แล้ว ด้วยความเมตตา ด้วยความรักของพระเจ้า  ท่านเป็นเช่นนี้แล้ว

            เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านจงถอดเสื้อเก่า ก็คือตัวเก่าของท่านที่ตายกับพระเยซู ที่ไม้กางเขน ตายไปแล้ว

            ฉะนั้น ความประพฤติที่เคยทำสมัยก่อน ที่เป็นทาสของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง  ก็อย่าให้มันหลอกลวง ให้ไปสวมเสื้อเก่า แต่จงสวมเสื้อใหม่ จงขจัดข้อมูลจอมปลอม หลอกล่อ ที่มันส่งเข้ามาในความคิดของเราออกไป ทิ้งมันออกไป

            เสื้อเก่า คือความคิดมุ่งร้าย การฉ้อฉล ความหน้าซื่อใจคด คือเมื่อท่านรู้แล้วว่าท่านเป็นคนที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรคสถาน มีมรดกนิรันดร์แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ก็จงมีความภูมิใจ มั่นใจ เมื่อมีความภูมิใจ มั่นใจแล้ว ท่านก็จะไม่มุ่งร้ายกับใคร? ไม่โกหกใคร?  ไม่หน้าซื่อใจคด ไม่ริษยาใคร?

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1513

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  มีนาคม  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 14

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 4:21 บอกว่า …

        กาลาเทีย 4:21 “ท่านที่อยากอยู่ใต้บทบัญญัติ บอกข้าพเจ้าเถิด ท่านไม่ตระหนักถึงสิ่งที่บทบัญญัติกล่าวไว้หรือ?”

            ในพระคัมภีร์ตรงนี้อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับชาวกาลาเทีย ที่เริ่มต้นด้วยความเชื่อ แต่ไปๆ มาๆ ก็เริ่มที่จะพยายามรักษากฎบัญญัติที่มนุษย์แนะนำว่าเชื่ออย่างเดียวไม่พอนะ ต้องมาทำพิธีเข้าสุหนัตด้วยในสมัยโน้น คนยิวที่เชื่อพระเจ้า คนต่างชาติที่เชื่อพระเจ้า เขาก็จะแนะนำว่าเชื่อพระเยซูคริสต์อย่างเดียว มันไม่พอหรอก  แต่พระเยซูคริสต์บอกกับเราว่าแค่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านจะได้รับความรอด ท่านจะได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  ท่านจะสะอาดบริสุทธิ์หมดจด เหมือนกับพระเจ้าเลย อาจารย์เปาโลบอก ตอนมาประกาศใหม่ๆ อาจารย์เปาโลมาแบบกระท่อนกระแท่นมาก มาแบบเจ็บป่วยด้วย แต่ว่าด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ทำให้ผู้คนเหล่านี้ ต้อนรับข่าวดีของพระเจ้า และวางใจในพระองค์ ได้กลับใจใหม่

            จากนั้น มีผู้คนที่มา เหมือนกับเดินไปกับพระเจ้าอยู่ดีๆ ก็มีคนมาแนะนำ  เป็นผู้หวังดีที่โลกไม่ต้องการนั่นแหละ มาแนะนำว่า …

            “เธอๆ มาเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ เธอจำเป็นจะต้องมาทำพิธีเข้าสุหนัตด้วยนะ”

            สมัยก่อน  หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่เชื่อเรื่องพิธีกรรม ที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับโมเสสเหมือนเดิม แล้วเขาก็มีความรู้สึกว่าเมื่อใครเป็นลูกของพระเจ้าจำเป็นจะต้องเข้าสู่พิธีเข้าสุหนัตด้วย จึงจะสามารถเป็นประชากรของพระเจ้า หรือไม่ก็ต้องมาถวายเครื่องบูชา ต้องมาทำพิธีกรรมต่างๆ ที่ในกฎบัญญัติเดิมที่พระเจ้าเขียนไว้

            สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงยกเลิกแล้ว เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน กฎเก่าที่ต้องยึดถือ หรือพยายามทำตามบทบัญญัติได้ถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว  ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยพูดไว้ในข้อที่ 21 ว่า …

            “คนที่อยากอยู่ใต้บทบัญญัติ บอกข้าพเจ้าทีเถิดว่าท่านไม่ตระหนักถึงสิ่งที่บทบัญญัติกล่าวไว้หรือ?”

            บทบัญญัติกล่าวไว้ ก็คือมนุษย์ทุกคนจำเป็นจะต้องทำตามกฎระเบียบ ที่เขียนไว้ในบทบัญญัติทุกข้อ ทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลาด้วย โดยไม่มีข้อยกเว้น  อันนี้สำคัญ ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้เลย  เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้จัดเตรียมพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับพวกเรา เมื่อถึงวาระกำหนด พระองค์ก็มาเกิดจากหญิงพรหมจารี แล้วมาตายบนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต แล้วก็ถูกฝัง เป็นขึ้นมาจากความตาย  ทำให้มนุษยชาติสามารถมีตัวเลือก ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์มาเกิด มนุษย์ไม่มีตัวเลือก มนุษย์เกิดมาในบาป นี่เป็นเรื่องจริงในโลกวิญญาณ คือเกิดมาปุ๊บ เป็นคนบาปเลย เกิดมาปุ๊บ มีหนี้บาปติดตัวมาเลย ไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ก็ได้เป็นคนบาป ได้เป็น เกิดมาเป็น

            ดังนั้น ในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเกิดมาเป็นคนบาป มีธรรมชาติบาป มี DNA บาป จึงทำให้เขาทำบาป มันเป็นเหมือนขั้นตอนที่มันเป็นไปอย่างนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า ตัวบาปเก่าของเรา ได้ถูกตรึงไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่  เป็นผู้ชอบธรรม ธรรมชาติใหม่ที่ผู้เชื่อทั้งหลายมี คือเป็นผู้ที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าเลย ไม่มีบาป ฉะนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ไม่จำเป็นจะต้องทำพิธีกรรมใดๆ อีกต่อไป  เพื่อจะทำให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม

            แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์ คือชอบทำ  เหมือนกับเราได้ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ มันดูดี  ไม่อย่างนั้น มาเชื่อพระเจ้า แล้วอยู่เฉยๆ แล้วบอกเราเป็นผู้ชอบธรรม เราไม่ต้องทำอะไรแล้ว แค่เชื่อพระเจ้าอย่างเดียว ฟังแล้ว มันง่ายไปไหม? อะไรประมาณนั้น มนุษย์จึงสามารถถูกล่อลวงได้จากกฎต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็คือกฎของความบาปและความตาย คือพยายามพึ่งพาในตัวเอง

            ฉะนั้น คนที่มาแนะนำให้ชาวกาลาเทีย ไปทำตามกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าสั่งโมเสสไว้ ก็ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของผู้เชื่อเหล่านี้ แต่เพื่อประโยชน์ของตัวเอง อาจารย์เปาโลพูดชัดเจน เขาทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

            ประโยชน์ของตัวเองมาจากไหน? เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว  เราไม่ต้องไปทำพิธีกรรมใดๆ อีกแล้ว แต่คนเหล่านี้ยังคงแนะนำว่า …

            “เธอยังต้องมาทำพิธีกรรม”

            สมมติว่าทำพิธีการเข้าสุหนัต แล้วก็ต้องมาทำพิธีกรรมล้างบาปอีก มันจะมาเป็นขบวน ก็คือทำอย่างหนึ่ง ก็จะมีของแถมมาอีกอย่างหนึ่ง แถมมาเรื่อยๆ ฉะนั้น พิธีกรรมเหล่านี้ มันต้องใช้ปัจจัย สมัยก่อน พวกมหาปุโรหิต เขาก็จะใช้วิธีนี้แหละในการหาเงิน จากคนยิว ทำไมพระเยซูคริสต์ถึงต้องคว่ำโต๊ะรับเงิน เอาแส้ตีคนที่มาขายแกะ ขายแพะ ทำไมพระองค์โกรธขนาดนั้น  เพราะว่าคนในยุคนั้น เมื่อถึงวาระหนึ่ง เขาถือโอกาสใช้อำนาจของตัวเอง หรือตำแหน่งของตัวเอง  เพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์จากชนชาติอิสราเอล เพราะเมื่อก่อน กฎเกณฑ์มันเยอะ ก็คือพระเจ้ามีกำหนด

            ไม่เหมือนปัจจุบัน เราอยู่ที่ไหน? เราก็สามารถอธิษฐานกับพระเจ้าได้ คือพระเจ้าทรงอยู่ในเราตลอดเวลา เราไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาที่ไหน? เพื่อหาพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในนี้ แต่ว่าสมัยก่อนมันไม่ใช่ สมัยก่อน คือพระเจ้ามีกำหนดว่าชนชาติอิสราเอลจะต้องไปในพระวิหารของพระเจ้า ที่กรุงเยรูซาเล็ม ปีละครั้ง ก็ต้องมาถวายเครื่องบูชาใหญ่เลย เมื่อถวายเครื่องบูชาใหญ่ สมัยก่อนกฎเกณฑ์มี พระเจ้าเขียนไว้แบบชัดเจนมาก คนอิสราเอลต้องเอาลูกแกะที่ไม่มีตำหนิ อายุเท่าไร? พระเจ้ากำหนดไว้เลย แล้วก็เดินทางมาที่เยรูซาเล็ม เพื่อถวายเครื่องบูชา

            แล้วพี่น้องลองคิดดู ถ้าบางคนอยู่ไกลมาก การเดินทางมาที่เยรูซาเล็ม อาจจะต้องใช้เวลา 2-3 เดือน ไม่เหมือนทุกวันนี้ นั่งเครื่องบินไม่กี่ชั่วโมงเราก็ถึงแล้ว หรือขับรถไป หลายชั่วโมงอยู่ มันก็ถึง แต่สมัยก่อนไม่ใช่ ก็คือคนอิสราเอลก็จะขี่อูฐ บางคนไม่มีอูฐก็เอาลา หรือไม่ก็ต้องเดินทางด้วยเท้าของตัวเอง กว่าจะเดินทางมาถึงที่หมายที่พระเจ้ากำหนดไว้ ซึ่งต้องคำนวณเวลาให้ดีๆ ด้วย เลยก็ไม่ได้ พระเจ้ากำหนด วันนี้ก็คือวันนี้ ถ้าเลยวันนี้ พระเจ้าไม่รับเครื่องบูชา เขาก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าว่าต้องมาถึงก่อนที่จะถวายเครื่องบูชา อย่างน้อยสัก 2-3 วัน อะไรอย่างนี้

            ฉะนั้น การเดินทางอย่างนี้ ถ้าสมมติว่าเขานำแกะที่ไม่มีตำหนิจากบ้านของเขา เดินทางมาถึง มันก็เลยกำหนดที่พระเจ้าตั้งไว้ ก็คือ …

            สมมติ “ให้เอาลูกแกะอายุ 3 เดือน”

            ตอนที่เราพามา ก็ 3 เดือน  แต่พอมาถึงกลายเป็น 6 เดือนแล้ว ถ้า 6 เดือนแล้ว ใช้ได้ไหม? ใช้ไม่ได้  ก็คือผิดจากกฎที่พระเจ้าตั้งไว้  ฉะนั้น คนยิวก็ใช้วิธีว่าขายแกะ แล้วเอาเงินพกติดตัว แล้วก็เดินทางมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม พอมาถึงเขาก็ต้องไปซื้อแกะ  แล้วก็ต้องเป็นลูกแกะที่ไม่มีตำหนิด้วย แล้วในพระวิหาร ก็คือมีคนมาขายแกะ แล้วก็มีคนมาให้แลกเงินด้วย  เพราะสมัยก่อน พระเจ้าก็กำหนดด้วย ทุกคนต้องมาถวายเงิน เป็นกำหนดว่าผู้ชายเท่าไร? ผู้หญิงเท่าไร?  เด็กผู้ชายเท่าไร? เด็กผู้หญิงเท่าไร? มันเป็นอย่างนั้นเลย คือกฎเยอะมาก แล้วถวายเกินก็ไม่ได้ ถวายขาดก็ไม่ได้

            สมมติ ผู้ชายให้ 5 บาท ผู้หญิงให้ 3 บาท ถ้าเราเป็นผู้ชายเงินเราเยอะ เราไม่อยากให้ 5 บาท ขอให้ 10 บาทได้ไหม? พระเจ้าบอกไม่ได้ พระองค์ไม่เอา ไม่รับ ก็คือมันเป็นอย่างนั้นไง กฎมันเข้มงวดมาก  ฉะนั้น คนก็ต้องพกเงินใส่กระเป๋า แล้วก็เดินทางมา  พอเดินทางมาปุ๊บ ก็มาซื้อแกะที่ไม่มีตำหนิ พอซื้อแกะที่ไม่มีตำหนิ คนขายก็โก่งราคา สมมติว่าแกะตัวหนึ่ง ณ เวลานี้ขายสักพันหนึ่ง  พอคนมาซื้อปุ๊บ โก่งราคาเป็นสองพัน  สองพันต้องซื้อไหม? ต้องซื้อ เพราะว่าต้องถวายเครื่องบูชา  หรือแลกเงิน เหมือนทุกวันนี้ เวลาเราจะไปเที่ยวต่างประเทศ  เราก็ต้องไปแลกเงินสกุลของประเทศนั้นๆ ที่เราจะไปเที่ยว ถ้าเราแลกจากประเทศไทย เราก็สามารถที่จะดูว่าของตรงไหนดี เราก็ไปแลก  เราก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการแลกเงิน  แต่ถ้าเราไม่เตรียมตัว ไปถึงที่ไปแลก เขาอาจจะขายเราแพง เราต้องซื้อไหม? ต้องซื้อ เพราะว่าถ้าไม่ซื้อ ไปถึง ยืนงงเลย จะซื้ออันนี้ก็ไม่ได้ ซื้อโน่นก็ไม่ได้ เขาไม่รับเงินไทยด้วย เขาจะรับเงินของประเทศเขา มันเป็นภาพเดียวกัน

            พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้นในพระวิหารของพระเจ้า ก็คือพวกมหาปุโรหิตฮั้วกับคนขายแกะกับคนแลกเงิน  เข้าใจคำว่า “ฮั้ว” ไหม? ก็เหมือนกับวัดครึ่ง กรรมการครึ่ง ของที่จะเข้าวิหารเอาไปครึ่งเดียวพอ  กรรมการพวกมหาปุโรหิตเอาไปอีกครึ่งหนึ่ง อะไรประมาณนี้ นี่เป็นเหตุที่ทำให้พระเยซูคว่ำโต๊ะแลกเงิน

            พระเยซูบอกว่า “วิหารของเรา เป็นวิหารแห่งการอธิษฐาน แต่พวกท่านกลับมาทำเป็นถ้ำโจร”

            มันเป็นถ้ำโจรชัดๆ มันเป็นโจรที่ใครก็เลี่ยงไม่ได้ ก็คือยังไงก็ต้องซื้อ ยังไงก็ต้องแลก  ภาพของสมัยโบราณ มันเป็นแบบนั้น อาจารย์เปาโลบอกกับชาวกาลาเทียว่าพระเยซูได้ไถ่ท่านให้เป็นอิสระจากกฎบัญญัติเหล่านี้เรียบร้อยไปแล้ว  ท่านคิดไม่เป็นหรือ?  ถึงอยากจะเอาตัวเองแทรกเข้าไปอยู่ใต้บทบัญญัติอีกครั้งหนึ่ง ก็คือจะไปอยู่ใต้กฎเหล่านี้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมันไม่จำเป็น สิ่งเหล่านี้ที่ชาวกาลาเทียทำ ทำให้ความรอดหายไปไหม? ไม่หายนะ  ความรอดยังคงอยู่ เพราะว่าเขาเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว แต่ว่าการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แทนที่จะมีอิสรภาพ แทนที่จะชื่นชมยินดี มารับเอาพระพร พระคุณที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว แทนที่จะเป็นอย่างนั้น กลับต้องมาซกๆ ทำเหมือนเดิม คือทุกอย่าง “ต้อง ต้องและต้อง” ต้องมาโบสถ์ ต้องถวายสิบลด ต้องอ่านพระคัมภีร์ ต้องอธิษฐาน ต้องโน่นนี่นั่น เยอะแยะมากมาย ต้องมารวมกลุ่ม ต้องอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วคำว่า “ต้อง” ตรงนี้มันมีวงเล็บต่อจากต้องว่า “ถ้าไม่ทำ เดี๋ยวพระเจ้าลงโทษ” ถ้าไม่ทำ แปลว่าแกไม่รักพระเจ้า เอาคำว่า “แก” นะ แสดงว่าแกไม่รักพระเจ้า ซึ่งมันเป็นกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้น พระเจ้าไม่เคยตั้งอย่างนั้น พระเยซูบอกว่าพระองค์ไถ่เราให้เป็นอิสรภาพแล้ว เรามีเสรีภาพ ที่จะเลือกทำ พระเจ้าให้เสรีภาพกับเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเอาเสรีภาพนี้ ไปทำความชั่ว อาจารย์เปาโลพูดชัดเจนนะ  อย่าใช้เสรีภาพที่พระเจ้าให้ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเองที่จะไปกระทำความชั่ว

            เสรีภาพนี้คืออะไร? ถ้าดิฉันพูดอย่างนี้แปลว่าตอนนี้คริสเตียน ไม่ต้องมาโบสถ์แล้วใช่ไหม? คริสเตียนไม่ต้องถวายแล้วใช่ไหม? คริสเตียนไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์แล้วใช่ไหม?  และคริสเตียนไม่ต้องอธิษฐานแล้วใช่ไหม?  ไม่ใช่นะ อย่าเข้าใจผิด

            คำว่า “ต้อง” ก็คือบังคับจากข้างนอก ที่คนมาบีบเราบอกว่าต้องพยายามทำ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณ ก็คือเมื่อเราได้บังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา  แล้ววิญญาณของเรา ก็เป็นวิญญาณเดียวกับพระเจ้าด้วย  เป็นวิญญาณที่ปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์อยู่แล้ว คือวิญญาณเราอยากจะทำ ก็คือมันจะเป็นความอยากจากข้างใน พอความอยากจากข้างในปุ๊บ เราทำแบบธรรมดา ธรรมชาติ  มันเป็นธรรมชาติ เหมือนเราเกิดมาเป็นคนธรรมชาติ ก็คือเราอยากเดินไปไหน ค่อยลุกขึ้นเดิน  ไม่ต้องให้ใครมาบังคับว่าเดินสิๆ ไม่ต้อง ไม่อยากเดิน ฉันก็นั่ง ไม่ต้องมีใครมาบังคับ ให้ทำทุกอย่างจากใจ

            ฉะนั้น ธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของพวกเราทั้งหลายผู้เชื่อ  คือเป็นผู้ที่ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  มันจะเกิดจากข้างในที่เราทำออกมา ที่เรามาโบสถ์ เพราะเรารักพระเจ้า เราอยากจะมา ไม่ใช่เพราะศิษยาภิบาลบังคับว่า …

            “มาโบสถ์นะ ไม่มาโบสถ์ เดี๋ยวพระเจ้าไม่อวยพร”

            ถ้าเรากลัวแบบนี้  ไม่ต้องมาก็ได้พี่น้อง ฉะนั้น ท่าทีมันจะต่างกันมาก เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า สิ่งที่มันออกมา คือทำทุกอย่างออกมาจากใจ อาจารย์เปาโลใช้คำว่า “ออกมาจากใจ” ใจข้างใน คือเป็นใจเดียวกันกับพระเจ้า ก็คือทำตามพระวิญญาณนำเรา ทำให้เราอยากมาโบสถ์  โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบังคับเรา หรือมาแบบที่กลัวๆ กล้าๆ

            “ฉันต้องมานะ ถ้าฉันไม่มา เดี๋ยวพระเจ้าไม่อวยพรกิจการของฉัน ฉันไม่มา เดี๋ยวพระเจ้าจะลงโทษฉัน ถ้าฉัน ฉัน ฉันอยู่นี่แหละ”

            ซึ่งมันไม่ใช่ เรากำลังถูกหลอก แต่พระเจ้าบอกว่าทุกอย่างมันจะออกจากข้างในวิญญาณ เราอยากมาโบสถ์  เราอยากถวายทรัพย์  เราอยากอ่านพระคัมภีร์  เดี๋ยวนี้บางคนอ่านไม่ได้ ณ เวลานี้ ดิฉันอ่านพระคัมภีร์ไม่ได้ พระคัมภีร์เล่มเล็กไป ขนาดซื้อเล่มที่ใหญ่มากๆ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เรารู้สึกว่าเล่มนี้สุดยอดเลย ตัวหนังสือใหญ่มาก เราอ่านสบายเลย แต่ ณ เวลานี้ เล่มนี้ เราอ่านไม่ออกแล้ว เพราะมันตัวเล็กไป ตัวเล็กไปทำอย่างไร? เราอยากอ่านพระคัมภีร์พิมพ์สิ พิมพ์ตัวโตๆ ให้ตัวเองอ่านสบาย ข้อใหญ่ๆ ไม่อย่างนั้น เวลาเราอ่านในพระคัมภีร์ ตรงข้อจะตัวเล็กมาก มีอยู่ช่วงหนึ่ง พยายามที่จะอ่านมันให้ได้ แต่จริงๆ มันอ่านไม่ได้ เพ่งแล้วเพ่งอีก มันอ่านไม่ออก เราก็ต้องมีวิธีการ

            ฉะนั้น อยากจะบอกพี่น้องว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้อยคำของพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ เข้าใจไหม? ถ้อยคำของพระองค์ คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงอยู่ในเรา พระองค์ผู้นั้นแหละ ศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้น การอ่านพระคัมภีร์ทุกวันนี้ เราก็ขอบคุณพระเจ้าที่มีเทคโนโลยีเยอะมาก ถ้าเราอ่านไม่ได้ บางคนอ่านหนังสือไม่ออก ทำอย่างไร? เปิดยูทูป โหลดแอปของพระคัมภีร์ เวลาเรานั่งทำงาน เราก็กดให้เขาอ่านให้เราฟัง อ่านไปเรื่อยๆ ฟังไปเรื่อยๆ วิธีการเหล่านี้สามารถช่วยเราได้ อธิษฐาน พี่น้องไม่จำเป็นจะต้องไปหาที่ หาทางเป็นอลังการงานสร้างมากเลย  แล้วก็ไปคุกเข่าอธิษฐาน ไม่ต้อง คำว่า “อธิษฐาน” คือการคุยกับพระเจ้า เราคุยเมื่อไรก็ได้  เพราะพระเจ้าอยู่ในนี้ เราไม่ต้องวิ่งไปหาพระเจ้าที่ไหน? พระเจ้าอยู่ในเรา คุยกับพระเจ้าในใจได้ คุยกับพระเจ้าในความคิดได้ หรือบ่นพึมพำกับพระเจ้าก็ได้ พระเจ้าได้ยินหมด

            ฉะนั้น การอธิษฐานก็ไม่ได้เป็นพิธีกรรม เพียงแต่ เรามาโบสถ์ มันก็ต้องมีพิธีกรรมใช่ไหม? เวลาอาจารย์เขาอธิษฐานเปิด อธิษฐานปิด ก็เป็นพิธีกรรมนิดหนึ่ง แต่ถามว่าถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พระเจ้าจะตีหัวเราไหม? ไม่ตีนะ แต่เราอยากทำจากข้างใน เราอยากให้พระเจ้า ที่อยู่ในเรานำเรา

            อย่างศิษยาภิบาลขึ้นมาเทศนา เราอยากให้พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระวิญญาณเป็นผู้ทำงาน ผ่านทางชีวิตของเรา ผ่านทางปากของเรา ที่จะกล่าวถ้อยคำของพระองค์ เราก็อธิษฐาน ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้นำเรา เมื่อเราเทศนาจบ เราก็อยากจะอธิษฐานขอบคุณพระเจ้า สำหรับถ้อยคำเหล่านี้ ที่ถ้อยคำแห่งฤทธิ์เดชอำนาจนี้จะเข้าไปทะลุทะลวงในวิญญาณของพี่น้องทุกๆ คนที่จะสามารถทำให้เราเจริญเติบโตขึ้น เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ทำให้มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข ความคิด จิตใจ วิญญาณของเรา มันเป็นการปรับปรุงนะ

            อาจารย์เปาโลบอกว่าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิด จิตใจของเราใหม่ ในหนังสือโรม 12:1-2 ให้เราถวายอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ทั้งมือ ขา จมูก ลิ้น กาย สมองถวายให้พระเจ้า ทำไมอาจารย์เปาโลต้องบอกอย่างนั้น ให้เราถวายให้พระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตเราแล้ว พระเจ้าซื้อเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง ก็คือพระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเรา เราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป ในหนังสือกาลาเทียบอกไว้อย่างนั้น ณ ปัจจุบัน เราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป

            คำว่า “ชีวิตของเรา” ก็คือตัวเก่าที่เป็นบาปของเรา มันไม่อยู่กับเราแล้ว แต่ ณ ปัจจุบัน เรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ ชีวิตที่เป็นชีวิตนิรันดร์ ชีวิตแบบพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นชีวิตที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เป็นผู้ชอบธรรม เป็นความรัก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกเราให้จดจ่อกับสิ่งเหล่านี้แหละ สิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าทำอะไรให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อเราจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้แล้ว อะไรที่มันแปลกปลอมมาในสมองของเรา ซึ่งถ้ามีข้อมูลใส่มาในสมองของเรา บอกเราว่า …

            “เธอยังเป็นคนบาปอยู่นะ”

            เรารับไหม? ไม่รับนะ พี่น้องไม่เอเมนนะ คำว่า “เอเมน” คือยอมรับ เราเป็นคนบาป ใช่เลยๆ เราเป็นคนบาป เมื่อตะกี้เรายังทำบาปอยู่เลย เมื่อกี้เราไปด่าเขา เมื่อกี้เราไปคิดไม่ดีกับเขา เราเป็นคนบาป ไม่ใช่ พระเยซูบอกว่าเราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้า แต่ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมที่บางครั้งเผลอไปทำบาป เผลอไปด่าเขา นั่นแหละ เราเผลอ แต่ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ของเรา พี่น้องจำเป็นต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อเราจะไม่ถูกหลอก พอเราถูกหลอก ชีวิตเราก็ขาดสันติสุข แล้วก็ไม่กล้าเข้าหน้าพระเจ้าด้วย ซึ่งพระเจ้าผู้ทรงรักเราทั้งหลาย พระเยซูคริสต์เป็นทนายแก้ต่างให้กับพวกเรา เป็นผู้อธิษฐานเผื่อพวกเรา ณ เวลานี้ เรามองไม่เห็น แต่ถ้อยคำของพระองค์บอกไว้ พระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อพวกเราผู้เชื่อทั้งหลาย ต่อหน้าพระเจ้าพระบิดาของเรา นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ ขณะนี้ ที่เราได้เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว

        กาลาเทีย 4:22-23 “22 เพราะมีเขียนไว้ว่าอับราฮัมมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นทาส อีกคนเกิดจากหญิงที่เป็นไท 23 บุตรจากหญิงที่เป็นทาสเกิดตามปกติธรรมดา   ส่วนบุตรจากหญิงที่เป็นไทเกิดตามพระสัญญา”

            ตรงนี้อาจารย์เปาโลยกขึ้นมา เนื่องจากพูดถึงเรื่องบทบัญญัติ ซึ่งในหนังสือมัทธิว หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าพระเยซูยกเรื่องบทบัญญัติมา เพื่อให้เราประพฤติปฏิบัติตาม ซึ่งความเป็นจริงแล้ว พระเยซูกำลังบอกเราว่าเราปฏิบัติไม่ได้หรอก ไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แน่นอน เพราะว่าสมัยก่อนเราเป็นมนุษย์บาป เราจำเป็นจะต้องบังเกิดใหม่ ให้พระเจ้าช่วยเรา ทำให้กฎบัญญัติเหล่านี้สำเร็จในตัวของเรา คือทุกวันนี้ บทบัญญัติเหล่านี้ มันได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แล้วบทบัญญัติที่พระเจ้าให้กับโมเสส 600 กว่าข้อ ตอนนี้พระเยซูหดเหลือแค่ จะว่า 1 ข้อหรือ 2 ข้อก็ได้นะ ถ้า 2 ข้อ คือจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิดของท่าน  ข้อที่ 2 คือจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง

            ฉะนั้น พระเจ้าบอกว่าให้เรารักซึ่งกันและกัน  คำว่า “ให้เรารักซึ่งกันและกัน” ตรงนี้ ไม่ได้เป็นภาระสำหรับผู้เชื่อ ทำไมไม่เป็นภาระ เพราะว่าความรักนี้มาจากพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูกำลังบอกเราให้พยายามผลิตความรักชนิดนี้ออกมา ไม่ใช่ แต่ความรักชนิดนี้ มันเกิดขึ้นในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว และให้เราฝึกฝน พัฒนาความรักที่มันอยู่ข้างในวิญญาณของเรา ให้มันส่งผลออกมาให้กับคนรอบข้างแค่นั้นเอง มันจึงไม่เป็นภาระ

            เหมือนเรามีของอยู่ในตู้อยู่แล้ว ใครถามหาอะไร เราก็ไปเปิดตู้ แล้วหยิบให้ แค่นั้นเอง ถ้าไม่มีของ เราต้องไปวิ่งหาซื้อ แต่ของเหล่านี้ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้น มันจึงไม่เป็นภาระ สำหรับผู้เชื่อทั้งหลาย

            เราจำเป็นต้องรับรู้ ณ เวลานี้ วิญญาณของเราทุกคนเกิดมาเป็นความรัก  ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นความรัก มันเป็นเลย แต่ว่าบางครั้ง ทำไมเราไม่สามารถผลิตความรักออกมาให้กับคนอื่นได้ เราต้องฝึกฝน ค่อยๆ ฉะนั้น พระเจ้าไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องไปวิ่งไล่หา เอาความรักไปวิ่งแจกคนโน่นคนนี่ ฉันรักเธอ ไม่ต้อง มันจะออกมาเอง โดยธรรมชาติของเรา

            คริสเตียนบางคนเข้าใจว่าพระเจ้าสั่งว่าให้รักกัน เราต้องวิ่งไล่ล่า ไหนๆ เราต้องเอาความรักไปแจก ไม่ต้อง ให้เป็นธรรมชาติ  ธรรมชาติที่พระเจ้าให้เราสำแดงออกมา มันเป็นปกตินิสัยของเรา ไม่ต้องมานั่งเสแสร้งว่าฉันรักเธอมากเลย ไม่ต้อง แต่ข้างในวิญญาณเราเป็นความรักแล้ว เหมือนที่เราบอกว่าพอเราได้ยินว่าใครเป็นคริสเตียนปุ๊บ รู้จักไหม? ไม่รู้จัก รักเขาเลย มีความสุข ดีใจกับเขาด้วย อ้าว! ดีใจทำไม? ไม่รู้เหมือนกัน  เพราะว่าวิญญาณเราเป็นวิญญาณเดียวกัน

            คนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า อยู่โน้น ประเทศไหนก็ไม่รู้ แต่เราไปอ่านเจอเฟสบุ๊ค ประเทศนี้ มีคนมาเชื่อพระเจ้าเยอะมากเลย เราเฮกับเลย เฮทำไมล่ะ รู้จักไหม? ไม่รู้จัก แต่เรารู้ว่าเขากับเราเป็นวิญญาณเดียวกัน เขามีพระเยซูคริสต์อยู่ในเขา เราก็มีพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา เราทุกคนเป็นร่างกายเดียวกัน โดยมีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของเรา มันจะออกมาเป็นภาพนี้ ความปิติยินดีมันออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เสแสร้ง มีความสุข อย่างที่บอก เวลาเราขับรถ ตามรถคันหน้า เห็นรูปปลา สัญลักษณ์ของคริสเตียน คริสเตียนชอบเอารูปปลาไปแปะไว้หลังรถ ขับอยู่ดีๆ

            “เฮ้ๆ ข้างหน้า รถคันนั้น เขาเป็นคริสเตียน”

            ดีใจใหญ่เลย  ดีใจทำไม? รู้จักเขาไหม? ไม่รู้จัก แต่ดีใจ พี่น้องเราๆ อะไรประมาณนั้นแหละ นี่มันเป็นภาพที่ออกมา โดยอัตโนมัติ ที่เราไม่ต้องเสแสร้ง แล้วพระเจ้าบอกว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

            ฉะนั้น ในข้อที่ 22 ที่อาจารย์เปาโลยกอับราฮัมขึ้นมา  ก็คืออับราฮัมมีบุตร 2 คน  เหมือนกับทุกวันนี้ บนโลกใบนี้มีมนุษย์อยู่ 2 แบบ แบบหนึ่ง ก็คือมนุษย์ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ อีกแบบหนึ่ง ก็คือมนุษย์ที่เชื่อวางใจในการกระทำของตัวเอง อาศัยอยู่ในอาดัม

            ฉะนั้น คนที่อาศัยอยู่ในอาดัม เกิดจากหญิงทาส   “ทาส” ก็คือมันไม่มีอิสระ เป็นทาส คือถูกทำทารุณกรรมได้ เป็นคนไม่มีอิสระเสรีในการดำเนินชีวิต ดังนั้น คำว่า “เกิดจากหญิงทาส” ก็คือเป็นความต้องการของตัวเอง

            ตอนที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัม บอกว่า “เราจะให้เจ้ามีบุตร และเราจะอวยพรเจ้า ให้ลูกหลานของเจ้าเหมือนเม็ดทรายในทะเล เหมือนดาวบนท้องฟ้า  นับได้ นับไปเลย ลูกหลานของเจ้าจะเยอะขนาดนั้น”

            แต่เนื่องจากอับราฮัมกับนางซารายรอพระเจ้าไม่ไหว รอพระเจ้า ก็คือจะต้องใช้ความเชื่อ พระเจ้าบอกรอไปเถอะ เราก็ตั้งตารอ รอไปรอมาไม่ไหวแล้ว ขอทำเองแล้วกัน  อิชมาเอลเกิดมาจากความต้องการของนางซารายกับอับราฮัม ซึ่งยกนางฮาการ์ เป็นคนใช้ ให้อับราฮัม เพื่อจะได้ลูกออกมา แล้วคิดว่าลูกคนนั้น คือลูกแห่งพันธสัญญา เขาคิดนะ ตามความเป็นมนุษย์

            เขาคิดว่า … “ฉันแก่ขนาดนี้แล้ว พระเจ้าคงไม่อวยพรฉัน ให้ลูกเกิดจากฉันหรอก งั้น อับราฮัมไปนอนกับคนใช้เลย”

            แล้วก็ได้ลูกมา แต่พระเจ้าบอกว่าลูกคนนั้นไม่ได้เกิดจากพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ พระเจ้าสัญญาว่าลูกที่ออกมา ที่พระเจ้าต้องการ คือต้องมาจากอับราฮัมกับนางซารายเท่านั้น กับคนอื่น พระเจ้าไม่นับ ฉะนั้น ลูกคนนี้ เกิดจากความต้องการของมนุษย์เอง แต่หลังจากนั้น พระเจ้าก็เมตตาให้นางซารายได้ตั้งครรภ์ แล้วคลอดบุตร ตอนนางซารายคลอดบุตร อายุ 90 ปี ซึ่งโดยความเป็นมนุษย์ เป็นไปไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงสามารถทำได้ ฉะนั้น ลูกคนนี้เกิดมาตามพระสัญญา เมื่อพระเจ้าทรงให้สัญญาแล้ว เวลามันจะนานแค่ไหน พระเจ้าจะรักษาพันธสัญญาของพระองค์ เหมือนตอนที่พระเจ้าสัญญากับชนชาติอิสราเอลว่าพระองค์จะประทานพระมาซีฮาห์มาให้ ทรงสัญญากับมนุษย์คู่แรกด้วยว่าพงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเขาแหลก เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ดังนั้น พงศ์พันธุ์ของหญิงมีเพียงผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์ แล้วก็ลูกหลานของอับราฮัม มีคนเดียวที่เป็นลูกแห่งพันธสัญญา ถ้าเราไม่นับอิสอัค ก็คือเป็นเชื้อสายที่พระเจ้าเล็งไปถึงอนาคตข้างหน้า มีหน่อเดียว ก็คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าจะประทานมาให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติ

            ฉะนั้น ทุกอย่าง พระเจ้ากำหนดไว้แล้ว แต่ความเป็นมนุษย์บางครั้ง เรารู้สึกพระองค์ช้าจังเลย เคยรู้สึกไหม? ช้าจังเลยพระองค์เจ้าข้า ไม่ทันใจ ขอจัดการเองหน่อย ก็แล้วกัน คือเมื่อเราจัดการเอง พระเจ้าก็ไม่ว่าอะไร? อยากทำ ก็ทำไปเถอะ แต่ทำไป เราก็เหนื่อยเปล่า แล้วมันก็จะไม่เกิดผลตามที่พระเจ้าให้ไว้ ตามที่พระเจ้าต้องการ  แต่ถ้าเราอดทนรอคอย คริสเตียนมีหน้าที่อย่างเดียว คืออดทนรอคอย ตามพระสัญญา พระเจ้าให้เราอดทน

            คนสมัยก่อน หลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย ผู้เชื่อในยุคนั้น เขาอดทนมากเลย เขาได้เห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า เขาได้เห็นพระเยซูถูกตรึง ได้เห็นพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย แล้วอยู่กับเขา 40 วัน เขาได้เห็นพระเยซูลอยขึ้นไปบนสวรรค์กับตาเลย แล้วเขาได้เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา ในวันเพ็นเตคอส คือเขาได้เห็นหมด สิ่งที่เขาเห็นมันเป็นกำลังใจ เป็นพยานยืนยันว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่จริงๆ เป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว ดังนั้น คนในยุคก่อนไม่ว่าเขาจะถูกข่มเหงขนาดไหน? เจอความทุกข์ยากขนาดไหน? เขาไม่ละทิ้งความเชื่อ เพราะเขามั่นใจในพระองค์ เขายึดพระเจ้าไว้ แล้วเขามีท่าทีแบบว่าความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ อยู่บนโลกใบนี้แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เทียบกับศักดิ์ศรีที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับเขา มันเทียบกันไม่ติด ความหวังใจของผู้เชื่อในยุคเก่า เขามองพุ่งไปที่ข้างบนเลย  ก็คือที่เบื้องบน ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าวันหนึ่ง เมื่อลมหายใจเขาออกจากร่าง พระเจ้าจะพาวิญญาณเขาไปอยู่กับพระองค์ ความหวังใจตรงนี้ ทำให้บุคคลในอดีต ในพระคัมภีร์เดิม ไม่ว่าเขาจะทุกข์ทรมานเขายังคงยึดมั่นในพระเจ้า และเขาก็อดทนรอคอย ทำได้อย่างเดียว อดทน รอคอย คนในยุคเดิม เขาอดทนรอคอย เพราะเขามีความหวังใจ

            ในยุคของเราเหมือนกัน จริงๆ แล้วพระเจ้าบอกว่าความทุกข์ยากลำบากในแต่ละยุค แต่ละสมัย ทุกคนก็เจอหมด พอถึงสมัยยุคของเรา เราก็รู้สึกเราทุกข์กว่าเขา …

            “พระองค์เจ้าข้า ทุกข์จังเลย  ทำไมเราถึงเกิดมาในยุคนี้ ยุคที่โควิดก็มา ฝุ่น PM 2.5 ก็มา โน่นนี่นั่นมา ไฟป่าก็มา น้ำท่วมก็มา  ทุกอย่างเลย ทำไมต้องมาประดังประเดอยู่ในยุคของเราด้วย พระองค์เจ้าข้า”

            แล้วก็มีโรคภัยไข้เจ็บที่มันมาแปลกๆ โรคอะไรก็ไม่รู้ หมอก็สันนิษฐานไม่ออก พอหมอสันนิษฐานไม่ออก แล้วตาย ก็บอกว่าติดเชื้อในกระแสเลือด เราก็ไม่รู้ว่ามันติดเชื้อตอนไหน? อย่างไร?  อะไรประมาณนั้น

            เราคิดว่านี่หนักหนาสาหัสแล้ว แต่ว่าคนในยุคโบราณ ก็หนักหนาสาหัสเหมือนกัน ฉะนั้น สิ่งที่เรามีความมั่นใจ มีความปิติยินดีตรงที่ว่าไม่ว่าเราจะเจอกับเหตุการณ์อะไรก็ตาม เรารู้ว่าพระเจ้า พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  เราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือหลักประกันที่ทำให้เราสามารถที่จะฮึดสู้

            “อีกนิดเดียว ไม่เป็นไรพระองค์เจ้าข้า ประคองลูกไป ถ้าลูกหมดแรง ก็หิ้วปีกลูกไปด้วยเถิดพระองค์เจ้าข้า”

            ก็ประมาณนั้น  แต่พระเจ้าก็จะกระซิบข้างหูของเราว่า

            “เราอยู่กับเจ้านะ เราไม่ได้หนีหายไปไหน?”

            แม้หลายครั้ง ความรู้สึกของเราเหมือนกับพระองค์ทิ้งเรา ถ้าพระองค์ไม่ทิ้งเรา ทำไมเราต้องเจอเหตุการณ์ขนาดนั้น แต่พระเจ้ายังคงพูดคำเดิมว่าพระองค์อยู่ด้วย พระองค์ไม่เคยทิ้งเรา พระองค์ไม่ทิ้งเราเหมือนลูกกำพร้า พระองค์คอยประคับประคองจูงมือเราเดิน เพียงแต่ว่าหลายครั้ง เราเป็นมนุษย์ เราไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเหตุนี้ต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา  แต่เรายังคงเชื่อมั่นว่าทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย และพระองค์จะเอื้ออำนวยให้มันเป็นผลดีสำหรับชีวิตของเราเสมอแน่นอน นี่คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก ฉะนั้น พระองค์จะเป็นกำลังใจให้กับพวกเรา  ไม่ว่ายามหลับ ยามตื่น พระองค์ไม่เคยทิ้งเราแน่นอน

            โลกนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราว อยู่อีกกี่วันเราไม่รู้? อยู่กี่ปีเราไม่รู้? แต่สิ่งที่เรารู้ คือเมื่อลมหายใจออกจากร่าง เราจะไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า  คืออยู่เพื่อรับรู้ว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์นะ พระเยซูคริสต์อยู่ในเรานะ ตายก็ได้กำไร  ก็คือลมหายใจออกปุ๊บ กำไรทันทีเลย กำไรแรก คือไม่ต้องมาดิ้นรนต่อสู้บนโลกใบนี้อีกแล้ว ซึ่งเราเลือกไม่ได้

            บางคนอยากตาย ทุกข์อย่างนี้ขอตายดีกว่า พระเจ้าบอกยังๆ ยังไม่ถึงเวลา ถ้ายังไม่ถึงเวลา ต่อให้เราอยากตาย ก็ตายไม่ได้นะพี่น้อง แต่ถ้าถึงเวลา เขาบอกไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกยังตายเลย  ก็คือมันถึงเวลา ที่พระเจ้าบอกกลับบ้านได้แล้ว เราก็จากไป แต่ว่าทั้งนี้และทั้งนั้น ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือพวกเราว่าในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราเผชิญกับความทุกข์ยาก ขอพระเจ้าเมตตา ให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถผ่านมันไปได้ ด้วยพระคุณของพระเจ้า สามารถที่จะยังมีสันติสุข มีความชื่นยินดีในพระองค์ สามารถที่จะขอบคุณพระองค์ในทุกๆ สถานการณ์ ซึ่งมันยากมาก พูดนะง่าย แต่มันทำยาก คนที่ไม่เคยเจอจะไม่รู้ แต่ดิฉันยังเชื่อว่าถ้าพระเจ้าอนุญาตให้เจอ พระองค์มีพระคุณเพียงพอสำหรับพวกเราทุกๆ คน เหมือนกับที่อาจารย์เปาโลมีหนามในเนื้อ อธิษฐานกับพระเจ้า 3 ครั้ง

            “พระองค์เจ้าข้าไม่อยากได้ๆ เอามันออกไปได้ไหม?  มันทรมานใจ ทรมานความคิด ทรมานอารมณ์ มันไม่ไหวเลย เวลาไปรับใช้พระเจ้ามันหงุดหงิด” อะไรแบบนี้  “ขอเอามันออกไปได้ไหม?”

            พระเจ้าตอบประโยคเดียวกับอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลเลิกขอเลย …

            “การที่มีคุณของเรา ก็เพียงพอสำหรับเจ้าแล้ว”

            พระคุณที่พระเจ้าให้กับเรา มันเพียงพอแล้ว “ความอ่อนแอของเจ้าอยู่ที่ไหน? ฤทธิ์เดชอำนาจของเราจะได้ปรากฎเต็มที่ในตัวเจ้า”  (2 โครินธ์ 12:9)

            เมื่อเราอ่อนแอมากเท่าไร? ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าจะสำแดงในชีวิตของเรา ส่งผลออกไปให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้อย่างชัดเจนมาก ชัดเจนที่สุดเลย ฉะนั้น พระเจ้าก็บอกอย่างนี้ เหมือนตอนที่พระเยซูคริสต์อธิษฐานกับพระเจ้าเหมือนกัน พระองค์มีแผนการ ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า ถ้าพระองค์เป็นเฉพาะมนุษย์ พระองค์ก็จะถามนั่นแหละ  ถามพระบิดาว่า …

            “ทำไมพระเจ้าต้องทารุณลูกขนาดนั้น ต้องให้ลูกเดินไปที่ไม้กางเขน ลูกเป็นลูกที่รักของพระองค์นะ พระองค์บอกว่าพระองค์รักลูกมากเลย แต่พระองค์ยังคงอนุญาตให้ลูกเดินไปที่ไม้กางเขน ให้ทหารตีกระชากเนื้อลูกออกมา ให้เขาสวมมงกุฎหนามลูก แล้วให้เขาตรึงลูกบนไม้กางเขน”

            การตรึงมันทรมาน ยิงตายเลย ถ้ายิงขั้วหัวใจ ก็ตายไปเลย ลมหายใจออกจากร่าง มันง่าย แต่การถูกตรึงที่ไม้กางเขน เลือดค่อยๆ หยดๆ จนเลือดหยดสุดท้าย แล้วลมหายใจออกจากร่าง แต่พระเยซูคริสต์เป็นผู้ละวิญญาณของพระองค์เอง พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ไม่มีใครทำให้พระเยซูคริสต์ตาย ได้ ถ้าพระเยซูไม่ยอม  แต่พระเยซูยอมละวิญญาณของพระองค์เอง ตอนที่พระเยซูบอก “สำเร็จแล้ว” ตอนที่พระเยซูอธิษฐาน ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้น ให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะกลัว กลัวขนาดเหงื่อออกมาเป็นเลือด  พระองค์กลัวนะ ตอนนั้นเป็นพระเจ้าก็จริง ยังเป็นมนุษย์อยู่ แต่พระเยซูก็ยังคงยอม เดินไปที่ไม้กางเขน  เพื่อให้น้ำพระทัยอันครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์สำเร็จ ถ้าพระเยซูไม่สิ้นพระชนม์ พวกเราก็ตายทุกคน ก็คือไม่รอด ไม่มีใครสามารถรอดได้เลย ก็คืออยู่บนโลกใบนี้ ก็ถูกพิพากษา ตายจากโลกใบนี้ ก็ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า

            ฉะนั้น พระเจ้าวางแผนไว้แล้ว พระเยซูก็เดินตามแผนของพระองค์ แต่ตอนที่เดินไปมันทุกข์ไหม? ทุกข์ พระองค์เป็นมนุษย์แท้ๆ ก็เลยทุกข์ แต่พระองค์ก็ยอม พวกเราเหมือนกัน พระเจ้ามีแผนการให้กับพวกเราหมด อยู่ตรงที่ว่าเราพอใจ ในการนำของพระองค์ไหม?  ถ้าเราพอใจ พระเจ้าก็จะนำเรา เวลาเราพอใจปุ๊บ เราก็จะเห็นทุกอย่างสบายๆ พอพอใจปุ๊บ อันนี้มา โอเค พออันนั้นมา โอเค ตอนนี้หกล้มหัวแตกเลย โอเค นึกออกไหม? ถ้าเราพอใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องต้องไปหกล้มหัวแตกนะ  ไม่ต้องขนาดนั้น  แต่ว่าถ้าบังเอิญ เราไม่ระวังตัว มันอยู่ที่ตัวเราเองด้วยนะว่าอยู่ในพระเจ้า เราก็ต้องระวังตัว ใช้ชีวิตให้มีสติ

            แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าสิ่งที่เรารับรู้ พระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระองค์สถิตอยู่ในเราตลอดเวลาเลย ยามหลับยามตื่น  ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในเรา  เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “มนุษย์ไม่จำเป็นต้องถวายเลือดสัตว์แด่พระเจ้า  เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับตนเองทุกๆ ปีอีกแล้ว!”

                        เพราะ!

            “ด้วยชีวิตและเลือดอันบริสุทธิ์ของพระเยซูเอง ได้ถวายเป็นเครื่องบูชาลบบาปแด่พระเจ้า ครั้งเดียวเป็นพอ”

            พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนักต้องการช่วยมวลมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความพินาศ การถูกสาปแช่งในความบาป ซึ่งต้องชดใช้หนี้บาปด้วยชีวิตคือโลหิตของมนุษย์ที่ไม่มีบาปเลย บริสุทธิ์ไม่มีตำหนิใดใด ซึ่งไม่มีมนุษย์ผู้ใดเป็นผู้บริสุทธิ์เลยซักคน ทุกคนล้วนเป็นคนบาป สืบเชื้อสายมาจากอาดัม บรรพบุรุษซึ่งเป็นบาป จึงใช้เลือดสัตว์ไร้มลทินถวายแทนไปก่อน

            เมื่อถึงกำหนดเวลา พระเจ้าได้ประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าในสวรรค์ ยอมถ่อมใจ สละสถานะพระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาป โดยเกิดจากหญิงพรหมจารีชื่อแมรี่ เพื่อตัดต้นตอของเชื้อบาปในบรรพบุรุษอาดัม เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ ทำการชดใช้หนี้บาป ปลดปล่อยให้มวลมนุษยชาติเป็นอิสระจากการเป็นคนบาป ด้วยชีวิตและโลหิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์เอง ถวายเป็นเครื่องบูชาลบบาปแด่พระเจ้า ครั้งเดียวเป็นพอ

            ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องถวายเลือดสัตว์แด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับตนเองทุกๆ ปีอีกแล้ว

            เพียงแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำแทนมวลมนุษย์แล้วเท่านั้น

            ฮีบรู 10:1-18 … “1 บทบัญญัติเป็นแต่เพียงเงา  ของสิ่งประเสริฐ  ซึ่งจะมาถึง  ไม่ใช่ของจริง  เพราะเหตุนี้  จึงไม่สามารถทำให้  ผู้เข้าเฝ้านมัสการสมบูรณ์พร้อม  ด้วยเครื่องบูชาเดิมๆ  ซึ่งถวายซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกๆ ปีไม่มีสิ้นสุด 2 เพราะถ้าทำเช่นนั้นได้  เขาจะไม่หยุดถวายเครื่องบูชาหรือ?  เพราะผู้นมัสการจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ  แล้วจะไม่รู้สึกผิดกับบาปของเขาอีกต่อไป 3 แต่เครื่องบูชาเหล่านั้น  เป็นสิ่งเตือนให้สำนึกบาปทุกปี 4 เพราะเลือดแพะ  เลือดวัว  ไม่สามารถลบล้างบาปให้สิ้นไป 5 ฉะนั้น  เมื่อพระคริสต์ทรงเข้ามาในโลก พระองค์ประกาศว่า  “พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์เครื่องบูชา  และของถวาย  แต่ทรงเตรียมกายหนึ่งไว้สำหรับข้าพระองค์ 6 พระองค์ไม่ได้พอพระทัยเครื่องเผาบูชา  และเครื่องบูชาไถ่บาป 7 แล้วข้าพระองค์ทูลว่า  ‘ข้าพระองอยู่ที่นี่  ในหนังสือม้วน  ได้เขียนถึงข้าพระองค์ไว้  ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์มาแล้ว  เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์’ 8 พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า  “พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์เครื่องบูชา  และของถวาย  เครื่องเผาบูชา  และเครื่องบูชาไถ่บาป  ทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงพอพระทัยในสิ่งเหล่านี้ (แม้บทบัญญัติกำหนดให้ทำเช่นนั้น) 9 จากนั้นจึงตรัสว่า “ข้าพระองอยู่ที่นี่  ข้าพระองค์มาแล้ว  เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์” พระองค์ทรงยกเลิกระบบแรก  เพื่อตั้งระบบที่สอง 10 และโดยพระประสงค์นี้  เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์  โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์  เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 11 วันแล้ววันเล่า  ที่ปุโรหิตทุกคน  ยืนปฏิบัติศาสนกิจ  ครั้งแล้วครั้งเล่า  ที่เขาถวายเครื่องบูชา  แบบเดียวกัน  ซึ่งไม่สามารถลบล้างบาป  ให้สิ้นไปได้เลย 12 แต่เมื่อปุโรหิตองค์นี้  ถวายเครื่องบูชา  ลบล้างบาปครั้งเดียว  สำหรับตลอดไปแล้ว  ก็ประทับลงที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 13 นับแต่นั้นมา  พระองค์ทรงรอคอย  จนกว่าเหล่าศัตรูของพระองค์  จะถูกทำให้เป็นแท่นวางพระบาทของพระองค์ 14 เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำให้บรรดาผู้ที่กำลังรับการทรงชำระให้บริสุทธิ์นั้น   บรรลุความสมบูรณ์พร้อมเป็นนิตย์  โดยการถวายบูชาครั้งเดียว 15 พระวิญญาณบริสุทธิ์  ยังทรงยืนยันข้อนี้แก่เราด้วย  พระองค์ตรัสเป็นประการแรกว่า 16 “นี่คือพันธสัญญา  ที่เราจะทำกับเขาทั้งหลายหลังจากสมัยนั้น  องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น  คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในหัวใจของพวกเขา และจะจารึกบทบัญญัตินั้น  บนจิตใจของพวกเขา 17 บาปและการอธรรมของพวกเขา  เราจะไม่จดจำอีกต่อไป” 18 และเมื่อทรงอภัยบาปให้แล้ว  ก็ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชา  สำหรับไถ่บาปอีกเลย”

            บนไม้กางเขนเมื่อ 2,000 ปีก่อน พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า ประกาศให้ทั้งโลกและมวลมนุษย์ได้รับรู้ว่าทั้งหมดนี้  “สำเร็จแล้ว” พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1512

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  มีนาคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 16 “พระวิญญาณในตัวผู้เชื่อทรงเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้กลับมาหนังสือ 1 ยอห์น วันนี้ตอนที่ 16 ใช้ชื่อเรื่องว่า “พระวิญญาณในตัวผู้เชื่อ ทรงเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์” ครั้งที่แล้วเราจบที่ 1 ยอห์น 5:5 …

        1 ยอห์น 5:5 “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตาย ที่ถูกพิพากษาแล้วนี้ได้”

            “ใครกันล่ะ?”

            ก็ตอบว่า “ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            ซึ่งเราได้เรียนรู้แล้ว ชนะโลก  เพราะเชื่อพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า คือเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์  … เมสิยาห์ หมายถึงคริสต์ หรือไคร์ซ ในภาษากรีก เมสิยาห์เป็นภาษาฮีบรู ไคร์ซ เป็นภาษากรีก ภาษาไทย คือคริสต์ ในพระคริสต์ แปลว่าเราเชื่อว่าพระเยซูที่เราเชื่อ พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า หมายถึงพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่เป็นพระเมสิยาห์ คือพระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับมนุษยชาติ มาตั้งแต่หลายพันปีแล้วว่าจะประทานพระบุตรของพระองค์ลงมา  เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปและความตาย คำสาปแช่งต่างๆ กลับมาคืนดีกับพระองค์ได้ สั้นๆ มันหมายถึงอย่างนี้ พระเมสิยาห์

            เมื่อเราเชื่อว่าเป็นของขวัญ  เป็นพระเมสิยาห์ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ ประทานมาช่วยเหลือ เราก็ได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า  ได้รับความรอด พระเยซูคริสต์ก็จะเข้าไปดำรงอยู่ อาศัยอยู่ในผู้เชื่อนั้น แล้วผู้เชื่อนั้น ก็เข้ามาดำรง อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ หรือเรียกกันว่าในอาณาจักรของพระเจ้าที่เรียกว่าพระคริสต์  และทั้งสองวิญญาณ คือเรากับพระคริสต์ เลยกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือบทสรุปของตอนที่แล้ว ซึ่งการรวมกัน ทั้งหมดนี้เรียกว่าการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ชอบธรรม เพราะพระเจ้าทำให้เราหมดบาป หมดเวร หมดกรรม ให้เราได้บังเกิดใหม่ สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระองค์ พระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ก็สามารถเข้ามาอยู่กับเราได้ เมื่อพระเยซูคริสต์มาอยู่กับเรา แล้วเราอยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็ได้เป็นสมาชิกคนหนึ่ง  ในครอบครัวของพระเจ้า นี่คือครั้งที่แล้ว

            มันก็เป็นที่มาของตะกี้ที่เราบอก “ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่บัดนี้ จนนิรันดร์”

            วันนี้มาต่อ ตอนที่ 16 “พระวิญญาณในตัวผู้เชื่อ ทรงเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์”

            พระเยซู … คริสต์ วันนี้จะอธิบายตรงนี้ให้ฟัง ทำไมเรียกว่าพระเยซู … คริสต์ เพราะคำว่า “เยซู” เป็นชื่อทั่วๆ ไป คนยิวตั้งชื่อพระเยซู เอา “พระ” ออกไปก่อน พระ เป็นการยกย่อง ให้เกียรติ คำว่า “เยซู” แปลว่าผู้ช่วยให้รอด  เป็นชื่อหนึ่งของชาวยิวในอดีต คนในอดีตก็มีชื่อ “เยซูๆ” เยอะแยะเลย  แต่มีเยซูอยู่ผู้หนึ่ง  ที่เป็นผู้เดียวเท่านั้น ที่เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  และพระองค์มีพระนามว่าเยซู เพื่อบ่งบอกถึงภารกิจของพระองค์ที่จะมาทำบนโลกใบนี้ คือมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป จึงตั้งชื่อตามที่พระเจ้าบอกว่าให้ตั้งชื่อบุตรของพระองค์ที่ส่งลงมาช่วยนั้นว่า “เยซู” ก็คือพูดง่ายๆ ว่าตั้งชื่อเมสิยาห์นี้ว่าเยซู แล้วทำไมต้องมี “คริสต์” เพราะว่าเยซูมีเยอะแยะมากมาย ทั้งก่อน ทั้งหลัง ชื่อเต็มไปหมดเลย ก็เลยให้คำจำกัดความให้ชัดเจนว่าเยซูผู้นี้ คือผู้ที่เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าประทานให้กับมวลมนุษย์ เพื่อจะมาทำภารกิจในการไถ่ถอนมนุษย์ทั้งปวงให้รอดพ้นจากความบาป และคำสาปแช่ง

            คำว่า “คริสต์” หรือ “ไคร์ซ” แปลว่าผู้ที่ถูกเจิมตั้ง … เจิมตั้ง แปลว่าผู้ที่ถูกแต่งตั้งให้มาทำงาน พูดง่ายๆ ว่าเยซู เติมคริสต์เข้าไป เยซูผู้นี้ คือผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้มาเป็นผู้ที่ช่วยมนุษย์ให้รอด พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ซึ่งสรุปก็คือพระเมสิยาห์  พระคริสต์ พอเข้าใจนะ

            คริสต์ หรือเมสิยาห์ ที่มีชื่อว่าเยซู ที่ใส่พระเข้าไป ตามภาษาไทย เพื่อสรรเสริญ ถ้าไม่ใช้ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ก็ไม่ต้องมีพระ ภาษาอังกฤษ เยซู ก็คือ Jesus คนชื่อจีซัส ก็เยอะแยะ โยชูวา ก็มาจากจีซัส … จีซัส คือเยซู แต่เยซู เฉพาะผู้นี้มีผู้เดียวในโลกนี้ ที่พระเจ้าส่งมาเกิด เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้มาเป็นมนุษย์ที่จะมาช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ ให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง และความตาย มาเป็นตัวแทนของมนุษย์ เกิดจากพระเจ้า มีผู้เดียวในโลกนี้ เยซูคำนี้แหละ  เพราะฉะนั้น ใส่เยซู แล้วก็ต่อด้วยคำว่าคริสต์ ก็กลายเป็นเยซูคริสต์ คนไทยก็อย่างที่บอกว่าภาษาไทยเราต้องการยกย่อง สรรเสริญ ก็ใส่พระลงไป พระเยซูคริสต์ อันนี้รู้แล้วนะ เข้าใจความหมาย

            ถ้าเราลึกซึ้งตรงนี้ เราจะเห็นชัดขึ้นว่าเข้าใจแล้ว พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ  ตะกี้นี้ ข้อ 6 บอกว่าพระเยซูคริสต์ รู้แล้ว หมายถึงผู้นี้แหละ …

        1 ยอห์น 5:6 “พระเยซูคริสต์ คือผู้ที่เสด็จมาโดยน้ำและพระโลหิต พระองค์ไม่ได้เสด็จมา โดยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่โดยน้ำและพระโลหิต และพระวิญญาณ ทรงเป็นพยานให้ เพราะพระวิญญาณทรงเป็นความจริง”

            หมายถึงพระเยซูคริสต์ผู้นี้ มาเกิดเป็นมนุษย์ จากน้ำ “น้ำ” เล็งถึงการประสูติจากหญิงพรหมจารีมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง “น้ำ” เล็งถึงน้ำคร่ำ น้ำในมดลูกของหญิงพรหมจารี ที่ชื่อแมรี่ นอกจากนั้น ยังมีพระโลหิต คือมีเลือดจริงๆ ไม่ใช่เลือดเพียงเฉพาะเวลาที่ประสูติ ก็คือคลอด มีการตัดสายสะดือ มีเลือด แต่ยังรวมถึงเวลาที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน ถูกเฆี่ยน ถูกตี มีเลือดไหลออกมาจากเยซูที่เป็นพระบุตรของพระเจ้านี้จริงๆ พระโลหิตของพระองค์หลั่งไหลออกจากวรกายของพระองค์จริงๆ ตอนที่ถูกตรึงกางเขน ตอนเป็นมนุษย์ เกิดบนโลกใบนี้  เป็นพยานยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์จริงๆ  เพื่อจะให้เป็นไปตามที่พระเจ้าได้สัญญากับมนุษย์ว่าพระองค์จะทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาบนโลกใบนี้ เพื่อเกิดเป็นมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์ เพื่อเป็นเมสิยาห์ มาช่วยเหลือมนุษย์ ให้พ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง  เป็นพยาน

            ทำไมอาจารย์ยอห์นต้องเขียนตรงนี้ ในข้อ 6 เมื่อสักครู่นี้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยาน และเหตุการณ์เหล่านี้จึงเกิดขึ้นเป็นพยาน การเกิดจากน้ำของพระองค์เป็นพยาน การมีโลหิต มีเลือดในร่างกายของพระองค์ เป็นพยานว่าพระองค์เป็นมนุษย์

            ทำไมต้องย้ำในการเป็นมนุษย์ของพระองค์ จำได้ไหม?  ที่เราได้เรียนรู้เรื่องหนังสือ 1 ยอห์น ตั้งแต่ต้น ตามบริบทของหนังสือ 1 ยอห์น เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นมา อันดับแรกเลย เพื่อชี้แจงให้ชาวคริสเตียนได้รู้ถึงว่าอะไรจริง อะไรเท็จ คนไหนได้เป็นคริสเตียนแท้จริง คนไหนไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง

            เพราะว่าในขณะนั้น ในช่วงนั้น มีลัทธิหนึ่งเรียกว่านอสติก พวกนอกรีตที่ปฏิเสธว่าพระเยซูเสด็จมาในเนื้อหนังนั้นว่ามันไม่จริง เขาไม่เชื่อตามนี้ว่าพระองค์ทรงประสูติ มาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ พระเจ้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ พูดง่ายๆ ก็คือเขาไม่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระคริสต์ ไม่เชื่อว่าเยซู คนที่เดินอยู่ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ลูกของแมรี่  เป็นพระคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เขาไม่เชื่อ อาจารย์ยอห์นจึงต้องการแยกแยะระหว่างผู้ที่เชื่อจริงๆ ว่าช่างไม้คนนั้น คือพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ถ่อมตนลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นช่างไม้ ลูกของแมรี่และโยเซฟ แต่คลอดโดยแมรี่ หญิงพรหมจารีจริงๆ นึกออกไหม?

            คนที่เชื่อจริงๆ เหล่านี้  ก็คือคริสเตียนแท้จริง คนที่ไม่เชื่อเหล่านี้ ก็คือผู้หลอกลวง อาจารย์ต้องการชี้ให้เห็น เพราะในสมัยนั้น กลุ่มนอสติกกำลังเป็นที่นิยม ยอห์นกำลังชี้ให้เห็นว่าถ้าใครกล่าวว่าพระเยซูไม่ได้เป็นมนุษย์ คนนั้น คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ไม่ได้มาจากพระเจ้า อย่าไปฟังพวกเขา เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้ เพราะว่ากลุ่มนอสติกเหล่านี้ อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนด้วยกัน เขาก็เชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน พระบิดาเหมือนกัน  เขาก็มาอยู่ในชุมชนของคริสเตียนแท้ มั่วไปหมด เลยคุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง  อาจารย์ยอห์นเลยต้องการมาชี้ให้เขาเห็นว่านี่แตกต่างกันตรงนี้แหละ  และมาดูกันต่อไปว่าอาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่าแตกต่างกันตรงไหน?  ตรงพยานเหล่านี้ คุณเชื่อไหมว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์

            คำพยานเหล่านี้ คือตัวพยานเหล่านี้ จะบ่งบอกว่าพระเยซูเป็นผู้นั้นจริงๆ เป็นพระเมสิยาห์จริงๆ ถ้าคุณไม่เชื่อในคำพยานเหล่านี้  ก็เท่ากับคุณไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์ เมื่อไม่เชื่อว่าเป็นพระเมสิยาห์ คุณก็ไม่ได้รับความรอด เมื่อคุณไม่ได้รับความรอด คุณจะมาบอกว่าคุณเป็นบุตรของพระบิดาเป็นไปไม่ได้ เพราะใครจะมาหาพระบิดา ต้องมาทางเราผู้เดียว ก็คือมาเชื่อในเรา “เรา” หมายถึงพระเยซู

            ในหนังสือที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ ยอห์นบอกว่ามีหลักฐานหลายอย่างที่ยืนยันว่าพระเยซู … คริสต์ เป็นมนุษย์เหมือนเราจริงๆ เดินอยู่บนโลกนี้จริงๆ

            หลักฐานอันที่ 1 ยืนยันว่าพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพยาน พระวิญญาณแห่งความจริงยืนยันถึงพระเยซู พระวิญญาณคือใคร? ก็คือพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในตัวของผู้เชื่อ เพราะเชื่อจริงๆ ปุ๊บ วิญญาณของเขาจะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอยู่ข้างใน และพระวิญญาณนี้จะเป็นผู้ยืนยันกับวิญญาณของคนเชื่อเองว่าพระเยซู เป็นพระคริสต์จริงๆ  เหมือนเราทั้งหลายตอนนี้เราเชื่อไหมว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เราเชื่อเต็มที่ เชื่อ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา ตอนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้สถิตอยู่ในเรา ไม่ได้เชื่อหรอก มาเชื่อไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้ ยอห์น 15:26 พระเยซูได้พูดอย่างนี้  ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ …

        ยอห์น 15:26 “เราจะส่งองค์ที่ปรึกษาจากพระบิดามาหาพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริง ซึ่งออกมาจากพระบิดา เมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา”

            “เมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา” ก็คือพระองค์มาแล้ว และมาอยู่ในตัวผู้เชื่อ ที่เราร้องว่าเป็นหนึ่งเดียวกันๆ

            หลักฐานอันที่ 2 ว่าพระเยซู คริสต์เป็นมนุษย์จริงๆ ก็คือพระเยซูประสูติจากน้ำ ซึ่งหมายถึงการประสูติจากหญิงพรหมจารี พระองค์ทรงถือกำเนิดมาเป็นมนุษย์จริงๆ

            หลักฐานอันที่ 3 ยืนยันว่าพระเยซูมีโลหิต ทั้งเวลาประสูติ และขณะที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่ไม้กางเขน โลหิตของพระองค์ไหลออกมาจากพระกาย อันนี้เห็นชัดๆ ตอนที่เด็กๆ คลอดเห็นชัดๆ คลอดจากหญิงพรหมจารีเห็นชัดๆ อันนี้ หลักฐานยืนยันว่าพระองค์ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ

            “เป็นหลักฐานยืนยันว่าพระเยซู คริสต์ เป็นมนุษย์จริงๆ”

            พระองค์ คือพระเยซู คริสต์ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์และทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ในเวลาเดียวกันด้วย  เดี๋ยวจะมาดูว่าอะไรยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า อันนี้พูดถึงว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ มีหลักฐานยืนยันอย่างนี้ ในอดีตถึงปัจจุบันก็จะมีบางคนที่เขาเชื่อว่าการบัพติศมาในน้ำของพระเยซู ตอนที่จะเริ่มภารกิจของพระองค์ เป็นคำยืนยันหรือเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับการเป็นมนุษย์ของพระเยซู เขาบอกพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ จึงไปลงน้ำ บัพติศมากับยอห์นบัพติศโต นี่ความเชื่อ เขาเชื่อว่าอย่างนั้น

            แต่ผมว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้มันไม่สำคัญมากนักหรอก แต่อยากจะอธิบายให้ฟังนิดหนึ่ง ให้ท่านลองคิดเอาเองว่ามันจริงไหม?  เพราะการบัพติศมาในน้ำของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ เป็นสิ่งที่ยืนยัน เป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซู การที่พระเยซูไปบัพติศมาในน้ำ  ไม่ได้มาเล็งถึงว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์จึงไปลงน้ำบัพติศมา ไม่ใช่ แล้วจะมาอ้างว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ ไปลงน้ำบัพติศมา เพราะฉะนั้น เรามาเชื่อ เราต้องลงน้ำด้วย “ต้อง”ลงน้ำ  ผมว่าไม่ใช่

            การลงน้ำของพระเยซูนั้น เป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ถามว่าตรงไหนที่ยืนยัน ตรงที่มีบันทึกเหตุการณ์ในเรื่องนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่พระเยซูเดินทางไปรับบัพติศมาในน้ำกับยอห์นนั้น  ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ามีเสียงจากฟ้าสวรรค์ คือพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ พูดจากสวรรค์ลงมาอย่างอัศจรรย์เลย เสียงอันดังจากสวรรค์ลงมา  ตอนที่พระเยซูขึ้นจากน้ำมา บอกว่า …

            “ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา”

            นี่แหละ เป็นหลักฐานถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ พระบิดาเป็นผู้ประกาศว่านี่แหละ คือพระเมสิยาห์  ที่เราสัญญาไว้ เราแต่งตั้งไว้  นี่คือพระคริสต์ ผู้ที่เราเจิมตั้งไว้มาทำงานนี้ ตรงนี้มากกว่า

            แต่ถ้าพูดถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซู สิ่งที่เป็นพยาน ก็คือการที่พระองค์ประสูติจากน้ำ ในครรภ์มารดาอย่างที่บอก ซึ่งหมายถึงว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์จริงๆ จำที่พระเยซูพูดได้ไหม?  ตอนที่กำลังจะไปถูกตรึง มีฟาริสีคนหนึ่ง ชื่อนิโคเดมัสมาถามเรื่องเกี่ยวกับการบังเกิดใหม่ พระเยซูตรัสตอบสั้นๆ ว่า …

            “ท่านต้องเกิดจากน้ำ และพระวิญญาณ จึงจะสามารถเข้าสวรรค์ได้”

            พระองค์บอกเลยว่าท่านต้องเกิดจากน้ำ คำว่า “ต้องเกิดจากน้ำ” หมายถึงอะไร? ในหนังสือยอห์น ที่บันทึกไว้ในบทที่ 3 พระเยซูบอกท่านต้องเกิดจากน้ำ  น้ำ ก็คือตะกี้นี้ 1 ยอห์น บทที่ 5 ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้  ท่านต้องเกิดจากครรภ์มารดา  พูดง่ายๆ ว่าท่านต้องเป็นมนุษย์คนหนึ่ง  เพราะว่าพระองค์ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ ไม่ได้มาเป็นตัวแทนของสัตว์ ของอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้มาเป็นตัวแทนของวิญญาณ ทูตสวรรค์ แต่พระองค์มาเป็นตัวแทนของมนุษย์ เพราะฉะนั้น ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า? ท่านต้องเกิดจากน้ำก่อน ก็คือเป็นมนุษย์ แล้วท่านจึงจะสามารถบังเกิดใหม่ได้ ก็คือต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูจึงบอกว่าท่านต้องเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ เกิดเป็นมนุษย์ แล้วบังเกิดใหม่  อันเดียวกัน น้ำเดียวกัน ต่อมา 1 ยอห์น 5:7-8 …

        1 ยอห์น 5:7-8 “เพราะมีสามสิ่งที่เป็นพยาน คือพระวิญญาณน้ำ และพระโลหิต  และทั้งสามนี้ สอดคล้องกัน”

            พระเยซู คริสต์ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์  และทรงเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ในเวลาเดียวกัน ก็คือเป็นพระเมสิยาห์ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ตั้งนมตั้งนานมาแล้วว่าจะส่งพระบุตร ก็คือเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์นั่นเอง ยอห์นได้แยกแยะระหว่างผู้เชื่อ และผู้หลอกลวง ผู้โกหก มดเท็จ ในยุคนั้น ซึ่งสามารถเอามาใช้ ในยุคนี้ได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกนอสติก ที่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูทรงมาเกิดในเนื้อหนัง

            ยอห์นกล่าวไว้ว่าใครก็ตามที่ปฏิเสธพระเยซูว่าเป็นมนุษย์ ผู้นั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ผู้นั้นเป็นศัตรูกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า ผู้นั้น คือผู้ที่ไม่เชื่อ ผู้นั้น คือผู้ที่หลอกลวง ผู้นั้น คือผู้ที่ทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย ผู้นั้น ผู้ที่มาทำให้คริสเตียนหลงหายไป

            สรุปหลักฐานการยืนยัน หรือที่เราเรียกว่าเป็นพยานให้กับพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นมนุษย์จริงๆ คือพระเยซู คริสต์ต้องเป็นมนุษย์จริงๆ  คือ …

            (1) พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพยานยืนยันอยู่ในตัว

            (2) พระองค์ประสูติจากน้ำ หมายถึงการประสูติทางร่างกาย

            (3) พระองค์มีพระโลหิต ซึ่งไหลออกจากร่างกายของพระองค์ในเวลาประสูติ และเวลาที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน ในขณะที่ถูกเฆี่ยนตีนั้น เลือดพระองค์ไหลออกมาจริงๆ นี่เห็นกับตาได้

            โยเซฟ แมรี่ สมมตินะไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า สมมติว่ามีหมอตำแย ก็จะเห็น ตัดสายสะดือเห็นเลือดจริงๆ ของเด็กเยซูผู้นี้ ผู้ที่เป็นพระเมสิยาห์

            แล้วหลักฐานที่ยืนยันความเป็นพระเจ้าของพระเยซู คืออะไร?  ก็คือ …

            (1) เสียงจากฟ้าสวรรค์ยืนยันว่าพระองค์เป็นบุตรที่เรารัก พระเจ้าพูดเองจากฟ้าสวรรค์ ตอนที่พระเยซูไปลงบัพติศมาในน้ำ

            (2) หมายสำคัญต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ ไม่มีใครในโลกนี้ มาจนถึงปัจจุบันนี้  ไม่มีใครทำอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์อย่างนี้เลย เทียบไม่ได้แม้แต่นิดเดียวเลย ยกตัวอย่างเช่น ตายไปหลายวันแล้ว ยังเรียกขึ้นมาได้ เดินออกมา อย่างเช่น ลาซารัส เป็นต้น หรือทำให้คนง่อยตั้งแต่กำเนิด สามารถเดินเหินได้เหมือนเดิม  อะไรต่างๆ เหล่านั้น  นี่คืออัศจรรย์  แล้วอีกหลายๆ อย่าง  เยอะแยะมากมายไปหมด ยอห์นบอกว่าถ้าจะให้เขียน มีกระดาษไม่พอที่จะให้เขียน  อัศจรรย์อะไรที่พระองค์ทรงทำบ้าง? และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์อีก สิ่งเหล่านี้ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าจริงๆ ก็คือหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ต่างๆ

            (3) ที่เป็นพยานยืนยัน แน่นอนเลย ก็คือคำสั่งสอนของพระองค์ หรือคำพูดของพระองค์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทานให้กับเรา ที่สถิตอยู่กับเรา ตัวนี้ยืนยันชัดเจนว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เอเมน

            และพยานเหล่านี้ทั้งหมด ทั้ง 2 อันเลย คือที่ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ และอีกอันที่ยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้านั้น ทั้ง 2 อย่าง ทั้ง 3 อย่าง ทั้งหมดนี้อยู่ในตัวของผู้เชื่อ โดยยืนยันผ่านทาง ผู้เดียวกัน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่กับผู้เชื่อด้วย 1 ยอห์น 5:9 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:9 “ถ้าเรารับคำพยานของมนุษย์ คำพยานของพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่กว่า เพราะนี่คือคำพยานของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงเป็นพยานถึงพระบุตรของพระองค์”

            อาจารย์ยอห์นได้เน้นถึงเรื่องนี้ว่าความสำคัญของคำพยานของพระเจ้า  ที่เกี่ยวกับพระเยซู คริสต์ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ และยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของมนุษย์ การยอมรับคำพยานของพระเจ้า เป็นการยอมรับความจริง ที่พระองค์ได้เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องพระบุตรของพระองค์ คือพระเมสิยาห์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของความเชื่อของคริสเตียน  ก็คือเรื่องความเชื่อในพระเมสิยาห์ หัวใจพื้นฐานของคริสเตียน ก็คือการเชื่อว่าเยซูผู้นี้  ผู้ที่เราฉลองวันเกิดนี้ ผู้ที่เป็นลูกของแมรี่กับโยเซฟในทางมนุษย์ คือพระเมสิยาห์ คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาไถ่มนุษย์ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้

            ยกตัวอย่าง ปกติแล้วคำพยานของมนุษย์บนโลกใบนี้ ก็เป็นสิ่งสำคัญ เปรียบเทียบให้เห็นว่าในห้องพิจารณาคดี ในศาล แบบมนุษย์ การมีพยาน เป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินคดีอย่างมากว่าจริงหรือไม่จริง ยิ่งพยานเยอะเท่าไร ยิ่งดีเท่านั้น  ดังนั้น พระเจ้าจึงให้ชาวยิวเขียนกฎบัญญัติออกมาว่าถ้ามีการขึ้นศาลกันเมื่อไร? ให้มีพยานอย่างน้อย 2-3 คน จึงจะเชื่อถือได้ นี่ในโลกของมนุษย์ยังเป็นแบบนี้ และในโลกของมนุษย์ คำพยานของมนุษย์เทียบค่ากับพระเจ้า เป็นพยานด้วยตัวพระองค์เองไม่ได้เลย  เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงมีพยานยืนยันอย่างชัดเจน  ให้เราสามารถเชื่อได้จากพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์  และเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกัน  และสิ่งเหล่านี้ คือคำพยานของพระเจ้าเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ คือทั้งหมดที่ตะกี้เราอ่าน  คือคำพยานของพระเจ้าว่าใช่ พูดง่ายๆ พระเจ้าไม่รู้จะบอกอย่างไรแล้วว่าให้คำพยานยืนยันถึงขนาดนี้แล้วว่า …

            “เยซูผู้นี้ คือบุตรของเรา ที่เราประทานให้เจ้าทั้งหลาย มวลมนุษยชาติเอ๋ย ตามที่สัญญาไว้”

        1 ยอห์น 5:10 “ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ก็มีคำพยานนี้อยู่ในใจ ผู้ที่ไม่เชื่อก็หาว่าพระเจ้ามุสา เพราะไม่เชื่อคำพยานที่พระเจ้าให้เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์”

            ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระคริสต์ ก็จะมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีคำพยานนี้อยู่ในใจ  อยู่ในตัวของเขา ผู้ที่ไม่เชื่อ ก็คือมันเชื่อไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวของเขา เขาก็ไม่เชื่อว่าพระเยซูผู้นี้เป็นพระเมสิยาห์  เขาก็เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นช่างไม้ เป็นคนธรรมดา

            ยอห์นกำลังบอกเราว่า 3 สิ่งที่เป็นพยาน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา น้ำและพระโลหิต เป็นพยานยืนยันอยู่ในตัวของเราผู้เชื่อ  ดังนั้น เราจึงไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาคำพยานจากโลกนี้อีกต่อไป ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องไปอ่าน ยกตัวอย่าง มีอยู่พักหนึ่งดังมาก ไปพิสูจน์ว่านี่คือผ้าพันพระศพพระเยซูคริสต์ ผ้าพันพระศพพับมาอย่างนี้ แสดงว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย หลักฐานตรงโน้นตรงนี้ว่าพระเยซูคริสต์มีชีวิตอยู่จริงๆ ไปดูหลุมศพ ไปดูที่เกิดของพระเยซู แล้วบอกว่าหลักฐาน แสดงว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ ไม่ต้องไปหาหลักฐานเหล่านั้น เพราะถ้าหาหลักฐานเหล่านั้น ท่านจะหลงทาง ท่านจะไม่มีวันจบ เพราะว่าหลักฐานต่างๆ คำพยานต่างๆ จากโลกใบนี้ เขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวของเขา ไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา เพราะเขาหาไปเรื่อยๆ แต่เรามีความจริงอยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว เรารู้ว่ามันเป็นจริง เพราะว่าข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ เพราะว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา ภายในเรา เราจึงรู้ จึงเข้าใจสิ่งเหล่านี้ โรม 8:16 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 8:16 “พระวิญญาณเองทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า”

            พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา ภายในเรา พูดกับเราถึงถ้อยคำเหล่านี้ ที่เราได้อ่าน ได้เรียนรู้ จากพระคัมภีร์เหล่านี้ว่ามันเป็นจริง ในยอห์น 16:13 บันทึกอย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 16:13 “แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น”

            “พระองค์จะทรงนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล”

            พระองค์ คือพระวิญญาณที่สถิตอยู่กับเรา จะนำเราผู้เชื่อหรือคริสเตียน ไปสู่ความจริงทั้งมวล จากถ้อยคำของพระเจ้าที่อยู่ในพระคัมภีร์ อาจจะไม่ใช่พระคัมภีร์ที่เราอ่านเอง  เราอาจจะอ่านหนังสือไม่ออก แต่จากคนที่อ่านออก แล้วมาพูดกับเรา  แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา จะยืนยันว่านี่แหละ คือความจริง ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

            คือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของคริสเตียนเล่มนี้  เล่มที่เรากำลังถืออยู่นี้ เป็นหนังสือเล่มที่ไม่ใช่ธรรมดา เหมือนกับหนังสือทั่วๆ ไป หนังสือวรรณกรรมที่เราอ่าน มารวมตัวกันวันอาทิตย์ มาอ่านหนังสือเล่มนี้กัน สนุกดี ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วมันสนุก มีเรื่องราวยิ่งใหญ่ มีเรื่องข้ามน้ำ ข้ามทะเล มันอัศจรรย์เลย หรือว่ามันเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ ที่ยอดเยี่ยมมากเลย ประวัติศาสตร์อย่างชัดเจนเลยว่าตั้งแต่เริ่มสร้างโลกเป็นอย่างนี้ๆ เรียนรู้ประวัติศาสตร์จากหนังสือพระคัมภีร์ ยอดเยี่ยม  ความรู้มากมายเลย มันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แต่พระคัมภีร์ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่นี้ มันแตกต่างออกไปจากหนังสือทั่วๆ ไป

            เมื่อเราอ่านหรือเรียนรู้จากถ้อยคำต่างๆ ในหนังสือพระคัมภีร์นี้ มันมีบางสิ่ง บางอย่างในตัวเราที่เร้าใจเกิดขึ้น มันมีการไม่หยุด ปกติเราอ่านประวัติศาสตร์ เรื่องราวต่างๆ  อะไรที่เกิดขึ้น อาจจะตื่นเต้น หรือวรรณกรรม เรื่องราวต่างๆ ที่สนุกสนาน อาจจะติดตาม  แต่เราจะไม่แสวงหาต่อ แต่ถ้าเราเรียนรู้ ศึกษาจากพระคัมภีร์ เราจะมีความรู้สึกอยากจะแสวงหาความจริง อย่างลึกขึ้นไปอีก มีความปรารถนา มีความกระหาย มีความต้องการที่จะเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มากขึ้น พอเราเริ่มเรียน ศึกษา จนรู้ว่าเราเป็นลูกของพระองค์อย่างไร? พระองค์ปฏิบัติต่อเราอย่างไร?  พระองค์มีความรู้สึกอย่างไร? พระองค์ต้องการอะไร? มันไม่ใช่หนังสือธรรมดาแล้ว  เห็นไหม? เพราะว่าถ้อยคำเหล่านั้น ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้ มันมีชีวิต มันไม่ใช่ถ้อยคำธรรมดา ให้ความรู้เฉยๆ แต่มันมีชีวิตจริงๆ มันไม่ใช่เพียงแค่เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เรามาอ่านหาความรู้ทั่วๆ ไป มันเป็นชีวิต

            ในพระคัมภีร์อาจารย์ยอห์นพูดไว้ในหนังสือกิตติคุณยอห์น ตอนต้นๆ ตั้งแต่เริ่มต้นว่าพระเยซู คือพระวจนะ พระเยซู คือถ้อยคำ พระเยซู คือพระคำ ดังนั้น พระคัมภีร์ทั้งเล่ม คือพระเยซูทั้งสิ้น คือพระวิญญาณทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้น จะอ่าน จะเข้าใจอะไรต่างๆ ก็ต้องอาศัยพระวิญญาณเป็นผู้ชี้แจงให้เราเห็นว่านี่คืออะไร? และเมื่อคนที่เกิดใหม่ หรือพูดง่ายๆ คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ มีพระวิญญาณอยู่ในตัว ก็จะไม่อยู่นิ่ง จะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ  เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา และคอยสอนเราเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์นี้  ด้วยตัวของพระองค์เอง ต่อให้เราอ่านหนังสือไม่ออก พระองค์ก็จะสอนเรา ในคริสเตียนยุคแรก ก็อ่านกันไม่ออก เขาก็พึ่งพระวิญญาณทั้งนั้น

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนจงรับรู้เถิดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  พระวิญญาณแห่งความจริงนี้ สถิตอยู่ภายในเราตลอดเวลา เป็นพยานยืนยันความจริง เรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเมสิยาห์ของเรา พระองค์สอนเราตลอด 24 ชั่วโมง เพียงแต่เราจะรับรู้หรือไม่? เท่านั้นเอง ผมจึงใช้คำว่า “จงรับรู้เถิด” ก็พยายามรับรู้ ให้รู้ตลอดเวลาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในฉัน  เป็นพยานยืนยันเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู คริสต์ พระเยซู คริสต์เป็นอย่างไร?  เกิดเป็นมนุษย์อย่างไร?  ทำอะไรเพื่อฉันบ้าง? บัดนี้อยู่ที่ไหน? เรียนรู้จากพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายในท่าน และพระองค์จะเป็นพยานยืนยันในถ้อยคำแห่งความจริงว่าพระองค์เป็นใคร?  และท่านเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ โดยจะยืนยันเสมอว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว ตามถ้อยคำของพระองค์ที่ทรงบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว พระวิญญาณยืนยันอย่างนั้น ในนามพระเยซู เอเมน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

            พระเจ้าได้ตรัสว่า … “ไม่มีสักคนที่เป็นคนชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว”

            โรม 3:9-20 … “9 เช่นนี้แล้ว เราจะสรุปว่าอย่างไร พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ! ไม่เลย เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด 10 ตามที่มีเขียนไว้ว่าไม่มีสักคนที่เป็นคนชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย 11 ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า 12 ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว 13 ลำคอของพวกเขา คือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อน พิษงูร้าย อยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา 14 ริมฝีปากของเขา เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง และคำเผ็ดร้อน 15 เท้าของเขา ว่องไวในการทำให้นองเลือด 16 เขาก่อหายนะและทุกข์เข็ญ ไว้ตามรายทางของเขา 17 ไม่มีความยำเกรงพระเจ้า ในสายตาของพวกเขา 18 เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย 19 เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บทบัญญัติกล่าวไว้  ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน ไม่ให้มีข้อแก้ตัว และให้ทั้งโลกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นคนชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า  โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติ เพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป เป็นคนบาป”

            • บทบัญญัติ ก็คือกฎแห่งการกระทำ ที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง ไม่ว่าดีหรือชั่ว เรียกว่ากฎแห่งกรรม ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว เป็นกฎหมายทางศีลธรรม  ที่จารึกอยู่ในใจ

            • ถ้าทำดี  ก็ได้ไปสวรรค์ ทำชั่ว  แม้นิดเดียว  ก็พินาศโดยพลัน

            ✓ มนุษย์ มองที่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ

                  แต่พระเจ้า มองที่ฐานภูเขาน้ำแข็ง มหึมา ใต้น้ำ

            ✓ มนุษย์  มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้า  มองที่วิญญาณข้างใน

            • พระเยซู  กำลังชี้ให้ชาวยิว  และมนุษย์ทั้งปวง ได้เห็น ฐานภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ  คือโลกวิญญาณ  ที่เกี่ยวกับทางแห่งความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปในวิญญาณ ซึ่งคือตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ ที่ต้องเข้าสู่การพิพากษา ว่าจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้หรือไม่

            • ทางแห่งความรอดนี้ ก็คือผ่านทางความเชื่อวางใจ ในพระเยซูคริสต์  พระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าได้ประทานให้กับมนุษย์ทุกคน เป็นกฎแห่งพระคุณ หรือกฎแห่งวิญญาณในพระเยซูคริสต์ คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูเท่านั้น ไม่พึ่งพาการกระทำดีของตนเองเลย

            • ส่วนบนโลกใบนี้ ที่เราจับต้องมองเห็นได้ มันอยู่ใต้กฎ ที่เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย คือพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง เป็นกฎแห่งกรรม คือทำดี ก็ได้สิ่งที่ดี ทำชั่วก็ได้เก็บเกี่ยวความชั่วกลับมา

            • ซึ่งเรารู้กันอยู่แล้ว  เพราะเห็นกันชัดอยู่แล้ว พยายามปฏิบัติดี  ก็เก็บเกี่ยวผลดี  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างมีความสุข มีสันติสุข ทุกข์น้อยลง ถ้าทำตรงกันข้ามกับกฎ ก็ทุกข์มากขึ้น

            • เพราะฉะนั้น ใครที่พยายาม บังคับ ควบคุมตนเองได้มาก  ก็มีความสุข  มีสันติสุขมากบนโลกใบนี้ เช่น  เรารู้ว่าอาหารเหล่านี้ ทำลายสุขภาพ เช่น เหล้า  ยาเสพติด  น้ำตาล อาหารที่เป็นพิษต่อร่างกายต่างๆ  แต่เราก็ยังคงปล่อยตัว ไม่พยายามลดละ  เราก็จะเก็บเกี่ยว  ผลของสุขภาพย่ำแย่  โรคภัยไข้เจ็บ  เพิ่มความทุกข์  ให้กับร่างกาย

            • เพราะฉะนั้น  ทั้งสองโลก  คือโลกวิญญาณ  และโลกวัตถุ  สำคัญทั้งสองกฎ  แต่โลกวิญญาณนั้น สำคัญกว่ามาก  เพราะจะอยู่นิรันดร์  ไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่โลกวัตถุนั้น ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว  แป๊บเดียวเท่านั้น

            • ดังนั้น การรักษา เชื่อฟังต่อกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฎบัญญัติ  กฎหมายบ้านเมือง กฎศีลธรรม กฎแห่งการทำดีทำชั่ว การเคารพยำเกรงต่อกฎเหล่านี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ให้สอดคล้อง เชื่อฟังต่อกฎเหล่านี้ ก็เป็นประโยชน์อย่างมาก   ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ อย่างสงบสุข เป็นสิ่งที่ดีที่จะส่งผลให้มีทุกข์น้อยลง

            • แต่ทั้งนี้ ไม่มีผลใดใดกับทางโลกวิญญาณ ที่จะเก็บเกี่ยวทางวิญญาณ หลังความตายจากโลกนี้แล้ว หลังจากวิญญาณออกจากร่าง  เข้าสู่มิติวิญญาณ

            • พระเยซูจึงอยากให้เรา ให้ความสำคัญกับโลกวิญญาณมากกว่า  จงแสวงหาความรอดทางวิญญาณ คือความชอบธรรมที่จะเข้าสวรรค์ โดยความเชื่อ ผ่านทางพระองค์เท่านั้น

            • ปัญหาจึงอยู่ที่มนุษย์ไม่รู้ความจริงว่ามันมีอยู่สองกฎ  คือกฎของโลกวิญญาณ และ กฎของโลกวัตถุ  จึงหวังผล สลับกันไปมา  มั่วไปหมด  เช่น  กระทำดีตามกฎหมายศีลธรรม  อันดีงาม  ก็ไปหวังผล คือความรอดในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นไปไม่ได้

            • หรือรอดในวิญญาณแล้ว  คือเชื่อวางใจในพระเยซูแล้ว  หวังผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกนี้ด้วย เช่น มาเชื่อพระเจ้าแล้ว  หวังว่าจะเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย แข็งแรง  ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกนี้ มันถูกปกคลุมไปด้วยคำสาปแช่ง ความทุกข์ยาก ลำบาก  เนื่องจากบาป

            • ใครก็ตามที่อยู่บนโลกใบนี้   ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า  หรือไม่เชื่อก็ตาม ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด เหมือนแดดส่องมาบนโลก โดนทุกคน  เพียงแต่ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ก็จะมีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน  คอยนำพา

            • และพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา  และเป็นผู้ดูแล  กฎทั้งสองกฎนี้  ดังนั้น ใครก็ตามที่เคารพยำเกรง คือเชื่อฟังพระองค์ พยายามรักษากฎบัญญัติ กฎศีลธรรม และรักษากฎทางฝ่ายวิญญาณด้วย คือเชื่อวางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์ และให้ความสำคัญทำตามทั้งสองกฎ ก็จะได้พระพร  อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ คือพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการ ในพระคริสต์ รวมทั้งพรบนโลกใบนี้  มีความสุข  ความสงบ  ในการดำเนินชีวิต  บนโลกใบนี้ด้วย

            • นี่คือการเคารพยำเกรงจนตัวสั่น  ต่อพ่อแห่งฟ้าสวรรค์  พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด   ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก   สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย   เป็นพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม ไม่มีลำเอียง  เป็นผู้พิพากษาทุกสิ่ง  ให้เป็นไปตามกฎระเบียบ  ตามถ้อยคำของพระองค์ที่ได้ให้ไว้แล้ว  กับสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทั้งโลกวิญญาณ  และโลกวัตถุ   พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1511

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  กุมภาพันธ์  2025

เรื่อง “พิธีบัพติศมาในน้ำ เป็นภาพคนบาปได้เกิดใหม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หัวข้อเรื่อง คือ “พิธีบัพติศมาในน้ำ เป็นภาพของคนบาปได้เกิดใหม่” พระคัมภีร์บอกมนุษย์ทุกคนเกิดมา ไม่ต้องทำอะไรก็เป็นคนบาปแล้ว การบัพติศมาในน้ำ เป็นภาพ ในโลกฝ่ายวิญญาณที่ทำให้เห็น เป็นภาพของการเกิดใหม่ หรือเรียกว่าบังเกิดใหม่ทางฝ่ายวิญญาณ ในนามพระเยซู เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งมองไม่เห็น พระเจ้าเลยให้ทำอย่างนี้ เพื่อให้เห็นภาพว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เราเริ่มต้นที่ 1 เปโตร 3:21 บันทึกอย่างนี้ อย่างชัดเจน …

        1 เปโตร 3:21 “และบัพติศมาด้วยน้ำนี้ ซึ่งเป็นภาพของการช่วยให้รอดทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่รอดโดยการขจัดความสกปรกของร่างกายภายนอก แต่โดยได้รับการชำระภายใน ได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่และใจใหม่ ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ผ่านความเชื่อของท่าน ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์”

            การบัพติศมาด้วยน้ำนี้ เป็นภาพของการช่วยให้รอดทางฝ่ายวิญญาณ ชัดเจน ไม่ใช่รอดโดยการกระทำภายนอก ก็คือขจัดความสกปรกทางร่างกายภายนอก พูดง่ายๆ เปโตรกำลังยกตัวอย่างว่าการที่ท่านลงน้ำบัพติศมา มันเหมือนกับการอาบน้ำ อาบน้ำเพื่อชำระภายนอก ก็คือชำระขี้โคลน ขี้ดินอะไรต่างๆ เหล่านั้น พอลงน้ำ ขึ้นมามันก็สะอาด แต่นี่เป็นสิ่งที่ทำเป็นภาพของโลกวิญญาณ มีการชำระเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ชำระขี้โคลน ขี้ดินออกจากร่างกาย แต่เป็นการชำระบาป เอาบาปออกไปจากวิญญาณของท่าน ซึ่งเป็นคนบาป ท่านรอดจากการเป็นคนบาป  ได้รับการชำระภายใน ด้วยการบังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่  และใจใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ก็คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งฉันด้วย รวมทั้งท่านด้วย ท่านจึงได้รับการชำระจากภายใน ก็คือวิญญาณท่านได้รับการบังเกิดใหม่นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ท่านบังเกิดใหม่ ท่านได้รับความรอด โดยความเชื่อ …

            “ผ่านทางความเชื่อของฉัน ฉันจึงได้รับความรอดนี้”

            รอดจากเป็นคนบาป เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าไม่ใช่ความประพฤติภายนอก ที่ทำให้เรารอด ไม่ใช่โดยพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ มากมายของชาวยิวหรือของมนุษย์ตั้งขึ้นมา พิธีกรรมอะไรเยอะแยะมากมายที่กระทำ ไม่ใช่ด้วยสติปัญญา หรือความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ หรือความรู้เยอะแยะมากมายไปหมดเลย รู้เรื่องโน้น รู้เรื่องนี้ รู้เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ รู้เรื่องเกี่ยวกับบทบัญญัติของพระเจ้าเยอะแยะมากมายไปหมด ไม่ใช่การสั่งสมความดีให้ได้มากที่สุด ทำบาปให้ได้น้อยที่สุด ตามที่มนุษย์คิด เพราะการกระทำดีเหล่านั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้เขาคนนั้น กลายเป็นคนดีได้ เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่  เขาต้องเกิดใหม่เท่านั้น

            เกิดใหม่โดยความเชื่อ  เพราะฉะนั้น เป็นความเชื่อเท่านั้น ที่ทำให้เขาได้เกิดใหม่ เชื่อภายในใจของท่าน เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อไถ่บาปให้กับท่าน ยกบาปใก้กับท่าน ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตทั้งหมดทั้งปวง ยกออกหมดเลย และพระองค์ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ถ้าใครเชื่อข่าวดีตรงนี้ ความเชื่อตรงนั้น ทำให้เขาได้รับความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย คือหลังควาตายเขาไม่ต้องพินาศ เขาได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณทันที บนโลกใบนี้เลย ในขณะที่เขาเชื่อและวางใจในข่าวดีของพระเยซูคริสต์

            ดังนั้น พิธีบัพติศมาในน้ำ ที่เราจะกระทำในวันนี้ และผู้คนกระทำมา 2,000 ปีแล้ว จึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนใดคนหนึ่งได้รับความรอดจากการเป็นคนบาปเลย พูดง่ายๆ คือไม่ได้ช่วยให้รอดจากความพินาศ  เพราะความรอดเกิดขึ้นเมื่อใครก็ตามเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ และสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนนั่นต่างหาก เอเฟซัส 2:8-9 ยืนยันในเรื่องนี้ว่า …

        เอเฟซัส 2:8-9  “8 เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้”

            ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติหรือการกระทำ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติ รักษาความดี ตามที่เราคิด พระเจ้าบอกว่าเพื่อจะได้ไม่มีใครอวดได้ว่า …

            “ฉันรอด ฉันกลายเป็นคนบริสุทธิ์ ดีพร้อม ไปอยู่ในสวรรค์ได้ เพราะฉันกระทำดีมากกว่าเธอ”

            นี่เขาเรียกว่าโอ้อวด

            “ฉันกระทำดีมากกว่าเธอ ฉันรักษาศีลได้มากกว่าเธอ ได้มากข้อกว่าเธอ รักษาบัญญัติของพระเจ้าได้มากกว่าเธอ ประพฤติดีได้มากกว่าเธอ”

            ไม่มีใครสามารถอวดได้อย่างนี้ว่าเขาได้รับความรอด ไปสู่สวรรค์ ด้วยความดีของเขา ที่พยายามทำ อันนี้ไม่ได้หมายถึงว่าไม่ต้องทำดี ทำดีก็ได้ผลของสิ่งที่กระทำดีนั้น  เก็บเกี่ยวของดีนั้นบนโลกใบนี้เท่านั้น  แต่มิได้เกี่ยวกับผลของการอยู่ในสวรรคสถาน หลังความตายเลย

            อาจารย์เปาโลอยากจะให้พี่น้องได้เห็นว่าสิ่งที่พระเจ้าบอกให้กระทำนั้น มันเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งสำคัญกว่าสิ่งที่พระเจ้าบอกให้ทำ พระเจ้าบอกให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ เพื่อเล็งถึงภาพ หรือพูดง่ายๆ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณว่ามันคืออะไร? อาจารย์เปาโลเลยไม่อยากให้พี่น้อง คริสเตียนทั้งหลาย ไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นภาพหรือเป็นสัญลักษณ์มากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เห็นภาพว่าในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นอย่างนี้ แต่มนุษย์ก็ไปติดยึดกับพิธีกรรมต่างๆ เหล่านั้นว่ามันเป็นจริงเป็นจังมากเหลือเกิน ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

            อาจารย์เปาโลเลยบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าอะไรได้เริ่มต้นเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วันนั้น วันไหนก็ไม่รู้ วันที่ท่านได้ยินได้ฟังถ้อยคำของพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายวัน หลายปี หลายเดือนแล้ว แล้วท่านตัดสินใจว่านี้ ฉันเชื่อพระเจ้าแล้ว ที่ท่านคิดว่าท่านเชื่อท่านวางใจ ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นทันที คือการบัพติศมาในวิญญาณของท่าน ท่านได้บังเกิดใหม่ อาจารย์เปาโลบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าอะไรเกิดขึ้น เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์

            การบัพติศมาในน้ำ เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของการที่ท่านได้เข้าส่วนร่วม เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ในการถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ถูกฝังและได้เป็นขึ้นจากความตาย คือได้บังเกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่วันที่ท่านเปิดใจ การลงน้ำ เป็นภาพให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณนั้น โรม 6:3-5 อาจารย์เปาโลจึงได้อธิบายถึงการลงน้ำบัพติศมา เห็นภาพอะไรเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณอย่างชัดเจนมาก สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อวันที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นแล้ว  วันนี้ท่านจะมาลงน้ำ ก็ให้เห็นภาพ เพื่อจะได้ระลึกถึงว่า …

            “ฉันได้เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณเดียวกับพระองค์แล้ว ตั้งแต่วันก่อนโน้น วันนี้มาระลึกถึง มาฉลอง”

        โรม 6:3-5 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น 4 ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเอง ก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วย”

            บัพติศมา ก็คือการจุ่มเข้าไป มุดเข้าไป เข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเอง บัพติศมาหมายถึงอย่างนี้ แปลว่าอย่างนี้ ตามภาษา

            อาจารย์เปาโลบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า”

            พูดกับใคร? พูดกับคนที่เป็นคริสเตียน  “ท่านไม่รู้หรือว่า” ก็คือท่านควรจะรู้ว่าท่านทั้งปวงที่เชื่อในพระเยซู เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว  ตั้งแต่วันนั้น วันที่ท่านเปิดใจ พระวิญญาณจุ่มท่านลง นำท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ท่านถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน เมื่อร่วมความตายกับพระองค์ที่ไม้กางเขนแล้ว

            ข้อ 4 บอกดังนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์ด้วย ก็คือพระองค์ถูกฝัง เราก็ถูกฝังด้วย โดยการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เราก็ถูกฝังด้วย เพื่อเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับพระเจ้า ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  คือได้บังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าให้เราเข้าไปอยู่ในวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แล้วก็ร่วมไปกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย พระองค์สิ้นพระชนม์ เราก็ตายไปพร้อมกับพระองค์ เพราะเราอยู่ในพระองค์ แล้วพระองค์ทรงถูกฝังไว้ เราก็ถูกฝังไว้  วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากความตาย คือได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ด้วย เพราะว่าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ไปแล้ว

            เพราะฉะนั้น พิธีบัพติศมาในน้ำ จึงเป็นภาพของคนบาปได้เกิดใหม่ เกิดมาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ คือผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ขอบคุณพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ข้อ 6 กับข้อ 7 ได้บันทึกต่อว่า …

        โรม 6:6-7 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายจากบาปแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”

            ในโลกฝ่ายวิญญาณอะไรเกิดขึ้น เรารู้ตัวเก่าของเรา ก็คือเราเป็นคนบาป เกิดมาก็บาปแล้ว เพราะเราเกิดมาจากตระกูลของอาดัม  เป็นลูกหลานของอาดัมทั้งสิ้น ตัวเก่าของเราที่เป็นคนบาป ได้ถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์ ที่บนไม้กางเขนแล้ว เพื่อตัวเก่านั้นจะได้ถูกขจัดออกไป ก็คือได้ตายไป พร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป  เพราะว่าผู้ใดที่ตายจากบาปแล้ว เป็นอิสระจากบาป ก็คือไม่เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว เอเมน ตัวเก่าที่เป็นคนบาป ต้องตายก่อน ถึงจะเกิดใหม่ได้ นึกให้ดีๆ อยู่ดีๆ มาเกิดได้อย่างไร? ยังไม่ได้ตายเลย ตัวเก่ายังอยู่ ไม่มีทางเกิดได้ จะเกิดได้ ต้องตายก่อน

            “จะเกิดใหม่ได้ ตัวเก่าต้องตายก่อน”

            ผมนึกถึงอะไรรู้ไหม? นึกถึงคำพูดของพระเยซู ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ พูดถึงสิ่งนี้แหละ แต่ตอนนั้น มนุษย์หรือชาวยิวยังไม่ได้เข้าใจดีว่ามันหมายถึงอะไร? เพราะเขายังไม่ได้เกิดใหม่  ไม่รู้เรื่องของโลกฝ่ายวิญญาณ พระเยซูตรัสไว้ในหนังสือมัทธิว 16:24 อย่างนี้ว่า …

        มัทธิว 16:24 “แล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นสาวกของเรา ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตน แบกและตามเรามา”

            พระเยซูบอก … “ใครก็ตามที่เชื่อและวางใจในพระองค์ อยากจะเป็นสาวกของพระองค์ใช่ไหม? ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตน แบกและตามเรามา”

            มันเกี่ยวอะไรกับการตาย “ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง” ปฏิเสธตนเอง ก็คือไม่พึ่งพาตนเอง ในการรักษาบทบัญญัติ หรือในการกระทำต่างๆ เพื่อจะได้ไปสู่สวรรค์ ไปหาพระบิดาในสวรรค์ ซึ่งมนุษย์ทุกคนก็แสวงหาสวรรค์อย่างนี้กันทั้งนั้น ก็คือพยายามกระทำดีที่สุด เพื่อจะไปหาพระเจ้าในสวรรคสถาน พระเยซูบอกว่าถ้าเผื่อไม่ปฏิเสธตนเอง ยังพึ่งพาตนเองในการกระทำอย่างนี้ ไม่มีวันที่จะถึงสวรรค์ได้หรอก ซึ่งมันเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะรักษาความดีงามนั้นตลอดไป ไม่ทำผิดเลยแม้แต่นิดหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ ใครจะอยู่สวรรค์ได้ ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า พระเยซูบอก เพราะฉะนั้น เธอต้องปฏิเสธตนเอง

            ปฏิเสธตนเอง ที่จะชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ด้วยตนเอง โดยการคิดว่ากระทำดีเหล่านี้ จะลดหนี้บาปลง มันไม่ได้หมดหรอก เธอต้องปฏิเสธตนเอง แล้วรับกางเขนของตน กางเขน คืออะไร? กางเขน คือสัญลักษณ์ของความบาปและคำสาปแช่ง ในพระคัมภีร์ทั้งเล่มทั้งพระคัมภีร์เก่าและพระคัมภีร์ใหม่ พูดถึงกางเขน ก็หมายถึงการถูกสาปแช่ง การเป็นคนบาป อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า รับกางเขนของตน ก็คือให้คนนั้นแบกความบาปของตน เพราะว่าตัวเองเป็นคนบาป กำลังพูดกับคนที่ไม่เชื่อว่าคุณเป็นคนบาป คุณจะชดใช้หนี้บาปด้วยตนเอง ทำไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้  เลิกซะ แล้วเอาความบาปนั้น ที่ถูกสาปแช่งให้ตกนรก แบกรับเอาไว้ นี่ยังไม่เชื่อนะ แบกไว้ แล้วทำอะไร? ตามเรามา พระเยซูพูดเอง คนบาป แบกบาปของตน คำสาปแช่งของตน หนี้บาปของตน  แทนที่จะชดใช้ด้วยตัวเอง  ไม่เอาแล้ว เลิก มาเชื่อพระเจ้าดีกว่า เชื่อพระเยซู แบกตามพระเยซูไป

            ตอนนี้ท่านพอจะเดาออกได้ไหม? ถามว่าพระเยซูกำลังบอกว่าแบกตามพระองค์ไป ไปไหน? ไปที่ตะกี้นี้ที่เราอ่านในหนังสือโรม 6:3-7 นั้น แบกไปที่ที่เขาตรึงพระเยซูคริสต์ ตอนที่พูดอยู่นี้ กำลังพูดกับสาวก เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แบกตามเรามา แล้วพระองค์ไปไหน? เป้าหมายของพระองค์ คือไปที่หุบเขากลโกธา หุบเขาหัวกะโหลก เพื่อไปถูกตรึงบนกางเขน พระองค์กำลังบอกว่าให้แบกบาปของเราไปพร้อมกับพระองค์ แล้วไปถูกตรึงไว้กับพระองค์ ร่วมกับพระองค์ที่กลโกธา บนไม้กางเขนนั้น แบกบาปของท่าน แบกคำสาปแช่งของท่านไปที่นั่น แล้วไปถูกตรึงร่วมกับพระองค์ ตัวเก่าที่เป็นบาปนั้น จะได้ตายไป

            เพราะฉะนั้น เวลาเราร้องเพลงนี้ ก็ควรจะเข้าใจถึงถ้อยคำพระเจ้าแบบนี้เช่นกันว่าพระเยซูกำลังบอกให้สาวกทำอะไร? เราทั้งหลายนำมาใช้ได้ในปัจจุบัน ท่านทั้งหลายที่จะลงน้ำในวันนี้ ท่านได้ตัดสินใจแล้ว ก่อนวันนี้ ท่านได้ตัดสินใจแล้วว่า …

            “ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู (x3)         ไม่หันกลับเลย (x2)”

            ท่านตัดสินใจไปแล้ว วันไหนไม่รู้ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ นั่นแหละ คือการตัดสินใจของท่าน  ท่านตามพระเยซูมาตั้งแต่วันแรกที่ท่านได้ยินข่าวดี เมื่อไรก็ไม่รู้ ท่านก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ก็รับฟังไว้อย่างนั้นแหละ ท่านไม่ปฏิเสธ ท่านฟังจากเพื่อน จากพี่ จากน้อง จากพ่อ จากแม่ จากสื่อต่างๆ ฟังแล้วฟังเล่า ท่านไม่ปฏิเสธ ท่านฟังข่าวดีไป ฟังไปเรื่อยๆ เข้าท่า จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านปฏิเสธตัวเอง ไม่ไหวแล้ว ฉันอยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้ว มีแต่ปัญหา วุ่นวายไปหมด แล้วจิตใจก็ไม่สงบ ฉันรู้สึกว่าชดใช้หนี้บาปเวรกรรมตัวเองไม่ไหวแล้ว  ฉันขอพึ่งในพระเยซูดีกว่า ท่านกำลังปฏิเสธตนเอง แล้วก็เอาไม้กางเขน ความบาปและคำสาปแช่ง ที่ตัวเองรับอยู่ตามพระเยซูไป ไปที่ไม้กางเขน  แล้วท่านก็เปิดใจต้อนรับ นั่นแหละวันนั้น พอท่านเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็นำวิญญาณของท่านเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ย้อนกลับไป 2,000 ปี และท่านก็เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

            ฉะนั้น ข้าตัดสินใจแล้วจะตามพระเยซู (x3)  ไม่หันกลับเลย (x2) ไม่มีทางหันกลับแล้วอีกต่อไป เพราะว่าเมื่อท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระองค์กอด รัดท่านไว้ ไม่มีใครแยกท่านออกจากพระองค์ได้อีกเลยแม้แต่นิดเดียว แม้ท่านอยากจะออกไป ยังออกไม่ได้เลย เข้าแล้วออกไม่ได้ นี่เรื่องจริง ต่อให้ถูกล่อลวง ถูกหลอกด้วยความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งเกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา ท่านอาจจะเหนื่อยทางร่างกาย ท่านอาจจะบ่นกับพระเจ้า ไม่เอาพระองค์ แต่ท่านได้เชื่อพระองค์ และได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว พระองค์ก็บอกว่าล้มลงไม่เป็นไร? จะล้มลงกี่ครั้ง เราก็ยังซื่อสัตย์ เราก็ยังจะอุ้มเจ้า ชูขึ้นมา เอเมนไหม?

            นี่แหละ คือข่าวดีของพระเจ้า คือเชื่อแล้วเชื่อเลย รอดแล้ว รอดเลย ท่านเองจะทำอะไรให้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย พระเจ้าบอกเมื่อเข้าคอกของพระองค์ ไม่มีใครเอาแกะออกจากคอกของพระองค์ได้ พระเจ้าบอกว่าไม่มีใครที่ไหน? อำนาจอะไรต่างๆ เหล่านั้น จะใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ไม่สามารถมาเอาเราออกจากความรักของพระเยซูคริสต์ได้ เอเมน พระเจ้าบอก เราจะไม่ละทิ้งเจ้า เราจะอยู่กับเจ้าเสมอ และตลอดไปเป็นนิจนิรันดร์ เอเมน พระเยซูบอกว่าเราจะอยู่กับเจ้าจนถึงสิ้นยุค ก็คือจนกระทั่งสุดโลกใบนี้  จนกระทั่งถึงนิรันดร์  นี่คือภาพ

            เราอย่าถูกหลอก เมื่อตัดสินใจ เชื่อพระเยซูแล้ว ได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ยังถูกหลอกให้ร้องเพลงนี้บอกว่า “ฉันยังแบกกางเขนของฉันอยู่” เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่ต้องแบกกางเขนของตนเองแล้ว เพราะว่ากางเขนของตัวเองอยู่ที่ไหนตอนนี้ อยู่ที่ไม้กางเขนของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนนั้น  เราถูกตรึงอยู่ที่นั่นแล้ว ตัวเก่าของเราที่เต็มไปด้วยความบาปและคำสาปแช่งได้ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน มองไม้กางเขน มองชัยชนะอย่างนี้  ไม่ใช่มองไม้กางเขน ฉันยังแบกบาป คำสาปแช่งอยู่ ทารุณเหลือเกิน ไม่ใช่อย่างนั้น ในกาลาเทีย 2:20 อาจารย์เปาโลจึงได้บันทึกอย่างนี้ว่าเมื่อถูกตรึงบนไม้กางเขนแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้นอย่างนี้ ฉันดำเนินชีวิตอยู่ด้วยคอนเชปนี้ คือ …

        กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว และข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า”

            เพลงข้าตัดสินใจแล้ว ท่อน 2 บอกว่า “กางเขนนำหน้าข้า  ทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง (x3) ไม่หันกลับเลย (x2)” ท่านรู้แล้วใช่ไหม “ไม่หันกลับเลย” แปลว่าอะไร? ไม่หันกลับเลย ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากสวรรค์นี้ได้อีกแล้ว

            กางเขนนำหน้าข้า คืออะไร? ก็คือสัญลักษณ์ของตัวเก่าของฉันที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนนั้น ตัวเก่า บาปมันตายไปแล้ว มันจบไปแล้ว ชีวิตที่ดำเนินอยู่ทุกวันนี้ เป็นชีวิตใหม่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ฉันดำเนินชีวิตในพระคริสต์ พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า พระคริสต์ต่างหากที่อยู่ในฉัน  พระคริสต์กับบาปอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? ไม่ได้ ฉันกับพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน พระคริสต์ชอบธรรมอย่างไร? ฉันก็ชอบธรรมอย่างนั้น พระคริสต์บริสุทธิ์อย่างไร? ฉันก็บริสุทธิ์อย่างนั้น พระคริสต์ดีพร้อมอย่างไร? ฉันก็ดีพร้อมอย่างนั้น

            “กางเขนนำหน้าข้า ทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง” โลก คือชีวิตเก่าของเรา  โลก คือความบาปและความตาย  และคำสาปแช่ง ที่อยู่บนโลก เราหลุดจากโลกเรียบร้อยแล้ว โลกอยู่เบื้องหลัง

            กางเขนนำหน้าข้า คือข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่แบบโลกนี้อีกต่อไป  แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้าต่างหาก เอเมน

            เพราะฉะนั้น การบัพติศมาในน้ำ จึงเป็นการประกาศความเชื่อ ที่มีพลังมหาศาลที่สุดเลย เป็นความจริง เป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่คนๆ หนึ่งสามารถประกาศตรงนี้ได้ว่า …

            “ฉันไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว  ฉันได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว  สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียวแล้ว ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ทันทีแล้ว ฉันเชื่ออย่างนี้ ฉันจึงมาลงน้ำ บัพติศมา เพื่อให้เห็นภาพว่านี่แหละ คือสิ่งที่เกิดขึ้น”

            ฟังให้ดีๆ “ฉันเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าว่าฉันเป็นคนดี บริสุทธิ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม”

            “ฉันเป็นคนบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว แต่ฉันไม่ใช่คนที่ประพฤติบริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์แล้วในพระคริสต์”

            ปฏิบัติมันคนละเรื่องกับความเป็น … “ฉันเป็นแล้ว แต่ฉันไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้มีการกระทำ ความประพฤติที่ดีพร้อม สมบูรณ์ ครบถ้วนเหมือนพระเจ้า เดินบนโลกใบนี้  ไม่ใช่ ฉันก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ แต่เป็นมนุษย์ที่อยู่ภายใต้การนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ข้างในฉันเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ฉันจึงประกาศว่าฉันได้อยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์แล้ว”

            เราลงน้ำ บัพติศมา ให้เราเห็นภาพนี้ว่า …

            “ฉันได้อยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์แล้ว พระคริสต์ได้อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริแล้ว ตั้งแต่วันที่ฉันเปิดใจต้อนรับ  พระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว”

            มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มันเป็นเรื่องจริง …

            “ฉันรู้ว่าฉันรู้ ฉันรู้ เพราะอยู่ในใจ อยู่ข้างในลึกๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันให้กับวิญญาณของฉัน ฉันเข้าใจรู้ว่าใช่อย่างนี้จริงๆ ฉันจึงตัดสินใจลงน้ำ บัพติศมา เพื่อสำแดงให้เห็นว่านี่แหละ ฉันจะระลึกถึงสิ่งนี้ตลอด”

            บางท่านอาจจะถามว่าที่เป็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ถ้าเป็นจริงตามนั้นว่าเราได้รับสิ่งเหล่านี้แล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันเกิดขึ้นแล้ว

            บางท่านอาจมีคำถามว่าเมื่อบังเกิดใหม่ เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซู  อาจจะถามว่า … “ถ้าอย่างนั้น ฉันได้เกิดใหม่แล้ว ไม่เข้าพิธีรับบัพติศมาในน้ำได้หรือไม่?”

            “เกิดใหม่แล้ว ไม่รับบัพติศมาในน้ำได้หรือไม่?”

            “ได้ เพราะว่าฉันรอด เพราะความเชื่อ”

            ถ้าถามอย่างนี้ล่ะ … “รับบัพติศมาในน้ำแล้ว แต่ฉันไม่เกิดใหม่ได้หรือไม่?”

            “ไม่ได้”

            มีไหม? มี บางคนไม่รู้เรื่องอะไร? เห็นเขาลงกัน “ฉันลงด้วย น้ำคงศักดิ์สิทธิ์มั้ง มาที่คริสตจักรโฮลี่ สระน้ำศักดิ์สิทธิ์มาก ลงไป ขึ้นมา ฉันหายจากบาปทันที” มีประโยชน์ไหม? ไม่มี

            สมัยก่อนนี้ ตอนประกาศความเชื่อเรื่องฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าใหม่ๆ พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการรักษาโรค หลายคนบอกว่าลงน้ำ บัพติศมา ขึ้นมา ก็จะหายโรคเลย โดยเฉพาะให้ฝ่ามือไล่มาร เป็นคนทำพิธีให้ จะช่วยทำให้มีความเชื่อเพิ่มขึ้น ลงน้ำ บัพติศมา ขึ้นมา โรคหายทันที ไม่ใช่ การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ต่างหาก เชื่อและวางใจในการกระทำของพระองค์บนไม้กางเขน ทำให้บังเกิดใหม่ จึงเป็นกุญแจสำคัญที่นำมาสู่ความรอดจากความพินาศในนรก จะลงน้ำเท่าไรก็ตาม ถ้าไม่มีความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  ลงน้ำ ขึ้นมา ก็ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่ความเชื่อและวางใจในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงกระทำอะไรให้กับเราที่ไม้กางเขนนั้นต่างหาก ที่เป็นกุญแจสำคัญ

            คราวนี้ จุดประสงค์ของการรับบัพติศมาในน้ำคืออะไร?  มาฟัง คนที่จะรับบัพติศมาในน้ำจะเห็นว่าถ้าเช่นนั้น มันไม่สำคัญ ก็ไม่ต้องมาลงสิ เดี๋ยวก่อน มีพร มีประโยชน์ มีสิ่งดีๆ อยู่ในนั้น …

            จุดประสงค์ของการรับบัพติศมาในน้ำ คือ …

            1. การแสดงออกถึงความเชื่อ : การบัพติศมาในน้ำ เป็นการประกาศต่อสาธารณะว่าเราเชื่อในพระเยซู และยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในหนังสือกิจการ 2:38 ได้มีตัวอย่างให้เห็น

        กิจการ 2:38 “พวกท่านทุกๆ คนจงกลับใจ และรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์   เพื่อรับการยกโทษบาปของท่าน  แล้วท่านจะได้รับของประทาน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์”

            อะไรมาก่อน จงกลับใจเชื่อ และกลับใจ ได้รับของประทาน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็ลงน้ำซะ ลงน้ำ เพื่อมาฉลองและระลึกถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

            2. การระลึกถึงการตายและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู : จุดประสงค์ คือการะลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ การลงไปในน้ำเป็นสัญลักษณ์ของการตาย เดี๋ยวพอท่านลงไปในน้ำ ไม่ใช่เป็นความศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นสัญลักษณ์ เป็นภาพของการตาย วิญญาณตายพร้อมพระเยซู และการถูกฝังร่วมกับพระเยซู พอท่านลงไปในน้ำ จะมุดหรือไม่มุดก็ตาย ให้เห็นภาพว่าลงไปในน้ำนั้น ก็คือการตาย และถูกฝังไว้พร้อมพระเยซูคริสต์ และการขึ้นจากน้ำเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นขึ้นจากความตาย เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน  ให้เห็นภาพอย่างนี้ ในโรม 6:4 …

        โรม 6:4 “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเอง ก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”

            3. การยืนยันความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคริสตจักร : การบัพติศมาในน้ำเป็นการแสดงถึงการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคริสเตียนทั่วโลก ครอบครัวของพระเจ้าทั่วโลกเลย ทางด้านวิญญาณ  ท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาแล้ว 1 โครินธ์ 12:13 …

        1 โครินธ์ 12:13 “เพราะเราทั้งหมดก็รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณองค์เดียว เข้าเป็นกายเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นทาส หรือเป็นไท และเราทั้งหมดก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

            ตอนนี้ท่านเป็นพี่น้องกับคริสเตียนในวิญญาณทั่วโลก อยู่ขั้วโลกเหนือ ท่านก็เป็นพี่น้องกับเขา

            4. การยืนยันความเชื่อมั่นในพระคุณของพระเจ้า : การบัพติศมาในน้ำ เป็นการยืนยันว่าเราได้รับการอภัยบาปและรับชีวิตใหม่เรียบร้อยแล้ว  ผ่านพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยการประพฤติ การกระทำของเราเอง เอเฟซัส 2:8-9 …

        เอเฟซัส 2:8-9 “เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่าน  เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้”

            เราหมดบาป หมดเวร หมดกรรม หมดสิ้นแล้ว หมดมลทินทั้งปวง ด้วยพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่การกระทำของตนเอง

            การรับบัพติศมาในน้ำ จึงเป็นการเฉลิมฉลองความรอด ระลึกถึงความรอด และการบังเกิดใหม่ที่เราได้รับผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับมาแล้ว เรามาฉลองกัน และเป็นการยืนยันถึงความเชื่อ ในความสัมพันธ์ใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์มากที่สุดถึงที่สุด ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์ และเป็นครอบครัวที่มีพี่น้องฝ่ายวิญญาณในสวรรค์ร่วมกันในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันในสากลโลกเลย

            เพราะฉะนั้น ในขณะที่ท่านกำลังรับบัพติศมาในน้ำอยู่ หรือตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ท่านจงรับรู้ และจงมองให้เห็นเถิดว่า …

                        –  ฉันได้อยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์แล้ว

                        –  พระคริสต์ได้อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริแล้ว

                        –  ฉันได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว

                        –  ฉันบริสุทธิ์เหมือนพระองค์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์แล้ว

                        –  ไม่มีใครแยกเราออกจากกัน  เพราะความรักของพระองค์ เป็นนิรันดร์

                            ที่มอบให้กับฉันแล้ว

                        –  ฉันเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์แล้ว

                        –  ฉันซ่อนอยู่ในพระองค์ตลอดไป

                        –  ฉันได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว 

                        –  พระคริสต์ได้อยู่ในฉันแล้ว

                        –  เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว … ตั้งแต่บัดนี้จนถึงนิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 14

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ … เป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟังพระคริสต์

            หลังเชื่อ … เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์

            ก่อนเชื่อ … ได้เกิดมาเป็นลูกของมาร ผู้ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านพระคริสต์

            เอเฟซัส 2:2 … “ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้น ตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ ในบรรดาลูกแห่งการไม่เชื่อฟัง (เป็นปฏิปักษ์ต่อต้านพระคริสต์)”

            หลังเชื่อ … ได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ซึ่งเป็นพระบิดาของพระคริสต์

            1 เปโตร 1:2-3 … “2 พระเจ้าพระบิดา  ได้ทรงเลือกสรรพวกท่าน  ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว  ผ่านทางการทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ  เพื่อให้พวกท่านมาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ (เพื่อให้ท่านมาบังเกิดใหม่เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์) และรับการประพรม  ด้วยพระโลหิตของพระองค์  ขอพระคุณและสันติสุข  มีแต่พวกท่านอย่างล้นเหลือ 3 สรรเสริญพระเจ้า  พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่  เข้าในความหวังอันยืนยง  โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

            ก่อนเชื่อ …

            ได้เริ่มต้นด้วยการรับฟัง เมล็ดพันธุ์แห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ไปเรื่อยๆ  แล้วก็จะมีวันเวลาหนึ่งที่เมล็ดพันธุ์นั้น เจริญเติบโตงอกออกมา เป็นผลทำให้ท่านพร้อมที่จะเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้จริงๆ จากใจ

            หลังเชื่อ …

            และทันทีที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าก็ได้นำท่านเข้าสู่กระบวนการการบังเกิดใหม่  เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าทันที   จากการเป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระคริสต์ มาเกิดใหม่เป็นลูกที่เชื่อฟังพระคริสต์

            เราทำแค่อย่างเดียว คือตัดสินใจ เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเท่านั้น

            แล้วพระเจ้าจะประทานความเชื่อศรัทธา ชนิดที่เป็นของพระเจ้าเท่าเมล็ดมัสตาร์ด  เข้ามาในวิญญาณและใจของเรา ทำให้เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง จากนั้น ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย  พระเจ้าจะเป็นผู้ดูแลวิญญาณของเรา ที่พระองค์ได้ไถ่ไว้เองทั้งหมด  เขาจึงเรียกว่าพระคุณ

            คริสเตียนจึงมีความเชื่อที่เป็นของประทาน เป็นธรรมชาติอยู่ภายในวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เป็นความเชื่อที่เป็นนิรันดร์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            ไม่ใช่ ความเชื่อแบบโลกที่มนุษย์คิด ที่มนุษย์อุปทาน ที่มนุษย์พยายามสร้างขึ้นมาเอง ตามระบบของโลก

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1509

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  กุมภาพันธ์  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 13

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย ครั้งที่แล้ว เราจบลงที่ข้อ 15 ที่อาจารย์เปาโลมาประกาศข่าวดี คนเหล่านี้ได้ต้อนรับอาจารย์เปาโลอย่างดี แต่พอนานเข้า มีข่าวประเสริฐที่แทรกแซงเข้ามา เหมือนคนเหล่านี้เขาไม่ชอบใจอาจารย์เปาโลว่า …

            “มาสอนอะไร? ฉันต้องทำโน่นทำนี่ ถึงจะได้รับความรอด แต่อาจารย์เปาโลยังคงยืนยันเหมือนเดิม ความรอดมาจากพระคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติของใคร?  เรามาดูข้อที่ 16 บอกว่า …

        กาลาเทีย 4:16 “บัดนี้ ข้าพเจ้าได้กลายเป็นศัตรูของท่าน   เพราะบอกความจริงแก่ท่านหรือ?”

            ตั้งคำถามกับชาวกาลาเทียว่าที่พวกคนเหล่านี้ไม่พอใจอาจารย์เปาโล  เป็นศัตรูกับอาจารย์เปาโล เพราะว่าอาจารย์เปาโลได้พูดความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวข่าวดีของพระเจ้ากระนั้นหรือ? จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไหม? ซึ่งความเป็นจริง ณ เวลานั้น การปฏิบัติของคนกาลาเทีย เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขามีความรู้สึกว่าอาจารย์เปาโลไม่น่าเชื่อถือ คนที่มาสอนเขาทีหลังว่าควรจะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ น่าเชื่อถือกว่าเยอะ

            พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาป แต่ตอนนี้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว ก่อนหน้านั้น มนุษย์พยายามอยากจะทำดี ด้วยกำลังของตัวเอง พี่น้องฟังดีๆ ทำดี ไม่ได้ทำสิ่งที่ไม่ดี พยายามทำดีตามกำลังของตัวเอง ซึ่งการพยายามทำดีตามกำลังของตัวเอง ก็หล่น พ้นจากพระคุณของพระเจ้า

            ความบาปที่ใหญ่หลวงของมนุษย์  ไม่ใช่เพราะเขาทำดี  ไม่เกี่ยวนะ แต่เพราะเขาพยายามพึ่งพาการกระทำดีของตัวเอง แทนที่จะมาพึ่งพาพระเจ้า นี่แหละคือบาปของมนุษย์ ฉะนั้น เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้ความจริง ก็คือพระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราทุกคนสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ความรอดได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  แล้วพวกเราได้รับเรียบร้อยไปแล้วด้วย ฉะนั้น เราไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะพยายามทำอะไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อทำตัวเองให้ได้รับความรอด เรารอดแล้ว แต่ผลที่มันมาแตกต่างกัน ก็คือหลังจากที่เรารอดแล้ว มันจะจากข้างในวิญญาณของเรา ที่เราปรารถนา อยากจะทำดีให้กับพระเจ้า มันต่างกัน เราพยายามทำดี เพื่อเราจะได้รับความรอด หรือพยายามทำดี เพื่อจะให้พระเจ้าพอใจในเรา อันนั้นเรากำลังทำผิด แต่ถ้าเราทำดีจากข้างใน รับรู้ว่าเราเป็นคนดีแล้ว โดยพระคุณพระเจ้า แล้วเราจะสำแดงตัวตนแท้ๆ ที่เป็นความดีออกไปให้คนได้เห็น อันนี้ต่างกัน ถ้าเราทำแบบหลังจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เป็นการนมัสการที่ถูกต้อง ก็คือทำตามสิ่งที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ข้อที่ 17 …

        กาลาเทีย 4:17-19 “17 คนพวกนั้นร้อนรนเพื่อชนะใจท่าน  แต่ไม่ใช่เพราะหวังดี สิ่งที่เขาต้องการ   คือแยกท่านออกไปจากเรา  เพื่อให้ท่านร้อนรนเพื่อพวกเขา 18 ถ้าร้อนรนเพราะหวังดีก็ดีอยู่    ขอให้เป็นเช่นนั้นตลอด ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่าน 19 ลูกที่รักเอ๋ย ข้าพเจ้ายังต้องเจ็บปวดราวกับคลอดบุตรเพื่อท่านอีก จนกว่าพระคริสต์จะทรงก่อร่างขึ้นในท่าน”

            อาจารย์เปาโลพยายามบอกกับชาวกาลาเทียว่าคนที่มาทีหลังท่าน ที่พยายามมาเสี้ยมสอนให้ชาวกาลาเทียประพฤติปฏิบัติอะไรก็แล้วแต่ ที่เขานำเสนอมา แล้วชาวกาลาเทียก็เห็นด้วย เพราะธรรมชาติอยากทำอยู่แล้ว  เป็นพื้นฐานของความบาปของมนุษย์   ที่พยายามอยากทำ      แต่พระเจ้าบอกเราว่าไม่ต้องทำแล้ว คือเรารอดแล้ว  แต่ถ้าเราจะทำจริงๆ มันจะต้องทำจากข้างในวิญญาณของเราออกมา ไม่ใช่ทำจากการหว่านล้อมทุกรูปแบบของคนรอบข้าง  อันนี้เราต้องชัดเจน

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่า … “คนเหล่านี้ไม่ได้หวังดีกับพวกเธอหรอก เขาพยายามที่จะส่งข้อมูลให้เธอ แทนที่เธอจะเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เธอกลับพยายามทำ ด้วยกำลังของตัวเอง”

            ซึ่งผลปลายทาง มันจะมีผลที่น่ากลัวมาก  ก็คือถ้าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว แล้วเราถูกหลอกให้พยายามทำดี  แล้วมนุษย์พยายามทำดี คือดีแค่นี้เราไม่พอ  พอดีแค่นี้ เราก็อยากดีอีก ดีขึ้นเรื่อยๆ ดี จนถึงจุดหนึ่งที่เราดีไม่ไหวแล้ว เราแป๊ก แล้วเราทำอย่างไร? เกิดอาการฟ้องผิดว่าแย่เลย ทำไมเราทำไม่ดี กลายเป็นว่าเราพึ่งในตัวเองว่าเราต้องทำดี เพื่อให้พระเจ้าพอใจ  แต่ความเป็นจริง คือพระเจ้าพอใจเรามากๆ ตรงไหน? ตรงที่ว่าเราเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  นั่นคือความพอใจของพระเจ้า วิญญาณเราได้รับการบังเกิดใหม่  พระเจ้าพอใจมาก  แล้วพระเจ้าก็รับเราเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่คือความพึงพอใจของพระเจ้า

            แล้วพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ สามารถดึงเรา หรือแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ตรงนี้ได้เลย มันทำไม่ได้ มันทำได้อย่างเดียว คือหลอกเรา หลอกผู้เชื่อทั้งหลาย ให้ผู้เชื่อพยายามดิ้นรน  เพื่อที่จะทำโน่นทำนี่ ซกๆ  เพื่อจะทำให้พระเจ้าพอใจ แล้วพระเจ้าก็ไม่ต้องการให้เราเป็นแบบนั้น

            สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้พวกเราสำเร็จแล้ว ก็คือให้เราเข้ามารับพระพร ชีวิตของผู้เชื่อ คือเข้ามารับพระพรจากพระเจ้า พระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยไปแล้ว นั่งนับพระพรที่พระเจ้าให้กับเราในโลกฝ่ายวิญญาณ แต่โลกฝ่ายวัตถุ เราเคยร้องเพลงนับพระพรไหม?  เพลงนับพระพร เขาจะพูดถึงคุณภาพชีวิตของผู้เชื่อในระหว่างที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราจะเจอกับปัญหาอุปสรรคมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของเราแน่นอน แต่ว่าพอเราเจอปัญหาปุ๊บ สิ่งที่เราจะทำได้ ก็คือหันไปนับพระพรฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าทำให้เราสำเร็จแล้ว แล้วเมื่อเราเรียนรู้ที่จะนับพระพรปุ๊บ ใจเราเกิดสันติสุข  ตรงที่ว่าไม่เป็นไร การที่เราอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นช่วงสั้นมาก  แม้เราจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ปัญหา 108, 1009 พระเจ้าไม่ได้อยากให้เราเจอปัญหา แต่เพราะโลกนี้ มันเสื่อมโทรมไปแล้ว เราก็เลยต้องเจอหางว่าว โดยปริยาย แต่สิ่งที่มันสำคัญ ก็คือผู้เชื่อมีหลักประกันที่แน่นอน มีเกราะป้องกันที่ยิ่งใหญ่มาก ก็คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา ในขณะที่เราเผชิญกับปัญหามากมาย ที่เราดูเหมือนว่าไม่ไหวแล้ว แต่พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะจูงมือเราเดิน พระองค์จะให้กำลังเรา ให้สติปัญญาเรา เมื่อเราหันกลับไป ผ่านมาได้อย่างไรไม่รู้ เชื่อพระเจ้ามา 30 กว่าปี เจอทุกรูปแบบ ผ่านร้อนผ่านหวาน พี่น้องเห็นดิฉันยืนอยู่ตรงนี้ว่าสุขสบายดี ไม่สุขสบายดีหรอก มีปัญหาเหมือนชาวบ้านนั่นแหละ แค่ไม่คุยให้ฟังเท่านั้นเอง

            ฉะนั้น ปัญหาทุกคนมี แล้วเราก็จะเห็นพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางปัญหาทุกรูปแบบ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ถ้าไม่มีปัญหา เราไม่สามารถเห็นพระคุณของพระเจ้าได้เลย เราก็อยู่ไปทุกวัน แฮปปี้มีความสุข  ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า กลายเป็นความเคยชิน ที่ว่ามันก็โอเคแล้ว แต่ว่าพอปัญหาผ่านเข้ามาปุ๊บ สิ่งแรกที่เราจะนึกถึง คือเรามีพระเจ้า พระเจ้าอยู่ข้างในเรา แล้วพระองค์ผู้นี้ เป็นพระผู้ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นพระผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เหนือกว่านั้นอีก เป็นพ่อของเรา

            พี่น้องลองคิดดู พระเจ้าองค์นี้เป็นพ่อของเรา มีพ่อคนไหนที่จะยอมปล่อยให้ลูกตัวเองตกระกำลำบาก ไม่มีพ่อคนไหนเขาอยากทำ แต่ว่าที่ลูกต้องตกระกำลำบาก มันเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ เหมือนกับเวลาเราเลี้ยงลูก ลูกเล็กๆ ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกหกล้ม หัวโน แต่เหลนดิฉัน คนโต เจ้าต้นโอ๊คหัวโนเป็นประจำ  เป็นเด็กที่ชอบวิ่ง วิ่งเร็ว หัวทิ่ม หัวโน ร้องไห้ ร้องไห้แล้วทำอย่างไร? ดินสอพอง มะนาวมาคนๆ แล้วก็ทาๆ  เด็กเดี๋ยวก็หาย

            ฉะนั้น ไม่มีพ่อแม่คนไหนเขาอยากให้ลูกเจ็บ จะคอยบอก คอยเตือนตลอดเวลา แต่เราห้ามเขาไม่ได้ เราจะไปผูกเขา หรือล็อคเขา หรือเอาเขาไปขังไว้ในที่แคบๆ อย่าวิ่ง อยู่เฉยๆ นะ จะได้ไม่เจ็บตัว มันเป็นไปไม่ได้  เราก็ต้องปล่อยให้เขาใช้ชีวิตแบบปกติธรรมชาติของเด็ก เด็กก็ต้องซน เป็นเรื่องปกติ  เด็กไม่ซน ก็ไม่น่าจะเป็นเด็กเนอะ ผู้ใหญ่ยังซนเลย พี่น้องอย่าไปคาดหวังว่าเด็กไม่ซน แล้วเด็กส่วนใหญ่ พอโตระดับหนึ่ง ก็ดื้ออีก  เราก็ต้องดูแลและจับจุดให้ได้ว่าเราควรจะจัดการกับเขา หรือพูดคุยกับเขา หว่านล้อมเขาแบบไหน? อย่างไร?  เพื่อให้เขาสามารถดำเนินชีวิตอยู่กับคนอื่นได้

            พระเจ้าเหมือนกัน พระเจ้าทรงดูแลพวกเราทุกคน  พวกเราที่เป็นลูกเล็กๆ ของพระองค์ ในสายตาของพระเจ้า เรายังเป็นเด็กเล็กๆ ของพระองค์ บางครั้งเราก็ดื้อ เราต้องยอมรับความจริงว่าเรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นคนดี ศรีอยุธยา เราไม่เคยดื้อกับพระเจ้าเลย เราเชื่อฟังตลอดเวลา มันไม่มีทางหรอก บางครั้งเราก็ดื้อกับพระเจ้า บางครั้งเราก็บ่นกับพระเจ้าอีก  บางครั้งเราก็ไม่ค่อยถูกใจสิ่งที่พระเจ้าส่งมาให้เรา พระองค์เอามาทำไม ไม่เห็นถูกใจเราเลย อะไรประมาณนั้น ไม่เอาได้ไหม? ไม่รับได้ไหม?  แต่ว่าความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มันเป็นโอกาส ที่จะทำให้เราฝึกฝนในการเชื่อวางใจพระเจ้า แล้วมั่นใจในพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเราว่าพระองค์ผู้นี้ ไม่ทิ้งเราแน่นอน เมื่อถึงวาระจำเป็น พระองค์มาทันเวลาเสมอ แต่มันจะไม่ได้ดังใจเราคิด ซึ่งสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ

            เรายอมรับอันหนึ่งว่ามนุษย์ถูกสาปแช่งไปเรียบร้อยแล้ว ตัวร่างกายเรานะ ไม่เกี่ยวกับวิญญาณ ตอนนี้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่ถูกสาปแช่งแล้ว ไม่มีคำสาปแช่งใดๆ ในวิญญาณของเรา เราได้รับความรอด ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตายเรียบร้อยไปแล้ว แต่ร่างกายของเราที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ภายใต้คำสาปแช่งอยู่ ซึ่งมันเลี่ยงไม่ได้ เราจะมาคิดว่าพอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระองค์จะต้องทำตรงนี้ให้มันเสร็จสรรพ เรามาเชื่อพระเจ้า เราต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่ยาก ไม่จน  เราจะต้องดีตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ มันขัดกับธรรมชาติที่มันเป็นไปแล้ว โลกนี้เสียหายไปแล้ว มนุษย์บนโลกนี้ ก็เสียหายไปแล้ว รอวันหนึ่ง คือรอวันไหนที่วิญญาณเราออกจากร่าง แล้วเราทิ้งร่างกายเก่านี้ ร่างกายที่โกโรโกโส ไม่เห็นน่าอภิรมย์เท่าไรเลย แต่ว่าในขณะที่พระเจ้าให้เราอยู่กับร่างกายนี้  เราก็ดูแลเขานิดหนึ่ง อย่าปล่อยปละละเลย ดูแลทำความสะอาด ดูแลรักษาสุขภาพเท่าที่กำลังเราทำได้ ถ้ากำลังทำได้แค่ไหนแค่นั้น  ถ้าเราทำจนสุดความสามารถของเราแล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ไม่เป็นไร  แป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็ผ่านไป โลกนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราว พระเจ้าบอกเราชัดเจน  ต่อให้เราอยู่ดีมีสุขจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ยังไงเราก็ต้องตาย ยังไงเราก็ต้องทิ้งร่างกายนี้ไว้ ยังไงวิญญาณเราก็ต้องกลับไปสู่พระเจ้าอยู่ดี

            แต่ความคาดหวังของมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครอยากจะได้สิ่งไม่ดีแน่นอน  มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าเราก็สามารถอธิษฐานได้ ขอพระเจ้าทุกวันนั่นแหละ อยากจะสุขภาพแข็งแรง พระองค์เจ้าข้า อยากจะมีความสุข อยากอะไร ก็ขอไปเถอะพี่น้อง  แต่ว่าพระเจ้าจะให้หรือไม่ให้ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง บังเอิญ สิ่งที่เราขอ พระเจ้าเตรียมไว้ให้เราแล้ว เราก็ได้ตามนั้น

            ฉะนั้น พระเจ้าทรงให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน  แต่คำว่าไม่เหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้ารักเราน้อยกว่าคนอื่น นึกออกไหม? พระเจ้ารักทุกคนเท่ากันเลย พระเจ้าไม่ลำเอียง ไม่เหมือนพวกเรา เราเป็นมนุษย์ เรายังรักคนนี้มากกว่าคนโน้น บ้านเราเอง เรายังรักพี่น้องคนนี้มากกว่าพี่น้องคนโน้นถูกคอ คุยกระหนุงกระหนิง คุยได้หลายชั่วโมง แต่คนนี้สวัสดี เราก็จบแล้ว อะไรประมาณนั้น อันนี้เป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้ ไม่ต้องไปรู้สึกยังไง ก็เอาให้มันเป็นธรรมชาติ แต่สิ่งที่เรารับรู้ ก็คือพระเจ้าทรงรักเราถึงที่สุดแล้ว พระเยซูคริสต์ก็ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว

            เราผู้เชื่อทุกคน ทุกวันนี้ ก็คือมารับเอาผลสำเร็จที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า นับพระพรแต่ละวัน ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอดที่พระองค์ให้กับเรา ขอบคุณพระเจ้า สำหรับการเป็นหนึ่งเดียวกันที่พระเจ้าทำให้เราพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเรา นี่คือพระสัญญา ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา แต่พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าเราจะอยู่ดีมีสุขตลอดเวลา นึกออกไหม? ไม่มีนะคำสัญญาตรงนี้ แค่พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว  ก็ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ

            พอถึงข้อที่ 19 อาจารย์เปาโลบอกว่า “ลูกที่รักเอ๋ย ข้าพเจ้ายังต้องเจ็บปวดราวกับคลอดบุตรเพื่อท่านอีก จนกว่าพระคริสต์จะทรงก่อร่างขึ้นในท่าน” อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายถึงลักษณะของพี่เลี้ยง อาจารย์เปาโลเป็นผู้เลี้ยงดูคนเหล่านี้ ลักษณะเป็นเหมือนผู้หญิงที่กำลังจะคลอดลูก เจ็บปวดขนาดไหน? อาจารย์เปาโลมีความรู้สึกแบบนั้น ที่เจ็บปวดแทนพี่น้องเหล่านี้ว่าเมื่อได้ดูแลเขาในฝ่ายวิญญาณ ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            สิ่งที่อาจารย์เปาโลคาดหวัง คือให้เขาได้เจริญเติบโต ให้พระเยซูคริสต์ได้ก่อร่างสร้างขึ้นในชีวิตของพวกเขาทุกๆ คน นี่คือความปรารถนาของผู้เลี้ยงที่ดีทุกคน สิ่งที่เราปรารถนา เราไม่ได้ปรารถนาให้สมาชิกต้องมาทำอะไรให้เรา แต่เราปรารถนาที่จะให้พี่น้องทุกคนเจริญเติบโตในเรื่องของความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าเพิ่มพูนมากขึ้น เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น รับรู้ความจริงมากขึ้น  เราจะถูกหลอกน้อยลง แล้วชีวิตเราก็จะมีสันติสุขมากขึ้นด้วย ไม่ต้องหัวทิ่มหัวตำอะไรอย่างนี้ ก็คือมีสันติสุขในใจมากขึ้น อย่างที่พระเยซูคริสต์บอกความจริงจะทำให้เราเป็นไท นี่คือความจริงเลย  อิสรภาพอย่างแท้จริงที่มันจะบังเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา เมื่อเรารับรู้ความจริงว่าขณะนี้ พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา

        กาลาเทีย 4:20 “ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่ง  ที่จะอยู่กับท่านตอนนี้ และเปลี่ยนน้ำเสียงของข้าพเจ้า  เพราะข้าพเจ้าข้องใจในตัวท่าน!”

            จดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลเขียนถึงชาวกาลาเทียยังไม่เจอหน้ากันเลยนะ อาจารย์เปาโลบอกอยากเจอหน้าจริงๆ เจอหน้าจะได้เปลี่ยนน้ำเสียงจากน้ำเสียงที่อ่อนโยน เป็นน้ำเสียงที่น่าจะเกรี้ยวกราดพอสมควร เหมือนกับว่า …

            “ทำไมเธอถึงฉลาดน้อยขนาดนั้น พระเจ้าให้เธอเป็นอิสระแล้ว ทำไมเธอถึงเอาตัวเองไปอยู่ใต้บังคับของกฎระเบียบเยอะแยะมากมาย แทนที่จะมีอิสรภาพ กลายเป็นว่าตอนนี้ฉันไม่อยากมีอิสรภาพ ฉันไปขอแบกแอกเอาไว้ด้วยตัวของฉันเอง” ประมาณนั้น

            อาจารย์เปาโลก็บอกเจอหน้าเดี๋ยวต้องดุแรงๆ ตาใจฝ่ายวิญญาณจะได้เปิดออก จะได้เข้าใจในความจริงในพระเจ้ามากขึ้น  เหมือนตอนที่เริ่มต้น  เริ่มต้นเข้าใจมากเลยนะ ไปๆ มาๆ เริ่มต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาไป กลายเป็นบ้องกัญชา ประมาณนั้น ตอนมาใหม่ดูดีนะ ไปๆ มาๆ ทำไมกลายเป็นแบบนั้นล่ะ ไหนบอกเชื่อพระเจ้าไง ไหนบอกว่าพระเยซูคริสต์ทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วไง ไหนบอกเราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้วไง อ้าว! ไปๆ มาๆ เดี๋ยวก่อนๆ ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติดีๆ เดี๋ยวโอกาสที่การเป็นลูกของพระเจ้าจะหลุดหายไป หรือว่าการเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์อาจจะพระเจ้าบอกไม่เอาแล้ว นิสัยไม่ดี ปลดเธอออกจากตำแหน่งทายาทของพระเจ้า มันเป็นไปได้ไหม?  เป็นไปไม่ได้ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกชัดเจนว่าเมื่อพระเจ้าสถาปนาไปแล้ว ไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงได้ เป็นแล้วเป็นเลย เราเป็นลูกของพระเจ้า ก็เป็นเลย

            แล้วถ้าผู้เชื่อยังคงทำแบบนี้  ถามว่าความรอดหายไปไหม? ไม่หาย แต่แทนที่เราจะอยู่บนโลกนี้ อย่างมีความสุข เราก็อยู่แบบเหมือนดำน้ำ ขึ้นๆ ลงๆ ผวาตลอดเวลา ทำโน่นทำนี่ ก็ …

            “ตกลงทำไปทำมา ฉันจะรอดไหม? วินาทีสุดท้ายของชีวิต ลมหายใจสุดท้ายออกจากร่าง ฉันจะยังอยู่กับพระเจ้าไหม?”

            มันจะเกิดข้อกังขาขึ้นมาทันที ถ้าเราพึ่งการกระทำของตัวเอง เพราะเราไม่มีความสามารถที่จะทำดีได้ตลอดเวลา 100% อย่างแน่นอน ฉะนั้น ถ้าเราวางใจในพระเจ้า  แล้วมั่นใจว่าพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์ทรงเป็นผู้นำเราในการทำทุกอย่าง ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงใส่ความปรารถนาในใจให้กับเรา  นำเราในการทำสิ่งที่ดีทุกอย่าง  ฉะนั้น ในการดำเนินชีวิตของเรา ถ้าเราดำเนินชีวิต หรือทำอะไรในชีวิตประจำวัน ถ้ามันไม่ได้อยู่ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า ถือว่าพระเจ้าเป็นผู้นำเรา  แต่ถ้าพระเจ้าเป็นความรัก แล้ว ณ เวลานี้ เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในความเกลียดชัง แปลว่าไม่ใช่แล้ว ตอนนี้ เราหลงทาง เราถูกหลอก โลกนี้กำลังนำเราอยู่ แค่นี้เอง เราจะรู้ สามารถเทียบได้  พอเทียบได้ปุ๊บ ทำอย่างไร? เราเป็นผู้เชื่อแล้วใช่ไหม?  เรารอดแล้วใช่ไหม? เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วใช่ไหม? ทำอย่างไร?  เราก็หันหลังกลับสิ หลงทาง ก็ต้องรีบกลับ  ถ้าหลงทางแล้วยังปล่อยให้ไม่เป็นไร ปล่อยให้หลงไป ก็จะเสียเวลา

            พี่น้องเคยนั่งรถเมล์หลงทางไหม? ดิฉันเคยนั่ง นั่งผิดฝั่ง อันนี้นานแล้วนะ สมัยโน้น 10 กว่าปีที่แล้ว เวลานั่งรถเมล์ รู้แค่ 2-3 ที่ ไปตลาด มาโบสถ์ กลับบ้าน ไปแค่นี้เอง  แล้วถ้าเลยจากนี้ ไปไม่ถูกเลย อย่างไปห้าง ถ้าไม่จำดีๆ เข้าห้าง หาทางออกไม่เจอ  มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้เลย หาทางออกไม่เจอ เวลาหลงทาง ทุกข์นะ นี่ไม่ได้หลับ แต่นั่งผิดฝั่ง ตอนนั้นไปเซ็นทรัล ลาดพร้าว  แล้วจะนั่งรถไปทางลำลูกกา ต้องนั่งฝั่งไหนไม่รู้ จำไม่ได้ ตอนไปก็ไปกับพี่น้องในโบสถ์ พอขากลับ ต่างคนต่างแยกย้ายกัน เราต้องกลับเอง  เราก็ไปจำผิด ไปขึ้นผิดฝั่ง  แล้วไม่ชะล่าใจด้วย ปล่อยมันพาไปเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่ตะวันสว่าง จนฟ้ามืดแล้ว ทำไมมันไม่ถึงบางเขนสักที เราจะได้ไปต่อรถไปลำลูกกา แล้วมานึกขึ้นได้ 3 ชั่วโมงผ่านไปพี่น้อง มันเสียเวลามาก  แล้วก็ไปถาม เราจะกลับไปตรงนั้น  เราต้องนั่งรถอย่างไร? เขาก็ชี้ข้ามถนนไป แล้วก็กลับมา เสียเวลามาก นี่คือแค่เราเสียเวลา ไม่เป็นไรแก่แล้ว ถือว่าไปนั่งรถเที่ยวแล้วกัน อะไรประมาณนี้

            แต่ชีวิตความเป็นจริงของเรา การหลงทางมันน่ากลัว  ถ้ามนุษย์ที่ไม่รู้จักพระเจ้า  จะไปหาพระเจ้าก็ไม่รู้จัก แล้วเขาหลงทาง หลงแล้วหลงเลยนะ  อันนั้นกลับมาไม่ได้เลย แต่ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราเกิดหลงทาง พระเจ้าก็จะสะกิดเรา ไม่ได้ปล่อยปละละเลยไป 2-3 ชั่วโมง  ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร? ไม่ใช่ พระเจ้าก็จะสะกิดเรา …

            “ลูกๆ หลงแล้ว กลับมา”

            เราจะวัดจากตรงไหน? วัดจากถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระลักษณะชีวิตของพระเจ้าเป็นอย่างไร? แล้วเมื่อไรก็ตามที่เราดำเนินชีวิตตรงกันข้ามกับพระลักษณะของพระเจ้า แปลว่าเราหลงทางแล้ว  พระเจ้าเป็นความรัก เรากำลังดำเนินชีวิตแบบเกลียดชัง เราหลงทางแล้ว  พระเจ้าเป็นความดีงาม ถ้าเราดำเนินชีวิตไม่เห็นดีเลย  พาลไปทั่วเลย แปลว่าเรากำลังหลงทาง เมื่อเราหลงทาง เรามีวิธีเดียว หันหลังกลับ แล้วก็กลับมาที่เดิม  แค่นั้นเอง ไม่มีอะไร แค่เสียเวลาไปนิดหนึ่ง แต่ถ้าเราหลงทาง แล้วเราไม่ยอมกลับ  ปล่อยตัวเองให้เตลิดไป  ไม่เป็นไร มันสนุกดี เราก็ทำไป  เราก็ทุกข์ใจในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แทนที่จะมีสันติสุข มีความสุข เราก็ไม่มีความสุข  แต่เราก็ยังคงได้รับความรอดเหมือนเดิม อย่าตกใจว่าเราจะหลุดไปจากทางของพระเจ้า ไม่มี

            พระเจ้าบอกเมื่อเราบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว อย่างไรเราก็รอด  แต่รอดแบบทุลักทุเลกับรอดแบบเดินผิวปาก มีความสุข ร้องเพลงไป มันต่างกันเนอะ เราอยากจะรอดแบบไหน? เราสามารถเลือกได้  แล้วพระเจ้าให้สิทธิ์ในการเลือกด้วย พระเจ้าไม่บังคับเรา เราก็ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือเราว่าเมื่อเราหลงทาง สะกิดให้เรารู้ทันเร็วๆ อย่าให้มันนานเกิน  แล้วมันทรมานจิตใจตัวเอง ไม่ได้ไปทุกข์กับใครเลย ทุกข์กับตัวเอง

            ฉะนั้น เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาจารย์เปาโล ขอบคุณพระเจ้าสำหรับถ้อยคำต่างๆ ที่สอนเรา บอกเรา แม้จะเป็นถ้อยคำที่เหมือนย้ำเตือนเราตลอดเวลา แต่มันเป็นถ้อยคำแห่งความจริงที่จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยเสรีภาพในพระองค์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 12

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ … เป็นศัตรู  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้

            หลังเชื่อ … เป็นลูก  ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า

            โรม 5:8-11 … “8 แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา โดยยอมส่งพระคริสต์ มาตายเพื่อเรา ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาป (เป็นศัตรูกับพระเจ้า) อยู่ 9 ตอนนี้ พระเจ้ายอมรับเรา  (เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว เพราะเลือดของพระคริสต์ ยิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธ (การถูกลงโทษเพราะบาป) ของพระเจ้า (ในวันพิพากษา) เพราะพระคริสต์อย่างแน่นอน 10 เพราะถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู (บาป) ต่อต้านกับพระเจ้าอยู่นั้น เรายังได้รับการรักษาให้กลับคืนดี  เข้ากันได้กับพระเจ้า  ผ่านทางการตายของพระบุตร แน่นอน มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร ที่เดี๋ยวนี้ เราได้คืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว เราก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วยให้รอด จากการเป็นทาสของ อำนาจของความบาป ผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ 11 ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุ ให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า”

            พระเยซูคริสต์จึงเป็นเหตุ ให้มวลมนุษย์กับพระเจ้า กลับคืนดีกัน

            • นี่คือทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของชีวิตมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ คือการได้กลับคืนดีกับพระเจ้า เข้ากันได้ คือการได้บังเกิดใหม่  เข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้าได้แล้วทันที ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

            • และพระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ในเรา  จะเป็นผู้นำพาชีวิตของเราจากภายใน ไปจนถึงหมดลมหายใจ ทิ้งร่างกายเดิม  แล้วรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์และอยู่กับเราจนถึงนิรันดร์

            • แค่ตัดสินใจ! เปิดใจ ต้อนรับสิทธิ ในพระเยซูคริสต์นี้ เท่านั้น

            และหลังตัดสินใจเปิดใจต้อนรับแล้ว

            เอเฟซัส 2:19 บอกว่า … “ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าว แปลกถิ่นอีกต่อไป  แต่เป็นพลเมืองเดียวกันกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิก ในครอบครัวของพระเจ้า”

            ตัดสินใจ กลับมาเป็นลูก เป็นทายาท รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์เถิด … พิสูจน์ได้ เดี๋ยวนี้ ทันที ไม่ต้องรอให้ตายก่อน

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1508

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  กุมภาพันธ์  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 15 “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตายนี้ได้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” เราเรียนกันมาแล้ว 14 ตอน วันนี้ตอนที่ 15 ชื่อเรื่องเท่ห์เลย “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตายนี้ได้”  1 ยอห์น 5:1 คือข้อเริ่มต้นในวันนี้ …

        1 ยอห์น 5:1 “ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ก็ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า และทุกคนที่รักพระเจ้า (พระบิดาผู้ให้กำเนิด) ก็รักลูกคนอื่นๆ ที่เกิดจากพระองค์ด้วย”

            ยอห์นก็เน้นย้ำถึงความจริงนี้ เพราะเป็นบริบทของ 1 ยอห์น ก็คือการเน้นย้ำถึงความจริง เรื่องพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมซียาห์ เน้นย้ำ เพราะว่ามีพวกต่อต้านพระคริสต์อยู่ในขณะนั้นมากมายที่เกิดขึ้น ที่เราเรียกกันว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ว่าพระคริสต์ไม่ใช่พระเมซียาห์ เราได้เรียนรู้ไปหลายตอนแล้ว ใน 1 ยอห์น 5:1 คือมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมซิยาห์เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ ที่ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปและความตาย

            ความเชื่ออย่างนี้จะทำให้คนๆ นั้น บังเกิดใหม่จากพระวิญญาณของพระเจ้า  กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า  และเขาคนนั้นที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เขาก็จะรักพระเจ้า ในฐานะลูกของพระเจ้า  พระบิดาผู้ให้กำเนิด เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า พระบิดา เขาจะรู้จักพระบิดา รักพระบิดา

            เขาจะเริ่มอธิษฐานว่า “พ่อจ๋า”

            เขาจะเริ่มอธิษฐานกับพระเจ้าว่า “พระเจ้าพระบิดา”

            สมัยก่อน เขาไม่กล้าพูดแม้กระทั่งว่าพระเจ้าด้วยซ้ำไป เขาพูดแค่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่เขายังไม่รู้จัก  แต่พอเขาเกิดใหม่ปุ๊บ  เขาจะบอกว่า “พระบิดา” หรืออาจจะเริ่มต้นเขินๆ ว่า “พระเจ้า ข้าพเจ้า” แล้วต่อไปก็สนิทขึ้น  “พระบิดา ลูกขอ” นี่คือชีวิตของคริสเตียน ที่อาจารย์ยอห์นบอกว่าคือจะมีอาการนี้ออกมา ในทางฝ่ายโลกวิญญาณ สำหรับคนที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์จริงๆ เป็นพระเจ้าที่อยู่ในร่างของมนุษย์จริงๆ ยืนยันด้วยวิธีนี้

            นอกจากนี้ การยืนยันเหล่านี้ สำหรับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์ส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยให้รอดแล้ว นอกจากจะรักพระเจ้า เป็นพยานยืนยันกับตัวเองว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเรียกพระเจ้าพระบิดาแล้ว นอกจากที่จะรักพระเจ้าพระบิดาแล้ว เขาคนนั้นก็จะรักคนอื่นๆ ที่เป็นลูกของพระบิดาเดียวกัน ก็คือรักผู้เชื่อคนอื่นๆ ด้วย จะเป็นพยานยืนยันอย่างนี้เลย

            สมัยก่อนเรารักได้ไหม? เรารักไม่ได้ เราไม่รู้เรื่อง เราเฉยๆ เผลอๆ จะไม่ชอบด้วยซ้ำไป  1 ยอห์น 5:2 …

        1 ยอห์น 5:2 “แบบนี้สิ ​เรา​ถึง​รู้​ว่าเรา​รัก​ลูกๆ ​ของ​พระเจ้า​จริง คือ​เมื่อ​เรา​รัก​พระเจ้า ​และ​ทำ​ตาม​คำสั่ง​ (บัญญัติ) ของ​พระองค์”

            เมื่อเรารักบรรดาผู้เชื่อ หรือคริสเตียนคนอื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้า  พระบิดาเดียวกันกับเราแล้ว  ตรงนี้เป็นการแสดงการยืนยันว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว  เราเป็นลูกพระเจ้าในวิญญาณจริงๆ แบบนี้สิ จึงรู้ว่าเรารักผู้เชื่อคนอื่นๆ จริงๆ ในวิญญาณของเรา ในวิญญาณใหม่ ในใจใหม่ของเรา เรารักผู้เชื่อคนอื่นๆ  เพราะเราได้รับความรัก จากพระเจ้าก่อน  และความรักจากพระเจ้าทำให้เราสามารถรักพระเจ้า แล้วรักพระเจ้าไม่พอ  ยังทำตามบัญญัติ คือคำสั่งของพระเยซูคริสต์ เมื่อเรารักพระเจ้าพระบิดา  แล้วก็รักษา ทำตามบัญญัติคำสั่ง  ไม่ได้หมายถึงบัญญัติคำสั่ง สมัยโมเสส 613 ข้อ หรือบัญญัติ ในกฎศีลธรรมต่างๆ ของศาสนาเดิมที่เราเคยอยู่ หรือกฎของประเพณีวัฒนธรรม ไม่ใช่ แต่เป็นบัญญัติคำสั่งของพระเยซูเพียวๆ เลย ที่พระองค์ทรงประทานให้กับเรา บัญญัติเดียว คือท่านทั้งหลายจะดำเนินชีวิตด้วยความรัก รักซึ่งกันและกัน นั่นคือบัญญัติใหม่ ด้วยความรัก แบบอากาเป้  พอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ ในใจของเราบัญญัติมันจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เราจะเป็นความรักเหมือนกับพระเจ้า พระบิดาของเรา เราจึงรักพระเจ้าได้ นึกออกไหม?  เราจึงรักพี่น้อง คริสเตียนที่เป็นลูกของพระเจ้าคนอื่นได้ เพราะเราเป็นความรักเหมือนพระเจ้า 1 ยอห์น 5:3 เป็นข้อเสริมอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:3 “เพราะนี่แหละ เป็นความรัก (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) ต่อพระองค์ คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ (ซึ่งใส่ไว้ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา) และพระบัญญัติของพระองค์ (ให้เรารักกันและกัน ด้วยวิญญาณและใจจริง) นั้น ไม่เป็นภาระ (หนักใจ ทุกข์ใจ เหลือบ่ากว่าแรง)”

            เพราะนี่แหละ เป็นความรัก (แบบอากาเป้ ) ด้วยวิญญาณและความจริงใจต่อพระองค์ คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งใส่ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา และพระบัญญัติของพระองค์  ตอนที่เราบังเกิดใหม่  และพระบัญญัติของพระองค์ให้กับเราไว้ คือให้เรารักกันและกันด้วยวิญญาณและใจจริง ก็คือแบบอากาเป้นั้น ไม่เป็นภาระหนักใจทุกข์ใจ เหนือบ่ากว่าแรงเลย  ไม่ใช่ความรักแบบมนุษย์ที่ต้องอดทนแบบมนุษย์ ที่ต้องพยายามกัดฟันรัก รักได้ไหม? ไม่ได้ เพราะวิญญาณจากข้างในไม่มีพลังของความรักแท้ คืออากาเป้ แต่นี่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักแบบอากาเป้ อยู่ข้างในแล้ว มันจึงไม่เป็นภาระสำหรับเรา  เพราะเป็นธรรมชาติของเรา ภายใน ยกตัวอย่าง เหมือนกับนก ให้นกบิน เขาสบายไหม? ไม่เป็นภาระ ไม่เหนือบ่ากว่าแรง แต่ให้นกมาเดินเหมือนไก่ มันไม่ไหว เดินๆ ไป มันรำคาญนะ หรือให้งูมาเดินเหมือนลิง มันก็พยายามยืนตรงได้สักครู่หนึ่ง มันก็ตกไป ยกเว้นว่าแขกอินเดียเป่าปี่ มันก็ขึ้น มันจะอยู่ได้นานขนาดไหน? ไม่นาน ก็ต้องลงมานอนเลื้อย เพราะว่าเป็นไปตามธรรมชาติ มันเหนื่อยไหมที่จะเลื้อย มันไม่เหนื่อย เป็นธรรมชาติของมัน  แล้วเราลองเอาลิงมาเลื้อย มันเลื้อยได้นานเท่าไร? ไม่ได้นานเท่าไร มันก็ลุกขึ้นมายืน ฉันใดฉันนั้น เราเป็นความรัก เราก็ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ไม่เป็นภาระ แล้วมันเป็นบัญญัติเดียวที่พระเจ้าสั่งให้เรารักษาเอาไว้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทำได้ไหม? ยิ้มสิ

            เพราะฉะนั้น ขณะที่เราไม่มีความรัก ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่นี้ ประพฤติความเกลียดชัง ตรงกันข้ามกับความรักที่อยู่ในใจนั้น  เรากำลังฝืนธรรมชาติ  ทำไปได้นานไหม? ไม่ได้นาน เหมือนตะกี้นี้บอก งูที่ถูกเป่าปี่ พยายามลุก เดี๋ยวมันก็หล่นลงไป เลื้อยตามธรรมชาติ ของเราก็เหมือนกัน ต่อให้เกลียดอย่างไร? หรือไม่ชอบอย่างไร? หรือจับความผิดเขาอย่างไร? อิจฉาเขาอย่างไร? หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้ เดี๋ยวมันก็กลับมาที่รักเขาเหมือนเดิม  เพราะว่ามันไปไม่ได้ไกล มันฝืนธรรมชาติ เพราะฉะนั้น การรักษาบัญญัติของพระเยซูคริสต์ที่บอกไว้ วิธีการคืออะไร? สำหรับคริสเตียน ฉันรักษาบัญญัติของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติให้เรารักกันและกัน ก็คือให้เราจดจ่อความคิดจิตใจของเรา ไปที่ความรักของพระคริสต์ที่อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจของเรา  เพื่อประพฤติตามธรรมชาติของวิญญาณของเราว่าฉันเป็นความรัก ฉันก็ต้องดำเนินชีวิตตามความรักนี้สบายๆ

            เป็นธรรมชาติในวิญญาณของผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซิยาห์ และได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้รับความรอดแล้ว ได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว มันจึงเป็นธรรมชาติของความรักนี้ จดจ่อไปที่นั่นเลย นี่แหละคือการรักษาพระบัญญัติของพระเยซูคริสต์ ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ไม่ใช่รักษาบัญญัติตามที่พระเยซูคริสต์บันทึกเอาไว้ด้วยกำลังของตนเอง ไม่ใช่ แต่ด้วยธรรมชาติที่เราได้เกิดใหม่แล้ว  เป็นความรักเหมือนพระคริสต์ก่อน แล้วค่อยประพฤติตามสิ่งที่เป็นนั้น

            “ได้เกิดใหม่แล้ว เป็นความรักเหมือนพระคริสต์ก่อน แล้วค่อยประพฤติตาม”

            –  ไม่ใช่ประพฤติตาม เพื่อให้เป็นความรักเหมือนพระคริสต์ ไม่ใช่ประพฤติตามบัญญัตินั้น เพื่อจะได้ ฉันจะได้เป็นความรักเหมือนพระคริสต์

            –  ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความรอด หรือเพื่อรักษาความรอดให้คงอยู่ ฉันไม่ได้ประพฤติความรัก เพื่อรักษาความรอดให้คงอยู่ หรือให้ได้รับความรอด  โดยการประพฤติ ความรักนี้

            –  ไม่ใช่ถูกบังคับให้รักษากฎเกณฑ์ตามคำสั่ง เพื่อจะไม่ถูกลงโทษว่าไม่ทำตามคำสั่ง ไม่ใช่ แต่ฉันประพฤติหรือดำเนินชีวิตด้วยความรัก เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติของตัวฉัน ฉันเป็นความรัก ไม่มีใครมาบังคับหรอก นี่มันเป็นอย่างนั้น

            เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตด้วยความรัก มันคือผลของความรอด ผลของการบังเกิดใหม่ จากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ซึ่งดำรงบริบูรณ์ด้วยพระลักษณะของพระเจ้า คือพระเจ้าเป็นความรัก เราก็เป็นลูกของพระเจ้าที่เป็นความรักเหมือนพระองค์ เป็นความรักที่เราได้รับแล้วในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราบังเกิดใหม่แล้ว เราจึงปฏิบัติความรักนี้ได้ มิฉะนั้น ไม่มีใครสามารถทำความรักอย่างนี้ได้ คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข คือความรักแบบอากาเป้นี้ ไม่สามารถประพฤติได้เลย ถ้าเผื่อไม่มีความรักแท้นี้อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจใหม่ ที่บังเกิดใหม่นั่นเอง 1 ยอห์น 5:4-5 …

        1 ยอห์น 5:4-5 “4 เพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลก (แห่งความบาปและความตาย) และความเชื่อของเราเอง คือฤทธิ์อำนาจ ที่เอาชนะโลก (แห่งความบาปและความตาย) แล้ว 5 ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            เพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลกแห่งความบาปและความตาย ตรงนี้สำคัญมาก  คนที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  ก็คือเป็นพระมาซีฮาห์ ก็ได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะอยู่เหนือโลกแห่งความบาปและความตาย ก็คือคริสเตียนมีชัยชนะเหนือโลกแห่งความบาปและความตายแล้ว เพราะว่าความเชื่อของเขาในพระเยซูคริสต์ ทำให้เขา คือคริสเตียนมีชัยชนะเหนือโลกแห่งความบาปและความตายแล้ว นี่เป็นเรื่องจริง แต่คริสเตียนก็ยังต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่

            คริสเตียนเราชนะโลกแห่งความบาปและความตาย ชนะการหลอกลวง ชนะความเท็จในโลก เกี่ยวกับเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ปิดบังตาเรามาตั้งนาน จนกระทั่งเราชนะ ก็คือเราเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ข่าวดีของพระเจ้า เรารับไว้ เราจึงชนะโลกก่อนเลย ก็คือชนะการหลอกลวงและความเท็จของโลกนี้ ด้วยความเชื่อ ถูกไหม? เป็นคริสเตียนด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติ แต่ด้วยความเชื่อ เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าเกี่ยวกับข่าวดีในพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            เชื่อว่าข่าวดีในพระเยซูคริสต์ที่เราได้ยินนั้น เป็นจริง ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือเราได้รับการอภัยโทษในบาปผิดทั้งสิ้น ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตนิรันดร์เลย และได้เข้าอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคและเข้ามาอยู่ในเรา นี่สั้นๆ ของข่าวดีนี้ เราเริ่มเปิดใจเชื่อในความจริงเหล่านี้ เรารับเข้ามาแล้ว นั่นแหละ เราเริ่มต้นมีชัยชนะเหนือโลกแห่งความบาปและความตายทันที ด้วยความเชื่อไม่ใช่ด้วยความประพฤติ หรือการกระทำใดๆ ที่เราจะชนะความบาปและความตายบนโลกใบนี้ได้ ไม่มีทางอื่นเลย ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเราเลย ทำอย่างไร เราก็ไม่มีทางชนะความบาปและความตายที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว พระเยซูบอกมีทางเดียวเท่านั้น คือวางใจในเรา คือวางใจในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมา ก็คือพระมาซีฮาห์

            เพราะฉะนั้น การชนะโลก จึงไม่ได้หมายถึงสิ่งที่มนุษย์ทั่วๆ ไปคิด หรือคริสเตียนอาจจะคิดอย่างนี้ หรือถูกหลอกให้คิดอย่างนี้ การชนะโลก ไม่ได้หมายถึงการที่เราไม่ต้องเผชิญปัญหาอุปสรรค หรือการไม่ต้องมีความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้หมายถึงไม่เจ็บป่วย ไม่ยากจน ไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดๆ เกิดขึ้นกับเราบนโลกใบนี้ ซึ่งบางครั้งเราถูกหลอกว่าเราชนะโลกนี้ สิ่งเหล่านี้ต้องไม่เกิดขึ้น พอมันเกิดขึ้น เราก็รู้สึกไขว้เขว

            “ถ้อยคำพระเจ้าจริงไหม? พระเจ้าอยู่ด้วยหรือเปล่า?” … อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            การชนะโลก จริงๆ แล้ว หมายถึงการมีชีวิตที่มีชัยชนะในพระคริสต์ คือเราไม่ถูกครอบงำ เป็นทาสบาป ความชั่ว ตามระบบของโลกนี้ ที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว แต่เรามีชีวิตใหม่ในพระองค์ ในพระเยซูคริสต์ และสามารถดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตภายในเราตลอดเวลา นี่คือชัยชนะ แต่ขณะเดียวกันยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของความบาปและความตายบนโลกใบนี้อยู่ ซึ่งมารใช้ในการโกหกหลอกลวงมาตลอด  เรายังคงสามารถถูกล่อลวง จากระบบของโลกให้ทำบาปได้ หมายถึงเราคริสเตียนนะ ผู้ที่เชื่อ ที่มีชัยชนะเหนือโลกแล้ว เรายังคงสามารถถูกล่อลวง หลอกลวง ไม่เชื่อความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงเรา ที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราอาจจะไม่เชื่อทั้งหมด เพราะว่าระบบของโลกนี้มันยังปิดบังตาเราต่อไปอยู่ ไม่ให้เรารู้ความจริงทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ปิดบังตาเราต่อไปว่าเรายังไม่ชนะ 100% นะ เราไม่เป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ ตามที่ถ้อยคำพระเจ้า เป็นความจริงที่บอกเรา เห็นไหม? เรายังต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี ให้พร้อม  เพื่อให้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้นกว่านี้ นี่คือการถูกหลอก แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้ เราได้รับไปเรียบร้อยแล้ว  เราชนะ 100% แล้วจริงๆ

            ชนะโลก หมายถึงชนะโลกแห่งความบาปและความตายฝ่ายวิญญาณ  ไม่ใช่ฝ่ายวัตถุ คนส่วนใหญ่จะเอาไปใช้ในเรื่องฝ่ายวัตถุว่าเราเป็นคริสเตียน เราเป็นลูกของพระเจ้า เราชนะโลกแล้ว เพราะฉะนั้น เราไม่ยากจน ไม่มีทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นกับเรา สิ่งชั่วร้ายต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น เราอยากได้ อยากได้ไม่เป็นไรนะ แต่อย่าเคลมว่ามันต้องเป็นของเรา เพราะเราชนะโลกนี้แล้ว

            การชนะโลก หมายถึงการหลุดพ้น การเป็นอิสระจากการถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่งให้พินาศตายฝ่ายวิญญาณ  เพราะเป็นบาป นี่คือตามบริบท ที่อาจารย์ยอห์นเน้น ชี้ให้เราเห็นถึงในโลกฝ่ายวิญญาณว่าอะไรเกิดขึ้น เราชนะโลกหมายถึงอะไร? ชนะโลกของความบาปและความตาย  ชนะการเป็นคนบาป ก็คือหลุดพ้นจากการเป็นคนบาป เป็นอิสระจากการเป็นคนบาป มาเป็นคนชอบธรรม และมีชัยชนะอยู่เหนือความตายนิรันดร์ เป็นคนชอบธรรม  และมีชัยชนะอยู่เหนือความตายนิรันดร์ในวิญญาณ  ก็คือไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์ กลายเป็นมาอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ได้ นี่คือชัยชนะเหนือโลก

            ชนะ หมายถึงการหลุดพ้น การเป็นอิสระจากความบาป ความชั่ว ชนะการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ชนะการเข้ากับพระเจ้าไม่ได้ คือเป็นอิสระจากการอยู่ภายใต้เป็นทาสของมาร การอยู่ในอาณาจักรของความมืด ในโลกฝ่ายวิญญาณก่อนที่เราจะรับเชื่อในพระเจ้า ซึ่งชัยชนะเหนือโลกนี้ เกิดขึ้น โดยความเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ ที่กระทำบนไม้กางเขน ซึ่งเราเรียกกันว่าข่าวดี และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ ทำให้มนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อ ได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนที่กลับคืนดีกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า และจะอาศัยอยู่ในอาณาจักรสวรรค์นี้นิรันดร์ พระองค์ทรงกระทำสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว เป็นความจริง

            แต่โลกนี้ปกคลุมไปด้วยความบาปและความตาย ก็คือปกคลุมไปด้วยความเท็จ นี่บริบทของอาจารย์ยอห์นจะพูดอย่างนี้เสมอ นี่มีแต่ความเท็จทั้งนั้นเลย  ทุกคนอยู่ในความเท็จ จนกว่าเมื่อไรเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นั่นแหละ มีชัยชนะอยู่เหนือโลก อยู่เหนือความเท็จทั้งหลายเหล่านี้

            อาณาจักรของพระเจ้าคืออะไร? อาจารย์ยอห์นได้เล่าให้เราฟังแล้ว ชี้ให้เราได้เห็นแล้ว อาณาจักรของพระเจ้า คือตัวของพระเยซูคริสต์เอง ก็คือผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ผู้เชื่อนั้น ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ “ได้เข้าไปอยู่” ก็คือได้ดำรงอยู่ อาศัยอู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์ได้เข้ามาอาศัย ดำรงอยู่ในผู้เชื่อคนนั้น  เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นอาณาจักรของพระบิดา ที่ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้แล้ว เริ่มต้นตั้งแต่วันแรก วันเพ็นเตคอสที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา หลังจากที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้ว  คือสิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  หลังจากนั้น 40 วัน วันที่พระองค์ปรากฏพระองค์เองกับบรรดาสาวกและเสด็จขึ้นสวรรค์ อีก 10 วัน เป็นการประกาศเริ่มต้นยุคใหม่ ที่สวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

            สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว มันเป็นข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และข่าวดีมาถึงมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือเป็นวันที่พระเจ้าเสด็จเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์เป็นครั้งแรก และจากนั้นต่อมาจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นมาตลอดเลย คือสวรรค์มาตั้งอยู่ที่ร่างกายของมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์เป็นสวรรค์แล้ว คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทันทีปุ๊บ เป็นสวรรค์ทันทีเลย ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตภายในเขา  เขาเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เสร็จแล้วเขาผู้เชื่อกับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันนั้น พระคัมภีร์บอกว่าทั้ง 2 นั้นอยู่ในพระบิดา นึกภาพออกไหม? ทั้ง 3 เป็นหนึ่งเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงให้กับเขา สรุปแล้วก็คือทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสร้างบ้าน สร้างที่อยู่อาศัยในผู้เชื่อ คริสเตียนคนนั้น นี่แหละ คือชัยชนะเหนือโลก ตามบริบทนี้ ไม่ได้หมายถึงอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่มนุษย์อยากได้

            พอผู้เชื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วทันทีนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะย้ายเขาออกจากโลกนี้ โลกแห่งความบาปและความตายนี้ ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์  หรือเรียกว่าในสวรรค์ทันที พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ ทำบ้านอยู่ในตัวเขาทันที  โคโลสี 1:13-14 ไม่ต้องรอตาย มันเกิดขึ้นทันที บนโลกใบนี้แหละ  แต่เป็นในฝ่ายวิญญาณ …

        โคโลสี 1:13-14 “13 พระเจ้าได้ช่วยชีวิตเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และนำเรา เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร ซึ่งก็คือพระบุตรที่พระเจ้ารัก 14 พระองค์ได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ และอภัยบาปต่างๆ ของเราด้วย”

            เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร ก็คือเข้าไปอยู่ในสวรรค์อย่างที่บอก ย้ายเขาเข้าไปอยู่ในบ้านของพระเจ้า

            บ้านของพระเจ้า ก็คือพระองค์มาสร้างบ้านของพระองค์ ก็คือสวรรค์มาตั้งอยู่ในร่างกายของผู้เชื่อนั่นแหละ ทั้งวิญญาณ ใจและร่างกายของเขา เป็นวิหารของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่ ทั้ง 3 พระภาค ไปไหน ไปด้วยกัน ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว ไม่ต้องรอให้ตาย แล้วเกิดขึ้น  เห็นหรือยังว่านี่คือความจริง ซึ่งมารก็พยายามปิดบังความจริงบนโลกใบนี้ ด้วยระบบของโลกใบนี้ว่าถ้าไม่เห็น อย่าไปเชื่อ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ มันมองไม่เห็นหรอก แต่มันเป็นความจริงตามถ้อยคำพระเจ้า

            “ไหนล่ะ เชื่อพระเจ้าแล้วอยู่ในสวรรค์ อยู่ในสวรรค์ยังเจ็บป่วยอยู่เลย อยู่ในสวรรค์เจ็บป่วยได้อย่างไร? นี่คือระบบของโลกที่พยายาม ที่จะหลอกลวง มดเท็จ ต่อต้านความจริงของพระเจ้า มารและโลกที่เราเห็นอยู่นี้ และทุกสิ่งในโลก สรรพสิ่งทั้งหลายในโลก พระคัมภีร์บอกว่าตกอยู่ภายใต้คำพิพากษา  กำลังอยู่ในคำพิพากษา คำสาป ให้พินาศ  อยู่ในความสูญสิ้น เข้าสู่การสำเร็จโทษ คือตัดสินไปแล้วว่าให้สูญสิ้น ถูกลงโทษไปแล้ว แต่ว่ายังไม่สำเร็จโทษนั่นเอง มารจึงพยายามพามนุษย์ลงไปกับมัน ไปอยู่ที่เดียวกันกับมัน ที่ไหน? ก็ที่ที่ไม่มีพระเจ้า ก็คือบึงไฟนรก อย่างที่เราเคยเรียนรู้กัน

            แล้วใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกที่ถูกสาปแช่งนี้ได้ ในเมื่อโลกมันกำลังถูกสาปแช่ง  มันต้องสูญสิ้นไป มันจะไปอยู่บึงไฟนรกแล้ว ทั้งหมด ทั้งโลกนี้ แล้วใครกันล่ะ 1 ยอห์น 4:4 ที่เราได้เรียนรู้มา ตอนที่แล้ว …

        1 ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือโลก คือเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้”

            เห็นไหม? “พระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้” พูดง่ายๆ พระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ก็คือสวรรค์ที่อยู่ในคุณ สวรรค์ที่อยู่ในตัวเรา ยิ่งใหญ่กว่า สวยงามกว่ามารที่อยู่ในโลก ก็คือโลกที่ถูกสาปแช่ง โลกแห่งความบาปและความตาย โลกที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ โลกแห่งความทุกข์ยากลำบากนิรันดร์ พระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ คือสวรรค์ที่อยู่ในเราใหญ่กว่า ใครกันล่ะ ในข้อ 5 บอกว่า …

        1 ยอห์น 4:5 “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลก ที่ถูกสาปแช่งแล้วนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            เห็นไหม? เน้นเรื่องนี้อีกแล้ว เน้นเรื่องพระเมซิยาห์ คนที่จะชนะโลกแห่งความบาปและความตาย ชนะโลกที่ต้องสูญสิ้นไป ชนะโลกที่กำลังตกลงไปในความตาย อยู่ในนรกนิรันดร์นั้น คือคนเหล่านั้นที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะว่ามีคนจำนวนมากตั้งตัวขึ้นมาสอน ความเชื่อแบบเก่าๆ ในสมัยนั้น ต่อต้านพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า พระองค์ไม่ใช่พระมาซีฮาห์

            อาจารย์ยอห์นก็เลยพยายามเน้นตรงนี้อยู่ตลอดเวลาว่าเป็นพระเมซิยาห์จริงๆ  และถ้าท่านเชื่อนะ ท่านก็จะชนะโลก ชนะความเท็จเหล่านั้น ท่านจะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ท่านจะเริ่มต้นรู้จักพระเจ้า พระเจ้าจะสอนท่าน ท่านจะรักพระเจ้า ท่านจะเห็นพระองค์ในทางวิญญาณ ท่านจะชนะการหลอกลวง ล่อลวงของมารบนโลกนี้ นี่คือคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็จะได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาดำรงอาศัยอยู่ในร่างกายของเขา เขาก็ชนะบาป ที่มันเคยอยู่มาก่อน ในใจของเรา ในใจของมนุษย์ ตอนนี้ผู้ที่เข้ามาอยู่แทน ก็คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  และความชอบธรรมของพระองค์ก็เป็นของเรา มาแทนที่ความบาป ที่เป็นคนบาปในอดีต

            ความจริงที่สำคัญมาก ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้เรียนรู้ ได้รับรู้ ก็คือโลกและทุกสิ่งบนโลก หรือสรรพสิ่งในโลกนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ จะต้องสูญสิ้นไปในวันหนึ่ง ไม่รู้เมื่อไร แต่สูญสิ้นไปแน่นอน แต่โลกวิญญาณที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มันอยู่ตลอดไป พระคัมภีร์จึงพยายามเน้นให้มนุษย์สนใจโลกฝ่ายวิญญาณมากกว่าเยอะ เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องให้ความสนใจ ให้ความเรียนรู้

            ซึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ก็ได้บอกแล้วว่ามี 2 แห่งเท่านั้นเอง และมันจะเป็น 2 แห่งอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีแห่งที่ 3 แห่งที่ 4 ไม่ว่ามันจะเป็นแห่งหนึ่งที่เรียกกันว่าสวรรค์ ที่มีพระเจ้าอยู่ ที่เรียกว่าสุขนิรันดร์ หรืออีกที่หนึ่งที่เรียกว่าบึงไฟนรก ที่เรียกว่าที่มืด ที่มีแต่ความเจ็บปวด ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มีแต่ความทุกข์ตลอดนิรันดร์ ไม่ใช่ 80 ปี 100 ปี เหมือนโลกใบนี้ที่เรามีชีวิตอยู่ แต่มันเป็นนิรันดร์ของสิ่งมีชีวิต ที่เรียกว่าวิญญาณของมนุษย์ มารพยายามพามนุษย์ให้สนใจ จดจ่อในโลกแห่งวัตถุที่มองเห็น ที่บนโลกใบนี้ เพราะมันจะหลอกเราได้ ล่อลวงเรา ให้เราหลงอยู่ในโลกที่มองเห็นนี้ ส่วนพระเจ้าพยายามให้เราสนใจ จดจ่อในโลกที่มองไม่เห็นสำคัญมากกว่า สิ่งที่มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งดี ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับผู้ที่แสวงหา ผู้ที่รักพระองค์ พระองค์ตรัสไว้อย่างนั้น ผู้ที่มาแสวงหาพระองค์ ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ใช้ความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น จับต้องในโลกวัตถุนี้ แต่มารบอกว่าถ้าไม่ได้มองเห็นด้วยตา จับต้องด้วยตัว ไม่ได้อะไรต่างๆ เหล่านั้น อย่าไปเชื่อนะ มันคนละขั้วกันเลย

            โลกและมนุษย์ทั้งโลกได้ถูกพิพากษา ตัดสิน ถูกลงโทษ  ถูกสาปแช่งให้พินาศไปแล้ว อยู่ในที่มืด ที่ซึ่งไม่มีพระเจ้า เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่แล้ว  เพียงแต่รอการสำเร็จโทษในวันข้างหน้า สำหรับมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือวันที่หมดลมหายใจบนโลกใบนี้

            แต่ความจริงในถ้อยคำพระเจ้า คือพระเจ้าได้ช่วยเหลือมนุษย์ โดยการอภัยโทษให้เรียบร้อย เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วก็เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เป็นการเริ่มต้น ปีแห่งความโปรดปราน ปีแห่งการอภัยโทษ ปีแห่งการประกาศอิสรภาพ ปีแห่งพระคุณแก่มวลมนุษย์ทั้งปวง 2,000 ปีมาแล้ว และมีคนมากมายได้รับชัยชนะ ได้รับสิทธินี้ไปแล้ว จนถึงปัจจุบัน  แต่ก็ยังมีคนถูกล่อลวงด้วยระบบของโลกนี้ ถูกปิดบังตา ถูกขโมยเอาความจริงนี้ไป ในโลกวิญญาณจึงมีการย้ายสถานที่เกิดขึ้น เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มีการย้ายในโลกฝ่ายวิญญาณ ย้ายตำแหน่งที่อยู่อาศัยของผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือโลกแห่งความบาปและความตายนี้  ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเขาอีกต่อไป พระคัมภีร์บอก ในโลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าเราเป็นคริสเตียน โลกไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของเรา  ผู้เชื่อไม่ได้อยู่ในโลกที่ถูกพิพากษา ถูกสาปแช่ง เพราะความบาปอีกต่อไป แต่เขาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรคสถานกับพระเจ้าแล้ว เราอยู่ในสวรรคสถานแล้ว นี่คือความจริง

            เราเคยกล้าพูดอย่างนี้ไหม? แม้เราจะเชื่อพระเจ้ามาหลายปีแล้ว เราเคยกล้าพูดอย่างนี้ว่า …

            “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ”

            ในขณะที่เจ็บป่วยอยู่ ในขณะที่เป็นโควิด ในขณะที่ติดเชื้อ กำลังรักษาอยู่ ในขณะที่ทนทุกข์ ขัดสนอยู่ ในขณะที่ PM.2.5 ปกคลุม เกิดอาการแพ้ ในขณะที่ไฟไหม้ป่า ลามมาถึงบ้านเรา

            “พระเจ้าอยู่ไหนๆ ทำไมไม่ช่วยดับไฟป่า” แล้วเราก็บอก “นี่หรือสวรรค์”

            ขอพระเจ้าช่วยเรื่องไฟไหม้ป่าได้ไหม? ได้ แต่ถ้ามันจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม เราไม่สามารถมาลบล้างความจริงของพระเจ้าได้ว่า …

            “เราอยู่ในสวรรค์แล้วนะลูกเอ๋ย”

            แล้วเราจะมาบอกว่า … “อยู่ในสวรรค์แล้ว ทำไมเป็นแบบนี้”

            ในโลกนี้ มันไม่ใช่สวรรค์ โลกสวรรค์อยู่ในทางวิญญาณ แต่วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้อยู่ที่นั่นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างแท้จริง

            ถ้าอยู่ในโลกนี้ คนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถ้ายังอาศัยอยู่ในโลกแห่งการถูกสาปแช่ง โลกแห่งความบาปนี้อยู่ เขาก็ต้องสูญสิ้นไปกับโลกใบนี้  ในวันหนึ่ง  เพราะโลกและทั้งหมดที่อยู่ในโลกนี้  ถูกตัดสินไปแล้ว ถูกลงโทษเรียบร้อยไปแล้ว ให้พินาศไป และกำลังเดินทางไปสู่ความสูญสิ้นนี้ ถ้าใครคนใดคนหนึ่งยังไม่ย้ายฝั่งมาอยู่ในพระคริสต์ ยังอยู่ในโลกนี้อยู่  ก็ต้องสูญสิ้นไปด้วยกันกับโลก เรียกว่าถูกลงโทษให้พินาศ เพราะว่าเป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้  เคมีไม่เข้ากัน บาปและความบริสุทธิ์มันเข้ากันไม่ได้ ความชั่วและความดีไม่สามารถเข้ากันได้ ขาวและดำอยู่ด้วยกันไม่ได้ พระเจ้าและความบาปอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่ใช่ไม่รักเรา ไม่ใช่พระเจ้าลงโทษเรา  เราถูกกฎลงโทษอยู่แล้ว จากความบาปตั้งแต่ในอดีต ตั้งแต่บรรพบุรุษเราเอาเข้ามา  มันเป็นกฎ เป็นระเบียบ ซึ่งเป็นกฎทางวิญญาณที่พระเจ้าเป็นผู้สถาปนา ดูแลให้เป็นไปตามกฎ เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาลที่ยุติธรรม และเที่ยงตรงที่สุด ไม่ลำเอียง

            เพราะฉะนั้น มนุษย์จำเป็นต้องย้ายสถานที่อยู่ทางวิญญาณ ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เพื่อมาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ ก่อนหมดลมหายใจ มารก็พยายามหลอกว่าสวรรค์รอไว้ เมื่อหมดลมหายใจ แต่พระเจ้าบอกว่าต้องตัดสินใจ ก่อนหมดลมหายใจนะ มันคนละขั้วกันเลย การโกหกมดเท็จกับความจริงของพระเจ้า คนละเรื่องกันเลย  เพราะฉะนั้น เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเกิดแล้ว เราต้องเชื่อว่าเราอยู่อีกฝ่ายหนึ่งแล้ว อยู่ในฝ่ายความจริง  เราอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ ซึ่งมันเป็นความเชื่อ ซึ่งประกาศข่าวประเสริฐไปในตัวด้วย สำหรับคนที่เขายังไม่เชื่อ เขาจะได้รู้ว่าสวรรค์มันต้องตัดสินใจตอนนี้เลย เดี๋ยวนี้ทันที ในโลกใบนี้ ถ้ารอให้ตายก่อน มันสายไปแล้ว

            ซึ่งการจะอยู่ในสวรรค์มันง่ายนิดเดียว ย้ายเดี๋ยวนี้เลย ตอนหายใจอยู่นี่แหละ คือต้องบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ สะอาด เข้ากับพระเจ้าได้ จึงสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ซึ่งการทำตัวให้บริสุทธิ์ สะอาด เข้ากับพระเจ้าได้ พระคัมภีร์บอกแล้วว่าไม่สามารถกระทำได้ด้วยการประพฤติของตนเอง ด้วยการกระทำของตนเอง กระทำดี สะสมไว้ ทำไม่ได้หรอก ที่บอกกระทำ สะสมไว้ชาติหน้า ไม่มีชาติหน้า  ตายไป ก็ต้องถูกตัดสินเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพระเยซูเท่านั้นที่เป็นทางเดียวที่คนจะสามารถบังเกิดใหม่ได้ ย้ายเข้ามาอยู่กับพระเจ้าได้ ในขณะที่มีลมหายใจ พระองค์ทรงเตรียมพระเยซูไว้ด้วยความรัก ให้กับมนุษย์ทั้งปวงแล้ว

            หลังจากย้ายแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ก็เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันทีเลย ไม่ต้องรอ และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ ตลอดไป ไม่ใช่อยู่เฉพาะเดี๋ยวนี้ แต่อยู่ตลอดไป  ไม่ใช่มาอยู่สวรรค์เดี่ยวนี้ แล้วก็นึกว่าตอนอยู่ในสวรรค์เดี่ยวนี้ แล้วทำอะไรผิด ไม่ดีเพิ่มขึ้น หรือเยอะขึ้น หรือน้อยลง อะไรต่างๆ เหล่านี้ ไม่เกี่ยวกันอีกแล้ว ที่อยู่ในสวรรค์ก็อยู่เลย อยู่ตลอดไปเลย ไม่ว่าท่านจะประพฤติอะไรจากนี้ต่อไปอีกก็ตาม  ท่านได้รับการอภัยโทษเรียบร้อยไปแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขนครั้งเดียวเป็นพอ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนี้ พระเจ้าไม่จดจำความบาปของท่าน พระองค์เอาออกไป ลบออกไป ความบาปไม่ได้อยู่กับท่านอีกต่อไป

            ห่างกันเท่าไร? ตะวันออกห่างจากตะวันตกเท่าไร? พระองค์ทรงเอาความบาปผิดของท่านออกไปห่างเท่านั้น  ไม่มีได้เจอกันอีกแล้ว อยู่ตลอดไป พระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดไป ไม่มีใครเอาเราออกจากพระเจ้าได้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้าอยู่อาศัย แล้วพระเจ้าก็จะใช้ร่างกายเรานี้  ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ทำงานให้พระองค์ คือประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ฉายแสงสว่างของพระองค์ นำพาความรักของพระองค์ ไปยังบรรดาผู้คนรอบข้าง  โดยเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องพยายาม พระเจ้าพาไปเอง  เอเมนไหม? ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน? สวรรค์ก็อยู่ในตัวท่าน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน? 3 พระภาคก็อยู่ในตัวท่าน ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน? ท่านไม่ได้ไปคนเดียว 4 วิญญาณเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  และวิญญาณของท่านเองไปพร้อมกัน เอเมนไหม?

            แล้วชีวิตหลังความตายล่ะ พระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างนี้ ชีวิตหลังความตาย พระเจ้าก็จะทรงสร้างโลกใหม่ คือโลกที่เราเห็นอยู่ปัจจุบันนี้ ที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว มันมีแต่แย่ลงๆ ทุกวัน มลภาวะ มลพิษอะไรต่างๆ จะมากขึ้นทุกวัน ในที่สุดมันจะล่มสลายไป พระเจ้าจะสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่ ในโลกใหม่หมด ซึ่งรวมทั้งร่างกายของมนุษย์ใหม่ด้วย ร่างกายของเราจะเป็นร่างกายใหม่ที่มีลักษณะเหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ร่างกายใหม่ที่เราจะได้รับหลังความตายนี้ ก็จะไม่มีโควิด ไม่มีมะเร็ง ไม่มีเบาหวาน  ความดัน หัวใจ โรคภัยไข้เจ็บใดๆ ที่มันจะทำร้าย ทำลายร่างกายเราได้อีก ไม่มีเชื้อโรคที่จะทำให้เราป่วย ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการทำร้ายกันและกัน ไม่มีแก่งแย่ง ไม่มีความเศร้าโศก เสียใจ เพราะการสูญเสียอีกต่อไป ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป นี่เรื่องจริงๆ เลย ทั้งโลกวิญญาณและโลกที่จับต้องมองเห็นได้ เป็นโลกใหม่ ไม่มีสิ่งเหล่านี้อีกแล้ว

            และข้อสำคัญที่สุด ที่ไม่มีในโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ที่พระองค์ทรงสร้าง ที่เราจะอยู่หลังความตาย นั่นก็คือไม่มีมารมาล่อลวงให้เราทำบาปอีกต่อไปแล้ว ที่มันมาล่อลวงให้เราทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำบนโลกใบนี้มันเหนื่อยนะ มันลำบากนะ เป็นคริสเตียนยังโดนอยู่ ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกแห่งความบาปและความตายนี้  มันยังถูกล่อลวงอยู่ แต่ในโลกใหม่ไม่มีมาร ไม่มีอิทธิพลของความบาป  มาล่อลวงให้เราทำบาป  หรือล่อลวงให้เราเป็นศัตรู ไม่เชื่อฟังพระเจ้าอีกแล้ว ก็โดนอีก ตราบใดที่ยังอยู่ในโลกแห่งความบาปและความตายนี้ ยังอยู่ในโลกเดิมอยู่ แต่ในโลกใหม่ไม่มีมาร ไม่มีอิทธิพลของความบาป  มาล่อลวงให้เราทำบาป หรือล่อลวงให้เราเป็นศัตรู ไม่เชื่อฟังพระเจ้าอีกแล้ว  เราไม่ต้องใช้ความเชื่อ ไม่ต้องมีความหวังอีกต่อไป  เพราะว่าสิ่งที่เราหวังไว้ มันได้แล้ว เห็นแล้ว เห็นต่อหน้าต่อตา จับต้อง มองเห็นแล้ว เพราะเราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง เราได้อยู่ในความรัก ในสวรรค์กับพระเจ้า สืบไปนิรันดร์ แบบจับต้องมองเห็นได้เลย เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            และเหล่านี้ที่พูดมาทั้งหมด ที่เรากำลังตื่นเต้นนี้ ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น จากความจริงของถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้  ทั้งก่อนตายและหลังตายเป็นอย่างนี้  และนี่คือชัยชนะนิรันดร์ เหนือโลกแห่งความบาปและความตายที่ถูกสาปแช่งให้สูญสิ้นไปแล้วนั่นเอง ตามชื่อเรื่อง ก็คือใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตาย ที่ถูกพิพากษานี้ได้ ใครกันล่ะ? ตอบสิใคร? ก็คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า

            “ใครกันล่ะที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตายที่ถูกพิพากษานี้ได้”

            “ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            คราวนี้เราตอบแบบสั้นๆ เพื่อให้โลกที่โกหกหลอกลวงนี้รู้ว่าเรารู้ความจริงแล้ว

            “ใครกันล่ะที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตายที่ถูกพิพากษานี้ได้”

            “ก็ฉันนะสิ”

            เพราะว่าพระเยซูคริสต์จะเข้าไปดำรงอาศัยอยู่ในเขา และเขาจะดำรงอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และทั้งสองวิญญาณจะเป็นหนึ่งเดียวกัน  และทั้งสองวิญญาณที่เป็นหนึ่งเดียวกันนี้จะซ่อนอยู่ในพระบิดา ผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ และทั้ง 3 พระภาคก็สถิตอยู่ในเขาเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดนิรันดร์ เอเมน

*******************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            วิญญาณของท่านอยู่ที่ใด?

                        ในเชื้อสายอาดัม

                                    หรือ …

                        ในเชื้อสายพระคริสต์?

            อาดัมตาย ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลาน คือคำสาปแช่งความพินาศ

            พระเยซูคริสต์ตาย ทิ้งมรดกไว้ให้กับลูกหลาน คือสวรรค์และชีวิตนิรันดร์

            มรดกจากอาดัม ต้นตระกูลแรกเริ่มของมวลมนุษย์ คือคำสาปแช่งหนี้บาปและความพินาศ

            มรดกจากพระเยซู ต้นตระกูลใหม่ของมวลมนุษย์  คือความรอดความบริสุทธิ์ชอบธรรมและชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์

            โรม 5:19 … “เพราะการไม่เชื่อฟัง (ความบาป)  ของมนุษย์คนเดียว (คืออาดัม  ต้นประกูลเดิมเผ่าพันธุ์มนุษย์) ทำให้คนเป็นอันมาก  เป็นคนบาปคนอธรรม  (ติดเชื้อบาป) ฉันใด  การเชื่อฟัง (ยอมทำตามพระเจ้า ยอมตายบนกางเขน) ของมนุษย์คนเดียว (คือพระเยซู ต้นตระกูลใหม่เผ่าพันธุ์มนุษย์)  ก็ทำให้คนเป็นอันมาก  เป็นผู้ชอบธรรม (ได้รับการรักษาให้หายจากเชื้อบาป) ฉันนั้น”

            สดุดี 37:28-29 … “28 เพราะพระเจ้าทรงรักความยุติธรรม พระองค์จะไม่ทอดทิ้งผู้ชอบธรรม ของพระองค์ จะทรงสงวนคนเหล่านั้นไว้เป็นนิตย์ แต่ลูกหลานของคนอธรรม (อาดัม) จะถูกตัดออกไปเสีย 29 คนชอบธรรมจะได้แผ่นดินสวรรค์นั้นเป็นมรดก และจะอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดไป”

            มาย้ายจากการอยู่ในเผ่าพันธุ์เดิม ต้นตระกูลอาดัมมาอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหม่ต้นตระกูลพระเยซูคริสต์กันดีกว่า

            มนุษย์ทุกคนเกิดมาบนโลกนี้พร้อมกับมรดกตกทอด จากอาดัมบรรพบุรุษต้นตระกูล  คือคำสาปแช่งหนี้บาปและความพินาศ

            วิญญาณ คือตัวตนแท้ๆ ได้อยู่ในความพินาศ ในโลกวิญญาณในสถานที่ที่เรียกว่าความมืด ไม่มีพระเจ้าและจะอยู่ที่นี่ตลอดไปนิรันดร์ ถ้า ไม่มีใครช่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ย้ายสถานที่อยู่ก่อนหมดลมหายใจ

            พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ทุกคนด้วยการส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อลบล้างความผิดบาป ใช้หนี้ความบาปและแบกรับเอาคำสาปแช่งของมนุษย์ทุกๆ คนแล้ว

            พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับพระองค์และแต่งตั้งให้พระเยซูคริสต์นี้เป็นต้นตระกูลของมนุษย์พันธุ์ใหม่ คือเป็นพันธุ์ที่บริสุทธิ์สะอาดชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้นิรันดร์

            ซึ่งพระพรนานัปการในวิญญาณเหล่านี้ เรียกว่ามรดกในพระเยซูคริสต์ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ได้มรดกนี้ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงใช้สิทธิของตนเองเท่านั้น จึงเรียกว่าข่าวดีมาถึงมวลมนุษยชาติทุกคนแล้ว

            ใครที่เชื่อข่าวดี ที่เปิดใจต้อนรับสิทธินี้ ก็จะได้รับการ ย้ายตระกูลที่อยู่อาศัยในโลกวิญญาณ คือได้บังเกิดใหม่  ย้ายจากความพินาศมาสู่ชีวิตนิรันดร์  ย้ายจากความมืดมาอยู่ความสว่าง  ย้ายจากการเป็นคนบาปมาเป็นคนชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า  ย้ายจากคำสาปแช่งมาสู่พระพรนานัปการในสวรรคสถานในพระเยซูคริสต์

            ก็คือย้ายจากการอยู่ในเผ่าพันธุ์เดิม ต้นตระกูลอาดัมมาอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหม่ ต้นตระกูลพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            เงื่อนไขเดียวที่ต้องทำ คือเชื่อในข่าวดีและเปิดใจต้อนรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตนี่แหละ คือการใช้สิทธิ์ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้ว เพื่อมนุษย์ทุกคนบนไม้กางเขน

            พระเจ้าอวยพรครับ