วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1505

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  มกราคม  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 12

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 4:6 ปีที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 5 ที่บอกว่า

        กาลาเทีย 4:5 “เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์”

            การไถ่มนุษยชาติให้เป็นบุตรของพระองค์ ทำให้เราได้รับอิสรภาพ ได้รับสิทธิการเป็นบุตรอย่างสมบูรณ์ การไถ่นี้ มันเกิดขึ้นโดยกำลังของเราไม่ได้ แต่โดยพระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว และเราเข้ามารับเอา เรามาต่อในข้อที่ 6 …

        กาลาเทีย 4:6-7 “6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร   พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา พระวิญญาณผู้ทรงร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ” 7 ฉะนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และเพราะท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้ท่านเป็นทายาทด้วย”

            อันนี้เป็นพระพรเลย  เป็นความจริงในโลกวิญญาณ ทันทีที่พวกเราทั้งหลายได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้รับสิทธิที่พระเจ้าบอกกับเรา คือได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบมากๆ ตามที่พระเจ้าได้กระทำไว้เรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ได้สำแดงให้เรารับรู้ว่าเราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ เราจึงกล้าเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ก่อนที่เราจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ คงไม่มีใครกล้าเรียกพระบิดาว่าพ่อ มีไหม? กล้าไหม? คงไม่กล้า เราไม่กล้าอธิษฐานกับพระเจ้า ไม่กล้าสนิทสนมกับพระองค์ เพราะว่าอยู่กันคนละทิศ คนละทางกัน วิญญาณของเรา กับวิญญาณของพระเจ้าอยู่กันคนละพวก

            ฉะนั้น เมื่อวิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน ผ่านทางการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา แล้วพระวิญญาณก็ทำงานร่วมกับวิญญาณของเรา ให้เราสามารถรับรู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ไม่ได้มโน  บางคนคิดว่าเรามโนไปหรือเปล่า แค่อธิษฐานแค่นี้ เราก็เป็นลูกของพระเจ้าหรือ? แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกอย่างนั้นจริงๆ ว่าในโลกวิญญาณได้บังเกิด แล้วก็เกิดมาเป็นผลที่เราสามารถสัมผัสจับต้องได้ จากที่ข้างในวิญญาณเรารับรู้ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบอกกับเราได้ ด้วยเหตุผลของบนโลกใบนี้ที่จะบอกเรา 1, 2, 3, 4 ไม่ได้ แต่ข้างในวิญญาณ เรารู้เลยว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด องค์นี้ เป็นพระเจ้าของเรา เป็นพ่อของเรา  แล้วเกิดความผูกพัน สนิทสนม  เป็นหนึ่งเดียวกัน มันเกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ซึ่งการเกิดขึ้นตรงนี้ ไม่ได้เป็นการกระทำของเราเลย แต่เป็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผูกพันเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ทำให้เรามีความรู้สึกข้างในวิญญาณว่าเรากับพระเจ้าเป็นพ่อเป็นลูกกัน

            พอความรู้สึกตรงนี้จากข้างในวิญญาณปุ๊บ เราเลยกล้าที่จะอธิษฐานกับพระเจ้า เรียกพระเจ้า พระบิดา หรือเรียกพ่อ เรียกปะป๊า เรียกแด๊ดดี้ เรียกอะไรก็ได้  ที่มันเป็นความรู้สึกของความผูกพันในวิญญาณของเรา

            เมื่อเราเป็นบุตรแล้ว ในข้อที่ 7 บอกว่าเราจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป  อาจารย์เปาโลกำลังยืนยันกับชาวกาลาเทียให้รับรู้ความจริงว่าตอนนี้ท่านทั้งหลายเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ ท่านไม่ได้เป็นทาสอีกแล้วนะ ไม่ได้เป็นทาสของกฎบัญญัติต่างๆ ที่พยายามจับคนกาลาเทีย หรือแม้แต่ปัจจุบัน กฎต่างๆ พยายามจับพวกเรา ซึ่งเป็นผู้เชื่อ ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไปอยู่ภายใต้กฎเหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า  เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้ว

            เมื่อพระเจ้าให้เราเป็นลูกปุ๊บ เราก็ได้เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือพระสัญญาที่พระเจ้าเขียนไว้ในถ้อยคำของพระองค์ และยืนยันอย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ว่าเราไม่เพียงแต่เป็นลูกเท่านั้น ลูกเฉยๆ ยังแบบปกติมาก แต่เป็นทายาท

            คำว่า “ทายาท” มีความหมายมากๆ สมมติว่าครอบครัวนี้มีลูกสัก 10 คน แต่จะมีคนเดียวที่เป็นทายาทของครอบครัวนี้ คำว่าทายาท หมายความว่าเขาจะได้รับมรดกมากกว่าคนอื่น อาจจะได้รับทั้งหมด แต่ส่วนคนอื่นๆ คุณพ่อคุณแม่จะแบ่งสรรปันส่วนให้กับลูกคนอื่นๆ อีก 9 คน อาจจะคนละนิดคนละหน่อย แบ่งไป …

            “แต่คนนี้ฉันเลือกไว้แล้วว่าจะเป็นทายาทของตระกูลนี้ ซึ่งเขาสามารถรับมรดกทั้งหมดของฉัน”

            นี่คือความสำคัญของการเป็นทายาท ไม่อย่างนั้นจะมีศึกการชิงมรดกหรือ? จ้องจะฆ่าทายาทให้ตายอย่างเดียว ซึ่งนี่เป็นความจริงในโลกวิญญาณที่พระเจ้าบอกกับพวกเราผู้เชื่อว่าเราไม่ใช่เป็นบุตรเฉยๆ แต่เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ หมายความว่าพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น  พระเยซูมีอะไร? เรามีอย่างนั้น พระเยซูคริสต์ได้รับอะไรจากพระเจ้าพระบิดา เราได้รับด้วยอย่างนั้น

            นี่คือความหมายของคำว่า “ทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์” นี่คือสิทธิพิเศษ สำหรับพวกเราผู้เชื่อ เราขอบคุณพระเจ้า ซึ่งของประทานนี้ เป็นของประทานแห่งความรอดที่พระเจ้าให้กับมนุษย์เปล่าๆ ใครก็ได้ ตาสีตาสา เรียนหนังสือ อยู่ป.1 หรือไม่มีเงินเรียน หรือจบดร. ถ้าเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คน 2 คนนี้จะมีสถานะเดียวกัน  คนที่จบแค่ ป.1 กับคนที่จบ ดร. มีสถานะเดียวกัน คือเป็นลูกของพระเจ้า ร่วมกันในพระเยซูคริสต์ อย่างที่พระคัมภีร์บอกไม่มีหญิงไม่มีชาย ไม่มีกรีก ไม่มีชนชาติใดๆ ทั้งนั้น เพราะเราทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์

            สถานะเราทุกคน จะเป็นสถานะเดียวกัน เป็นพี่น้องในพระคริสต์ ดังนั้น คนที่เข้ามาหาพระเจ้าจะไม่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แม้ว่าในตัวตนแท้ๆ ที่เขาเป็นอยู่ เขาอาจจะเป็นลูกน้อง เป็นลูกจ้าง เคยไปทำงานที่ไม่มีเกียรติ แต่เขามีเกียรติในสายพระเนตรของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าถือว่าเราเป็นบุตรที่รักของพระองค์ และเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์

        กาลาเทีย 4:8-9 “8 เมื่อก่อนท่านยังไม่รู้จักพระเจ้า ท่านเป็นทาสของผู้ซึ่งโดยสภาพแล้ว  ไม่ใช่เทพเจ้าเลย 9 แต่เดี๋ยวนี้ ท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกคือพระเจ้าทรงรู้จักท่านแล้ว ท่านยังจะหวนกลับไปหาหลักการเก่าๆ ซึ่งอ่อนแอและน่าสังเวชหรือ? ท่านอยากตกเป็นทาสด้วยสิ่งทั้งปวงนี้อีกหรือ?”

            เหตุผลที่อาจารย์เปาโลพูดอย่างนั้น เพราะในคริสตจักรกาลาเทีย ตอนที่อาจารย์เปาโลมาประกาศข่าวดีของพระเจ้า ชาวกาลาเทียเหล่านี้เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา และเขาได้รับรู้ความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้าว่าเขาได้เป็นอิสรภาพจากกฎของความบาปและความตาย  เขาไม่ได้อยู่ภายใต้กฎอีกต่อไป แล้วเขาก็ชื่นชมยินดีมาก หลังจากนั้น อาจารย์เปาโลก็เดินทางไปประกาศที่อื่น แล้วก็มีผู้คนที่มาสอนเรื่องความรอด ซึ่งแตกต่างจากที่อาจารย์เปาโลสอน เป็นความรอดที่ต้องบวกการประพฤติด้วย ซึ่งพระเจ้าบอกว่ามันไม่มี ไม่ต้องบวก เราทำไม่ได้หรอก พระเยซูทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ 100% เรียบร้อยไปแล้ว  เราไม่จำเป็นต้องทำอีกแล้ว เรารับเอาอย่างเดียว แต่มีคนมาสอนชาวกาลาเทียว่า …

            “เธอเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวไม่พอหรอก รอดไม่ 100% เธอจำเป็นจะต้องทำอย่างนี้ เธอจำเป็นจะต้องทำโน่นนี่นั่นเยอะแยะมากมาย”

            มันเป็นกฎมายาวมาก แล้วชาวกาลาเทีย คือโดยความเป็นมนุษย์ แล้วก็พอฟังเยอะๆ ตกใจ …

            “ตกลงฉันรอดไหมเนี้ย ฉันต้องทำโน่นต้องทำนี่ไหม”

            แล้วก็หลงเชื่อ แล้วก็ไปทำตาม ถ้าเมื่อไรที่เราพยายามประพฤติ เพื่อได้รับความรอด เราก็ตกจากระดับของพระเจ้า ดังนั้น การประพฤติของผู้เชื่อ ไม่ได้ประพฤติ เพราะจะทำให้เราได้รับความรอด พี่น้องต้องฟังให้ชัด เรารอดแล้ว เราถึงประพฤติดี การประพฤติดี คือการประพฤติตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา คือเป็นคนดี  เป็นความดี เป็นความรัก พระเจ้าใส่มาเรียบร้อยแล้ว แล้วเราก็ฝึกฝนที่จะทำมันออกไป คือปฏิบัติออกไป  นี่คือหลักการของผู้เชื่อ  แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทำพวกนี้ เพื่อทำให้เราได้รับความรอด เรารอดแล้ว

            ยกตัวอย่าง นาย ข. เป็นลูกของนาย ก. คลอดออกมาแล้ว เป็นลูกแล้ว ต่อแต่นี้ไป นาย ข. ไม่ว่าจะทำอะไร เพราะเขารักนาย ก. ที่เป็นพ่อ เขาทำสิ่งที่ดี เพื่อให้คุณพ่อมีความสุข  แต่ไม่ได้หมายความว่านาย ข. พยายามทำดี เพื่อให้ตัวเองได้เป็นลูกของพ่อ ต่างกันนะ  พยายามทำความดี เพื่อให้ตัวเองมาเป็นลูกของพ่อ แล้วพ่อก็มอง

            “เธอเป็นลูกฉันแล้ว เธอไม่ต้องทำดี แม้แต่ไม่ทำอะไรเลย เธอก็ยังเป็นลูกฉันอยู่ เหมือนเดิม”

            อันนี้ คือความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งคริสเตียนจะโดนหลอกตลอดเวลาว่าเราต้อง ต้องๆๆๆ และต้อง ถ้าไม่ต้อง แล้วพระเจ้าไม่รัก  ไม่จริง พระเจ้ารักเราที่สุดแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระเจ้าเป็นพ่อของเราแล้ว แม้เราจะไม่ประพฤติตามตัวตนแท้ๆ ของเรา พระเจ้าก็ยังคงรักเราอยู่ แต่พระเจ้าจะทำการงานในใจของเรา พระเจ้าจะโน้มนำเรา จะคอยบอกเรา ให้เราพร้อมและยอมที่จะทำตาม เรียกว่าตัวตนใหม่ของเรา ให้มันส่งผลออกไป นี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะทำ

            ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกเราว่าถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พระเจ้าจะไม่รักเรา  ไม่จริง แต่พระเจ้าก็จะทุกข์ใจนิดหนึ่ง ตรงที่ว่าถ้าเราไม่ทำตาม สิ่งที่เป็นตัวตนแท้ๆ เราก็จะทำตามสิ่งตรงข้าม มันไม่มีตรงกลาง ไม่ดำก็ขาว ไม่ซ้ายก็ขวา ไม่มีกลางๆ ถ้าเราไม่ทำตามพระเจ้า เราก็ไปหลงทำตามกฎของโลกใบนี้ คืออยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ถ้าเราไม่รัก ก็เกลียด มันอยู่ตรงกันข้าม ฉะนั้น ถ้าเราไม่ทำตาม ข้างในวิญญาณที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นอย่างนี้แล้ว  เราไม่ทำตามปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือเราจะเก็บเกี่ยวผล ผลของสิ่งที่เรากระทำออกไป ซึ่งมันไม่ได้เป็นน้ำพระทัยที่พระเจ้าอยากให้ลูกของพระองค์ต้องเก็บเกี่ยวผลเหล่านี้  แต่กฎก็คือกฎ พระเจ้าตั้งกฎมา แล้วพระองค์เป็นผู้รักษากฎอีกต่างหาก

            กฎในโลกวิญญาณกับกฎในโลกวัตถุ มันก็มี 2 กฎ กฎในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตทำให้ท่านหลุดพ้นจากกฎของความบาปและความตาย นี่คือกฎในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกแล้ว มันไม่มีผลอะไร ไม่ว่าจะประพฤติแบบไหน? ไม่มีผลกับวิญญาณของเรา วิญญาณของเรารอดแล้ว เราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว คือสถานะนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ใครก็ไม่สามารถกระชากเราออกจากเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าลงมาอยู่ข้างล่างได้ ในโลกวิญญาณ เราอยู่ตรงนั้นแล้วกับพระเยซูคริสต์

            แต่กฎของโลกใบนี้ ก็ยังมีอยู่ พระเจ้าตั้งไว้เหมือนกัน ก็คือใครหว่านอะไร ก็ต้องเก็บเกี่ยวอย่างนั้น เราเป็นผู้เชื่อ ถ้าเราหว่านสิ่งไม่ดี  เราก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งไม่ดี เราจะไปร้องโวยวายกับพระเจ้าไม่ได้

            “พระองค์เจ้าข้า ทำไมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น” อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้ เพราะว่ากฎก็คือกฎ พระเจ้าตั้งไว้แล้ว ถ้าเราขว้างก้อนหินออกไป มันโดนกำแพง มันก็เด้งกลับมา ขว้างยิ่งแรงเท่าไร? มันก็เด้งกลับมาแรงเท่านั้น  ก็คือเราจะต้องเก็บเกี่ยวผล

            เราขอบคุณพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ข้างในเรา พระองค์จะคอยช่วยเหลือเรา คอยแนะนำเรา คอยเตือนเรา สะกิดเรา เป็นไหม บางครั้งเราคิดจะทำอะไรที่ไม่ดี ความคิดมา พระวิญญาณที่อยู่ข้างใน จะเตือนเรา ไม่ดี ไม่เอา มันจะมีการตัดสินใจ การตัดสินใจอยู่ที่เรา ซึ่งพระเจ้าไม่ตัดสินใจแทนเรา  และพระเจ้าไม่บังคับเราด้วย คือเราจำเป็นจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจในแต่ละวัน แต่ละนาที แต่ละเหตุการณ์ ที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตของเราว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับเรา เราจะตัดสินใจแบบไหน? เราจะตัดสินใจแบบธรรมชาติใหม่ของเรา ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก หรือเราจะตัดสินใจตามระบบของโลกนี้ส่งเข้ามาว่าแค้นนี้ต้องชำระ ดูหนังจีนเยอะ แค้นนี้ต้องชำระ อย่างนี้ เราตัดสินใจได้ แล้วพระเจ้าก็ไม่ได้ห้ามการตัดสินใจของเรา  แต่พระเจ้าจะบอกผลของการตัดสินใจของเรา ในแต่ละครั้ง  ตัดสินใจตามพระเจ้า เราก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งดี ตัดสินใจตามโลกนี้ เราก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งไม่ดี ซึ่งพระเจ้าไม่ต้องการ ไม่อยาก แต่พระเจ้าก็บีบคอเราไม่ได้  พระเจ้าน่ารักมาก คือไม่บีบคอลูกของพระองค์

            “ไม่ได้ๆ” ลากกลับมา

            ไม่มี พระเจ้าก็ปล่อยให้เราเรียนรู้ ให้เรามีประสบการณ์ในการตัดสินใจต่างๆ เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ เมื่อเราเลี้ยงลูก เราไม่สามารถครอบเขาเหมือนเอาสำลีห่อไว้ ทำอะไรไม่ได้ อยู่ที่บ้าน เราก็ต้องป้องกันอย่างแรง ลูกเราวิ่งหัวทิ่มหัวตำ ไม่เจ็บ เป็นไปไม่ได้  ถ้าลูกเราวิ่งหัวทิ่มหัวตำ ก็ต้องเจ็บ แต่ว่าการเจ็บของเขา เขาจะเรียนรู้ เหมือนเด็กๆ ส่วนใหญ่เขาเห็นรูไม่ได้ แปลกดี แปลกแต่เป็นเรื่องจริงนะ เห็นอะไรมีรูไม่ได้ นิ้วเล็กๆ ขอแหย่นิดหนึ่ง  แล้วสมัยก่อน เขาไม่เอาปลั๊กไฟอยู่ข้างบน  ปัจจุบันก็เหมือนกัน เขาไม่เอาปลั๊กไฟอยู่ข้างบน เขาจะเอาอยู่ข้างล่าง มันก็ล่อตาล่อใจเด็ก เด็กคลานไปคลานมาก็เอานิ้วไปจิ้ม ก็โดนไฟช๊อต พ่อแม่ก็จะคอยบอก …

            “ลูกอย่าทำนะ อย่าๆ”

            บอกว่าอย่าและบอกเหตุผล แต่เผลอทีไร ลูกก็ไปทำ แต่ถ้าเขาทำ ครั้งแรกช๊อตไม่เยอะ เขาอาจจะไม่จำ พอคราวหน้าเขาลืม คลานไป เขาก็ไปลองจิ้มดูใหม่ แต่ถ้าช๊อตเยอะ คือเจ็บ เขาก็จะจำ เขาก็จะมอง อันนี้อันตราย คราวหน้าก็ถอยห่างหน่อย เราไม่เข้าใกล้แล้ว มันอันตราย นี่คือลักษณะของเด็ก

            พวกเราเหมือนกัน เราเป็นผู้เชื่อ เราก็เป็นเด็กเล็กๆ ของพระองค์ พระองค์ก็จะอนุญาตให้เรามีประสบการณ์ ในการตัดสินใจทุกอย่าง  แต่พระเจ้าจะบอกเลยว่า …

            “ถ้าตัดสินใจแบบนี้ ลูกจะได้แบบนี้ ถ้าทำอย่างนี้ ลูกจะได้อย่างนี้”

            พระเจ้าบอกไว้เรียบร้อยทุกอย่าง แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าที่เรามีตัวช่วย ตัวช่วยของเราสุดยอดที่สุด  ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา ที่จะคอยช่วยเรา โน้มนำเรา ให้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

            ทุกๆ การตัดสินใจของเรา  พระเจ้าจะคอยอยู่ข้างๆ แต่พระเจ้าก็จะไม่บังคับเรา คือเราตัดสินใจแล้ว เราก็ต้องรับผิดชอบการตัดสินใจของเราทุกอย่าง แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะคอยบอกเรา  อยู่ที่ว่าบอกแล้วเราจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน  หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่เป็นไรหรอกพี่น้อง ไม่ว่าเราตัดสินใจอย่างไร? สมมติ พลาดไป เราก็เริ่มต้นใหม่  เราก็ลุกขึ้นมา โอเค อันนี้ พลาดไป ก็เสียเวลานิดหนึ่ง ไม่เป็นไร เราก็มาเริ่มต้นใหม่ อะไรประมาณนี้  เพราะว่าผู้เชื่อทุกคนมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่เสมอ พระเจ้าให้เรามีโอกาสนั้น

        กาลาเทีย 4:10 “ท่านกำลังถือวัน เดือน ฤดูและปี”

            คนกาลาเทียเริ่ม คือเวลาเราเชื่อพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุด พระเจ้าบอกว่าทุกวันดี ดีหมด เราดูจากในหนังสือปฐมกาล  ตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ วันแรกสร้างอะไร? พอสร้างจบ พระเจ้าบอกว่าดี วันที่สอง, สาม, สี่, ห้า, หก พระเจ้าก็ยังคงบอกคำเดียวกัน คือดี  แล้วพอวันที่เจ็ด พระเจ้าพัก หมายความว่าทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างมา มันดีหมด แต่มนุษย์ไปทำให้มันเสียหาย คือไม่ดี พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ทุกวันเป็นวันดี ถ้าวันนั้นเราสบาย นึกออกไหม? เราสบาย ไม่เดือดร้อนใคร เราว่าง เราสามารถไปได้ สามารถทำสิ่งนั้นได้  ถือว่าเป็นวันดีหมด

            ฉะนั้น ผู้เชื่อไม่จำเป็นจะต้องไปยึดวันเดือนปีว่าเราจะทำอย่างนั้น เราควรจะเลือกแบบไหน? หรือเราต้องไปให้หมอดูไหมว่าวันไหนดี? ผู้เชื่อต้องไปให้หมอดูว่าวันไหนดีไหม? ไม่ต้อง เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเหล่านี้แล้ว เมื่อพระเจ้าบอกว่าดี แล้วข้างในวิญญาณเรายืนยันว่าดี เราตัดสินใจเอาวันนี้แหละดี หรือแม้แต่เราจะฉลองวันเกิด มันไม่ตรงกับวันที่เราว่าง

            สมมติเราเกิดวันที่ 12 แล้ววันนี้เราไม่ว่าง เพื่อนก็ไม่ว่าง แล้วเราไม่จำเป็นต้องเป๊ะๆ มาจัดวันที่ 12

            “เพื่อน วันไหนสะดวก พรุ่งนี้หรือ? วันที่ 13 โอเค เรานัดกัน ไปฉลองวันเกิดกัน วันที่ 13 เราถือว่าเป็นวันดี”

            นี่คือลักษณะ ฉะนั้น อย่ายึดวันเดือนปีว่าต้องอย่างโน้นต้องอย่างนี้ ถึงจะเป็นวันดี  เพราะพระเจ้าบอกกับเราว่าเมื่อเราอยู่ในพระเจ้า ทุกวันดีหมด

        กาลาเทีย 4:11 “ข้าพเจ้าหวาดหวั่นแทนท่าน เกรงว่าที่ข้าพเจ้าบากบั่นทุ่มเทให้ท่านนั้น จะเปล่าประโยชน์”

            อาจารย์เปาโลหวาดหวั่นแทนชาวกาลาเทีย เพราะว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลหว่านลงไปที่คริสตจักรชาวกาลาเทีย คือความรอดที่ไม่ได้พึ่งการประพฤติ แต่เป็นความรอดที่ผ่านทางความเชื่อในพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับ เราได้รับความรอด  และเป็นความรอดที่ครบถ้วนสมบูรณ์  ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ เลย ฉะนั้น เมื่อชาวกาลาเทียเริ่มต้นไปเชื่อฟังคำสอนอะไรก็ไม่รู้ ที่เขามาสอนว่า …

            “เชื่อแค่นี้ไม่พอ  เธอต้องทำเพิ่ม เธอต้องอย่างโน้นอย่างนี้ ต้องๆๆๆๆๆ”

            ขบวนการต้องทั้งหลายแหล่ ซึ่งพระเจ้า พระเยซูคริสต์ไม่เคยใช้คำว่าต้องกับพวกเรา  คำว่าต้องคือบังคับ  ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้  ถ้าไม่ทำ ต้องถูกลงโทษ  นี่คำว่า “ต้อง” พระเจ้าไม่เคยใช้คำว่าต้องกับลูกของพระองค์  แต่พระเจ้าจะใช้คำว่า “ควร” มันนุ่ม

            “ลูกเอ๋ย ลูกควรทำแบบนี้นะ เรื่องนี้ตัดสินใจ ลูกควรจะทำอย่างนี้นะ ลูกควรจะสำแดงความรักนะ เพราะว่าลูกเป็นความรักแล้ว มันอยู่ข้างใน มันไม่ยากเลย  ลูกแค่สำแดงออกไปเท่านั้นเอง”

            คำว่า “ควรจะ” หมายความว่าถ้าเราไม่ทำ พระเจ้าก็ไม่ว่าอะไร?  …

            “อ้าว! ไม่ทำหรือลูก ควรจะ แต่ลูกไม่ทำใช่ไหม? ลูกไม่ทำ ลูกต้องรู้นะ เดี๋ยวลูกจะเก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้เท่านั้นเอง”

            แล้วเราก็เริ่มเรียนรู้จากการตัดสินใจของเรา ในทุกๆ เรื่อง เรียนรู้ว่าตัดสินอย่างนี้ผิด พระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนแล้ว แต่เราไม่เชื่อฟัง เราก็เก็บเกี่ยวผล แค่นั้นเอง เห็นไหมว่าการเชื่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แล้วพระเยซูทำให้ง่ายมากๆ แต่มนุษย์จะพยายามทำให้มันยุ่งยากเข้าไว้ เหมือนมันมีอะไรให้ทำ แต่ว่าพระเยซูบอก …

            “ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะว่าฉันทำให้เสร็จหมดแล้ว เธอแค่มารับอย่างเดียว ก็โอเค จบแล้ว”

            ดังนั้น อาจารย์เปาโลก็กลัวว่าชาวกาลาเทียทั้งหลาย จะเริ่มต้นไม่ได้เชื่อในข่าวดี ที่อาจารย์เปาโลประกาศไว้ตั้งแต่เริ่มต้นไปใช้กำลังของตัวเอง เพื่อที่จะทำโน่นทำนี่  ทำให้ได้รับความรอด อันนี้น่ากลัว

        กาลาเทีย 4:12-15 “12 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ขอให้เป็นเหมือนข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้เป็นเหมือนท่าน ท่านไม่ได้ทำผิดอะไรต่อข้าพเจ้า 13 ท่านก็ทราบอยู่ตอนแรก ที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านนั้น ก็เพราะความเจ็บป่วย 14 แม้ว่าความเจ็บป่วยของข้าพเจ้า   เป็นการทดลองสำหรับท่าน ท่านก็ไม่ได้ดูถูกหรือสบประมาทข้าพเจ้าเลย กลับต้อนรับราวกับข้าพเจ้าเป็นทูตของพระเจ้า ราวกับข้าพเจ้าเป็นองค์พระเยซูคริสต์เอง 15 ความชื่นชมยินดีของท่านหายไปไหนหมดแล้ว? ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าถ้าท่านทำได้ ท่านก็คงจะควักตาของท่านให้ข้าพเจ้าแล้ว”

            อาจารย์เปาโลท้าวความให้ชาวกาลาเทียฟังว่าตอนที่ท่านมาประกาศข่าวดี ให้กับชาวกาลาเทีย ท่านไม่ได้มาแบบคนที่แข็งแรง มาแบบสง่างาม มาแบบห้าวหาญ  มาแบบด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าในนามพระเยซู หยุดๆ ไม่ใช่ ไม่มี แต่อาจารย์เปาโลมาในลักษณะที่ป่วยออดๆ แอดๆ ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าถ้าเป็นไปได้ ท่านอาจจะควักตาให้กับข้าพเจ้า อาจารย์เปาโลอาจจะป่วยด้วยเรื่องสายตา อาจารย์เปาโลเคยตาบอด จำได้ใช่ไหม? ตอนเจอพระเยซูคริสต์ ตกม้า ท่านตาบอดไป 3 วัน ฉะนั้น ความป่วยไข้ตรงนี้อาจจะเกี่ยวกับเรื่องของตาด้วย แต่ว่าชาวกาลาเทียไม่ได้สนใจสิ่งภายนอกของอาจารย์เปาโลเลย แต่เขาสนใจข่าวดีที่อาจารย์เปาโลประกาศ  ซึ่งตัวอาจารย์เปาโลเองไม่ได้มีความสำคัญใดๆ เจ็บป่วย แต่ชาวกาลาเทียยังคงยืนยันความเชื่อของเขาด้วยถ้อยคำของพระเจ้าที่อาจารย์เปาโลประกาศเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ  แล้วคนเหล่านี้ก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่า ณ เวลานั้น วันแรกที่เราเจอกัน ได้พูดคุยเรื่องข่าวดีของพระเจ้า ท่านทำอย่างนี้จริงๆ แทบจะคิดว่าฉันเป็นพระเยซูคริสต์ แต่ไม่ใช่หรอก ท่านรับเอาข่าวดีของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ  ที่ทำให้ท่านได้กลับใจใหม่

            พอถึงข้อที่ 15 บอกว่า … “ความชื่นชมยินดีของท่านหายไปไหนหมดแล้ว” ก็คือจากข้อมูลที่ได้ยินได้ฟัง ข้อมูลข่าวประเสริฐที่มีการเจือปน บวกๆๆๆ  แล้วก็บวกว่าไม่ใช่ความเชื่ออย่างเดียวที่ได้รับความรอด ต้องกระทำด้วย ฉะนั้น ความชื่นชมยินดีมันหายไปหมดเลย เริ่มไม่เชื่ออาจารย์เปาโลแล้ว เริ่มพยายามทำด้วยกำลังของตัวเองแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกถ้าเราพยายามประพฤติด้วยกำลังของตัวเราเอง เพื่อที่จะได้รับความรอด เราก็หล่นจากพระคุณของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว

            เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับพวกเราทุกๆ คน ในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า เวลาเราเดินกับพระเจ้า ตอนเราเชื่อใหม่ๆ เราเชื่อจริงๆ …

            “พระเยซูคริสต์ทำให้ฉันรอด ฉันรอดโดยพระคุณด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ทำดีด้วยตัวของฉันเอง”

            พอเชื่อพระเจ้าไปนานๆ เริ่มรู้สึก … “ฉันต้องทำอย่างนี้ ฉันต้องทำอย่างนั้น ฉันต้องๆๆๆๆ”

            มาแล้ว มาเป็นขบวนการ ซึ่งมันเป็นการหลอกล่อ หลอกลวงของโลกใบนี้ที่พยายามทำให้เราพึ่งพากำลังของตัวเอง แทนที่เราจะพึ่งพาพระเจ้า ดังนั้น คำว่า “ต้อง” ไม่มี การประพฤติของคริสเตียน คือเมื่อเราเชื่อแล้ว เราอยากจะทำให้พระเจ้ามีความสุข เราอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

            นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณที่มันจะเกิดขึ้นกับพวกเราทุกๆ คน อาจารย์เปาโลก็เป็นห่วงเรื่องนี้ ในขณะเดียวกัน พวกเราทุกคน เหมือนกัน ในความเป็นห่วงของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้ท่านเชื่อ วางใจในพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น  แล้วรับเอาสิ่งที่พระเจ้าทำสำเร็จให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วเท่านั้นเอง นี่คือข่าวดีที่มาถึงพวกเราทุกๆ คนในเช้าวันนี้ พระเจ้าอวยพรค่ะ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 10

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ … เป็นประชากรของโลกนี้

            หลังเชื่อ … เป็นประชากรในสวรรค์ของพระเจ้าทันที

            1 เปโตร 2:9-10 … “9 แต่พวกท่าน (ผู้เชื่อพระเยซู)  เป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงได้เลือกสรร (ได้ย้ายแล้ว)  เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์  เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า  เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณ  (ความยิ่งใหญ่แห่งพระสิริ บารมี และพระคุณ) ของพระองค์  ผู้ใด้ทรงเรียกพวกท่าน (ย้ายพวกท่าน)  ให้ออกมาจากความมืด  เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ 10 เมื่อก่อน (ก่อนเชื่อ) ท่านทั้งหลายไม่มีชาติ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลาย หาได้รับพระกรุณาไม่ แต่บัดนี้ ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว”

            • แต่ก่อนนี้ ก่อนเชื่อท่านไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า แต่เป็นคนของโลก ท่านอยู่ในอาดัม

ตอนนี้ หลังเชื่อ ท่านได้ถูกย้ายมาอยู่ในพระเยซู

            แต่ก่อนนี้  ก่อนเชื่อท่านอยู่ในความพินาศ ในอาดัม ในความบาป เดี๋ยวนี้หลังเชื่อท่านได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์

            • แต่ก่อนนี้ ก่อนเชื่อ ตอนที่ยังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์  ตอนที่ท่านยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า  ท่านอยู่ในความพินาศ  เพราะไม่ยอมรับพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว  แต่ท่านไม่เอาเอง  แต่ตอนนี้ ท่านเชื่อแล้ว  ก็เท่ากับท่านยินยอมรับเอา  พระเมตตาและพระคุณของพระเจ้า  เข้ามาแล้ว

                        เพราะฉะนั้น

            ก่อนเชื่อ … เป็นประชากรของโลกนี้

            หลังเชื่อ … เป็นประชากรในสวรรค์ของพระเจ้าทันที

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1504

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  มกราคม  2025

เรื่อง “เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา … เราเผชิญพรุ่งนี้ได้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ ชื่อเรื่องพิเศษหน่อย เป็นวันเริ่มต้นปีนี้ ก็ทำให้มันพิเศษ เป็นจุดเริ่มต้นดี ใช้ชื่อเรื่องว่า “เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา … เราเผชิญพรุ่งนี้ได้” โลกเราทุกวันนี้ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทางด้านวัตถุแบบก้าวกระโดด รวดเร็วมาก เผลอแป๊บเดียว ตามเขาไม่ทันเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร แต่ในขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นนี้ ก็กำลังย้อนกลับมาสร้างปัญหาอันใหญ่โตให้กับมวลมนุษย์บนโลกใบนี้ เราจะเห็นชัดเจน ที่เราคุยกันมาตลอดว่ามีอยู่ 2 โลก ในโลกวิญญาณเอย ในโลกวัตถุเอย แต่ยุคปัจจุบันนี้ ต้องเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง โลก เขาเรียกว่าไซเบอร์ หรือโลกออนไลน์ คือโลกที่มองไม่เห็น  แต่มีอยู่จริง และเรามีชีวิตอยู่ในนั้น

            ออนไลน์ คือพวกคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย  หรือเรียกว่าหุ่นยนต์ก็ได้  โลกออนไลน์นี่แหละที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมโลกมนุษย์ทุกวันนี้ ทุกแห่งในปัจจุบัน มันไปถึงหมดเลย ครอบคลุมโลกใบนี้หมด  แล้วน่ากลัวที่สุด คือกระทบถึงเด็กรุ่นใหม่ เด็กเยาวชนที่เริ่มเกิดใหม่ แล้วอยู่กับ 3 โลกนี้ อย่างพวกเราอายุมากแล้ว ก็ตามไม่ทัน ก็มีชีวิตอยู่มานานแล้ว ก็ได้สัมผัสถึงโลกไซเบอร์ โลกออนไลน์นี้บ้าง แต่เด็กๆ เขาต้องอยู่กับโลกไซเบอร์นี้ ตั้งแต่เล็กเลย แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น

            จากรายงานสถิติออนไลน์ทั่วโลก พบว่าเด็กมากกว่า 300 ล้านคนได้ตกเป็นเหยื่อของการแสวงหาผลประโยชน์ทางออนไลน์ทุกปี ซึ่งรวมถึงการเผยแพร่ภาพหรือวีดีโอ โดยไม่ได้รับความยินยอม การถูกล่อลวงทางออนไลน์  และการกระทำอื่นๆ เช่น การใช้เทคโนโลยี AI ในการหลอกลวง  AI ก็คือปัญญาประดิษฐ์ พูดง่ายๆ คือหุ่นยนต์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เอาไปใช้ในสิ่งที่ดี มันก็ดี มีประโยชน์ แต่เอาไปใช้เป็นโทษ มันก็เพิ่มโทษ เพิ่มความร้ายกาจของมนุษย์มากยิ่งขึ้น  ให้มนุษย์มีการทำร้าย ทำลาย ทำชั่วเยอะขึ้นนั่นเอง

            นอกจากงานวิจัยที่ออกมารายงานแล้วว่าการใช้โซเซียลมีเดีย การสื่อสารออนไลน์มากเกินไป การใช้เรื่องราวเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไซเบอร์เหล่านี้มากเกินไป ยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพทางร่างกายและจิตใจของเด็กด้วย เพราะฉะนั้น เด็กตอนนี้เขาจะมีหน่วยงานที่มาคุ้มครอง ดูแลเรื่องนี้ เขาก็แนะนำให้พ่อแม่ระวัง ควบคุมดูแล ให้ตั้งแต่ทารก ตั้งแต่เด็กๆ เริ่มต้นเรียนรู้จักการใช้สื่อออนไลน์ มือถือ ไอแพค ไอโฟน หรือแม้กระทั่งในทีวีตอนนี้ เป็นแบบไซเบอร์ก็มีให้จำกัดเวลา ให้ระมัดระวังในเรื่องนี้ บางราย บางสถาบันเขาถึงขนาดแนะนำว่าเด็กตั้งแต่คลอดจนถึง 3, 4 ขวบ ไม่ให้เสพออนไลน์เหล่านี้เลย  ไม่ให้ดูจอเลย  ให้เลี้ยงดูแบบธรรมชาติเหมือนเดิม แล้วค่อยๆ ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ สอนให้เขาได้เรียนรู้ เมื่อเขาโตขึ้น อาจจะ 6, 7 ขวบ หรืออะไรก็ตาม

            ล่าสุด เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ออสเตรเลียได้ประกาศ เป็นประเทศแรกได้ผ่านร่างกฎหมายควบคุมเข้าถึงโซเซียลของเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี หมายถึงให้เหตุผลว่าโซเซียลมีเดียเป็นอันตรายต่อลูกหลานของเรา และถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องยุติมัน  คือกฎหมายนี้ออกมา ไม่ให้เด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เปิดบัญชีเข้าไปใช้ เข้าเป็นบุคคลหนึ่งในโลกของไซเบอร์  ในโลกของวิญญาณที่เป็นไซเบอร์ ที่บอกว่าเป็นวิญญาณ คือมันมองไม่เห็น มันมีอยู่จริง ก็คือไปเป็นสมาชิก เป็นตัวตนคนหนึ่งในเฟสบุ๊คบ้าง ในยูทูปบ้าง ในออนไลน์อะไรต่างๆ ไม่ให้เลย มันต้องมี ID ต้องเป็นสมาชิก ก็คือเป็นบุคคลคนหนึ่งอยู่ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น ที่เรียกว่าไซเบอร์นี้

            ที่พูดถึงข่าวนี้ขึ้นมา เพื่อย้ำให้เราเห็นถึงถ้อยคำพระเจ้าที่ว่าอยู่บนโลกนี้ เราต้องเผชิญกับการหลอกล่อ หลอกลวงของมาร มาทุกรูปแบบ ในพระคัมภีร์หมายถึงถูกล่อลวง โดยมารซาตาน ผ่านทางมนุษย์บนโลกใบนี้นั่นเอง ไม่ใช่เป็นผีอะไรที่ไหนหรอก คือวิญญาณเหล่านี้ ที่มีหัวหน้าเป็นมาร ทำงานผ่านระบบของโลกใบนี้ ผ่านทางมนุษย์บนโลกใบนี้ ทุกคน ผ่านทางอิทธิพลของมันที่อยู่บนโลกใบนี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือการถูกหลอก ถูกล่อ ถูกลวงด้วยระบบของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่มารเป็นผู้วางระบบไว้ว่าโลกใบนี้มันเป็นอย่างนี้ๆ ต้องแข่งกัน ต้องทำร้ายกัน ต้องเห็นแก่ตัวอะไรต่างๆ เหล่านี้ โดยผ่านทางมนุษย์

            เพราะฉะนั้น การถูกหลอกโดยมาร ก็คือผ่านทางมนุษย์ มนุษย์มาหลอกเราอีกที แล้วก็ใช้ไซเบอร์เหล่านี้ ใช้ออนไลน์เหล่านี้  ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ เป็นเครื่องมือในการมาหลอก ในยุคปัจจุบัน คือเทคโนโลยีของ AI คือ Artificial Intelligence คือปัญญาประดิษฐ์ เหมือนหุ่นยนต์ เอาหุ่นยนต์มาใช้งาน ไปหลอกเขา นึกออกใช่ไหมว่ามันหนักขนาดไหน? แล้วชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้ พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงแค่นี้อย่างเดียว  แต่ยังพูดถึงความทุกข์ลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องผจญกับอะไร? ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทุกคน โรคภัยไข้เจ็บ ก็เยอะแยะมากมายไปหมด อะไรแปลกๆ ก็เข้ามาเยอะแยะไปหมด และไหนจะอุบัติเหตุที่แบบแปลกๆ ก็มี การล่อลวงของระบบของโลกใบนี้ โดยผ่านทางมนุษย์ ที่บอกไปเมื่อสักครู่นี้ ไหนจะเรื่องการทำมาหากิน เรื่องปากท้อง ลำบากขึ้นทุกวัน ภัยธรรมชาติอีก อันตรายที่เกิดจากมนุษย์ทำร้ายกันเอง หรือเกิดสงคราม ขัดแย้งกันเอง และเป็นผลพวงทำให้คนที่ไม่ได้ขัดแย้งก็ทุกข์ไปด้วย เหล่านี้ มันเกิดขึ้น ณ โลกใบนี้ในปัจจุบัน อย่างเห็นได้ชัด

            แล้วเราถามตัวเราเองสิว่าแล้วใครเล่าจะช่วยเราได้  กฎหมายที่ออกมาจะช่วยเราได้แค่ไหน?  บอกว่าประเทศออสเตรเลียประกาศกฎหมายนี้ออกมาแล้ว จะช่วยเด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 16 ปี ได้มากน้อยเพียงใด? ถ้าเป็นลูกหลานของเรา จะช่วยเขาได้อย่างไร? มากน้อยเพียงใด? ในอนาคตอันใกล้นี้ ลูกหลานของเรา ต้องเผชิญกับสิ่งที่เราพูดมาเมื่อสักครู่นี้ ทั้งหมด มากขึ้นเรื่อยๆ เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากกับโลกใบนี้ที่เกิดขึ้นได้อย่างน่ากลัวที่สุดเลย แล้วเรารู้สึกกังวลหรือเป็นห่วงไหม?  เราดูลูกหลานของเรา เป็นห่วงไหม? อายุ 1 ขวบ 2 ขวบ 3 ขวบ เจริญเติบโตมาอยู่ในท่ามกลางที่เรากำลังเห็นอยู่นี้ แล้วมันจะหนักขึ้นทุกวัน หลอกล่อ หลอกลวง ไม่ว่าคนแก่ คนเฒ่า คนหนุ่ม คนสาว ถูกหลอกหมดเลย  เรากังวลไหม? เรามีความรู้สึกไหมว่าลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร?  ใครคือคำตอบของเรา

            หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ก็คือคำตอบที่ถามมาเมื่อสักครู่นี้ว่าใครเล่าจะช่วยเราได้ พระคริสต์ทรงอยู่ในเรา เราเผชิญพรุ่งนี้ได้  ลูกหลานของเราเผชิญพรุ่งนี้ได้ เพราะว่าพระคริสต์ทรงอยู่ในเขาทั้งหลาย

            เพราะพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา นำทางเรา เราจึงเผชิญทุกสิ่งได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง นี่คือความจริงที่จะมาเปิดเผยจากถ้อยคำพระเจ้า ในเช้าวันนี้  เพื่อเป็นเครื่องมือ เป็นกำลัง เป็นสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้กับเราทั้งหลายในยุคนี้ ในวันปีใหม่นี้ เราจะเริ่มต้นจากมัทธิว 28:18-20 ซึ่งได้กล่าวไว้อย่างนี้ …

        มัทธิว 28:18-20 “18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้ แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น ในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก เอเมน”

            เรามาเจาะลึกกันดูว่าหมายถึงอะไร? เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนที่พระเยซูทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้วบนไม้กางเขน คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อชำระบาปและช่วยเหลือเราให้รอดพ้นจากการเป็นคนบาป  และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ พระองค์ก็ปรากฎตัวของพระองค์ในลักษณะของกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากความตาย ปรากฏให้กับสาวก 40 วัน เดินกับสาวก 40 วัน ให้สาวกจับ แตะเนื้อต้องตัว ทานอาหารกับสาวก พูดคุยกับสาวก เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่พระองค์ทรงบอกไว้ให้วางใจในพระองค์  พระองค์เป็นพระเมซีฮาห์ มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปนั้น เป็นจริง พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ พอครบ 40 วัน พระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เข้าไปในโลกวิญญาณ  แล้วก็ให้สาวกออกไปประกาศ  ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้

            ข้อ 18 “พระเยซูทรงเข้ามาใกล้ แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” กำลังจะขึ้นไปบนสวรรค์ ลอยขึ้นไป จากนี้ต่อไป พวกสาวกที่เชื่อในพระองค์ จะไม่เห็นพระองค์แล้วนะ จะต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อแล้วนะ จะต้องใช้วิญญาณเดินแล้วนะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระองค์ทรงพูดนี้ เป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีการปรากฎตัวอีกแล้วนะ ต้องใช้ความเชื่อเอา สิ่งที่พระองค์ทรงพูดจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดเลย  เพราะจะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของเหล่าสาวกทั้งหลาย พระองค์บอกเลยว่าสิทธิอำนาจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโลกที่มองเห็น หรือโลกที่มองไม่เห็น ทั้งหมดเลย ได้ถูกมอบไว้ที่พระองค์แล้ว ใครมอบ แน่นอน ก็ต้องเป็นพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าพระบิดาได้มอบสิทธิที่มองเห็น ทั้งในโลกที่มองไม่เห็น อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าอยู่ที่ไหนพระเยซูคริสต์ ลอยขึ้นไปอยู่ในสวรรคสถาน นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

            การที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวา ก็หมายถึงสิทธิอำนาจทั้งหมดของพระเจ้า พระบิดาที่ครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่บนโลกใบนี้ และโลกที่มองไม่เห็นทั้งหมดนั้น ได้ถูกมอบให้กับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้สำเร็จราชการ พูดง่ายๆ  เป็นผู้ใช้อำนาจนี้ทั้งหมดเลย อยู่ที่พระองค์ผู้เดียว ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย แล้วพระคัมภีร์ยังบันทึกไว้ เราได้เรียนรู้แล้วว่าเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ ที่เป็นสาวก ที่พระองค์กำลังพูดกับสาวกเหล่านี้  สาวกของพระองค์ หรือผู้ที่เชื่อของพระองค์เหล่านี้  ได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานด้วย แม้จะมองไม่เห็น แต่นี่เป็นความจริง พระเยซูกำลังจะพูดอย่างนั้น

            ในข้อ 19 “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์”

            รับบัพติศมา คืออะไร? เราเรียนรู้ไปแล้วว่ารับบัพติศมา หมายถึงจุ่มลงไป ไปเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ จุ่มเข้าไป ใส่เข้าไป ใส่วิญญาณของเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ใน 1 โครินธ์ 6:17 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 6:17 “ผู้เชื่อที่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ (บัพติศมาในพระคริสต์) ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์”

            พูดง่ายๆ ก็คือผู้เชื่อที่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้เชื่อที่ได้รับบัพติศมาในพระคริสต์ ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์

            บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้หมายถึงบัพติศมาในน้ำเพียงอย่างเดียว แต่เล็งไปถึงโลกวิญญาณว่าบัพติศมาในพระคริสต์ คือวิญญาณเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เน้นถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ่ง ระหว่างผู้ที่เชื่อในพระองค์ คริสเตียนและพระเจ้า ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณ เมื่อใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคของพระเจ้า  ก็คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายความว่าเราได้อยู่ในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุดแล้ว  ไม่มีใกล้ชิดได้กว่านี้อีกแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ไม่มีสิ่งใดสามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้า สถานะที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ได้ชั่วนิรันดร์ จะอยู่อย่างนี้ อยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์

            ในข้อที่ 20 “สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้”

            สอนผู้เชื่อให้ถือรักษาสิ่งสารพัด สิ่งสารพัดที่พระองค์ทรงสั่ง คืออะไร? ใครจำได้บ้าง? สอนผู้เชื่อให้วางใจในพระองค์และรักซึ่งกันและกัน ก็คือบัญญัติที่พระองค์ทรงให้ไว้ ที่เราได้เรียนรู้มา ที่พระองค์ทรงบอกว่า

            “นี่คือบัญญัติที่เราให้กับพวกเจ้าทั้งหลายและสาวกของเราทั้งหลายทุกคน ก็คือจงวางใจในเรา และดำเนินชีวิตด้วยความรัก คือรักซึ่งกันและกัน”

            พระเยซูตรัสกับผู้เชื่อ นี่กำลังพูดกับคนที่เชื่อแล้วแต่ละคนเลยว่าให้วางใจในพระองค์และรักซึ่งกันและกัน และที่สำคัญกว่านั้น พระองค์ตรัสไว้ตอนท้ายสุดของข้อนี้ว่า “ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก เอเมน” หมายถึงพูดกับคนที่เชื่อในพระองค์  คือสาวกของพระองค์ คือคริสเตียนแต่ละคน ไม่ใช่พูดถึงรวมนะ แต่กำลังพูดกับท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว พูดว่าอย่างไร? …

            “จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน”

            ซึ่งตัวนี้สามารถแปลได้ในพระคัมภีร์ใหม่ว่า “อยู่ในท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พระเยซูตรัสกับท่านทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน ตั้งแต่วันโน้น  จนถึงวันนี้ ก็ได้ตรัสว่า “จงมองให้เห็นเถิด” เพราะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มองไม่เห็น เพราะฉะนั้น จึงบอกคริสเตียนว่าท่านทั้งหลาย ควรจะมองให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ คือให้รับรู้เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ รับรู้ว่าอย่างไร? จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่ในท่าน อยู่กับท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก

            คำว่า “จนกว่าจะสิ้นโลก” หมายถึงจนกว่าพระองค์จะกลับมาใหม่  เพื่อพิพากษาโลกนี้ จนกว่าวันที่โลกนี้ ถูกกำหนดไว้ ที่ถูกพิพากษาไปแล้ว ให้จบลง ให้สิ้นสุดลง เพื่อพระเจ้าจะได้สร้างโลกใหม่ให้กับพวกเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ครอบครองต่อไป จนกว่าถึงวันนั้น เราอยู่กับท่าน หมายถึงอยู่กับ คริสเตียนผู้เชื่อในยุคไหนก็ตาม  ไม่ว่าจะ 2,000 ปีที่แล้ว  พระองค์ก็อยู่ในผู้เชื่อตลอดเวลาเสมอไป คือต่อให้ผู้เชื่อที่จะมาเชื่อ ในวันพรุ่งนี้ หรือปีหน้า หรืออีก 10 ปีหน้า หรืออีก 100 ปีหน้า ถ้าพระเยซูยังไม่กลับมาใหม่ ยังไม่สิ้นโลก เขาผู้นั้นที่เป็นคริสเตียน ที่เป็นผู้เชื่อนั้น พระเยซูก็สัญญาว่าพอเขาเชื่อปั๊บ พระเยซูก็จะเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาตลอดเวลา

            “พระเยซูตรัสว่าจงมองให้เห็นเถิด  เราอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พูดกับเราทุกคนแต่ละคน เป็นส่วนตัวเลย พระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ จึงเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ ในพันธสัญญาใหม่ ในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าเตรียมไว้ และกระทำสำเร็จแล้ว ในโลกมนุษย์ เรียกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ซึ่งแสดงถึงความลึกซึ้ง ในความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เหมือนที่พระเยซูได้ยกอุปมาว่าสนิทสนมกัน เหมือนเราเป็นกิ่งก้านขององุ่น แล้วพระองค์เป็นลำต้น ต่อกันสนิทอย่างนั้น เหมือนกับที่พระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลบอกว่าเราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซู ซึ่งพระเยซูเป็นศีรษะ เราเป็นส่วนหนึ่งในร่างของพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันขนาดไหน? แล้วถามว่าเราจะรู้ได้อย่างไร? ว่าขณะนี้มันเป็นอย่างนี้ในวิญญาณภายในของเรา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้วิญญาณของเราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรคสถานกับพระเจ้าแล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เราจะรู้ได้อย่างไร?  ก็โดยความเชื่อ  เพราะสิ่งเหล่านี้เราได้มาโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยความประพฤติ ใน 2 โครินธ์ 13:5 ได้บอกถึงวิธีทดสอบดูว่าท่านรู้ได้อย่างไร? ดูสิว่าอาจารย์เปาโลว่าอย่างไร? …

        2 โครินธ์ 13:5 “จงสำรวจตนเองว่าท่านตั้งมั่นในความเชื่อหรือไม่ จงทดสอบตัวเอง ท่านไม่รู้ (ไม่เห็น) หรือว่าพระเยซูคริสต์ทรงอยู่ในตัวท่าน แน่นอนนอกจากว่าท่านไม่ผ่านการทดสอบ”

            ถ้าท่านผ่านการทดสอบ ก็หมายถึงท่านเชื่อ ท่านรู้และเห็นว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวท่านนั่นเอง คำว่า “ท่านไม่รู้” ก็คือ “ท่านไม่เห็นเหรอ” “ไม่รู้เหรอ” มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ หรือว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในท่าน ก็พระองค์บอกว่าจงมองให้เห็นเถิด เพราะว่ามันอยู่ในโลกวิญญาณ เราอยู่ในท่านที่เป็นความจริง แต่ท่านสามารถทดสอบได้ว่าท่านมีความเชื่อหรือไม่? ก็คือท่านเห็นไหม? ท่านรู้ไหมว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในท่านจริงๆ ความจริงนี้ท่านรับรู้หรือไม่? สำรวจตัวเองว่าเราได้เชื่อในข่าวดีจริงๆ หรือเปล่า? ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อาศัยอยู่ในสวรรค์ขณะนี้แล้วจริงๆ หรือไม่? ด้วยวิธีการ คือเห็นไหม? รู้ไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา  และพิสูจน์ตอนไหน? ทั้งตอนมีความสุขและมีความทุกข์ แน่นอนท่านก็รู้อยู่แล้วว่าตอนไหน? ทดสอบง่ายกว่ากัน

            ก็คือเมื่อเผชิญกับการทดลองต่างๆ การทดลองความเชื่อว่าตอนนี้ท่านรู้ไหม? ท่านเห็นไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่กับท่าน ทดลองอย่างไร? เมื่อยามเราทุกข์ เมื่อยามเราเจ็บป่วยในร่างกาย เมื่อยามเราวิตกกังวล อยู่ในความเครียด ในการทำมาหากินฝืดเคือง ที่ดูเหมือนยากขึ้นทุกวัน ทุกข์มากขึ้นทุกวัน ความขัดแย้งในสังคม ในครอบครัว  เมื่อยามพบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้น เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อยามวันคืนแห่งความเหนื่อยล้า ในการดำเนินชีวิตอยู่ในแต่ละวันบนโลกนี้ กลับไปถึงบ้าน ก่อนนอน ลำบาก เหนื่อยเหลือเกินพ่อ หรือในแต่ละวันต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ของระบบของโลกนี้ ที่เต็มไปด้วยความบาป ซึ่งมีอิทธิพลชักจูงให้เราทำบาป กระทำในสิ่งที่วิญญาณและจิตใจไม่อยาก ไม่ต้องการจะทำเลย โกรธ หงุดหงิด กลัว เราไม่อยากกลัว แต่มันก็กลัว เราไม่อยากหงุดหงิด แต่มันก็ทำไปแล้ว เราไม่อยากทำอย่างนี้เลย แต่มันก็ทำไปแล้ว อธิษฐานก็อธิษฐานไม่ออก เราอยากจะร้องเพลง ก็ร้องเพลงไม่ได้ เราอยากมาโบสถ์ แต่เราก็ขี้เกียจ

            ทั้งในยามทุกข์และยามสุข  เราทดสอบตัวเราเองว่าฉันยังรับรู้ ยังเห็นอยู่ไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่ภายในฉัน ท่านยังรับรู้ ยังเห็นอยู่ไหมว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในท่าน ตอนที่ท่านเจ็บปวด เจ็บป่วย ตอนที่ท่านกระทำในสิ่งที่ท่านไม่อยากทำ แล้วก็ทำไปแล้ว แล้วก็บอกว่าจะไม่ทำอีก แต่มันก็ทำอีกจนได้ วนเวียนอยู่นั่นแหละ ท่านเหนื่อย ตอนนั้น ตอนที่ท่านทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ ตอนที่ท่านอธิษฐานไม่ออก ตอนที่ท่านเจ็บปวด เจ็บป่วย แล้วบอกพระเจ้าอยู่ไหน? ปากบอกว่าพระเจ้าอยู่ไหน? แต่ใจจริงของท่านทั้งๆ ที่รู้ใช่ไหมว่าพระคริสต์ พระเจ้าสถิตอยู่ภายในท่าน นั่นแหละ คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าท่านเชื่อหรือไม่? ท่านเชื่อจริง มันจะออกมาอย่างนี้แหละ  มันจะออกมาขัดแย้งกับความคิด ความรู้สึก คำพูด กิริยาท่าทาง พูดง่ายๆ ว่าทั้งๆ ที่รู้ว่า …

            “พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ แต่ฉันก็อดที่จะพูด หรือคิดไม่ได้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน?  ขณะที่ลูกเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน พระเจ้าอยู่ไหน?  ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานสักที พระเจ้าทอดทิ้งแล้วหรือ?”

            มันไม่ได้หมายความว่าเรามีจิตใจที่ไม่เชื่อ ในใจยังเชื่ออยู่ แต่เราอ่อนแอเกินไป ที่จะดำเนินกิริยาท่าทางต่างๆ ให้เป็นไปกับความเชื่อที่อยู่ในวิญญาณ ซึ่งเป็นความเชื่อที่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่สร้างขึ้นมาเอง เรายังเชื่อพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน ตาฝ่ายวิญญาณของเรา ยังเห็นพระเจ้าอยู่ ถ้าทดสอบดู ยังเห็นอยู่ไหม? ถ้ายังเห็นอยู่ เราทดสอบ เราผ่าน แต่ถ้าเราบอกพระเจ้าอยู่ที่ไหน? แล้วไม่เห็นเลย ไม่เคยคิด ไม่เคยรู้เลยว่าพระเจ้าอยู่กับเรา อย่างนี้เขาเรียกว่าสอบไม่ผ่าน

            การทดสอบตนเองในบริบทของ 2 โครินธ์ 13:5 ที่เรากำลังพูดถึง ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นการผ่านการทดลองในการทุกข์ยากลำบาก เพื่อพิสูจน์ ยืนยันความเชื่อของเราในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เป็นการพิสูจน์ความเชื่อของเรา เพราะว่าความเชื่อของเราเป็นของประทานจากพระเจ้า แต่เป็นการตรวจสอบภายใน เพื่อยืนยัน ย้ำเตือนให้เรารู้ และเห็นความจริงว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเราแล้วจริงๆ เป็นการยืนยันว่าเรารู้

            ความเชื่อของเราไม่อยู่กับการผ่านการทดสอบความเชื่อหรือไม่?  อย่างที่ตะกี้บอก การทดสอบเราอาจจะไม่ผ่าน  แต่เรารู้อยู่ข้างในว่าพระคริสต์สถิตอยู่กับเรา การผ่านการทดสอบหรือไม่? หรือท่าทีต่อการตอบสนองต่อการทุกข์ยากลำบากจะเป็นอย่างไร? ผ่านหรือไม่ผ่านนั้น ไม่สำคัญ  คือพูดง่ายๆ ความประพฤติไม่สำคัญ  การมีปฏิกิริยาอะไรออกมาทางร่างกาย มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตรงนั้น แต่มันขึ้นอยู่กับการยอมรับ และการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ในการงานของพระองค์ที่ทำที่ไม้กางเขน ตรงนี้มากกว่า และก็รู้ว่าความเชื่อที่เราบังเกิดใหม่ต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นของประทาน ไม่ใช่ตัวเราเอง โอ้อวดตัวเราเอง ตัวเราเองอาจจะอ่อนแอ แต่ความเชื่อที่เท่าเมล็ดมัสตาร์ดอยู่ข้างใน ซึ่งมันจะเกิดผลอย่างมากมาย ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันเป็นเพียงเครื่องที่สามารถเป็นโอกาสที่พระเจ้าจะใช้ให้เราเติบโตในความเชื่อ และพึ่งพาพระเจ้าได้มากขึ้น ฝึกฝนเรา ไม่ได้เกิดจากพระเจ้า เกิดจากความวิปริตบนโลกใบนี้อยู่แล้ว  แต่พระเจ้าถือโอกาสใช้ให้มันเป็นประโยชน์ สำหรับชีวิตของเรา อุปสรรค ปัญหา ความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวด ช่วยให้เราผู้เชื่อเห็นตามที่พระเยซูบอกว่าจงมองให้เห็น  มันจะเห็นชัดเจน เมื่อเราประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่ใช่เห็นอย่างชัดเจนเมื่อยามที่เรามีความสุขดี เมื่อยามที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเรา เป็นไปตามที่เราอธิษฐานเป๊ะเลย อัศจรรย์เกิดขึ้น นั่นเราไม่เห็นหรอก เรามีกิริยาที่ดูเหมือนเห็น แต่ข้างในใจไม่ได้ช่วยอะไรเรามากเท่าไร? แต่มันจะช่วยเรามาก ตอนที่เราประสบกับความทุกข์ยากลำบาก  และภายนอก ความคิด การกระทำของเรา ดูเหมือนไม่เชื่อ แต่ข้างในนั้น เต็มไปด้วยความเชื่อ ที่แท้จริง  และเป็นความรู้ถึงการทรงสถิตของพระคริสต์ในชีวิตเรา นี่แหละคือประโยชน์ของอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น ความเจ็บปวด

            การยืนยันมั่นคง ความรู้ ในความเชื่อของเรา ตามที่พระเยซูบอกว่าให้เราเห็น ให้เรารับรู้ เราจะยืนยันได้ โดยความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น พระคริสต์ทรงอยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ตลอดเวลา เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่ รู้สึกหรือไม่? คิดตามความจริงนี้หรือไม่?  หรือจะปฏิบัติตัวอย่างไร? จะตอบสนองอย่างไรก็ตามความจริงว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา มันก็เป็นความจริงอย่างนั้นตลอดไป โคโลสี 1:27 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:27 “สำหรับพวกเขา พระเจ้าได้ทรงประสงค์ที่จะสำแดงความมั่งคั่งอันทรงเกียรติสิริของข้อล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาติ คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

            “ความมั่งคั่งอันทรงเกียรติสิริ” หมายถึงของที่มีค่าอย่างมากมาย ก็คือมีพระลักษณะเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระคริสต์ เต็มด้วยสง่าราศี นี่พูดถึงเราผู้เชื่อ และตรงนี้เป็นแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้วว่าจะให้มนุษย์ได้เกิดใหม่ แล้วเป็นอย่างนี้ ปิดซ่อนไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม  และเปิดเผยเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  เป็นข้อความล้ำลึก ก็คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลาย เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เห็นไหม?

            เพราะฉะนั้น เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราต้องมีความหวังอยู่ในพระคริสต์อย่างเดียว ความหวังไม่ได้อยู่ที่คำตอบคำอธิษฐาน  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเราด้วยซ้ำไป ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรเลย ขึ้นอยู่อย่างเดียว คือจงรับรู้ และจงเห็นเถิดว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเราตลอดเวลา เสมอไป นิจนิรันดร์ กาลาเทีย 2:20 …

        กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว และข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า”

            อันนี้เห็นชัดเลย เราต้องมีความรู้สึกอย่างนั้นเลยว่าพอเจริญเติบโต เข้าไปในความจริงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ พระคริสต์สถิตอยู่ในเราตลอดเวลา และเราก็ได้บังเกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา ชีวิตที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ทุกวัน เป็นชีวิตที่พระคริสต์นำหน้าเรา มันหมายถึงอย่างนั้น  แสดงให้เห็นว่าชีวิตของผู้เชื่อ ถูกเปลี่ยนแปลงโดยมีพระคริสต์อยู่ภายใน  เราไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยตัวเราเองเพียงลำพังอีกต่อไป แต่เรามีพระคริสต์นำหน้า  เหมือนการจูงมือกัน แต่เป็นการจูงมือที่แนบแน่นกว่านั้น ก็คือลำต้นจูงมือกิ่ง  ไม่ใช่จูงมือเอามือแตะกันเฉยๆ แต่เชื่อมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับศีรษะจะไปไหน? หน้าอกไปด้วย มือไปด้วย เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างนั้น  ในยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสว่า …

        ยอห์น 14:23  “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะรักษาคำของเรา  และพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา”

            “เราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา” คำว่า “อยู่กับเขา” ตรงนี้หมายถึงอาศัยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา เราจะมาหาเขา และอาศัยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา  “เขา” คือผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เป็นการยืนยันถึงการทรงสถิตอยู่ของพระคริสต์ในชีวิตของผู้เชื่อ

            การที่พระคริสต์สถิตอยู่ในเรานั้น เป็นการยืนยันความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกกันได้เลย คือเป็นหนึ่งเดียวกัน ระหว่างพระเยซูคริสต์กับผู้เชื่อ คือคริสเตียน และเป็นการรับรองถึงความสมบูรณ์ ความบริบูรณ์ในพระองค์ ความเหมือนพระองค์ ถ้าศีรษะมีเซลล์ เป็นเช่นไร? ข้อเท้าก็มีเซลล์เป็นเช่นนั้น ถ้าศีรษะมีเซลล์เป็นคุณนคร หัวแม่เท้าก็มีเซลล์เป็นคุณนคร มันหมายถึงอย่างนั้น โคโลสี 2:10 …

        โคโลสี 2:10 “และท่านมีชีวิตที่บริบูรณ์ในพระองค์ และพระองค์เป็นประมุขเหนือการปกครอง และสิทธิอำนาจทั้งปวง”

            พระองค์ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นประมุขสูงสุดของการครอบครองทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นโลกใบนี้ หรือโลกที่มองไม่เห็น สิทธิอำนาจทั้งปวง ทั้งโลกนี้และโลกที่มองไม่เห็น มันอยู่ที่พระองค์ทั้งสิ้น และเราอยู่ในพระองค์ บริบูรณ์ในพระองค์ หมายถึงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ฟีลิปปี 4:13 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ สำหรับคริสเตียน …

        ฟิลิปปี 4:13 “ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าดีหรือร้าย โดยฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า”

            เมื่อพระองค์ องค์พระเยซูคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือสิทธิอำนาจทั้งปวง สถิตอยู่ในข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเผชิญทุกอย่างได้ ไม่ว่าดีหรือร้าย ตามสายตาที่เราเห็น เพราะฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์อยู่ในเรา เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา   เราจึงสามารถเผชิญทุกสิ่งทุกอย่าง  เผชิญวันพรุ่งนี้  ก็คือเผชิญอนาคตได้ ไม่ว่าดีหรือร้าย สำหรับเรา คริสเตียนที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ สำหรับเราดีเสมอ ตลอดเวลา  เพราะพระเจ้าผู้ทรงควบคุมสถานการณ์ อยู่ภายในเรา รักเรา จูงมือเราเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราชบนโลกใบนี้ ก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ด้วยความรักของพระองค์ที่เป็นนิรันดร์ เราจึงไม่กลัว และในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าพระเยซูคริสต์ตรัสว่า …

            “เรายืนเคาะประตูอยู่ ใครได้ยินเสียงเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปข้างใน และกินอาหารร่วมกับคนนั้น”

            ทุกวันนี้พระเยซูคริสต์ยังคงพูดผ่านทางผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผู้ที่เชื่อแล้ว  ไปยังบรรดามนุษย์ทั่วๆ ไปที่ยังไม่ได้รู้จักพระเยซู ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูพูดว่าอย่างไร? พูดว่าพระองค์ทรงเคาะประตู พระองค์อยากเข้าไปอยู่ในท่าน มนุษย์ทุกคน เราจะเข้าไปข้างใน เราจะเข้าไปอยู่ในท่าน เหมือนกับที่ข้อพระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้

            นี่คือข่าวดีที่พระเยซูให้สาวก คริสเตียนทุกคนประกาศ  สั่งสอนให้มนุษย์ทุกคนได้รู้ คือพระองค์ทรงเคาะประตูอยู่ อยากจะเข้าไป เข้าไปทำอะไร ก็อย่างที่ตะกี้นี้ เราได้เรียนรู้กันมาวันนี้ เข้าไปนำพาชีวิตท่าน แล้วท่านได้ยินแล้ว ท่านจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์หรือไม่? ถ้าเปิดใจเมื่อไร? ทันที พระองค์ก็เข้าไปอยู่ในท่าน และชีวิตคนๆ นั้น ก็จะเปลี่ยนไป

            เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา เราเผชิญพรุ่งนี้ได้ มีบทเพลงอยู่บทเพลงหนึ่งดีมาก …

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา เราเผชิญพรุ่งนี้ได้

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา ความกลัวสิ้นไป

                        เพราะเราแน่ใจ แน่ใจ พระองค์ทรงอยู่ในเรา และทรงนำหน้า

                        ชีวิตมีค่า เพราะรู้ว่าองค์พระคริสต์ ทรงอยู่ในเรา

            ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโรคภัยไข้เจ็บของเราจะหายหรือไม่หายก็ตาม ไม่ว่าสถานะของเราจะขัดสนหรือมีมากล้นก็ตาม  จะสุขหรือทุกข์ก็ตาม แค่รู้เพียงว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราด้วยตลอดเวลา อยู่ภายในเรา ก็เพียงพอแล้ว สันติสุขอันยิ่งใหญ่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ จะเข้าปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของเราในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงอยู่ในเรา พระเยซูคริสต์จึงตรัสย้ำยืนยันเรื่องนี้หลายตอนเลย  ซึ่งสรุปได้ว่า …

            “ท่านจงมองให้เห็นเถิด เพราะมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ แต่มันเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดเวลาเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พระเยซูตรัสว่า … “จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดเวลาเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 9

            ก่อนเชื่อ … ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า พ่อผู้แสนดีอยู่ด้วย

                                นิรันดร์

            หลังเชื่อ … รอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ได้กลับมาอยู่กับพระเจ้า พ่อผู้แสนดี

                               ในสวรรค์นิรันดร์

            “18 คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตายในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นประตูสวรรค์ให้กับมนุษย์ ที่จะบังเกิดใหม่ จากการเชื่อและวางใจในพระองค์ได้เข้าสู่สวรรค์ อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ซึ่งพิสูจน์ได้ทันทีเดี๋ยวนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย เพราะประสบการณ์ในการเข้าอยู่ในสวรรค์นี้ เริ่มต้นขึ้นทันทีหลังจากเปิดใจรับเชื่อในข่าวดีนี้ ไปจนถึงชีวิตนิรันดร์ หลังความตายจากร่างกายนี้

            ยอห์น 3:16-17 … “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ  (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตร เข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1503

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  ธันวาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 11

โดย วราพร  คงล้วน

            คราวที่แล้วเราจบลงที่ข้อ 27 ขออ่านย้อนข้อ 26-27 อีกครั้งหนึ่ง …

        กาลาเทีย 3:26-29 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า  โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมา  เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว  ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ 28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวง เป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์ 29 ถ้าท่านเป็นของพระคริสต์  ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมและเป็นทายาทตามพระสัญญา”

            ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณของพระองค์ที่ได้ทรงบอกเราในถ้อยคำของพระเจ้า เมื่อพี่น้องทุกคนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราก็ได้บัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์

            “เป็นหนึ่งเดียวกัน” หมายความว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่กับวิญญาณของเรา  เราไปไหน? พระเจ้าไปด้วย จะไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ที่พระเจ้าจะทิ้งให้เราอยู่เพียงลำพัง ไม่มีนะ ไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะสุข ไม่ว่าเราทำดี ไม่ว่าเราทำไม่ดี  เราต้องยอมรับ อยู่ในพระเจ้าเราก็เผลอทำไม่ดี แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ตาม ให้รับรู้ว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าอยู่ในเราตลอดเวลา ฉะนั้น เมื่อเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าจะไม่มียิว ไม่มีกรีก ไม่มีทาส ไม่มีไท ก็คือไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ในเชื้อชาติใด สัญชาติใด หรืออยู่ในสถานะแบบไหน?  เป็นคนที่มีเงินล้นฟ้า หรือเป็นคนที่ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว  แต่ว่าเมื่อเขามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ทุกคนอยู่ในสถานะเดียวกัน คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เรามีสถานะเดียวกัน

            ฉะนั้น อย่าให้ใครรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ  เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เราอยู่ในสถานะที่ตามความเห็น  หรือตามสายตาของมนุษย์ว่าเราด้อยกว่า อาจจะการศึกษาด้อยกว่า การงานด้อยกว่า ทรัพย์สมบัติก็มีน้อยกว่า ให้เราภาคภูมิใจในความรักที่พระเจ้าให้กับเรา ก็คือพระเจ้าให้เรามีสถานะเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือสถานะเดียวกันของพวกเราทุกๆ คน ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น พอเข้ามาถึงคริสตจักรของพระองค์ จะไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะใดๆ คือทุกคนเท่าเทียมกันหมด เป็นพี่น้องในพระคริสต์ร่วมกัน ให้เรามีความรู้สึกผูกพันแบบนี้ว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในบ้านที่มีชื่อว่าอภิสุทธิสถานนี้ บ้านของพระเจ้า ก็คือมีทุกที่ ทุกหน ทุกแห่ง โบสถ์ในประเทศไทยก็มีเยอะมาก คือภายใต้ชื่ออะไรก็แล้วแต่คนจะตั้งขึ้นมา เพื่อให้รู้ว่าโบสถ์เราชื่ออย่างนี้ เหมือนกับของเรา โบสถ์เราชื่ออย่างนี้นะ เหมือนบ้านเราอยู่ตำแหน่งนี้ อยู่ตรงนี้ เกิดเราอยากจะไปเชิญชวนเพื่อนฝูงมาเที่ยวบ้านเรา เราก็สามารถชวนมาได้ ระบุได้ว่าบ้านเราเป็นหน้าตาแบบนี้ ชื่อแบบนี้

            แต่ว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าไม่มีแบ่งว่าโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์, ใจสมาน, กรุงเทพ หรืออะไรแล้วแต่ ไม่มี คือทุกคริสตจักรเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่มีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของทุกคริสตจักร ฉะนั้น คริสตจักรทุกคริสตจักรมีหน้าที่ อย่าเรียกว่าหน้าที่เลย คือพระเจ้าจะเรียกให้แต่ละคริสตจักรที่พระองค์จะใช้สอยแตกต่างกัน แต่ว่าอยู่ภายใต้การนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกัน อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเยซูคริสต์เท่าเทียมกัน ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่กว่านั้น ฉะนั้น เมื่อเราทั้งหลายเป็นของพระคริสต์แล้ว เราก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม เราคุยกันคราวที่แล้ว พงศ์พันธุ์ของอับราฮัม พระเจ้าถือว่าอับราฮัมเป็นบิดาแห่งความเชื่อ เพราะว่าเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง พระเจ้าเลยถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม

            ฉะนั้น พวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราก็จะเป็นลูกหลานของอับราฮัมผ่านทางความเชื่อ ไม่ได้โดยการประพฤติใดๆ ของเรา  คือไม่มีความดีงามอะไรที่เราจะไปอวดใครได้เลยว่าเราเก่งกว่าคนอื่น หรือเราทำดีได้มากกว่าคนอื่น เราประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติได้เยอะกว่าคนอื่น ไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าทุกคนสามารถผ่านเข้ามาในประตูสวรรค์ตรงนี้ โดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเท่านั้นอย่างเดียว … พอมาถึงบทที่ 4 ข้อที่ 1 กล่าวว่า …

        กาลาเทีย 4:1-5 “1 “สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังกล่าวอยู่นี้ ก็คือตราบใดที่ทายาทยังเด็กอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับทาส แม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมด 2 เขาก็ยังอยู่ในบังคับของผู้ปกครอง    และผู้ดูแลทรัพย์สิน จนกว่าจะถึงเวลาที่บิดากำหนด 3 เช่นกันเมื่อเรายังเด็ก    เราเป็นทาสอยู่ใต้บังคับของหลักการพื้นฐานทั้งหลายของโลก 4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ  เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์”

            ในกาลาเทีย บทที่ 4 ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับผู้เชื่อชาวกาลาเทีย เขาเชื่อแล้วนะ พูดให้เขาฟังว่าก่อนที่เขาจะเชื่อ  เหมือนกับพวกเราทั้งหลายที่สมัยก่อน ก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ อยู่ภายใต้กฎระเบียบต่างๆ ที่มนุษย์หรือโลกนี้เขาตั้งขึ้นมา ถ้าเป็นชาวยิวก็อยู่ภายใต้บทบัญญัติของโมเสส ถ้าเป็นคนต่างชาติ อย่างพวกเรา ถือว่าเป็นคนต่างชาติ ก็อยู่ภายใต้กฎของศีลธรรม กฎของจริยธรรมต่างๆ ก็คือในจิตใต้สำนึกของพวกเราทุกๆ คน มีกฎพวกนี้อยู่ ไม่ต้องมีคนสอน พอเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องปุ๊บ ข้างในวิญญาณจะฟ้องเราเองว่าอันนี้ไม่ใช่ มันไม่ถูกต้อง แต่ว่าหลายครั้ง เราก็ไม่สามารถที่จะฝืนกำลังของโลกใบนี้ เราก็ยังคงทำเรื่องเหล่านี้ต่อไป แต่ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าก็ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากกฎเหล่านี้ ให้เราสามารถที่จะหลุดพ้น หรือสามารถมีชัยชนะเหนือกฎเหล่านี้ได้

            ฉะนั้น กฎของความบาปและความตาย ตรงนี้ มันคือกฎที่มนุษย์พยายามที่จะพึ่งพาตนเอง เพื่อทำความดี พึ่งพาตัวเองที่จะพยายามรักษากฎบัญญัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่พระเจ้าบอกว่ากฎบัญญัติเหล่านี้ ไม่มีมนุษย์คนไหน สามารถรักษาให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ ฉะนั้น ถ้าใครก็ตามที่ยังพยายามพึ่งพาความดีงามของตัวเอง ก็หล่นจากมาตรฐานของพระเจ้า ซึ่งมันไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า  ฉะนั้น ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นยิว หรือเป็นคนต่างชาติ  ก็ยังอยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ ก็คือมรดกพระเจ้าเตรียมไว้แล้ว  แต่ว่าการที่คนจะรับมรดก ก็คือผู้ที่ทำสัญญา ทำพินัยกรรม ต้องเสียชีวิตก่อน พินัยกรรมถึงจะถูกเปิด เพื่อที่ทายาทจะได้รับมรดก

            ฉะนั้น ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ แม้ว่าเราได้ชื่อว่าเป็นทายาทของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ผู้ที่สามารถที่จะรับทรัพย์สินต่างๆ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรา แต่ว่ายังไม่ถึงกำหนด พวกเราทั้งหลาย ไม่ว่ายิว หรือคนต่างชาติ ก็ยังคงเป็นทาสของกฎบัญญัติต่างๆ อยู่ นี่อาจารย์เปาโลกำลังย้อนให้กับคนกาลาเทียได้รับรู้ความจริงว่าเขายังอยู่ภายใต้บังคับของผู้ปกครอง ก็คือพ่อให้มรดก ลูกยังเล็ก ก็ต้องมีคนมาดูแลมรดกก่อน ลูกเล็กๆ ก็ยังทำอะไรไม่ได้

            นั่นเป็นภาพเดียวกันในเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าก่อนหน้าพระเยซูคริสต์จะทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้บังคับของกฎของความบาปและความตาย  ฉะนั้น ในอดีต คนต่างชาติมีกฎที่อยู่ข้างในวิญญาณทุกคน แล้วคนยิวมีตัวอักษรที่โมเสสเขาเขียนขึ้นมา จากเดิมอันแรกที่พระเจ้าให้ศิลา 2 ก้อนกับโมเสส ก็คือบัญญัติ 10 ประการ นั่นในพระคัมภีร์เขาเขียนว่าพระเจ้าเป็นคนเขียนด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระองค์เอง แล้วศิลา 2 ก้อนแรกที่โมเสสเอาลงมาจากภูเขา พี่น้องจำประวัติศาสตร์ได้ใช่ไหม? เอาลงมาจากภูเขา ถ้าเราเคยดูหนัง บัญญัติ 10 ประการ โมเสสก็จะอุ้มศิลา 2 ก้อนแบบใหญ่ๆ เดินลงมาจากภูเขา พอเดินลงมา เห็นคนอิสราเอล จากไปอดอาหารอธิษฐาน 40 วัน คนอิสราเอลให้อาโรนทำรูปเคารพขึ้นมา คือเอาทองมาปั้นเป็นรูปวัวทองคำ แล้วก็เต้นรำร้องเพลงแบบยกย่อง สรรเสริญว่าวัวทองคำนั้น คือพระเจ้า พี่น้องนึกภาพความโกรธของโมเสส กำลังเอาบัญญัติ 10 ประการลงมาให้กับชนชาติอิสรเอล มาถึงทนไม่ไหว โมเสสทำอย่างไร? เอาศิลา 2 ก้อน ซึ่งเป็นนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า ขว้างลงไปแตกกระจายเลย ถ้าเป็นความคิดของมนุษย์ โมเสสต้องโดนพระเจ้าทำโทษแน่ๆ กล้าดีอย่างไรเอาศิลาที่พระเจ้าเป็นผู้เขียนเอง มาทุ่มทิ้งขนาดนี้ แต่ความโกรธของโมเสสตรงนั้น พระเจ้าถือว่าชอบธรรม ทำไมถึงชอบธรรม เพราะว่าโกรธแทนพระเจ้าว่าคนอิสราเอลทำไมถึงนิสัยแบบนี้ แค่ 40 วันเอง ก็เปลี่ยนใจไปร้องรำทำเพลง ถวายเครื่องบูชากับวัวทองคำแล้ว

            เมื่อพระเจ้าจะทำลายชนชาติอิสราเอล เพราะว่ากบฏกับพระเจ้า โมเสสขึ้นไปใหม่ ไปอธิษฐานอดอาหารอีก 40 วัน 40 คืน แล้วก็ได้ศิลาแผ่นที่ 2 ลงมา  แล้วจากนั้น เราจะเห็นประวัติศาสตร์พูดถึงเรื่องราวของชนชาติอิสราเอล มันจะเป็นคล้ายๆ กับมนุษยชาติที่อยู่ในความบาป มนุษย์ทุกคนอยู่ในบาป เป็นคนบาป จึงทำบาป นี่เป็นความจริง เป็นคนบาป จึงทำบาป ฉะนั้น ไม่ยกเว้นชนชาติอิสราเอล

            ชนชาติอิสราเอลในยุคก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์  เขาก็ยังเป็นคนบาป แต่เป็นคนบาปพิเศษที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ แยกตัวออกมา เป็นประชากรของพระองค์ แต่พื้นฐานจริงๆ ก็คือในวิญญาณเขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ แค่มีสิทธิพิเศษที่พระเจ้าให้ทำพิธีกรรมต่างๆ ที่ถวายเครื่องบูชาปีต่อปี วันต่อวันที่ทำผิด ก็เอาเครื่องบูชามาถวายให้กับพระเจ้า  ก็ลบล้างความผิดไปเรื่อยๆ จนกว่าวันหนึ่งข้างหน้าพระองค์จะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา เรียกว่าพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อว่าเมื่อพระบุตรลงมาแล้ว พระองค์จะทำให้สำเร็จ คือจากนั้นต่อไป พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เป็นขึ้นมาจากความตาย มนุษยชาติทั้งหมด ไม่ต้องถวายเครื่องบูชาอีกต่อไป  เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้าครั้งเดียวพอ

            มนุษย์ถวายเครื่องบูชาด้วยสัตว์ที่ไม่มีมลทิน แต่พระเยซูคริสต์ถวายเครื่องบูชา โดยเอาตัวพระองค์เองมาถวายให้กับพระเจ้า ชีวิตของพระองค์ เลือดของพระองค์เองมาถวายให้กับพระเจ้า ฉะนั้น ในพระคัมภีร์เขียนว่าพระเยซูคริสต์ถวายครั้งเดียว ขบวนการทั้งหมดจบสิ้น การไถ่ถาวรก็จบสิ้นด้วย ฉะนั้น จากวันนั้นถึงวันนี้ 2,000 ปี มนุษย์คนใดก็ได้ ไม่ว่าเชื้อชาติใด สัญชาติใด อยู่ในประเทศใดก็ตาม อยู่ในหลืบตรงไหนก็ได้ เมื่อเขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซูคริสต์ แล้วเขาเปิดใจต้อนรับพระองค์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาจะได้สิทธิตรงนี้เลย ได้เป็นทายาทของพระเจ้า ได้เป็นลูกของพระเจ้าอย่างชอบธรรม แล้วได้รับการเปลี่ยนวิญญาณใหม่ ได้รับการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ ได้นั่งอยู่ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์

            ขบวนการเหล่านี้มันเสร็จสมบูรณ์ ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราต้องเรียงลำดับใช่ไหม?  แต่ในโลกวิญญาณ มันเป็นก้อนหนึ่งที่ทันทีที่ใครก็ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ขบวนการการบังเกิดใหม่ มันจะเกิดขึ้นทันที เรียงลำดับ เราก็เรียงไม่ค่อยถูก แต่พระเจ้าจะกระทำให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทันทีทันใด เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็จะได้รับอิสรภาพ  ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติอีกต่อไป  แล้วได้เป็นบุตรของพระเจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามขบวนการ นี่คือพระพร นี่คือข่าวดีที่พระเจ้าได้ประกาศ ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวดีด้วยตัวพระองค์เอง ในสมัย 2,000 กว่าปีที่แล้ว ประกาศกับคนยิวว่าแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว  พระองค์กำลังจะทำให้สำเร็จ แล้วมาจนถึงพระองค์ทำสำเร็จ จากนั้น พระองค์ก็เข้ามาอยู่ในใจมนุษย์ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เริ่มต้นจากยุคแรกเลย ก็คือกลุ่มสาวก แล้วการประกาศข่าวดีของพระเจ้า ถูกประกาศออกไปเรื่อยๆ ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ก็จะเข้ามาอยู่ในคนๆ นั้น

            พวกเราทุกคน ณ ปัจจุบัน ที่นั่งอยู่ตรงนี้ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในท่าน  ท่านจงมั่นใจเถิดว่าพระเจ้าอยู่ในท่าน และพระเจ้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหน ไม่ว่าท่านจะทำอะไรอยู่ ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไร? พระเจ้าก็ยังคงอยู่ในตัวท่าน ที่ไม่หนีหายไปไหน แล้วพระองค์ก็จะทรงนำพา จูงมือท่าน เดิน ให้สติปัญญา ให้กำลังให้กับท่าน ในแต่ละวันที่เราจะดำเนินชีวิต ไม่ว่าเราจะทำอะไร? พูดอะไร? คิดอะไร? พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ในเราตลอดเวลา ฉะนั้น ความเชื่อตรงนี้ มันได้เกิดผลสำเร็จตั้งแต่วันแรก ที่เราเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นแล้ว

            พอหลังจากนั้น การดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ เราอาจจะดำเนินชีวิตแบบไม่เชื่อฟังพระเจ้าก็ได้ อันนี้ พี่น้องต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ หลายคนอาจจะมอง เชื่อพระเจ้าแล้วทำไมนิสัยยังแบบนี้อยู่ล่ะ ทำไมเชื่อพระเจ้าแล้วยังทำอย่างนี้อยู่ล่ะ เราก็จะตั้งคำถาม ซึ่งคำถามนี้ถูกตั้งมาทุกยุคทุกสมัย จนถึงพวกเรา ทุกวันนี้ บางทีเราชำเลืองมองคริสเตียนคนอื่นที่ทำตัวไม่ดี หรือนิสัยไม่ดี มีไหม คริสเตียนนิสัยไม่ดี มีบางทีดิฉันแอบนิสัยไม่ดี พวกท่านไม่เห็นหรอก เราแอบนิสัยไม่ดี คนอื่นไม่รู้ แต่เรารู้เองว่าเราแอบนิสัยไม่ดีอยู่ อะไรอย่างนี้ แต่ไม่ว่าเราแอบนิสัยไม่ดี หรือนิสัยไม่ดีแบบโจ่งแจ้ง  ให้คนอื่นๆ เห็น ขัดหูขัดตา ขัดใจ อะไรอย่างนี้ แต่พระเจ้าไม่ถือสานะ  เพราะว่าร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เรามีโอกาสที่จะเผลอไปประพฤติ ปฏิบัติไม่ตรงตามความเป็นจริง ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ที่พระเจ้าบอกว่าเธอเป็นแบบนี้แล้วนะ

            อยากรู้ไหมว่าตอนนี้เราเป็นแบบไหน?  ณ เวลานี้ พี่น้องทุกคน …

            –  เป็นคนดี ดีมากๆ ด้วย ดีแบบไม่มีที่ติเลย พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น ในพระคัมภีร์ ในโลกวิญญาณ เราเป็นแล้ว

            –  พี่น้องเป็นลูกของพระเจ้า ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์เลย ไม่ว่าเราจะประพฤติแบบไหนที่ดูเหมือนไม่สมบูรณ์ แล้วมารหรือระบบโลกนี้ มันพยายามส่งข้อมูล มาหลอกเราว่า …

            “เห็นไหม? เธอจะสมบูรณ์ได้อย่างไร? ยังนิสัยแบบนี้อยู่เลย”

            เราก็บอก … “นิสัยอย่างไร ฉันไม่รู้ แต่พระเจ้าบอกว่าฉันสมบูรณ์ แล้วพระเจ้าบอกว่าฉันดีเลิศด้วย ฉันสุดยอดแล้ว”

            นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา ในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนั้น อย่าให้ใครหลอกนะ

            –  พระเจ้าบอกว่า ณ เวลานี้ เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่ต้องกลัวว่าหลังความตาย เราจะถูกระเห็ดไปอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ไม่ต้องกลัว เพราะว่าพระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย  และ ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  เราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย ในโลกวิญญาณ เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ ไม่เห็นด้วย แต่พระคำของพระเจ้าบอกเราอย่างนั้น แล้วเราก็ต้องบอกว่าเอเมน  คำว่า “เอเมน” คือยอมรับไง ถ้าเราไม่เอเมน แปลว่าเราไม่ยอมรับ เราไม่เชื่อว่าตอนนี้ เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ แต่ไม่ว่าพี่น้องจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ในโลกวิญญาณ ท่านนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้นั่งอยู่เฉยๆ  แล้ววิญญาณท่านออกจากร่างปุ๊บ ท่านก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้านั่นแหละ  ก็คืออยู่ที่เดิม  แค่เปลี่ยนมิติเท่านั้นเอง เปลี่ยนมิติ คือไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกแล้ว ได้ไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเกาะความจริงตรงนี้เอาไว้ เพราะว่าโลกนี้ ศัตรูของพระเจ้า คือมาร มันพยายามที่จะหลอกล่อ ผู้เชื่อทั้งหลายไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา  และสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา มันคือความจริงทั้งหมด แต่พอเราไม่เชื่อ คำว่าไม่เชื่อ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้า  ไม่ใช่ เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่เหมือนเดิม  แต่ว่าเราก็อยู่อย่างทุกข์ยากลำบาก

            แทนที่เราจะมีความสุข จริงๆ ทุกวันนี้ ผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นชีวิตที่มีความสุขมากๆ  เราชื่นชมกับผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว มีความสุขทุกวัน ความสุขตรงนี้มันเกิดจากข้างในวิญญาณ  ไม่ได้เกิดจากสภาวะรอบข้าง สภาวะรอบข้างของเราอาจจะไม่สุขก็ได้ เราต้องดิ้นรน ต้องต่อสู้ ต้องทำงาน ต้องเดินทาง บางวันก็ถูกเจ้านายด่า บางวันก็ถูกเพื่อนร่วมงานเขม่น อันนั้น ไม่เกี่ยวกัน อันนั้นอยู่บนโลกใบนี้  ท่านเจอแน่ๆ อย่างที่พระเยซูบอก  ท่านทั้งหลายจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจ เพราะเราชนะโลกแล้ว พระเยซูคริสต์ทำให้เราชนะขาดลอย

            ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก ถ้าเทียบกับศักดิ์ศรีที่พระเจ้าให้กับเรา มันเทียบไม่ติดเลย มันเหมือนกับขี้เล็บ พี่น้องเคยมีขี้เล็บ แล้วแคะออกไหม? นิดเดียว เทียบไม่ได้เลย ก็คือความทุกข์ยากที่เราเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ อันนี้อาจจะเป็นความทุกข์ยากเรื่องของการงาน เรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องของสุขภาพร่างกาย บางคนทุกข์ยาก เพราะตอนนี้เป็นมะเร็งอยู่ ตอนนี้ต้องไปผ่าตัด ตอนนี้ต้องไปพักฟื้น ตอนนี้ลูกเต้าไม่เชื่อฟัง อะไรต่อมิอะไร? คือความทุกข์ยากในโลกใบนี้ ที่เราเผชิญอยู่ แต่พระคัมภีร์บอกว่าเทียบกับศักดิ์ศรีที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ในสวรรคสถาน มันเทียบไม่ติด อันนั้นแป๊บเดียวเอง เหมือนกับหายใจเข้าหายใจออก มันก็จบแล้ว โลกนี้เราอยู่ไม่นาน พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น โลกนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราวเท่านั้น สำหรับมนุษยชาติ เมื่อโลกนี้ผ่านไป ก็คือวาระของเราจบ เราก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนวาระจบแค่ไหน? ตรงไหน? อย่างไร? ถ้าดิฉันเลือกได้ ดิฉันก็อยากจะจบๆ ตอนนี้ เพราะว่าจบปุ๊บ เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า มีความสุข เหมือนกับความหวังใจของผู้เชื่อ เราก็มองไปที่พระเจ้า อยู่ก็อยู่ให้สำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ สำแดงให้คนอื่นเห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา  ถ้าตาย กำไรทันที

            กำไรแรกเลย ไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้บนโลกใบนี้อีกแล้ว ไม่ต้องมาวันนี้ปวดหลัง วันนี้ปวดหัว  วันนี้ต้องไปหาหมอ อะไรก็แล้วแต่มันมีทุกวันนั่นแหละ ความทุกข์รายวัน  พี่น้องเคยได้ยินคำนี้ไหม? ความทุกข์รายวันของแต่ละคนมันมีหมด  อยู่ตรงที่ว่ามีมาก มีน้อย  แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าให้ขนาดแต่ละคนตามความเหมาะสม ใครทนได้เยอะ ก็เอาไปเยอะหน่อย ใครทนได้น้อย ก็เอาไปน้อยหน่อย ดิฉันเชื่ออย่างนั้นนะ

            เราก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม  สิ่งที่เป็นความจริง คือพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา แล้วพระองค์จะทรงพาเราผ่านไป  โดยพระคุณของพระเจ้า  ผ่านไปด้วยวิธีไหนเราไม่รู้ สมมติว่าเราเจ็บป่วยอยู่ ก็อธิษฐานขอ มีใครเจ็บป่วยแล้วขอให้พระเจ้าช่วยให้มันไม่หายๆ มีไหม? ไม่มี เจ็บป่วย ก็ …

            “พระองค์เจ้าข้า มันทุกข์ทรมานมาก มันเจ็บโน่นเจ็บนี่ ขอพระเจ้าอวยพรรักษาลูกให้หายโรค ให้ลูกแข็งแรง”

            นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนแม้แต่เราเป็นผู้เชื่อ เราก็ยังคงอธิษฐานแบบนี้  มันไม่ผิดไม่บาป ไม่อะไร? คือธรรมชาตินั่นแหละ  พระเจ้าสามารถที่จะรักษาเราให้หายป่วยได้ไหม? ได้ พระเจ้าอาจจะพาเราไปเจอหมอดีๆ ที่สามารถดูแลรักษาเราได้  หรือพระเจ้าอาจจะทำให้ใจเราสงบ แต่ยังเจ็บป่วยต่อไปนั่นแหละ  แต่เรารู้สึกโอเค รับได้ อะไรอย่างนี้ คือสถานการณ์ทุกอย่าง พระเจ้าสามารถทำได้ อยู่ตรงที่ว่าเราจะทำใจได้ไหม? เราจะยอมรับมันได้มัน ถ้าเรายอมรับมันได้ เราก็อยู่กับมันได้ อยู่อย่างมีความสุข มีความชื่นชมยินดี ลุกขึ้นมา “โอ๊ย” ก็ไม่เป็นไร บางวันดิฉันลุกเร็วขึ้นไปหน่อย ซ่าส์ ลืมตัวว่าแก่แล้ว ลุกปุ๊บ หัวเกือบทิ่ม  บางทีลุกจากเตียงปุ๊บ ไม่นั่งรอ ลุกขึ้นมายืนเกือบเซ  เราลืมตัวว่าเราแก่แล้ว  เราต้องค่อยๆ อันนี้เราต้องปรับปรุงตัวเองทุกคนนะ อย่าซ่าส์ เพราะว่าอายุเยอะแล้ว ตกแล้วไม่คุ้ม กระดูกหัก แล้วเยียวยาไม่ได้  มันก็คือความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ ประจำวัน

            ฉะนั้น ความทุกข์เหล่านี้ มันแป๊บเดียวเอง ชั่วคราวเอง เดี๋ยวเราก็จากไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ใช้ชีวิตที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ให้มีความสุข รับพระพรจากพระเจ้าแล้ว ให้พระพรนั้นส่งออกไปให้กับผู้คนรอบข้าง ที่เขาเห็นชีวิตของเรา เขามีความสุขด้วยกับเรา  คือ …

            “ขอบคุณพระเจ้านะ คริสเตียนสุดยอดเลย ทำไมเขาสามารถมีความสุขแบบนี้ได้”

            เราก็สามารถตอบเขาได้ … “ที่ฉันสามารถมีความสุข เพราะฉันมีพระเจ้าไง พระเจ้าอยู่ในฉัน อย่าคิดว่าฉันสบายนะ อย่าคิดว่าฉันไม่มีปัญหานะ  ปัญหา 108-1009 แต่ฉันมีพระเจ้า ฉันจึงสามารถมีความสุขแบบนี้ได้”

            นั่นคือเราสามารถเป็นพยานกับคนอื่นได้ เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรในหนังสือนี้ ที่อาจารย์เปาโลพยายามบอกให้เราฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมการไว้หลายพันปี  แล้วก็สำเร็จเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  และจนทุกวันนี้ ก็ยังสำเร็จในชีวิตของพวกเรา พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา อยู่กับเรา และพาเราเดินทุกวี่ทุกวัน ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ให้เรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา เหมือนในหนังสือโคโลสีบอกว่าความล้ำลึกที่พระเจ้าเตรียมไว้ คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งพระสิริของผู้เชื่อทุกๆ คน แค่นี้เอง ถ้าพี่น้องเจอทุกข์ยากลำบากอะไร? …

            “ไม่รู้ล่ะ ฉันนึกอยู่อย่างเดียว พระเยซูคริสต์อยู่ในฉัน พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในฉัน พระองค์จะพาฉันผ่านไปได้ ถ้าผ่านโลกนี้ไปไม่ได้ ก็ผ่านไปโน้น ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์”

            นั่นคือความหวังใจของผู้เชื่อทุกๆ คน

            ก็อยากขอบคุณพระเจ้าสำหรับตลอดปีที่ผ่านมา ที่พี่น้องอยู่ด้วยกันกับเรา จะบอกว่าอยู่ด้วยตั้งแต่ต้นปีถึงตอนนี้ ก็ไม่ได้ เพราะบางท่านอยู่กับเราหลายสิบปีแล้ว 30, 40 ปี เราก็ยังผูกพันกันอยู่ อาจจะอยู่ห่างไกลกันบ้าง ก็คิดถึงกัน เดี๋ยวนี้ก็ขอบคุณพระเจ้า คิดถึงกันก็ไลน์ ส่งข้อพระคัมภีร์บ้าง อะไรบ้าง คุยกันบ้าง อะไรอย่างนี้ มันก็เป็นการสื่อสาร ที่เรารับรู้ว่าเรายังมีกันและกันอยู่นะ เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องทุกท่าน  ที่ถูลู่ถูกกังกับเราจนถึงทุกวันนี้ คริสตจักรอาจจะไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสร้างเราทุกคนสมบูรณ์แบบมากที่สุด ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลย ในสายพระเนตรของพระเจ้า

            เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ้นปีนี้ อีก 2 วันก็สิ้นปีแล้ว ถ้าพี่น้องท่านใดวางแผนที่จะออกไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด หรือไปเยี่ยมญาติ อะไรก็แล้วแต่ ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรให้พี่น้องทุกท่านเดินทางอย่างปลอดภัย  แล้วก็กลับมาด้วยสวัสดิภาพ

            ขอพระเจ้าอวยพรในปีหน้า เราเจอกันอีกทีปีหน้าแล้วนะ  เริ่มต้นศักราชใหม่  ปีใหม่ ก็คือปี 2025 เราก็จะมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งในอาทิตย์แรกของต้นปี  ก็อยากจะเห็นพี่น้องทุกคน ถ้าไม่ได้ไปต่างจังหวัด ก็มานมัสการด้วยกัน เป็นกำลังใจให้กันและกัน

            ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับพวกเราทุกๆ คน ขอบคุณที่ผูกพันเรา ให้เรามาอยู่ด้วยกันในสถานที่แห่งนี้ ขอบคุณสำหรับการจัดเตรียมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ อุปกรณ์ทุกสิ่งอย่างที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา ก็คือค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ มาทีละอย่างสองอย่าง พี่น้องไม่ต้องคาดหวังว่าทุกอย่างจะครบถ้วนสมบูรณ์  แต่มันจะค่อยๆ ดีขึ้นๆ  อดทนกันนิดหนึ่ง วันนี้เครื่องเสียงก็มีรวนนิดหนึ่ง ก็ไม่เป็นไร เราก็ผ่านไปได้  พอจิตใจเราแฮปปี้ มีความสุขกับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา  เราก็สามารถมีความสุขได้ เราจะสามารถมองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ฝอยๆ ผ่านไปได้ เมื่อเรามองข้ามได้ปุ๊บ ข้างในวิญญาณเราจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 8

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ … อยู่ในกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)

            หลังเชื่อ … อยู่ในกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต (คือกฎแห่งการพึ่งพาในการกระทำดีของ

                             พระเยซูคริสต์)

            โรม 8:1-2 … “1 เหตุฉะนั้น  บัดนี้  จึงไม่มีการพิพากษาลงโทษให้พินาศ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”

            ในโลกวัตถุที่มองเห็น มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งแรงดึงดูดของโลก จนกระทั่งค้นพบกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน จึงสามารถมีชัยชนะอยู่เหนือกฎแรงดึงดูดของโลกได้

            เช่นเดียวกัน ในโลกวิญญาณ ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำดีละชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งไม่มีใครสามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้า คือบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ จึงจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้

            จนกระทั่ง 2000 ปีที่แล้ว พระเยซูมาสถาปนากฎใหม่ ที่มีชื่อว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์” ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือกฎแห่งความบาปและความตาย คือกฎในการพึ่งพาการกระทำดี ละชั่วของตนเอง เรียกว่า “กฎแห่งพระคุณ”

            ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะเลือกการดำเนินชีวิต อยู่ในกฎใดกฎหนึ่งนี้ได้แล้ว แต่จะตัดสินใจด้วยตนเอง คือจะพึ่งพาการกระทำของตนเอง เพื่อจะได้ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ หรือถ้าไม่แน่ใจ หันกลับมาหาพระเจ้า โดยพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงประทาน ให้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ

            พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คือสถาปนากฎแห่งวิญญาณ กฎแห่งพระคุณนี้ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม เปิดประตูเข้าสู่สวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคน นี่คือข่าวดีสำหรับมวลมนุษย์ทุกคน โปรดเลือกพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เถิด! พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1502

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  ธันวาคม  2024

เรื่อง “Christmas Night”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ วันคริสต์มาสระลึกถึงอะไร? วันแห่งการให้ของขวัญ เป็นต้นแบบของการให้ของขวัญ ของขวัญที่พระเจ้าให้กับมนุษย์คืออะไร? ใครรู้บ้าง? ของขวัญที่พระเจ้าให้กับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์

            พระเยซูคริสต์มีอีกนามหนึ่งว่า “อิมมานูเอล”  แปลว่า “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” หมายถึงของขวัญของพระเจ้าที่ประทานให้กับมวลมนุษย์ คือการที่จะทำให้มนุษย์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่ด้วยกับเขา การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย มันหมายถึงอย่างนั้น ดังนั้น อิมมานูเอลจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เราควรจะเรียนรู้ว่าเป็นของขวัญที่มาจากพระเจ้า คือวันคริสต์มาส มาอ่านข้อพระคัมภีร์ข้อนี้กัน ในอิสยาห์ 7:14 นี่คือ 700 ปีก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าสัญญากับมนุษย์ไว้ ตั้งหลายพันปีแล้วว่าจะประทานพระบุตร ก็คือประทานพระเยซูคริสต์ให้มาเป็นของขวัญให้กับมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง นี่บันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์เดิม บอกล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดจริงๆ 700 ปี ลองอ่านด้วยกันว่ามันเป็นอย่างไร? …

        อิสยาห์ 7:14 กล่าวว่า “เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย ดูเถิด หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และจะเรียกนามของท่านว่า “อิมมานูเอล”

            เรียกว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า “พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา” “เรา” หมายถึงมนุษย์ทั้งปวง  และพอ 700 ปีผ่านมา พระเยซูก็มาเกิดจริงๆ ตามที่บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว อ่านในหนังสือมัทธิว 1:20-23 …

        มัทธิว 1:20-23 “แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ดูเถิด มีทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟ บุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอ เป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจะเรียกนามของท่านว่า “เยซู” เพราะว่าท่านจะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขาทั้งหลาย” ทั้งนี้ เกิดขึ้น เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยศาสดาพยากรณ์ว่า ‘ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และจะคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า “อิมมานูเอล” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”

            “อิมมานูเอล” พระเจ้าอยู่กับเรา  และนี่คือวันคริสต์มาสแรกของโลกเลย พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้ให้เห็นว่าพระเจ้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของมนุษย์แบบนี้ แบบมีเลือด มีเนื้อ โดนอะไร? เจ็บ ล้มลงไป ก็เจ็บ ถูกมีดบาดก็เจ็บ เลือดก็ไหล แต่พระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในเนื้อหนัง ร่างกายนี้ได้จริงๆ โดยให้พระเยซูคริสต์เป็นต้นแบบ เป็นแม่พิมพ์ให้กับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ มีโอกาสที่จะให้ตัวเองนั้น เป็นที่สถิตของพระเจ้า เป็นที่ให้อิมมานูเอลอยู่ด้วย ก็คือพระเยซูคริสต์มาบังเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป ด้วยวิธีนี้ ก็คือให้พระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วย

            ก่อนที่พระเจ้าสถิตอยู่ได้ ก็คือต้องทำให้มนุษย์คนนั้น ร่างกายของเขานั้น สะอาดหมดจด เป็นที่รับได้ของพระเจ้า พระเจ้าจึงเข้ามาอยู่ได้ และวิธีการทำให้เขาสะอาดหมดจด แล้วพระเจ้าเข้ามาอยู่ได้  ก็คือวิธีการเอาบาป ที่เขาเกิดมาเป็นคนบาป เอาออกไปจากเขา มันเอาออกไปไม่ได้เลย ไม่มีทางรักษาได้ นอกจากทำให้มันตายไปซะ ตัวเก่า วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป แล้วก็จะได้เกิดใหม่ เป็นสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เพื่อพระเจ้าจะได้เข้ามาเป็นอิมมานูเอล เข้ามาอยู่ได้ ด้วยวิธีใด? ลองดูยอห์น 3:16 นี่ใครๆ ก็รู้จักดีเลย ยอห์น 3:16 …

        ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตายในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            สรุปทั้งหมดที่อ่านมา ก็คือวางใจในพระบุตร วางใจในพระเยซูคริสต์ ที่ถูกส่งมา ว่าพระเยซูสามารถทำให้ร่างกายเรา ชีวิตของเรา วิญญาณของเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ จนกระทั่งพระเจ้ามาสถิตอยู่เป็นอิมมานูเอลได้ แค่นี้เอง อย่าพึ่งพาความดีงาม การกระทำ ความประพฤติ พยายามทำด้วยตัวเอง ตัวเองดี รักษาความดีไว้ สะสมความดีไว้  เพื่อจะบริสุทธิ์ เพื่อจะให้พระเจ้าเข้ามาอยู่ด้วย มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางเลย ทางเดียวเท่านั้น คือต้องเกิดใหม่ ตัวเก่านั้น วิญญาณที่เป็นบาปนั้น ต้องตายไป เพราะฉะนั้น พระเยซูเลยต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของเรา ตายแทนเรา พระเยซูตายแทนเรา เราก็มีโอกาสที่จะตายพร้อมพระองค์ได้

            เหมือนกับหัวหน้าประเทศ กษัตริย์ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ถ้าเขาประกาศสงครามกับใคร? เราก็เป็นศัตรูกับคนนั้นด้วย ถ้าเขาประกาศชัยชนะ เราอยู่ต่างจังหวัด เราก็ได้รับชัยชนะด้วย เพราะเป็นตัวแทน พระเยซูเหมือนกัน ได้แบกบาป รับบาปเราไป และเอาความตายมาให้กับเรา  คือตายแทนเรา ให้เราร่วมตายกับพระองค์

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราวางใจในพระองค์ เราตายกับพระองค์ เชื่อและวางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นตัวแทน ตัวเก่าเราก็ตายไป และตัวใหม่ของเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ได้ในตัวเรา เพราะฉะนั้น อิมมานูเอล คริสต์มาส ก็คือวันที่พระเจ้าเข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ ใครที่วางใจในพระเจ้า วางใจ เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพียงแค่นี้ พระเจ้าก็เข้าไปสถิตอยู่กับท่านแล้วเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ขณะที่ท่านมีลมหายใจอยู่นี่แหละ อยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ในสวรรค์ตลอดไปจนกระทั่งถึงวันหนึ่งตาย วิญญาณออกจากร่าง วิญญาณตัวตนจริงๆ ของท่าน  ก็อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อิมมานูเอล คือพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับท่านตลอดไปชั่วนิรันดร์ เพียงแต่ท่านได้เปลี่ยนร่างกายเป็นร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง

            นี่คือของขวัญวันคริสต์มาส เพราะฉะนั้น วันคริสต์มาส คือวันของมนุษย์จริงๆ วันที่มนุษย์ร่าเริงยินดี เพราะว่าเป็นอิสระแล้ว จากนรก เพียงแต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าเชื่อเปิดใจรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น จบ เอเมนไหม? พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 7

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ ตายอยู่ในบาป

            หลังเชื่อ บังเกิดใหม่ในความชอบธรรม

            โคโลสี 2:13-14 … “13 และท่านทั้งหลาย ซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน ตอนนี้ ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิต บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เช่นเดียวกันกับเรา และได้ทรงให้อภัยในการละเมิดกฎ คือบาปทั้งสิ้นของพวกเรา 14 พระองค์ทรงยกเลิก กฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ (หนังสือธรรมบัญญัติที่พระเจ้าได้ประทาน ให้กับชาวยิว ผ่านทางโมเสส และสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว หนังสือธรรมบัญญัติ บันทึกไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน) ซึ่งมีระบุไว้ว่าเราต้องทำตามทุกจุด ทุกขีด ทุกข้อ ในหนังสือบทบัญญัติ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีการละเมิดเลย แม้จุดๆ เดียว กฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรูต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ คือ ทำบาปต้องได้รับโทษ คือความพินาศในวิญญาณ  (เพราะมนุษย์เราไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ บริบูรณ์ดีพร้อม ตามบัญญัตินั้นได้ โดยไม่ละเมิดเลย แม้แต่จุดเดียว) พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือธรรมบัญญัตินี้ ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน  (เพื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  จะได้เป็นตัวแทนของเรามวลมนุษย์ ในการตายจากชีวิตเดิม ร่วมกับพระองค์ จากชีวิตเดิมซึ่งเป็นหนี้บาป ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ ตามบทธรรมบัญญัตินี้)”

            คริสเตียนเราทั้งหลายก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน

            ตอนนี้เรารับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกเรามีชีวิต บังเกิดใหม่ในพระคริสต์

            ก่อนเชื่อ เราตายอยู่ในบาป

            หลังเชื่อ เราบังเกิดใหม่ในความชอบธรรม

            สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเรา พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1501

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  ธันวาคม  2024

เรื่อง “ข่าวดี … พระเยซูคริสต์ ของขวัญจากสวรรค์ แก่มนุษย์ทุกคน”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หัวข้อวันนี้ แน่นอน ก็ไม่หลุดจากคำว่าข่าวดี      “ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์ ของขวัญจากสวรรค์ แก่มนุษย์ทุกคน” คริสต์มาสเป็นข่าวดีจากพระเจ้า สำหรับคนบางคน  ไม่ใช่ สำหรับคนที่เชื่อ ก็ยังไม่ใช่อีก  แต่สำหรับคนทุกคนที่ไม่เชื่อ ก็เป็นข่าวดีสำหรับเขา เราจึงเรียกว่าเป็นข่าวดีของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ แน่นอน คนที่เชื่อและวางใจ ก็ได้รับประโยชน์จากข่าวดีนี้ คนที่ไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับประโยชน์  เรามาดูสิว่าข่าวดีนี้เริ่มประกาศเมื่อไร? มนุษย์จะได้รู้ เราจะได้รู้ด้วยว่าข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นของขวัญจากพระเจ้า มาสู่มวลมนุษย์ทั้งปวง เริ่มต้นเมื่อไร? เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว เริ่มต้นตอนไหน? ช่วงเวลาของวัน คือเริ่มต้นตอนกลางคืน คืนวันที่ข่าวดีนี้เริ่มต้น อยู่ที่หนังสือพระคัมภีร์ ชื่อลูกา 2:8-12 …

        ลูกา 2:8-12 “และในแถบนั้น มีคนเลี้ยงแกะอยู่กลางทุ่ง เฝ้าฝูงแกะของเขายามค่ำคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่องล้อมรอบพวกเขา ทำให้คนเหล่านั้นตกใจกลัวยิ่งนัก แต่ทูตนั้นกล่าวแก่พวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เรานำข่าวดีมา เป็นความเปรมปรีดิ์ใหญ่หลวง สำหรับคนทั้งปวง ในวันนี้ที่เมืองของดาวิดองค์พระผู้ช่วยให้รอด ได้มาบังเกิดเพื่อท่าน พระองค์คือพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า นี่เป็นหมายสำคัญแก่ท่าน คือท่านจะพบพระกุมารพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า”

            นี่คือเรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง ที่พิสูจน์ได้จริง  เป็นประวัติศาสตร์ที่มนุษย์สามารถจับต้องมองเห็นได้ เป็นอย่างนี้  แต่อย่างที่บอก เราเรียนรู้จักจากพระคัมภีร์ หรือเรียนรู้จักพระเจ้า ต้องเรียนรู้ทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ภายใต้ประวัติศาสตร์ ภายใต้หนังสือที่เราอ่าน ที่เราเข้าใจ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เบื้องหลัง คือเรื่องโลกวิญญาณ ที่สำคัญมากว่ามันหมายถึงอะไร? พระกุมารคือใคร? หญิงสาวพรหมจารีคือใคร?  และเป็นอะไร? อย่างไร? มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ทูตสวรรค์มาบอกกับมนุษย์ ถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวดี เป็นครั้งแรกเลย ที่ประกาศบนโลกใบนี้ เป็นคำพูดที่สามารถจดได้ บันทึกได้ มีหลักฐานจริง ก็คือมีทูตสวรรค์มาปรากฏและประกาศข่าวดี เรานำข่าวดีมา เป็นความเปรมปรีดิ์ใหญ่หลวง สำหรับคนทั้งปวง ไม่ใช่คนที่เชื่อ แต่คนทั้งปวง

            รายละเอียดของข่าวดีนี้ ที่บันทึกไว้คืออะไร? คือพระองค์คือพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เรื่องข่าวดีเกี่ยวกับองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพระเจ้า ตรงนี้สำคัญมาก บันทึกไว้อย่างนี้ ได้ยินอย่างนี้ แต่จะรู้ความจริงได้ ต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ก็คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เห็นไหม? ชัดเจนเลยไหม?

            นี่เป็นหมายสำคัญแก่ท่าน คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระกุมาร หมายถึงเด็กน้อย เด็กที่เราเห็น เป็นเด็กทารก พูดง่ายๆ ข่าวดีนี้ คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อคนทั้งปวง พูดง่ายๆ ก็คือวันเกิดพระเยซูคริสต์ คือข่าวดีของมวลมนุษย์นั่นเอง  เพราะว่าวันเกิดของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเห็นด้วยตามนุษย์ ประวัติศาสตร์สามารถบันทึกได้ว่ามีเด็กคนนี้จริงๆ ชื่อพระเยซูคริสต์ เป็นมนุษย์หนึ่งคนจริงๆ แต่ทางโลกฝ่ายวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังนั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ละเอียดกว่านั้น ก็คือพระเจ้าผู้เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด พระเจ้าที่มนุษย์ตั้งกัน เรียกกันทั้งหมด พระคัมภีร์บอกว่าเป็นของปลอมทั้งสิ้น เพราะบันทึกไว้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใด พระเจ้าผู้นี้ มีพระนามว่าพระเยซูคริสต์ ที่เราสามารถบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ได้ สามารถเรียกพระองค์ว่าพระเจ้า พระเจ้าพระบุตร หรือพระเจ้าพระเยซูคริสต์ได้ และพระองค์มาเกิด เพื่อมนุษย์ทั้งปวง สามารถเรียนรู้ต่อไปว่าต้องเรียนรู้อย่างไร?

            นี่ 2,000 ปี คืนวันนั้น พระเยซู พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในรางหญ้า 30 ปีผ่านมา ใน 30 ปีนั้น พระองค์ก็เป็นมนุษย์เหมือนเราอย่างนี้ เดิน กิน ทำงาน อ่านหนังสือ เรียนรู้จักการดำเนินชีวิตแบบมนุษย์เหมือนเรา ตั้งแต่เด็ก ค่อยๆ คลาน ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ วิ่ง อะไรต่างๆ ค่อยๆ เรียนหนังสือ รู้จักคนนี้เป็นแม่ คนนี้เป็นพ่อ ก็เป็นมนุษย์ เหมือนเรา 30 ปีต่อมา พระองค์เริ่มต้นการงานของพระองค์ คือเป้าหมายของพระองค์ ถูกส่งมาโดยพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ก็คือพระเจ้า เจ้าของสวรรค์นั่นเองว่าพระองค์มาทำภารกิจอะไร ที่มาเกิดในโลกนี้ พระองค์พูดเองเลย 30 ปีเป็นคนเหมือนกับพวกเราอย่างนี้ พอปีที่ 31 ปุ๊บ เริ่มต้นปฏิบัติการเป็นพระเจ้า เขาเรียกสำแดงออกมาในร่างกายของมนุษย์

            30 ปีก่อนหน้านั้น เป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างนี้ ไม่มีอะไรเลย แต่พอเริ่มต้นปีที่ 31 ปุ๊บ เริ่มต้นแสดงอาการลักษณะของการเป็นพระเจ้า มาปรากฎแล้ว และเริ่มต้นประกาศว่าพระองค์มาเพื่ออะไร? ซึ่งคำประกาศนี้ ใครๆ ก็ได้ยินมาตลอด 2,000 ปี เป็นหัวข้อ เป็นคำประกาศที่ดังลั่น พูดง่ายๆ เหมือนรถขายกับข้าว ผ่านเข้ามาในซอย แล้วประกาศว่า …

            “มาแล้วๆๆๆๆ”

            อะไรมา ใครจะซื้อกับข้าว ก็ไป ได้ยิน เช่นเดียวกัน พระเยซูประกาศถ้อยคำนี้ ที่เรากำลังจะอ่านต่อไปนี้ เป็นครั้งแรก ให้โลกได้ยินว่าสิ่งที่โลกรอคอยอยู่ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ตั้งเป็นหลายพันปี บัดนี้ มาแล้วจริงๆ ยอห์น 3:16 ซึ่งใครๆ ก็ได้ยิน ได้ฟังก่อนที่จะมาเชื่อ และคุ้นหูตอนที่เชื่อแล้ว …

        ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตร เข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษา ลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตายในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนาม พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            นี่คือข่าวดี  ข่าวดี ก็คือพระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตร ก็คือตัวพระองค์เอง พระเยซูคริสต์ องค์เดียวเท่านั้น คือพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า อยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่เริ่มต้นสรรพสิ่งทั้งปวงในฐานะบุตรผู้เดียว พระเจ้ายอมเสียสละให้บุตรผู้นี้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทุกคนที่วางใจ พึ่งพาในพระบุตรนี้ เชื่อในข่าวดีนี้ วางใจในข่าวดีนี้ จะไม่พินาศ  คือตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระองค์ กลับมามีชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้า

            ทำไมพระองค์ต้องมาเกิด? เพราะอะไร? ข้อ 17 บอกเลยว่าพระองค์มาบังเกิดเพราะอะไร? ทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น ก็หมายถึงว่ามนุษย์ กำลังถูกลงโทษอยู่ ได้รับโทษอยู่ แล้วจะรอดจากโทษนั้นได้อย่างไร? ก็โดยการวางใจ พึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์

            ข้อ 18 บอกว่าคนที่พึ่งพา วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ก็จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ คือตายนิรันดร์ อยู่ในนรก ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว ถูกลงโทษอยู่แล้วในความตาย ในความบาป เหมือนเดิม ก็คือเป็นอยู่แล้ว

            พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็อยู่ในความบาป มนุษย์ทุกคนตกอยู่ในการเป็นนักโทษ ไปสู่ความตาย ถึงตายนิรันดร์อยู่แล้ว ถ้าไม่มีใครมาช่วย ก็อยู่ในความตายและตายนิรันดร์  และเขาจะอยู่ในที่นั่น ที่เดิม แม้ว่าข่าวดีจะมาถึงแล้วก็ตาม พระเยซูจะมาถึงแล้วก็ตาม เพราะว่าเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า เขาไม่เชื่อในข่าวดีนี้นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ใครที่เชื่อในข่าวดี ก็จะได้รับความรอด ใครที่ไม่เชื่อในข่าวดี ก็ตกอยู่ในการถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้วเหมือนเดิม และเมื่อจากร่างนี้ไปสู่โลกวิญญาณภายหลังความตาย ก็อยู่ในความพินาศ ในนรกเหมือนเดิม

            เพราะฉะนั้น เขาจึงจะเห็นว่าข่าวดีนี้ คืออะไร? ข่าวดีมากคืออะไร? คือแค่เชื่อและวางใจเท่านั้น ไม่มีเขียนอะไรเลยมากกว่านั้น พระองค์พูดเองเลยว่าเราจะได้รับความรอดจากความบาป จากนรก จากความพินาศหลังความตายได้ด้วยวิธีการ คือวางใจ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ แล้วก็ฟูลสต๊อบ จบไม่ต้องเติมอะไรลงไปอีกเลย  เพราะพระองค์บอกแค่นั้นเองจริงๆ ว่าเงื่อนไข คือให้วางใจในพระองค์ พระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลยจริงๆ

            ยกตัวอย่างในพระคัมภีร์เห็นชัดเลย ก็คือโจรบนไม้กางเขน พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน 2,000 ปีที่แล้ว เพื่อภารกิจนี้ และโจรบนไม้กางเขน บอกพระเยซูว่าเชื่อในพระองค์ พระเยซูบอกไปเจอกันที่สวรรค์ วางใจในพระบุตรที่อยู่ที่ไม้กางเขน วางใจในพระเยซูคริสต์ตรงนี้เป๊ะเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย อีกสักครู่หนึ่ง อีกสักชั่วโมง 2 ชั่วโมงก็ตายแล้ว ก็ได้ไปอยู่ในสวรรค์ แล้วสิ่งที่เขาทำมา เขาเป็นโจร เขาฆ่าคนตายมา เขาทำชั่วทำบาปเยอะแยะต่างๆ นั้น ทำไมล่ะ เขาถูกยกโทษ ก็เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ พระคัมภีร์ไม่ได้เขียนบอกว่าทุกคนที่วางใจและทำบาปน้อยกว่าทำดี ทำดีได้มากกว่า  และทำบาปไม่เยอะ ไม่รุนแรงมากจะได้ความรอด ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกว่าทุกคนที่วางใจในพระบุตรเท่านั้น นี่เขาวางใจในพระบุตร เขาได้รับความรอดทันที

            เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เชื่อ เลยบอกว่า … “โอ้โห อะไรจะขนาดนั้น ทำไมงมงายกันอย่างนี้ หัวเราะหน่อยได้ไหม? งมงายจริงๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ? อย่างนี้ก็สบายสิ ก็ไม่ต้องทำดีเลย วันทั้งวันก็ทำแต่ชั่วๆ เสร็จแล้วก็รอวันตาย แล้วค่อยเชื่อพระเยซู งมงายจริงๆ พวกนี้”

            นี่โลกพูดอย่างนั้น ถ้าไม่เชื่อ ลองฟังดูนะ 1 โครินธ์ 1:18 ดูสิ 2,000 ปีก่อน เขาคิดอย่างนี้ไหม? มันเป็นอย่างนี้ไหมในสังคมโลก คนที่ไม่รู้จักข่าวประเสริฐ  ไม่เชื่อในข่าวประเสริฐนี้  เขาพูดกันอย่างนี้ไหม? เหมือนกับในปัจจุบันไหม? …

        1 โครินธ์ 1:18 “เพราะว่าข่าวดีเรื่องกางเขนเป็นความโง่เขลา สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ที่กำลังพินาศ แต่สำหรับเราที่เชื่อ ที่กำลังได้รับการช่วยให้รอดนั้น เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า”

            เอเมนไหม? เอเมน 2 อันนะ  เราผู้เชื่อเราเอเมนว่าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ช่วยเราให้รอด เป็นอัศจรรย์ แต่คนไม่เชื่อก็เอเมนเหมือนกัน เอเมนว่าข่าวดีเรื่องกางเขน เป็นความโง่เขลา  สำหรับคนที่ไม่เชื่อ สำหรับพวกเธอที่นั่งอยู่ที่นี่  ทำไมโง่งมงาย เชื่ออะไร โอ๊ย! คนเราต้องพึ่งพาตนเองสิ ตัวเองทำไม่ดี แล้วจะได้ดีได้อย่างไร?

            นี่คือสิ่งที่เขาพูดกัน แล้วมันก็ใช่จริงๆ ใช่ในลักษณะสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ จับต้องมองเห็นได้ มันเห็นจริงๆ ขับรถฝ่าไฟแดงก็ถูกตำรวจจับสิ แล้วจะมาไถ่บาปได้อย่างไร? ฆ่าคนตายก็ต้องติดคุกสิ แล้วพระเยซูจะไปช่วยได้อย่างไร? มันคนละเรื่องกัน นี่เขากำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ข่าวดีเรื่องกางเขน มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ไม่อย่างนั้น บนกางเขนจะมีข่าวดีได้อย่างไร?  คนชั่ว คนบาปถูกลงโทษ ตายบนไม้กางเขน  ข่าวดีมากเลย พวกนี้มันตายไปดีแล้ว เพราะได้ทำชั่ว อย่างนั้นหรือ? มนุษย์เขาคิดอย่างนี้ มันไม่มีข่าวดีบนนั้นหรอก มันมีแต่ข่าวเศร้า ข่าวโหดร้ายทั้งนั้น

            แต่พระเยซูเป็นผู้เดียวที่ตายบนไม้กางเขน แล้วเป็นข่าวดี สำหรับผู้ที่เชื่อ ข่าวดีเรื่องกางเขน ฟังดูแล้ว สำหรับคนไม่เชื่อ เป็นเรื่องไร้สาระ อย่าไปสนใจเลย  แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในข่าวดีของวันคริสต์มาส วันที่พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น เรารู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์ ในวันคริสต์มาสแรกของโลก เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่จะนำคนที่เชื่อไปสู่ความรอดจากบึงไฟนรกนิรันดร์ หลังความตาย เพราะฉะนั้น ในโรม 1:16-17 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 1:16-17 “16  ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวดี เพราะข่าวดี คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย 17 เพราะในข่าวดีนั้น ความชอบธรรมจากพระเจ้าก็ได้รับการเปิดเผย เป็นความชอบธรรม ซึ่งเริ่มต้นด้วยความเชื่อ และนำไปสู่ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ”

            เพราะฉะนั้น พอเรารู้ความจริงอย่างนี้แล้ว เราเชื่อแล้ว เราจึงไม่อายในเรื่องข่าวดีนี้เลย ใครบอกเราเป็นคริสเตียน เชื่อในเรื่องงมงาย  เรื่องข่าวดีนี้ ไม่ต้องทำดี ได้ไปสวรรค์เลยนะ ไม่ต้องระมัดระวังตัวอะไรเลย แล้วก็หัวเราะ อิอิ เราภูมิใจในการเป็นคริสเตียนของเรา เอเมนไหม? เพราะว่ามันเป็นฤทธิ์อำนาจ เราอยากจะบอกเขา เพราะว่ามันเป็นฤทธิ์อำนาจ เป็นปาฏิหาริย์  ปาฏิหาริย์ แปลว่ามนุษย์ไม่เข้าใจ จึงเรียกว่าปาฏิหาริย์ไง

            แค่เชื่อและรับของขวัญจากพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์นี้เท่านั้น  เหตุที่เกิดขึ้น ก็คือพระเยซูมาช่วยเรา ทำงานแทนเรา ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว  แค่เชื่อในพระองค์ ปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้น คือจากการที่เราเป็นคนบาป ต้องโทษ เป็นนักโทษ ที่ต้องถูกลงโทษอยู่แล้ว เราสามารถที่จะบังเกิดใหม่  เป็นคนชอบธรรมทันที

            ข้อความเมื่อตะกี้นี้ มันหมายถึงตรงนี้ว่าถ้าเรารับของขวัญ เชื่อและวางใจในของขวัญนี้ คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าประทานให้นี้ เราที่จากเป็นคนบาป ต้องโทษ เป็นนักโทษ ได้บังเกิดใหม่เป็นคนชอบธรรมทันที เขาเรียกว่าพ้นโทษ  เรียกว่าผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ปราศจากมลทินใดๆ ทั้งปวง ปราศจากการถูกลงโทษอะไรทั้งปวง เป็นอิสระ เพราะว่าข่าวดีเป็นอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยสติปัญญา ด้วยเหตุผลของมนุษย์ จะเข้าใจได้อย่างไร? จะพยายามหาประวัติศาสตร์มายืนยันในเหตุการณ์เหล่านี้หรือ? เถียงกันให้ตาย พระเยซูเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ หรือ? ไปหาหลุมฝังศพว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ไม่ใช่วิธีนั้น ยังไงก็สู้เขาไม่ได้หรอก สู้เขาได้อย่างไร? เขาเรียกว่าเอาระบบที่จำกัดของมนุษย์ตามสายตามองเห็นได้  ตามประวัติศาสตร์มนุษย์ มาเทียมหรือมาพิสูจน์ แย้งกับความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ มันคนละเรื่องเลย เหมือนฟ้ากับเหว ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลย  พระคัมภีร์ก็บอกว่าไม่มีทางเข้าใจ ต้องเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น

            ยกตัวอย่างเช่นพระเยซูตายแล้ว เป็นขึ้นจากความตาย เป็นไปได้อย่างไร? ไหนพิสูจน์สิ พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ ไหนล่ะ เห็นที่ไหน? หรือใครเชื่อวางใจในพระเยซู เขาจะได้บังเกิดใหม่ นี่ยิ่งแย่ใหญ่เลย ไหนเธอเกิดใหม่แล้วหรือ? ฉันเห็นเธอเหมือนเดิมเลย เกิดใหม่ได้อย่างไร? เรื่องนี้มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ข่าวดีถูกประกาศใหม่ๆ ที่พระเยซูประกาศ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก็อย่างนี้แหละ  มีคนๆ หนึ่งชื่อนิโคเดมัส เป็นคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องศาสนายิว สงสัยพระเยซู ประกาศเรื่องนี้ วางใจในพระองค์เท่านั้น  แล้วจะได้บังเกิดใหม่ มีทางเดียวเท่านั้น คือมาทางนี้ และได้บังเกิดใหม่ จะได้ไปสู่สวรรค์ของพระบิดา นอกจากทางนี้ หนุนใจมาก แต่เขาไม่เข้าใจ พอไม่เข้าใจ เขาก็แอบย่องไปหาพระเยซู

            ก็ถาม … “แล้วมันเกิดใหม่ได้อย่างไร? เราต้องมุดเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้งหนึ่งหรือ? แล้วคลอดออกมา”

            นี่คือปัญหาของมนุษย์ แต่เราที่เชื่อ เราก็ไม่เข้าใจ ไม่ใช่เราเข้าใจนะ แต่ในวิญญาณเรามั่นใจว่ามันใช่ เอเมนไหม?  ว่ามันใช่ มันเกิดขึ้นอย่างนี้จริงๆ แต่ความรู้สึก จับต้องมองเห็นได้ ประวัติศาสตร์ เราไม่เข้าใจหรอก จะกลับเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ อะไรทำนองนั้น

            เพราะว่าตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้เสมอ ตลอดเวลาว่ามันเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ ใครจะมาแสวงหาพระเจ้า ใครจะมาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า ต้องเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ และพระองค์เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวงที่มองเห็นทั้งหมดเลย ตั้งแต่ดวงดาว ดวงจันทร์ หรือใครบนโลกใบนี้ รวมทั้งมนุษย์ที่จับต้องมองเห็นได้ พลังงานต่างๆ บนโลกใบนี้ พระองค์เป็นผู้สร้างเพียงผู้เดียวเท่านั้น  และยังบันทึกไว้ว่าสิ่งที่ตามองเห็น จับต้องทั้งหมดนั้น มันเกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น พูดง่ายๆ ว่ามันเกิดขึ้นจากพระเจ้าที่มองไม่เห็น ผู้สร้างสรรพสิ่งเหล่านี้เท่านั้น

            พระคัมภีร์จึงบันทึกไว้ว่าเป็นข่าวดีของพระเยซูที่ความรอดนิรันดร์นี้  ความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์นี้ สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จับต้องไม่ได้ แต่เป็นอยู่จริงๆ และสำคัญมากยิ่งกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นอีกด้วยซ้ำ หลายสิ่งเรามองไม่เห็น แต่เราเชื่อเลย เพราะว่าสติปัญญาอันน้อยนิดของเรา ค้นคว้าจริงๆ ยกตัวอย่างอย่างเช่น กฎของโลก พลังงานอะไรต่างๆ ที่มองไม่เห็น แต่มันมีอยู่จริง หรือแม้แต่ออกซิเจน ไฮโตเจนที่อยู่ในอากาศ เรามองไม่เห็น แม้แต่ฝุ่น เรามองไม่เห็น แต่ยุคเทคโนโลยีหาจนเจอว่ามันมีฝุ่น  ที่เรามองไม่เห็น มีฝุ่นอยู่ หรือแม้แต่ดวงดาวต่างๆ เต็มฟ้าไปหมดเลย เราเห็นไม่กี่ดวง เราก็บอกมีแค่นี้ แต่จริงๆ เลย ไปมีอีกตั้งเยอะแยะ เราค่อยๆ สร้างเทคโนโลยี ความสามารถแบบตามองเห็นได้เยอะขึ้น มากขึ้น แล้วเราก็บอกมีอยู่จริงๆ แล้วเราก็ไปบอกคนที่สร้างทั้งหมด ทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็นว่าพวกโง่เขลา ไปเชื่อได้อย่างไรพระเจ้า

            เพราะสิ่งที่มองไม่เห็น คือโลกวิญญาณนั้นอยู่นิรันดร์ พระเจ้าบอก มันอยู่นิรันดร์ ที่มองไม่เห็น แต่โลกวัตถุต่างๆ ที่ตามองเห็น จับต้องได้ และยังหาไม่เจอ แต่เป็นโลกวัตถุนั้น  วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถไปเจอได้ สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ที่มองไม่เห็นอีกเยอะแยะมากมาย พระคัมภีร์บอกว่ามันอยู่แค่ชั่วคราวเอง มันอยู่แค่แป๊บเดียวเอง แต่วิญญาณที่เป็นตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของเรานั้น มันอยู่นิรันดร์ จะอยู่ในบึงไฟนรก พินาศนิรันดร์ หรืออยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ มันเป็นความจริง ไม่มีอยู่ตรงกลาง ไม่มีสวรรค์ตรงโน้นตรงนี้อีกแล้ว มีอยู่แค่นี้ พอจากร่างนี้ไป ตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก เห็นโลกวิญญาณ มีความจริงอยู่หนึ่งเดียว คือสวรรค์ของพระบิดา ของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าของเรา พระผู้ช่วยให้รอดของเราทั้งหลายนั่นเอง เอเมน

            พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้มวลมนุษย์ ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ หลายพันปีมาแล้ว บอกไว้ล่วงหน้าว่าพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านก็อาจจะถาม หรือเราก็อยากจะรู้ว่าทำไมพระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ คนในอดีต 2,000 ปีที่แล้ว ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าพระมาซีฮาห์ผู้นี้  ทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทำปาฏิหาริย์มาเลย พ้นจากบาปเลยไม่ได้หรือ? ทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อยิ่งใหญ่ขนาดนั้น เราก็ต้องตอบว่า “ไม่รู้” แต่พระองค์บอกไว้ในพระคัมภีร์อย่างไร? มันก็เป็นอย่างนั้น ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่พระองค์จึงยอม แล้วทำไมไม่ลงมาแบบปาฏิหาริย์ล่ะ ไม่รู้ เท่าที่รู้ ก็คือกาลาเทีย 4:4-5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        กาลาเทีย 4:4-5 “4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตร (รับการบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าได้) อย่างสมบูรณ์”

            เป้าหมายที่พระเยซูต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายแบบมนุษย์ ก็เพื่อจะได้สามารถเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ เพื่อแบกรับบาปของมวลมนุษย์ และตายเพื่อมวลมนุษย์ได้ นี่เรื่องโลกวิญญาณล้วนๆ พระเจ้าต้องการให้พระเยซูลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นแม่พิมพ์ เป็นต้นแบบของมวลมนุษย์พันธุ์ใหม่ เพื่อว่ามนุษย์ก็สามารถที่จะเป็นอย่างนั้นด้วย อันนี้ต้องค่อยๆ เข้าใจแล้วนะ เพราะไม่อย่างนั้น เดี๋ยวจะบอกเป็นไปได้อย่างไร? ทั้งหมดนี้ เป็นอัศจรรย์ทั้งสิ้น มนุษย์สามารถเป็นอย่างพระเยซูคริสต์ได้ มนุษย์สามารถตายจากการเป็นคนบาป  เราเกิดมาเป็นคนบาป มนุษย์สามารถตายจากบาป  และเป็นขึ้นจากความตาย คือได้บังเกิดใหม่ได้ พระเยซูบริสุทธิ์อย่างไร? มนุษย์ก็จะบริสุทธิ์อย่างนั้น พระองค์เป็นแม่พิมพ์ มนุษย์จึงสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ได้ นี่คือเป้าหมายของการที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เป้าหมายของวันคริสต์มาส เป้าหมายของข่าวดีนี้

            นี่คือจุดประสงค์ของข่าวดีที่พระเจ้าได้ทรงประทานพระบุตร องค์เดียวของพระองค์ เพื่อมาเป็นพระมาซิฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด พระมาซิฮาห์ ก็คือพระเจ้าผู้ทรงแต่งตั้งพระบุตรเอาไว้ เพื่อมาทำการนี้ ตั้งแต่ในอดีตหลายพันปีก่อน ที่ถึงกำหนดเวลามาจริงๆ นั่นเอง เพื่อความรอดมีแก่มวลมนุษย์ทั้งปวง เน้นคำว่า “ทั้งปวง” ตลอดเลย เพราะหลายคนคิดว่ามาเพื่อคนที่เชื่อ คนที่พระเจ้าเลือกสรร ให้เป็นผู้เชื่อ ไม่ใช่ พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน  แต่เลือกแล้ว เขาไม่เอาเอง  พระเจ้าก็เสียใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร?

            ฮีบรู 2:14-17  ได้บันทึกถึงความหมายของคำว่า “เนื้อหนัง” “ร่างกายแบบมนุษย์” ที่พระเยซูมาเกิดเหมือนกับเราทั้งหลาย ทำไมต้องมาเกิดเหมือนกับเรา …

        ฮีบรู 2:14-17 “เหตุฉะนั้น ครั้นบุตรทั้งหลายมีส่วนในเนื้อและเลือดอยู่แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงรับเนื้อและเลือดเหมือนกัน เพื่อโดยความตาย พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้นั้น ที่มีอำนาจแห่งความตาย คือพญามาร และจะได้ทรงช่วยเขาเหล่านั้น ให้พ้นจากการเป็นทาสชั่วชีวิต เพราะเหตุกลัวความตาย ความจริงพระองค์มิได้ทรงรับสภาพของทูตสวรรค์ แต่ทรงรับสภาพของเชื้อสายของอับราฮัม เหตุฉะนั้น พระองค์จึงทรงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้กอปรด้วยพระเมตตา และความสัตย์ซื่อในการทุกอย่าง ซึ่งเกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปทั้งหลายของประชาชน”

            เหตุฉะนั้น ครั้นเมื่อบุตรทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย ก็คือพวกเรา ก็คือมนุษย์ทุกคน มีร่างกาย มีเลือดและเนื้อ ก็คือร่างกายภายนอกอย่างนี้ พระองค์ก็ได้ทรงได้รับเลือดและเนื้อเหมือนกัน คือยอมมาอยู่ในร่างกายมนุษย์ แบบเราอย่างนี้ เขาเรียกมีเนื้อและมีเลือด เพื่อจะได้ตายได้  ถ้าเป็นวิญญาณตายไม่ได้ คำว่าตาย หมายถึงร่างกายหยุดทำงาน  มันหมายถึงอย่างนั้น  เพื่อโดยความตาย พระองค์จะได้ทำลายผู้นั้น ที่มีอำนาจเหนือความตาย คือพญามาร  ทรงช่วยเขาเหล่านั้นให้พ้นจากการเป็นทาสชั่วชีวิต เหตุจากกลัวความตาย ก็คือความบาป ทำให้เกิดความกลัว

            พูดง่ายๆ เหตุจากความบาปที่อยู่ที่วิญญาณภายใน ไม่ได้อยู่ที่การกระทำข้างนอก  การกระทำข้างนอก เป็นเพียงแค่อาการของความบาป แต่หัวใจ ก็คือวิญญาณข้างใน เป็นคนบาป การแก้ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือความบาปนั้น พระเยซูจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นมหาปุโรหิต คือหัวหน้าปุโรหิต

            ปุโรหิต คือผู้ที่ถูกแยกออกมา บริสุทธิ์ สะอาด มีชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ เข้ากับพระเจ้าได้ ไปหาพระเจ้าได้ตลอดเวลา พูดง่ายๆ ว่าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม มหาปุโรหิต แปลว่าหัวหน้า เหล่า คณะ หรือครอบครัว  หรือประชากรที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เป็นหัวหน้าของผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม  พอนึกออกแล้วใช่ไหม?  เป็นมหาปุโรหิต แปลว่าเป็นหัวหน้าของผู้ที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม ก็คือหัวหน้าของมวลมนุษย์  พระองค์เป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น  เราเป็นเหมือนหัวหน้า หัวหน้าบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เราก็เป็นเหมือนพระองค์ หมายถึงอย่างนั้น ็นป

            เพราะฉะนั้น พระองค์จึงมา เพื่อจะเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์  เป็นต้นแบบของสายพันธุ์ใหม่ของมนุษย์ คือเป็นมนุษย์ที่เป็นวิญญาณ

และใจใหม่ นี่พูดถึงเราล้วนๆ นะ เราผู้เชื่อ มนุษย์สายพันธุ์ใหม่ คือเป็นมนุษย์ที่เป็นวิญญาณและใจบังเกิดใหม่ และมีร่างกาย ได้รับการชำระ ให้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม ไร้มลทิน ที่มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน ตลอดเวลา เขาสนิทกับพระเจ้า เป็นผู้ปรนนิบัติพระเจา เรียกว่าปุโรหิต ซึ่งในโลกนี้ ภาษาไทยแปลปุโรหิตคำนี้ว่า “พระ”  พระ คือปุโรหิต  มีหน้าที่เป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ที่เป็นคนบาป จะไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า พระคัมภีร์

            เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงเป็นมหาปุโรหิต เป็นหัวหน้าปุโรหิต เริ่มต้นของมวลมนุษยชาติ  มนุษย์พันธุ์ใหม่ พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมตายบนกางเขน เพื่อมวลมนุษย์ ซึ่งเป็นคนบาป จะได้ตายพร้อมพระองค์และได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ด้วย จึงยอมตาย  เพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้ตายกับพระองค์ด้วย  มัทธิว 16:24-25 พระเยซูประกาศไว้อย่างนี้ว่า …

        มัทธิว 16:24-25 “แล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นสาวกของเรา ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตน แบกและตามเรามา เพราะผู้ใด ต้องการเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเรา ผู้นั้นจะได้ชีวิต”

            ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง ก็คือให้ผู้นั้น ไม่พึ่งพาในตนเองอีกต่อไป  ไม่พึ่งพาในการที่จะรับผิดชอบกับความบาปของตนเองอีกต่อไป มันหมายถึงตรงนั้น  แต่ให้เขามั่นใจ พึ่งในพระเยซูคริสต์ แทนที่จะมั่นใจ พึ่งพาในตนเอง คือผู้ใดที่ต้องการเอาชีวิตรอด ก็คือผู้ใดที่มีความมั่นใจ  พึ่งพาในตนเองว่าฉันจะเอาความรอดจากบาป ด้วยการกระทำดีด้วยตนเอง ผู้นั้นจะเสียชีวิต ผู้นั้นจะช่วยตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเรา แต่ผู้ใดไม่ทำด้วยตนเองแล้ว มาพึ่งในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้เกิดใหม่ ได้มีชีวิตนิรันดร์ หมายความว่าอย่างนั้น ใครก็ตามที่ได้ยินคำประกาศของพระเยซูว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป  ไม่สามารถรักษากฎบัญญัติ กฎศีลธรรม กฎประเพณี กฎของความเชื่อต่างๆ ให้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎต่างๆ ที่เชื่อเหล่านั้น จนสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้าสู่สวรรค์ของพระเจ้าได้ โดยการกระทำของตนเอง ไม่มีใครสามารถทำได้ พระเยซูประกาศเอง

            พระเยซูบอกว่านอกจากเขาจะเกิดใหม่เท่านั้น ถึงจะเข้าสู่สวรรค์ได้  พระองค์เลยบอกก็ให้ผู้นั้น  คนที่พึ่งพาตนเอง  ยังไงก็ทำไม่ได้  ก็ให้ผู้นั้นเลิกความตั้งใจที่จะพึ่งพาตนเอง อย่างนั้นเสีย แล้วให้แบกเอากางเขน ความบาปของตน แล้วตามพระองค์ไป  ไปไหน? ไปที่โกละโกธา  ไปตายด้วยกัน  ร่วมกับพระองค์บนไม้กางเขน

            นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณล้วนๆ เลย แบกความบาปของตนเองไป  ตายพร้อมพระเยซูที่ไม้กางเขน  เพื่อว่าตัวเก่าที่เป็นคนบาป  เป็นวิญญาณบาปภายในนั้น จะได้ตายไป เพื่อบังเกิดใหม่ ด้วยชีวิตนิรันดร์ที่มาจากพระองค์ ชีวิตใหม่ที่เป็นของพระองค์ โดยการเป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระองค์ พร้อมกับพระองค์ ในยอห์น 3:3 พระเยซูประกาศความจริงว่า …

        ยอห์น 3:3 “พระเยซูประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่”

            เราก็สามารถเติมได้เลยว่า “ไม่มีใครสามารถบังเกิดใหม่ด้วยตนเอง เป็นไปได้หรือ?  เห็นไหม? มันต้องอัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น แล้วมนุษย์จะต้องทำอย่างไร? จึงจะได้บังเกิดใหม่นั้น  เราก็คิด พระคัมภีร์ก็บอกว่าเราจะบังเกิดใหม่ได้ เป็นการอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ของข่าวดีเท่านั้น  ก็เพียงแค่วางใจและเชื่อ เชื่อในคำประกาศของพระคริสต์ เพียงเท่านั้น ทุกคน ใครก็ตามสามารถรับการบังเกิดใหม่ได้แล้ว ส่วนขบวนการการบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ  เป็นการกระทำอย่างอัศจรรย์ของพระเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา  โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เป็นอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น เข้าสวรรค์ได้ ด้วยความเชื่อและวางใจเท่านั้น อย่างเดียว

            มาดูคร่าวๆ ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ เรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร?  เราบังเกิดใหม่ได้อย่างไร? เป็นตัวแทนเราอย่างไร? พอจะเห็นภาพได้ว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  วางใจในพระเยซู ต้อนรับข่าวดีนี้ โรม 6:3-5 …

        โรม 6:3-5 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น 4 ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”

            เห็นการเป็นตัวแทนไหม? นี่แหละคำว่าเป็นตัวแทน ถ้าไม่เข้าใจ พยายามไปอ่านข้อความนี้หลายๆ เที่ยว อ่านในลักษณะในความเข้าใจทางฝ่ายโลกวิญญาณ คริสเตียนควรรู้เรื่องนี้อย่างมาก  เพราะเป็นขบวนการ การอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับเรา เราเกิดใหม่จริงๆ โดยพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน ถ้ายังไม่ชัด ถ้ากษัตริย์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือนายกรัฐมนตรี หรือประธานาธิบดีของประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นตัวแทนของประเทศนั้น  ประกาศเรื่องเกี่ยวกับสงครามว่าสงครามนี้เขาชนะ  ประเทศเราชนะ เราแม้จะอยู่ที่ตำบลโน้น สุดขอบของประเทศเลย จังหวัดติดขอบประเทศเลย  เราก็เป็นคนที่ชนะด้วย ตอนที่ประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี หรือกษัตริย์ประกาศที่พระราชวัง หรือที่ไหน?  ที่กรุงเทพ? หรือที่เมืองหลวง  บอกว่าบัดนี้ ประเทศเราได้ชนะแล้ว เราอยู่จังหวัดเหนือสุด ใต้สุด เราก็ชนะไปด้วย  เพราะว่าเป็นตัวแทน เราไม่ได้ไปรบกับเขาเลย เราไม่ได้ไปทำอะไรกับเขาเลย  เราทำเพียงอย่างเดียว คือ เมื่อคำประกาศมาถึง เราเชื่อในคำประกาศนั้น  เราวางใจในคนที่พูด กษัตริย์ของเรา นั่นใช่ประธานาธิบดีจริงๆ ของเรา เป็นตัวแทนรัฐบาลจริงๆ อย่างนั้นแหละ ลักษณะเดียวกัน

            เราทั้งปวงที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียนทั้งหลาย  ก็ควรจะรับรู้ความจริงในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณตรงนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งมันเกินความคิด ความเข้าใจ และสติปัญญาของมนุษย์  เพราะฉะนั้น ข่าวดีวันคริสต์มาส จึงเป็นการอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์สำหรับทุกคนที่เชื่อ ตรงนี้จึงจะแยกออกมาแล้ว ไม่ใช่ทุกคนแล้ว  ทุกคนที่เชื่อ อัศจรรย์จึงจะเกิดขึ้น ทั้งที่มันเป็นข่าวดีสำหรับมนุษย์ทุกคนจริง  แต่มันจะเกิดเป็นผล เป็นขบวนการ ฤทธิ์เดชอำนาจขึ้นมาได้ ก็ต่อเมื่อคนนั้นเชื่อในข่าวดี พระเจ้าจึงบอกว่าให้ลองมาเชื่อในข่าวดีนี้ดู แล้วจะรู้ว่าพระเจ้าดี สดุดี 34:8 บันทึกไว้อย่างนี้ชัดๆ …

        สดุดี 34:8 “โอ ขอเชิญชิมดู แล้วจะเห็นว่าพระเจ้าดี  คนที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข”

            เปลี่ยนนิดหนึ่งดีกว่า สมมติว่าเราเรียนมาถึงตรงนี้แล้ว ได้รู้ความจริงตรงนี้แล้ว น่าจะพูดอย่างไร? พูดดังๆ สิ …

            “โอ้โห! ขอเชิญชิมดู แล้วจะเห็นว่าพระเจ้าดี คนที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข”

            ลองฝึกไว้พูดกับคนข้างๆ สิ … “โอ้โห! ลองชิมดูสิ” ตะกี้ โอ้โห แบบอ่าน  ลองโอ้โห แบบธรรมชาติสิ …

            “โอ้โห! เธอลองชิมดูสิ เธอลองดูได้ ลองวางใจในข่าวดีนี้ ลองเชื่อในข่าวดีนี้ดู ลองวางใจในพระเยซูคริสต์ดูว่าจริงหรือเปล่า แล้วเธอจะรู้ว่าเธอก็จะถูกเรียกว่าผู้โง่งมงายในอนาคตอันใกล้”

            พระเจ้าเชิญชวนให้มนุษย์ทุกคนได้สัมผัส ประสบการณ์ความดีงามของพระองค์ในชีวิตของเขา พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งความอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ ความรักและความเมตตา พระองค์ประสงค์ให้มนุษย์ทุกคน ได้รู้จักพระองค์ ใกล้ชิดพระองค์ ข่าวดีวันคริสต์มาสเป็นอัศจรรย์ เป็นปาฏิหาริย์ สำหรับทุกคนที่เชื่อ ย้ำอีกทีหนึ่งว่าเป็นข่าวดี สำหรับคนที่เชื่อ แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ เป็นข่าวไร้สาระ  เพราะฉะนั้น ข่าวดีของคนที่เชื่อ คือยอห์น 3:16 ย้ำอีกทีหนึ่ง …

        ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ  (ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป) แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์”

            เกิดจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า มีสภาวะ พระลักษณะของพระเจ้า ดำรงอยู่ในเขา เอเมน ทุกคนที่พึ่งพา วางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์จะได้รับอิสระ อิสระจากหนี้บาป เวรกรรมทั้งปวง ตลอดไป ไม่ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรมของตนอีกต่อไป มีหนี้บาป เวรกรรมจริงๆ แต่พระเยซูชดใช้ให้หมดแล้ว  เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ไม่ต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรมของตนเองอีกต่อไป ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตนิรันดร์อีกต่อไป และจะไม่พินาศ คือตายนิรันดร์อยู่ในความบาป ในบึงไฟนรก หลังความตายนิรันดร์เช่นเดียวกัน  คนที่เชื่อ คนที่เป็นคริสเตียน วิญญาณได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์ เหมือนพระองค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้  ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว แล้วจะเป็นอย่างนี้ต่อไปจนนิรันดร์

            ลองมาชิมดูข่าวดีนี้  พระเยซูประกาศ พระเจ้าต้องการ  ชิมดูโดยไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ เลย แค่วางใจเท่านั้นเอง ไม่มีข้อห้ามใดๆ ในการลองชิมพระเจ้า ผู้แสนดีนี้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ เลย ในการลองชิมข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร? ชนชาติใด? ภาษาอะไร? ประเพณี วัฒนธรรม และความเชื่อจะเป็นอย่างไร? ท่านสามารถลองชิมพระเจ้า พระเยซูคริสต์นี้ได้ ท่านสามารถพิสูจน์ ด้วยวิญญาณของท่านได้ด้วยตนเอง ไม่มีข้อห้ามใดๆ  ไม่ต้องเลิกเชื่อ ไม่ต้องเลิกประเพณีวัฒนธรรมที่ท่านเคยทำมา ไม่ต้องย้ายจากประเทศนี้ ไปประเทศโน้น ไม่ต้องย้ายจากนี่ไปโน่น ไม่ต้องย้ายจากประเพณีที่เคยทำ แล้วบอกว่าทำไม่ได้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ ในการวางใจและลองชิมข่าวดีนี้ดูว่ามันจริงหรือไม่? ต้องการความจริงใจ และถ้าท่านลองชิมเมื่อไร? ท่านก็จะรู้ว่าพระเจ้าดี ท่านจะมีประสบการณ์ และการอัศจรรย์เกิดขึ้นทันทีแน่นอน 100% ไม่ต้องรอคนอื่นมาวางมือ ไม่ต้องรอคนอื่นมาอธิษฐานให้ ท่านสามารถวางใจด้วยตัวท่านเองนั่นแหละ ทุกที่ที่ไหนก็ตาม ท่านสามารถพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใครเลย  เพราะว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ ท่านจะมีประสบการณ์และการอัศจรรย์ในวิญญาณของท่าน เพราะว่าในวิญญาณของท่านจะรับรู้ได้ว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่จริงๆ

            ข่าวดีวันคริสต์มาส เป็นข่าวดีจริงๆ  เพราะเวลาท่านพิสูจน์ ท่านวางใจในพระเยซู สิ่งที่พิสูจน์ชัด ก็คือพระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ภายในท่าน เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ พระเจ้าจะเข้ามาเดินอยู่กับท่าน เผชิญอุปสรรคปัญหา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างที่จับต้องมองเห็นได้กับท่านจริงๆ ท่านไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป  ท่านจะรู้ว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับท่าน ท่านไม่โดดเดี่ยวคนเดียวอีกต่อไป ท่านไม่ต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพังทุกเรื่องบนโลกใบนี้ แต่พระองค์ทรงอยู่ด้วยตลอดเวลา และอยู่ด้วยตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ทันที หลังจากที่ท่านเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ และจะอยู่กับท่านอย่างนี้ ไปจนกระทั่งถึงหลังความตาย จนถึงนิรันดร์ เรียกว่าสวรรค์ พูดง่ายๆ ว่าท่านจะอยู่สวรรค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ และอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ ตลอดชั่วนิรันดร์ นี่คือข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ข่าวดีวันคริสต์มาส ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทุกคนลองชิมดู แล้วจะรู้ว่าจริง พระเจ้านั้นดี และดีจริงๆ  พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 6

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ  :  มีธรรมชาติเป็น … ศัตรูที่ต่อต้าน  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า

            หลังเชื่อ  :  มีธรรมชาติเป็น … ลูกที่เชื่อฟังพระเจ้า

            โรม 6:11-14 … “11 ในทำนองเดียวกัน จงรับรู้ความจริงว่าตัวท่านเอง (คริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว) ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ในพระเจ้า  เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์ 12 ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาป มาเป็นเจ้า ครอบครอง ร่างกายที่ต้องตายของท่านอีกเลย คือให้ความบาป ยุแหย่ ล่อลวง ทำให้ท่าน ต้องเชื่อฟัง และทำตามกิเลสตัณหาเนื้อหนังของมัน 13 ท่านไม่ควรยอมให้บาป มาใช้อวัยวะส่วนไหนก็ตามของท่าน เป็นเครื่องมือในการทำบาปชั่ว แต่ให้มอบชีวิตของท่านเองกับพระเจ้า  ให้สมกับ เป็นคนที่ตายไป และบังเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว ดังนั้น ขอให้ท่าน ยอมให้พระเจ้า ใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายท่าน ให้เป็นเครื่องมือ  ในการทำความดี   (ตามพระประสงค์อันดีงามของพระเจ้า) 14 เพราะบาป ไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ  (ไม่ได้เป็นทาสของมันแล้ว) แต่อยู่ใต้พระคุณ”

            ก่อนเชื่อ  :  มีธรรมชาติ เป็นศัตรูที่ต่อต้าน  ไม่เชื่อฟังพระเจ้า

            หลังเชื่อ  :  มีธรรมชาติ ที่เป็นลูกที่เชื่อฟังแล้ว

            ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาป มาเป็นเจ้า ครอบครอง ร่างกายที่ต้องตายของท่านอีกเลย คือให้ความบาป ยุแหย่ ล่อลวง ทำให้ท่าน ต้องเชื่อฟัง และทำตามกิเลสตัณหาเนื้อหนังของมัน

            ท่านไม่ควรยอมให้บาป มาใช้อวัยวะส่วนไหนก็ตามของท่าน เป็นเครื่องมือในการทำบาปชั่ว แต่ให้มอบชีวิตของท่านเองกับพระเจ้า  ให้สมกับ เป็นคนที่ตายไป และบังเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว

            ดังนั้น ขอให้ท่าน ยอมให้พระเจ้า ใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายท่าน ให้เป็นเครื่องมือ  ในการทำความดี  (ตามพระประสงค์อันดีงามของพระเจ้า)

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1500

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  ธันวาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 10

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 3:23 บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:23-27 “23 ก่อนที่ความเชื่อนี้จะมีมา  เราตกเป็นนักโทษของบทบัญญัติ ถูกกักขังไว้จนกว่าความเชื่อจะถูกเปิดเผย 24 ดังนั้น บทบัญญัติได้รับมอบหมายหน้าที่ ให้นำเรามาถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ 25 บัดนี้ ความเชื่อนั้นมาถึงแล้ว เราจึงไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบทบัญญัติอีกต่อไป 26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า  โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมา  เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว  ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”

            ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายให้ชาวกาลาเทียได้รับรู้ความจริงของเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำการงานของพระองค์เรียบร้อยไปแล้วว่าก่อนที่ความเชื่อนี้ จะมีมา ความเชื่อ ตรงนี้ คือก่อนที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดบนโลกใบนี้ แล้วก็ได้มาสิ้นพระชนม์แทนพวกเรา มนุษยชาติทั้งหลายบนไม้กางเขน และได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น พวกเรา คือมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือคนต่างชาติ ก็ตกเป็นนักโทษของบทบัญญัติ  เราต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติที่พระเจ้าทรงตั้งขึ้น ผ่านทางโมเสส พวกเราคนต่างชาติ เราไม่รู้เรื่องหรอกบทบัญญัติ คนยิวจะถูกบทบัญญัติเหล่านี้บังคับไว้ เพื่อที่จะทำตาม ให้เป็นไปตามที่พระเจ้ากำหนดไว้  แต่ส่วนเราที่เป็นคนต่างชาติ บทบัญญัติเหล่านี้ ถูกเขียนไว้ในวิญญาณของเรา เรารับรู้ความจริงตรงนี้ เรารู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ มนุษย์ทุกคนรู้หมด โดยที่ไม่ต้องมีใครสอน คือจิตใต้สำนึกมันจะรู้ แต่อยู่ตรงที่ว่าเรารู้ แล้วเราทำได้หรือไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ส่วนใหญ่ ก็จะทำไม่ค่อยได้เท่าไร?  เพราะว่าพื้นฐานของเรา เรียกว่าเกิดมาเป็นคนบาป เป็นคนบาป ทำความดีไม่ค่อยเป็น  แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงกำหนดเวลาของพระองค์ ที่จะประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ให้มาเกิดบนโลกใบนี้

            ดังนั้น แผนการที่พระเจ้าตั้งไว้ ไม่ใช่พระเจ้าพูดปุ๊บ มันเกิดปั๊บ  แต่พระเจ้าวางแผนการไว้ แล้วแผนการนั้น จะต้องดำเนินไปตามระบบที่พระเจ้าตั้งไว้ ตามวันเวลาที่พระเจ้ากำหนดด้วย หมายความว่าเราจะคิดว่าต้องเร็วๆ ไปเร่งพระเจ้าไม่ได้  พระเจ้ากำหนดว่าเมื่อไร? อย่างไร? พระองค์กำหนดเรียบร้อยแล้ว

            คนอิสราเอลรอคอยพระมาซีฮาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าพระบิดา สัญญาว่าจะประทานให้ รอคอยมาหลายพันปี พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าว่า ณ เวลานี้ พวกเธอทำอย่างนี้ไปก่อน ก็คือปีต่อปี เอาแกะมาถวาย เป็นเครื่องบูชา เขาเรียกว่าลบบาปรายปี พอปีหน้าเธอต้องมาทำใหม่นะ ถ้าเธอไม่ทำ ก็เสร็จเลย ไม่สามารถที่จะเป็นประชากรของพระเจ้าได้ ดังนั้น คนอิสราเอลจะยึดถือกฎบัญญัติตรงนี้มากๆ เคร่งครัดด้วย คือทุกคนจะทำตามกฎต่างๆ ที่โมเสสเขียนไว้ ตั้งแต่สมัยเดิม แล้วก็ไล่มาจนถึงยุคของพระเยซูคริสต์ คนยิวก็ยังคงทำเหมือนเดิม  คือต้องเข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า ไปถวายเครื่องบูชา แม้แต่ตัวพระเยซูคริสต์เอง พระองค์ก็ยังคงอยู่ภายใต้กฎตรงนี้อยู่ ตอนที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ตอนที่พระองค์อายุ 1 ขวบถึง 30 ก็คือต้องเข้ามาในพระวิหาร  ต้องมาถวายเครื่องบูชา จนอายุ 31 พระองค์ก็ทำภารกิจของพระองค์ คือถึงเวลากำหนดที่พระเจ้าบอกให้ออกมาประกาศข่าวดีของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ออกไปประกาศข่าวดีว่าแผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว มาใกล้แล้ว ก็คือตัวพระองค์เองกำลังจะทำภารกิจตรงนี้ ให้สำเร็จตามที่พระเจ้าพระบิดากำหนดไว้

            ฉะนั้น ในช่วง 3 ปีกว่าที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศแผ่นดินของพระเจ้า ณ เวลานั้น พระเยซูคริสต์ไม่ได้ประกาศกับคนต่างชาติ พวกเราไม่เกี่ยวกันเลย ก็คือไม่มีโอกาส ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ที่จะเข้ามารับความช่วยเหลือตรงนี้จากพระเจ้า ฉะนั้น พระเยซูคริสต์มาทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย เพื่อที่จะให้คนยิวทั้งหลาย รับรู้ว่าพระองค์คือผู้นั้น คือพระมาซีฮาห์  คือพระผู้ช่วยให้รอด คือคนที่พระเจ้าพระบิดาสัญญาไว้ว่าจะประทานมาให้ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น

            ฉะนั้น พอพระเยซูมาประกาศ เนื่องจากเวลาผ่านไปหลายพันปี คนยิวก็เริ่มลืม ลืมสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ เนื่องจากรักษากฎบัญญัติ ยิ่งคนที่สามารถรักษากฎบัญญัติได้เยอะกว่าชาวบ้าน ก็คือพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ยิ่งสนุกสนานในการรักษาบทบัญญัติใหญ่ เพราะว่าพอรักษาได้เยอะ ก็เหมือนกับไปเกทับคนอื่นได้เยอะ เหมือนกับภาคภูมิใจความดีงามของตัวเอง แล้วก็มีความสุข  เพราะว่าพอรักษาได้เยอะ คนก็นับหน้าถือตา ก็มีคนเคารพรักเยอะ อะไรประมาณนั้น แต่ว่าพอพระเยซูคริสต์มาประกาศว่าพระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ พระองคจะมาช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์มาตามพระสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้ พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสีไม่เชื่อว่าพระเยซู คือผู้นั้น แล้วก็ยังคงมีความสุขกับการถือรักษากฎบัญญัติ ที่โมเสสสั่งไว้อย่างเคร่งครัด

            นี่คือความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดของพวกมหาปุโรหิตและธรรมาจารย์  เพราะเขาไม่รับรู้ความจริงที่พระเจ้าประกาศให้เขารู้ว่า ณ เวลานี้ เมื่อถึงกำหนดที่พระเจ้าส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา กฎบัญญัติต่างๆ ที่เป็นกฎเดิมที่พระเจ้าตั้งไว้ มันจะเป็นโมฆะ หมายความว่าวันที่พระเยซูคริสต์มาทำให้ภารกิจเหล่านี้สำเร็จ  คือวันที่พระเยซูคริสต์เดินไปที่ไม้กางเขน  สิ้นพระชนม์บนนั้น หลั่งพระโลหิต  ถูกฝัง แล้วเป็นขึ้นมาจากความตาย จากวันนั้น การถวายเครื่องบูชาแบบเดิมๆ จะถูกยกเลิกไป นี่คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้

            พระเจ้าทรงตั้งกฎใหม่ กฎใหม่ที่พระเจ้าตั้งมา ก็คือใครก็ตามที่มาเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์ ผู้นั้นจะรอด ในผู้อื่น ความรอดไม่มี ก็คือคนยิว ถ้าจะยังยึดถือบทบัญญัติ พยายามเคร่งครัดที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จ ตามที่โมเสสสั่งไว้ อันนั้น ทำไปเถอะ มันไม่เกิดผลใดๆ เพราะพระเจ้าไม่รับ เมื่อพระเจ้าไม่รับ พระองค์เป็นเจ้าของสวรรค์ พี่น้องนึกภาพออกไหม? พระองค์มีสิทธิ์ที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ ผู้ที่จะเข้าสวรรค์ของพระเจ้าได้ พระองค์มีสิทธิ์ไหม? หรือเราจะไปต่อล้อต่อเถียง …

            “พระองค์ไม่ทรงยุติธรรมเลย ทำไมล่ะ ฉันทำซะเยอะแยะอย่างนี้ พระองค์น่าจะรับฉันได้นะ”

            พระเจ้าบอก … “ฉันไม่สนใจ เราได้ตั้งกฎไว้แล้ว”

            ก็คือมีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะสามารถนำพามนุษยชาติไปถึงพระเจ้าพระบิดาได้  นี่คือเงื่อนไข เพราะฉะนั้น พอถึงยุคหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ มนุษยชาติทุกคนจำเป็นจะต้องมาพึ่งพาในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขา บนไม้กางเขน แค่นั้น ไม่สามารถพึ่งพาความดีงามของตัวเอง ความชอบธรรมของตัวเอง เพื่อที่จะไปถึงสวรรค์ได้

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ตรงนี้ จึงบอกว่าคนที่ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้ ต้องผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อความเชื่อมาถึง ก็คือเมื่อพระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์อยู่บนไม้กางเขน แล้วตะโกนว่าสำเร็จแล้ว วันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ 2,000 ปี คือตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จะไม่มีการถวายเครื่องบูชาอีก หรือมนุษย์จะไม่ได้ถูกควบคุมโดยบทบัญญัติอีกต่อไป ก็คือถ้าคนที่ไม่รู้ ก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของบทบัญญัติเหมือนเดิม ยังคงเป็นทาสเหมือนเดิม  แต่ถ้าคนที่รู้ความจริงเขาจะเป็นไท เป็นอิสรภาพ เขาจะสามารถเข้ามาหาพระเยซูคริสต์ เข้ามาผ่านทางพระคุณ พระคุณ ก็คือพระเยซูคริสต์ได้ทำให้มนุษยชาติทั้งหมดเปล่าๆ โดยไม่คิดมูลค่า ก็คือไม่ได้คิดว่ามาเชื่อพระเจ้า จะต้องเอาเงินมานะ ต้องเอาโน่นเอานี่มานะ จะได้รับความรอด ไม่มี พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ให้เปล่าๆ

            ใครก็ตามที่เดินเข้ามาหาพระเยซูคริสต์ แล้วบอกกับพระเจ้าว่าต้องการพระองค์ เรารู้ตัวว่าเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราต้องการพระองค์เป็นพระเจ้าส่วนตัว ทันที คนๆ นั้นก็จะได้มีสิทธิ์ มีส่วนเข้ามา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทำขบวนการของพระองค์ ซึ่งเราคุยกันหลายรอบแล้วว่ามันเป็นขบวนการในโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ เราไม่สามารถมองด้วยตาของเรา  จับด้วยมือของเรา เราไม่ได้สามารถทำถึงขนาดนั้น แต่มันเป็นขบวนการที่ผ่านทางความเชื่อ แล้วความเชื่อตรงนี้ เราสังเกตไหมในพระคัมภีร์ ยอห์น 3:16 ผู้ใดที่วางใจ ไม่ได้พูดถึงความเชื่อนะ เพราะว่ามนุษย์บาปคนหนึ่ง ไม่สามารถเชื่อได้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่เขาสามารถวางใจ ก็คือได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วเกิดความวางใจข้างในว่าลองสักตั้งหนึ่งว่าพระเจ้าองค์นี้ เป็นพระเจ้าจริงไหม?  แล้วเราสามารถยึดถือได้ไหม?  เรามาวางใจพระองค์ดีกว่า

            นี่คือจุดเริ่มต้นของคนที่เดินเข้ามาหาพระเจ้า  เมื่อเขาวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ขบวนการการบังเกิดใหม่เกิดขึ้น มันเป็นขบวนการที่อยู่ในโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น เป็นของประทานที่พระเจ้าใส่เข้ามาในผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นของประทานมาเป็นชุด คือจากขบวนการนี้  พระเจ้าได้ผ่าตัดวิญญาณของเรา  วิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่

            คำว่า “เปลี่ยนใหม่” ไม่ใช่ซ่อมแซม ไม่ได้มาปะๆ ชุนๆ วิญญาณเก่าสกปรก โสโครก เอาน้ำมาล้างๆ ไม่ใช่ แต่ว่าพระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่  ให้คนนั้นทันที เป็นวิญญาณชนิดเดียวกันกับพระเจ้าเหมือนพระเยซูคริสต์

            พระเจ้าได้เปลี่ยนความคิดจิตใจใหม่ให้คนนั้น ทันทีอีก ก็คือเราจะมีความคิดจิตใจเดียวกันกับพระเจ้า เป็นความคิดที่สะอาดบริสุทธิ์หมดจด เป็นความคิดที่ไม่รู้จักคำว่าบาปเลย ทำบาปไม่เป็น แล้วจากนั้น ขบวนการตรงนี้ ในเรื่องของการบังเกิดใหม่นี้ ยังมีการชำระร่างกายของเรา ร่างกายนี้ ที่อยู่ภายใต้ความบาปและความตายอยู่ ร่างกายที่ยังเดินไปเดินมาอยู่บนโลกใบนี้อยู่ พระเจ้าได้ทรงชำระเราให้สะอาด หมดจด ที่พระเจ้ารับเราได้ จนกระทั่งพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่มันเกิดขึ้นทันที วันที่พี่น้องอธิษฐานขอพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระเจ้าส่วนตัวของเรา มันเกิดขึ้นทันที และของประทานอีกอันหนึ่งที่พระเจ้าใส่เข้ามา ในวิญญาณของเรา ก็คือของประทานแห่งความเชื่อ เราจึงสามารถเชื่อได้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน  ความเชื่อตรงนี้ เป็นของประทานที่พระเจ้าใส่เข้ามาให้เรา ซึ่งความเชื่อนี้มันจะคงอยู่ มันจะไม่วิ่งขึ้นวิ่งลง เหมือนกับที่เราคิดว่าแย่แล้ว ความเชื่อถดถอย วันนี้ความเชื่อพุ่งปรี๊ด ไม่มี ของประทานนี้ พระเจ้าใส่เข้ามา ทำให้เราสามารถเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย

            ดังนั้น ของประทานแห่งความเชื่อนี้ จะอยู่กับเราตลอด ความเชื่อของเราจะไม่เสื่อมถอย ตามในหนังสือฮีบรูบอกไว้  ทำไมเราเสื่อมถอยไม่ได้ เพราะว่าอันนี้มาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากความรู้สึก การนึกคิด หรือพยายามสร้างความเชื่อด้วยวิธีการของเรา ไม่ใช่ แต่พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ ฉะนั้น ความเชื่อตรงนี้มันจะไม่เสื่อมถอย เราก็จะสามารถเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ไปเรื่อยๆ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต คือลมหายใจเราออกจากร่าง แล้วเราก็ได้ไปอยู่กับพระองค์ ตามที่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของท่าน พระองค์จะทรงนำพาท่านไปจนถึงจุดหมายปลายทาง จนถึงความสำเร็จ พี่น้องไม่ต้องกลัวว่าอยู่กลางทาง แล้วพี่น้องสะดุดหัวทิ่ม วิญญาณหลุดหายไปแล้ว  ไม่ได้อยู่ในพระเจ้าแล้ว ไปอยู่ในอาดัม  มันเป็นไปไม่ได้ ก็คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เชื่อแล้วเชื่อเลย เกิดแล้วเกิดเลย  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเลย มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ตรงนี้มันถูกสถาปนาเรียบร้อยไปแล้ว แต่ส่วนที่เราเผลอเรอไปทำบ้าง พลั้งบ้าง หัวทิ่มบ้าง หัวตำบ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะว่ามันเกิดจากในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราถูกล่อลวง ให้หลงไปเท่านั้นเอง

            ดังนั้น การล่อลวงเหล่านี้ ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะ ความเป็นลูกของพระเจ้าของเราไปได้เลย มันเปลี่ยนสถานะไม่ได้ แค่ว่าถูกล่อลวงเยอะ ก็ทุกข์เยอะบนโลกใบนี้ ถูกล่อลวงน้อย ก็ทุกข์น้อยบนโลกใบนี้ มีความสุขมากขึ้น มีทุกข์น้อยลง เท่านั้น  แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรับรู้ คือวิญญาณเรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันเรียบร้อยไปแล้ว ณ เวลานี้ พี่น้องนั่งอยู่ตรงนี้ ไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่ในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกเราอย่างนี้ว่าเรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งพระสิริของเรา ในโคโลสีบอกอย่างนั้นว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สถิตอยู่ในเรา มนุษย์ตัวเป็นๆ อย่างเรา ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม พระเจ้าอยู่ในเรา ไม่ว่าวันไหนตื่นขึ้นมางอแงบอกว่าวันนี้ สงสัยพระเจ้าหายไปแล้ว ไม่เห็นสดชื่นเหมือนวันก่อนเลย ก็เปลี่ยนสถานะนั้นไม่ได้ เปลี่ยนความจริงนั้นไม่ได้ พระเจ้าก็ยังคงสถิตอยู่ในท่าน หรือแม้แต่วันไหนที่ท่านเผลอไปทำบาป พระเจ้าก็ยังคงอยู่ในท่านเหมือนเดิม  พระองค์ไม่หนีไปไหน? เพราะว่าพระเจ้าบอกเรากับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน

            จะให้เห็นภาพ ทันทีที่เราบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าปุ๊บ เรากับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสนิทกัน คำว่า “สนิท” คือเหมือนกับกระดาษ 2 แผ่น  ที่เราเอากาวลาเท็กซ์ที่มันแน่นๆ มาทาแล้วแปะเข้าด้วยกัน มันไม่สามารถแยกจากกันได้ มันจะแยกจากกันได้ ก็คือฉีกมันทิ้งเท่านั้นเอง แต่ว่าจะให้เราแยกจากพระเจ้า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะพระเจ้าบอกว่าไม่มีสิ่งใดในโลกใบนี้ที่จะสามารถแยกเราจากความรักของพระเจ้าได้ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ จะช่วยพี่น้องให้สามารถหนักแน่นมั่นคง สามารถยืนหยัดอยู่บนโลกที่ชั่วร้ายนี้ โลกแห่งการหลอกลวงทุกรูปแบบ โลกที่พยายามส่งข้อมูลเท็จเข้ามาหลอกเราว่า …

            “พระเจ้าไม่รักเราแล้ว นิสัยอย่างนี้ พระองค์ไม่เอาหรอก”

            เราก็สวนไปเลย … “นิสัยอย่างนี้แหละ ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มีอะไรไหม? เพราะว่าฉันได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว”

            แต่โดยความเป็นจริง พี่น้องไม่ต้องกลัวว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ชีวิตเราจะไม่เปลี่ยน พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะเปลี่ยนแปลงเราเอง ให้ธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ถูกสำแดงออกมาผ่านทางชีวิตของเรา จะมากจะน้อย ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  จนผู้คนรอบข้างจะเห็นสง่าราศีของชีวิตของเรา เห็นพระเยซูคริสต์ปรากฏผ่านทางชีวิตของพวกเรา นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ โดยที่เราไม่ต้องพยายามบีบตัวเอง หรือว่าพยายามเข็นตัวเอง ให้ต้องทำๆ ไม่ใช่ต้องทำ แค่ทำอย่างเดียว คือยอม ยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ยอมรับรู้ความจริงของพระเจ้าทุกวี่ทุกวันว่าพระองค์ได้ทำอะไร? ให้กับพวกเราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แค่นั้นเอง พอรับรู้ความจริงมากเท่าไร? ผลแห่งความจริงนี้จะถูกสำแดงออกไปได้มากเท่านั้น

            อย่างที่ดิฉันเคยบอก เราพูดถึงต้นไม้ ต้นไม้มันจะเกิดดอก ออกผล ถ้าเป็นต้นไม้ที่เป็นผล พอถึงฤดูกาลของมัน มันก็จะออกผลให้เราเห็นชัดเจนว่าต้นนี้ต้นอะไร? ตอนนี้พี่น้องไปดูต้นมะม่วง ห้อยเต็มเลย มันถึงฤดูกาล แล้วต้นนี้อร่อยด้วย รอให้มันโตเต็มที่มาเก็บกินได้เลย  หรือว่าต้นที่เป็นดอก พอถึงฤดูกาลของมัน มันก็จะออกดอกให้เราเห็น ดิฉันยังไม่เคยเห็นต้นไม้ต้นไหน เขาพยายามดิ้นรนด้วยกำลังของตัวเองที่ผลิดอกออกผลด้วยกำลังของตัวเอง ไม่มี เขาอยู่ของเขานิ่งๆ เฉยๆ  เห็นไหม ต้นไม้นั่งนิ่งมาก แล้วคนที่ปลูกมันก็คอยให้น้ำ ให้ปุ๋ย แล้วต้นไม้ก็ยืนเฉยๆ พอถึงฤดูกาล มันก็มาแล้ว ดอกออก ผลออก แต่ละอย่างมันจะออกมา ให้คนเชยชมว่านี่ต้นมะม่วงนี่เอง ตอนไม่มีดอก ไม่มีผล ไม่รู้ต้นอะไร ก็เห็นแต่ใบ อะไรประมาณนี้

            ภาพเดียวกันในโลกวิญญาณ พวกเราผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เราไม่ต้องพยายามดิ้นรนด้วยกำลังของเราเองว่าต้องๆ สมัยก่อนเราถูกสอนว่าต้อง พอต้องเยอะๆ เหนื่อย หอบ หายใจไม่ทัน แล้วเราต้องไปต้องมา คือทำด้วยกำลังของเราเอง พอทำด้วยกำลังของเราเอง มันไม่เกิดออกมาเป็นผลดังใจเรา เราก็ท้อ แต่ถ้าเราไม่ได้ทำด้วยกำลังของเราเอง  เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พึ่งพาในพระเจ้าว่าเมื่อถึงฤดูกาลของมัน พระเจ้าเองจะเป็นผู้ทำให้มันเกิดผล เหมือนกับที่ในหนังสือยอห์น บทที่ 15 บอกว่าเราเป็นเถาองุ่นที่ติดกับลำต้น ลำต้นเป็นผู้ให้น้ำเลี้ยงกับกิ่ง แล้วกิ่งนั้นเกาะติดกับลำต้น พอมันประสานเป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ เมื่อถึงฤดูกาลที่มันจะเกิดดอก ออกผล มันจะเกิดเองโดยธรรมชาติ

            ภาพเดียวกัน เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้เชื่อทุกคน เราเกาะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อถึงฤดูกาลที่มันสมควร แล้วพระเจ้าเห็นว่าเหมาะสม ซึ่งแต่ละคน เราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไร อย่างไร? เวลาไหนก็แล้วแต่?  ที่พระเจ้าจะใช้เขา พระองค์ก็จะให้ผลมันออกมา ให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา มันจะออกมาเอง โดยธรรมชาติ ซึ่งพี่น้องไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย พยายามดิ้นรน ด้วยกำลังของตัวเอง  นี่คือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ

            พอเรารู้ความจริง  เราก็หายเหนื่อยเป็นสุข รู้ความจริง เราก็ไม่ต้องพยายามดิ้นรนซกๆ ถ้าเราไม่ทำโน่นทำนี่ พระเจ้าจะไม่รักเรา ถ้าเราไม่ออกไปประกาศ พระเจ้าก็จะไม่รักเรา ถ้าเราไม่รับใช้ พระเจ้าก็จะไม่อวยพรเรา มันไม่เกี่ยวอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าพระเจ้าจะให้ท่านรับใช้ พระเจ้าจะเป็นผู้กระทำกิจภายในท่าน  ทำให้ท่านอยากจะทำจากข้างใน  ไม่ใช่อยากจะทำจากแรงกดดัน หรือแรงเร้าจากสิ่งรอบข้าง หรือจากคณะศิษยาภิบาล ที่พยายามผลักดันท่านให้ต้องทำๆๆๆๆๆ ไม่มีเวลา ท่านก็ต้องหาเวลาให้ได้ ต้องทำให้ได้ มันไม่ใช่ เพราะว่าพระเจ้าเองจะเป็นผู้กระทำการงาน ในชีวิตของท่าน เมื่อถึงเวลา เราจะออกมาสบายๆ อยากจะทำอะไร เราก็ทำแบบสบายๆ ทุกอย่าง มันออกมาจากใจ ใจข้างในเรา ก็จะเป็นที่ถวายเกียรติ แด่พระเจ้า นี่คือสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเราทั้งหลาย

            ดังนั้น การที่มาหาพระเจ้า ไม่ได้เป็นการที่เราจะต้องมาแบกภาระหนัก จนหลังแอ่น ไม่ใช่ พระเยซูได้แบกให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว บนไม้กางเขน พระเยซูทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น พวกเราผู้เชื่อทั้งหลายที่ในปัจจุบัน หรือในอดีตหลังจากพระเยซูทำสำเร็จ เราแค่มาชื่นชมยินดีกับผลสำเร็จที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  แล้วเราก็มาตรวจสอบรายชื่อว่าอะไรบ้างที่พระเจ้ากระทำให้เราสำเร็จ  แค่นั้นเอง โอ! พระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยแล้ว เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตื่นเต้นๆ ในขณะที่เรายืนอยู่บนโลกใบนี้ แต่ในโลกวิญญาณเราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ใครจะมาพูดอะไรฉันไม่สนใจ ฉันเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าเป็นพระบิดาของฉัน หรือมาดูผลที่พระเยซูคริสต์กระทำให้เราสำเร็จ  คือพระเยซูบอกว่าโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ชำระล้างบาปของเราทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าด้วย ซึ่งแม้เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว โอกาสที่เราจะทำบาป ยังมีอยู่ แต่พระเยซูรู้ล่วงหน้า พระองค์ก็เลยทำให้มันเป็นขบวนการเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งมาครั้งเดียว บาปในอดีตที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า พระองค์ล้างแล้ว บาปในปัจจุบันที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเผลอทำอยู่ ทันทีที่เราเผลอ พระโลหิตพระเยซูคริสต์ก็ชำระล้างเราแล้ว แล้วในอนาคตที่เราเผลอไปทำอีก พระเยซูก็ให้พระโลหิตของพระองค์ชำระเราเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น เป็นความจริง

            เหมือนกับที่พระเยซูบอกว่าปัจจุบัน เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เราได้รับวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ไม่มีบาปเลย เมื่อเราไม่มีบาปแล้ว จำเป็นไหมที่เราจะต้องเข้ามาสารภาพบาปกับพระเจ้า ไม่รู้จะสารภาพอะไร เพราะมันไม่มีบาปแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  เราก็ถูกหลอกมานานมาก เป็นหลายพันปี ก็พยายามสารภาพบาปของเรา พยายาม

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกมันเลว ลูกมันชั่ว ลูกทำผิดอีกแล้ว” … ก็เข้ามาสารภาพบาป

            แล้วพระเจ้าก็บอก … “เธอเลว เธอชั่วตรงไหน? เธอเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฉันทำให้เธอเรียบร้อยไปแล้วบนไม้กางเขน  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  เธอสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเหมือนฉันเลย เธอไม่มีบาปเลย”

            อย่าให้โดนหลอก อย่าให้คำสอนใดๆ ทั้งสิ้นบนโลกใบนี้ ที่ส่งเข้ามาหลอกพวกเราว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่ ให้รับรู้ความจริงว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เราเกิดมา “เป็น” ไม่ใช่ “มี” นะ เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เราได้นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้ ที่สวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น เรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าบอกเรา เมื่อเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ปุ๊บ เราเป็นอิสรภาพเลย เราจะไม่ถูกหลอกอีกต่อไป หรือบางครั้งเผลอๆ เราอาจจะโดนหลอก  แต่ว่าเราจะไม่ถูกหลอกนาน ถ้าความจริงเหล่านี้ถูกสถาปนาลงไปในวิญญาณของเรารับรู้ไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ แล้วความจริงเหล่านี้กลายเป็นตัวตนของเรา ที่เราหลับตาลืมตา หรือหลับไป แล้วคนตะโกน …

            “พระเยซูมาแล้ว”

            เราลุกขึ้นมา แล้วขึ้นไปอยู่กับพระองค์เลย นึกออกไหม คือไม่ต้องคิดอะไร เพราะมันฝังเข้ามาในวิญญาณ ในเลือด ในเนื้อของเรา ทุกวี่ทุกวันที่เรารับรู้ความจริงนี้ ฉะนั้น ไม่มีอะไรสามารถแยกเราไปจากความรักของพระเจ้าได้เลย

            พระเจ้าได้ทรงบอกเราชัดเจน ในเรื่องเหล่านี้ อยากให้ความจริงเหล่านี้ เป็นเครื่องป้องกันพวกเราทุกๆ คน เอาความจริงเหล่านี้ มาภาวนาหรือมาใคร่ครวญทุกวัน แม้ความจริงเหล่านี้มันมีไม่เยอะ มีนิดเดียวเอง แล้วพี่น้องอาจจะรู้สึกเบื่อ เหมือนเรากินข้าวไข่เจียวทุกวัน ตื่นขึ้นมา นึกไม่ออก เอาไข่เจียวแล้วกัน ไข่ดาวแล้วกัน ไข่ต้มแล้วกัน อะไรประมาณนั้น มันน่าเบื่อ แต่ความน่าเบื่อตรงนี้ มันเป็นสารอาหารที่ดีที่สุด ที่จะหล่อเลี้ยงร่างกายเราให้เจริญเติบโต มีพลังในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            ฉะนั้น ให้พี่น้องเอาความจริงเหล่านี้ ไปใคร่ครวญทุกวัน แล้วก็เอเมนกับความจริงเหล่านี้ คำว่าเอเมน คือยอมรับความจริงเหล่านี้ที่พระเจ้าบอกเรา

            ยอมรับ … “ว่าใช่ๆ ฉันเป็นคนชอบธรรม ฉันไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไป ณ เวลานี้ ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว”

            เอเมนกับทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่า ณ เวลานี้ พระองค์ทำให้เราเป็นเรียบร้อยไปแล้ว  นี่คือการเชื่อฟังพระเจ้า นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริงทั้งหมด ที่พระเจ้าได้บอกเราไว้ในถ้อยคำของพระองค์

            เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งดีงามเหล่านี้ ที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเทศกาลเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส ที่เราตื่นตาตื่นใจทุกปลายปี พอธันวาคม ใกล้วันที่ 25 เราก็ตื่นเต้น พอเริ่มต้นธันวาฯ ปุ๊บ เริ่มประดับประดาสวยงาม แต่สิ่งที่สำคัญ คือคริสต์มาสมันอยู่ในใจของพวกเราทุกวัน ทุกวันเป็นวันคริสต์มาสของเรา ทุกวัน คือพระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ในเรา เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 5

            ก่อนเชื่อ ตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป

            หลังเชื่อ ตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้า

            ก่อนเชื่อ อยู่ในคำสาปแช่ง

            หลังเชื่อ อยู่ในพระพรนานัปการ

            ตัวเก่า คนเก่า ได้ตายไปแล้ว สูญสิ้นไปแล้ว ทุกวันนี้  ที่มีชีวิตอยู่ เป็นตัวใหม่คนใหม่ อยู่ในพระคริสต์  ในสวรรค์  ในพระเจ้า แล้วกำลังเดินทางไปรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองโลกใหม่และสรรพสิ่งที่จะทรงสร้างขึ้นใหม่  ร่วมกับพระเยซูคริสต์ตลอดไปนิรันดร์

            เอเฟซัส 2:1-5 … “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในวิญญาณ จากการล่วงละเมิดและในบาป ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า จากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า 2 ซึ่งท่านเคยดำเนินชีวิตตามวิถีของบาปของโลกนี้ และตามการครอบงำของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ (มาร) ซึ่งเป็นวิญญาณ ที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อ (ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) 3 ครั้งหนึ่ง เราเคยมีชีวิตเหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปของพระเยซู) ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา  (ซึ่งไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษ สาปแช่ง เหมือนคนอื่นๆ (ที่ไม่เชื่อ ไม่ได้ใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้) 4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา  พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการถูกลงโทษจากคำสาปแช่ง)โดยพระคุณ”

            ก่อนเชื่อ ตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป

            หลังเชื่อ ตายจากบาปมาอยู่ในพระเจ้า

            ก่อนเชื่ออยู่ในคำสาปแช่ง

            หลังเชื่อ อยู่ในพระพรนานัปการ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1498

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  ธันวาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 13 “ความรักเกิดจากพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรามาต่อ “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 13 ใช้ชื่อเรื่องว่า “ความรักเกิดจากพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า” เราเรียนรู้ 1 ยอห์น มา 12 ตอนแล้วว่าอัครทูตยอห์นยืนยันความจริงให้กับเราว่าคริสเตียนผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์นั้น เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ผ่านทางความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เชื่อวางใจว่าพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระคริสต์ คือเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมวลมนุษยชาติ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ สรุปใช้คำว่า “พระเมสิยาห์” หรือ “พระคริสต์” อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณที่ไม่เปลี่ยนแปลง ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของสถานะทางวิญญาณอย่างเด็ดขาด ระหว่างคริสเตียนผู้เชื่อพระเยซูกับผู้ที่ไม่ใช่เป็นคริสเตียน ไม่ได้เชื่อพระคริสต์  ที่เรียกว่าเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือเป็นศัตรูต่อความจริงเรื่องข่าวดีของพระคริสต์ และอาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้สอนความจริงกับผู้สอนเท็จ  ผู้สอนความจริง คือผู้เผยพระวจนะ ถ้อยคำพระเจ้า ผู้สอนเท็จ คือผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ เอาถ้อยคำที่ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า เป็นถ้อยคำที่แย้ง ต่อต้านความจริงของพระเจ้ามาสอน

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าเราที่เป็นผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว สถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณ เราเป็นอย่างไร? สรุปรวมๆ ก็คือ …

                        – เราได้อาศัยอยู่ในพระคริสต์         ไม่ใช่ในอาดัม  นี่สถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณนะ

                        –  เราอยู่ในความสว่าง                     ไม่ใช่ในความมืด  เห็นไหม แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

                        –  เราอยู่ในความจริง                        ไม่ใช่ในความเท็จ

                        –  เราอยู่ในความรัก                          ไม่ใช่ในความเกลียดชัง

                        –  เราเป็นคนชอบธรรม                    ไม่ใช่เป็นคนบาป

                        –  เราเป็นคนที่ได้รับการอภัยบาปทั้งปวงเรียบร้อยแล้ว    ไม่ใช่เป็นคนที่มีหนี้บาป

                           เวรกรรมที่ต้องชดใช้อีกเลย

                        –  เราเป็นคนบริสุทธิ์สะอาด           ไม่มีมลทินใดใดในเราเลย ไม่ว่าจะวิญญาณ จิตใจ

                         หรือร่างกายก็ตาม

                        –  เราอยู่ในสวรรค์แล้ว                     ไม่ได้อยู่ในโลก แม้ว่าตามองเห็นเรายังดำเนินชีวิต

                         ในโลกก็ตาม แต่เราอยู่ในสวรรค์แล้ว ในโลกวิญญาณ

                        –  เราเป็นของพระเจ้า                       ไม่ได้เป็นของโลกนี้

                        –  พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในเรา                เป็นใหญ่กว่าผู้คนเหล่านั้น ทุกอย่างที่อยู่ในโลก

            เหล่านี้ คือสถานะทางวิญญาณของเรา คริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นสถานะทางวิญญาณที่คงอยู่ตลอดไปนิรันดร์ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่มีขึ้นๆ ลงๆ เข้าๆ ออกๆ ดำบ้าง ขาวบ้าง หรือเทาๆ ในชีวิตของเรา มันเด็ดขาดเลย ก็คือในโลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าไม่อยู่อาศัยในอาดัม ก็อยู่อาศัยในพระเยซูคริสต์ ไม่มีการอาศัยอยู่ในทั้ง 2 ที่ ต้องอาศัยอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  ถ้าไม่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ก็ยังคงอาศัยอยู่ในความตาย ในบาป ในอาดัม ซึ่งเป็นความจริงที่ทุกคนต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณนี้เท่านั้น ไม่มีที่อื่นๆ ที่ตรงกลางๆ ไปๆ มาอีก ไม่ใช่วันนี้หงุดหงิดอยู่ในอาดัม พรุ่งนี้ มีความสุข วันอาทิตย์อยู่ในพระคริสต์ วันจันทร์อยู่ในอาดัม วันอังคารอยู่ในพระคริสต์ วันพุธอยู่ในอาดัม วันพฤหัสอยู่ในอาดัม พอมาถึงวันอาทิตย์มาอยู่ในพระคริสต์ ไม่มี อยู่ในที่ไหนก็ที่นั่น

            และถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ หรืออยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียน ท่านกำลังฝึกฝนอุปนิสัยและความประพฤติตามธรรมชาติ ที่อยู่ภายใน ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา 12 ตอน ยกตัวอย่างใน 1 ยอห์น 3:7 ได้บอกไว้ว่า …

        1 ยอห์น 3:7  “เด็กผู้ชาย (หนุ่มๆ) อย่าให้ใครมาหลอกลวง  และนำคุณให้หลงทาง ผู้ที่ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรม (ตามธรรมชาติภายใน ที่เป็นผู้ชอบธรรม จากการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์) ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ (พระเยซู) ผู้ทรงเป็นความชอบธรรม”

            นี่บันทึกไว้ชัดเจน นี่คือความจริง เราคริสเตียน ผู้เชื่อ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่ปัจจุบัน เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ และจะเป็นอย่างนี้ไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์ เอเมน

            เพราะฉะนั้น ยอห์นก็เตือน ที่เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้วว่าให้ระวังวิญญาณที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ วิญญาณที่ต่อต้านพระคริสต์ ต่อต้านความจริงเหล่านี้ ซึ่งวิญญาณเหล่านี้มาจากมารทั้งสิ้น เพราะมารมีหน้าที่ต่อต้านพระคริสต์ เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ คอยกล่าวหาคริสเตียน หรือผู้ที่เชื่อ ด้วยความเท็จ ทั้งกลางวันและกลางคืนว่า …

            “เป็นคริสเตียนผู้เชื่อแล้วใช่ไหม? แต่ทำไมเจ้ายังมีอุปนิสัย ความประพฤติ ไม่สมบูรณ์เลย แกทำตัวตรงนี้ ประพฤติอย่างนี้ สมบูรณ์ดีพร้อมแล้วหรือ?  ที่จะเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าที่บริสุทธิ์ เจ้ายังทำบาปอยู่เลย”

            จริงๆ ไม่ใช่เจ้าด้วย ต้อง “แก” … “แกไม่บริสุทธิ์สมบูรณ์พร้อม เมื่อวานแกยังอิจฉาริษยา แกยังโกหกอยู่เลย วันนั้นยังหงุดหงิด ตวาดอยู่เลย อย่างนี้จะสมบูรณ์ เป็นลูกพระเจ้าอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร?”

            ยอห์นแนะนำให้เราปฏิเสธ ยืนยันไปเลย ด้วยความจริง จากถ้อยคำพระเจ้าเมื่อสักครู่นี้ที่เราได้เรียนรู้กัน คือบอกไปเลย บอกให้มาร บอกให้ปฏิปักษ์พระคริสต์ ได้ยินได้ฟังชัดเจนว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ โดยผ่านความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ในการกระทำของพระองค์บนไม้กางเขน ไม่ได้ทำด้วยตัวเอง  ไม่ได้ผ่านทางความประพฤติ  หรือการกระทำของฉันเองเลย  แม้แต่นิดเดียว  แต่ฉันพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เราไว้ใจได้ เพราะเราวางใจในพระเยซูคริสต์ เรามิได้วางใจในตัวเอง

            นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณแท้จริง ที่คริสเตียนผู้เชื่อต้องเผชิญตลอดเวลาในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แน่นอน ทั้งวันทั้งคืน มีแต่ส่งข่าวสารเท็จนี้มาหาเราคริสเตียนว่าเรายังไม่พร้อม เรายังไม่ดี จริงหรือ? บอกเขาไปเลยว่าจริง บอกลงไปในความคิดของเรา มันจะส่งข้อมูลเท็จเข้ามาในความคิด เราก็ต้องส่งข้อมูลจริงเข้าไปในความคิดของเราว่า …

            “ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์จริงๆ ในขณะนี้ บนโลกใบนี้ เอเมน”

            วันนี้ หนังสือ 1 ยอห์น ตอนที่ 13 เราจะมาย้ำยืนยันกันในชื่อเรื่อง “ความรักเกิดจากพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า” เพราะว่าเราก็ถูกหลอกอีก เรื่องจริง คือการที่จะรักกัน การที่จะมีความหวังดีต่อกัน มันก่อเกิดขึ้นมาจากพระเจ้า มนุษย์ไม่สามารถผลิตออกมาได้ ความรักเกิดจากพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า เรามาดูสิว่าถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้ว่าอย่างไร? ครั้งที่แล้ว เราจบกันที่ 1ยอห์น 4:6 วันนี้เริ่มต้นข้อ 7 …

        1 ยอห์น 4:7  “เพื่อนที่รักทั้งหลาย ให้เรารัก (สำแดงความรัก จากภายในวิญญาณ) ซึ่งกันและกัน เพราะความรักเกิดจากพระเจ้า ทุกคนที่ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเป็นความรักเหมือนพระเจ้า (ธรรมชาติภายในวิญญาณ ก็จะรักพี่น้อง ผู้เชื่ออื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกัน) และรู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า”

            เพื่อนที่รักทั้งหลาย ให้เรารัก หมายถึงให้เราสำแดงความรัก จากภายในวิญญาณ  ซึ่งกันและกัน  เพราะความรักเกิดจากพระเจ้า  ทุกคนที่ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะเป็นความรักเหมือนพระเจ้า  ก็คือเป็นความรัก ที่เป็นธรรมชาติภายในวิญญาณ เหมือนพระเจ้า ที่จะสามารถรักพี่น้อง  ผู้เชื่ออื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้าเช่นเดียวกันได้ และการกระทำอย่างนี้ เป็นการสำแดงว่าเขาได้รู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า

            เรามาดูสิว่าเป็นอย่างไร? คือทันทีที่มนุษย์คนใดคนหนึ่ง เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พอมาเชื่อพระเจ้าปั๊บ พระเยซูก็ประทานวิญญาณแห่งความรักของพระองค์มาให้กับเขา และเราเรียกกันว่าบังเกิดใหม่ เขาก็บังเกิดใหม่ เป็นความรักเหมือนพระองค์ เหมือนพระเจ้า เป็นความรัก ที่เราอ่านไปเมื่อสักครู่ อาจารย์ยอห์นไม่ได้สอนเราว่าเมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว ให้เราปฏิบัติความรัก คือกระทำความรัก ไม่ใช่ แต่กำลังบอกความจริงในโลกวิญญาณ สถานะในโลกวิญญาณ ให้เราได้รับรู้ว่าเมื่อเราเชื่อปั๊บ พระเจ้าก็จะเชื่อมต่อคนอื่นๆ ที่เชื่อพระเจ้าเช่นเดียวกัน  ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ ซึ่งเรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก เหมือนพระเยซู และเราจะรักกันเอง โดยธรรมชาติ หรือโดยออโตเมติกส์ ไม่ต้องทำเลย มันเป็นเอง  เป็นความรัก มันก็เชื่อมต่อกับวิญญาณอื่นที่เป็นความรัก คริสเตียนคนอื่นๆ นั่นเอง ไม่ได้ให้เราพยายามที่จะรักกัน ด้วยกำลังของตนเอง ไม่ใช่  แต่มันเป็นธรรมชาติใหม่ของเราในโลกวิญญาณ เมื่อเราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทุกๆ คนในโลกใบนี้ เป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องกันในวิญญาณ เป็นความรักเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม  พอวิญญาณเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า  พระเจ้าก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ซึ่งเรียกว่าพระเจ้าก็รู้จักเราในฐานะลูกของพระองค์ “รู้จักเรา” คำนี้สำคัญมาก เดี๋ยวจะพาท่านไป รู้จักเรา ในฐานะเป็นลูกของพระองค์ ตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้เรียบร้อยแล้ว

            คำว่า “รู้จัก” แปลว่ารู้จักสนิทสนม ติดสนิทกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนสามีภรรยา มีความสัมพันธ์กันอย่างนั้น คำว่า “รู้จัก” ตรงนี้ แปลว่าอย่างนี้ วิญญาณของพระเจ้ากับวิญญาณของเราผู้เชื่อ เมื่อเราบังเกิดใหม่ รู้จักสนิทสนมกันอย่างนี้แหละ เป็นหนึ่งเดียวกัน

            ส่วนผลของความรัก ที่เราเป็นอยู่นั้น ในโลกวิญญาณนี้ ที่จะสำแดงออกมาเป็นความประพฤติ คราวนี้สำแดงออกมาจากข้างในแล้วนะ  ออกมาเป็นความประพฤติในแต่ละคน จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าเขาหรือเรานั้น รู้ว่าตัวตนจริงๆ ในโลกวิญญาณของเรานั้น เป็นความรักมากน้อยขนาดไหน? รู้มากไหมว่าเรานั้นเป็นความรัก เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน สนิทสนมกัน เป็นความรักเหมือนกัน ถ้ารู้มาก ก็จะสามารถสำแดงออกมาเป็นความประพฤติได้มาก ถ้ารู้น้อย ก็ออกมาได้น้อย เมื่อเจริญเติบโตทางฝ่ายวิญญาณ รับรู้ความจริงได้มากเท่าไร? ผลของความรัก ก็จะสำแดงออกมาเป็นความประพฤติปฏิบัติได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งแน่นอน เราสังเกตได้ บางครั้ง เราอาจจะประพฤติออกมาเป็นความเกลียดชัง คริสเตียนบางครั้งไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก มีไหม? มีบ่อยไป ผมมีทุกวัน บางคนก็มีทุกวัน ส่วนใหญ่ก็มีทุกวันแหละ มันหงุดหงิด เพลินไป นินทาชาวบ้านเขา รักที่ไหน นินทาชาวบ้าน รถติดๆ อดทนไม่ได้ ก็ไม่ใช่ความรักแล้ว

            บางครั้งเราก็มีความประพฤติสำแดงออกมาเป็นความเกลียดชัง ขณะที่เราสำแดงความเกลียดชังออกมานั้น ก็แสดงว่า ณ เวลานั้น เราไม่ได้ประพฤติ ปฏิบัติตามธรรมชาติที่แท้จริง ที่อยู่ภายในของเรา ซึ่งเป็นความรัก เนื่องจากเราถูกหลอก ถูกล่อลวง เชื่อฟังมารและระบบของโลกนี้ ซึ่งต่อต้านความจริงของพระเจ้า ที่คอยชักจูงให้เราประพฤติตามมัน คือไม่เชื่อฟังพระเจ้าที่อยู่ข้างในเรา เห็นไหม? ซึ่งเราเรียนรู้แล้ว พระคัมภีร์บอกก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ทำให้การเป็นความรักที่อยู่ภายในนั้น เปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่สามารถทำให้การเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าในวิญญาณของเราเปลี่ยนแปลงไปเลย เพียงแต่ทำให้เรานั้น เมื่อประพฤติแล้ว เราเกิดความทุกข์กาย ทุกข์ใจมากขึ้นในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            หน้าที่ของเรา ที่พระเจ้าต้องการ ก็คือค่อยเรียนรู้ว่าตอนนี้เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นความรักแล้ว แม้จะเผลอถูกล่อลวง ให้ผลที่แสดงออกมาเป็นความเกลียดชัง แต่สิ่งที่ประพฤติออกมานั้น มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้เลย ไม่สามารถเลย เห็นไหม? พระเจ้าบอกว่าเราเป็นความรัก เราเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม ไม่มีที่ติเลยในสายพระเนตรพระเจ้าตลอดไป นี่คือความจริง เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานแล้ว ขณะนี้ อยู่นิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดไป นี่เป็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเรียบร้อยแล้ว สำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน ซึ่งไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย แม้ว่าเราจะประพฤติอะไรก็ตาม ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้เลย ความจริงนี้เราได้รับมาจากการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ นี่ตามพระคัมภีร์เป๊ะ มาข้อที่ 8 … 1 ยอห์น 4:8 …

        1 ยอห์น 4:8 “ผู้ที่ไม่รัก (ไม่สามารถรักพระเจ้าและคริสเตียนผู้เชื่อ ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า จากธรรมชาติภายในวิญญาณ) ก็ไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก”

            มาอ่านอย่างขยายความ … ผู้ที่ไม่รัก ก็คือผู้ที่ไม่สามารถรักพระเจ้าและคริสเตียนผู้เชื่อ ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า จากธรรมชาติภายในวิญญาณของเขา ไม่สามารถรักพระเจ้า ไม่สามารถรักคริสเตียนผู้เชื่อคนอื่น เพราะว่าตัวเขาเองยังไม่ได้เกิดใหม่ … มันแปลว่าอย่างนี้ เพราะคนๆ นั้น ก็ไม่รู้จักคุ้นเคยกับพระเจ้า เห็นไหม? เขาไม่เกิดใหม่ เขาไม่รู้จัก อีกแล้ว เขาไม่ได้สนิทสนม เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับสามีภรรยา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เขายังไม่ได้เชื่อนั่นเอง ซึ่งพระเจ้าเป็นความรัก เขาก็เลยไม่ได้เป็นความรักภายในวิญญาณของเขา

            ผู้ที่ไม่รัก คือไม่บังเกิดใหม่ เป็นความรักเหมือนพระเยซู ก็ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ได้รู้จักในฐานะลูกของพระเจ้า คนที่ธรรมชาติข้างในวิญญาณของเขา ยังเป็นคนบาปอยู่ เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่คนละฝั่งกับพระเจ้า ก็จะไม่รู้จักพระเจ้า  พระเจ้าก็ไม่รู้จักเขา เขาไม่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ได้เข้ามาเป็นส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขานั่นเอง ตัวตนจริงๆ ข้างในเป็นความบาป เป็นความเกลียดชัง ไม่สามารถผลิตความรักของจริงออกมาได้เลย แม้ว่าบางครั้ง ผลที่แสดงออกมาเป็นความประพฤติ การปฏิบัติออกมาให้เราดูเหมือนดี เหมือนเป็นความรักก็ตาม นี่พูดถึงคนที่ไม่เชื่อนะ  แต่ไม่ว่าจะทำดีขนาดไหน? มันก็เป็นเพียงแค่ผลเทียม เหมือนผลไม้พลาสติก ดูเหมือนจริง แต่มันเป็นของปลอม ไม่ว่าเขาจะทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะของเขา ที่ภายในวิญญาณเป็นคนบาป มีแต่ความเกลียดชังในวิญญาณได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะวิญญาณข้างในนั้นเป็นของจริง คือเป็นคนบาป ที่ธรรมชาติเป็นคนเกลียดชัง นี่พระคัมภีร์พูดไว้นะ อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณ มีอยู่ 2 ข้าง  2 ขั้ว ไม่มีขั้วอื่น

            ถ้าคนๆ นั้นไม่ได้พึ่งพาวางใจในพระเยซู ไม่ได้บังเกิดใหม่ทางวิญญาณ พระเยซูก็ไม่เคยรู้จักเขา  ก็คือพระเยซูไม่ได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เพราะว่าเขาไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์นั่นเอง และมันจะเป็นอย่างนี้ไปจนถึงอนาคตข้างหน้า ถ้าเผื่อเขาไม่เปลี่ยน มันก็จะไม่มีการเปลี่ยนในโลกวิญญาณ จนกระทั่งถึงหลังความตาย อยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา พระเยซูตรัสไว้ว่าแม้ว่าเขาจะอ้างว่าได้ทำดีมากมายบนโลกใบนี้

            “โอ้! ลูกได้ทำดีโน่น ทำดีนั่น ทำดีนี่”

            แต่ไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ พระเยซูก็บอกว่า … “เราไม่เคยรู้จักเจ้า”

            เห็นไหม? “ไม่เคยรู้จักเจ้า”  ไม่ใช่ไม่รู้จักนะ  ไม่เคย ก็แสดงว่าไม่รู้จักมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยอยู่บนโลกใบนี่ ก็ไม่เคยรู้จักกันเลย แต่คริสเตียนเป็นผู้ที่เชื่อแล้ว เคยรู้จักตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกัน สนิทสนมกันมาก แต่นี่ไม่ได้เป็น เพราะฉะนั้น …

            “เราไม่เคยรู้จักเจ้า ไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย เจ้าไม่ได้เป็นคนในครอบครัวของเราเลย”

            ครอบครัวในสวรรค์ หนังสือแห่งชีวิตในสวรรค์เปิดออก ก็คือหนังสือสำมะโนครัว

            “เจ้าไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย”

            ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นจริงๆ คนๆ นั้น ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว มันเป็นเรื่องจริง การพิพากษามันเกิดขึ้นจริงๆ  ก็ต้องแยกกันถาวรนิรันดร์เลย  ก็ต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้าตลอดไป มา 1 ยอห์น 4:9

        1 ยอห์น 4:9 “ความรักของพระเจ้าได้ปรากฏแก่เรา ก็คือพระองค์ได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาในโลก เพื่อให้เราได้มีชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางพระองค์”

            “ชีวิตนิรันดร์ผ่านทางพระองค์” ชีวิตนิรันดร์ที่เราเป็นอยู่นี้ ไม่อยากจะบอกว่ามีอยู่ “มี” เหมือนของมีอยู่ แล้วมันสามารถหายไปได้  สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าบอก “เป็น” มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ชีวิตนิรันดร์ที่เราเป็นอยู่นั้น เป็นชีวิตนิรันดร์ที่ได้รับผ่านทางชีวิตนิรันดร์ของพระเยซู

            ตอนที่พระเยซูยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และตอนที่พระเยซูได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย  โดยพระเจ้า ชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายนั้น ชุบโดยให้พระเยซูกลับมาเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนเดิมก่อนตาย แล้วพระเยซูบอกว่าชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้ประทานให้ ตอนเป็นขึ้นจากความตามนั้น พระองค์ได้แบ่งให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นผู้นั้น เป็นพระเมสิยาห์  ก็คือผู้ที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือคริสเตียนนั่นแหละ ได้รับวิญญาณเดียวกัน เขาเรียกว่าวิญญาณชีวิตนิรันดร์ เหมือนกับพระเจ้าเลย เหมือนกับพระเยซูเลย แต่เป็นส่วนหนึ่ง เราไม่ใช่เป็นพระเจ้า แต่เราได้บังเกิดใหม่  โดยหน่อเชื้อทางวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกัน เรียกว่าวิญญาณชีวิตนิรันดร์ของพระเยซูคริสต์

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนผู้เชื่อ คือผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเยซูมากที่สุดแล้ว  ก็คือมีวิญญาณเหมือนกัน  เพราะว่าเป็นผู้ที่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นเนื้อเดียวกันกับพระเยซูคริสต์  ได้รู้จักกับพระคริสต์อย่างสนิทสนม  เป็นเหมือนสามีภรรยากัน สนิทกันมากถึงขนาดนั้น เป็นเนื้อเดียวกัน

            พระเยซูอุปมาตรงนี้ชัดมากเลย ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะทำการไถ่บนไม้กางเขนให้สำเร็จ พระองค์บอกว่าเหมือนกับกิ่งของเถาองุ่น ก็คือกิ่งต่อกับลำต้น ท่านเป็นกิ่ง พระองค์เป็นลำต้น

            ท่านลองคิดถึงต้นไม้ ต้นหนึ่ง มีกิ่งออกมา แล้วก็มีลำต้น ท่านว่ากิ่งนั้น ต่อติดกับลำต้น สนิทขนาดไหน? นั่นแหละ เป็นอย่างนั้น และกิ่งมันอยู่ของมันเองได้ไหม? ไม่ได้มันต้องได้รับชีวิตมาจากรากของลำต้น ไหลขึ้นมา ผ่านกิ่งมา แล้วก็มีชีวิต แล้วจึงออกผล ผลก็คือมาจากราก มาจากลำต้นนั่นเอง

            พระคัมภีร์จึงบอกว่าเราคริสเตียน ผู้เชื่อนั้น เราได้อาศัย ต่อติดสนิทอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์ก็อยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์ คือเรารู้จักพระคริสต์ เราได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เรารู้จักพระคริสต์ พระคริสต์ก็รู้จักเรา เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เรากับพระคริสต์ 2 วิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกัน

            พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเราคริสเตียน วิญญาณของเราขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตของเราได้ถูกซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านลองคิดดูก็แล้วกัน สนิทสนมขนาดไหน?

            นี่คือสถานะในโลกวิญญาณที่เกิดขึ้น ที่อาจารย์ยอห์นพยายามที่จะอธิบาย ชี้ให้เราได้เห็น เพื่อว่าเราจะได้ไม่ถูกหลอกด้วยคำเท็จ เพราะฉะนั้น ผลของชีวิตของคริสเตียนออกมานั้น จึงเป็นผลออกมาจากต้น ก็คือมาจากชีวิตของพระคริสต์ คำนี้มันหมายถึงอย่างนั้น เพื่อให้เราได้มีชีวิตนิรันดร์ผ่านทางพระองค์ มันแปลว่าอย่างนี้ คริสเตียนไม่ได้มีชีวิต เพื่อพระองค์ ซึ่งหลายท่านอาจจะเข้าใจผิด ในอดีตว่าเรามาเป็นคริสเตียนแล้ว เราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ ไม่ใช่ เราจะไปอยู่เพื่อพระองค์ได้อย่างไร? กิ่งจะมาอยู่เพื่อต้นหรือ? ไม่ใช่ ต้นต่างหากที่เป็นผู้ซับพลายส์ หรือเป็นผู้ให้ชีวิตกับกิ่ง กิ่งมีหน้าที่รับเอา กิ่งมีหน้าที่พึ่งพาลำต้น เพราะฉะนั้น ชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่พึ่งพาพระเยซูอย่างเดียว ไม่ใช่ไปรับใช้โดยการบอกว่าจะมาช่วยพระเยซูทำ ผลเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่เพราะกิ่ง ผลจะเกิดขึ้น ก็เพราะว่าลำต้นส่งอาหารมา อย่าเข้าใจผิด เพราะฉะนั้น ความรักก็เช่นเดียวกัน เราจะผลิตความรักออกมาด้วยตัวเราเองไม่ได้ ความรัก คือผลที่มาจากลำต้นพระเยซูคริสต์ ผลของการอยู่ในพระคริสต์ของเรา  ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ทำให้เราสามารถแสดงผลออกมาเป็นความรักได้  ไม่ต้องพยายามที่จะเบ่งความรักออกมา เพราะว่าเบ่งอย่างไร ก็ทำเองไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแค่รับรู้ เชื่อและวางใจ และก็ฝึกฝนเท่านั้น เชื่อและวางใจว่าอยู่นิ่งๆ นะ อยู่นิ่งๆ แล้วก็รับเอาชีวิตนิรันดร์ ที่เราต่อติดกับพระเยซู เหมือนกับที่พระเยซูบอกว่าน้ำพุแห่งชีวิต ไหลพุ่งขึ้นมาตลอด เป็นกิ่งต่อใหม่ๆ แล้วก็ดูดเอา ซึมซับเอาความรักนั้นเข้าไป

            ซึมซับอย่างไร? ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่เราประพฤติหรือทำตัวแย่ๆ ไม่ดี หงุดหงิด ไม่ได้เป็นความรัก ก็ให้เรารับรู้ในขณะนั้นว่าพระองค์ทรงอยู่กับเรา ถึงจะรับรู้ทีหลัง ก็ยังดี ถ้ารับรู้ตอนนั้นได้เลย ก็ดี ถ้ารับรู้ไม่ได้ หงุดหงิดไปแล้ว หลังจากนั้นมา ขณะที่เราหงุดหงิด  ขณะที่เราด่าทอ โกรธเขาไป ชีวิตพระคริสต์ก็อยู่กับเรา เรากำลังถูกหลอก แล้วอะไรอีก  แล้วก็รู้ตัวว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วยกับเราในขณะนั้น และพระองค์ทรงทราบดีว่าเรามีนิสัยเป็นอย่างไร? จุดอ่อน จุดแข็งเราเป็นอย่างไร?  เราคิดอะไรอยู่? และพระองค์จะนำเราในแต่ละคนไม่เหมือนกัน พระองค์รู้จักเราดีกว่าเรารู้จักพระองค์ เพราะเราเป็นกิ่ง พระองค์เป็นลำต้น มา 1 ยอห์น 4:10 กำลังพูดถึงความรัก เป็นความรักแบบพระเจ้าที่อยู่ในเรา …

        1 ยอห์น 4:10 “ความรักเป็นเช่นนี้ คือมิใช่ว่าเรารักพระเจ้า แต่พระองค์ได้รักเรา และส่งพระบุตรของพระองค์ให้เป็นเครื่องบูชา (ที่พอพระทัยถวายแด่พระเจ้า) เพื่อชดใช้บาปทั้งปวงของเรา”

            เห็นไหม? ความรักเป็นอย่างนี้ คือไม่ใช่เราพยายามรักพระเจ้า รักคนอื่น ไม่ใช่ ความรัก คือพระองค์ได้ให้เราก่อน ถ้าพระองค์ไม่ประทานความรักให้กับเรา  เราจะไปรักคนอื่นได้อย่างไร? นึกถึงภาพว่าความรักเป็นข้าวสาร พระองค์ประทานข้าวสารให้กับเรา เราจึงจะมีข้าวสารที่จะไปให้กับคนอื่นที่หิวโหยได้ นี่เห็นชัดเจนเลย เราผลิตข้าวสารได้ไหม? ไม่ได้หรอก เราไม่มี ความรักเป็นของพระเจ้า ข้าวสารเป็นของพระเจ้าเพียงผู้เดียว ใครอยากได้ข้าวสารไปหาพระเจ้า พูดง่ายๆ เราไปหาพระเจ้า แล้วเราเชื่อแล้ว พระเจ้าประทานข้าวสารให้กับเรา เราก็สามารถเอาไปให้ใครได้ แล้วก็ไม่มีหมด มันไหลมาตลอด ยกเว้นเราจะถูกหลอกว่าหมดแล้ว ต้องผลิตเอง อย่างนั้นเป็นต้น

            แล้วในนี้บอกว่าอย่างไร? พระองค์ได้ทรงให้เราแล้ว ให้ด้วยวิธีใด? ส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชา เพื่อชดใช้บาปทั้งปวงให้กับเรา ความรักของพระองค์ที่ให้กับเรา โดยการสละชีวิต หลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ เป็นแพะรับบาปทั้งปวงของมวลมนุษย์ ที่พระเจ้าพอใจแล้ว ตรงนี้มันหมายความว่าอย่างนี้ ที่พระเจ้าพอพระทัยแล้ว ทำไมพอพระทัย? พอพระทัยตามกฎวิญญาณที่พระองค์ทรงวางไว้เอง ตั้งแต่ในอดีต มันต้องเป็นไปตามกฎ คือเมื่อสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง แม้แต่เป็นลูก ก็คืออาดัมและเอวาปฏิเสธพระองค์ ไม่ต้องการพระองค์ ไม่เชื่อในพระองค์แล้ว เขาก็ได้รับสิ่งที่เขาต้องการนั้นไปเลย คุณได้รับในสิ่งที่คุณต้องการ ก็คือลูกต้องออกไป โดยที่ไม่มีพระเจ้า พระสิริพระเจ้าก็หายไป ก็ตกอยู่ในความบาป ความบาป คือการกระทำใดๆ ที่ผิดพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ตรงกับพระประสงค์ของพระเจ้านั่นเอง

            บาปทั้งปวงของเราได้รับการชดใช้ ลบล้างออกไปแล้ว  โดยพระเยซูมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน โดยการหลั่งพระโลหิต พระโลหิตของพระองค์ คือสิ่งที่พระเจ้าวางไว้ตามกฎ เมื่อมนุษย์คนหนึ่งบริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย มีคนเดียวในโลกนี้ ก็คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเมสิยาห์ ก็คือพระเยซูคริสต์ เลือดของพระองค์ตามกฎ สามารถชดใช้บาปเวรกรรมของมวลมนุษย์ได้ ครั้งเดียวเป็นพอ นี่คือกฎ ดังนั้น พระเยซูทำตามกฎเป๊ะเลย  เกิดเป็นมนุษย์ บริสุทธิ์ สะอาด สิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิต มนุษย์เลยได้รับความรอด ตามกฎนี้ เพราะฉะนั้น บาปทั้งปวงของเราได้รับการชดใช้ ลบล้างออกไปหมดสิ้นแล้ว อาจารย์ยอห์นบอก หมดสิ้นเลย

            “หมดสิ้น” “ลบล้าง” คำนี้ แปลว่าชำระจนเกลี้ยงเลย ไม่เหลือเลย ไม่มีทางที่จะกลับมามีบาปได้อีกเลย แม้แต่นิดเดียว เป็นการชำระล้าง แบบสะอาดหมดจด เที่ยวเดียวเป็นพอ คือเอาบาปออกไปเลย จากมวลมนุษย์ ผู้ใดเชื่อ เขาก็ได้รับการเอาบาปออกไป โดยพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเอาบาป ลบบาปออกไป ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าไร? บาปได้ถูกเอาออกไปไกลเท่านั้น ตะวันออกกับตะวันตกไม่มีวันได้เจอกันเลยนะ ทิศเหนือกับทิศใต้ยังมีวันได้เจอกัน ถ้าเราออกเดินทางทางทิศเหนือวันหนึ่งเราก็จะไปเจอขั้วโลกใต้ ถูกไหม? ตามการหมุนของโลกรอบดวงอาทิตย์ แต่ถ้าเผื่อมุ่งหน้าทางทิศตะวันออก ท่านไม่มีทางเจอทิศตะวันตกเลย มันก็หมุนไปเรื่อย พระเจ้าเรายอดเยี่ยมขนาดไหน? นี่ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะรู้เรื่องโลกกลม โลกหมุนอย่างไร? นี่ตั้งหลายพันปีแล้ว 3,000 กว่าปีบันทึกเอาไว้ พระองค์เอาบาปของมวลมนุษย์ออกไปไกลเท่านั้น คือระหว่างตะวันออกกับตะวันตก คือไม่เจอกันอีกแล้ว  เราไม่มีวันจะเป็นบาปอีกแล้ว ตราบใดที่เรายังเห็นดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันออก

            เพราะฉะนั้น ชีวิตที่เรามีอยู่นี้  คือชีวิตที่เหมือนพระเยซู ชีวิตที่สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าบาปในอดีต ปัจจุบัน หรือในอนาคต นิรันดร์เลย ข้อต่อไป ข้อ 11 …

        1 ยอห์น 4:11 “ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้ารักเราเช่นนั้น เราก็ควรรักซึ่งกันและกันด้วย”

            ถ้าพระเจ้าให้ความรักกับเราอย่างนั้น เราก็สามารถรักกันและกันได้ พูดง่ายๆ คืออย่างนี้ เราสามารถรักผู้อื่น ก็เพราะว่าพระเจ้ารักเราก่อน เราสามารถให้กับคนอื่นได้ ก็เพราะพระองค์ให้เราก่อน อย่างที่ตะกี้ผมยกตัวอย่างข้าวสาร เราสามารถให้ข้าวสารคนอื่นได้ ก็เพราะว่าพระเยซูได้ให้ข้าวสารกับเราก่อน ให้ความรักกับเรา เราก็เพียงแต่รับรู้ว่าพระองค์ให้กับเราแล้ว เรามีอยู่แล้ว เต็มตุ่ม เราก็แบ่งข้าวสารเหล่านั้นให้กับคนอื่น เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือให้รู้ความจริงเหล่านี้ ซึมซับความจริงเหล่านี้ ซึมซับความรักของพระเจ้า ที่ล้นอยู่ในใจของเรา แล้วก็ฝึกฝนในการสำแดงมันออกมา ไม่ใช่พยายามด้วยกำลังของตนเอง

            ความจริงในโลกวิญญาณ คือเราผู้เป็นคริสเตียน ในทางวิญญาณ เราได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นความรักของพระองค์อยู่ในเรา ไหลผ่านชีวิตเราตลอดเวลา ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์เป็นพลังแห่งชีวิต เราจำเป็นต้องพึ่งในพระองค์ เพราะพระองค์เป็นพลังแห่งชีวิต เราเป็นผู้รับพลังแห่งชีวิตนี้ไม่ใช่เป็นผู้ผลิต หรือผู้ให้ แต่เราเป็นผู้รับจากพระองค์ แล้วให้มันไหลผ่าน เป็นผลออกมา เหมือนกิ่งไม้กับลำต้น กิ่งไม้จะออกดอก หรือออกลูก รับอาหารจากลำต้น ข้อ 12 …

        1 ยอห์น 4:12 “ยังไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเรารักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็อาศัยอยู่ในตัวเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ ก็บริบูรณ์อยู่ในเราด้วย”

            “บริบูรณ์” ก็คือเราอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความรัก พระคริสต์อยู่ในเรา ความรักอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน พระคริสต์เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ เรียกว่าความรักแบบอากาเป้  พระคัมภีร์บันทึกไว้ เป็นความรักที่ไม่ใช่ความรักแบบมนุษย์ เป็นความรักแบบพระเจ้า พระคริสต์เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ เรียกว่าความรักแบบอากาเป้  เราก็เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ แบบอากาเป้เหมือนกัน ความรักแบบอากาเป้ของพระเจ้าที่สมบูรณ์ครบถ้วน เป็นของประทาน

            จากวันนี้ที่ได้ศึกษาถ้อยคำเหล่านี้ อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าความรักแบบอากาเป้ของแท้จริงของพระเจ้านั้น เป็นของประทาน นั่นหมายถึงว่าเราสร้างขึ้นเองไม่ได้ เราทำขึ้นเองไม่ได้ มันเป็นของประทานจากพระเจ้า เป็นพระลักษณะของชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ที่เราได้รับมาแล้ว ตอนที่เราบังเกิดใหม่ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในพระองค์ด้วย เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราได้บังเกิดใหม่ด้วยชีวิตนิรันดร์นี้ เราได้รับวิญญาณใหม่ ใจใหม่ และเต็มล้นไปด้วยความรักแบบอากาเป้นี้ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ จนไปถึงนิรันดร์ ไม่มีวัน ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอีกเลยนิรันดร์ เอเมน

            นี่คือสถานะในวิญญาณของผู้ที่เป็นคริสเตียน ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสิยาห์  และขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงดำเนินชีวิตอยู่ภายในเรา กำลังฝึกฝนชีวิตใหม่ของเรานี้ คือฝึกฝนดำเนินชีวิต ในความรักแบบอากาเป้นี้ ฝึกฝนการดำเนินชีวิตแบบชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์นี้ ให้สมกับที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าที่เป็นความรัก ความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม อย่างสมบูรณ์ ชั่วนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว นึกออกใช่ไหม? พระวิญญาณจะสอนเรา จะฝึกฝนเรา ในสิ่งที่เราเป็นอยู่แล้ว ไม่ใช่ฝึกฝนเราให้เราเป็น แต่ฝึกฝนตามสิ่งที่เราได้เป็นอยู่แล้ว

            ทำไมพระคัมภีร์จึงใช้คำว่า “ฝึกฝน” เพราะฝึกฝนความประพฤติ ฝึกฝนการกระทำที่เป็นอยู่แล้ว เป็นอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นนิรันดร์ แต่ฝึกฝนนี้ เป็นอย่างไร ความประพฤติ มันเปลี่ยนได้ มันพลาดได้ พอจะมองเห็นภาพนะ นักกีฬาฝึกฝน ก็พลาดได้ เด็กๆ ฝึกฝนอะไรก็พลาดได้ เราฝึกฝนทำอะไร มันก็จะผิดพลาดบ้าง แต่ฝึกฝนมากเท่าไร มันก็จะค่อยๆ ดีขึ้นมากเท่านั้น นี่คือหลักการในทางของพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และความรักแบบอากาเป้ ชนิดที่เป็นของพระเจ้า ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังฝึกสอนเราอยู่นี้ มีคุณสมบัติ ลักษณะเป็นอย่างไร? อาจารย์เปาโลเปิดเผยของประทานนี้ ว่าของประทานนี้ มีลักษณะเป็นอย่างนี้ ให้ทุกคนแสวงหา รับรู้ว่ามันอยู่ภายในเรา และให้ผลของพระวิญญาณ ออกมาในชีวิตของเรา เรามาดูลักษณะของความรักแบบอากาเป้ของพระเจ้าที่เป็นของประทานให้กับเรา หน้าตาเป็นอย่างไร? 1 โครินธ์ 13:4-8 …

        1 โครินธ์ 13:4-8 “ความรักเป็นการอดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักเป็นการไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดี เมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดี เมื่อประพฤติชอบ  ความรักเป็นการทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ  และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น”

            ทั้งหมดนั้น เป็นลักษณะของของประทานความรัก ซึ่งอยู่ในชีวิตของคริสเตียนทุกคนอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้ เป็นธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  ที่เรียกว่าคริสเตียน วิญญาณและใจข้างในของเรา เป็นความรัก แบบอากาเป้นี้  เป็นความรักชนิดที่เป็นของพระเจ้าเลย ไม่มีส่วนอื่นผสมอยู่เลย รับรู้ความจริงนี้ ซึมซับรับเอาความรักจากพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในวิญญาณของเรา แล้วฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน ทุกวัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะนำเรา จะสอนเรา ฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน ดำเนินชีวิตด้วยความรักแบบอากาเป้ ที่อยู่ในใจของเราให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ฝึกฝน ฝึกฝน ด้วยวิธีในพระคัมภีร์บอก โดยการตั้งความคิดไว้เลยว่ายอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นตา หู คอ จมูก ลิ้น กาย ทุกส่วนในร่างกาย อวัยวะของเรา ให้พระเจ้าใช้ เป็นเครื่องมือ ปลดปล่อยให้ความรักของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรานั้น ได้สำแดงออกมาเป็นการกระทำนั่นเอง

            นี่คือหน้าที่ของคริสเตียน คือยอมเท่านั้นเอง ตัดสินใจยอมให้พระวิญญาณนำ  แล้วก็ยอมเชื่อฟัง จะใช้อะไรก็ว่ากันเท่านั้นเอง แน่นอนฝึกฝน มันก็จะผิดบ้าง พลาดบ้าง เผลอบ้าง พลั้งบ้าง มันก็ไม่เป็นไร ขอบคุณพระเจ้า เริ่มต้นใหม่ พระวิญญาณ ก็จะนำเราต่อไป ให้เชื่อมั่นตรงนี้ ให้ไว้วางใจในพระเจ้าตรงนี้ นี่คือถ้อยคำแห่งความจริง  พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 3

            คริสเตียน

            ก่อนเชื่อ เป็นทาสบาป …

            หลังเชื่อ เป็นทาสความชอบธรรม

            โรม 6:16-18 … “16 ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาส ต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม 17 แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ถึงแม้ท่านจะเคยเป็นทาสของ ความบาปมาก่อน แต่เดี๋ยวนี้ ท่านได้เชื่อฟังแบบอย่าง คำสอนที่พระเจ้าให้ครอบครองท่านนั้นอย่างสุดหัวใจ 18 ท่านจึงไม่ได้เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป แต่เป็นทาส (ความชอบธรรม) ที่ทำตามใจพระเจ้า”

            ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป โดยมีธรรมชาติในวิญญาณที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า นำไปสู่ความตาย และคำสาปแช่ง

            หลังเชื่อ เป็นทาสความชอบธรรม โดยมีธรรมชาติในวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้า นำไปสู่ชีวิตและพระพรนานัปการ

            ก่อนเชื่อเป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟัง

            หลังเชื่อเป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง

            คริสเตียนจึงเป็นลูกของพระเจ้า ที่มีธรรมชาติในวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง   พระเจ้าอวยพรครับ