วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1497

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  24  พฤศจิกายน  2024

เรื่อง “วันขอบคุณพระเจ้า”

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้ข้อพระคัมภีร์เน้นๆ เกี่ยวกับพระคุณที่พระเจ้าให้กับพวกเราว่ามันมีอะไรบ้าง? เราจะได้รับรู้ไว้ว่าเราได้แล้ว เริ่มต้นจาก ยอห์น 3:16 …

        ยอห์น 3:16 TNCV “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”

            นี่คือพระพรอันแรกที่พระเจ้าให้กับพวกเรา สมควรที่จะต้องขอบคุณพระองค์ เพราะพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าทรงรักพวกเรามากๆ มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา ใครก็ตามที่วางใจในพระบุตรนั้น

            อันดับแรกที่เราได้ ก็คือเราไม่พินาศในนรก แล้วเราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ชีวิตชนิดแบบเป็นของพระเจ้าเลย ได้รับทันที

        ยอห์น 1:12 TNCV “ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า”

            อันที่ 2 คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้สิทธิพิเศษ คือเป็นลูกของพระเจ้าทันที เป็นแล้วเป็นเลย เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ใช่วันนี้เป็นลูกพระเจ้า พรุ่งนี้เผลอไปทำบาป แล้วกลายเป็นลูกมาร ไม่มี เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย

        ยอห์น 14:1-4, 6 TNCV “1 “อย่าให้ใจของท่านทั้งหลายเป็นทุกข์ จงวางใจในพระเจ้า และจงวางใจในเราด้วย 2 ในนิเวศของพระบิดาของเรามีห้องมากมาย ถ้าไม่มีเราคงได้บอกพวกท่านแล้ว เรากำลังไปที่นั่น เพื่อเตรียมที่สำหรับพวกท่าน 3 และเมื่อเราไปเตรียมที่สำหรับพวกท่าน เราจะกลับมารับพวกท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านก็จะได้อยู่ที่นั่นด้วย 4 พวกท่านรู้จักทางไปสู่ที่ซึ่งเรากำลังจะไป 6 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา”

            อันที่ 3 ทางเดียวเท่านั้นที่มนุษยชาติจะสามารถไปถึงพระบิดาได้ คือมาทางพระเยซูคริสต์ ผู้เดียวเท่านั้น แล้วพระองค์ได้สัญญาว่าพระองค์ไปจัดเตรียมที่ไว้ ที่บนสวรรค์มีเยอะแยะมากมาย และวันหนึ่ง เมื่อลมหายใจพวกเราออกจากร่างปุ๊บ พระเยซูคริสต์ก็มารับวิญญาณของเรา ที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว  ไปอยู่กับพระองค์ที่สวรรคสถานนิรันดร์กาล ชัวร์ มั่นใจ 1,000% ว่าเราไม่ต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เพื่อถูกพิพากษาลงโทษแน่นอน นี่คือคำสัญญา

        เอเฟซัส 2:8-10 TNCV “8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า 9 ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ 10 เพราะเราทั้งหลายเป็นผลงานของพระเจ้า   ซึ่งทรงสร้างในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ทำการดีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ”

            ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้ เป็นคำสัญญาว่าพวกเรารอดพ้นจากบาป จากเคราะห์กรรม เวรกรรม จากการตกนรกได้ โดยพระคุณ พระคุณที่พระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์มาให้กับพวกเรา ตายบนไม้กางเขน ไม่ใช่ เพราะเรากระทำดี เพราะผลงานของเรา ที่ทำบนโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้ไม่ต้องไปอวด เพราะส่วนใหญ่ ถ้าทำดีและขึ้นสวรรค์ได้ เราก็อวดได้ …

            “เห็นไหม? ดูฉันเป็นตัวอย่าง ฉันทำดีเยอะมาก ฉันจึงได้ขึ้นสวรรค์”

            แต่พระเจ้าบอกไม่มีใครสามารถทำได้ ฉะนั้น ความรอดนี้มาจากพระเจ้า เป็นของประทาน เพื่อเราจะไม่ได้ไปอวด ไม่ไปทับถม หรือเกทับใคร อะไรประมาณนี้ เราทั้งหลายเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เพื่อทำการดี ตรงนี้มันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก คือเมื่อเราวางใจในพระเจ้า กลับใจใหม่ บังเกิดใหม่ ปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในเรา วิญญาณใหม่ของเรา เป็นเหมือนพระเจ้าเลย แล้ววิญญาณใหม่เราเป็นความดี ฉะนั้น เมื่อวิญญาณใหม่เราเป็นความดีแล้ว เราก็จะส่งผลของวิญญาณใหม่ของเราออกไป ทำการดี คือเรารอดแล้ว เราจึงทำดี  แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราทำดี เพื่อได้รับความรอด ซึ่งมันไปไม่รอดนั่นแหละ แต่เรารอดแล้ว พระเจ้าเลยให้เราทำความดี

        เอเฟซัส 1:3 TNCV “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน”

            อีกอันหนึ่งที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว คือพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการที่สวรรค สถาน พระเจ้าให้กับเราแล้ว ที่เราคุยกันตลอดเวลา เราได้วิญญาณใหม่ เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้อยู่กับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา

            ฉะนั้น ตรงนี้ คือพระพรหมดเลย แล้วสิ่งที่สำคัญ คือพระเจ้าบอกเราว่า ณ เวลานี้ ในโลกวิญญาณ เราได้นั่งอยู่ที่เดียวกับพระเยซูคริสต์ ที่สวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว อันนี้เรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องรอลุ้นว่าถ้าวิญญาณเราออกจากร่าง เราไปอยู่ตรงไหน? พระเจ้าบอกอยู่ตรงนี้แหละ ที่เดิม คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ อันนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้

        1 เปโตร 1:3 TNCV “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา! ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

            พระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ ผลตรงนี้ ก็คือถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ตาย เราก็ไม่ตายด้วย ไม่ตาย หมายความว่าวิญญาณเก่าเรายังอยู่เหมือนเดิม ความบาป มันก็ยังอยู่กับเราเหมือนเดิม ตายไม่ได้ ถ้าตาย ก็คือไปอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ที่ที่เต็มไปด้วยการสาปแช่ง ฉะนั้น พระเยซูคริสต์จำเป็นต้องตาย เพื่อจะได้เอาวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเรา ไปตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย เมื่อวิญญาณเก่าเราตายปุ๊บ เราก็จะได้เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ด้วยวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย นี่คือพระพรที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกคน

        ฟีลิปปี 1:6 TNCV “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้น จะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”

            พระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดี เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร? จริงๆ เริ่มต้นตั้งแต่เรายังไม่เกิดนั่นแหละ แต่ถ้าภาษาที่เราฟังเข้าใจ คือเริ่มต้นตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้บังเกิดใหม่ เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเหมือนพระเจ้าแล้ว พระองค์เริ่มต้นทำการงานในชีวิตของเรา เราไม่ต้องกลัวว่าพระเจ้าจะทิ้งเรา เพราะพระองค์บอกพระองค์สถิตอยู่ในเรา ไม่ทิ้งเราไปไหน เราทำบาปอยู่ พระเจ้าก็ยังอยู่ด้วยเลย นึกออกไหม? เมื่อก่อนถูกสอนว่าทำบาปเมื่อไร พระเจ้าหนีออกไป ดิฉันก็ถูกสอนมาอย่างนี้ แล้วดิฉันก็สอนพวกเราด้วย ตอนนี้รู้ความจริงแล้ว เอาใหม่ ลบข้อมูลเก่าๆ ออกไป ก็คือขณะที่เราทำบาปอยู่ พระเจ้ายังอยู่กับเราด้วย แต่พระเจ้าอยู่ด้วยการลุ้น ไม่ได้ลุ้นว่าเราจะตกนรกนะ เพราะว่าเราได้รับความรอดแล้ว ลุ้นว่าถ้าเราทำบาป เราจะเก็บเกี่ยวผล ผลของโลกใบนี้ ก็คือเดี๋ยวจะเจ็บตัวนะลูก พระเจ้าลุ้นแค่นั่นเอง

            ฉะนั้น พระเจ้าบอกว่าพระองค์เริ่มต้นการงานดี พระองค์ที่อยู่ในเรา จะคอยช่วยเหลือเรา แนะนำเรา จูงมือเราเดิน ถ้าอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเมื่อไร ก็จะแบกเราขึ้นบ่า แล้วก็พาไปเรื่อยๆ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต วันที่วิญญาณเราออกจากร่างเมื่อไร? สบายเลย อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก อยู่เพื่อรับใช้ ตายได้กำไร ภาษาตรงนี้ ภาษาคริสเตียน เราจะรู้เลย ตายเมื่อไรได้กำไรเมื่อนั้น คือเมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราไม่ต้องดิ้นรนอยู่บนโลกใบนี้อีก ถามจริงพี่น้อง อยู่บนโลกใบนี้ สบายไหม? ไม่สบาย แม้ว่าเรามีพระเจ้าอยู่ด้วย เราก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาเยอะแยะมากมาย 108 … 1009 ถาโถมเข้ามา เราจะบอกว่าเราสุขสบายดี ไม่มีปัญหาใดๆ มันไม่จริงหรอก ปัญหาแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ใหญ่บ้าง  เล็กบ้าง แล้วแต่จังหวะของชีวิต ทุกคนต้องเจอ แล้วเรายังต้องเจอการตัดสินใจทุกอย่าง ทุกวัน ทุกวินาทีว่ามีการล่อลวงเข้ามาอย่างนี้ เราจะตัดสินใจอย่างไร? ตัดสินใจตามน้ำพระทัยพระเจ้า หรือเราจะตัดสินใจตามโลกนี้ ส่งข้อมูลเข้ามา อันนี้ทุกข์นะ แล้วก็กลุ้มใจ อย่างไรดีๆ พอตัดสินใจผิดพลาดปุ๊บ นั่งกุมขมับเลย …

            “พระเจ้า ลูกขอโทษ ให้กำลังลูก ให้ลูกเริ่มต้นใหม่” … เราไม่ต้องสารภาพบาป

            นี่คือภาพจริงๆ ที่ในตลอดชีวิตของพวกเรา ซึ่งเป็นผู้เชื่อแล้ว  ต้องเผชิญ ฉะนั้น เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง สบายเลย กำไรชีวิต

            กำไรอันดับแรก คือเราไม่ต้องมาสู้บนโลกใบนี้แล้ว

            อันดับที่ 2 กำไรแน่ๆ เลย ได้ไปเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า ตอนนี้เราไม่เห็น ตอนนี้เราจินตนาการอยู่นั่นแหละ ว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์หน้าตาจะเป็นอย่างไร? แล้วมีคนจินตนาการวาดเป็นภาพพระเยซู เราก็ไม่รู้ว่าภาพนี้ จริงหรือเปล่า? พระเยซูหน้าตาแบบนี้จริงไหม? อะไรแบบนี้ แต่ว่าถึงวันนั้นจริงๆ เราเจอพระเยซูหน้าต่อหน้า แล้วเราก็ยังได้รับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูเป๊ะๆ เลย แล้วตอนนั้น เราก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนสวรรค์ กระดิ๊กเท้า มีความสุข นั่งรอทุกคนที่เรารัก พ่อแม่ ปู่ย่า ตาทวด เพื่อนในโบสถ์ เพื่อนในโลกใบนี้ที่เขาเชื่อพระเจ้าแล้ว แต่ยังไม่จากไป เราก็นั่งลุ้น เราเชียร์นะ ยังไงก็รอด แต่จะรอดแบบหัวทิ่มหัวตำ หรือรอดแบบฉลุย นั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้าจริงๆ นี่คือพระพร นี่แค่ส่วนหนึ่งเองนะ ถ้อยคำของพระเจ้า มีเยอะแยะมากมายเลยที่พระเจ้าเตรียมการ สำหรับพวกเราทุกๆ คน

            ฉะนั้น สมควรไหมที่เราจะขอบพระคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าได้ทุกวินาที ทั้งยามหลับ ยามตื่น คือไม่มีเหตุผลอะไร หรือเรื่องอะไรที่จะทำให้เราไม่ขอบคุณพระเจ้าได้ พี่น้องว่าไหม? คือทุกอย่าง ขอบคุณพระเจ้าอย่างเดียวเลย เราจะเห็น เวลาเราไปอยู่กับคนที่ไม่เชื่อ เพื่อนฝูง พออะไร เราขอบคุณพระเจ้า โดยอัตโนมัติ เพื่อนเขาก็จะงง เหล่ใหญ่เลย ขอบคุณอะไร? บางทีคนให้ของเรา เราก็ …

            “ขอบคุณพระเจ้า”

            “ฉันเป็นคนให้นะ  ทำไมไม่ขอบคุณฉัน ไปขอบคุณพระเจ้าทำไม?” อะไรแบบนี้

            แต่ว่ามันเป็นความรู้สึกจริงๆ ของเรา ที่เราอยากจะขอบคุณพระเจ้าในทุกสิ่งสารพัด ที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา แล้ววันนี้ โอกาสพิเศษ ที่เรามาเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้า ร่วมกัน แล้วก็แบ่งปันถ้อยคำสั้นๆ เก็บเอาไว้ให้พี่น้องเอาไประลึกถึงสิ่งที่ดีงาม ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 2

            ก่อนเชื่ออยู่ในอาดัม

            หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์

            1 โครินธ์ 15:22 … “เพราะว่าในอาดัม  คนทั้งปวงตายฉันใด  ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น”

            ก่อนเชื่ออยู่ในอาดัม

            หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์

            ก่อนเชื่อ : วิญญาณอาศัยอยู่ในดินแดนของเนื้อหนัง ใจจดจ่อที่กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ร่างกายเดินตาม อิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง

            หลังเชื่อ : วิญญาณอาศัยอยู่ในอาณาจักรของพระวิญญาณ  ใจจดจ่อที่พระวิญญาณ  ร่างกายดำเนินตามพระวิญญาณ หรืออาจถูกหลอก ล่อลวงให้ทำตาม อิทธิพลของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง

            ความรอดในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่แค่การอภัยในความบาปให้กับเรา หรือแค่ยอมรับเราเป็นลูกของพระองค์เท่านั้น แต่หมายถึงความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตตัวตนทางวิญญาณของเรา คือการเปลี่ยนแปลงสถานะและที่อยู่อาศัย และการบังเกิดใหม่ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่เนรมิตสร้างขึ้นใหม่ในวิญญาณของเรา

            ข่าวดีของพระเยซูคริสต์จึงเป็นฤทธิ์เดช ที่ทำให้ผู้เชื่อนั้นได้รับความรอด ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติ หรือการกระทำใดๆ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1496

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  พฤศจิกายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 12 “พระเจ้าอยู่ในเรา ใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์ “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 12 “พระเจ้าอยู่ในเรา ใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก” ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้ถึง 1 ยอห์น 4:1-6 อาจารย์ยอห์นสอนถึงเรื่องการสังเกตวิญญาณ  เพื่อจะได้รู้ว่าวิญญาณใดมาจากพระเจ้า เป็นของจริง วิญญาณใดมาจากปฏิปักษ์พระคริสต์ เป็นของปลอม เป็นของเท็จ ปฏิปักษ์ ก็คือเป็นศัตรู ต่อต้าน วิธีการสังเกต ก็คือให้ดู ฟัง วิเคราะห์จากคำสอน คำพูด และหลักข้อเชื่อของคำพูดเหล่านั้น ของผู้ที่พูด ผู้ที่สอน ผู้ที่บรรยายว่าถ้อยคำเหล่านั้น เชื่อหรือไม่ว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์  เป็นพระเจ้ามาเกิดในร่างกายแบบมนุษย์ หัวข้อใหญ่ที่สุดของการเป็นพระเมสิยาห์ ก็คือพระเจ้ามาเกิดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นความเชื่อ ที่สำคัญที่สุดของคนที่เป็นคริสเตียน เชื่อตรงนี้ได้ไหมว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

            ข้อสำคัญที่สุดเป็นกระดุมเม็ดแรกของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือพระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับร่างกายของมนุษย์ที่เขาเชื่อกันว่ามันสกปรก โสโครก มีแต่การทำบาป แต่พระเจ้าสามารถมาสถิตอยู่กับร่างกายนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้ ถ้าเชื่อได้ว่าพระเจ้ามาสถิตอยู่กับพระเยซูในร่างกายแบบมนุษย์ได้ ก็จะสามารถเชื่อได้ว่าตัวเราเอง หรือผู้เชื่อ หรือคริสเตียนเอง ก็สามารถเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้ว่าเมื่อเราเชื่อแล้ว พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ภายในร่างกายเรา เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นสุดยอดของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และเราก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระองค์เหมือนกัน

            นี่ไง จึงเป็นหัวใจสำคัญของการเริ่มต้นเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ซึ่งความเชื่อนี้ อย่างที่บอก เป็นกระดุมเม็ดแรก ถ้าตรงนี้ไม่เชื่อ ทุกอย่างก็จะเพี้ยนไปเรื่อยๆ

            การสอนเท็จไม่ว่าจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งที่ผิดไปจากความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คือตั้งแต่วันคริสต์มาสไปจบเอาวันอีสเตอร์ จำได้ไหม? วันคริสต์มาส ก็คือเน้นที่พระเจ้ามาเกิดในร่างกายของมนุษย์ แล้วมาจบวันอีสเตอร์ คือวันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ 2 อันนี้ คือบทสรุปของข่าวประเสริฐที่ครบถ้วนบริบูรณ์

            เพราะฉะนั้น ตั้งแต่พระเยซูเกิดเป็นแบบมนุษย์ อยู่ในร่างกายมนุษย์ จนกระทั่ง วันที่เป็นขึ้นจากความตาย มนุษย์สามารถจะเป็นขึ้นจากความตาย และพระเจ้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเขาได้ ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จึงเป็นหัวข้อสำคัญมากในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นข่าวประเสริฐที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ตั้งแต่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย จนกระทั่งถึงวันที่พระองค์ได้ครองโลกทั้งใบ ทั้งหมด ในวันที่สิ้นสุดโลกใบนี้ เราได้อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่เราดำเนินชีวิตในโลกใบนี้แล้ว มันก็เป็นอย่างนี้ ถึงจะครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์ ตามที่พระเยซูบอกว่า “สำเร็จแล้ว” ครั้งเดียวเป็นพอ คือเกิดครั้งเดียว แล้วสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว หลั่งพระโลหิตเพียงครั้งเดียว  เป็นขึ้นมาจากความตายเพียงครั้งเดียวพอ สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น พวกต่อต้าน เขาก็จะต่อต้าน เริ่มตั้งแต่อย่างที่บอกไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายของมนุษย์ แล้วก็อื่นๆ อีกมากมาย จนกระทั่งเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป    พระเยซูก็จะถูกทำให้เสียหายไป   ทำให้คริสเตียนไม่มั่นใจเต็ม 100% ว่าคริสเตียนสามารถเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ในขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเขา ตั้งแต่ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้วจริงๆ อาจารย์ยอห์นจะเน้นย้ำตรงนี้ จริงๆ

            พวกต่อต้าน หรือปฏิปักษ์พระคริสต์นี้ ทำให้ข่าวประเสริฐเหล่านี้เสียหาย ทำให้เกิดเป็นผล ทำให้คนเป็นคริสเตียนเอง คนที่เชื่อแล้ว ได้รับความรอดแล้ว ไม่มีความมั่นใจเต็ม 100% ว่า …

            “ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ฉันได้เป็นลูกของพระเจ้า ฉันได้อยู่อาศัยในพระคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เป็นพลเมืองของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในสวรรคสถาน และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปชั่วนิรันดร์ รอวันที่ได้รับร่างกายใหม่ หลังจากความตายเท่านั้น เอเมน”

            อย่างที่บอกปฏิปักษ์พระคริสต์เขาจะพยายามลบล้างความจริงเหล่านี้ ตั้งแต่เริ่มต้น ถ้าลบได้หมด ปิดบังได้หมด ก็จะปิดบังให้หมดเลย ถ้าไม่ได้ ก็ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ในเมื่อปิดบังไม่ได้ เขาได้รับความรอดไปแล้ว เขาเชื่อพระเยซูไปแล้ว โอเค ปิดบังต่อไป เป็นคริสเตียนแล้วใช่ไหม? ได้รับความรอดแล้ว แต่ได้รับความรอดแบบกระท่อนกระแท่น ไม่ได้รับพระพรอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ก็ไม่สามารถที่จะสำแดงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเขา ออกมาจากใจ วิญญาณของเขาที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วได้ ในชีวิตของเขา ก็ไม่ได้สามารถเป็นพยานได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง

            ครั้งที่แล้วเราจบลงตรงที่ 1 ยอห์น 4:4-6 ซึ่งวันนี้จะขออธิบายเพิ่มเติมใน 3 ข้อนี้ ตามบริบทนี้ว่าหมายถึงอะไรให้ละเอียดขึ้น เพราะมีผู้เข้าใจผิดเยอะพอสมควร เราลองอ่านดูก่อน 1 ยอห์น 4:4-6 …

        1 ยอห์น 4:4-6 “4 ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้ 5 พวกคนเหล่านั้น เป็นของโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด ก็มาจากโลกนี้ 6 แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้า จะไม่ฟังเรา แบบนี้สิ เราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหนเอาความจริงมาให้ และวิญญาณไหนที่โกหก”

            เริ่มจาก 1 ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือพวกเหล่านั้น”

            “พวกเหล่านั้น” คือพวกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์

            “ลูกๆ เอ๋ย” ก็คือผู้เชื่อ ก็คือคริสเตียน

            พวกคุณเป็นของพระเจ้า เป็นพลเมืองของพระเจ้า ได้มีชัยชนะเหนือพวกเหล่านั้น พวกปฏิปักษ์พระคริสต์ “พวก” หมายถึงเยอะ มีมาก  เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ก็คือพวกคริสเตียน ใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก ตามบริบทนี้ คริสเตียนเป็นของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเขา แล้วพระเจ้าเป็นความจริง ความจริงอยู่ในตัวเขา อยู่ในใจเขา ซึ่งความจริงนี้มีชัยชนะอยู่เหนือความเท็จ ซึ่งเป็นความเท็จที่มาจากมาร ซึ่งถูกครอบงำ ล่อลวง โดยมารที่ทำงานอยู่ในโลก ก็คือพวกคนเหล่านั้น ที่หลงเชื่อมาร หลงเชื่อคำเท็จ มีคำเท็จอยู่ในตัวเขา ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อนั่นเอง ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์เหล่านั้น เยอะแยะมากมาย แต่ตามบริบทนี้ อาจารย์ยอห์นกำลังจะเน้นถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แล้วตั้งตนเป็นคนสอนด้วย เฉพาะบริบทนี้นะ

            พระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่าความมืด อาจารย์บอกอย่างนี้ ให้รู้ถึงโลกวิญญาณว่า คริสเตียนแท้ๆ จริงๆ เป็นอย่างไร? ถ้าไม่ใช่คริสเตียนเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ ผู้สถิตอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่ามาร พ่อแห่งการมุสา ต้นกำเนิดของความบาป ความชั่วร้ายที่อยู่ในโลก การงานของมาร คือการเป็นศัตรูต่อต้านพระคริสต์ ด้วยการโกหก หลอกลวงมนุษย์ให้หลงเชื่อ ต่อต้านความจริงของพระเจ้า เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ หรือต่อไม้กางเขน นี่คือการงานของมาร ที่หลอกล่อ หลอกลวงมนุษย์  ความชั่วร้ายของมาร มีอิทธิพลต่อมนุษย์ที่ตกเป็นทาสของมันที่อยู่ในโลกเท่านั้น แต่คริสเตียนผู้เชื่อเป็นของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้เป็นทาสมารที่อยู่ในโลก

            เพราะฉะนั้น ความจริง ก็คือคริสเตียนนั้น แม้ว่าดำรงชีวิตอยู่บนโลกนี้ ตามที่ตามองเห็น แต่เขาไม่ได้เป็นของโลก คริสเตียนเป็นของพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ เราได้ถูกย้ายจากการอยู่ในโลก มาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ในโลกฝ่ายวิญญาณ ได้มีการย้าย เปลี่ยนมาจากอยู่ในโลก เป็นของมาร ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ เป็นของพระเจ้า เป็นคนของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว เราไม่ได้เป็นของโลก  ไม่ได้เป็นทาสมาร

            เราเป็นของพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เป็นพลเมืองของสวรรค์ เป็นประชากรของพระเจ้าในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ

            เราได้บังเกิดใหม่ด้วยหน่อเชื้อวิญญาณของพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ วิญญาณเราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า เต็มด้วยพระลักษณะของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ขณะนี้

            เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นความรักเหมือนพระเจ้า

            พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราในร่างกายนี้ ขณะนี้ เราเดินไปไหน 3 พระภาคก็ไปกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เอเมน

            เหล่านี้ คือความจริง ซึ่งมองไม่เห็น เพราะอยู่ในโลกวิญญาณ แต่พระเจ้าชี้ให้เราเห็น อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าในโลกวิญญาณนี้เป็นอย่างนี้

        1 ยอห์น 4:5 “พวกคนเหล่านั้น เป็นของโลกนี้ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด ก็มาจากโลกนี้”

            พวกคนเหล่านั้น ก็คือพวกผู้เผยพระวจนะ พวกสอนเท็จเหล่านั้น พวกที่สอน ที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์เหล่านั้น เป็นของมาร มารมีอิทธิพลอยู่ในโลกนี้ เป็นของโลกนี้ หมายถึงโลกวิญญาณนะ ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาพูด พวกเขา คือพวกผู้เผยพระวจนะเท็จ ผู้ที่สอน เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ สอนต่อต้านความจริงของข่าวประเสริฐของพระคริสต์ สิ่งที่เขาพูดนั้น สิ่งที่เขาสอนนั้น ก็มาจากโลกนี้ เห็นไหม? เพราะเขาเป็นของโลกนี้ เป็นของมาร สิ่งที่เขาพูด ก็มาจากมารนั่นเอง มารหลอกลวง ล่อลวงให้เขาเชื่อตามนั้น เขาก็เลย พูดตามมารบอก

            และในนี้บอกว่าผู้ซึ่งอยู่ในเรา เป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก เห็นหรือยัง ผู้ที่อยู่ในเรา อยู่ใน คริสเตียนผู้เชื่อนั้น ก็คือความจริงที่อยู่ในเรา ที่ตะกี้นี้ที่ได้พูดถึงเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เป็นใหญ่กว่า ซึ่งมันเป็นจริง มันไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ใหญ่กว่าคนเหล่านั้นที่อยู่ในโลก คือใหญ่กว่าคนที่สอนเท็จ สอนผิด สอนต่อต้านพระคริสต์ ที่อยู่ในโลก ที่เป็นทาสของมารอยู่ ซึ่งเป็นพวกที่ถูกหลอกลวง ล่อลวงด้วยการโกหกของมาร ให้ต่อต้านความจริง ไม่ยอมรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา ต่อต้านกับเรา เพราะว่าข้างในวิญญาณมันคนละขั้วเลยใช่ไหม? ข้างในวิญญาณของคริสเตียนนั้น มีพระคริสต์ แต่สำหรับคนที่กำลังสอน ไม่เชื่อเรื่องพระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่เชื่อข่าวประเสริฐ เขาเป็นของโลก เป็นของมาร เขาต่อต้านข่าวประเสริฐของพระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์

            มาร คือใคร? ในพระคัมภีร์บอกว่ามารเป็นเจ้าแห่งการหลอกลวง ตั้งใจฟังตรงนี้ จะได้รู้ จะได้ไม่กลัว รู้ความจริง มารเป็นเจ้าแห่งการหลอกลวง เจ้าแห่งความเท็จ ที่มีอิทธิพลอยู่ในโลก เมื่อตะกี้เราบอกว่าเราเป็นคริสเตียน เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลก แต่เราไม่ได้เป็นของโลก เราไม่ได้อยู่ในโลก แต่เราอยู่ในพระคริสต์ นี่พูดถึงในโลกวิญญาณ ต้องช้าๆ ค่อยๆ จะได้เห็นชัดเจน มารเป็นเจ้าแห่งความเท็จ หลอกลวง มีอิทธิพลอยู่ในโลก หลอกให้มนุษย์ในโลก หลงเชื่อคำเท็จต่อต้านความจริงข่าวดีของพระคริสต์ ปิดบังตาฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ ไม่ให้รู้เรื่องเกี่ยวกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์อย่างที่ตะกี้นี้บอกตั้งแต่ต้นว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือตั้งแต่คริสต์มาสจนกระทั่งถึงวันอีสเตอร์ วันเป็นขึ้นจากความตายว่ามีผลอะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์บ้าง? พยายามปิดบังตาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

        มาข้อสุดท้าย 1 ยอห์น 4:6 “แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้า จะไม่ฟังเรา แบบนี้สิ เราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหนเอาความจริงมาให้ และวิญญาณไหนที่โกหก”

            “แต่พวกเรา” คือใคร? อาจารย์ยอห์นกำลังจะพูดถึงอะไร? แต่พวกเรา คือพวกอัครทูต ในบริบทนี้ อาจารย์ยอห์นพูดถึงว่าอัครทูตผู้ประกาศข่าวดี ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่พระเยซูบอกว่า “ให้พวกเธอออกไปประกาศข่าวดีนี้” แต่พวกเราอัครทูต ผู้ประกาศความจริงของข่าวดีของพระเยซูคริสต์นี้ เป็นของพระเจ้า มาจากพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราพูด คนที่เป็นคริสเตียน ที่มีวิญญาณเหมือนกับพวกเรา เรียกว่าคริสเตียนผู้เชื่อ ก็จะฟังเรา ตรงนี้หมายถึงอย่างนั้น เขาก็จะฟังเรารู้เรื่อง แต่คนที่ไม่เชื่อ ที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ พวกนั้น เขาก็จะไม่ฟัง ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นชัดเจนเลย

            สรุปแล้ว โลกวิญญาณ มีอยู่ 2 แห่งเท่านั้นเอง  แห่งหนึ่ง เรียกว่าอาณาจักรแห่งความจริง ที่เป็นอาณาจักรแห่งความสว่างกับอีกแห่งหนึ่ง คืออาณาจักรแห่งความเท็จ  ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด มีคนของพระเจ้า และมีคนของมาร มีพวกของพระเจ้าและมีพวกของมาร นี่พูดถึงในโลกวิญญาณนะ  มีคนที่อาศัยอยู่ในโลก และมีคนที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์

            ท่านคิดดูว่าท่านเป็นใคร? ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้ในโลกวิญญาณ ท่านอยู่ในโลก หรืออยู่ในพระคริสต์ มารที่กระทำการงานอยู่ในโลก ไม่มีอำนาจเหนือมนุษย์เลย  เพราะฉะนั้น มันจึงต้องใช้การหลอกลวง ล่อลวงด้วยคำชักชวน คำโกหก เหมือนกับที่มันเคยทำกับบรรพบุรุษของมวลมนุษย์มาก่อน คืออาดัมและเอวาตั้งแต่เริ่มต้น ถ้ามันมีอำนาจจริง มันคงไม่หลอกลวง ล่อลวง มันได้แต่หลอกลวง ล่อลวงมนุษย์ คอยพูดไปเรื่อยๆ ยุแหย่ ชักจูงให้ต่อต้านพระเจ้า ให้หลงเชื่อ คำพูดของมัน แล้วก็ทำตาม ก็คือต่อต้าน เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงของพระเจ้า ละเมิดกฎของพระเจ้า คือการทำบาป เหมือนดังอาดัมและเอวาได้ตกลงไปในการทำบาป เพราะไปเชื่อมัน แล้วก็เก็บเกี่ยวเอาความทุกข์ ซึ่งเรียกว่าคำสาปแช่ง ตามกฎที่พระเจ้าวางไว้  แล้วพอได้รับคำสาปแช่ง มันก็ซ้ำเติม …

            “เพราะแกเป็นคนทำ”

            จริงๆ มาจากมันแหละ มันเป็นต้นเหตุ

            เห็นชัดเจนเลยว่ามารไม่มีอำนาจเหนือ มนุษย์ ไม่สามารถที่จะมีอำนาจบังคับมนุษย์ เว้นแต่มนุษย์ยินยอม หลงเชื่อ กระทำตามมันเท่านั้น อย่าหลงเชื่อทำตาม ก็แสดงว่ามันไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเลย สิทธิอำนาจอยู่ที่มนุษย์นั่นเอง ถ้าเราไม่ทำสักอย่าง มันทำอะไรเราไม่ได้ นอกจากหลอกล่อต่อไป ล่อลวงต่อไป ชักนำต่อไป เพราะมันไม่มีอำนาจ

            แล้วมันหลอกล่อด้วยวิธีใด? ด้วยวิธีครอบงำ ครอบครอง ฟังให้ดีๆ นะ ด้วยวิธีครอบงำ ครอบครอง ความคิดจิตใจของมนุษย์ มันสามารถส่งข้อมูลเข้ามา ในความคิดของมนุษย์ได้ ด้วยข้อมูลที่เป็นคำพูด การได้ยินได้ฟัง การรับรู้ของมนุษย์ ทุกสื่อ ตา หู จมูก จมูกก็รับรู้นะ ได้กลิ่น มันส่งมาทางกลิ่นอะไรต่างๆ  แต่ที่ชัดๆ ก็คือตาและหู  คำพูดก็ได้ยินว่ามันพูดว่าอะไร?

            ข้อมูลเหล่านี้ที่มากระทบกับตาและหูของมนุษย์ ก็คือคำพูด ข้อมูลข่าวสารที่แย้งกับความเป็นจริงของเรื่องของพระเจ้าที่บอกเราว่าจริงๆ เป็นอย่างนี้

            ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าบอกเราว่าในโลกนี้ มีโลกวิญญาณจริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่เที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว พระเจ้าของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว  แต่เราได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นเยอะไปหมดเลย พระเจ้ามีเต็มไปหมดเลย พระเจ้าโน่นพระเจ้านี่ หลายสิบล้าน นั่นก็พระเจ้า นี่ก็พระเจ้า พระเจ้าของคริสเตียน ก็เป็นหนึ่งในพระเจ้าเยอะแยะ นี่ไง นี่คือยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ว่ามันเป็นอย่างนี้

            ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บอกไว้ว่ามารมันมีหน้าที่ทำอะไร? ฟังให้ดีๆ วันนี้มาเปิดเผยแผนการชั่วร้ายของมาร ซึ่งไม่มีอำนาจเลย มันคอยกล่าวหามนุษย์ ทั้งกลางวันและกลางคืน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น งานของมาร คือคอยยุแหย่ กล่าวหามนุษย์ โทษมนุษย์ ว่ามนุษย์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดเวลา ทำอะไรไม่ได้เลย เดี๋ยวดูว่ามันทำอย่างไร? ทั้งกลางวันและกลางคืน กล่าวหาว่าอย่างไร? กล่าวหาว่ามนุษย์เป็นคนบาป มีมลทิน สกปรก โสโครก พระเจ้ารังเกียจ ไม่เอาไหน? พระเจ้าไม่เอาเธอแล้วล่ะ เธอสกปรก เธอเป็นหนี้ ต้องชดใช้ บาปเวรกรรม ไม่รู้กี่ชาติจะหมด เธอสมควรตกนรก

            พูดง่ายๆ แกมันเลว  ในโลกนี้ มีเสียงของมารตลอดเวลา ให้กับมนุษย์ทุกคนเลยนะ “แกมันเลวๆ” เพื่อมนุษย์จะได้อยู่ห่างจากพระเจ้า และมองดูพระเจ้าของเขา มีความรู้สึกต่อพระเจ้าของเขา ผิดไปจากความเป็นจริง พระเจ้าเป็นความรัก เลยเป็นพระเจ้าแห่งความเกลียดชัง พระเจ้ารักเราจะตาย กลายเป็นพระเจ้าเกลียดเราจะตาย พอเกิดสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา ซึ่งเป็นผลของคำสาปแช่ง ของการทำผิดกฎ ตั้งแต่อาดัมและเอวาทำไว้ โลกใบนี้เสียหายแล้ว  พอเกิดสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับเรา  มันก็ซ้ำเติมว่า …

            “นี่พระเจ้าลงโทษ เพราะเธอมันเลวเอง เธอมันไม่ดีเอง เพราะเธอก่อกรรมทำเข็ญไว้ เพราะฉะนั้น พระเจ้ากำลังตีเธอ กรรมเก่ายังไม่หมดเลย กรรมใหม่ยังทำอีก  เพราะฉะนั้น พระเจ้าตีเธอ พระเจ้าไม่เอาเธอแล้ว เธอมันเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ” อะไรประมาณนี้ นึกออกใช่ไหม?

            พูดไปทั้งกลางวันกลางคืน ผ่านทางสื่อต่างๆ ยิ่งปัจจุบันเยอะไปหมด ในอดีต คือผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ผู้ที่มาสอนเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเจ้า และในชีวิตประจำวันอีก พูดไปเรื่อยๆ โกหกไปเรื่อยๆ ตำหนิไปเรื่อยๆ  กล่าวหาไปเรื่อยๆ จนมนุษย์ไม่รู้สึกรู้สา ไม่รู้ถึงคุณค่าชีวิตของตัวเองว่าพระเจ้าสร้างขึ้นมา และทรงรักและหวงแหนมนุษย์อย่างมาก ดูแล้วน่ารักทุกคน แล้วรักทุกคนด้วย มนุษย์จึงแสวงหาพระเจ้าของตน ตามที่มารโกหกหลออกลวงไว้ ก็คือเมื่อเชื่อมาร

            มนุษย์ก็เลยแสวงหาพระเจ้าของตัวเอง พระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ ด้วยท่าทีของการเป็นคนบาป สกปรก มีมลทิน ต่ำต้อย นี่คือมนุษย์ตั้งแต่แรก เป็นอย่างนี้ มาถึงปัจจุบันเลย จะเข้าไปหาพระเจ้า หรือเข้าไปหาวิญญาณอะไรต่างๆ ที่ถูกหลอกลวงไปแล้ว ไม่รู้เรื่อง แต่รู้ว่ามีโลกวิญญาณอยู่จริงๆ จะเข้าไปหา แสวงหาโลกวิญญาณจริงๆ ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ต้องเข้าไปแบบรู้สึกตัวเองด้อย ตัวเองแย่มาก ต่ำกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก ต้องหมอบกราบเข้าไป คลานเข้าไปหาสิ่งมีชีวิตในโลกฝ่ายวิญญาณที่คิดว่าจะช่วยเขาได้ ที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า ด้วยความกลัว นี่ถูกบิดเบือน  ไม่ว่าเขาจะแสวงหาเป็นวิญญาณพระเจ้าแท้ๆ ก็คือวิญญาณของพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ หรือวิญญาณที่หลอกลวงอื่นๆ ที่ไม่ใช่พระเจ้าแท้ พระเจ้าเที่ยงแท้มีแต่เพียงพระองค์เดียว พระคัมภีร์บันทึกไว้ พูดง่ายๆ ว่าคริสเตียนถูกหลอก  ก็เข้าไปหาพระเจ้าพระบิดาผู้เที่ยงแท้เหมือนกัน เข้าไปแบบท่าทีที่มันไม่ใช่ เข้าใจพระเจ้าผิด เข้าไปแบบกลัวๆ เหมือนกัน สำหรับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า ไม่ได้เป็นคริสเตียน ยิ่งแย่ใหญ่เลย เข้าไปหาในโลกวิญญาณ เป็นพระเจ้าปลอม หรือความเชื่ออะไรต่างๆ มีความรู้สึกกลัว

            อย่างเช่น คำพูดนี้เห็นชัดเลยว่ามารล่อลวงมนุษย์ไปเท่าไร? คนไทยชอบพูดว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” แปลว่าอะไร? จริงๆ ไม่เชื่อ มันถูกหลอก ไม่น่าเชื่อเลยๆ แต่อย่านะ คือกลัว มันขู่ไง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ …

            “เข้าป่าต้องไหว้เจ้าป่าเจ้าเขานะ”

            “ไหว้ทำไม เราเป็นคริสเตียนแล้ว”

            ไม่ต้องคริสเตียนก็ได้ “เราอยู่นี่มาตั้งนานแล้ว มาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว ไม่เห็นมีใครเขาทำอะไรเลย”

            “ไม่ได้ ไหว้สักหน่อย ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”

            แต่อย่าลบหลู่ เพราะอะไร?  เพราะกลัวว่าลบหลู่แล้วมันจะทำร้ายเรา มันทำสิ่งที่ไม่ดีให้กับเรา นี่ไง มันหลอกลวง มันโกหก ทั้งๆ ที่มันไม่มีอำนาจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่ตรงกันข้ามกับข่าวดีจากพระเจ้า ท่าทีที่แท้จริงของพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว คือพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ที่มีต่อเรา มวลมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ ทนุถนอมมาก ร่างกายเรา พระองค์ทรงเตรียมไว้เป็นพระวิหารของพระเจ้า นึกออกไหม? ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า สะอาดหมดจดเลย พระองค์ทรงรักมาก หวงแหนมากเลย แต่มารมันใส่ความหลอกลวงเราว่า ร่างกายเราสกปรก มือก็เคยไปตบเขา มือก็เคยไปตีเขา ปากก็เคยไปด่าเขา สมองก็เคยไปคิดชั่ว

            สิ่งเหล่านี้มันมาจากมารทั้งสิ้น มันไม่ได้มาจากตัวเราเลย ร่างกายเราเป็นเหมือนกับอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง เหมือนเครื่องใช้สอยชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นกลางๆ มันขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปใช้ จะเอามีดไปสับหมู ทำกับข้าวให้เขากิน มีความสุข หรือจะเอามีดไปไล่ฟันเขา เพราะโมโห มีดเดียวกันนั้นแหละ ความผิดไม่ได้อยู่ที่มีด ความผิดอยู่ที่ความคิดของคนๆ นั้น ที่หยิบมีดไปทำ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์บนโลกใบนี้ เมื่อถูกหลอกจากมาร คือหลอกที่ความคิดของเรานั่นเอง

            ซึ่งความจริง พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนมีค่าเท่ากันในสายพระเนตรพระเจ้า พระองค์ทรงรักทุกคนเท่ากัน แต่มารก็จะคอยยุแหย่ให้มนุษย์เปรียบเทียบกัน นี่คือความจริงกับความเท็จ เปรียบเทียบกัน ตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาปุ๊บ ก็เริ่มเปรียบเทียบแล้ว เปรียบเทียบทั้งชีวิต เพราะว่าความเท็จเหล่านี้ ซึ่งอยู่ในโลกนี้ เป็นระบบของโลกนี้ รับอิทธิพลมาจากมาร มันก็ทำให้มนุษย์เป็นอย่างนี้แหละ แทนที่จะมีความรู้สึกเท่ากัน แต่กลับกลายเป็นว่าเขาดีกว่าเรา เริ่มความคิดแล้วว่าเขาดีกว่าเรา

            เขาดีกว่าเรา มันเกิดอะไรขึ้น เห็นนิดเดียวนะ เขาประสบความสำเร็จ เขาเก่งกว่าเรา เขาประพฤติดีกว่าเรา เราฟังดูอย่างนี้ รู้สึกไม่เป็นอันตรายอะไร? แต่พระคัมภีร์บอกว่าพอคิดอย่างนี้ปุ๊บ ก็คือเริ่มต้นยอมให้มารมันเริ่มหลอก แทนที่จะเชื่อในพระเจ้าว่าพระเจ้ารักเราเท่ากันหมด แต่มันบอกว่าพระเจ้ารักไม่เท่ากันหรอก เขาดีกว่า พระเจ้าอวยพรเขามากกว่า หรือไม่ก็ เขาดีกว่าเรา มันก็เริ่มต้นอิจฉา นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ก็เริ่มอิจฉา เริ่มคิดตามมันต่อไป เริ่มคิดทำลายเขา เพื่อยกตัวเองขึ้นมาแทน มันก็คือนิสัย สันดานของมาร ตั้งแต่ตอนที่เป็นทูตสวรรค์แล้ว อิจฉาพระเยซูคริสต์ แล้วก็ยกตัวเองขึ้นมาทำหน้าที่แทนพระเยซูคริสต์ ก็คือกบฏ ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้

            แล้วในที่สุด ยอมมันอีก ยกตัวขึ้น พยายามที่จะแข่งกับเขาว่าตัวเราเองก็ดีกว่าเขาได้ ถึงขั้นถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ก็คือฆ่า กำจัดเขาออกไปเลย นี่คือเส้นทางของมารที่หลอกมนุษย์ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เกิดจากความคิดน้อยเนื้อต่ำใจว่าเขาดีกว่าเรา เราแย่ เขามันดี มาจากไหน? ก็มาจากมารส่งข้อมูลเหล่านี้เข้ามาในความคิดของมนุษย์นั่นเอง พระเยซูจึงตรัสว่าถ้าด่าคนอื่นว่าไอ้โง่ ไอ้เลว เท่ากับฆ่าเขาตาย ก็คือมันเกิดขึ้นแล้ว พอบอกไอ้โง่ ไอ้เลว ก็คือเราโกรธ กำลังเคืองเขา  ถ้าเราไม่รู้จักหยุดตรงนี้ มันก็จะใส่ต่อไปเรื่อยๆ ในที่สุดเรามีโอกาสถึงขั้นฆ่าเขาตายได้ นี่คือเสียงของมาร

            อาจารย์ยอห์นพยายามชี้ให้เราเห็นว่าเสียงของมารที่มาจากโลกนี้ สังเกตตรงนี้ คือมันจะต่อต้านความจริงของพระเจ้า และมันจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของมนุษย์ลงไป พยายามเหยียบมนุษย์ลงไป ยกตัวอย่างเช่น …

            “แกมันเป็นคนเลวโดยสันดาน ไม่มีทางจะกลับเนื้อกลับตัวได้แล้ว แกมันเลวที่สุด ให้อภัยกี่ครั้งแล้ว ก็ยังทำอยู่เลย ไปตายซะ ตายไปก็ดีแล้ว”

            นี่ไม่ใช่เสียงของพระเจ้าเลย

            หรือไม่ก็ความคิด … “อย่างแกสังคมรังเกียจ พ่อแม่ก็ไม่รัก ลูกแกยังไม่รักแกเลย พระเจ้าก็ไม่รัก ก็ไม่ชอบ แกจะอยู่ไปทำไม?”

            นี่แหละมันเป็นอย่างนี้ ก็คือความเครียด ความซึมเศร้า การคิดจะทำร้าย ทำลายตัวเอง ก็มาจากการขโมย ฆ่า และทำลายของมารทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้เป็นกลเม็ดของมาร ที่ทำงานอยู่ในโลกนี้ รวมหมดนะ ทั้งคริสเตียนและไม่คริสเตียน โดนอย่างนี้ทั้งหมด เป็นระบบของโลก คือให้เปรียบเทียบ ให้ไม่พึงพอใจในสิ่งที่พระเจ้าให้ ไม่พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ไม่พึงพอใจ ก็เกิดความอิจฉาริษยา และเกิดการเปรียบเทียบขึ้น ถ้าเป็นเสียงจากพระเจ้า คือ …

            “จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ พระเจ้าอยู่ด้วยนะ เราอยู่ด้วยนะ เรารักเธอ” นี่แหละมาจากพระเจ้า

            เสียงจากมาร … “ดูคนอื่นสิ เขาสำเร็จทุกด้านของชีวิตเลยนะ ทั้งเรื่องการงาน เรื่องครอบครัว สุขภาพ ดีหมดเลย แล้วดูตัวเธอสิ ดูสารรูปสิ ล้มเหลวทุกอย่างในชีวิต ครอบครัวก็ล้มเหลว การงานก็เจ๊งแล้วเจ๊งอีก”

            สิ่งเหล่านี้เป็นการทับถม ที่พระคัมภีร์บอกมาทั้งกลางวันและกลางคืน แสดงว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยังมีลมหายใจอยู่ แม้เรานอน มันก็พูดใส่เราตลอดเวลา อย่างที่บอกใส่ตามไหน? เรารู้เอง ข้อมูลในโลกนี้ มันจะเข้ามาอยู่เรื่อยๆ มารก็นำเสนอข้อมูล ที่ให้เราใช้ระบบของมันในการดำเนินชีวิตของเรา เพื่อให้สมอยากตามที่มันต้องการ คือนำเสนอความสำเร็จในชีวิต แบบระบบของโลกนี้ ความสำเร็จแบบระบบของโลกนี้ ก็คืออยาก ต้องการ สรุปรวม คือลาภ ยศ สรรเสริญ ซึ่งตรงกันข้ามกับพระเจ้า ด้วยความเย่อหยิ่ง จองหอง อวดดี โลภ เห็นแก่ตัว โกง เอาเปรียบผู้อื่น ขโมย ฆ่า และทำลาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติ วิสัยสันดานของมาร มันเอานิสัยของมันมาใส่

            สำหรับความจริงของพระเจ้า คริสเตียน ก็คือเมื่อมาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าจะเอาความสามารถ เอานิสัย ธรรมชาติของพระองค์ที่เป็นความรัก เป็นการให้ มาใส่ในเรา ในโลกวิญญาณ มีอยู่แค่นี้เอง

            เสียงของพระเจ้าบนโลกใบนี้ มันมี แต่มันริบรี่มาก เพราะว่าเป็นเสียงมาจากวิญญาณ  เพราะในโลกวัตถุมันมองเห็นชัดกว่า แต่ในโลกวิญญาณ มันมองไม่เห็น พระเจ้าจึงบอกว่าสิ่งที่มองไม่เห็นและหูไม่ได้ยิน คือวัตถุสิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ คือในโลกวิญญาณ เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้กับผู้ที่รักพระองค์

            เสียงของพระเจ้า คือพร้อมเสมอที่จะให้อภัย ช่วยเหลือเสมอ  … “ไม่ว่าเธอจะทำบาปอะไรอีกกี่ครั้ง ฉันก็อภัยให้เธอเสมอ มีความหวังในตัวเธอเสมอ ไม่ต้องห่วง อภัยให้เธอเสมอ รักเธอเสมอ แม้ว่าเธอจะเลวขนาดไหน? ฉันก็ส่งพระบุตรองค์เดียวของฉันลงมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อเธอ แม้จะมีเธอคนเดียวอยู่บนโลกใบนี้ ฉันก็จะส่งพระเยซูลงมาช่วย” เอเมนไหม?

            นี่คือเสียงให้เลือกเอา อยู่บนโลกใบนี้ มันลำบากหน่อยหนึ่ง ตรงที่บอกว่าในโลกใบนี้ เราดำเนินชีวิตตามที่ตามองเห็น มันชัด มันง่าย ง่ายที่จะเชื่อ เขาได้ยินมา เขาได้ฟังมาอย่างนี้  แต่ในโลกวิญญาณ เราต้องเชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ที่บอกไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งถึงการเป็นขึ้นจากความตาย  ทั้งหมดนี้  กำลังพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับทางด้านวัตถุเลย  เพียงแต่วันนี้เอามาเปรียบเทียบให้ท่านเห็นว่าทางโลกวัตถุ มันเป็นอย่างไร? มันไม่มีอำนาจหรอก มันอยู่ในอิทธิพลของการหลอกลวงของมาร ในการดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ตามตามองเห็น เสร็จมันแน่เลย

            ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่พูดมานี้ ในพระคัมภีร์เรียกว่า “สงครามฝ่ายวิญญาณ” คุ้นๆ นะ เพราะฉะนั้น สงครามฝ่ายวิญญาณ เราจะรู้แล้ว จากการที่เราวิเคราะห์มาเมื่อสักครู่นี้ ตามถ้อยคำพระเจ้า สงครามฝ่ายวิญญาณ ก็คือจะเชื่อพระคริสต์ หรือจะเชื่อคำโกหกหลอกลวงของมาร ให้ต่อต้าน เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงของพระคริสต์ นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมนุษย์เอง ยอมเชื่อฝ่ายใด  ก็เป็นทาสฝ่ายนั้น ตรงนี้ คือความจริงที่สำคัญมากเลย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิญญาณ แม้แต่วิญญาณพระเจ้าเอง พระเจ้ายังบังคับเราไม่ได้เลย  แล้วมารมันจะทำอะไรเราได้ เห็นไหม? ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรา และการตัดสินใจของเรา ขึ้นอยู่กับอะไร? ขึ้นอยู่กับข้อมูลข่าวสารที่มันมา ขนาดอาดัมกับเอวาเจอพระเจ้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทุกวันๆ ยังโดนมันหลอก พูดไปเรื่อยๆ ไม่รู้พูดไปกี่วัน? กี่พันวัน? กี่หมื่นปีไม่รู้ จนกระทั่งเชื่อมัน นี่คือสงครามฝ่ายวิญญาณ

            มันไม่ใช่สงครามฝ่ายวิญญาณ ตามที่เราถูกหลอกอีกนั่นแหละ ให้เราคิดว่าสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ มันเกี่ยวกับเรื่องภูตผีปีศาจ เป็นตัวตน ต้องไปไล่ผี ผีมันแอบซ่อนอยู่ อาศัยอยู่ในก้อนหิน ต้นไม้ ภูเขา วัตถุสิ่งของ รูปเคารพต่างๆ เพราะฉะนั้น มันมีอำนาจเหนือเรา มันจะทำร้ายเรา อะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่มันถูกหลอกอีกแล้ว จริงๆ มันคือสงครามของความคิด ข้อมูลความจริงจากพระเจ้า หรือความเท็จจากมาร ที่ส่งเข้ามาในความคิดของมนุษย์ ที่อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราตั้งใจสังเกตดู ก็คือสังเกตวิญญาณอย่างนี้ ไม่ใช่ไปสังเกตวิญญาณว่านี่ผีเข้าหรือเปล่า? นี่ผีอยู่ในต้นไม้นี้ไหม? ผีอยู่ในรูปเคารพนี้หรือเปล่า? มันไม่ใช่อย่างนั้น ผีมีอำนาจ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เราต้องอดอาหารอธิษฐานไล่ผี มีอำนาจนี้ มนุษย์เลยกลัวไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ผีมันกลัวไฟฟ้า เปิดไฟ แสงสว่างมาปุ๊บ ผีหายไปแล้ว  ถ้ามันมีอำนาจจริง มันคงไม่แพ้เนชั่นแนล หรืออ๊อดแลม นี่เอาอ๊อดแลมหรือเนชั่นแนลไป ผีหนีเลย  เราอดอาหารแทบตาย ซื้อนีออนมาเสียบดวงหนึ่ง ไปแล้ว ใช่ไหม? ต้องพูดอย่างนี้ชัดๆ

            บางคนเป็นคริสเตียนแล้วยังไล่ผี ถ้าไม่เป็นคริสเตียนยังพออะลุ่มอล่วย มันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร?  ก็ไม่มีที่พึ่งของแท้จริงที่อยู่ในตัวเรา ไม่มีความจริงอยู่ แต่ถ้าเป็นคริสเตียน มีความจริงอยู่ บังเกิดใหม่ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา พระเจ้าที่อยู่ในเรา ใหญ่กว่าคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก  ใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก อย่างนี้ แล้วเรายังไปไล่ผี คิดดูสิ บางคนไม่ใช่ไล่ครั้งเดียว ไล่มันทุกอาทิตย์ ไล่วันนี้ไปแล้ว อาทิตย์ต่อมาบอกว่า …

            “มันมาอีก อาจารย์ช่วยไล่ที”

            อาจารย์ก็ไล่ อาจารย์บอก … “เที่ยวนี้หนักขึ้นนะ”

            “เพราะอะไร?”

            “เพราะว่ามันเป็นผีที่หัวดื้อ”

            พอบอกเป็นผีที่หัวดื้อปุ๊บ สมาชิกที่มาให้วางมือ พอได้ข้อมูลว่าเป็นผีหัวดื้อปุ๊บ  ทำไมรู้ไหม? อ๊วก  ครั้งที่แล้วไม่อ๊วก ครั้งนี้มันดื้อ ต้องอ๊วกออกมา

            อาจารย์บอก … “ไปอ๊วกข้างนอก เดี๋ยวโบสถ์สกปรก อ๊วกแล้ว ค่อยเข้ามา”

            “อ๊วกหรือยัง?”

            “อ๊วกแล้ว”

            “ผีออกไปแล้ว”

            อาทิตย์ต่อไป มาอีกแล้ว มาให้อธิษฐาน … “อาจารย์มันยังมีเลย”

            “อ๋อ! มันยังมีผีตัวอื่นอีก ตัวนั้นมันไปแล้ว นี่มันตัวใหม่ ไปดูที่บ้านสิ มีวัตถุอะไรที่เก่าๆ แก่ๆ ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ รูปภาพเก่ามีไหม? บางทีมันอาจจะอยู่ในรูปภาพเก่านั้นนะ ไปดู”

            กลับไปที่บ้าน หารูปภาพเก่าๆ … “รูปนี้แน่นอนเลย”

            ถามว่าทั้งหมดนี้คืออะไร? คือข้อมูล เข้ามาในสมอง มีข้อมูล มันก็ขุดคุ้ยข้อมูลนี้ขึ้นมา เอามาหลอกเรา สังเกตได้ง่ายๆ ชาวตะวันตก พวกฝรั่ง เขาเลี้ยงลูกอีกแบบหนึ่ง คนไทยก็เลี้ยงลูกอีกแบบหนึ่ง ผมสังเกตเห็นว่าลูกฝรั่งส่วนใหญ่ไม่กลัวผีนะ ไม่กลัวความมืด แต่ลูกคนไทย ตั้งแต่เล็กแล้ว พอเขาเดินไปที่บันได แทนที่จะบอกว่าเดินไปแถวบันไดเดี๋ยวตก แล้วเจ็บตัว ก็บอกว่าอย่าไปๆ นะ ผีมาแล้ว พอตรงไหนมืดๆ หน่อย อย่าไปนะ ผีมันอยู่ตรงนั้น มันก็ข้อมูลเข้าไปเรื่อยๆ แล้วข้อมูลเหล่านี้มาจากไหนรู้ไหม? มาจากสื่อต่างๆ พ่อแม่เองก็ได้รับมา  และมันสามารถมาจากทางไหนได้อีก? มาจากทางสายเลือดก็ได้  คือเด็กอยู่ในครรภ์  แม่คิดอะไร? แม่เศร้า เด็กก็รับไปด้วย แม่กลัวผี เด็กก็กลัวไปด้วย เพิ่งคลอดมา ยังไม่ได้รับข้อมูลอะไรเลย ทำไมเด็กเริ่มกลัว ก็แม่เป็นอะไรล่ะ มันก็มีสิทธิ์เป็นอย่างนั้น ข้อมูลมันอยู่ในความคิดทั้งหมดเลย

            เพราะฉะนั้น มาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ เริ่มต้นเปลี่ยน เปลี่ยนได้มากเท่าไร ก็เป็นอิสระได้มากเท่านั้น เปลี่ยนไม่ได้ครบหมดหรอก อย่างนี้เป็นต้น

            มันเป็นสงครามเกี่ยวกับข้อมูลความจริงของพระเจ้า  หรือจะเอาความเท็จที่ต่อต้านพระเจ้า ซึ่งเป็นสงครามเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์ทุกคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่คริสเตียนต้องเผชิญ ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเผชิญกับสิ่งนี้แน่นอน แต่สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไป ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง พึ่งตนเอง ด้วยจิตใต้สำนึกของตนเอง ซึ่งถูกครอบงำด้วยคำหลอกลวง คำเท็จของมาร ดังทาส ในพระคัมภีร์บอก เพราะไม่มีตัวช่วยอื่น เขาต้องพึ่งพาตัวเอง เพราะเขาเป็นคนบาป เห็นไหม? ข้างในเป็นบาปอยู่ มารไม่สามารถครองได้หรอก แต่ข้างในมันเป็นบาปอยู่ มันไม่มีกำลัง ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยภายใน

            เช่น เขาไม่อยากจะทำชั่วเลย นี่มนุษย์ทั่วๆ ไป เราในอดีต ก็เป็นอย่างนี้ เราไม่อยากทำชั่ว เรารู้ว่าทำอย่างนี้ไม่ดี  แต่ในที่สุด สิ่งที่เราไม่อยากทำ เราก็ทำ สิ่งที่เราอยากจะทำดีตรงนี้ เราก็ไม่ได้ทำ ในพระคัมภีร์ ในหนังสือโรมบอกว่า …

            “โอ๊ย! ข้าพเจ้าน่าสมเพชอะไรเช่นนั้น ใครจะช่วยข้าพเจ้าได้”

            พระคัมภีร์ก็ตอบว่า … “ขอบคุณพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายแล้ว”

            หมายถึงอย่างนี้ … “ข้าพเจ้ามีพระเจ้ามาสถิตอยู่ภายในแล้ว ข้าพเจ้ามีกำลังที่จะต่อต้าน ต่อสู้กับมัน” เห็นไหม? มันอยู่ข้างนอก มันไม่ใช่ข้างในตัว “ข้าพเจ้าไม่น่าสมเพชอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว ข้าพเจ้ามีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายใน”

            เพราะฉะนั้น สำหรับคริสเตียน ต่อสู้สงครามนี้ด้วยความจริง ด้วยพระคริสต์ ผู้สถิตอยู่ภายในเรา

            ยกตัวอย่างให้อันหนึ่ง เพื่อจะพิสูจน์ว่ามารมันไม่มีอำนาจจริงๆ เอาเริ่มตั้งแต่ปฐมกาลเลย จะได้รู้ว่าตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว มาถึงทุกวันนี้ มันไม่มีอะไรเลย นอกจากมันหลอกชาวบ้านเขา เรามาดูตัวอย่างฆาตกรคนแรกของโลก และดูการงานของมารสิว่ามันมีอำนาจไหม? เรื่องของคาอินกับอาเบล คือมนุษย์รุ่นแรกของโลก มนุษย์ถูกสร้าง อาดัมและเอวา รุ่นแรกเลย ที่เขามีลูกหลาน ก็คือคู่นี้ คาอินกับอาเบล และดูสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เริ่มโลกที่มีมาร เป็นตัวหลอกลวง ล่อลวง มีอิทธิพลต่อมนุษย์ที่ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน ปฐมกาล 4:3-7 …

        ปฐมกาล 4:3-7 “3 อยู่มาวันหนึ่ง คาอินได้นำเอาพืชผลที่เกิดจากผืนดิน มาถวายให้กับพระยาห์เวห์ 4 ส่วนอาเบลก็เอาพวกแกะหัวปีจากฝูงของเขา โดยเฉพาะส่วนไขมัน มาถวายให้กับพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ยอมรับอาเบลและเครื่องบูชาของเขา 5 แต่พระองค์ไม่ยอมรับคาอินกับเครื่องบูชาของเขา ทำให้คาอินโกรธมาก ไม่พอใจ หน้าบึ้งอยู่ 6 พระยาห์เวห์พูดกับคาอินว่า “เจ้าโกรธทำไม เจ้าหน้าบึ้งทำไม 7 ถ้าเจ้าทำในสิ่งที่ถูก เราก็จะยอมรับเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด ความบาปก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ที่ประตู มันอยากควบคุมเจ้า แต่เจ้าจะต้องเป็นฝ่ายที่ครอบงำมัน”

            2 คน ลูกของอาดัมและเอวา พระเจ้าสั่งอาดัมกับเอวาว่าให้ทำอย่างนี้ เป็นกฎที่พระเจ้าวางไว้  เพื่อจะได้ติดต่อกับพระเจ้า ให้เชื่อฟังพระเจ้า ก็คือให้นำแกะหัวปี สัตว์เลี้ยงหัวปี ที่ไม่มีตำหนิ ที่ดีที่สุด มาถวาย เพราะแกะมีเลือด ให้ทำอย่างนี้ อาดัมและเอวาก็คงเล่าให้ลูกทั้ง 2 คนฟัง ลูกคนน้อง อาเบลก็เชื่อ เชื่อพระเจ้าไม่มีเหตุผล  ไม่ถามว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ ทำไมต้องอย่างนั้น  เชื่อฟังพระเจ้า เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือทำตาม เอาลูกแกะฆ่า เพื่อชำระบาป  ตามที่พระเจ้าบอก  แต่ส่วนพี่ชาย คือคาอิน เอาพืชผลจากการเกษตรมาให้ ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามกฎ พระเจ้าก็ไม่รับ มันมีเหตุมีผลของมัน พระเจ้าไม่รับ ไม่ใช่เพราะว่าเกลียดชัง นึกภาพนะว่าขณะที่กำลังพูดอยู่นี้ มีศัตรูกำลังทำสงครามอยู่ คอยยุแหย่ คือมาร

            พระยาเวห์ยอมรับเครื่องบูชาของเขา เพราะว่ามันเป็นไปตามกฎ พระองค์ไม่ยอมรับคาอินกับเครื่องบูชาของเขา  เพราะมันไม่ได้อยู่ในกฎ เพราะอาเบลเอาเงินสดไปซื้อรถ เขาก็ให้ เพราะคาอินเอาทุเรียนเป็นลังๆ ไปแลกกับรถ เขาไม่ให้ เพราะที่ร้านนี้เขาขายเงินสดเท่านั้น เป็นกฎ

            แต่พระองค์ไม่ยอมรับคาอินและเครื่องบูชาของเขา ทำให้เขาโกรธมาก  เห็นหรือยัง? โกรธมาก ไม่พอใจ หน้าบึ้ง อยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ เริ่มความคิดแล้ว โกรธเพราะอะไร? เพราะมีข้อมูลเข้ามาแล้ว เริ่มเปรียบเทียบ …

            “ทำไมไม่รับของเรา ของเราก็ดี ก็เอาพืชผลที่ดีมาให้เหมือนกัน  เราทำงานตั้งเยอะนะ  ทำไมไม่ให้”

            คิดไปเรื่อยๆ ไม่พอใจ พระยาเวห์ พระเจ้าพูดกับคาอินว่า “เจ้าโกรธทำไม?”

            “เจ้าทำหน้าบึ้งทำไม? เจ้าไปคิดอย่างนั้นไม่ได้นะ ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ถูก” เห็นไหม? คือถูกกฎ

            “ลูก ลูกทำอย่างนั้นไม่ได้ เอาแต่ใจตัวไม่ได้ มันมีกฎของมันอยู่ เราก็จะยอมรับเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด”

            คำว่า “สิ่งที่ผิด” นี้ไม่ได้หมายถึงการกระทำบาปชั่วช้าอะไรต่างๆ ยังไม่ได้ทำเลย ยังไม่ได้ฆ่าน้องเลย

            “ถ้าเจ้าทำสิ่งที่ผิด” หมายถึงผิดกฎ กฎบอกแล้วไงว่าให้ใช้เลือดสัตว์ มาใช้อย่างนี้ได้อย่างไร?

            “ความบาป ก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่”

            เห็นไหม? ความบาป ก็คือมารเป็นผู้ควบคุมความบาป ตัวบาปมันก็ดักซุ่มโจมตีเจ้าอยู่ แสดงว่าอยู่ข้างนอก ถูกไหม? แต่มันส่งอะไรเข้ามา ส่งความคิด เข้าไปที่คาอิน

            “มันหมอบอยู่ที่ประตู มันอยากควบคุมเจ้า”

            มารมันหมอบที่ประตู ประตู คืออะไร?  ประตูความคิดของเจ้าไง มันตั้งใจจะเข้ามาครอบงำเจ้า ยอมไหม? มันอยากครอบคลุมเจ้า แต่เจ้าจะต้องเป็นฝ่ายครอบงำมัน  ก็คือเจ้าต้องครอบคลุมมัน มันไม่มีอำนาจ ถ้าเจ้าแข็งขึ้นมา มันก็แพ้ มันอยากควบคุมเจ้า  เหมือนมนุษย์บนโลกใบนี้ ทุกวันนี้ มันอยากควบคุมมนุษย์  โดยให้ความคิดหลอกลวงเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย ถ้าเผื่อยอมมันมากๆ ก็เหมือนมันมากๆ ที่เรียกว่าถูกครอบงำด้วยผี ก็คือด้วยมาร มนุษย์ทั่วไป ถึงแม้มีส่วนน้อยที่ยอมมันถึงขนาดนั้น  ถูกหลอก แต่ไม่ยอมมันถึงขนาดนั้น เพราะว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ยังมีความรู้สึกผิดชอบอยู่บ้าง แต่สำหรับคริสเตียนสบายกว่า เพราะเรามีพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราภายใน  เราสามารถปฏิเสธมันได้ มันไม่ใช่ตัวเรา

            เพราะฉะนั้น บางครั้ง เราถูกข้อมูลเก่าๆ ที่เคยอยู่ก่อนเป็นคริสเตียน  แล้วเรากระทำสิ่งนั้น ตามข้อมูล  มันไม่ใช่ตัวเรา เป็นมูลต้นเหตุให้กระทำ  แต่มันเป็นเพราะความคิดข้อมูลเก่า ที่ยังอยู่ นี่คือสงคราม แล้วเราก็ไปทำมัน ผิดพลาดไป นี่คือสงครามทางฝ่ายวิญญาณ เราต้องรู้ว่าพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในเรานั้น เป็นใหญ่กว่าข้อมูลของมาร  อิทธิพลของมาร ที่อยู่ในโลก ซึ่งเราไม่ได้อยู่ในโลก แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ยังมีโอกาสอยู่ภายใต้อิทธิพล การหลอกลวง ล่อลวงของมันได้อยู่ พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 1

            วิญญาณของคริสเตียน อยู่ที่ไหนทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ?

            มาดูความจริงในข้อพระคัมภีร์ ที่บอกถึงสถานะที่อยู่อาศัยทางวิญญาณของเรา คริสเตียนผู้เชื่อทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ

            โรม 8:9 … “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาปอยู่ในเนื้อหนัง แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            ก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ

            เนื้อหนังนี้  ไม่ใช่ธรรมชาติลักษณะของเรา  ไม่ได้เป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของวิญญาณ จิตใจหรือร่างกายของเราเลย   แต่เป็นเหมือนปรสิต  หรือกาฝาก  ที่แอบซ่อนอยู่

            ความหมายในโลกฝ่ายวิญญาณของคำว่า “Sarx” (ซาร์ซ) หรือ “Flesh”  หรือเนื้อหนังนี้ คือหลักการสำคัญของระบบ ที่ปกคลุม ครอบครองอยู่บนโลกใบนี้ ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ต่อต้านความดี ต่อต้านความเป็นจริงของพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าความบาปชั่ว ความมืดที่มีพลัง อิทธิพลในการผลักดัน ให้มนุษย์กระทำตาม

            ซึ่งพลังอิทธิพลของตัณหาของเนื้อหนัง ความบาปชั่ว ความมืดนี้ควบคุมโดยมาร ที่คอยส่งกระแสพลังอิทธิพลของความบาป และความตายนี้ มาหลอกลวง ผลักดัน ชักจูงให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นศัตรู ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และตัดสินใจกระทำบาปชั่วตามมัน คือกระทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเป้าหมาย ความประสงค์อันดีงามของพระเจ้า เรียกว่าบาป (แปลว่าผิดเป้าหมาย)

            ซึ่งหลายครั้งแยบยล ดูดีงามมาก ดูไม่ออกว่าเป็นเนื้อหนังหรือความบาปชั่ว หรือไม่ตามสายตามนุษย์ ที่ดูแค่ภายนอก เช่นการให้ทรัพย์สิ่งของออกไป เพื่อจะได้รับชื่อเสียง หรือผลประโยชน์เข้ามาหาตนเอง ซึ่งก็คือบาป คือความโลภและการเห็นแก่ตัวนั่นเอง

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1494

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  พฤศจิกายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 11 “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มาต่อ “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 11 ชื่อเรื่อง “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”

            ต้องพูดดังๆ ชัดๆ เพราะถ้อยคำเหล่านี้เป็นถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ เวลาเราพูดชัดๆ ดังๆ ให้ตัวเราเองฟัง มันจะทำให้ซึมเข้าไป ไหลเข้าไปอยู่ในความคิดจิตใจเรา จำได้มากขึ้น แล้วทำให้เราสามารถดำเนินชีวิต เป็นไปตามถ้อยคำนี้ได้ ก็คือ …

            “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในฉัน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”

            ยอห์นกำลังอธิบายให้เราเห็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ในหนังสือ 1 ยอห์นว่าสภาวะทางวิญญาณที่แตกต่างกัน อย่างสิ้นเชิงของผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าคริสเตียน แตกต่างกับผู้ที่ไม่เชื่อ ที่ในยอห์นเรียกว่าผู้ที่ถูกหลอกลวง หรือผู้ที่ไปสอนเขา ก็คือไปหลอกเขา จะหลอกแบบตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้ แต่ว่าไปพูดความเท็จให้เขาฟัง แตกต่างกับคนที่เป็นคริสเตียนอย่างไร?  เพื่ออะไร? ยอห์นต้องการชี้ให้เห็น เพื่อเราผู้เชื่อจะได้รู้ว่าอะไรคือความจริง? อะไรคือความเท็จ ความหลอกลวง? อะไรคือความโกหก? อะไรคือความสว่าง? อะไรคือความมืด? อะไรคือความรัก? คือความเกลียดชัง ขโมย ฆ่าและทำลาย? ให้เราคริสเตียนได้รับรู้ความจริง สำหรับวันนี้นะ ว่า …

            “พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก”

            2 ฝั่ง เห็นไหม? ในพระคริสต์ ในโลก  พระคริสต์ผู้สถิตในท่าน ใหญ่กว่าความบาปที่อยู่ในโลก ความสว่าง ความจริงที่อยู่ในท่าน ใหญ่กว่าความเท็จที่อยู่ในโลก ความรักที่อยู่ในท่าน ใหญ่กว่าความเกลียดชังที่อยู่ในโลก พระเจ้าผู้สถิตอยู่ในท่าน ใหญ่กว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก เอเมน

            นี่คือความจริง อาจารย์ยอห์นกำลังอธิบายสิ่งเหล่านี้อย่างชัดๆ ให้เราละเอียดเลย วันนี้เริ่มต้นบทที่ 4 … 1 ยอห์น 4:1 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

            1 ยอห์น 4:1 “ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อวิญญาณทุกวิญญาณ แต่จงทดสอบวิญญาณเหล่านั้นว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่  เพราะว่าผู้เผยพระวจนะเท็จหลายคน ได้ออกไปในโลกแล้ว”

            “เพราะว่าผู้เผยพระวจนะเท็จ” ผู้เผยพระวจนะเท็จ ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่ตะกี้เราอ่านกันในหัวข้อเรื่องปฏิปักษ์พระคริสต์ ผู้เผยพระวจนะเท็จหลายคน มีจำนวนมาก ได้ออกไปในโลกแล้ว   ตระเวนไปในโลก ตั้งแต่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว หรือพูดง่ายๆ ว่าตั้งแต่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระมาซีฮาห์ จนกระทั่งถึงไปตายที่ไม้กางเขน  จนกระทั่งบอกงานการไถ่บาปของพระองค์สำเร็จแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ปฏิปักษ์พระคริสต์ต่อต้านข่าวประเสริฐนี้ ก็เริ่มต้น ทำงานของเขาเหมือนกัน ออกไปประกาศข่าวเท็จเหมือนกัน ยอห์นก็เลยเตือนให้ระมัดระวัง และทดสอบวิญญาณ คำสอนต่างๆ ของเขา ที่เราอาจจะได้ยิน ได้ฟัง เพื่อให้คริสเตียน มีความแน่ใจว่าที่ได้ยินได้ฟังนั้น มันมาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากผู้เผยพระวจนะเท็จ หรือคำสอนผิดๆ ที่นำผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่ฟัง ไปสู่เรื่องไร้สาระ แทนที่คริสเตียนผู้เชื่อนั้น จะรู้ความจริงเรื่องข่าวดีว่าเขาหรือท่าน เป็นใครในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้กระทำให้เรียบร้อยแล้วนั้น แทนที่จะรู้เรื่องนี้ กลับไปรู้เรื่องไร้สาระ คือเรื่องตรงกันข้าม เรื่องต่อต้านพระคริสต์แทน

            เช่น เราได้เรียนรู้กันมาแล้วตอนต้นๆ ตั้งแต่บทแรกของ 1 ยอห์น  อาจารย์ยอห์นพูดถึงเรื่องพวกนอสติก แล้วพวกที่เรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ทั้งหลาย อาจารย์ยอห์น ใช้คำว่า “ทั้งหลาย” คือมันมีเยอะ ที่ตั้งตนเป็นครูสอนเรื่องข่าวดีของพระเยซูแบบผิดๆ แบบไร้สาระ อาจารย์ยอห์นใช้คำนี้ว่า “ไร้สาระ” ไม่ตรงกับความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้า พวกเขาจะประกาศ สอนความจริงได้อย่างไร? อาจารย์ยอห์นบอก ในเมื่อภายในใจของพวกเขา เป็นความเท็จอยู่ พวกเขายังปฏิเสธพระเยซูคริสต์  เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาสิฮาห์ ปฏิเสธว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าที่มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งความจริงตรงนี้เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เลย คือพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายของมนุษย์ นี่เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ เป็นจุดเริ่มต้นของข่าวดีของพระเจ้า

            ข่าวดี คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ ต้องมาเข้าส่วนร่วม เป็นพี่น้อง คือเข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์  เพื่อจะไปตายที่ไม้กางเขน  เป็นตัวแทนให้เรา ตาย เพื่อแบกบาปของเราไว้และตาย เพื่อว่าตัวเก่าของเรา มนุษย์ทั้งหลายที่เป็นคนบาป จะได้ตายพร้อมพระองค์ไปด้วย และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  การเป็นขึ้นมาใหม่ เราทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาป ก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนพระองค์ด้วย นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ คือพระเยซูคริสต์มาเกิดในร่างกายของมนุษย์

            คำสอนของลัทธินอสติก แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรของพระเจ้า ในยุคนั้น เรื่องแรกนั้น พวกนอสติกเขาเชื่อว่ามีความรู้อันลึกลับและสูงสุด ที่ซ่อนไว้ ทุกคนต้องเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง จากพระเจ้า นอกจากความรู้เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว พูดง่ายๆ ว่ารู้ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ยังไม่พอ จะต้องทำอะไรเพิ่มเติม เรียนรู้ความล้ำลึก แห่งข่าวประเสริฐนั้น ลึกลับอีกทีหนึ่ง พูดง่ายๆ เชื่อพระเยซูคริสต์ก็ดีอยู่ แต่ว่ายังไม่สมบูรณ์ ต้องบวกด้วยการกระทำของตนเอง จึงจะรอด ตามที่หวังไว้ เขามาแทรกซึมเข้าไป ในลักษณะอย่างนี้ และการกระทำที่ว่านี้ ก็คือแสวงหาความรู้ทางวิญญาณ ลึกลับ จากพวกเขา พวกนอสติก เขาเชื่ออย่างนี้ เขามาสอน เพื่อว่าคริสเตียนที่เชื่อแล้ว คุณจะได้เป็นคริสเตียนพิเศษ นี่คริสเตียนธรรมดา เป็นคริสเตียนที่รู้ความทางฝ่ายวิญญาณอันลี้ลับ ที่เขาจะสอนให้ คุณจะได้เป็นคริสเตียนพิเศษ  ได้รับรางวัลจากพระเจ้ามากกว่าคนที่เป็นคริสเตียนธรรมดา อะไรประมาณนี้ มันเป็นอย่างนั้น

            อัครทูตยอห์น จึงเตือนพี่น้องคริสเตียน ให้รู้จักสังเกตวิญญาณว่าคำสอนนั้น ถ้อยคำนั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือมาจากวิญญาณที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ถ้าไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ข้อความความจริงของข่าวประเสริฐ ก็ให้ปฏิเสธ อย่าไปรับฟัง ถ้าไม่ตรงกับข่าวประเสริฐ ข่าวดีมีอยู่แค่นั้น ถ้ามีอะไรมาเสริม เติมแบบแปลกๆ ก็ไม่ต้องฟัง

            ปฏิปักษ์พระคริสต์ คือใคร? ในบริบทที่กล่าวถึงนี้ ไม่ได้หมายถึงคนที่หลง อุปโลกน์ตัวเอง ตั้งตนเองเป็นพระคริสต์ เป็นพระเมสิยาห์ ซึ่งมีคนไม่เข้าใจถ้อยคำนี้ ไปแปลว่าตรงนี้หมายถึงคนที่ตั้งตนเองเป็นพระคริสต์ แล้วก็สุ่มเอาว่าคนนี้ๆ คือปฏิปักษ์พระคริสต์ที่จะขึ้นมา ไม่ใช่ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ตรงนี้ หมายถึงคนที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาสิฮาห์ ใครก็ตามที่ปฏิเสธ หมายถึงคนที่ปฏิเสธ และไม่เชื่อว่าพระคริสต์ เป็นพระมาสิฮาห์ คือพระเจ้าที่ลงมาเกิดในเนื้อหนัง ในร่างกายของมนุษย์

            และคนเหล่านี้ ก็จะสอนผู้คนด้วยความเชื่อที่ผิดๆ ในเรื่องของข่าวดีของพระเยซู โดยปฏิเสธความจริงในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ บิดเบือนความจริงของข่าวดี เป็นปฏิปักษ์ต่อต้านความจริงของพระคริสต์ อาจารย์ยอห์นจึงใช้คำว่าพวกนี้เป็นพวกปฏิปักษ์พระคริสต์  … ปฏิปักษ์พระคริสต์หมายถึงอย่างนี้นะ ไม่ใช่มีคน สองคนเท่านั้น มีเต็มไปหมดเลย ซึ่งปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ มีทั้งแบบไม่เชื่อเลย ไม่ได้เป็นคริสเตียนเลย จนถึงที่เป็นคริสเตียนแล้ว แต่ไม่ได้รับรู้ความจริงทั้งหมด  เพราะได้รับคำสอนต่อๆ มาอย่างผิดๆ จึงมีความเชื่ออย่างผิดๆ ต่อข่าวดี ซึ่งเท่ากับต่อต้านพระคริสต์ เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ โดยไม่รู้ตัว นึกให้ดีๆ ตรงนี้ก็มีเยอะกว่า

            มีทั้งปฏิปักษ์พระคริสต์ พูดง่ายๆ รุนแรง ที่เราเห็นชัดๆ จนกระทั่งถึง ปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์แบบสุภาพ นึกภาพออกนะ ตั้งแต่ตอนนั้น มาถึงตอนนี้ 2,000 ปี มีแค่นี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์มีเยอะแยะเลย มีรุนแรง จนกระทั่งอ่อนที่สุด แบบสุภาพ แบบรุนแรง ยกตัวอย่างเช่น ง่ายๆ เลย เมื่อ 2,000 ปี ก่อนนั้นชัดเจนที่สุดเลย ก็คือพวกชาวยิวด้วยกัน เขากล่าวหาพระเยซูว่าเป็นคนหลอกลวง และดูหมิ่นพระเจ้าของเขา ดูหมิ่นศาสนายิว ต้องฆ่าให้ตาย รุนแรงที่สุด

            แล้วก็มีคนยิวต่อต้านเหมือนกัน แต่รองความรุนแรงลงมา รุนแรงน้อยลง ก็คือกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นผู้เผยพระวจนะเฉยๆ เชื่อนะว่าพระเยซูมาจากพระเจ้า แต่ไม่ได้เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ เชื่อว่าพระองค์เป็นเหมือนอิสยาห์ เอลียาห์ ก็คือเป็นคนธรรมดา เป็นผู้รับใช้พระเจ้า  อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็รองลงมาอีก สุภาพขึ้นอีก อันนี้ไม่ใช่ยิวอย่างเดียวแล้ว คนธรรมดาทั่วไป  ก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน ก็คือพระเยซูเป็นคนดีคนหนึ่ง มีเมตตา มีความรัก ต่อเด็กๆ ต่อสังคม ใน 2,000 ปีจะมีอย่างนี้เยอะแยะ นี่คือเหล่าผู้ปฏิปักษ์ หรือต่อต้านพระคริสต์ทั้งนั้น

            ถึงในปัจจุบัน เราก็ได้ยินบ่อยๆ พระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ใช่ พระเยซูเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ แต่พระเยซูเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ นี่คือแบบสุภาพ

            มีคนเชื่อว่าพระเยซูเป็นคนหลอกลวง เหมือนกับชาวยิว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ยังเชื่ออย่างนั้น ในปัจจุบัน ก็ยังมีคนเชื่ออย่างนั้นอยู่ จนกระทั่ง ในสุดท้าย สุภาพแบบรุนแรงลึกๆ ก็คือตั้งแต่ต้น มาถึงปัจจุบัน 2,000 ปี มีคนกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นคนเสียสติ เหล่านี้ทั้งหมด คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่อาจารย์ยอห์นกำลังพูดถึง คือปฏิปักษ์พระคริสต์ แอนตี้ไคร์ซ พูดง่ายๆ ก็คือต่อต้านพระคริสต์ เป็นศัตรูกับพระคริสต์  อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่านี่คือกระดุมเม็ดแรกของข่าวประเสริฐ กระดุมเม็ดแรกของต้นเหตุของปัญหาการเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ทั้ง 2 รูปแบบ คือไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  มาเกิดในร่างกายของมนุษย์  นี่คือกระดุมเม็ดแรกเลย  เพราะเขามีความเชื่อว่าร่างกายของมนุษย์นั้น ต่ำต้อย เป็นบาป มีมลทิน พระเจ้ารังเกียจและขยะแขยง  นี่คือความเชื่อของพวกนอสติก ซึ่งหมายถึงถ้าเราเชื่อตามนอสติกเหล่านี้ว่าร่างกายเป็นที่น่าขยะแขยง เป็นสิ่งสกปรกโสโครก พระเจ้าไม่มาสถิตอยู่ด้วย มันก็หมายถึงเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนด้วย

            กระทบถึงเราด้วย เพราะเราคริสเตียนผู้เชื่อ ได้บังเกิดใหม่ ดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายแบบนี้ เหมือนกับพระเยซูคริสต์ ตามหลักพระคัมภีร์ ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเลยว่าเมื่อเรารับเชื่อแล้ว เราก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเยซู พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ถ้าเผื่อกระดุมเม็ดแรก หัวใจของข่าวประเสริฐ เชื่อผิดไป พระเจ้าไม่ได้มาสถิตกับพระเยซู อยู่ในร่างกายของมนุษย์ เราที่เป็นร่างกายของมนุษย์ที่เป็นคริสเตียน  พระเจ้าก็ไม่สถิตอยู่ภายในเรา คริสเตียนด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหัวใจหรือสาระสำคัญของการเป็นคริสเตียน ก็คือพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ถึงขนาดพระเจ้าเผยพระวจนะมาตั้งหลายพันปี  ก่อนจะเกิดเหตุการณ์จริงขึ้น คือพระเจ้าบอกว่าพระเยซูจะมาเกิด จะให้ชื่อว่าอิมมานูเอล … อิมมานูเอล แปลว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ

            ยอห์นแนะนำวิธีสังเกตวิญญาณว่าเป็นอย่างไร? ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้แล้ว ต่อไปนี้ สังเกตวิญญาณอย่างนี้นะ จะได้รู้ว่าคนที่พูด ถ้อยคำที่สอน มาจากพระเจ้าหรือมาจากปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านความจริง ต่อต้านข่าวประเสริฐกันแน่ อย่าฟัง แล้วเชื่อเลย นี่เป็นเพราะว่าอยู่ในโบสถ์ มีชื่อว่าศิษยาภิบาล มีชื่อว่าผู้สอน ต้องเชื่อ เพราะว่าผมหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมา ต้องเชื่อ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เชื่อ โดยคำพูดที่พูดออกไปนี้ สังเกตตรงไหน? มาดูที่ 1 ยอห์น 4:2-3 อาจารย์ยอห์นแนะนำวิธีสังเกตวิญญาณ คำสอน …

            1 ยอห์น 4:2-3 “2 ท่านจะทราบพระวิญญาณของพระเจ้าได้ ก็คือทุกวิญญาณที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้มาบังเกิดเป็นร่างกายมนุษย์ เป็นผู้ที่มาจากพระเจ้า 3 แต่วิญญาณใด ที่ไม่ยอมรับพระเยซู ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า และเป็นวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งท่านได้ยินได้ฟังแล้วว่ากำลังมา และขณะนี้อยู่ในโลกแล้ว”

            ท่านจะรับรู้ได้ว่าถ้อยคำนั้น เป็นความจริง มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเป็นความเท็จ มาจากวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่เป็นของโลก ก็คือคำสอนนั้นยอมรับ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดในร่างกายของมนุษย์หรือไม่?

            ขณะที่ฟังผมพูดทุกวัน ฟังอาจารย์วราพร ฟังอาจารย์ธิดารัตน์บรรยายทุกวัน ฟังแล้วก็คิดตามนี้ พระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์หรือเปล่า? เขาเชื่อตรงนี้ไหม? เพราะความสำคัญที่สุดของความจริงของข่าวดี ก็คือพระเยซู คือพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์จริงๆ สำคัญที่สุดของข่าวดี  … ข่าวดีของพระเจ้ามีอยู่แค่นี้เอง คือเริ่มต้นที่วันคริสต์มาส มาจบลงที่วันอีสเตอร์ แค่นี้เอง นอกนั้นมันไม่ใช่ นอกนั้น มันเรื่องไร้สาระ ต้องเชื่อวันคริสต์มาส และไปจบลงที่วันอีสเตอร์  ถ้าไม่เชื่อวันคริสต์มาส ไม่มีวันอีสเตอร์แน่นอน พอนึกออกไหม?

            พวกนอสติกเขาไม่เชื่อทั้ง 2 อันเลย แต่เขาเริ่มต้นจากการไม่เชื่อเบอร์แรกเลย คือไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะไม่มีวันอีสเตอร์ คือพระเจ้าในร่างกายของมนุษย์ ตายแทนมวลมนุษย์ทั้งปวง รับบาปเอาไว้ นึกภาพออกใช่ไหม? นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ มันคือกระดุมเม็ดแรกของการปฏิเสธพระเยซู การบิดเบือนข่าวดีของพระเยซู

            พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว อะไรสำเร็จ วันที่พระองค์มาเกิด คริสต์มาส จนไปจบที่ไม้กางเขน วันอีสเตอร์ พระองค์จบคำว่าสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว ก็คือไถ่บาปเรียบร้อยแล้ว มาเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาทั้งหมด จากอดีตมา ได้ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่คนไม่เชื่อ ก็บอกมันยังไม่สำเร็จ มันยังไม่เกิดขึ้น ให้รอไปก่อน นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ และสามารถสังเกตได้ว่ามันตรงหรือไม่ตรง เพราะฉะนั้น รู้แล้วใช่ไหมตอนนี้ ทุกคนทราบแล้วนะว่าถ้าผมขึ้นมาพูด หรืออาจารย์วราพร หรือครูหนุ่ยขึ้นมาพูด แล้วพูดอะไรบางอย่าง ที่ทำให้ท่านเอ๊ะ! ไม่ได้เชื่อในพระเยซู เป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ ท่านไม่ต้องฟังเลย ท่านมาฟ้องได้เลย ฟ้องใครก็ได้ ฟ้องพระเจ้า หรือท่านก็ไปหาคนอื่นฟัง ไม่ต้องรับฟัง นี่อาจารย์ยอห์นบอก ไม่ใช่ผมบอกนะ ก็อย่าไปรับฟัง

            เพราะมันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่มนุษย์เราจะเชื่อว่าพระเจ้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้อย่างไร? มันเชื่อยาก แต่ข่าวประเสริฐมันเป็นอย่างนี้จริงๆ มันง่ายเกินไป ทำให้มนุษย์เชื่อยาก ความจริง คือพระเจ้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ไม่ได้รังเกียจร่างกายของมนุษย์ว่าสกปรก แต่ทรงรักร่างกายของมนุษย์อีกต่างหาก เพราะเป็นร่างกายที่พระองค์ก็เป็นผู้สร้างขึ้นมาทั้งสิ้น เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ทั้งสิ้น นี่คือความจริง

            พระเยซูทรงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นแบบอย่างให้กับเราคริสเตียน คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายมนุษย์ได้จริงๆ ความจริงตรงนี้ จึงเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ อาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นความหวัง แห่งเกียรติสิริ” ในโคโลสี 1:27 ได้บันทึกไว้

            ความหวังของคริสเตียน คือพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน สถิตเมื่อไร? เดี๋ยวนี้ เมื่อเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียน เดี๋ยวนี้ พระคริสต์สถิตอยู่ในฉันแล้ว จริงๆ เดี๋ยวนี้เลย ทันทีเลย ตั้งแต่วินาทีที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน แล้วจะสถิตอยู่อย่างนั้นตลอดไป จนกระทั่งถึงนิรันดร์ นี่คือความจริงของข่าวประเสริฐ นี่คือความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่อาจารย์ยอห์นบอก

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าขณะนี้เลย  เดี๋ยวนี้เลย บนโลกใบนี้เลย ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระเจ้า วิญญาณของท่าน ใจของท่าน มาจากพระเจ้า ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ท่านเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในร่างกายของท่านอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว

            หนังสือโรม อาจารย์เปาโลก็ได้พูดอย่างนี้ โรม 12:1 ลองอ่านดู …

            โรม 12:1 “พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อม (สมอง) ความคิดและสติปัญญาของท่าน ให้สมกับที่พระเจ้า ได้ทรงชำระท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับเป็นบุตรได้) และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า”

            นี่คือความจริงในข่าวประเสริฐพระเจ้า ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของท่าน ท่านมีสิทธิ์ พระเจ้าไม่ได้บังคับ พระเจ้าให้สิทธิกับท่าน ในการตัดสินใจ ให้อิสระ แต่อาจารย์เปาโลแนะนำให้ท่านว่าท่านควรจะยอม

            ยอมอะไร? ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย มอบร่างกาย จำคำว่า “ร่างกาย” นี้ไว้ พร้อมสมอง ความคิด สติปัญญาของท่าน ให้สมกับ “สมกับ” แปลว่าเป็นแล้ว ถูกไหม? ทำตัวให้สมกับเป็นคนหน่อย ก็คือเป็นคนหรือยัง? เป็นแล้ว โอเค มอบร่างกายนะ ให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงชำระท่านแล้ว ก็คือได้ทรงชำระร่างกายของท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ก็คือด้วยพระเยซูคริสต์ ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั่นแหละ คือพระคุณ ทำให้คุณที่เชื่อได้ร่างกายที่จะอ่านต่อไปนี้  “ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่” พระเจ้าได้ทรงชำระร่างกายของท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติส่วนตัวของพระองค์ ที่พระเจ้าสามารถรับเป็นบุตรได้ และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าได้ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ได้ พูดง่ายๆ ท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ที่เข้ามาสถิตอยู่

            เพราะฉะนั้น ท่านได้เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายของท่าน ไม่ได้พูดถึงวิญญาณ ใจใหม่ที่ได้ไปเรียบร้อยแล้ว เห็นชัดๆ ร่างกายที่ท่านกำลังคิดว่าไม่ดี หรือว่ามีคนกล่าวหาว่าสกปรก มีมลทิน ทำบาปอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่พระเจ้าบอกว่าเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านกลายมาเป็นบุตรของพระเจ้า และร่างกายของท่านสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เอเมน

            เพราะฉะนั้น ทุกส่วนที่เป็นตัวเรา หลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณ ใจใหม่ที่พระเจ้าได้ประทานให้เกิดใหม่ ร่างกายเรา ก็เป็นใหม่หมดทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ที่พระเจ้าสามารถรับได้  และโปรดปรานด้วย ไม่ใช่รับได้เฉยๆ ชอบอีก พระองค์จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่ด้วย จึงไม่มีสิ่งใดๆ ในตัวท่านสักนิดเดียวเลย ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าของท่าน เป็นบาปเลย แม้แต่นิดเดียว นี่คือความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

            เพราะฉะนั้น ท่านก็สามารถสังเกตได้ว่าผมขึ้นมาบรรยาย อาจารย์วราพรขึ้นมาบรรยาย อาจารย์ธิดารัตน์ขึ้นมาบรรยาย พูดว่าร่างกายของเราที่รับเชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว สะอาด บริสุทธิ์ เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแล้วหรือไม่? ถ้าเผื่อไม่ อย่ารับฟัง ถ้าแม้กระทั่งผมพูดเอง แล้วเอาพระคัมภีร์ขึ้นมาบอก แล้วบอกว่าเขาพูดมาอย่างนี้ ไม่เชื่อ แปลผิด พูดผิด ไม่ใช่แล้ว เพราะว่าความจริง คือใจใหม่ วิญญาณใหม่ ร่างกายบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าโปรดปรานใหม่ เป็นของฉันเดี๋ยวนี้ ยืนยันความจริงในข่าวประเสริฐ เป็นแบบนี้ เอเมน ท่านลองคิดในใจ เดินออกไป เมื่อถูกโจมตีเข้ามา ท่านคิดในใจ ถ้าท่านไม่พูดออกจากปากว่าเป็นอย่างนี้ หรือถ้าท่านพูดออกจากปาก เพื่อนที่ยังไม่รู้ความจริง ได้ฟังว่าวิญญาณ จิตใจฉัน และร่างกายฉันสะอาด หมดจด บริสุทธิ์เลย

            เขาก็จะบอกว่า “อ้าว! แต่ฉันยังเห็นเธอทำบาปอยู่เลย”

            แล้วท่านจะตอบว่าอย่างไร? เดี๋ยวฟังตรงนี้ ท่านก็จะได้รู้ว่าท่านจะตอบว่าอย่างไร? ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกไว้แล้วว่าเราสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ชัดๆ เลย เป็นอย่างนั้น แต่เรายังดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ซึ่งบนโลกนี้ ในพระคัมภีร์ก็บอกว่ามีทั้งพลังของความบาปยังอยู่ มีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มีความชั่วร้าย ซึ่งมารควบคุมอยู่ มีอิทธิพล คอยชักจูง ผลักดัน ล่อลวงให้เราหลงทำตามมัน มันซึ่งเป็นความบาป มันไม่ใช่ตัวเรา หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของเราเลย มันก็เป็นเหมือนปรสิตหรือพยาธิที่แอบอาศัยอยู่ในเรา แต่มันไม่ใช่ตัวเรา เราต้องยึดพระคัมภีร์เอาไว้อย่างแน่นเลย นี่คือสิ่งที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่บอกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็จะพูดตรงกันข้าม นึกออกใช่ไหม?

            “เธอเป็นคนทำ ก็ต้องเป็นตัวเธอสิ” … นี่คือปฏิปักษ์พระคริสต์

            แต่ถ้ามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือเมื่อตะกี้นี้ ที่ผมบอก พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดเผย 2 โครินธ์ 5:17 ไว้อย่างนี้ว่า …

            2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว  จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            ปฏิปักษ์พระคริสต์ ตะกี้บอกเรา “เธอยังทำบาปอยู่เลย เธอสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ได้อย่างไร ร่างกาย เห็นตะกี้ยังหงุดหงิดใส่ลูก ใส่สามี ใส่ภรรยาอยู่เลย เห็นชัดๆ อยู่เลย แล้วในนี้บอกตัวเองศักดิ์สิทธิ์”

            “ไม่รู้ล่ะ ฉันจะบอกให้เธอฟัง ใน 2 โครินธ์ 5:17 ถ้าท่านจำไม่ได้ ไม่เป็นไร พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนี้ว่าผู้ใดที่อยู่ในพระคริสต์ ก็คือผู้ที่เป็นคริสเตียน เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ บังเกิดใหม่ สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว ตัวเก่า จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            พูดให้ใครฟัง? พูดให้ตัวเองฟัง ไม่ต้องพูดให้คนที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ฟัง เขาไม่เข้าใจหรอก เพราะว่าวิญญาณเขาและเรามันคนละเรื่องกัน คนละอย่างกัน แต่ถ้าเรามาพูดกับพี่น้องที่เป็น คริสเตียนด้วยกัน ที่รู้ เข้าใจเรื่องนี้ด้วยกัน เอเมน ถูกต้องแล้ว ทุกสิ่งใหม่หมด ทั้งวิญญาณ ใจและร่างกาย พระเจ้าไม่ได้ให้เรามาบังเกิดใหม่ ด้วยความสกปรก โสโครกในร่างกาย ท่านคิดดู พระเจ้าให้ท่านบังเกิดใหม่ ใช้คำนี้เลย “บังเกิดใหม่ในพระคริสต์”

            พระองค์ไม่ได้มาทำให้ท่านบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เพื่อมาเป็นคนบาป หรือมีส่วนใด ส่วนหนึ่งเป็นบาป มีมลทิน สกปรกเหมือนเดิม แล้วจะมาทำให้ท่านบังเกิดใหม่ทำไม? พระคัมภีร์ย้ำอยู่หลายๆ ตอนเลยบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือ?” ก็แสดงว่าท่านควรจะรู้ รู้อะไร? ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า พระเจ้าผู้บริสุทธิ์สถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านจะสกปรกได้อย่างไร? สกปรกแม้แต่นิดหนึ่ง ท่านก็ตายแล้ว พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้หรอก

            อัครทูตยอห์นบอกว่าคริสเตียนนั้นแพ้ เหมือนกับคนที่แพ้อาหารทะเล แพ้ปลาหมึก คริสเตียนแพ้ความบาป คนที่แพ้ปลาหมึก กินปลาหมึกอาการปางตายนะ คริสเตียนแพ้บาป คือทำบาปไม่ได้ ทำบาปแล้วดิ้นพลั๊กๆ แตะไม่ได้เลย เพราะธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น คริสเตียนไม่สามารถกระทำบาปได้ อาจารย์ยอห์นพูด นี่คือถ้อยคำพระเจ้า ไม่ได้สามารถทำบาปจากใจของเขาได้ เพราะพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ สถิตอยู่ภายในเขา และเขาก็บริสุทธิ์เหมือนพระองค์เลย ในพระองค์ไม่มีบาป ในวิญญาณเราก็ไม่มีบาป นึกออกไหม? พระเจ้าไม่ทำบาป เราก็ไม่ทำบาป เพราะเราเป็นลูกพระเจ้า พูดถึงวิญญาณ ใน 1 ยอห์น 3:9 ที่เราได้เรียนรู้เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่แล้ว ลองอ่านดูอีกทีหนึ่ง …

            1 ยอห์น 3:9 “ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะสภาพของพระเจ้า ดำรงอยู่กับผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า”

            คนที่เป็นคริสเตียน ได้บังเกิดใหม่ จากหน่อเชื้อของพระเจ้า ก็คือวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า บริสุทธิ์ ไม่มีบาปในวิญญาณ และในใจเลย จึงไม่มีทางทำบาป ตามธรรมชาติภายในได้เลย นอกจากพลั้งพลาด ถูกหลอก เผลอจากภายนอก ก็คือจากโลกนี้ ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า

            สรุปแล้ว คริสเตียนจึงเป็นผู้ชนะความบาป  แต่แพ้การทำบาป คริสเตียนชนะความบาป แต่แพ้การทำบาป แบบตะกี้แพ้ปลาหมึก แล้วอาจจะมีคนถามท่าน แล้วเวลาเราไปทำบาปล่ะ เป็นอย่างไร? พระคัมภีร์ว่าอย่างไร? เวลาคริสเตียนไปทำบาป ท่านควรจะรู้ จะได้รู้ตัวว่าเราอยู่ในสภาวะใดในวิญญาณ ขณะที่เราทำบาปอยู่ ใครควรรับผิดชอบตรงนั้น

            พระคัมภีร์บอกว่าการทำบาปของคริสเตียนนั้น เป็นการกระทำของคริสเตียน ของเรา “การกระทำ” นึกภาพนะ ไม่ได้เป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา เป็นการกระทำ แต่ไม่ได้ “เป็น” ตัวตน เหมือนมนุษย์ที่ทำตัวเหมือนลิง การกระทำเขาทำเหมือนลิง แต่ตัวตนเขาเป็นคน เป็นมนุษย์

            เปาโลพูดอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าทำสิ่งที่ตัวตนจริงๆ ไม่ต้องการทำ มันไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไปที่ทำ แต่มันเป็นบาป ที่กำลังอาศัยอยู่ในตัวข้าพเจ้า เป็นผู้กระทำ”

            เห็นไหม? ก็คือที่ปวดหัว ไม่ใช่ฉันอยากจะปวดหัว ฉันไม่อยากจะปวดหัวหรอก แต่ที่ปวดหัวนี้ เพราะว่าตัวจี๊ด มันอยู่ในนั้น ตัวจี๊ด คือพยาธิ

            ดังนั้น การดำเนินชีวิตบนโลกนี้ มันมี 4 สิ่ง ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้ว่า 4 สิ่งที่คอยชักจูง และแนะนำ ผลักดันให้คริสเตียน หรือมนุษย์ทั่วๆ ไป ทุกคนทำบาป คือระบบของโลก กิเลสตัณหาของเนื้อหนัง มารและพลังของความบาป 4 สิ่งนี้มีอิทธิพล กำลังทำงานอยู่ในความคิด ในสมองของเรา ของมนุษย์ทุกคน ตราบใดที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            ในโรม 7:17-20 เปาโลได้กล่าวอย่างนี้ว่าการต่อสู้ภายในระหว่างความปรารถนาของเขา ที่จะทำดี มันต่อสู้กับอำนาจของความบาป ที่ยังคงอยู่ในเนื้อหนังของเขา หรือของคริสเตียนนั้น  เปาโลบอกว่าแม้ว่าเขาหรือคริสเตียนจะมีความปรารถนาที่จะทำดี ตามในใจของเขา ที่เป็นอยู่ แต่บาปที่อยู่ในเนื้อหนังของเขา ก็ยังคงทำให้เขาทำสิ่งที่เขาไม่อยากจะทำ เห็นไหม นี่อย่างชัดเจน เพราะสิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงฐานะของคริสเตียนว่าในธรรมชาติใหม่ของคริสเตียน มันเป็นอย่างนี้ คือบริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้ว แต่ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งอาจถูกหลอกลวงให้กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่เรียกว่าบาปได้ ซึ่งได้รับการอภัยจากพระเจ้าอยู่เสมอ เพราะว่าคริสเตียนเป็นสิ่งที่ทรงสร้างใหม่ในพระคริสต์ เกิดใหม่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น คริสเตียนจึงดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เหมือนพระเยซู ที่ลงมาเกิดในร่างกายของมนุษย์ เหมือนกันไม่มีผิดเลย

            พระเยซูดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สะอาด หมดจดทั้งร่างกายและวิญญาณ เพียงแต่ว่าเราเคยมีประสบการณ์ จากการเป็นคนบาป ในสมองเรายังมีโปรแกรมเดิมอยู่ มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นโปรแกรม อย่างที่ตะกี้บอก เป็นพยาธิ ความเคยชิน เพราะฉะนั้น ในโลกนี้ มีอะไรมากระตุ้นให้เรา ทำตามมัน เราอาจจะเผลอไปทำตาม แต่เผลอไปทำตามเมื่อไรก็ตาม วิญญาณข้างในจะทนไม่ไหว เขาเรียกว่าแพ้ เดี๋ยวก็ต้องหยุด ไปไม่รอด จะถูกหลอกไปไม่ได้นาน

            ส่วนพวกปฏิปักษ์พระคริสต์ พวกสอนเท็จ ต่อต้านความจริง มักจะสอนว่าอย่างนี้ ฟังให้ดีๆ นะ จะได้รู้ แยกแยะได้ว่ามาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า หรือมาจากวิญญาณปฏิปักษ์พระคริสต์ ผลิตคำสอน คำบรรยาย ถ้อยคำเหล่านั้น

            พวกปฏิปักษ์พระคริสต์ สอนเท็จ ต่อต้านความจริง ต่อต้านพระเยซูคริสต์ มักจะสอนว่าพระเยซูไม่ได้มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ เพราะร่างกายของมนุษย์เป็นบาป สกปรก ซึ่งเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐบอกว่าร่างกายมนุษย์สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ดีพร้อม พระเจ้าเข้ามาอยู่ได้ นี่คือกระดุมเม็ดแรกของข่าวประเสริฐ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ กระดุมเม็ดแรกของการต่อต้าน ไม่จริง ไม่ใช่ พระเจ้าไม่มาสถิตกับเธอหรอก ไม่มาสถิตกับมนุษย์หรอก เพราะมนุษย์สกปรก ร่างกายนี้สกปรก

            นี่คือต้นเหตุของความเท็จทั้งหลาย ที่นำมาต่อต้านความจริงของพระเยซูในข่าวประเสริฐ และเป็นต้นเหตุของความเท็จอีกมากมาย ที่จะตามมา หลังจากนี้ และมันก็ตามมาตลอด จนถึงทุกวันนี้ ก็อย่างนี้ เม็ดแรกปุ๊บ เสร็จแล้วก็บานออกไป เป็นโน่น เป็นนี่ เป็นนั่น ไล่ย้อนกลับไป ต้นเหตุก็มาจากไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาเกิดในร่างกายของมนุษย์

            ก็เลยทำให้เชื่อว่า … “ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว ฉันก็ยังสกปรกอยู่ พระเจ้าไม่สถิตอยู่กับฉันหรอก”

            หรือไม่ก็ … “ฉันยังเป็นคนบาป สกปรกอยู่ พระเจ้าสถิตอยู่กับฉันบางครั้งเท่านั้น ที่ฉันทำดีๆ  พอฉันทำบาป พระเจ้าอยู่ไม่ได้ ก็ไป” … นี่มันเป็นอย่างนั้น

            ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเลย ไล่มาถึง 2,000 ปี มันก็จะเป็นอยู่แค่นี้ ไม่มีอะไรใหม่เลย ตัวอย่างเช่น เขาปฏิเสธว่า (เขา คือปฏิปักษ์พระคริสต์นะ) เขาก็จะสอนในลักษณะนี้ว่าแม้เป็นคริสเตียนแล้ว ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ ยังสกปรกอยู่ในร่างกายนี้อยู่ รอวันพิพากษาหลังความตายอีกครั้งหนึ่งว่าจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมหรือไม่? พระเจ้าไม่สามารถสถิตอยู่ในร่างกายของคริสเตียนผู้เชื่อได้ เพราะยังทำบาปอยู่

            นี่ถ้าฟัง แล้วเชื่ออาจารย์ยอห์น ตามที่เราได้เรียนรู้นี้ ฟังถ้อยคำจากที่ไหนก็ตาม ที่มีการสอน เรื่องของไบเบิ้ล ถ้ามันเป็นอย่างนี้ เรากำลังฟังปฏิปักษ์พระคริสต์ เรากำลังต่อต้านความจริงของข่าวประเสริฐ

            อีกอันหนึ่ง ฟังให้ดีๆ สอนว่าคริสเตียนเมื่อเปิดใจรับเชื่อพระเจ้าแล้ว ความรอดนิรันดร์ยังขึ้นอยู่กับการประพฤติ การกระทำ การรักษาความบริสุทธิ์ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ ต้องรักษาอยู่จนกระทั่งถึงวันตาย ถ้ามีอย่างนี้เมื่อไร? สังเกตดู ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่พระวิญญาณ

            พระวิญญาณบอกว่าอย่างไร? อาจารย์ยอห์นบอกว่าเราได้รับการอภัยโทษ ความบาปและความตาย อภัยทั้งบาปในอดีต ปัจจุบันและในอนาคต จนถึงนิรันดร์เลย อภัยหมดเรียบร้อยแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียวบนไม้กางเขน อย่างนี้เป็นต้น

            หรือตัวอย่างต่อไป เป็นคริสเตียนแล้วใช่ไหม? ได้รับความรอด แล้วดีใจ ปิติยินดี แต่คุณต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ บัญญัติของโมเสสด้วย นี่มาตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนแล้ว คุณต้องเข้าสุหนัต คุณต้องถวายสิบลด คุณต้องทำอย่างโน้น ต้องทำอย่างนี้

            และในปัจจุบัน คนที่ไม่ได้เป็นชาวยิว ก็ไม่มีกฎของโมเสส แต่มีกฎของศีลธรรม  ก็เอากฎของศีลธรรมมาอ้างว่าแต่คุณต้องเป็นคนดีด้วยนะ คือฟัง แล้วมันใช่หมด มันดีตามระบบของโลกใบนี้ แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกอย่างนั้น ถ้าเรายังคงพึ่งกฎของศีลธรรม ความดี ความชั่วอะไรต่างๆ เหล่านี้อยู่ เราอาจจะได้รับความรอด  แต่เราทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย

            ข่าวประเสริฐบอกว่าไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม มันไม่ได้เกี่ยวกันกับการได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เราได้รับความรอด โดยพระคุณ คือไม่ใช่โดยการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เราต้องยึดตรงนี้ไว้ให้ดีๆ ปฏิปักษ์พระคริสต์มาอย่างแนบเนียน

            “คุณเป็นคริสเตียน คุณไม่รักษาการมีศีลธรรม ความดีงามหรือ?”

            ใครบอกไม่รักษา รักษามากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะว่าแต่ก่อนนี้ทำบาปไป เฉยๆ หรือสำนึกไม่ค่อยมาก แต่เดี๋ยวนี้แพ้บาป ทำนิดหนึ่ง ก็ตายแล้ว

            เห็นหรือยังปฏิปักษ์มันคืบคลานเข้ามา มันดูเนียนมากเลย ดูดีมาก ต้องปฏิบัติตามนี้สิ เป็นคริสเตียนต้องเป็นคนดีด้วย มันใช่ ถูกต้อง แต่การเป็นคนดีของฉัน ไม่ใช่ เพื่อฉันจะได้รอดจากนรก จากความพินาศหลังความตาย จากการได้ไปอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่ ฉันทำความดี เพราะวิญญาณของฉันเป็นความดี วิญญาณของฉันเป็นธรรมชาติของความดี ฉันทำตามธรรมชาติ ไม่ได้คิดว่าทำดีด้วยซ้ำไป ก็ทำไปอย่างนั้นแหละ เหมือนคนเดินได้ ไม่ใช่ดีใจจัง ฉันเดินได้ ถ้าเป็นงู เดินได้ มันคงดีใจ ฉันเดินได้ เราเป็นคน เดินได้อยู่แล้ว บางครั้งจะลงไปเลื้อย  ท่านจะเลื้อยได้นานขนาดไหน? ท่านเป็นคน ท่านไปเลื้อยๆ เหนื่อย ไม่ไหวแล้ว ท่านก็ลุกขึ้นยืน เดิน ฉันใดฉันนั้น

            หรือมาสอนว่านอกจากเชื่อในการเป็นคริสเตียนแล้ว คุณต้องทำดีมากๆ เพราะยิ่งคุณทำดี คุณจะได้รับพระพรจากพระเจ้ามากขึ้นด้วย เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ตาย ไปอยู่ในสวรรค์ แล้วคุณจะได้รางวัลมากกว่าคนอื่นเขา ยิ่งคุณทำดีๆ ตามกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้  ตามกฎศีลธรรมต่างๆ บนโลกใบนี้ คุณก็จะได้พรอย่างมากมาย จากพระเจ้า ถูกหรือไม่ถูก พระเจ้าต้องการให้พรทุกคนแหละ แต่เราทำดี แล้วเราได้ดี มันก็เป็นไปตามกฎของโลกใบนี้ หว่านอะไร ก็เก็บเกี่ยวอย่างนั้น ทำดี ก็ได้สิ่งดี ถูกต้อง ทำสิ่งชั่ว ก็ได้สิ่งชั่ว ถูกต้องเลย แต่ถูกต้อง เฉพาะโลกใบนี้ ทำดี ท่านก็ได้สิ่งที่ดี การอยู่บนโลกใบนี้ แต่เรื่องโลกวิญญาณ ความรอดนั้น ได้เท่ากันหมดเลย คือรอด โดยการเชื่อว่าพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นมนุษย์ๆ เป็นตัวแทนฉัน ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับฉัน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรสักนิดหนึ่ง ฉันแค่เชื่อเท่านั้นเอง ฉันก็ได้รับความรอดแล้ว เอเมน รางวัลจากพระเจ้าในสวรรค์ มีรางวัลเดียว ก็คือความรอด จากการพินาศเนื่องจากบาป ก็คือนรกนั่นเอง หรือจะให้ชัดอีกนิดหนึ่ง รางวัลจากพระเจ้า ก็คือเมื่อวิญญาณออกจากร่างแล้ว ท่านจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์จริงๆ วิญญาณกับใจใหม่ ได้รับเรียบร้อยแล้ว บนโลกใบนี้ แต่ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ในวันหนึ่ง เมื่อวิญญาณท่านออกจากร่าง เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านจะได้รับการสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ จะเห็นพระองค์หน้าต่อหน้า และจะร่วมครอบครองในสวรรค์ ในโลกใหม่ที่พระเจ้าจะสร้างขึ้นร่วมกับพระเยซูคริสต์ และร่วมกับธรรมิกชนทั้งหลาย  เป็นนิรันดร์ นั่นแหละคือรางวัล เท่ากันทุกคน เพราะทุกคนไม่ได้ทำอะไรเลย ได้รับโดยพระคุณ เท่าๆ กัน

            ถ้าปฏิบัติไม่ได้ ก็คือทำตามกฎศีลธรรมไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าทำบาปนั่นแหละ ปฏิบัติได้น้อย ตามสายตามนุษย์ ไม่ได้ดีขึ้น ซึ่งฟังดู แล้วมีเหตุผลทั้งสิ้น  ถ้าทำไม่ได้ หรือปฏิบัติได้น้อย ปรับปรุงตัวได้น้อย วันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป สู่โลกวิญญาณ พระเจ้าอาจจะบอกว่า …

            “จงไปให้พ้น เราไม่รู้จักเจ้า” … โอ๊ย! คริสเตียนขนหัวลุก

            แล้วทำอย่างไร ถึงจะทำได้อย่างนี้? มันถูกไหม? ฟังดูเหมือนถูก แต่มันก็ผิดอีกแหละ …

            “ฉันรอด รอดโดยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยการกระทำ”

            “อย่างนี้ ก็ส่งเสริมให้เขาทำบ่อยๆ สิ”

            ก็กลับมาที่เดิม ก็บอกแล้วไง? บอกว่าแพ้บาป ยังพยายามยัดเยียดให้เราเป็นอย่างนั้นอีก จะเห็นไหมเนี้ย? สิ่งที่มันเกิดขึ้นในวงการคริสเตียนในขณะนี้ มันทำลายความจริงของข่าวประเสริฐ มันทำร้ายข่าวประเสริฐ ทำให้ข่าวประเสริฐอ่อนฤทธิ์ลง อ่อนกำลังลง ด้วยสติปัญญาแบบมนุษย์ ด้วยการดูดีแบบมนุษย์ แต่มันก็คือบาป ปฏิเสธความจริงของพระเยซูคริสต์ ก็คือบาป เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ แต่ดูดี มีปฏิปักษ์พระคริสต์ แบบดูไม่ดี แบบเห็นเลย กับปฏิปักษ์พระคริสต์ แบบดูดี อย่างนี้ดูดี

            หรือมาเชื่อพระเจ้าแล้วใช่ไหม? ปิติยินดีมาก ไม่พอๆ เธอต้องได้รับการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าตอนที่เธอรับเชื่อไป ยังไม่เต็มล้น เธอต้องมารับการเจิม ต้องมาโบสถ์ เดี๋ยวมีคนมาวางมือเจิมให้ เธอจะได้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ อย่างนี้เป็นต้น พระวิญญาณกลายเป็นสิ่งของ

            พระคัมภีร์บอกพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับ พระเยซูก็เข้ามาแล้ว เข้ามาครึ่งตัวเอง เพราะฉะนั้น เธอต้องไปเติมอีกครึ่งตัว นี่พระวิญญาณกลายเป็นสิ่งของ กลายเป็นวัตถุ กลายเป็นไฟ กลายเป็นอะไรก็ตามที่ต้องเติมเข้าไป มาอยู่ก็อยู่ ไม่อยู่ก็คือไม่อยู่ พูดง่ายๆ ว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้า ทันทีปุ๊บ พระเยซูเข้ามาอยู่ครึ่งตัว แล้วเธอต้องไปโบสถ์บ่อยๆ เดี๋ยวไปรับการเจิม เดี๋ยวพระเยซูจะได้เข้ามาอีกครึ่งตัว เพื่อจะได้ชีวิตคริสเตียนครบถ้วนบริบูรณ์ เขาว่าอย่างนั้น แล้วเธอต้องพูดภาษาแปลกๆ ด้วย ต้องรับบัพติศมาในน้ำด้วย ถึงจะรอดนะ เหล่านี้ ต้องทำมหาสนิทบ่อยๆ และเวลาทำมหาสนิทต้องระมัดระวังนะ เผลอเอาให้เด็กกินไม่ได้ เด็กกิน เด็กโดนสาปแช่งนะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันอยู่ในวงการคริสเตียนเยอะแยะ ต้องสารภาพบาปทุกวัน อย่าลืมนะ ถ้าลืม บาปมันติดตัวเธอไปถึงวันพิพากษา นี่ชัดเจนมาก

            ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ การสอนเท็จเหล่านี้ ล้วนเกิดมาจากความไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายมนุษย์ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของข่าวดี ที่พระเจ้าทรงส่งพระเมสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาป ซึ่งข่าวดีนี้ เริ่มต้น จากที่ผมบอก เริ่มต้นจากวันคริสต์มาส มาจบเอาวันอีสเตอร์ แค่นั้นเอง

            และผลของปฏิปักษ์พระคริสต์ ตะกี้นี้ ที่เราพูดมาทั้งหมด ที่ยกตัวอย่างทั้งหมด ผลมันทำให้ไม่สามารถรับรู้ความจริง เรื่องพระคุณของพระเจ้าได้ ทำให้มนุษย์ไม่รู้จักเรื่องพระคุณ เรื่องข่าวประเสริฐที่แท้จริงของพระเจ้า  ไม่รู้เรื่องพระคุณยิ่งใหญ่  ก็คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้แล้ว เราสามารถเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์ ทั้ง 3  พระภาคได้แล้ว เดี๋ยวนี้ ในพระเยซูคริสต์ ก็คือวันอีสเตอร์นั่นเอง

            ถ้าเราไปถูกสอนไร้สาระต่างๆ เหล่านี้ ที่ยกตัวอย่างมา มันก็ทำให้ตรงนี้เสียไปเลย  เพราะการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า คือเป็นหนึ่งแล้ว มันก็จะแย้งกับตะกี้นี้ที่ยกตัวอย่างมา การสอนเท็จทั้งหมด และกระทำให้มนุษย์ไม่สามารถเชื่อและรับได้ว่าเขาสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ได้ทันทีเลย เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ง่ายๆ เท่านั้นเอง มันสำคัญถึงขนาดนี้ 1 ยอห์น 4:4-6 …

            1 ยอห์น 4:4-6 “4 ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า  จึงมีชัยชนะ เหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้ 5 พวกคนเหล่านั้น เป็นของโลกนี้  ดังนั้น  สิ่งที่พวกเขาพูด ก็มาจากโลกนี้ 6 แต่พวกเราเป็นของพระเจ้า คนที่รู้จักพระเจ้าจะฟังเรา แต่คนที่ไม่ได้เป็นของพระเจ้าจะไม่ฟังเรา แบบนี้สิ เราถึงสามารถบอกได้ว่าวิญญาณไหน เอาความจริงมาให้ และวิญญาณไหนที่โกหก”

            พูดง่ายๆ อาจารย์ยอห์นก็สรุปอย่างนี้ ในข้อนี้ว่าถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดในร่างกายมนุษย์ และพระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตในพระเยซูได้จริงๆ เราก็สามารถเชื่อได้ว่าเราที่เกิดในร่างกายของมนุษย์นี้ สามารถได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนพระองค์ พระเจ้าก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา ผู้เชื่อได้เช่นเดียวกัน มันหมายถึงอย่างนั้น

            เพราะฉะนั้น อาจารย์ยอห์นจึงเน้นให้ชัดๆ เลยว่าพี่น้อง บัดนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ขณะที่ท่านนั่งอยู่ ดำเนินชีวิตอยู่ ขณะนี้ ยังทำบาป ยังคิดอะไรต่างๆ ไม่ดี หรืออะไรต่างๆ ไม่สมบูรณ์ครบถ้วน จะบอกให้ว่าท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์แล้วจริงๆ และพระองค์ คือพระเจ้า 3 พระภาค อยู่กับเรา อยู่กับท่านแล้วจริงๆ ขณะนี้ ยืนยัน โดยบอกว่าพระคริสต์หรือพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน ซึ่งเป็นใหญ่กว่าการโกหก ปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลกนี้ ที่มันพยายามจะต่อต้านกล่าวหาท่าน พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในท่าน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ที่อยู่ในโลก

            “พระคริสต์ผู้สถิตในฉัน เป็นใหญ่กว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ที่อยู่ในโลก”

            พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            โลกวิญญาณที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่เป็นอยู่จริงๆ  จริงมากยิ่งกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นจับต้องได้ด้วยซ้ำ และเป็นนิรันดร์ด้วย

            โรม 8:9 … “โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป อยู่ในเนื้อหนัง ในอาดัม แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณในพระคริสต์ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน  คนนั้นก็ไม่ได้  (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            ตัวตนแท้จริงของมนุษย์ คือวิญญาณจะต้องอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้ แต่เป็นอยู่จริง จริงกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นจับต้องได้ด้วยซ้ำ

            พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่ามนุษย์ทั้งหลายเกิดมาจากครรภ์มารดา ร่างกายอยู่บนโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ แต่วิญญาณภายในอยู่ในโลกวิญญาณ อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ในความบาป ในเนื้อหนัง ในอาดัมบรรพบุรุษ อยู่ภายใต้กฎแห่งการทำดีละชั่ว  พยายามพึ่งพาการกระทำดีด้วยตนเอง เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ในสวรรค์กับพระเจ้า ซึ่งพระเยซูตรัสว่ามันไม่มีทางดีพร้อม 100% ได้เลย ต้องบังเกิดอีกครั้งหนึ่ง คือนอกจากเกิดจากครรภ์มารดาแล้ว ต้องเกิดใหม่ในวิญญาณ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย จึงจะสามารถบริสุทธิ์ ดีพร้อม เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างในสวรรค์ของพระเจ้าได้

            ข่าวดี คือมนุษย์เลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้ เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น แล้วพระวิญญาณของพระคริสต์ จะเข้าไปในร่างกายของท่าน ทำอัศจรรย์ ให้ท่านได้บังเกิดใหม่ ย้ายวิญญาณของท่าน ออกจากความบาปในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ในสวรรค์ทันที และท่านจะอาศัยอยู่ในสวรรค์นี้ชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            พระเจ้าอวยพรครับ