วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1493

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  ตุลาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย”  ตอน 9

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรายังอยู่ในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 3 ต่อข้อที่ 18 เดือนที่แล้วเราจบลงที่ข้อ 17 บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:17 “ข้าพเจ้าหมายความว่าอย่างนี้  คือบทบัญญัติซึ่งมีมาภายหลัง 430 ปี  ไม่ได้ล้มล้างพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ก่อนแล้ว และด้วยเหตุนี้ บทบัญญัติจึงไม่ได้ยกเลิกพระสัญญา”

            เราจบลงตรงนี้ วันนี้ เรามาต่อข้อที่ 18 …

        กาลาเทีย 3:18 “เพราะหากการรับมรดกขึ้นกับบทบัญญัติ ก็ไม่ได้ขึ้นกับพระสัญญาอีกต่อไป แต่โดยพระคุณของพระองค์ พระเจ้าประทานมรดกแก่อับราฮัม  ผ่านทางพระสัญญา”

            อันนี้ชัดเจน อาจารย์เปาโลกำลังเน้นย้ำให้กับชาวกาลาเทียและคนในยุคนั้นได้เห็นถึงความจริงในพระวจนะของพระเจ้าว่าพระองค์ประทานความรอดให้กับคนยิวก่อน ต่อจากนั้น ก็เป็นพวกเรา ซึ่งเป็นคนต่างชาติ โดยผ่านทางพระสัญญา ที่พระเจ้าทรงให้กับอับราฮัม ตอนที่พระองค์เรียกอับราฮัมออกจากบ้านเมืองของตัวเอง แล้วพระองค์บอกว่าประชาชาติทั้งหลายจะได้รับพร เพราะเจ้า

            “พร” ตรงนี้ คือพระพรแห่งความรอด ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้หลายพันปี เพื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเราทั้งหลายบนไม้กางเขน มาหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งในพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูหลั่งพระโลหิตเพียงครั้งเดียว จบ หมายความว่าเลือดของพระเยซูคริสต์สามารถชำระล้างความผิดบาปของมนุษยชาติ ทั้งในอดีต ก่อนที่เชื่อพระเจ้า ทั้งในปัจจุบันที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว และในอนาคตข้างหน้าที่เราจะทำบาปอีก เราต้องยอมรับความจริงว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียน เรายังคงทำบาปอยู่ ถ้าใครบอกว่าตัวเองไม่เคยทำบาป คนนั้น ก็โกหก

            พระเจ้ารู้ว่ามนุษย์อ่อนแอ รู้ว่าเรายังอยู่ในร่างกายที่อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เรายังมีโอกาสที่จะถูกล่อลวง ด้วยระบบของโลกใบนี้อยู่ เราสามารถที่จะดื้อกับพระเจ้า การดื้อกับพระเจ้า ก็คือไม่ทำตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าบอกไว้ ให้กับพวกเรา เราก็ไปทำตรงกันข้าม เขาเรียกว่าดื้อ พอดื้อ ก็คือทำบาป แต่ว่าไม่ว่าเราจะทำบาปลงไปด้วยความตั้งใจ จริงๆ ถ้าเราเป็นผู้เชื่อแล้ว ไม่มีการตั้งใจ ที่จะทำบาปแน่นอน  เพราะว่าในวิญญาณของเรา เราได้บังเกิดใหม่แล้ว แล้ววิญญาณใหม่ของเราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย  ก็คือไม่มีบาป เมื่อไม่มีบาป โอกาสที่เราจะตั้งใจทำบาป มันไม่มีอยู่แล้ว  แต่ว่าเราเผลอไปถูกล่อลวงด้วย ระบบของโลกนี้ส่งเข้ามา เราก็เลยทำบาป

            การทำบาป ก็คือไม่ได้ทำตามตัวตนแท้ๆ ของเราที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ฉะนั้น พระเจ้าพระบิดารู้ล่วงหน้าแล้วว่ามนุษย์ ยังอยู่ในร่างกายนี้ โอกาสที่จะทำบาป มีเยอะแน่นอน พระเจ้าก็เลยเตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่ต้องรอให้มนุษย์มาขอ ในหนังสือฮีบรูบอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งลงครั้งเดียวเป็นพอ แล้วพระโลหิตของพระองค์สามารถที่จะชำระ ตั้งแต่บาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตด้วย และตรงนี้ ไม่ใช่เฉพาะคริสเตียนเท่านั้น แต่สิ่งที่พระเยซูทำเรียบร้อยไปแล้ว สำหรับมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ คือของขวัญได้เตรียมไว้สำหรับทุกคนบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว อยู่ที่ว่าทุกคนบนโลกใบนี้ เขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระองค์ แล้วเขายอมเข้ามารับของขวัญนี้หรือไม่?

            เราขอบคุณพระเจ้า ที่พวกเราทุกคน ที่มานั่งอยู่ที่นี่ คือเราได้ยิน เราได้ฟังข่าวดี แล้วระยะเวลาหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราต้องการพระองค์ แล้วเราก็เดินเข้ามารับของขวัญชิ้นนี้จากพระเจ้า ของขวัญที่พระเจ้าให้กับเรา ไม่ได้ให้อย่างเดียว แต่ให้มาเป็นกล่องโตๆ กล่องใหญ่ๆ เลย คือพระพรนานัปการที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรียบร้อยไปแล้ว ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า พระพรเหล่านี้เป็นของเราเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เราอาจจะไม่สามารถสัมผัสได้ ไม่รู้สึก ไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง? แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเรื่องนี้มันสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  เมื่อวันที่พระเยซูตะโกนดังๆ ว่า …

            “สำเร็จแล้ว”

            ก็คือพระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น คริสเตียน ณ ปัจจุบัน เราเลยอยู่ด้วยความเชื่อ เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา ณ เวลานี้ พระเจ้าทำให้เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว พระเจ้าทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทำให้เราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจเรียบร้อยไปแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ก็คือตรงนี้ เป็นสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึก แล้วเรารับเอาด้วยความเชื่ออย่างเดียวเลย คือเราต้องเชื่อเอานั่นแหละ มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ตัวตนก็ยังเหมือนเดิม ดำก็ดำเหมือนเดิม ขาวก็ขาวเหมือนเดิม เตี้ยก็เตี้ยเหมือนเดิม สูงก็สูงเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือในวิญญาณของเราได้เปลี่ยนแปลงเหมือนกับพระเจ้า 100% เต็ม

            ฉะนั้น ตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าการรับมรดก ขึ้นกับบทบัญญัติ ถ้ามนุษย์สามารถรับมรดก โดยบทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ แปลว่ามนุษย์ทุกคนจะสามารถปฏิบัติตามบทบัญญัติที่พระเจ้าเขียนไว้ทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลา ทุกวินาที โดยไม่มีการผิดพลาดเลย อันนั้นพระเจ้ารับได้นะ ถ้าใครสามารถทำถึงขนาดนั้น พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม แต่ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ มนุษย์อยู่ในความบาป มนุษย์เป็นคนบาป และกระทำบาป ฉะนั้น ไม่มีใครสามารถทำจนถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้

            พระองค์จึงให้คำสัญญาผ่านทางอับราฮัม บรรพบุรุษของเรา ก็คือผ่านทางบิดาแห่งความเชื่อ ตั้งแต่วันแรกที่เรียกอับราฮัมออกมา แล้วพระเจ้าก็ทรงอวยพรเขาว่า …

            “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะได้พระพร และประชาชาติเยอะแยะจะได้รับพระพร เพราะเจ้า”         

            แล้วพระพรผ่านทางพันธสัญญาที่พระเจ้าบอกไว้  ก็คือรอเวลาที่พระเยซูคริสต์ถูกกำหนดให้มาเกิดบนโลกใบนี้  แล้วเราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ข่าวดีของพระเจ้าได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว พระสัญญาที่พระเจ้าสัญญากับอับราฮัม ก็เรียบร้อยไปแล้ว หมายความว่าตั้งแต่วันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย  ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์  นับตั้งแต่วินาทีนั้น จะไม่มีการถวายเครื่องบูชาอีกต่อไป  แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เป็นผู้ทำให้บทบัญญัติทุกอย่างครบถ้วน สมบูรณ์ แล้วพระเยซูเป็นตัวแทนของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้  ทำให้เราสามารถที่จะทำตามบทบัญญัติครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซูคริสต์เลย เพราะพระเยซูอยู่ในเรา เราอยู่ในพระเยซูคริสต์

            ดังนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรารับพระคุณนี้ โดยที่เราไม่ได้ออกแรงทำอะไรเลย ในพระคัมภีร์บอกว่าในอาดัม มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป โดยไม่ได้ทำอะไรเลย เราเกิดมา ก็บาปเลย  เป็น DNA บาป สืบเชื้อสายมาตั้งแต่มนุษย์คู่แรก จนถึงยุคของเรา  และในอนาคตข้างหน้าด้วย มนุษย์ทุกคนเกิดมาในบาป และก็ทำบาป แล้วก็เดินทางไปสู่ความบาป ความตาย ความพินาศ  แต่ของประทานที่พระเจ้าให้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือมนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน  ก็คือใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ  เพื่อเขาบนไม้กางเขน โดยพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค จะเข้ามาสถิตอยู่ในเขา  เขาคนนั้นจะกลายเป็นผู้ชอบธรรมทันที โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน เขาเรียกว่าเกิดมาเป็น

            ก่อนที่พระเยซูมา เราเกิดมาเป็นคนบาป  แต่หลังจากที่พระเยซูเสด็จมาบนโลกใบนี้ และทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ถ้าเรายอมรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ เราบังเกิดใหม่  เราก็เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน  มันเป็นภาพเดียวกัน ในโลกวิญญาณ

            ในโลกวิญญาณ เราเป็นผู้ชอบธรรม ได้รับชีวิตนิรันดร์ชนิดแบบเป็นของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัม มันได้สำเร็จเรียบร้อยในพระเยซูคริสต์

        กาลาเทีย 3:19-20 “19 ถ้าเช่นนั้นบทบัญญัติมีไว้เพื่ออะไร?    การที่มีบทบัญญัติเพิ่มขึ้นมา  ก็เพราะการล่วงละเมิดทั้งหลาย และบทบัญญัตินี้คงอยู่จนกว่า “พงศ์พันธุ์” นั้นซึ่งพระสัญญาระบุไว้มาถึง บทบัญญัติมีผลบังคับใช้ผ่านทางเหล่าทูตสวรรค์โดยคนกลาง 20 อย่างไรก็ตามคนกลาง   ไม่ได้เป็นตัวแทนของฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว”

            พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างด้วยตัวของพระองค์เอง ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาเกิดบนโลกใบนี้ พันธสัญญาเดิม พระเจ้าให้ทูตสวรรค์เป็นคนกลางที่ทำพันธสัญญากับมนุษย์ แต่สัญญาตรงนั้น ยังต้องใช้กำลังของตัวมนุษย์เอง  ที่จะต้องทำด้วย กฎระเบียบต่างๆ ที่ถูกบันทึกมาไว้ ก็คือพันธสัญญาที่พระเจ้าให้กับคนยิว เริ่มต้นที่คนยิว ผ่านทางโมเสส เริ่มต้นที่โมเสสขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า 40 วัน พระเจ้าก็ให้บทบัญญัติมา บัญญัติ 10 ประการ

            สมัยก่อนที่เรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ดูหนัง โมเสส บัญญัติ 10 ประการ เราตื่นเต้นยินดี แต่เราไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร? แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า เรารู้ว่าสิ่งแหล่านี้ พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นเงา ในอนาคตข้างหน้าว่านี่ บทบัญญัติเหล่านี้ พระเจ้าให้ไว้ แค่ว่ามนุษย์จะได้มาอยู่ในระบบระเบียบ ถ้าไม่มีกฎเกณฑ์ มนุษย์ก็ไม่มีระเบียบ ถ้าไม่มีข้อห้าม มนุษย์ก็ทำตามใจตัวเอง เหมือนสมัยก่อน ก่อนที่จะมีกฎหมายบ้านเมือง มนุษย์ก็เป็นคนเถื่อน ฆ่าใครตายก็ได้ จะไปชิงทรัพย์ใครก็ได้  จะไปทำอะไรก็ได้ ไม่มีผิด เพราะว่าไม่มีกฎหมายห้าม แต่เมื่อมีกฎหมายปุ๊บ ถ้าทำผิดจากกฎที่เขาตั้งไว้ ก็ต้องรับโทษ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น

            แล้วพระเจ้าให้บทบัญญัติเหล่านี้ เพื่อที่จะให้คนยิว ในยุคสมัยพระคัมภีร์เดิมรักษาตรงนี้ไว้ แต่คำว่า “รักษาตรงนี้ไว้” มันเป็นกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าสั่งไว้ คือมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ เพราะแม้ว่าเขาได้ชื่อว่าเป็นคนของพระเจ้า พระเจ้าเลือกเขาไว้ แต่เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ พี่น้องต้องรู้ตรงนี้ คนยิวในยุคสมัยพระคัมภีร์เดิม เขายังเป็นคนบาปอยู่ อยู่ใน DNA ของอาดัม เขาไม่ใช่ผู้ชอบธรรม

            เขาสามารถเป็นผู้ชอบธรรมผ่านทางความเชื่อ ตามที่พระเจ้าสั่งอับราฮัมไว้ จากโมเสส พระเจ้าให้กฎเกณฑ์ แล้วคนอิสราเอลก็ทำตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าให้โมเสสไว้ ใครก็ตามที่มาทำตามนั้น เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นประชากรของพระองค์ หมายความว่าชั่วคราว ณ เวลานั้น พระเจ้ายังไม่ได้เข้ามาสถิตกับคนอิสราเอลเลย พระเจ้าอยู่รอบๆ  ฉะนั้น คนอิสราเอล เวลาพระเจ้าจะทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์ หรือจะทำการงานของพระองค์ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ พระองค์ก็จะเข้าไปสถิตอยู่กับผู้เผยพระวจนะคนนั้น เป็นตัวแทน เป็นปาก เป็นเสียงให้กับพระเจ้าที่จะประกาศกับคนอิสราเอลได้รับรู้ว่าความต้องการของพระเจ้า ณ เวลานั้นๆ คืออะไร? แล้วจากนั้น พระเจ้าก็ออกมา พระเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยตลอด ก็คือใช้งานเสร็จ พระเจ้าก็ออกมา นี่คือสมัยเดิม มันเป็นอย่างนั้น

            แล้วสมัยเดิม หนักกว่านั้นอีก ก็คือพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ สะอาดมาก แต่มนุษย์เป็นคนบาป ติดเชื้อบาปอยู่ มนุษย์จึงไม่สามารถเข้าใกล้พระเจ้าได้ เข้าใกล้เมื่อไร? ตายเมื่อนั้น พระเจ้าเลยตั้งกฎเกณฑ์อันหนึ่ง ให้มีชนเผ่าเลวีที่จะเป็นคนกลางระหว่างคนอิสราเอลกับพระเจ้า  ที่จะเข้ามาสารภาพบาปกับพระองค์ เอาแกะมาถวายเป็นเครื่องบูชา ในแต่ละปี หรือเอาเครื่องธัญบูชา หรือเอาอะไรที่มีบาปเบี้ยใบ้รายทางทุกวี่ทุกวัน  ก็เอามาถวายเป็นเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า คนอิสราเอลสมัยก่อนเป็นแบบนั้นนะ ก็ลำบากประมาณหนึ่ง ทำผิดนิดหนึ่ง ก็เอาของมาถวาย ทำผิดนิดหนึ่ง ก็ห้ามเข้าในพระวิหารของพระเจ้า ถ้าผู้ชาย 7 วัน ถ้าผู้หญิง 14 วัน กฎเยอะมาก

            ฉะนั้น กฎตรงนี้ พระเจ้าตั้งไว้ เพื่อให้คนอิสราเอลรักษาตรงนี้ไว้ จนกว่าบุคคลที่เป็นไปตามพระสัญญา ที่พระเจ้าจะส่งมา ก็คือพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าบอกกับคนอิสราเอลว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะประทานพระมาซีฮาห์มาให้ แล้วเมื่อพระมาซีฮาห์มา การถวายเครื่องบูชา ก็จบลง กฎเก่าก็จะถูกยกเลิกไป พระเจ้าก็จะตั้งกฎใหม่

            แต่ ณ เวลานี้ ในหนังสือเล่มนี้ อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายให้ฟังว่ามันเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น เมื่อมีกฎ คนก็จะถามว่าถ้ามนุษย์มาเชื่อพระเจ้า โดยพระสัญญา แล้วพระเจ้าเอากฎพวกนี้มาเพื่ออะไร? กฎพวกนี้ เพื่อพระเจ้าจะเล็งให้มนุษย์เห็นว่าเราเป็นคนบาป เราไม่สามารถรักษากฎของพระเจ้าได้ 100% เต็ม อย่าทำเลย อย่าพยายาม อย่าพยายามสร้างความชอบธรรม ด้วยกำลังของตัวเอง แต่ให้สร้างความชอบธรรมผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ คือมาเชื่อพระเยซูคริสต์ พระองค์จะทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร เป็นของขวัญ เป็นของฟรีที่ให้เปล่าๆ รับปุ๊บ ได้ทันที นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้ สำหรับมนุษยชาติ

        กาลาเทีย 3:21-22 “21 ถ้าเช่นนั้น  บทบัญญัติขัดกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! เพราะถ้าทรงให้มีบทบัญญัติซึ่งให้ชีวิต ความชอบธรรมย่อมมีได้โดยบทบัญญัติ 22 แต่พระคัมภีร์ประกาศว่าทั้งโลก  ตกเป็นนักโทษของบาป เพื่อว่าสิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้น  จะประทานแก่บรรดาผู้เชื่อ โดยทางความเชื่อ  ในพระเยซูคริสต์”

            นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าเตรียมการไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เพื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นจากความผิดบาป หรืออีกนัยหนึ่ง ให้มนุษยชาติสามารถเข้ามาคืนดีกับพระเจ้าได้ การคืนดีกับพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะพึ่งความดีของตัวเอง เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรม มาคืนดีกับพระเจ้าได้

            วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป จากที่เดิมเคยคุยกับพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าแบบใกล้ชิดสนิทสนม คุยกันกระหนุงกระหนิง เป็นครอบครัว เป็นลูกกับพ่อ เป็นพ่อกับลูก แต่วันที่มนุษย์ผลักพระเจ้าออกไปจากชีวิตของเขา เรารู้ได้อย่างไรว่าผลักพระเจ้าออกจากชีวิตของเขา เพราะว่ามนุษย์ตัดสินใจ ที่จะพึ่งในความดีงามของตัวเอง แทนที่จะพึ่งความดีงามที่พระเจ้าบอกเขาว่า …

            “พระองค์สร้างเขาดีแล้ว ดีสุดแล้ว ยอดเยี่ยมแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไร ฉันสร้างเธอสุดยอดแล้ว เธอแค่ทำหน้าที่อย่างเดียว ไปชื่นชมยินดีกับทุกสิ่งที่เราสร้างให้เจ้า”

            ก็คือในสวนเอเดนทุกอย่าง พระเจ้าสร้างให้มนุษย์ ก็ให้ไปชื่นชมยินดี ไม่ได้ให้มนุษย์ทำงานนะ หลายคนคิดว่าอาดัมยังต้องทำงาน ต้องดูแลสวน ไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าให้สวนนั้นสวยสดงดงาม ไม่ต้องไปหว่าน ไม่ต้องไปรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย อะไรในยุคนั้นที่ความบาปยังไม่เข้ามา ทุกอย่างงดงามตามที่พระเจ้าได้สร้างไว้

            มนุษย์ทำหน้าที่อย่างเดียว คือเชื่อวางใจในพระองค์ แล้วก็ชื่นชมกับทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างไว้ให้ แค่นั้นเอง แต่เนื่องจากมนุษย์ถูกหลอก หลอกแบบใสๆ หลอกแบบไม่คิดว่าตัวเองจะกบฏกับพระเจ้า เขาคิดว่าเขาอยากจะทำดี เพื่อที่จะให้พระเจ้าพอใจ เราเคยไหม อยากทำดีให้พ่อแม่มีความสุข  แต่พระเจ้าบอกอาดัมกับเอวาว่า …

            “ไม่ต้อง เธอดีแล้ว เธอไม่ต้องทำเยอะกว่านั้น”

            แต่เอวาหลงเชื่อคำหลอกลวงของซาตาน มาในคราบของงูว่า …

            “ที่พระเจ้าห้าม ไม่จริงหรอก อย่างไรเธอก็ไม่ตาย  แต่ถ้าเธอกิน ตาเธอจะสว่างขึ้น เธอจะสามารถรู้จักว่าความดี ความชั่ว คืออะไร? เธอสามารถที่จะทำดีได้ ด้วยกำลังของเธอเอง”

            ฟังอย่างนี้ “ว๊าว! สุดยอดเลย น่าจะลองดู”

            แล้วก็เริ่มต้น ตัดสินใจ เมื่อการตัดสินใจของมนุษย์คู่แรก เท่ากับเขากำลังบอกพระเจ้าว่า …

            “ณ เวลานี้ พระองค์เจ้าข้า ลูกไม่ต้องการพระองค์แล้ว ลูกสามารถทำเองได้ เชิญพระองค์ออกไป”

            นี่อัตโนมัติเลยนะ เมื่อมนุษย์เป็นคนบาปปุ๊บ พระเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้ พระองค์ก็ต้องเชิญตัวพระองค์เองออกไป ไม่อย่างนั้นอาดัมเอวาตายแน่ๆ พระองค์ก็ออกไป

            เราจะเห็นภาพหนึ่ง ก็คือพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมน  คำว่า “เอเมน” คือให้เป็นไปตามนั้น พระเจ้าไม่บังคับมนุษย์ด้วย ตั้งแต่อดีต มนุษย์คู่แรก จนถึงปัจจุบัน จนถึงพวกเราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็ไม่เคยบังคับเรา พระองค์ให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจทุกเรื่อง แม้ว่าเราถูกซื้อด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์มีสิทธิ์ที่จะบังคับเราก็ได้ แต่พระองค์ไม่บังคับ พระองค์ยังให้สิทธิ์เราในการตัดสินใจเลือกว่าเราจะดำเนินชีวิต ตามตัวตนแท้ๆ ที่เราตอนนี้เป็นแล้ว เป็นความชอบธรรม เป็นความรัก เป็นความดีงาม คือเราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย เราจะยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ส่งผลตรงนี้ ที่มันเป็นตัวตนแท้ๆ ของเรา ออกไปให้ชาวโลกได้เห็นไหม? หรือเราจะเชื่อตามระบบของโลกนี้ส่งเข้ามา คือความเคยชินเก่าๆ ที่เรายังเคยทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า แล้วเราก็ตัดสินใจว่าเราทำตามมัน พอทำตามปุ๊บ เราก็พลาดจากการเชื่อฟังพระเจ้า แต่ข่าวดี คือถ้าเป็นเมื่อก่อน ลงโทษเลย  แต่ข่าวดีในปัจจุบัน คือเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว การลงโทษ จะไม่มีสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ทำให้เราพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  นี่เป็นเรื่องของโลกวิญญาณนะ เราต้องยึดตรงนี้ไว้ อย่างไร วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเหมือนเดิมแหละ แต่ร่างกายเรา พระเจ้าเป็นผู้ประทานกฎ ทั้งกฎฝ่ายวิญญาณและกฎฝ่ายโลกนี้  แล้วพระองค์ก็เป็นผู้รักษากฎด้วย พระองค์ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่ลำเอียงด้วย

            “คนนี้ลูกเรา ทำไปเถอะ ไม่ลงโทษก็ได้ ปล่อยผ่านไปๆ”

            ไม่มี ถ้าผู้เชื่อทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เขาจะได้รับผลบนโลกใบนี้เท่านั้น ก็คือหว่านอะไร ท่านต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ท่านจะมาอ้างว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ต้องถูกลงโทษ เราไปฆ่าคนตาย แล้วเราก็เดินไปบอกตำรวจว่า …

            “ไม่ต้องมาจับฉันหรอก ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระคัมภีร์บอกฉันว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น ตำรวจ ไม่มีสิทธิ์จับฉัน”

            จริงหรือ? มันไม่ใช่นะ ตำรวจจับท่านแน่ๆ แล้วท่านต้องไปติดคุกด้วย ถ้าโทษถึงตาย ท่านก็ตายด้วย ตายอยู่ในคุกก็ได้ ถูกประหารชีวิตก็ได้ แต่โลกนี้ประหารชีวิตท่านได้เฉพาะร่างกายนี้เท่านั้น แต่วิญญาณท่านยังเป็นของพระเจ้าอยู่ วิญญาณของท่านยังเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมนิรันดร์กาล เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นลูกแล้ว เป็นลูกเลย  ไม่มีการเป็นลูกวันนี้ พรุ่งนี้ทำไม่ถูกต้อง ระเห็จไปเป็นลูกมาร  พรุ่งนี้ทำดี พระเจ้าเอากลับมาใหม่ ไม่มีนะ เราถูกหลอก พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ไม่ว่าเราจะทำอะไรที่หลงเชื่อระบบโลกนี้ พระเจ้ายังคงรักเรา แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นคืออะไรรู้ไหม? พระเจ้าก็เศร้าไง …

            “ลูกเอ๋ยๆ ลูกไปทำอย่างนี้ เดี๋ยวลูกก็เจ็บตัวหรอก ลูกเจ็บตัว พระเจ้าเจ็บนะ”

            เวลาเราเจ็บตัว พระเจ้าเจ็บกว่าเราอีก พระเจ้าไม่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า ที่จะให้ผู้เชื่อไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงของเรา แต่พระเจ้าก็ยังอนุญาต เราบอกพระเจ้าอนุญาตเหมือนพระเจ้าส่งเสริมเราทำ ไม่ใช่ ก็คือพระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งเอเมนไง? เราตัดสินใจอะไร พระเจ้าต้องเอเมนตาม ก็คือเหมือนอนุญาต แบบไม่อยากให้ทำ แต่ก็ยังคงต้องอนุญาต แต่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าแน่นอน

            สิ่งที่เป็นความจริง ที่เราต้องรู้  ก็คือเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าจริงๆ เราบังเกิดใหม่จริงๆ เราอยู่ในพระเยซูคริสต์จริงๆ ธรรมชาติใหม่ของเรา สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดจริงๆ แล้ว เราไม่มีความต้องการที่จะทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ เราอย่าคิดว่าเราสามารถที่จะมีความสุขกับการทำบาปได้ตลอดเวลา ไม่มีทางแน่นอน เพราะเราเป็นผู้เชื่อ

            อย่างที่อาจารย์นครเคยยกตัวอย่างให้ฟังว่าสมมติว่าเราเป็นเจ้าสาว แล้วเราใส่ชุดสีขาวสวยๆ เวลาเราเดินออกไปข้างนอก เราจะระวังมาก ถ้าเราเจอฝนตก เราจะค่อยๆ ย่อง ถ้าเราเดินพั๊บๆ น้ำมันพุ่งขึ้นมา สกปรกหมด เราก็จะค่อยๆ เดินไป เราจะรักษาชุดของเราให้ดีที่สุด ให้มันเปื้อนน้อยที่สุด มันเป็นภาพนะ

            แต่ถ้าสมมติว่าเจ้าสาวคนนั้น ไม่ได้ใส่ชุดสวยงาม ใส่แบบโกโรโกโส ไม่มีตังค์ซื้อชุดแต่งงาน ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์  เขาก็ไม่ต้องระวัง เดินออกไป ฝนตก ไม่เป็นไร ฉันก็กางร่ม เจอโคลน ฉันก็ย่ำไปเลย สกปรก เดี๋ยวก็ไปซัก

            มันเป็นภาพให้พวกเราเห็นว่าในวิญญาณของเรา เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด เราจะระวังมาก เราจะไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว มีความสุขมากกับการทำบาป มันไม่มีทาง เมื่อเราหลงเชื่อคำหลอกลวงของโลกนี้ ทำไปแป๊บเดียวเอง สิ่งแรกที่มันเกิดขึ้น คือข้างในเราไม่สบายใจทันทีเลย เพราะว่ามันผิดกับวิญญาณจริงๆ ของเรา มันไม่ใช่เลย ดังนั้น ตัวตนแท้ๆ ของเรา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วไม่ต้องกังวลว่าคริสเตียนจะสามารถแช่อิ่ม อยู่ในความบาป อย่างมีความสุข ไม่มีทาง

            คริสเตียนจะเป็นโรคหนึ่ง คือโรคแพ้ความบาป  เขามีแพ้ฝุ่น แพ้อากาศ แพ้ทุกอย่าง แพ้อาหาร แพ้ปู แพ้ปลา แต่ว่าคริสเตียนเป็นโรคแพ้ความบาป ถ้าเราทำบาปปุ๊บ เราจะคันคะเยอไปทั้งตัว เราอยู่ไม่ได้ เราทุกข์ นึกภาพคนที่แพ้ ทุกข์ทรมาน มันไม่ได้มีความสุขหรอก แล้วถ้ามันทุกข์ทรมานมากๆ  เรายังอยากทำอีกไหม? ไม่อยากแน่นอน เหมือนเรารู้ว่าอันนี้ มันไม่ถูกกับเรา เราก็ไม่พยายามไปกินมัน เราต้องเลี่ยง ไม่ใช่ว่าไม่เป็นไรหรอก แค่คันๆ เท่านั้นเอง  เดี๋ยวกินไปให้มีความสุขก่อน มันเป็นไปไม่ได้ คือมนุษย์ทุกคนรักชีวิตของตัวเอง พวกเราทุกคนก็รักชีวิตของตัวเอง  เราอยากให้ชีวิตของเรามีทุกข์น้อยที่สุด มีสุขมากที่สุด แล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าเราอยู่ในพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าที่อยู่ในเราทั้ง 3 พระภาค พระองค์จะนำพาย่างเท้าของเรา พระองค์จะคอยเตือน คอยบอก คอยแนะนำเราในสิ่งสารพัด

            อาจารย์เปาโลบอกให้เราจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ให้เราจดจ่อว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นผู้สะอาด ชอบธรรม หมดจดเหมือนพระเยซูเลย เมื่อเราเป็นเหมือนพระเยซู เราจะกล้าไปทำบาปซ้ำแล้วซ้ำอีกไหม? มันไม่มีทาง โดยวิญญาณของเรา เราอยากทำดี ความอยากนะ วิญญาณเราเป็นอย่างนั้น เพราะวิญญาณเป็นเหมือนพระเจ้า แต่เนื้อหนังอาจถูกล่อลวงได้ ไม่เป็นไร พี่น้องก็ไม่ต้องไปรู้สึก แย่แล้วๆ ถ้าเราทำผิด แล้วทำอย่างไร? พระเยซูบอกทำผิด ก็ไม่เป็นไร ลุกขึ้นมา แล้วเราก็เริ่มต้นกับพระเจ้าใหม่ เมื่อเราพลาด พระองค์จะให้กำลังเรา เราจะพลาดน้อยลง เราจะรับรู้ความจริงมากขึ้น  ถ้าพี่น้องรับรู้ความจริงมากเท่าไร? พี่น้องก็จะทำผิดน้อยลง แต่ถ้าพี่น้องรับรู้ความจริงน้อย พี่น้องก็จะทำผิดมากขึ้น มันเป็นกฎปกติ ที่เราเห็นชัดๆ

            สมมติว่าแก้วใบนี้ เราใส่น้ำโคลนไว้ เรียกว่าสิ่งที่โกหก หลอกลวงมาใส่ไว้ในแก้วใบนี้  แล้ววิธีการที่เราจะไล่น้ำโคลนนี้ทิ้ง ก็คือใส่น้ำสะอาดลงไป ไล่มันไปเรื่อยๆ เราจะเห็นภาพนะ พี่น้องเคยทำไหม? ใส่มันไปเรื่อยๆ จนไล่น้ำโคลนออกไปหมด ถ้ายังเหลือนิดๆ หน่อยๆ เราก็ไล่ไปเรื่อยๆ ใส่ไปจนน้ำโคลนหายหมด เหลือแต่แก้วที่ใส่น้ำสะอาดหมดจด

            ลักษณะเดียวกัน ความเคยชินเก่าๆ มันยังอยู่ในเรา สิ่งที่เราทำได้ ก็คือเอาความจริงของพระเจ้าใส่เข้ามา ใส่มาในแก้วใบนี้แหละ ไล่เอาการโกหกหลอกลวง ทุกรูปแบบ ออกไปจากแก้วใบนี้ ค่อยๆ ไล่ มันจะค่อยๆ ออกไป แต่ถามว่าเราสามารถที่จะทำดีทุกอย่าง โดยไม่มีข้อผิดพลาดในชีวิตนี้  ทำได้ไหม? ไม่มีทาง จนถึงวินาทีสุดท้าย ที่ลมหายใจออกจากร่าง เรายังเผลอทำบาปอยู่เลย  เพราะว่าร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ และถ้าเราจะไม่ทำบาปเลย ครบถ้วนสมบูรณ์เลย มีทางเดียว ก็คือวิญญาณออกจากร่าง ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทิ้งร่างกายนี้กับสิ่งต่างๆ ที่เราทำบนโลกใบนี้ ทิ้งไว้ เอาวิญญาณใหม่กับความคิดจิตใจใหม่ ขึ้นไปรับร่างกายใหม่ ร่างกายที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย  เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นร่างกายที่เราสามารถที่จะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  โดยที่เราไม่ต้องถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์แล้ว ทุกวันนี้เราถูกซ่อนไว้ในพระเยซูคริสต์ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน  แยกจากกันไม่ได้ แล้วพระเจ้าก็ซ่อนเราเอาไว้  ปกป้อง คุ้มครอง นำพาย่างเท้าของเรา

            คำว่า “ปกป้อง คุ้มครอง” ไม่ได้หมายความว่าเราจะเดินบนกลีบกุหลาบ ไม่เจอปัญหา อุปสรรค ไม่ใช่ แต่พระเจ้าจะปกป้อง คุ้มครองวิญญาณของเรา จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ไปรับชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ทุกวันนี้ เราได้รับชีวิตนิรันดร์ ยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เราได้รับพระพรนานัปการจากพระเจ้า ในโลกวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว แต่อีก 2 อย่างที่เรายังไม่ได้รับ  มันเป็นความหวังของผู้เชื่อทั้งหลาย  แล้วก็เฝ้ามอง เหมือนอาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าไม่สนใจซ้าย ขวา ข้าพเจ้าโน้มตัวไปข้างหน้า  เพื่อไปรับรางวัล”

            รางวัลของเราทุกคนในพระเยซูคริสต์ เราคิดว่าต้องเป็นแก้ว แหวน เงินทอง ไม่ใช่นะ รางวัลที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา คือร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างให้ใหม่ คือวันหนึ่งข้างหน้า โลกนี้สลายไป  เราจะไปอยู่โลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน บนโลกใบนี้ ซ้ายขวา หน้าหลัง  เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากอะไร ช่างมันเถอะ แป๊บเดียวก็หมดไป เราต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ ก็ช่างมันเถอะ เดี๋ยวเราก็ตายไปแล้ว หรือเราใช้ชีวิตแบบชักหน้าไม่ถึงหลัง วันนี้ไม่มีเงินกินข้าว พรุ่งนี้มีกิน 2 มื้อ มะรืนนี้กิน 3 มื้อ อีกวันหนึ่งอดอาหารเลย อดอาหาร เพราะไม่มีเงินซื้อข้าว อะไรแบบนี้ ก็ไม่เป็นไร แป๊บเดียวเองอยู่บนโลกใบนี้แป๊บเดียวเอง พระเจ้าบอกว่าโลกนี้ เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้เป็นบ้านถาวรของเรา

            บ้านถาวรของผู้เชื่ออยู่บนสวรรค์ และสายตาของพวกเราจ้องไปที่โน่นเลย คือมีเป้าหมายเดียว ที่เราวิ่งแข่งไป เพื่อถึงจุดหมายปลายทางนั้น ไม่ว่ารอบข้างจะมีอะไรที่เข้ามาแทรกแซง เข้ามาพยายามที่จะหันเหความสนใจของเรา ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ต้องสนใจ เราวิ่งไปตรงนั้นเลย จนถึงแต่ละคน พระเจ้าจะมีกำหนดเวลาของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน เมื่อถึงเวลากำหนด พระเจ้าก็จะมารับวิญญาณเราไปอยู่กับพระองค์ และ ณ เวลานั้นแหละเราจะได้ชีวิตนิรันดร์ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ก็คือตอนนั้น เราก็ไปนั่งรอพี่น้องทั้งหลายที่อยู่บนโลกใบนี้ เราไปนั่งเชียร์อยู่บนสวรรค์ ถ้าอีก 2-3 วัน ดิฉันจากไปอยู่กับพระเจ้า ดิฉันจะไปนั่งเชียร์พวกเราบนสวรรค์

            นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อ เราจะมีความสุขเหมือนกับที่อาจารย์เปาโลบอก อยู่ก็เพื่อพระคริสต์ ตายก็ได้กำไร นี่คือกำไรชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลาย ฉะนั้น เราก็ไม่ต้องไปกลัวเกรง ถ้าเรารู้ความจริงไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็จะกลัวว่า …

            “ตอนนี้ ฉันยังทำอะไรไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรเลย  แล้วตกลง ถ้าวิญญาณฉันออกจากร่าง ฉันยังได้รอดไหม?”

            ยืนยันนะ พระเยซูคริสต์บอกว่าเรารอดตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว รอดแล้วรอดเลย เปลี่ยนแปลงไม่ได้นิรันดร์กาล  แล้วหลังจากจากโลกนี้ไป เราก็ยังรอดอยู่ เหมือนเดิม เปลี่ยนไม่ได้ เราเป็นลูกของพระเจ้า เปลี่ยนไม่ได้ เป็นลูกของพระเจ้านิรันดร์กาล เป็นแล้วเป็นเลย เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นี่คือความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  เอเมน  พระเจ้าอวยพรค่ะ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เป็นภาระหนักและทุกข์ใจ

                        ถ้า!

            เป็นปลาฝืนขึ้นมาอยู่บนบก

            เป็นนกฝืนลงมาต๊อกๆบนดิน

            เป็นสิงห์ฝืนกินหญ้า

            เป็นคริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว … ฝืนทำบาป เพราะ …

            มันฝืนธรรมชาติ งัย!

            เมื่อได้รับการบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า โดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ธรรมชาติตัวตนแท้จริงภายในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา ก็เป็นเหมือนพระเยซู บริสุทธิ์ ดีงามแล้ว พระเยซูก็เริ่มต้นสอน ฝึกฝนเราให้ประพฤติดีงาม ตามธรรมชาติของวิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้วนั้นทันที เหมือนเด็กทารกแรกเกิด เริ่มต้นฝึกฝน กิน คลาน นั่ง เดิน ค่อยๆ พัฒนาไป

            การบังเกิดใหม่นี้เราได้รับ โดยผ่านทางความเชื่อในการกระทำของพระเยซู ไม่ใช่การกระทำดีด้วยตัวของเราเอง จึงเรียกว่าพระคุณ

            ทิตัส 2:11-12 … “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้า ที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้ สอนเราที่จะฝึกฝน ปฏิเสธการทำบาปและไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับการได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว)”

            พระเยซูจะสอนเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ด้วย เป็นพี่เลี้ยงเรา ด้วยความรัก ทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตสมศักศรี ในฐานะลูกของพระเจ้า น้องๆ ของพระองค์

            กาลาเทีย  5:16-21 … “16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า ให้เราดำเนินชีวิตและอาศัยอยู่ในพระวิญญาณ และสนองต่อการนำของพระวิญญาณ แล้วท่านจะได้ไม่อยากจะสนองต่อความต้องการ ของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง (มันคืออิทธิพลพลังของความบาป) ที่ยังคงกระทำการงานอยู่ในร่างกาย และโปรแกรมเดิมในความคิดในสมอง 17 เพราะว่าความต้องการของโลกียตัณหาเนื้อหนังนี้ มันต่อสู้กับความต้องการของพระวิญญาณ และความต้องการของพระวิญญาณ ก็ต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ท่านจึงถูกโลกียตัณหาเนื้อหนัง คอยขัดขวางในการที่จะทำตาม ความปรารถนาในใจของท่าน 18 แต่ถ้าท่านถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว) ท่านก็จะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (ไม่ได้เป็นทาสของบาปแล้ว จึงไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของมันอีกต่อไป) 19 การงานของโลกียตัณหาเนื้อหนัง (อิทธิพลพลังของความบาป) นั้นเห็นได้ชัด คือ การล่วงประเวณี การโสโครก การลามก 20 การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาท การริษยากัน การโกรธกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน 21 การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีก เหมือนที่ข้าพเจ้าได้เตือนท่าน (ประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูให้ท่าน) มาก่อน บัดนี้ ข้าพเจ้าขอย้ำเตือนท่าน (ในเรื่องข่าวดีของพระเยซูนี้) เหมือนกับที่เคยเตือน (ประกาศแก่ท่าน) มาแล้วว่าคนที่ (ฝึกฝนกระทำสิ่งเหล่านี้ ตามธรรมชาติของตัวตน ที่อยู่ภายใน ซึ่งเป็นคนบาป ยังไม่ได้รับการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์) จะไม่ได้อาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก (ไม่ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า)”

            เพราะฉะนั้น มาต้อนรับพระเยซูและบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เพื่อวิญญาณและจิตใจ ตัวตนแท้จริงของท่านจะได้บริสุทธิ์ สะอาด เป็นธรรมชาติเหมือนของพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1492

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  ตุลาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 10 “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หนังสือ 1 ยอห์น ต่อเนื่อง วันนี้ตอนที่ 10 เรื่อง “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

            ชื่อเรื่องนี้มันจำเป็นที่ท่านจะต้องจำให้ได้ แล้วควรอย่างยิ่งที่จะพูดจนติดปาก และควรอย่างยิ่งที่จะพูดดังๆ ให้ตัวเองได้ยิน ได้ฟัง อย่างที่บอกเมื่อสักครู่นี้ว่าเราต้องเอาความจริงที่อยู่ในใจเรา พูดให้ตัวเราเองฟังดังๆ เพื่อเราจะได้ยินด้วยตัวเราเองข้างใน เพื่อจะปรับเปลี่ยนความคิดเดิมๆ แบบโลกนี้ ความคิดที่ต่อต้านกับความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ความคิดที่เต็มไปด้วยความตายบนโลกใบนี้ ให้เป็นเหมือนความคิดของพระเจ้า  ความคิดที่เป็นชีวิต ความคิดที่เป็นพร ความคิดที่เป็นสันติสุข ความคิดที่เป็นพระคุณเหลือล้นของพระเยซูคริสต์เข้ามาแทนที่ ฝึกให้จำให้ได้ ไม่ต้องทุกคำอย่างนี้ก็ได้ เพียงแค่ให้ความหมายเป็นลักษณะอย่างนี้

            เรากำลังเรียนหนังสือ 1 ยอห์น ซึ่งพื้นฐานของหนังสือ 1 ยอห์นตรงนี้ ต้องจำไว้เสมอ เรียนรู้พระคัมภีร์ ต้องรู้ว่าพื้นฐานของหนังสือนี้ อาจารย์ยอห์นกำลังทำอะไร? อาจารย์ยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา เพื่อความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณจะได้ถูกชี้ให้เห็น ชี้ให้ใครเห็น? ให้พี่น้องในคริสตจักร หรือพี่น้องคริสเตียนได้เห็นถึงความจริง ความแตกต่างของคนที่เป็นคริสเตียนจริงๆ ที่อยู่ในชุมชนที่เรียกว่าคริสตจักร และคนที่ปะปนเข้ามา ที่อ้างตัวเองเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้เป็นจริงๆ อาจารย์ยอห์นต้องการชี้ให้เห็นทั้ง 2 ฝ่าย  เพื่อจะบอกให้คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง ที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน อย่างเช่น พวกนอสติก ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ ซึ่งเราได้เรียนรู้ไปแล้ว กับพวกคริสเตียนแท้จริงที่วางใจและเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมซียาห์  พระผู้ช่วยให้รอด  แตกต่างกันอย่างไรในโลกวิญญาณ

            ก็คือพวกนอสติก เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมซียาห์  แต่เขาคิดว่าเขากำลังมาหาพระบิดาพระเจ้า อาจารย์ยอห์นบอก นั่นไม่ใช่พระเจ้า  พระบิดาตัวจริง  เป็นพระเจ้าพระบิดาตัวปลอม  เพราะถ้าเป็นพระเจ้าพระบิดาตัวจริง จะต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรที่พระบิดาส่งมา  เพื่อมนุษย์จะได้รับความรอด  และเป็นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้เข้าไปหาพระบิดาตัวจริงนี้ได้ นึกออกใช่ไหม? ซึ่งพระเยซู คือพระมาซีฮาห์นั่นเอง  พระเจ้าที่พระบิดาทรงเตรียมไว้  เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป  เขาไม่เชื่อตรงนี้

            เพราะฉะนั้น เขาจึงแสวงหา นมัสการพระบิดาอะไรก็ไม่รู้ อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าพวกเขาไม่รู้จักพระบิดา  แต่พวกคุณรู้จัก “พวกคุณ” คือคริสเตียนที่แท้จริง ต้องรู้จักพระบิดาแน่นอน เพราะว่าท่านวางใจในพระบุตร เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วว่าเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            นี่คือพื้นฐานของจดหมายฝาก 1 ยอห์น ที่ยอห์นพยายามอธิบายในเรื่องโลกวิญญาณ และยังบอกว่าคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียน อ้างตัวเองว่ารู้จักพระบิดา ซึ่งไม่รู้จักจริงนั้น ข้างในวิญญาณ เขาจะมีสภาพเป็นปฏิปักษ์ ก็คือเป็นศัตรูกับพระคริสต์ เป็นศัตรูกับคริสเตียน ที่มีพระคริสต์อยู่ภายใน ข้างในวิญญาณของเขาจะเกลียดชัง จะไม่ชอบพระคริสต์ เพราะเป็นศัตรูกัน ก็เลยเกลียดชังและไม่ชอบพี่น้องคริสเตียนเช่นเดียวกัน และวิญญาณของพวกเขายังคงอยู่ในความมืด ไม่ได้อยู่ในความสว่างเหมือนคนที่เป็นคริสเตียนแท้จริง และอยู่ในความเท็จ อยู่ในความโกหก ไม่ได้อยู่ในความจริง อยู่ในความเกลียดชัง อยู่ในความเห็นแก่ตัว  ไม่ได้อยู่ในความรัก ความเมตตา  การให้เหมือนอย่าง คริสเตียน  นี่พูดถึงภายในวิญญาณ

            พระคริสต์ไม่ได้อยู่ภายในเขา  เขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ จะเป็นพยานยืนยันให้กับคริสเตียนว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราชอบธรรมแล้ว เราดีพร้อมแล้ว  เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงๆ นี่คือความแตกต่างในทางวิญญาณ ระหว่างคนที่เชื่อกับพวกที่ไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์

            และยังบอกอีกว่าคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แล้วไม่ได้เป็นจริงๆ นั้น เขายังคงอาศัยอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด ที่เป็นอาณาจักรของความตายและความบาป แต่คริสเตียนอยู่ตรงกันข้าม ถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว จะถูกย้ายมาอยู่ในอาณาจักรของความสว่าง อาศัยอยู่ในความสว่าง “อาศัยอยู่” คืออยู่ในนั้นเลย วิญญาณเขาอยู่ในความสว่าง อยู่ในชีวิต เรียกว่าอาศัยอยู่ในชีวิต อยู่ในความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์เลย ในโลกวิญญาณมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

            เพราะฉะนั้น ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ อาจารย์ยอห์นบอกว่าฉะนั้น คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน เขาจะไม่มีความจริงใจอยู่ในตัวเขา ไม่มีความจริงอยู่ในเขา มีแต่ความเท็จ มีแต่ความเกลียดชัง มีแต่ความหลอกลวง ปากก็พูดว่ารักคุณๆ แต่ไม่เคยกระทำอะไรต่างๆ ตามที่ปากบอกเลย ก็คือไม่ได้ให้ความเมตตา อาจารย์ยอห์นจึงเตือน บอกคนเหล่านั้นว่านี่แหละ คือตัวแท้ๆ ของคุณข้างใน มันเป็นอย่างนั้น พูดแทงใจ ให้พวกนอสติกฟัง ว่าเป็นอย่างนั้นใช่ไหมในใจคุณ คุณไม่มีเมตตาจริงหรอก คุณบอกว่ารักพี่น้องในพระคริสต์ แต่จริงๆ คุณหวังจะเอาผลประโยชน์จากเขา คุณไม่มีเมตตาเขาจริงๆ หรอก คุณต้องการให้เขาเป็นสาวกของคุณใช่ไหม?  คุณต้องการเรียกเขาออกจากที่ประชุม ไปอยู่ในความเชื่อของคุณใช่ไหม? คุณอยากให้เขาปรนนิบัติรับใช้คุณใช่ไหม? คุณอยากให้เขายกย่องคุณใช่ไหม? จะเอาผลประโยชน์เท่านั้น ไม่ได้ให้จริง

            แต่ถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริง บังเกิดใหม่แล้ว จริงๆ นะ วิญญาณจะดำเนินด้วยความรักเหมือนพระเยซูคริสต์ มีเมตตา มีความรัก มีการให้ ฝึกฝนในชีวิต โดยการให้ตลอดเวลา ใช่ไหมคริสเตียนทั้งหลาย?  อาจารย์ยอห์นคงกำลังบอกอย่างนั้นว่าพี่น้องคริสเตียน ในใจเราเป็นอย่างนั้นใช่ไหม?  แล้ว เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราได้ยินอะไรที่คนลำบากลำบน อย่าว่าแต่เป็นคริสเตียนด้วยกันเลย ถึงไม่เป็นคริสเตียน เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราได้ยินได้ฟังความทุกข์ยากของเขา เรายังอยากจะช่วยเหลือเลย เราอธิษฐานให้ เรามีกำลังอะไรจะช่วยเหลือได้ เราช่วยเหลือ  ผมมั่นใจและแน่นอนในพระคัมภีร์ก็บอกอย่างนั้นว่าคนที่เป็นคริสเตียนข้างในใจ ในวิญญาณเขาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เขามีแต่ให้ เขากำลังเรียนรู้ ฝึกฝนที่จะให้ ตามกำลังที่เขาจะทำได้ เขาเต็มที่เลย  อย่างที่เห็นชัดที่สุด ก็คือเขาอธิษฐานให้ก่อนแล้ว เขาไม่ได้ดูความเจ็บช้ำ ความทุกข์ยากของคนอื่น แล้วบอกว่าสะใจดี  ดีแล้ว สมควรแล้วควรจะได้รับอย่างนี้ คริสเตียนแท้จริงจะไม่ฝึกฝนอย่างนี้

            เขาจะฝึกฝนไปเรื่อยๆ ว่า … “พระเจ้าเมตตาเขาด้วยเถิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป เขาหลงไปในความบาป สิ่งต่างๆ เหล่านั้น เหมือนมนุษย์ทุกคนที่หลง  ประพฤติในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เหมือนลูก เหมือนคนอื่นๆ เยอะแยะ จะมากจะน้อย ก็คือหลงไปนั้นแหละ ขอพระองค์ทรงเมตตาเขาด้วยเถิด”

            นี่คือท่าทีภายในใจของคนที่เป็นคริสเตียนใช่ไหม? ใช่ เป็นอย่างนั้นแหละ จะไม่ไปทับถม เอาให้ตายเลย  มันไม่ใช่อย่างนั้น  พระคริสต์เราเป็นตัวอย่าง เห็นชัดเจน ตอนนี้พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา พระเยซูคริสต์ทำอะไร? เห็นชัดเจนเลย คนเขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่จับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูอธิษฐานกับพระบิดาตอนที่ถูกตรึงอยู่นะ ตอนที่ทุกข์ทรมานอยู่นะ ตอนที่เขาตอกตะปูตรึงที่ไม้กางเขน เลือดหลั่ง ทุกข์ทรมานบนไม้กางเขน มองมาแล้วบอกพระเจ้าพระบิดาอภัยให้พวกเขาด้วย พวกเขาไม่รู้ว่าทำอะไรไป นี่ตัวอย่างที่ดี พื้นฐานตรงนี้ควรจะอยู่ภายในจิตใจ ภายในความคิดของเรา ขณะที่เราเรียนรู้ถ้อยคำในหนังสือ 1 ยอห์น

            ครั้งที่แล้วเราจบกันที่หนังสือ 1 ยอห์น 3:19-20 มาทบทวนนิดหนึ่ง ก่อนที่จะต่อในวันนี้ …

        1 ยอห์น 3:19-20 “19 ดังนี้แหละ เราจึงรู้ว่าเราเป็นของความจริง และทำให้ใจเราสงบ มั่นคง ในการสถิตอยู่ของพระเจ้า 20 เมื่อใดก็ตามที่ใจของเราเป็นทุกข์ ฟ้องผิด กล่าวโทษตนเอง เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง”

            การที่เราได้รับรู้ความจริงว่าเราเกิดใหม่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เราอยู่ในความจริงแล้ว คืออยู่ในพระคริสต์ และพระเยซูคริสต์ คือความจริงอยู่ในเรา เราเป็นของพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ตั้งแต่บทที่ 1 จนถึงตอนนี้ เราเรียนรู้แล้ว เรา คริสเตียน เมื่อรู้แล้ว ก็มีความมั่นใจ ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกทุกข์ใจ ฟ้องผิด หรือถูกกล่าวโทษ  เมื่อเราพลั้งพลาดไปกระทำบาป เราเกิดทุกข์ใจ เสียใจ แต่เรายังมีความมั่นใจ  เพราะเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เรารับรู้ความจริงเหล่านี้แล้วว่าเป็นอย่างไร? หมายถึงอย่างนั้นว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าอารมณ์ ความรู้สึกของเรา

            นั่นคือความรู้สึก อารมณ์ของเรา ที่ถูกกล่าวหา พระองค์ทรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเราดี รวมถึงตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ ในฐานะผู้เชื่อที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้วว่าเราได้รับการอภัยและถูกทำให้เป็นผู้ชอบธรรม ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ตลอดไปชั่วนิรันดร์แล้ว ใจของเราจึงสามารถมั่นคงได้  เพราะเรารับรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว  เราไม่ฟ้องผิด เพราะสถานะ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเรา ไม่ใช่  ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ไม่ใช่ ขึ้นอยู่กับการกระทำที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเรียบร้อยแล้ว เพื่อชำระบาปให้กับเรา ไม่ใช่ความชอบธรรมของเรา ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง  หรือขึ้นอยู่กับความรู้สึก การกล่าวโทษในใจของเรา  เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจตามถ้อยคำพระเจ้าว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้วใช่ไหม? ใช่ หลั่งพระโลหิตแล้วใช่ไหม? ใช่ เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรรับรู้และมั่นใจว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ชั่วนิรันดร์ นี่คือสิ่งที่เราได้จบในครั้งที่แล้วใน 1 ยอห์น 3:19-20

            วันนี้ เราจะมาต่อข้อ 21 … 1 ยอห์น 3:21 …

        1 ยอห์น 3:21 “ท่านที่รัก ถ้า (จิตใต้สำนึกใน) ใจของเรา ไม่กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจต่อพระเจ้า”

            อยากถามว่าจิตใต้สำนึกในใจของท่าน มั่นใจไหมว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เหมือนหัวข้อเรื่องในวันนี้ “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

            จิตใต้สำนึกของท่าน เชื่อตามที่ท่านพูดเมื่อตอนที่เราเริ่มต้นบรรยายได้ไหมว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว”

            ถามจิตใต้สำนึกตัวเองว่าฉันเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ไหม?

            ความมั่นใจที่เรามีต่อพระเจ้า ทำให้เราสามารถอธิษฐาน พูดคุยกับพระเจ้าได้ทุกเมื่อทุกเวลา เมื่อใจเราไม่ได้กล่าวโทษ ฟ้องผิดตัวเราเองว่าเราเป็นคนบาป สกปรกอยู่ เราถึงจะรู้สึกสนิทสนมไง  ถ้าจิตใต้สำนึกเรายังรู้สึกฟ้องผิดอยู่เลยว่า …

            “พระเจ้าคงไม่ชอบเรา เราคงอธิษฐานน้อยไป พระเจ้าคงไม่ชอบเรา เรายังหงุดหงิดอยู่เลย พระเจ้าไม่พอใจเรา เราเป็นคนขี้อิจฉาเขา พระเจ้าไม่พอใจเรา เพราะเรายังไม่เลิกสูบบุหรี่เลย เลิกไม่ขาดสักทีหนึ่ง สัญญากี่ครั้งแล้ว ยังสูบอยู่ พระเจ้าคงไม่ชอบเรา เพราะเราไม่ค่อยจะมาโบสถ์ ขี้เกียจ”

            นี่แหละคือการกล่าวฟ้องผิด แล้วเราจะรู้สึกอย่างไร? เราก็รู้สึกว่าเราเป็นคนบาป สกปรกอยู่ เข้าไปหาพระเจ้า ก็รู้สึกไม่ชอบ ไม่อินกับพระเจ้าเลย เพราะเรารู้สึกเราสกปรก แต่ถ้าเผื่อเราไม่ฟ้องผิดอย่างนี้ เรามีความมั่นใจว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

            ความมั่นใจอย่างนี้ มาจากอะไรที่จะทำให้ความมั่นใจตรงนี้เกิดขึ้น? มาจากการเรียนรู้ความจริงจากถ้อยคำพระเจ้า เรียนรู้มากๆ โดยการใคร่ครวญ ถ้อยคำแห่งความจริงเหล่านี้ หูฟัง ปากพูดถ้อยคำแห่งความจริงเหล่านี้ ให้คุ้นเคย ให้ชัดเจน อยู่ในใจ จำได้ตลอดเวลา เป็นปกติวิสัย ในใจ ทุกลมหายใจเข้าออก ถามเมื่อไร ก็ตอบได้ทันที ถามตอนนอนหลับอยู่ งัวเงียขึ้นมา ก็ตอบว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์”

            เมื่อกี้ เพิ่งโมโห โกรธ เขาขับรถตัดหน้าเรา หรือขับรถลงไปในโคลนกระเด็นถูกเราเลอะหมดเลย นึกขึ้นได้ …

            “โอ้ พระเจ้า ลูกเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ แต่บางครั้งอาจทำบาป”

            ไม่เหมือนกันนะ “ลูกเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม แต่บางครั้งทำบาป” … “เป็นผู้ชอบธรรม แต่บางครั้ง อาจทำบาป”

            ทำบาปกับเป็น มันคนละเรื่องกันนะ เป็นคน แต่บางครั้งเดินเหมือนลิง ก็ไม่ใช่ลิง แต่เป็นคน แล้วถ้ากลับกัน เป็นลิง แล้วเดินเหมือนคน มันก็ยังเป็นลิง เราไปดูละครลิง เดิน 2 ขา เดินตีกลอง เหมือนคนเลย แต่งตัวให้เหมือนคนเลย แต่ในที่สุด เขาแค่ทำเป็นคน แต่จริงๆ เป็นลิง เพราะฉะนั้น เราเป็นคริสเตียน เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เหมือนเราเกิดจากครรภ์มารดา เราเป็นคนแน่นอนเลย ไม่มีเปลี่ยนเป็นลิงได้ ไม่มีทางเลย แต่บางครั้งอาจจะคลานเหมือนลิง

            เพราะฉะนั้น ความมั่นใจในจิตใต้สำนึกอย่างนี้ ทำให้เรามีความกล้าที่จะเข้าไปสนิทสนมกับพระเจ้าอย่างมาก มากเท่าไร ก็ขึ้นกับความรู้ความจริงมากเท่านั้น ความรู้ความจริงว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว และได้รับการยกโทษบาปทั้งหมดทั้งปวง ตามที่อาจารย์ยอห์นได้บอกมาแต่บทต้นๆ ทั้งบาปในอดีต บาปที่ทำในปัจจุบัน และบาปที่จะพลาดทำในอนาคตอีกด้วยตลอดไป ได้รับการอภัยทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางการกระทำที่สำเร็จแล้วของพระเยซู ไม่ได้ผ่านการกระทำดีของเรา ผ่านการกระทำของพระเยซูคริสต์ เราเลยกลายเป็นเคยเป็นคนบาป เป็นคนสกปรก มีมลทิน แต่เดี๋ยวนี้บังเกิดใหม่ ตัวตนแท้จริงของเราที่บังเกิดใหม่นั้น ไม่ได้เป็นคนบาป ก็เท่ากับบริสุทธิ์ดีพร้อมเท่าพระเยซูคริสต์ ด้วยพระคุณ ผ่านทางการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ชำระล้าง ลบล้างบาปทั้งสิ้นทั้งปวงของเรา และทรงเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราทั้งหลายจะได้สามารถบังเกิดใหม่พร้อมพระองค์ได้ต่างหาก สิ่งเหล่านี้พระองค์ทรงกระทำให้เรา  และเรารับแล้ว เราเชื่อและเราวางใจแล้ว เราได้รับสิ่งนี้ และเราได้รับการเปลี่ยนแปลง บังเกิดใหม่แล้ว ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้จิตใต้สำนึกของเราเกิดความมั่นคง ในการเข้าหาพระเจ้า ในการติดสนิทกับพระเจ้า โรม 8:1 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 8:1 “เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป)”

            “ไม่มีการลงโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์”  ตามบทบัญญัติใช่หรือเปล่า? ผมอ่านผิดไป  จึงไม่มีการลงโทษ กล่าวโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ … อาศัยอยู่ ได้เรียนรู้แล้ว เราอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์แล้ว เราได้เป็นคริสเตียน ได้ถูกย้ายออกมาจากอาศัยอยู่ในความมืด ความบาป ความตาย ได้มาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ อาณาจักรของความสว่าง อาณาจักรแห่งชีวิต ตอนนี้เราอยู่ตรงนั้นแล้ว จึงไม่มีการกล่าวโทษใดๆ แม้ว่าบางครั้งเราอาจจะทำบาป ซึ่งทำแน่ๆ อยู่แล้วล่ะ แต่ไม่มีการกล่าวโทษอีก ฮีบรู 10:14 ยืนยันตรงนี้อีกว่า …

        ฮีบรู 10:14 “เพราะโดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ (พระเยซูคริสต์) ได้ทรงทำให้ผู้ที่กำลังได้รับการชำระให้บริสุทธิ์นั้น สมบูรณ์ตลอดไป”

            หมายความว่าการเสียสละของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น เพียงครั้งเดียว การสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียว การหลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียว เป็นการกระทำที่เพียงพอ และทำให้ผู้เชื่อ คือคริสเตียนนั้น สมบูรณ์ ตลอดไป ชั่วนิรันดร์

            การรับรู้ความจริงตรงนี้ ทำให้เกิดความมั่นใจ ต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ ลงไปในใจของเรา ให้มั่นคง เราจะเกิดความมั่นใจ ทำให้เราสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ในทุกเมื่อ อย่างกล้าหาญและรู้สึกสนิทสนมกับพระองค์ และทรงรู้ว่าพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐาน ร้องทูลของเรา อย่างใจจดใจจ่อ ด้วยความรัก ความห่วงใยในฐานะที่เราเป็นลูกของพระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ ประทานพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อท่าน แม้ว่าในโลกนี้จะมีเพียงท่านคนเดียว พระเจ้าก็จะส่งพระเยซูคริสต์มาตาย เพื่อท่าน มันหมายถึงอย่างนั้น พอเรามั่นใจปุ๊บ ก็เกิดอะไร? ไม่ฟ้องผิด เกิดอิสรภาพ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็เกิดพระคุณของพระองค์ ฮีบรู 4:16 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ฮีบรู 4:16 “ฉะนั้น ขอให้เราอย่ากลัว ที่จะเข้ามาใกล้พระบัลลังก์แห่งพระคุณด้วยความมั่นใจ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่จะช่วยเหลือเรา เมื่อถึงคราวจำเป็น”

            ในฮีบรูที่กำลังอ่านนี้ เป็นหนังสือที่เขียนข่าวประเสริฐไปถึงชาวยิว โดยเฉพาะ ชาวยิวก็จะกลัวพระเจ้า กลัวการทรงสถิตของพระเจ้ามาก  เพราะเขารู้จักพระเจ้ามาตั้งแต่บรรพบุรุษของเขาหลายพันปีก่อน ก่อนพระเยซูคริสต์จะเสด็จมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว กลัวพระเจ้ามาก เพราะว่ามนุษย์เป็นคนบาป ไม่สามารถเข้าไปที่บัลลังก์ของพระเจ้าได้ เพราะว่าพลาดนิดเดียวก็ถึงตาย เพราะไม่สามารถยืนอยู่ต่อการทรงสถิตของพระเจ้า ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ เพราะกลัวมาก แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปทั้งสิ้น ทั้งปวงของมนุษย์ทุกคนเรียบร้อยแล้ว  พระคัมภีร์ตรงนี้ จึงบอกว่าชาวยิวไม่ต้องกลัวอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วกล้าเข้าไปเลย ไม่ต้องห่วง เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปให้ท่านเรียบร้อยไปแล้ว สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ พระโลหิตของพระองค์เหมือนเป็นแพะรับบาปให้กับพวกท่าน ครั้งเดียวเป็นพอ กล้าเข้าไปเถิด กล้าเข้าไปในการทรงสถิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์ทรงสถิตใกล้ที่สุด ถึงขนาดเข้าไปอยู่ในตัวท่านได้เลย เมื่อท่านวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ มันหมายถึงอย่างนั้น 1 ยอห์น 3:22 …

        1 ยอห์น 3:22 “และสิ่งใดที่เราทูลขอ เราก็จะได้รับจากพระองค์ เพราะว่าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และกระทำสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยพระองค์”

            ชอบข้อพระคัมภีร์นี้มาก แต่ก่อนผมก็ชอบ เลยอยากถามว่าสิ่งใดๆ ที่เราอธิษฐานทูลขอ เราก็จะได้รับสิ่งนั้น  ถ้าเรากระทำดี เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ใช่ไหม? จริงหรือเปล่า? ฟังใหม่อีกที ลองคิดตาม …

            “สิ่งใดๆ ที่ฉันอธิษฐานทูลขอ ฉันก็จะได้รับสิ่งนั้น ถ้าฉันกระทำดี เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า”

            จริงไหมหนอ? ความจริงตามถ้อยคำพระเจ้าที่เราได้เรียนรู้มา ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทต้นๆ ความจริง คือเพราะว่าเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว คือได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่มีนิสัยเป็นธรรมชาติ เชื่อฟังพระเจ้า โดยการกระทำสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยของพระบิดาแล้ว นี่พูดถึงคริสเตียนนะ เรากระทำสิ่งที่พอพระทัยพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ก็คือเราได้วางใจในพระบุตร พระเยซูคริสต์ และดำเนินชีวิตด้วยความรักที่อยู่ภายใน ที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ในใจ ตอนที่เราเกิดใหม่แล้ว และใส่ความเชื่อฟังไว้อยู่ในวิญญาณของเรา นั่นแหละ คือสิ่งที่พระเจ้าพอใจ ที่เราได้เรียนรู้มา เราได้ทำแล้ว

            ข้อความเมื่อสักครู่ที่เราอ่าน ในบริบทนี้ ข้อ 22 นี้ ต่อเนื่องมาจากข้อ 21 ได้พูดถึง ได้เน้นถึงความมั่นใจ  ไม่กลัว ไม่ฟ้องผิด  ไม่กล่าวโทษตนเองว่าฉันยังเป็นคนบาปอยู่ ถูกไหม? มั่นใจในตนเอง  มั่นใจในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ในฐานะผู้เชื่อและเป็นลูกของพระองค์  เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ และความปรารถนาในใจของเรา สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ ที่พระองค์ได้ใส่ไว้ในใจของเรา พูดง่ายๆ พระองค์ได้ใส่วิญญาณของพระองค์ไว้ในใจของเรา เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  เพราะว่าตัวตนใหม่ของเราในพระองค์ ใจใหม่ของเราในพระองค์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

            ในบริบทนี้ กำลังพูดถึงตรงนี้ว่าตัวใหม่ของท่าน ใจใหม่ของท่านที่พระเจ้าประทานนั้น เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ปรารถนาสิ่งที่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า  ตามธรรมชาติที่เกิดใหม่อยู่แล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น ซึ่งเราสามารถมั่นใจ ไว้วางใจว่าพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐาน ร้องทูลของเราแน่นอน เพราะเราเป็นคริสเตียนอยู่ มันหมายถึงตรงนั้นนะ พระองค์จะตอบคำอธิษฐานของเราอย่างแน่นอน ตามความประสงค์ของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตามแผนการที่ดีที่สุดของพระองค์ที่วางไว้ ที่เตรียมไว้ สำหรับเราแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นลูกๆ ของพระองค์ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ  ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่ตามใจตัวเราเอง ซึ่งเป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งเราได้เรียนรู้มาแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้น จากภายนอก จากระบบของโลกใบนี้ที่ส่งเข้ามา ตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง กระตุ้นให้เราอยากได้ในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าเตรียมไว้  ก็คือเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า แต่เราที่บังเกิดใหม่แล้ว เรารู้จักวิญญาณของเราว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ถ้าเราอธิษฐานทูลขอสิ่งใด ก็คือสิ่งนั้น จะเป็นสิ่งที่พระบิดาต้องการเช่นเดียวกัน และเรารู้ว่าสิ่งที่พระบิดาต้องการนั้น  ที่เราอธิษฐานทูลขอตามความเห็นชอบของพระองค์ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ตอบเราแน่นอนเลย  แต่ตอบตามวัน เวลา วิธีการของพระองค์ ไม่ใช่วิธีการที่เราคิดว่าเวลานั้น เวลานี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้

            ยกตัวอย่าง เช่น เราอธิษฐานขอพระเจ้า ให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ขอให้รักษาตรงนี้ให้หาย โรคนี้ให้หาย พระเจ้าอาจจะเตรียมแผนการอะไรบางอย่างไว้สำหรับเรา แต่รู้แน่ๆ ในที่สุดวันหนึ่งต้องหายแน่ๆ คือวันที่เราหายจากโลกนี้ หายหมดเลย เพราะว่าพระองค์ทรงเตรียมร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ให้กับเรา วันที่เราจากโลกนี้ไป ซึ่งดีกว่ามากนัก เราจะคิดถึงไหมว่ามันดีกว่าอย่างไร? ไม่มีทางหรอก เราเป็นมนุษย์ ก็อยากได้ในสิ่งที่โลกนี้เขาต้องการ ก็คือไม่เจ็บ ไม่ป่วย ถูกไหม? แต่พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรียบร้อย คือไม่เจ็บ ไม่ป่วยเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คือจากโลกนี้ไปเลย ได้รับร่างกายใหม่ ไม่เจ็บป่วยแน่นอนเลย แต่ถ้ายังอยู่บนโลกใบนี้ บอกให้รักษาตรงนี้ให้หาย รักษาภูมิแพ้ให้หาย เดี๋ยวมันก็มาเป็นโรคอื่นแทน หรือว่าไม่เป็น มันต้องเป็นอยู่แล้ว เพราะมันเป็นกฎระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ว่าโลกนี้ตกลงไปในความบาป ความตาย คำสาปแช่ง ความทุกข์ยากลำบากในโลกนี้ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เราอยู่ในกฎของความบาปและความตาย มนุษย์ทั้งโลกนี้ อยู่ในโลกอยู่ในกฎของความเสื่อม เกิด แก่ เจ็บ ตาย  เกิด ตั้งอยู่ และดับไปแน่นอน 100% แต่ทางความรอดของเรา เราได้รับความรอดนิรันดร์ และพระองค์ทรงสัญญาไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันหนึ่ง ที่เราหมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และได้อยู่ในสวรรคสถานร่วมกับพระองค์ตลอดไปชั่วนิรันดร์เลย ตรงนี้ต่างหากที่เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ เห็นไหม?

            ที่พูดนี้ ถามว่าเข้าใจหมดไหม? ไม่เข้าใจหมดหรอก  แต่เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่พูดไว้ สัญญาไว้ และเมื่อใคร่ครวญ คิดถึงถ้อยคำ ความจริงเหล่านี่บ่อยๆ มันจะเกิดความเชื่อขึ้นมาในความคิดของเราเอง มันจะปรับเปลี่ยนไปเอง

            เราอาจจะอธิษฐานหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเรา ตามใจเราต้องการ ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่น้ำพระทัย ไม่ได้ตามจิตใต้สำนึกที่เป็นไปด้วยกันกับพระเจ้า  แต่เป็นไปด้วยกันกับความคิดแบบกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง อิทธิพลของโลกนี้ เข้ามาซึมซับ  อย่างเช่น ความโลภ อยากจะมี อยากจะได้ อยากจะมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นทุกวันๆ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ต้องเป็นอย่างนั้น แต่เราแบ่งความไว้วางใจตรงนี้ มาอยู่ที่ความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้าว่าพระองค์ทรงมีแผนการที่ดี ไว้สำหรับเราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราไม่รู้ แต่ให้เราวางใจ และเชื่อในพระองค์ เราอาจจะอธิษฐานหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ตะกี้นี้บอกว่าไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า หรือเราคิดว่ามันน่าจะอยู่ มันน่าจะใช่นะ แต่พระเจ้าอาจจะบอกว่ามันไม่ได้เป็นแผนการที่ดีที่สุด สำหรับเจ้า แต่มันอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่สำหรับเจ้า เรามีแผนการที่ดีกว่านี้ ที่วางไว้ให้กับเจ้า ซึ่งเราเรียกกันว่าน้ำพระทัย

            เพราะฉะนั้น การรู้จักความจริงตรงนี้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ไม่มีการฟ้องผิดในจิตใจของเรา ในวิญญาณของเรา เราก็จะเกิดความเชื่อในน้ำพระทัยของพระองค์มากขึ้น ไว้วางใจได้มากขึ้น ก็จะเกิดสันติสุขและพระคุณล้นเหลือ ในจิตวิญญาณของเรานั่นเอง

            คำสอนที่ผิดๆ ที่แพร่หลายในวงการคริสเตียน ก็คือเขาเอาข้อความนี้ ถ้อยคำตรงนี้ไปสอนว่า …

            “คุณจะสั่งอะไรก็ได้ในนามพระเยซู แล้วคุณจะได้รับ ถ้าคุณมีความเชื่อพอ”

            เอาข้อความที่อธิบายไปเมื่อตะกี้ 1 ยอห์น 3:22 มาบอกว่า …

            “นี่ไง คุณอธิษฐานไป คุณจะได้รับสิ่งนั้นแน่นอน ถ้าคุณเป็นคริสเตียนนะ คุณเชื่อในนามพระเยซู สั่งไปเลย ถ้าคุณเชื่อพอ  ถ้าคุณไม่ได้ตามที่คุณสั่ง เพราะว่าคุณยังไม่เชื่อพอ”

            “แล้วต้องทำอย่างไร?”

            “ก็ต้องเชื่อให้มากขึ้น”

            “แล้วต้องทำอย่างไร?”

            “ก็ต้องอธิษฐานให้หนักขึ้น”

            ซึ่งต้องพึ่งตนเอง ทำด้วยตนเอง ซึ่งไปรอดไหม? ก็ไม่รอดอยู่ดี อย่างเช่น พูด อธิษฐาน สั่งด้วยความเชื่อในนามพระเยซู ให้รวย ไม่เจ็บป่วย  ไม่มีปัญหาในครอบครัว ไม่มีปัญหาในการทำมาหากิน  ไม่มีอุบัติเหตุ ไม่มีความทุกข์ ไม่ประสบความล้มเหลวใดๆ เลย  มีแต่ความสำเร็จทุกประการในชีวิต และคิดดูสิ มันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ เป็นการหลอกลวง ล่อลวงของโลกใบนี้ กิเลสตัณหาของเนื้อหนังของโลกใบนี้ต่างหาก ที่มันล่อลวงให้หลุดออกไปจากทางของพระเจ้า ไม่มีชีวิตอยู่ในพระคริสต์นั่นเอง

            ชีวิตในพระคริสต์ คือชีวิตที่พอเพียง  … พอเพียง คือวางใจในพระเจ้า แล้วแต่พระเจ้า วางใจในพระองค์ … วางใจในพระองค์ได้ด้วยวิธีใด ด้วยการเชื่อมั่นว่าฉันบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า  ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ พระองค์ทรงรักฉันขนาดนั้น เพราะว่าเราสอนผิดๆ อย่างนี้ มันก็เลยก่อเกิดชัดๆ ที่สุด ก็คือก่อเกิดความโลภ ความไม่พอในชีวิตของคริสเตียนเอง ซึ่งมันตรงกันข้ามกับชีวิต ที่พอเพียงและไม่โลภ เต็มไปด้วยความรักในใจ ในวิญญาณที่บังเกิดใหม่ ชีวิตไม่มีสันติสุขในพระเยซูคริสต์

            เรามาดูตัวอย่าง อย่างเช่น อาจารย์เปาโล รู้จักพระเจ้า สนิทไหม? สนิท สนิทสนมมากเลย มากถึงขนาดเป็นผู้สอนเราในเรื่องนี้ว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่เราแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว ตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรม เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ยืนยันแล้ว ยืนยันอีก เสร็จแล้ว อาจารย์เปาโลอธิษฐานกับพระเจ้า ถึงความทุกข์ยากลำบาก อุปสรรค ปัญหาในชีวิต หนักเลย หนักถึงขนาดอาจารย์เปาโลบอกว่ามันเป็นหนามในเนื้อตลอดเวลา มันคงจะเจ็บปวดตลอดเวลา เจ็บปวดอย่างไร? เราไม่รู้ และอาจารย์เปาโลผู้ซึ่งสนิทกับพระเจ้าขนาดนั้น  มีความเชื่อขนาดนั้น อธิษฐานกับพระเจ้าบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าอธิษฐานถึง 3 ครั้ง ขอพระเจ้าทรงช่วยเหลือข้าพเจ้า ให้เอาอันนี้ออกไป”

            สมมติว่าเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ก็บอกว่า … “ช่วยรักษาให้หายหน่อยเถอะ ไม่ไหวจริงๆ เลย”

            แสดงว่ามันหนักมาก อธิษฐานถึง 3 ครั้ง แต่พระเจ้าตอบอาจารย์เปาโลว่า … “พระคุณของเราก็เพียงพอสำหรับเจ้า”

            พระคุณ คือตะกี้นี้ที่บอกว่า … “เราให้เจ้าบังเกิดใหม่แล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เจ้าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมตลอดไปชั่วนิรันดร์แล้ว นี่คือพระคุณที่เจ้าไม่ต้องทำอะไรเลย  พระคุณตรงนี้ มันเพียงพอสำหรับเจ้าแล้ว”

            แล้วตอบว่าอย่างไรอีก ตอบว่า … “ฤทธิ์เดชอำนาจของเรา การทรงสถิตของเรา จะสำแดงออกมาอย่างชัดเจน เป็นทวีคูณ ท่ามกลางความอ่อนแอ การทุกข์ยากลำบากของเจ้า”

            หมายถึงว่า … “เมื่อเจ้าประสบอุปสรรคปัญหาเหล่านั้น การช่วยเหลือของเรา ซึ่งเป็นการอัศจรรย์ เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจว่าเราสถิตอยู่กับเจ้า อยู่ภายในเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับเจ้านั้น ผู้คนรอบข้างจะได้เห็นชัดเจน” มันหมายถึงอย่างนั้น ตอนที่เราลำบาก ตอนที่เราประสบปัญหา พระเจ้าจะถูกทำให้เห็นชัดเจนเลย ในชีวิตของเรา ในชีวิตของเปาโล

            เปาโลเลยตอบใน 2 โครินธ์บอกว่า … “ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความปิติยินดีในความทุกข์ยากลำบาก”

            อ้าว! กลายเป็นอย่างนั้นอีก เห็นไหม? “ข้าพเจ้าจึงมีความปิติยินดีในความทุกข์ยากลำบาก” ก็คือ “ข้าพเจ้ามีความปิติยินดีในหนามในเนื้อนั่นแหละ  เพราะเมื่อไรที่ข้าพเจ้าทุกข์ลำบาก ในหนามในเนื้อนั้น ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าก็ปรากฎในชีวิตของข้าพเจ้ามากขึ้นอย่างนั้น คือเมื่อไรที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เจ็บปวด ข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง เพราะว่าพระองค์มาช่วยให้เห็นชัดๆ ชื่นใจว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย ข้าพเจ้ามีความมั่นใจมากขึ้นว่าพระเจ้าอยู่ในตัวข้าพเจ้า  พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย”

            ไม่ใช่ตัวเองเห็นอย่างเดียว คนรอบข้างก็ได้เห็นว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับเขาจริง จึงเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าสำแดงตัวพระองค์เองว่าอยู่กับคริสเตียนนั้น สำแดงตอนที่คริสเตียนตกทุกข์ได้ยาก ตอนที่ลำบาก ไม่ใช่แสดงตอนที่คริสเตียนมีความสุขดี สบายดี ไม่ใช่ เมื่อพระเยซูก่อนจะเดินไปที่ไม้กางเขน  ก่อนจะถูกตรึง อธิษฐาน 3 ครั้งเหมือนกัน สรุปจบว่าอย่างไร? จบว่า …

            “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย”

            คือเป็นไปตามแผนการของพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมอะไรไว้ ขอให้เป็นไปอย่างนั้น  และถามว่าดีกว่าไหม? พระเยซูขอพระเจ้าบอกว่าเปลี่ยนแผนได้ไหม? ไม่ต้องถูกตรึงบนไม้กางเขน ไม่ต้องสิ้นพระชนม์ ไม่ต้องยอมเสียสละชีวิต ตายบนไม้กางเขนได้ไหม? เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ไหม? เปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตรงนี้ ขอ 3 ครั้ง พระเจ้าบอกไม่ได้ ยืนยันตามแผนการเดิม  พระเยซูก็บอกโอเค ปรากฏว่าออกมาแล้ว ดีกว่าเดิมมากมาย ซึ่งพระเยซูไม่ทราบว่าจะดีขนาดนี้

            นี่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเราได้เห็นว่าข้อพระคัมภีร์นี้ เป็นข้อพระคัมภีร์ที่หนุนจิตชูใจคริสเตียนเป็นอย่างมากว่าให้เราสนิทสนมกับพระเจ้า  ให้เรารับรู้ว่าเราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก  และให้เรารับรู้ว่าเมื่อเราไม่มีความฟ้องผิดในจิตใจเราอย่างนี้แล้ว เรามีความมั่นคงว่าเราเป็นผู้เชื่อ เราชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว พระองค์ทรงรักเรา พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เป็นวิญญาณเดียวกันเลย สิ่งที่เราทูลขอ ถ้าเผื่อว่ามันตรงกันกับน้ำพระทัยพระเจ้า พระองค์ทรงให้เราแน่นอน 100% เลย แต่ถ้าไม่ใช่ พระองค์กำลังนำพาเราไปสู่ทางที่ดีกว่า เรายังเป็นเด็ก เรายังไม่เข้าใจหรอก เหมือนพ่อแม่ที่เลี้ยงลูก โดยเฉพาะช่วงโรงเรียนเปิดเทอมใหม่ๆ เห็นชัดเลย พาลูกเล็กๆ เข้าโรงเรียนใหม่ๆ เด็กอนุบาล ร้องห่มร้องไห้ กระจองอแงกันทั้งห้อง ทั้งโรงเรียนเลย 30 คน ร้องไห้กันหมด  เพราะเด็กๆ มีความรู้สึกว่าพ่อแม่เอาเขามาทิ้ง วิงวอนขอพ่อแม่ …

            “ไม่ไป”

            แล้วไปไหม? ไป เพราะแม่บังคับให้ไป เหมือนไหมล่ะ แล้ววันรุ่งขึ้น ไม่ไปๆ ไม่รู้กี่วัน? แต่ในที่สุด เมื่อเขาโตขึ้น เขาจะรู้ ถ้าวันนั้น ไม่ไป แล้วพ่อแม่บอกไม่ไปก็ไม่ไป ช่างมัน ป่านนี้จะเป็นอย่างไร? นี่แหละ เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ความมั่นใจในความชอบธรรมของเรา ที่ไม่มีความกลัวและฟ้องผิดในใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก ใน 1 ยอห์น 5:14-15 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า

        1 ยอห์น 5:14-15 “14 นี่คือความมั่นใจที่เรามี เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า คือถ้าเราทูลขอสิ่งใด ที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา 15 และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์”

            “จะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์” ถ้าเผื่อมันเป็นไปตามน้ำพระทัย  เห็นไหม? เพราะในบริบทนี้ มันเป็นตรงนี้ ถ้าเราเป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เราก็จะรู้ว่าเราขออะไร ก็ได้หมดแหละ แต่ได้ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหมาย คาดคิดนะ อาจจะได้ในวันเวลาที่เราไม่ได้กำหนดไว้ให้พระเจ้า  สมมติว่าเราบอกว่าสิ้นเดือนนี้ พระเจ้าอาจจะให้เรา 10 ปีข้างหน้าก็ได้ ดีกว่า อะไรแบบนี้

            ข้อความเมื่อสักครู่นี้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการได้รับการโปรดปรานจากพระเจ้าว่าพระเจ้าบอกว่า …

            “ดีมากเลย เธอทำอย่างนี้ดี ฉันเลยให้เธอ”

            ไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ที่มาจากการกระทำของตัวคริสเตียนเอง การกระทำ ยกตัวอย่างเช่น อย่างที่ตะกี้นี้บอก พระเจ้าไม่ใช่มองเรา แล้วมีความโปรดปรานให้เรา ในสิ่งที่เราทูลขอ เพราะว่าเรารบเร้า ร้อนรน ทูลขอไม่หยุดเลย ด้วยความเชื่อ ด้วยความต้องการของเรา  อธิษฐาน อดอาหารไม่หยุดหย่อน ที่เขาเรียกว่าเขย่าบัลลังก์พระเจ้า  อธิษฐานโต้รุ่งเลย มันไม่ใช่ เพราะเป็นอย่างนั้น แต่มันเป็นการดำเนินชีวิต ตามความจริงในจิตวิญญาณของเราว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราเป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ชีวิตของพระคริสต์ดำเนินอยู่ในเรา ทุกวันนี้ เราเดินไป ทุกลมหายใจเข้าออกของเรา นั่นคือชีวิตของพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น อะไรที่ทำไปแล้ว รู้สึกว่าไม่เป็นที่พอใจของเรา แต่ให้เราแน่ใจว่าพระคริสต์นำพาเราอยู่ ทุกสิ่งที่เราทำ ถ้าไม่ใช่การทำบาป  เป็นการกระทำภายใต้การนำของพระคริสต์ทั้งสิ้น เราต้องเชื่อตรงนี้ เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว

            ถ้าเรากำลังทำอาหารให้ลูก ให้สามี ดูแลบ้าน ดูแลทุกสิ่งอย่างนี้ เรากำลังทำในนามของพระคริสต์  ไม่ใช่ว่าเราต้องมาโบสถ์ มาประกาศข่าวประเสริฐ ไปช่วยประกาศข่าวประเสริฐ เราถึงจะทำเพื่อพระคริสต์ ไม่ใช่ ทุกลมหายใจเข้าออก แม้กระทั่งนอนหลับ เรานอนหลับ เราก็ทำในนามพระคริสต์ กำลังให้พระคริสต์ทำ ให้ใช้ร่างกายของเรา ยกเว้น ตอนที่เราทำบาป ตอนที่เรากำลังอิจฉา ริษยา โกหกเขา เรากำลังทำตามระบบของโลกนี้ ไม่ได้ตามพระคริสต์ เราถูกล่อลวงออกไป  แต่ถ้าเรากำลังเดินผิวปากอยู่ เรากำลังผิวปากในนามของพระคริสต์

            และพระองค์ประสงค์สิ่งใด น้ำพระทัยของพระองค์เป็นเช่นใด วิญญาณข้างในของเราก็ประสงค์สิ่งนั้น  นี่ข้อความตรงนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น  เพราะว่าเราเป็นเหมือนพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น พระคริสต์ประสงค์สิ่งใด เราเป็นเหมือนพระคริสต์ เราก็ประสงค์สิ่งนั้นเหมือนกัน โดยมีความรักในใจ ที่พระเจ้าใส่ลงมา เป็นฐานให้เราดำเนินชีวิต เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เชื่อและวางใจในพระองค์เสมอ  ในทุกสถานการณ์ ด้วยความรัก โดยการสำแดงออก โดยการให้ออกไป เหมือนพระคริสต์ ดำเนินชีวิตอยู่ บนโลกใบนี้  เหมือนกัน คือเรากับพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ นั่งอยู่ขณะนี้ ก็นั่งอยู่ในพระคริสต์กับพระคริสต์ เป็นชีวิตของพระคริสต์ ไม่มีตรงไหนเลย ที่เป็นตรงกลางว่าท่านกำลังทำด้วยตนเอง ท่านกำลังทำด้วยพระคริสต์ ท่านก็ทำด้วยระบบของโลกนี้ กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ไม่มีตัวเองหรอก มีแต่พระคริสต์ เชื่อพระคริสต์ เชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในตัว หรือจะเชื่อระบบในโลกนี้ กระแสของโลกนี้ ความคิดเก่าๆ ความคิดของระบบโลกนี้ ที่ส่งมา จะเชื่อตรงไหนเท่านั้น ข้อ 23 ต่อมา …

        1 ยอห์น 3:23 “พระบัญชาของพระองค์ คือให้เชื่อในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และรักซึ่งกันและกันตามที่ทรงบัญชาเราไว้”

            พระบัญชาตรงนี้ หลายคนก็เข้าใจผิด นึกว่าพระบัญชานี่คือบทบัญญัติต่างๆ ที่ให้เราทำตาม  พระบัญชานี้ไม่ได้หมายถึงบทบัญญัติของโมเสส หรือกฎต่างๆ ที่ต้องทำตาม ที่พระเจ้าวางไว้ ตอนนี้ไม่มีกฎระเบียบอีกต่อไป ให้ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น แต่สิ่งที่พระเจ้าพระบิดาต้องการอย่างเดียว คือต้องการให้เราวางใจ เชื่อในพระบุตร พระเยซูคริสต์เท่านั้น นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ เพราะว่าเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้มนุษย์หรือเรานั้น ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมตามที่พระองค์ต้องการได้ และทำให้เราสามารถรักซึ่งกันและกัน ในฐานะพี่น้องในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์

            การรักษาบัญญัติในข้อพระคัมภีร์นี้ คือรักษาความจริงตรงนี้ไว้ในใจว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ด้วยความเชื่อในใจว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว ฉันอาศัยอยู่ และดำเนินชีวิตอยู่ในความรักเหมือนพระคริสต์แล้ว”

            ตรงนี้ต่างหากที่ให้เราเก็บรักษาไว้ นี่คือความจริง อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่ารักษาไว้ ด้วยความคิดใคร่ครวญถึงข้อความเหล่านี้ อยู่เสมอๆ ถ้าฟังถ้อยคำพระเจ้าที่ไม่ตรงกับความจริงตรงนี้ เป็นข้อความที่แย้งเข้ามา ต้องอย่าฟัง ถ้าฟังไปแล้ว มันจะไขว้เขว ทำให้เราไม่มั่นใจในสิ่งที่เป็นความจริงตรงนี้ต่างหาก 1 เปโตร 4:8 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ …

        1 เปโตร 4:8 “เหนือสิ่งอื่นใด จงรักกันอย่างลึกซึ้ง เพราะความรักลบความผิดบาปมากมายได้ โดยการให้อภัย”

            ตรงนี้กำลังบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา ก็คือเมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ นอกจากเราจะเป็นวิญญาณเดียวกันแล้ว เรายังเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจในวิญญาณของเรา ชีวิตของเราจึงเป็นความรัก ดำเนินชีวิตด้วยความรัก โดยธรรมชาติ เราจึงอภัยให้กันและกัน แบบเสมอ ไม่มีความโกรธ เกลียดอยู่ในวิญญาณอีกเลย แม้แต่นิดเดียว 1 ยอห์น 3:24 สุดท้าย …

        1 ยอห์น 3:24 “ผู้ใดเชื่อฟังพระบัญชา ผู้นั้นก็อยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่ในผู้นั้น เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่ในเรา คือเรารู้โดยพระวิญญาณ ที่พระองค์ได้ประทานแก่เรา”

            เห็นไหมว่าอาจารย์ยอห์นเน้นตรงนี้อีกแล้ว ว่านี่คือสถานะทางวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียนจริงๆ แท้ๆ สถานะทางวิญญาณ เป็นอย่างนี้ “เชื่อฟังพระบัญชา” คือวางใจในพระเยซู คนที่เป็น คริสเตียนเชื่อฟังพระบัญชา คือเขาวางใจในพระเยซู เพราะว่าพระบัญชา คือจงวางใจในพระบุตร และรักซึ่งกันและกัน  พระบัญชา หรือกฎระเบียบ คำสั่งของพระเจ้า สำหรับคริสเตียน  ก็คือวางใจในพระเยซู จงวางใจในพระบุตร และดำเนินชีวิตด้วยความรักซึ่งกันและกัน เชื่อฟังพระบัญชา คือวางใจในพระเยซู และดำเนินชีวิตอยู่ในความรักของพระคริสต์  เป็นความรักที่เหมือนพระคริสต์

            เพราะฉะนั้น เราสามารถขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอๆ ได้ว่าขณะนี้ เดี๋ยวนี้ บนโลกนี้  เราอยู่ในพระคริสต์ พระองค์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์เป็นความรัก และเราก็เป็นความรักเหมือนพระองค์เลย ต้องมั่นใจตรงนี้ให้ได้ พระองค์เป็นผู้ชอบธรรม ดีพร้อม บริสุทธิ์ เราก็เหมือนพระองค์ คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเช่นเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ได้เริ่มต้นการงานดีในชีวิตของเราเรียบร้อยแล้ว  คือให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระองค์ ตอนที่เราเปิดใจต้อนรับเชื่อพระเยซู พระองค์ได้เริ่มต้นการงานดีในเราเรียบร้อยแล้ว พระองค์สัญญาว่าจะกระทำต่อไป จนกระทั่งสำเร็จในชีวิตของเรา คือเข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา ทั้ง 3 พระภาคเลย แล้วก็ดำเนินชีวิตไปกับเราทุกลมหายใจเข้าออก พระองค์จะกระทำชีวิตเราให้สำเร็จ โดยดี ตามแผนการของพระองค์ที่วางไว้ สำหรับเราในแต่ละคน ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าเป็นอะไร เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร? เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เรารู้ว่าพระองค์ทรงวางแผนการที่ดีไว้ สำหรับเราเรียบร้อยแล้ว โดยการเข้ามานำชีวิตของเรา แล้วพระองค์ทรงสัญญาว่ามันเป็นแผนการที่ดีที่สุด และเราเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงกระทำได้สำเร็จ จนกว่าจะถึงวันนั้น วันนั้น คือวันแห่งชัยชนะ วันแห่งการสิ้นสุด การดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ก็คือวันที่วิญญาณเราออกจากร่าง ได้รับร่างกายใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เอเมน

            เพราะฉะนั้น จิตใต้สำนึกของท่าน คิดเหมือนอย่างนี้หรือไม่? จิตใต้สำนึกของท่าน ควรจะคิดแบบนี้แหละ  พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! จงมองให้เห็นเถิด! “ความรักของพระคริสต์ได้ท่วมท้นอยู่ในใจของท่านแล้ว”

            เอเฟซัส 3:16-19 … “16 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าจากความไพบูลย์อันทรงเกียรติสิริของพระองค์ ขอให้พระองค์ทรงทำให้ท่านเข้มแข็งขึ้นด้วยฤทธานุภาพผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ภายในท่าน  17 เพื่อพระคริสต์จะสถิตในใจของท่านโดยทางความเชื่อ  และข้าพเจ้าอธิษฐานว่าเมื่อท่านหยั่งราก และตั้งมั่นคงในความรักแล้ว 18 ตัวท่านพร้อมกับประชากรทั้งหมดของพระเจ้า จะได้สามารถหยั่งถึงความรักของพระคริสต์ว่ากว้างยาวสูงลึกปานใด 19 และซาบซึ้งในความรักนี้ ซึ่งเหนือกว่าความรู้ เพื่อท่านจะบริบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้า”

            คริสเตียนผู้เชื่อได้รับความรักจากพระเจ้าแล้ว เพื่อส่งต่อให้ผู้อื่น ไม่ใช่พยายามรักผู้อื่นด้วยตัวเราเอง แต่เราเป็นผู้ที่ได้รับความรัก

จากพระเจ้า เข้ามาในวิญญาณและใจ และปล่อยให้ความรักที่อยู่ภายในนั้น ไหลผ่านออกมาเป็นการกระทำผ่านทาง การสั่งการของความคิดจิตใจที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นความคิด ที่เหมือนพระคริสต์เหมือนพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น ความคิดจิตใจที่ได้รับอิทธิพลการเปลี่ยนแปลง เป็นความคิดเดียวกันกับพระเยซูคริสต์มากเท่าไหร่ เราก็สามารถปลดปล่อยให้ฤทธิ์อำนาจความรักของพระเจ้าหลั่งไหลออกมา สั่งการบงการให้ร่างกายอวัยวะทุกส่วน สำแดงความรักของพระเจ้าที่เป็นความรักแท้นี้ออกไปในการดำเนินชีวิต ได้มากเท่านั้น

            ปัญหา คือแทนที่เราจะเป็นฟองน้ำซึมซับรับเอาความรักจากพระเจ้า เรากลับไปเป็นหนูถีบจักรที่จะปั่นเอาความรักแบบพระเจ้าออกมา ด้วยการพึ่งพาตนเอง ซึ่งเป็นภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย

            เคล็ดลับ คือให้ความคิดจิตใจของเราที่เหมือนแก้วน้ำ ได้ถูกเติมเต็มด้วยความรักของพระเจ้าในพระคริสต์เติมได้มากเท่าไหร่ ก็สามารถเทออกไปได้มากเท่านั้น

            อย่าลืมว่าเราเป็นเพียงแค่ภาชนะให้พระเยซูคริสต์ใช้งาน อย่างนี้หายเหนื่อยและเป็นสุข

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1490

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  ตุลาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 9 “คริสเตียนที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 9 ชื่อเรื่องว่า “คริสเตียนที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ”

            “ฉันได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ” ต้องว่าจริงๆ เพราะว่ามันมองไม่เห็น  เราต้องบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ ไม่ต้องรอให้ตายแล้วค่อยเป็น ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว เราได้เรียนรู้มา

            สรุป เราได้เรียนรู้อะไรมาบ้างแล้วในหนังสือ 1 ยอห์น 8 ตอนแล้ว เราได้เรียนรู้ว่าเริ่มต้น ยอห์นได้เป็นพยานเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์  เพื่อเป็นพยานให้กับคนที่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ ที่อยู่ท่ามกลางคริสตจักร ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย  ท่ามกลางคริสเตียน  นึกว่าตัวเองเป็นคริสเตียน   อ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียนด้วย   คือพวกนอสติก พวกเชื่ออะไรแปลกๆ ข่าวดี แต่ไม่เหมือนกับข่าวดีจริงๆ  แต่เป็นเรื่องของพระเจ้า ซึ่งอาจารย์ยอห์น ก็เลยเขียนมาแย้งให้เขาได้รู้ความจริง และเป็นพยานด้วยว่าสิ่งที่คุณเข้าใจผิดจริงๆ มันคืออะไร?  เพราะว่าอาจารย์ยอห์นเดินกับพระเยซูมาตั้งแต่บนโลกใบนี้ ตอนที่พระองค์ยังไม่ถูกตรึงบนไม้กางเขน จนกระทั่งถูกตรึง และเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว อาจารย์ยอห์นก็ยังเดินอยู่กับพระองค์อยู่ตอนนั้น ถึง 40 วัน จึงเป็นพยานว่าพระเยซูเป็นพระเมซิยาห์จริงๆ

            และขณะเดียวกันก็ชี้ให้คริสเตียน ที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ ในขณะนั้น  ได้รู้ถึงสถานะของตนเอง ในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อในพระเมซิยาห์ พระเยซูคริสต์ ตอนนี้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในขณะเดียวกัน คือชี้ให้เห็นถึงทั้ง 2 ฝ่าย ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าคนที่ไม่เชื่อ ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนที่แท้จริง เขาเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ และคนที่เชื่อพระเจ้าจริงๆ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ นั้น เป็นลักษณะอย่างไรในโลกวิญญาณ

            ยอห์นไม่ได้มาเขียนหนังสือ 1 ยอห์น เพื่อที่จะมาสอนให้คริสเตียน หรือคนที่ไม่ใช่คริสเตียนประพฤติ หรือกระทำสิ่งที่ดีๆ เพื่อที่จะได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  ไม่ได้มาสอนให้กระทำ  ไม่ได้มาสอนให้ทำดี พูดง่ายๆ  แต่มาประกาศข่าวดีว่าพระเยซูคริสต์ทำอะไรบ้าง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ ซึ่งเราเรียกกันว่าข่าวดี ข่าวดี คือท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  พระเยซูคริสต์กระทำให้สำเร็จ ทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ  มันบังเกิดขึ้น เพียงแต่ท่านเดินเข้าไปรับสิทธิของท่านเท่านั้น นี่คือหัวใจของการเรียนรู้ 1 ยอห์น และหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม และทุกเล่ม  เป็นอย่างนี้

            ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? สรุป ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ  พระเมสิยาห์ คือพระคริสต์ คือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเจ้าที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์  มาช่วยเหลือมนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป  ที่อยู่ในความบาป ที่เป็นคนบาป  ไม่มีคนไหนเลยที่ไม่ได้เป็นคนบาป ทุกคนเป็นคนบาปหมด  พระเจ้าสงสารและเห็นใจ และรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ชื่อพระเยซูคริสต์ สัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด ตั้งหลายพันปีแล้ว ให้ชื่อว่าพระเมสิยาห์  ให้รอคอยพระเมสิยาห์  พระเมสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่เป็นมนุษย์ เพื่อว่าจะเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง เพื่อจะได้เป็นแพะรับบาปให้มนุษย์ทั้งปวง  เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ จึงสามารถไถ่มนุษย์ได้  ด้วยพระโลหิตของพระองค์ที่บริสุทธิ์ เนื่องจากพระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่มีเชื้อบาปในพระองค์เลย  เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่มีบาปเลย พระองค์จึงสามารถเป็นตัวแทนของมนุษย์ เป็นแพะผู้รับบาปให้กับมนุษย์ ที่เป็นคนบาปอยู่ ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ นี่คือหัวใจของข่าวดี มีแค่นี้

            แล้วพวกนอสติก พวกนอกรีตที่มีความเชื่อแบบแปลกๆ ก่อนหน้านั้น  หรือขณะนั้น  ที่เป็นความเชื่อในข่าวดี ข่าวดีของเขาแย้งกับหัวใจของข่าวประเสริฐเมื่อตะกี้นี้ ที่ผมอธิบายสรุปรวมไว้ว่าเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นมนุษย์จริงๆ  100% พระคัมภีร์บอกตัวเองเป็นคนบาป ไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกทุกคนทำบาป เพราะข่าวดีของเขา เป็นข่าวดีปลอม เขาเชื่อแบบผิดๆ เพราะพวกนอสติกเขาเชื่อว่าทำอะไรก็เป็นบาปทั้งนั้น  มนุษย์ไม่มีทางทำบาปเลย แล้วพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้หรอก  เพราะสกปรก สิ่งที่มนุษย์ทำไป พระเจ้าไม่ได้คิดเป็นบาปเลย  แต่จริงๆ คือมันเป็นบาป นี่คือข้อแย้งที่ยอห์นได้มาประกาศให้กับพวกเขาได้รู้ ได้เข้าใจถึงความจริงของข่าวประเสริฐ  แล้วก็บอกว่าถ้าพวกท่านที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์  เพียงแค่เปิดใจนะ ยอมสารภาพ ยอมจำนนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ  และมาช่วยฉันที่เป็นคนบาปจริงๆ  และฉันขอสารภาพว่าฉันเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ขอพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงประทานให้นั้น  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประจำตัวของฉัน  แค่นั้นเอง ท่านก็ได้รับอภัยโทษความบาปผิดทั้งสิ้น และได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันที  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ท่านก็ได้มาเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมพ้นจากบาปทั้งปวง เกิดขึ้นทันทีเลยเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และต้อนรับข่าวประเสริฐ ซึ่งพระองค์กระทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขนนั้น แค่เปิดใจเท่านั้น

            นี่คือสรุปรวม  เพื่อว่าในขณะที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็ได้เป็นลูกพระเจ้าเลย  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ไม่มีบาปอีกเลย ทั้งวิญญาณและจิตใจเป็นเหมือนพระคริสต์เลย นี่ชี้ให้คนที่เป็นคริสเตียนแล้วได้รู้ว่าท่านเป็นขณะนี้เลย  อย่าให้ใครหลอกท่านว่าท่านยังไม่เป็น ท่านต้องกระทำอะไรบ้าง เพื่อให้ท่านสนิทกับพระเยซูคริสต์มากๆ เพื่อที่พระเจ้าจะได้รักท่านมากๆ  ท่านจะได้ไปสวรรค์เมื่อตายไปแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น อย่าถูกหลอก ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านบังเกิดใหม่ทันที  ณ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ณ บัดนาว  ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วทันที  และอธิบายให้ฟังว่าโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น ท่านสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์เลยทันที และพระเจ้า 3 พระภาค ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่านได้  ท่านและพระเจ้า และพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคได้เป็นหนึ่งเดียวกับท่าน ชีวิตท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน แค่นี้เอง แล้วบอกว่าการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ก็เพียงแค่รอคอยเท่านั้นเอง รอคอยวันที่จะพบกับพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  คือรอคอยวันที่จะจากโลกนี้ไป เพื่อเปลี่ยนร่างกายใหม่ เพื่อเป็นร่างกายที่เป็น เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายสวรรค์ เพราะขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านที่เชื่อ เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้วในโลกวิญญาณนั้น วิญญาณท่าน ใจท่านใหม่เอี่ยม  พระเจ้าทรงประทานให้ตั้งแต่วันที่ท่านรับเชื่อ เป็นวิญญาณและใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว บริสุทธิ์แล้ว ร่างกายท่านถูกชำระแล้วก็จริง แต่เป็นร่างกายเดิม  มันต้องตาย มันต้องสูญสิ้นไป เพื่อได้รับร่างกายใหม่ เพื่อว่าวิญญาณ และใจใหม่ที่บริสุทธิ์  สะอาดนั้น จะได้สวมกับร่างกายที่เหมาะสมกับเขา  ก็คือร่างกายนิรันดร์ ร่างกายแบบสวรรค์ เหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้น จากความตาย ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์กระทำการงานเหล่านี้ให้กับท่าน ท่านดำเนินชีวิตบนโลกนี้  ท่านก็รอคอยตรงนี้เอง นี่คือบทสรุปรวมของข่าวประเสริฐเหล่านี้ และข้อมูลที่อาจารย์ยอห์นได้เขียนข้อพระคัมภีร์นี้ โดยสรุปให้ฟังเท่านั้นเอง แล้วบางคนก็บอกว่า …

            “อ้าว! ถ้าเป็นอย่างนั้น เราบริสุทธิ์สะอาด แล้วทำไมเรายังทำบาปอยู่”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่า … “ไม่มีทำบาปแล้ว ไม่ต้องกลัว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด หมดจด ทั้งวิญญาณและจิตใจแล้ว ร่างกายได้ถูกชำระแล้ว พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่านแล้ว ท่านไม่ต้องกลัว ถ้าท่านผิดบาปไป ก็ได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว โดยโลหิตพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และพระองค์ทรงอธิษฐานแก้ต่างให้ท่านอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ในขณะนี้ว่าท่านบริสุทธิ์”

            “อ้าว! แล้วทำไมเรายังทำบาป”

            ท่านทำบาป เพราะว่าถูกล่อลวง โดยภายนอก ก็คือคนรอบตัวท่าน ระบบของโลกนี้ ซึ่งปกคลุมไปด้วยอิทธิพลของความบาป ความตาย ระบบของโลกใบนี้ คือกฎของความบาปและความตายคงอยู่ มันมีอิทธิพล มากระตุ้น มาล่อลวงให้ท่านคิดตามมัน แล้วก็เชื่อตามมัน ที่ก่อนนี้ ก่อนเชื่อพระเจ้า แล้วก็หลงพลาดไปทำ ตามความเคยชินเดิม  เรียกว่าทำตามมัน ทำบาป

            เพราะฉะนั้น ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านสะอาดบริสุทธิ์  หมดจดแล้ว ทั้งตัวท่าน  แต่ท่านยังทำบาปจริงๆ  สรุปแล้ว คริสเตียนทำบาปไหม?  ทำ เราก็ยังทำบาปอยู่ แต่พวกนอสติกบอกว่าไม่แล้ว เราทำอะไร ก็ไม่บาปทั้งนั้น  ใครบอกล่ะ เป็นคริสเตียนก็ยังทำบาปอยู่ แต่เราทำบาปไป เพราะเราพลั้งพลาดไป เผลอไป เชื่อการหลอกลวงของอิทธิพลของโลกใบนี้ ซึ่งเรียกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังต่างหาก ไม่ใช่ตัวเราทำ  ไม่ใช่ความคิดของเรา ความคิดของเราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ในขณะนี้  แต่ความคิดสกปรก ความคิดที่จะไปทำบาปนั้น มันความคิดจากข้างนอกเข้ามา มันไม่ใช่ความคิดของฉัน  ต้องยืนยันตามนี้ ต้องมั่นคงตามนี้

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็น จึงบอกว่าคริสเตียนจะไม่ทำบาปเลย  เพราะว่ามีเชื้อของพระเจ้า  เกิดจากหน่อเชื้อของพระเจ้า เกิดจากพระเจ้า เกิดจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาด และดีพร้อมแล้ว  ไม่มีทางทำบาปเด็ดขาด เอเมน เราต้องเอเมน ไม่อย่างนั้นมันก็จะมาหลอกเราอยู่เรื่อยๆ

            นี่คือความจริงที่อาจารย์ยอห์นพยายามชี้ให้เห็นทั้ง 2 ฝั่ง คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่อพระเยซูจะเป็นฝั่งตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมดเลย

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรได้รับการสอนอย่างไร? ถ้าตรงนี้ที่ผมพูดเป็นความจริงในพระคัมภีร์ คริสเตียนควรได้รับการสอนให้รับรู้ว่าเขาได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ใช่หรือไม่?  เขาควรจะได้รับรู้และเรียนรู้ว่าเขาเป็นใครแล้ว เขาได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้ ขณะนี้นะ  ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ทันที เรียนรู้ยิ่งเยอะ ยิ่งดี ไม่ใช่ให้เขารับการสอน และเรียนรู้ว่าเขาต้องประพฤติตัวอย่างไร?  จะต้องรักษาความรอดที่ได้มาจากพระเจ้าอย่างไร?  จะต้องทำตัวอย่างไรถึงจะได้ไปสวรรค์กับพระเจ้า? จะต้องทำตัวอย่างไรถึงจะได้เป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป? อยู่กับพระเจ้าตลอดไปได้?  จะต้องทำตัวอย่างไรถึงไม่สูญเสียความรอดในอนาคต ไม่ใช่ เขาควรจะเรียนรู้ว่าเขาได้เป็นใครแล้วในโลกวิญญาณ  ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ที่พระเจ้าทรงรักเขาดังแก้วตาดวงใจแล้วขณะนี้ บนโลกใบนี้  และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ต้องเรียนรู้ตรงนี้เยอะๆ ไม่อย่างนั้น ก็ถูกหลอกให้ไขว้เขว

            ครั้งที่แล้ว หลังจาก 8 ตอนแล้ว เราจบลงที่ 1 ยอห์น 3:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้  เพื่อเราจะได้ต่อเนื่องวันนี้ได้ …

        1 ยอห์น 3:9-10 “9 คนที่เป็นคริสเตียนได้บังเกิดใหม่ จากหน่อเชื้อของพระเจ้าบริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย จึงไม่มีทางทำบาป ตามธรรมชาติเลย นอกจากพลาดพลั้งถูกหลอก 10 ด้วยเหตุนี้แหละ  ใครเป็นลูกของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมาร ก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือคนที่ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม  ตามที่วิญญาณภายใน ได้เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะรักพี่น้องในพระคริสต์ รักพระคริสต์ เพราะอยู่ในครอบครัวฝ่ายวิญญาณเดียวกัน ได้บังเกิดใหม่จากหน่อเชื้อของพระเจ้า ตรงกันข้ามกับผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรม เพราะวิญญาณภายใน ไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรม แต่เป็นลูกหลานของมาร ก็จะเกลียดชังคริสเตียน และปฏิเสธไม่รักพระเยซูคริสต์ เพราะยังเป็นคนบาปยังไม่ได้เกิดใหม่จากพระเจ้า ยังฝึกฝนความบาป”

            ยอห์นชี้ให้เห็นถึงในโลกวิญญาณ ผู้ที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ กับผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างขาวกับดำ ไม่มีคริสเตียนที่เทาๆ คือคริสเตียนที่ทำดีตั้งเยอะเลย แต่ทำบาปบ้าง ไม่มี คริสเตียนจะไม่ทำบาปเลย เพราะเป็นหน่อเชื้อ เกิดจากพระเจ้านั่นเอง  แตกต่างกันสิ้นเชิง  เพราะว่าคริสเตียนบังเกิดจากวิญญาณของพระเจ้า  แตกต่างกับผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน  ยังไม่ได้บังเกิดจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น คนละขั้วเลย บังเกิดจากวิญญาณของพระเจ้า  หรือยังไม่เกิดใหม่จากพระเจ้า  แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย คือขาวกับดำ คริสเตียนอยู่ในความสว่าง อยู่ในความรัก อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในความจริง ไม่เป็นคริสเตียน วิญญาณอยู่ในความมืด อยู่ในความเกลียดชัง อยู่ในความบาป  อยู่ในความมุสา การโกหก ชัดเจน

            วันนี้เรามาต่อตอนที่ 9  ต่อจากครั้งที่แล้ว 1 ยอห์น 3:11-12 …

        1 ยอห์น 3:11-12 “11 นี่เป็นข้อความที่ท่านทั้งหลายได้ยินมาตั้งแต่แรก คือเราควรรักซึ่งกันและกัน 12 อย่าเป็นเหมือนคาอิน ผู้เป็นฝ่ายมาร และฆ่าน้องชายของตน ทำไมเขาจึงฆ่าน้อง ก็เพราะการกระทำของตนชั่วร้าย และการกระทำของน้องชอบธรรม”

            จำไว้ว่าพื้นฐานการเรียนรู้ ก็คือไม่ได้มาสอนให้ท่านทำ ตรงนี้อ่านแล้ว ชอบคิดว่าเรากำลังมาสอนให้เรารักซึ่งกันและกัน ไม่ได้มาสอนให้เรารักกันและกัน แต่มาบอกเรา มาชี้ให้เราได้เห็นว่าขณะนี้ วิญญาณเราเป็นอะไร?  วิญญาณของเราอยู่ในฝั่งรักซึ่งกันและกัน รู้จักกัน เป็นพี่น้องในพระคริสต์ วิญญาณบาปก็จะเกลียดชัง ต่อต้าน เป็นศัตรูกับวิญญาณชอบธรรม

            ตะกี้นี้ที่อ่าน 2 ข้อนี้  ก็คือวิญญาณที่บาป จะเกลียดชัง ต่อต้าน เป็นศัตรูกับวิญญาณชอบธรรม ของผู้ที่ชอบธรรม พูดง่ายๆ ความมืดเป็นศัตรูกับความสว่าง ชัดเจน คือขโมย ฆ่าและทำลาย ซึ่งเป็นของความมืด เป็นของมาร ต่อสู้ เป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับผู้ที่อยู่ในความสว่าง คือการให้ ความรัก และการเสริมสร้าง นี่ไม่ได้ชี้ให้ท่านไปทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น  ไม่ได้มาสอนท่านต้องทำตัวอย่างไร? ให้เป็นความรัก ไม่เกลียดชังคนอื่น เปล่า กำลังมาบอกสภาวะของวิญญาณของท่าน มันเป็นจริงๆ วิญญาณของท่านเป็นความรัก วิญญาณของท่านเป็นความสว่าง เห็นไหม?

            “โลก” ก็คือระบบของโลก คือระบบของคนบาป  ระบบของโลกที่ตกลงไปในความบาป  โลกเกลียดชังผู้ที่ถูกช่วยให้รอดจากบาปแล้ว เรียกว่าพวกคริสเตียน โลกเกลียดชังคริสเตียน โลกเป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะฉะนั้น ในโลกที่เรากำลังดำเนินอยู่นี้ ในโลกวิญญาณ จึงมีสงครามอยู่ เรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ ระหว่าง 2 พวก พวกหนึ่ง คือพวกที่เรียกว่าระบบของโลก  อีกพวกหนึ่งเรียกว่าพวกคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกหนึ่งเรียกว่าพวกมืด ต่อสู้กับที่เรียกว่าความสว่าง ผู้เชื่อหรือผู้ไม่เชื่อ ตรงกันข้ามกัน นี่เป็นความจริง เป็นสถานะในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้ เห็นไหม? ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการสอนว่าให้เราประพฤติตัวอย่างไรเลย ถ้าเราจับจุดความหมายผิดไป มันแปลผิด จะไม่เข้าใจเลย ตรงนี้สำคัญมาก ต่อไป 1 ยอห์น 3:13-14 …

        1 ยอห์น 3:13-14 “13 พี่น้องทั้งหลาย อย่าแปลกใจ ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่าน 14 เรารู้ว่าเราผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิต เพราะเรารักพี่น้องของเรา ผู้ใดไม่รัก  ผู้นั้นยังคงอยู่ในความตาย”

            พี่น้องทั้งหลาย ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ท่านไม่ต้องแปลใจเลยว่าโลกนี้ทำไมเกลียดชังท่าน ยิ่งอดีต ยิ่งชัดเจน ตอนที่เขียนอยู่นี้ คริสเตียนตอนสมัย 2,000 ปีก่อน ถูกข่มเหง ถูกเกลียดชังอย่างไม่มีเหตุผลมากมาย เยอะมากเลย ปัจจุบันก็มีเยอะแยะมากมายไปหมด ทั่วโลก  เขาเรียกว่าถูกข่มเหง ถูกรังแก ด้วยโลกนี้ ไปตามธรรมชาติวิญญาณ

            เรารู้ว่าเราพ้นจากความตาย พ้นจากอาณาจักรของความมืดนั่นเอง เรารู้ว่าโลกใบนี้มันเป็นความมืด เป็นความบาป อยู่ในระบบของคำสาปแช่ง ความบาปและความตาย  แต่เราเป็นคริสเตียน ถูกช่วยให้พ้นจากอาณาจักรของความมืดแล้ว อาณาจักรของความตายแล้ว เราเข้ามาสู่ชีวิตและแสงสว่างแล้ว เห็นไหม?  กำลังบอกคริสเตียนว่าตอนนี้เราอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในอาณาจักรของชีวิตแล้วนะ  เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่เป็นเครื่องหมายให้เราสังเกตได้ว่าเราอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในชีวิตหรือไม่? ก็คือให้เรารู้ว่าเราเป็นคริสเตียน บังเกิดใหม่แล้ว มีเครื่องหมาย คือเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรารักพี่น้องในพระคริสต์ รักคริสตจักร มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับพี่น้องในคริสตจักรทางวิญญาณ เรารักพระเยซูคริสต์ เอเมน

            นี่คือเครื่องหมายชัดเจน  เราอาจจะมองโลกวิญญาณไม่เห็น เราอาจจะมีความรู้สึกเฉยๆ หรือจับต้องอะไรไม่ได้เลย เรื่องความจริงเหล่านี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้รู้ ก็คือพอเรามาเป็นคริสเตียน เรารู้ว่าเราเริ่มต้นรักพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน พอรู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน รักแล้ว บางทีถูกหลอก ไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้หรอก พอบอกว่าเป็นคริสเตียน เราก็รักเขาแล้ว ขับรถผ่านไปที่ไหน แล้วเจอโบสถ์ เราก็รู้สึกว่าชอบใจ พอเราได้ยินเรื่องพระเยซูคริสต์ เราก็อยากฟังอีก ร้องเพลง เราก็นมัสการพระเยซูคริสต์อีก อะไรอย่างนี้  นี่คือเครื่องหมาย หลักฐานแรก  ที่ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ในความสว่าง เพราะเรารักพี่น้องของเรา  ผู้ใดที่ไม่รัก ผู้นั้นยังอยู่ในความตาย เห็นหรือยัง? ผู้ใดที่ไม่รักคริสเตียน ก็คือผู้ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นคริสเตียนในวิญญาณ เขายังอยู่ในโลกของความบาป ก็เป็นศัตรูต่อต้านกับความจริง คือคริสเตียนทั้งหลาย โดยไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความประพฤติเลย แม้แต่นิดเดียว ข้อต่อไป 1 ยอห์น 3:15 …

        1 ยอห์น 3:15 “ผู้หนึ่งผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้อง (ในพระคริสต์) ของตน ก็ย่อมเป็นผู้ฆ่าคน (ฆาตกร) และท่านทั้งหลายรู้แล้วว่าผู้ฆ่าคน ไม่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในตัวเลย”

            “ผู้หนึ่งผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้อง” ก็คือผู้ที่อยู่ในโลก  คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาไม่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในวิญญาณของเขา เขาไม่ได้เกิดจากเชื้อของพระเจ้า เขาไม่ได้เกิดจากเชื้อบริสุทธิ์ วิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า  เขาไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าอยู่ในใจเขา ใจเขา จึงเป็นใจที่ไม่มีความรัก โดยธรรมชาติ ก็คือใจที่เป็นความเกลียดชัง  เป็นศัตรูกับพระเจ้า  และกับลูกของพระเจ้า บนโลกใบนี้ ก็คือเป็นศัตรูกับคริสเตียน เข้ากันไม่ได้นั่นเอง

            พระเยซูตรัสว่า “ในใจมีความเกลียดชัง ก็เท่ากับฆ่าคนตาย” ถ้าท่านโกรธ เกลียดใคร ก็เท่ากับท่านฆ่าคนตาย  พระองค์กำลังพูดถึงสภาพของวิญญาณว่าเป็นเช่นไร? ไม่ได้พูดถึงความประพฤติ ไม่ได้พูดถึงการกระทำ แต่กำลังจะบอกว่าวิญญาณเป็นลักษณะใด? วิญญาณในใจเป็นคนบาป ก็เป็นคนบาป ไม่มีบาปเล็ก หรือบาปใหญ่ ไม่เป็นบาป ทำเฉพาะแค่เกลียดชังเท่านั้น ไม่ใช่ พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าในใจเป็นบาปอยู่ มันจะมีความเกลียดชัง แล้วความเกลียดชังนั้น เท่ากับฆ่าคนตาย ก็คือเป็นคนบาปเท่านั้นเอง  ทั้งหมดเป็นความบาป ความประพฤติไม่ได้เกี่ยวข้อง  ส่วนจะประพฤติอย่างไร? หรือไปเกลียดเฉยๆ หรือไปถึงกระทั่งทำร้ายเขา หรือไปฆ่าคนตาย  ก็ขึ้นอยู่กับถูกล่อลวงมากขนาดไหน? ในขณะที่เป็นคนบาปอยู่นั้น

            วิญญาณ ใจเป็นคนชอบธรรม ก็เป็นคนชอบธรรม ไม่มีว่าเป็นคนชอบธรรมเล็กหรือชอบธรรมใหญ่  ไม่มี เมื่อใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมเท่ากันกับใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะเปิดใจมาแล้ว 20 หรือ 30 ปี เราเพิ่งเปิดใจเมื่อวานนี้ หรือเมื่อตะกี้นี้ มีค่าเท่ากัน เป็นผู้ชอบธรรมเท่ากัน ถามว่าอาจารย์บอกเท่ากับใคร? มีความชอบธรรมเท่ากับพระเยซูคริสต์ พอใจไหม? มีใครสูงกว่านี้อีกไหม? ไม่มีแล้ว

            เพราะฉะนั้น ท่านมาเชื่อพระเจ้า สมมติว่าตอนนี้ท่านยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวท่านฟังแล้ว ท่านรู้สึกว่า “มันเรื่องจริง ฉันเชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์” ท่านยอมสารภาพบาปว่าท่านเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ขอพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัวของท่าน พอท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณจะเข้าไปสถิตอยู่ในตัวท่าน  เข้าไปทำการบัพติศมาผ่าตัดวิญญาณท่าน ให้ท่านได้บังเกิดใหม่ เข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้า และกลายเป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว และวิญญาณของคริสเตียนผู้เชื่อนั้น  จะเป็นความรัก เป็นชีวิตนิรันดร์ จากพระเจ้า ทันทีทันใดเลย จะเป็นชีวิตนิรันดร์ข้างในวิญญาณ และชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้น ท่านก็จะเป็นความรักทันทีในวิญญาณของท่าน

            เพราะว่าคริสเตียนเป็นความรัก เป็นอยู่ที่ไหน? ภายในใจของเขา เพราะฉะนั้น ความประพฤติบางครั้ง อาจจะไม่ตรงกับธรรมชาติ วิญญาณภายในก็ได้ ยังอาจจะมีความประพฤติที่เกลียด ไม่ชอบ โกรธ ซึ่งก็คือการทำบาป ยังทำอยู่ เพราะถูกล่อลวงจากอิทธิพลของบาปภายนอก ตัวท่าน มันส่งเข้ามาเป็นศัตรู อย่าตำหนิตัวเอง อย่าถล่มตัวเอง เพราะเรารู้ว่าเราเป็นคริสเตียน เป็นความรัก เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เรารู้แล้วอย่างนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ เราที่เป็นคริสเตียน เรารู้แล้วใช่ไหมตอนนี้ว่าความรักคืออะไร? คือตัวฉันที่เป็นอยู่ข้างใน ตัวฉันเป็นความรัก  และเราก็จะรู้ว่าความรักตรงนี้ ผู้ที่เป็นแบบอย่างให้กับเรา ก็คือพระเยซู เป็นตัวอย่างของความรักนี้ ความรักนี้ที่อยู่ในตัวเรา อยู่ในวิญญาณของเรา เป็นความรักที่เราไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ เป็นความรักที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความรักที่เสียสละเหมือนพระองค์

            และพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา ผู้เชื่อแล้ว ดังนั้น เราจึงเลียนแบบพระองค์ โดยรักพี่น้องที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ในวิญญาณ เหมือนอย่างที่พระคริสต์ได้ทรงรักเรา ต้องพยายามไหม? ไม่ต้อง ความรักอยู่ในตัวเรานี่แหละ เห็นหรือยัง? เหมือนพระเยซูที่รักเรา ก็สถิตอยู่ในเรา ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าให้เรายอมตาย เพื่อคนอื่น ให้เราสละชีวิตเพื่อคนอื่น พระเยซูคริสต์ยอมตายให้เราจริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้า แต่เราไม่ใช่พระเจ้า ตรงนี้ไม่ได้บอกให้เรายอมตาย

        1 ยอห์น 3:16 “เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร คือที่พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์ เพื่อเรา และเราควรสละชีวิตของเรา เพื่อพี่น้อง”

            คำว่า “เสียสละ” ตรงนี้ หมายถึงให้เรายอมฟังซึ่งกันและกัน ยอมจำนนต่อกันและกันด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เหมือนพระคริสต์ คือให้มีชีวิตอยู่ให้เห็นแก่ผู้อื่น เห็นคนอื่นดีกว่าตน หมายถึงตรงนี้ เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราไม่สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทำได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ 100% อย่างนี้หรอก แต่เราสามารถดำเนินชีวิต ฝึกฝนในการสำแดงความรักนี้ ออกมาจากวิญญาณของเราแก่ผู้คนรอบข้างได้ในทุกวัน ทุกเวลา ทุกเสี้ยววินาที ในการสำแดงความรักนี้ ในทุกสถานะ ไม่ว่าเราจะยากจน มี ไม่มีอย่างไร? ทุกข์หรือสุขอย่างไร? เราสามารถสำแดงความรักที่อยู่ข้างในนี้ออกมาได้ ในชีวิตของเราบนโลกในนี้ ซึ่งด้วยการเสริมกำลัง การนำ การช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสถิตอยู่ภายในเราตลอดเวลา คอยนำเรา ช่วยเราให้สำแดงความรักนี้ออกมา 1 ยอห์น 3:17-18 …

        1 ยอห์น 3:17-18 “17 คนใดที่มีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสน และกระทำใจแข็งกะด้าง ไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้า จะอยู่ในคนนั้นอย่างไรได้ 18 ดูก่อน  ลูกเล็กๆ ทั้งหลาย อย่าให้เรารักเพียงแต่ถ้อยคำและลิ้นเท่านั้น  แต่ให้เรารัก ด้วยการประพฤติ และด้วยความจริง”

            เมื่อกี้อาจารย์ยอห์นบอกแล้วว่าไม่ได้มาสอนให้เราประพฤติ มีทรัพย์สมบัติ แล้วให้พี่น้องที่ขัดสน อาจารย์ยอห์นกำลังจะชี้ให้เห็นความจริง ให้ใครเห็น? ให้คนที่แอบอ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียน เสแสร้งตัวเอง ก็คือพวกที่อยู่ท่ามกลางคริสเตียนแท้ทั้งหลาย  ก็คือพวกนอสติก พวกนอกรีต พวกที่เชื่อในข่าวดีแบบแปลกๆ ที่อาจารย์ยอห์นพูดถึงตั้งแต่เริ่มต้น 1 ยอห์น พวกนอสติก ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ผู้ที่เชื่อว่าตัวเองไม่เคยทำบาปเลยในชีวิต ในวิญญาณ ไม่ได้เป็นคนบาป พวกที่ยังคงเป็นศัตรูกับพระเจ้ากับคริสเตียน ในใจเกลียดคริสเตียน อยู่ตรงกันข้ามกัน แต่ภายนอก อยู่ต่อหน้า บอกว่ารัก ก็คือพวกไม่จริงใจ กำลังบอกพวกไม่จริงใจ จะมีลักษณะอย่างนี้ พวกที่ไม่จริงใจต่อคริสเตียน เพื่อหวังประโยชน์จากพวกคริสเตียน ที่หลงเชื่อ อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็น กำลังสอนให้ระวังพวกที่ไม่จริงใจ ที่จะเข้ามา เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย คือใคร?

            ยกตัวอย่างในปัจจุบัน ถ้าในอดีต คือพวกนอสติก  พวกที่ไม่เชื่อพระเยซู เข้ามา เพื่อจะดึงคนที่เป็นคริสเตียนจริงๆ ไปเป็นสาวกของเขา ไปเชื่อในลัทธิเขา มาดึงออกไป พอดึงไม่ได้ ก็เลยออกจากคริสตจักรไป ไม่อยู่ด้วยกันกับพี่น้องคริสเตียนจริงๆ นี่พูดถึงตอนที่เราเรียนมาก่อนหน้านี้ 8 ตอน มาหลอกเขา เหมือนในปัจจุบันก็มี อย่างเช่น พวกที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  ก็เข้ามาหลอกว่าเขาเป็นคริสเตียนเหมือนกันนะ อาจจะเข้ามาสังสรรค์ สามัคคีธรรมกับเรา ทางร่างกาย เข้ามารู้จักมักจี่กับเรา เข้ามาในคริสตจักร มารู้จักกับเรา มาเยี่ยมที่บ้าน  อย่างเช่น พยานพระยะโฮวาห์ เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่เขาเข้ามา ก็บอกว่าเป็นคริสเตียนเหมือนกัน เริ่มมาคุยให้ฟัง อันโน้นอันนี้ แต่ทั้งหมด เขาต้องการล้างสมองเรา ให้เราไปเชื่อแบบเขา เพื่อดึงเราออกไปจากความเชื่อแท้ๆ ตรงนี้

            ลักษณะเดียวกัน มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ 2,000 ปี ข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเริ่มต้นใหม่ๆ แล้ว เหมือนพวกนอสติก เป็นต้น เขามา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย  เพราะในใจเขาเป็นอย่างนั้น เพราะในใจเขายังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์เลย  เพราะถ้าเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเมสิยาห์ เขาต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ แล้วตัวเองเป็นคนบาป ต้องพึ่งพาพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์เป็นผู้เดียวเท่านั้น พระนามพระเยซูคริสต์ เป็นพระนามเดียวเท่านั้น ที่ทำให้ผู้คนรอด ไปหาพระบิดาได้ พระเยซูตรัสไว้อย่างนั้น

            “เราเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากเรา ไม่มีทางไปหาพระบิดาได้เลย”

            แต่เขาบอกว่าเขาไปหาพระบิดาได้ โดยผ่านทางอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ เขากำลังมาล้างสมองเรา ระวังให้ดี นี่พวกหน้าซื่อใจคดอย่างนี้ เป็นต้น เพราะในใจเขายังเป็นศัตรูกับพระเจ้า กับเรา คริสเตียน โดยธรรมชาติ ในใจเขายังเกลียดชังคริสเตียน ต่อหน้าบอกว่ารัก แต่เขาไม่จริงใจ ยังเสแสร้ง ระวังพวกที่ไม่จริงใจเหล่านี้

            เคยดูในยูทูปไหม?  ที่เขามีภาพ เรื่องจริงนะ เขาถ่ายไปในคริสตจักร ในโบสถ์  ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคริสเตียนเดินเข้ามา แล้วก็ไปอธิษฐานในวันธรรมดา ที่ไม่มีคนเยอะ  อธิษฐานด้านหน้า โดยวางกระเป๋าสตางค์ไว้ข้างหลัง เพราะว่าเขาไปในโบสถ์ พี่น้องคริสเตียนทั้งนั้น  เต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ วางกระเป๋าไว้ด้านหลัง แล้ววิ่งไปอธิษฐานด้านหน้า ตรงธรรมาส กล้องทีวีถ่ายไว้  ก็มีคนย่องมาหยิบกระเป๋า แล้วก็เดินไป  นี่มันเกิดขึ้นเยอะแยะ โบสถ์เรายังเคยเกิดขึ้นอย่างนี้เลย  เพราะฉะนั้น ก็ให้ระวังด้วย  เตือนในขณะนี้ เราระวังไหม? บอกให้ออกมาข้างหน้า วางไว้ตรงนั้นก็ได้  ระวังอาจจะหายไปก็ได้นะ ผมไม่รับผิดชอบ มันอย่างนี้ มันเรื่องจริง เราดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร? ถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริง ก็จะแสดงความรัก ความเมตตา ไม่ใช่เห็นด้วยตา หรือด้วยความประพฤติต่อหน้าอย่างเดียว คิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าในใจเป็นอย่างไร?

            พยานพระเยโฮวาห์ นั่นคือตัวอย่างอันหนึ่งที่ชัดเจน เขามารักเรา ซื้อของมาฝากเรา ไปเยี่ยมบ้านด้วย ยิ่งป่วยอยู่ ไปเยี่ยมใหญ่เลย ไปเยี่ยมมากกว่าพี่น้องคริสเตียนที่อยู่ในโบสถ์จริงๆ ด้วยซ้ำไป แต่ทั้งหมดในการเยี่ยมเยือน การซื้อของไปฝากนั้น เพื่ออะไร? เพราะรัก ข้างในใจไม่ใช่ แต่มนุษย์ถูกหลอกได้ เพราะรัก แต่จริงๆ เปล่า เพราะต้องการจะเปลี่ยนความเชื่อเรา เปลี่ยนความคิดของเราเท่านั้น ให้เป็นสาวก ให้เชื่อเหมือนเขาเท่านั้น อันนี้ก็ชัด

            เอาชัดกว่านี้ คือนักการเมือง มาช่วยเยอะแยะ มาแจกของเยอะแยะ นักการเมืองดีๆ ก็มีนะ  แต่กำลังพูดถึง ท่านก็รู้แล้ว พูดแค่นี้

            ถ้าเราพูดถึงข้างนอก ยิ่งชัดเจน นักธุรกิจที่ไปบริจาคเงินเยอะแยะมากมาย เขากำลังทำอะไร? เขากำลังหาผลประโยชน์ แต่ปากบอกว่าฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่แค่กับนักธุรกิจอย่างเดียว กับพวกเราทุกคน ก็เกิดได้ กับคริสเตียนก็เกิดได้

            คริสเตียนบางคนเพิ่งกลับใจใหม่ เข้ามาทำดีกับพี่น้องเยอะแยะมากมายเลย  นี่เป็นคริสเตียนจริงๆ นะ เพราะถูกหลอกไง ถ้าเขาทำบาป  ก็แสดงว่าถูกหลอก แต่ทำไปทั้งหมด เพื่อจะสร้างเครือข่ายทำมาหากิน  การค้าขาย ขายตรง หาสมาชิก แต่ไม่ใช่ว่าคนที่ทำมาค้าขายต้องตกใจว่ากำลังฟ้องผิด มันขึ้นอยู่กับในใจของท่าน ท่านทำได้ ทำไปเถอะ มันไม่ได้อยู่ที่ภายนอก ที่มองเห็นอยู่ มันอยู่ที่ในใจ มันทำเหมือนกัน

            พี่น้องบางคนเขาเอาของมาขาย ไม่ผิด  การกระทำไม่ผิด อยู่ที่ใจของคุณ คุณคิดอะไรกับพี่น้องของเรา  คุณตั้งใจจะให้ของดีไหม? คุณตั้งใจจะช่วยเหลือใช่ไหม? คำว่า “ช่วยเหลือ” ไม่ใช่ว่าคุณจะมาแจกของฟรีตลอดเวลา ไม่ใช่ ถ้าท่านต้องขายของ ก็ขายไป แต่ในใจท่าน เป็นอย่างไร? มันสำคัญ ตรงนี้มากกว่าว่าในใจคุณต้องการประโยชน์ส่วนตนมากกว่า หรือต้องการช่วยเหลือเขามากกว่า จากใจที่เกิดใหม่ หรือจากใจที่ไม่ได้เกิดใหม่ จากใจที่ต้องการขโมย ฆ่า และทำลาย  หรือจากใจที่ต้องการให้ เป็นความรัก ซึ่งมันแตกต่างกัน เพราะถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริงแล้ว  การจะแสดงความรัก ความเมตตาต่อผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นคริสเตียนที่เรามีกำลังเพียงพอ  มีทรัพยากรเพียงพอ ที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ ความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเรา ควรจะสะท้อนออกมา ในรูปแบบของการกระทำ ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เห็นแก่ผู้อื่น มากกว่าเห็นแก่ตนนั่นเอง เห็นไหม? ทั้งหมดนี้อยู่ที่ในใจของใครของเขา ไม่ต้องมาแอบมองกันว่าคนนี้ทำอันนี้ ข้างนอกมันมองไม่เห็น

            การแสดงความรัก การแบ่งปันทรัพยากร หรือของต่างๆ ให้กับผู้ที่ขัดสน เป็นการแสดงออกถึงความรักที่แท้จริง  ที่เรามีต่อพระเจ้า ต่อเพื่อนมนุษย์ และการแสดงความรักนี้ เป็นผลของการที่เรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ต่างหาก ซึ่งเป็นอิสระ ไม่ได้ถูกบังคับ  คริสเตียนมีธรรมชาติเป็นความรักเหมือนพระเจ้า ความรัก คือการให้ ในวิญญาณจึงหมั่นฝึกฝนความรักนี้  ฝึกฝนการมีเมตตาในการให้ออกไปจากใจ ที่เต็มไปด้วยความรัก ที่มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่ด้วยการฝืนใจ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากอดีตของเรา ซึ่งเป็นคนบาป มีธรรมชาติเป็นความโลภ เห็นแก่ตัว หมั่นฝึกฝนความโลภในใจ การเอาเปรียบผู้อื่นอย่างแยบยลจากใจเช่นเดียวกัน แยบยลเหมือนกัน แต่แยบยลในทางมืด พระเจ้าดูที่ไหน? พระเจ้าดูที่ใจ เราสามารถหลอกมนุษย์ได้  แต่หลอกพระเจ้าไม่ได้  เพราะพระเจ้าดูที่ใจ เราสามารถทำบาปที่ดูดีในสายตามนุษย์ได้

            บาปที่ดูดีในสายตามนุษย์ ยกตัวอย่าง เช่น บริจาคเงินมากมายด้วยความโลภ ความเย่อหยิ่งในใจ ต้องการชื่อเสียง ต้องการผลประโยชน์ เพราะการทำบาปในสายตาพระเจ้า มีทั้งแบบภายนอกดูดีกับบาปที่ภายนอกดูไม่ดี พระเจ้ามองแล้วเป็นบาปไม่ดี มนุษย์มองก็ไม่ดีด้วย มันมีทั้งบาปที่ดูดีและดูไม่ดี แต่ทั้ง 2 อัน ก็เป็นบาปทั้งคู่ และใครรู้? พระเจ้ารู้ และใครรู้อีกถ้าเป็นคริสเตียน? ตัวท่านเองต้องรู้ เมื่อท่านนึกถึงเรื่องนี้เมื่อไร? ท่านจะรู้ว่าสิ่งที่ท่านทำไป มันจริงใจไหม? มันใช่ไหม?

            พระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา จะช่วยเราฝึกฝนเรา ให้รู้จักสังเกตและแยกแยะภายในใจของเราว่าอะไรที่มาจากใจที่บริสุทธิ์ภายในจริงๆ อะไรที่เป็นความบาป การล่อลวง จากระบบของโลกที่เรียกว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ใช้อะไร? ฝึกอะไร? ฝึกฝนในการดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ไม่ใช่ตามเนื้อหนัง 1 ยอห์น 3:19-20 …

        1 ยอห์น 3:19-20 “19 ดังนี้แหละ เราจึงรู้ว่าเราอยู่ฝ่ายความจริง และทำให้ใจเราสงบ มั่นคง ในการสถิตอยู่ของพระเจ้า 20 เมื่อใดก็ตามที่ใจของเราเป็นทุกข์ ฟ้องผิด กล่าวโทษตนเอง เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง”

            ตรงนี้เน้นให้เห็นถึงความมั่นใจ ที่เรามีในความสัมพันธ์กับพระเจ้าว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วหรือไม่จริงๆ แม้ว่าเราจะรู้สึกทุกข์ใจ ฟ้องผิด หรือถูกกล่าวโทษ เห็นไหม? นี่คือการล่อลวงจากภายนอก ที่ใส่ความคิดให้กับเราว่า …

            “เราทำบาป เราเป็นคนไม่ดี เราฟ้องผิด เรารู้สึกถูกกล่าวโทษ เธอมันแย่ เธอมันไม่ดี เธอทำอย่างนี้ได้อย่างไร?”

            ในนี้กำลังบอกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าอารมณ์ ความรู้สึกของเรา  ที่ถูกโจมตีด้วยการฟ้องผิด พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเรา ก็คือรู้ว่าเราบริสุทธิ์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว รวมถึงตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ ในฐานะผู้เชื่อ พระองค์ทรงรู้หมดแล้ว ไม่มีอะไรปิดบังพระองค์ได้หรอก

            พระองค์บอกว่า … “ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีงามของเรา เหมือนเราเลย แต่สิ่งที่ท่านทำผิดไปต่างๆ เหล่านั้น มันถูกล่อลวงจากภายนอก เชื่อเราสิ”

            หมายถึงอย่างนั้น ไม่ต้องฟ้องผิด ยืนยันมั่นใจ จากภายในพระวิญญาณของเรา จะบอกว่าเราได้รับการอภัยและถูกทำให้ชอบธรรม ผ่านทางพระเยซูตลอดชั่วนิรันดร์แล้ว ใจของเราจึงสามารถมีความมั่นคงได้  เพราะสถานการณ์กับพระเจ้าขึ้นอยู่กับการงานของพระเยซูคริสต์ พระราชกิจของพระองค์ที่ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน  ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับความรู้สึก หรือการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว

            โรม 8:1 บอกว่าเราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายแล้ว เราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระจากกฎแห่งความบาปและความตาย  ไม่มีการกล่าวโทษใดๆ กับเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เรามั่นใจว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  จึงไม่มีการมากล่าวโทษ ไม่มีการมาฟ้องผิด ไม่มีการมาชี้เป้าว่าเราผิดอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว ต้องมั่นใจตรงนี้  เรามั่นใจได้ เพราะพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในเรา

            เพราะฉะนั้น การพิสูจน์ว่าเราเป็นคริสเตียนหรือไม่? คือเราต้องรู้ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเราหรือเปล่า? แต่เปาโลบอกอย่างนี้ว่าทดสอบได้ว่าท่านเชื่อพระเจ้าหรือไม่? มั่นใจในพระองค์หรือไม่ ก็คือท่านรู้หรือไม่ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน รู้ เอเมน ซึ่งความมั่นใจนี้ ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิต มั่นใจว่าเราเป็นที่รัก และได้รับความรัก การยอมรับว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว เอเมน

            ทดสอบแค่นี้ ถ้าท่านผ่านตรงนี้ ท่านก็จะไม่ฟ้องผิดอีกเลย พอจะฟ้องผิด ท่านก็รู้ว่ามาจากข้างนอก มันจะมาโจมตีเรา กั้นไว้เลย แล้วก็บอกว่า …

            “ฉันพิสูจน์แล้ว พระคริสต์สถิตอยู่ในใจ ฉันอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ เอเมน” … มีอะไรไหม?

            “อ้าว! ยังทำบาปอยู่เลย”

            “ไม่รู้ล่ะ พระวิญญาณสถิตอยู่ในฉัน เดี๋ยวพระเจ้านำฉัน สอนฉันเอง” … มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

            เราจะจบลงที่ 1 ยอห์น 3:2 …

        1 ยอห์น 3:2 “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้  บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์ ตามความเป็นจริง อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”

            เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ  เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร?  พูดกันตรงๆ  เรารู้ว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนี้ คือเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณสะอาดหมดจด ใจสะอาดหมดจด  เหมือนพระเยซูเลย ร่างกายเป็นร่างกายเดิมที่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจดแล้ว  ไม่มีบาปเลย แต่เรายังทำบาปอยู่ เพราะเราอาจถูกล่อลวงให้พลั้งพลาดได้เป็นเรื่องธรรมดา นี่มันอย่างนี้ ให้เรายึดมั่นตรงนี้ ดำเนินชีวิตอย่างนี้ มันก็เป็นอิสระ มันก็สบาย มันก็สู้กับโลกใบนี้ เรื่องความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างเดียว ซึ่งก็พอแล้ว ไม่ต้องมาสู้กับโลกวิญญาณอีก ในโลกวิญญาณฉันฉลุยแล้ว ดำเนินชีวิต เพื่อไปเปลี่ยนร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ เตรียมไว้ เพื่อวันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป  พอจากไปปุ๊บ จะเห็นพระเยซูปรากฏ พระเยซูก็เปลี่ยนร่างกายเดิมให้เป็นร่างกายใหม่ ให้เป็นร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่ท่านได้รับแน่นอน 100% ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครมาทำให้เป็นอื่นได้อีกแล้ว ดำเนินชีวิตโดยพุ่งเป้ามาที่นี่ แอ่นอกเหมือนนักกีฬาวิ่ง โน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อไปสู่เส้นชัย เขาไม่มองซ้ายมองขวา เขามองตรงไปเลย ตรงไปที่เส้นชัย  และเส้นชัยของเรา คือพระเยซูคริสต์ วิ่งไปเลย ซ้ายขวา คือทำผิดบ้าง ทำพลาดบ้าง ใครมาฟ้องผิดเรา ไม่สนใจ ฉันวิ่งตรงไปอย่างเดียว ไปที่พระเยซูคริสต์ เมื่อไปถึงเส้นชัย เห็นพระเยซูคริสต์เมื่อไร เมื่อนั้นฉันเป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว จากโลกใบนี้ ฉันเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์ เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  ตามความเป็นจริง และเห็นตัวเองเต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู ตามความเป็นจริง และจะครอบครองโลกใหม่ที่ไม่เหมือนใบนี้  โลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างใหม่ และสรรพสิ่งที่ในโลกใหม่ที่พระองค์ทรงสร้างให้ฉันเข้าไปครอบครองร่วมกับพระเยซู และร่วมกับธรรมิกชนทั้งหลาย ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “ฉันได้เกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์”

            ถ้าท่านแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของท่าน ที่พระเยซูคริสต์ ได้กระทำให้กับท่านบนไม้กางเขน ท่านจะได้รับสิทธินี้ทันที คือการบังเกิดใหม่เป็นคริสเตียนอยู่ในพระคริสต์

            และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ พิสูจน์ได้ ไม่ต้องรอถึงโลกหน้าหลังความตาย ซึ่งมันสายไปแล้ว

            ข่าวดีนี้เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ของพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก กระทำการอัศจรรย์ มนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย

            คริสเตียน! ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้มีชีวิตใหม่ ได้เป็นคนใหม่ ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            1 เปโตร 1: 3-4 … “3 สรรเสริญพระเจ้า  พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่  เข้าในความหวังอันยืนยง  โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก  อันไม่มีวันเสื่อมสลาย  เน่าเสีย  หรือเลือนหายไป  ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว  เพื่อพวกท่าน”

            พระเจ้าอวยพรครับ