คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2024
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 8
โดย วราพร คงล้วน
เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 3:13 …
กาลาเทีย 3:13 “พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้น จากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”
เราเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือกาลาเทีย ก็คืออาจารย์เปาโลกำลังจัดระบบระเบียบ ความคิดของผู้เชื่อในกาลาเทีย ให้สามารถเข้ามาอยู่ในลู่ของพระองค์อย่างชัดเจน เนื่องจากมีผู้คนมาสอนความจริงในพระวจนะของพระเจ้า สอนถ้อยคำของพระเจ้า แบบบิดๆ เบี้ยวๆ เพี้ยนไป ทำให้คนในคริสตจักรแห่งนี้ เกิดความไขว้เขว ในเรื่องของความรอด ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งคนเหล่านี้ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ได้รับความจริงในเรื่องราวของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้น เขาก็เชื่อตามที่อาจารย์เปาโลบอก พระเจ้าบอกว่าเขาเป็นอิสระแล้ว เขาได้รับความรอด เขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเยซูได้ทำให้เขาเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว นั่นเขาเชื่อเมื่อตอนต้นๆ
พอไปๆ มาๆ มีคนมาสอนเพิ่มว่าความเชื่ออย่างเดียวไม่พอ จำเป็นต้องมีการประพฤติด้วย ท่านต้องทำโน่นทำนี่ ทำนั่นเพิ่มพูนขึ้นมา เพื่อที่จะรักษาความรอดนี้ไว้ เพื่อทำให้ความรอดครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งคำสอนเหล่านี้ เป็นคำสอนที่ไม่ตรงตามถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเจ้า พระเยซู พระองค์บอกว่าพระองค์ตายบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ทุกอย่าง พระองค์ทำให้ครบถ้วน สมบูรณ์ ใครก็ตามที่มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับทุกสิ่งครบถ้วนสมบูรณ์ โดยที่เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก แค่เชื่อเท่านั้น เขาก็ได้รับสิ่งสารพัด พระพรนานัปการพระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเขาเรียบร้อยไปแล้ว
ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลยังคงเน้นย้ำว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่เรา ให้พ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ ก่อนหน้านั้น ในข้อที่ 10 บอกว่าแช่งทุกคนที่ไม่ได้ปฏิบัติตามทุกข้อทุกสิ่ง ที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ ซึ่งในยุคนั้นจะมีคำสอนที่ว่ามีความเชื่ออย่างเดียวไม่พอ เราจำเป็นจะต้องทำตามกฎบัญญัติด้วย ซึ่งอาจารย์เปาโลพยายามเน้นย้ำให้เห็นว่าถ้าใครก็ตาม คิดที่จะทำตามบทบัญญัติ เพื่อที่จะได้รับความรอด เขาจำเป็นจะกระทำตามบทบัญญัติทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลา ทุกวินาที คือไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีข้อผิดพลาดเลย เขาถึงสามารถได้รับพระพรจากพระเจ้า แต่ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้ ใครก็ตามที่พึ่งบทบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง มันเป็นกฎที่ตายตัวอยู่แล้ว เพราะพระเจ้าบอกว่าใครก็ตามที่ไม่ทำตามกฎบัญญัติทุกจุด ทุกขีด ก็ถูกสาปแช่ง
พอมาถึงข้อที่ 13 อาจารย์เปาโลยืนยันว่าพระเยซูคริสต์ได้ยอมถูกสาปแช่ง เพื่อพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกว่าใครก็ตามที่ถูกแขวนไว้บนต้นไม้นั้น ก็ถูกสาปแช่ง แล้วพระเยซูคริสต์ได้ถูกแขวนไว้บนต้นไม้นั้น เรียบร้อยไปแล้ว ตอนนี้อาจารย์เปาโลพูดถึง ณ เวลานั้น ก็คือพระเยซูคริสต์เพิ่งสิ้นพระชนม์หมาดๆ เลย อาจจะไม่กี่ปีเท่านั้นเอง เพิ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตาย
แต่มาถึงยุคของเรา คือ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว สิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ก็ยังเหมือนเดิม จริงๆ เรื่องของโลกวิญญาณ มันเป็นเรื่องของปัจจุบัน ที่ทุกวันนี้เราต้องพูดว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เพราะเรายังเป็นมนุษย์ เรายังต้องอธิบายให้ฟังว่ามันตั้งนานแล้วนะ ตั้ง 2,000 ปีที่แล้ว แต่ความเป็นจริงในโลกวิญญาณ คือสิ่งนี้มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ทันที ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้ตายแทนเขาเดี๋ยวนี้ทันที เขาได้รับความรอดทันที นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณจะไม่มีสถานที่ ไม่มีเวลา ไม่มีอะไรทั้งนั้น ที่พระเยซูทำ ก็คือทำทันทีให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย ใครก็ตามที่เชื่อสิ่งนี้ มันเกิดขึ้นกับชีวิตของเขาทันที นี่คือความจริง ที่อาจารย์เปาโลพยายามเน้นย้ำๆ ให้คนในยุคนั้น ชาวกาลาเทียรับรู้ และในขณะเดียวกัน เน้นย้ำให้พวกเราปัจจุบันที่ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว เน้นย้ำเรื่องเดียวกัน เรื่องเดิม ก็คือมันเกิดขึ้นทันที ในชีวิตของพวกเรา ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์ได้ตายแทนพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราก็ได้รับสิ่งนี้เรียบร้อยไปแล้วด้วย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้รับไปแล้ว พอถึงข้อที่ 14 บอกว่า …
กาลาเทีย 3:14 “พระองค์ทรงไถ่เรา เพื่อว่าพระพรที่มีแก่อับราฮัมจะมาถึงคนต่างชาติโดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าโดยความเชื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา”
ตรงนี้ ในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้สัญญากับอับราฮัม ตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าเรียกอับราฮัมออกจากบ้านเมือของตัวเอง ออกจากครอบครัวของตัวเอง แล้วพระองค์ก็บอกว่าจะอวยพรเขา อวยพรผ่านพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม ซึ่งพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมก็ไม่ได้หมายถึงคนเยอะแยะมากมาย แต่หมายถึงพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งเล็งถึงพระเยซูคริสต์
ฉะนั้น ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าคนที่เชื่อ ไม่ได้บอกว่าคนที่ประพฤตินะ ในพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลไม่เคยบอกว่าคนที่ประพฤติจะได้รับความรอด เพราะว่าไม่มีใครสามารถทำได้ แต่ใครก็ตามที่เชื่อ ก็จะได้รับพระวิญญาณ ตามพระสัญญา
เราจะได้รับพระวิญญาณตอนไหน? ตอนที่เราเปิดใจ วางใจ ยอมรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาบัพติศมาเรา เข้ามาทำขบวนการของการบังเกิดใหม่ ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา นั่นคือพระพร เป็นของขวัญ อย่างที่บอก พอเราเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ สิ่งทั้งหมด มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเราไม่สามารถลำดับเหตุการณ์ได้ว่าอะไรก่อน อะไรหลัง มันมาพร้อมๆ กันเลย เหมือนเป็นก้อน ที่ถูกส่งเข้ามาทันทีเลย
สิ่งที่มันเกิดขึ้น ทันทีที่เราวางใจในพระเยซูคริสต์ ในหนังสือยอห์น 3:16 มันเกิดขึ้นทันที ก็คือใครที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ในหนังสือยอห์นไม่ได้บอกว่าใครก็ตามที่ทำตามกฎบัญญัติ แล้วเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ไม่มี ใครก็ตามที่วางใจในพระเยซูคริสต์ ทันทีเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ชีวิตนิรันดร์ชนิดเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทันทีเลย ในโลกวิญญาณ ซึ่งในโลกวิญญาณ เราจำเป็นจะต้องเชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้า เพราะเราสัมผัสไม่ได้ เรามองไม่เห็น เราเชื่อพระเจ้าก็ยังเหมือนเดิม พฤติกรรมบางอย่าง เราก็ยังคงทำเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือวิญญาณข้างในของเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วทันทีที่เราวางใจในพระเยซูคริสต์ มันเกิดขบวนการของการผ่าตัดวิญญาณ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่ง ณ ปัจจุบันเราต้องใช้ความเชื่อเอา เราไม่สามารถที่จะมารับรู้ความจริงเหล่านี้ ด้วยเหตุผล หรือด้วยสติปัญญาของมนุษย์ มันทำไม่ได้ แต่เราเชื่อด้วยวิญญาณของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะเป็นผู้ยืนยันให้กับเราได้รับรู้ว่าตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณข้างในยืนยันนะ ไม่อย่างนั้น เราไม่กล้าเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาหรอก ใครจะกล้าเรียก ก่อนเชื่อพระเจ้า พี่น้องกล้าเรียกไหม? กล้าอธิษฐานไหม? …
“พระเจ้า พระบิดา ลูกอย่างโน้น ลูกอย่างนี้ ลูกขอ ลูกโน่น นี่ นั่น”
กล้าพูดไหม? ไม่กล้า เราเขินมาก พูดได้อย่างไร? เหมือนลิเกเลย ใครจะกล้าพูด แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข้างในวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันกับเรา ทำให้เรามีความสามารถเชื่อว่าสิ่งนี้มันเป็นจริง และมันเกิดขึ้นกับเราจริงๆ เราได้รับวิญญาณใหม่จากพระเจ้าจริงๆ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์จริงๆ เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ มันเข้าไปอยู่ในวิญญาณของเรา พอหลังจากเราเชื่อตรงนี้ นานวันเข้า เราอาจจะโดนคำสอนต่างๆ เข้ามา เขาก็จะไขว้เขว พอไขว้เขว มันก็จะเกิดปัญหา เราก็จะเริ่มสงสัย …
“เชื่ออย่างเดียวไม่พอ เราน่าจะทำโน่นบ้าง ทำนี่บ้าง”
ซึ่งมันไม่จำเป็นไง พระเจ้าบอก … “ฉันทำเสร็จแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรหรอก เธอแค่เชื่อเอา”
หลายคนอาจจะคิดว่า … “อ้าว! ไม่ต้องทำอะไร แล้วคริสเตียนทำอะไรล่ะ อยู่เฉยๆ หรือ?”
มันเฉยไม่ได้หรอก พี่น้องเชื่อไหมว่าคริสเตียนเฉยไม่ได้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ตามถ้อยคำของพระเจ้า พระองค์จะประกอบกิจอยู่ในเรา พระเจ้าจะเป็นผู้ทำงานในวิญญาณของเรา แล้วพระองค์ก็จะบอกเรา นำเราว่าวันนี้ พระองค์จะให้เราทำอะไร? เราแค่เงี่ยหูฟังอย่างเดียว เราไม่ต้องนำหน้าพระเจ้า ให้พระเจ้านำเราทุกวัน ทุกวันพระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเราในการทำงานของพระองค์ ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานเล็กงานน้อย งานฝอยอะไรก็แล้วแต่ แล้วแต่พระเจ้านำ บางคนอยู่ที่บ้าน เราอยู่ที่บ้านเฉยๆ แล้วพระเจ้าจะนำเราอย่างไร? นำได้นะ
ถ้าพี่น้องเป็นแม่บ้าน พระเจ้าก็จะนำท่านในการดูแลครอบครัว ดูแลลูก ดูแลหลาน ดูแลสารทุกข์สุกดิบของครอบครัว นี่คือหนึ่งของงานรับใช้นะ พี่น้องอาจจะคิดว่างานรับใช้พี่น้องต้องวิ่งมาที่โบสถ์ งานรับใช้พี่น้องต้องมาอยู่ทีมนมัสการ งานรับใช้พี่น้องต้องมาช่วยทำโน่นทำนี่ที่โบสถ์ ถึงเรียกว่างานรับใช้ แต่งานรับใช้จริงๆ มันอยู่รอบตัวเรา พระเจ้าสามารถใช้เราได้ทุกรูปแบบ วันหนึ่งพระเจ้าอาจจะทำงานในใจเรา พี่น้องคนหนึ่งป่วยนะ ในโบสถ์ของเรา แล้วพระเจ้าก็นำเรา มีความปรารถนาที่จะไปเยี่ยมพี่น้องของเรา นั่นแหละ คืองานรับใช้ แล้วเราก็ได้ไปหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน
ฉะนั้น งานรับใช้ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก พระเจ้าจะเป็นผู้นำเราเอง เราไม่ต้องพยายามที่จะขวนขวาย หรือพยายามที่จะเสาะหา หรือนั่งไล่ล่าเลยนะว่าวันนี้เราต้องทำอะไร? เราต้องไปหาใคร? เราต้องไปโรงพยาบาล? เราต้องไปอธิษฐานวางมือให้คนเจ็บคนป่วย ให้คนนั้นหายโรค พระเจ้าจะใช้เราแบบนั้นจริงหรือ? ไม่จริง พระเจ้าจะใช้เราแบบปกติ ธรรมดา ใช้ชีวิตประจำวันของเรานั่นแหละ แล้วพระองค์จะส่งใครก็ได้ ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา แล้วเราก็ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ตามส่วนนั้นแหละ เมื่อพระเจ้านำ แล้วเมื่อเราทำเสร็จ มันก็ไม่ได้เป็นความดีอะไรของเราเลย เราไม่ต้องยืดคอว่า …
“ฉันได้ทำ”
ไม่ใช่ เมื่อเราทำเสร็จ เราก็ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้โอกาสเรา ได้ทำส่วนนี้ ส่วนนั้น ในอาณาจักรของพระองค์ แต่อย่างที่บอก ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ มันไม่มีผลอะไรกับความรอดของเรา ไม่เกี่ยวกัน เรื่องของวิญญาณกับเรื่องของโลกนี้ มันไม่เกี่ยวกัน
ฉะนั้น การปฏิบัติบนโลกใบนี้ มันจะส่งผลของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าเราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณนำเรา ตามตัวตนแท้ๆ ที่อยู่ข้างในเรา ซึ่งเป็นความรักออกไป เราจะเก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้ คือเราได้รับสันติสุข
พี่น้องรู้สึกไหมว่าทันทีที่เราได้มีโอกาสทำอะไรให้ใคร แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยนิดเดียว ข้างในวิญญาณเรามีความสุข เป็นไหม? เรารู้สึกปลื้ม ไม่เห็นมีใครมาปลื้มกับเราเลย แต่เราปลื้ม เรามีความสุข หรือวันนี้เราไปเจอใคร ซึ่งไม่ต้องเป็นคริสเตียนก็ได้ บังเอิญอยู่ตรงหน้า อยู่บนรถเมล์ เขาไม่รู้จักที่ เขาบอกจะลงป้ายนี้ ช่วยบอกด้วยกระเป๋า ปรากฏว่าพอถึงป้ายกระเป๋าลืมบอก แล้วตะกี้เราได้ยินว่าเขาจะลงป้ายนี้ เราก็หันไปถาม …
“จะลงป้ายนี้ใช่ไหมค่ะ”
แค่นั้นเอง นั่นแหละ มีความสุขแล้ว เราได้ช่วยเขา ใช่ๆ ถึงที่ แล้วเขาก็ลงไป แทนที่เราไม่บอก ช่างเขาเถอะ เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา เขาก็เลยไปหลายป้าย แล้วเขาก็ต้องวิ่งกลับมาอีก เสียเวลา
นี่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถทำได้จริงๆ ซึ่งมันเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องพยายามไปสืบเสาะ หรือไปเที่ยวหาว่าวันนี้เราต้องไปรับใช้ใคร เราจะต้องไปสุ่มหาคนที่เราจะต้องปรนนิบัติรับใช้ ไม่ต้องนะพี่น้อง พระเจ้าจะนำเราเอง นี่คือภาพการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลาย
มีพี่น้องคนหนึ่ง เราไลน์คุยกัน …
“ต้องขอโทษจริงๆ ช่วงนี้ไม่ได้มาโบสถ์เลย รู้สึกผิดมากเลย”
“ทำไมถึงรู้สึกผิด”
“ช่วงนี้ต้องดูแลคุณแม่ คุณแม่ติดเตียง ไม่สามารถมาโบสถ์ได้”
ดิฉันบอกเขาว่า “นั่นคือหนึ่งของการรับใช้ แล้วไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะว่าอันนั้นแหละ คือส่วนที่ดีที่สุด”
การมาโบสถ์ไม่ได้เป็นเครื่องหมายบอกว่าเรารักพระเจ้า แต่การดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้าต่างหาก คือสิ่งที่จำเป็น ฉะนั้น ถ้าคุณแม่ป่วย ไม่สบาย ติดเตียง แล้วไม่มีคนดูแล เราจำเป็นต้องเป็นคนดูแล แล้วเรายืนกรานว่า …
“ไม่ได้วันอาทิตย์เราต้องมาโบสถ์”
ทิ้งคุณแม่ไว้แล้วกัน อยู่บ้านคนเดียว เรามาโบสถ์ แล้วเราค่อยกลับบ้าน เราทำเพื่ออะไร? เพื่อให้คนอื่นมองว่าเรารักพระเจ้า เรามาโบสถ์หรือ? มันไม่ใช่แน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าที่อยากให้เราเป็นอย่างนั้นด้วย
ฉะนั้น ให้พี่น้องเห็นภาพ ความเป็นจริงในการดำเนินชีวิตคริสเตียน ที่เราไม่ได้ถูกยึดด้วยกฎบัญญัติ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎบัญญัติที่บอกเราว่าต้อง ต้อง แล้วก็ต้อง
พระเยซูบอกว่าถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยท่านให้เป็นไทใช่ไหม? สมัยก่อนไม่รู้ความจริง เรามีความรู้สึกว่าขาดโบสถ์ไม่ได้ ดิฉันคนหนึ่ง รู้สึกว่าดิฉันขาดโบสถ์ไม่ได้ ขาดโบสถ์ ดิฉันรู้สึกผิดกับพระเจ้ามากๆ ไม่ว่าใครจะเป็นจะตายในบ้าน ปล่อยเขาไปก่อน ต้องมาโบสถ์ก่อน แล้วค่อยกลับไปว่ากัน มันเป็นความคิดที่พอย้อนกลับไปดู ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนั้น ทำไมเราถึงมีความคิดแบบนั้น ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ไม่ใช่น้ำพระทัย พระเจ้าไม่ต้องการให้เราทำอย่างนั้น เหมือนที่พระเยซูบอกว่า …
“เราประสงค์ความเมตตากรุณา เราไม่ได้ประสงค์เครื่องสัตวบูชา”
พี่น้องนึกภาพออกไหม? เหมือนพวกฟาริสีจับผิดพระเยซูคริสต์ว่ามาทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ ช่วยเหลือคนในวันสะบาโต แล้วก็มาจับผิดพระเยซูว่าพระเยซูทำผิดกฎนะ แล้วพระเยซูก็ยกตัวอย่างว่าถ้าวันสะบาโต พี่น้องมีวัวควายตัวหนึ่งตกบ่อ ท่านไม่รีบไปช่วยขึ้นมาหรือ? ปล่อยเขาไป ปล่อยให้ตายอยู่ในบ่อ มาโบสถ์ก่อน เป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ ท่านก็ต้องช่วยก่อน แล้วค่อยมาโบสถ์ทีหลัง หรือวันนั้น อาจจะไม่มีโอกาสมาโบสถ์ ก็ไม่เป็นไร?
ไม่ว่าพี่น้องจะมาโบสถ์หรือไม่มาโบสถ์ พระเจ้าก็อยู่ในท่าน พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน อยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าท่านอยู่ที่ไหน? พระเจ้าอยู่ด้วย แต่การมาโบสถ์ มันได้เสริมกำลัง มาโบสถ์ไม่ได้ทำให้ท่านเป็นลูกของพระเจ้าเพิ่มขึ้นเลย ไม่เกี่ยวกันเลยนะ ท่านก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ เหมือนเดิมเลย ไม่มีเพิ่มพูน แต่การมาโบสถ์ มันเป็นการหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน เวลาเรามาโบสถ์ เราเห็นพี่น้อง เรามีความสุขไหม? เห็นคนนี้มา เห็นคนโน้นมา แค่เห็น ไม่ต้องทักก็ได้ แค่ดิฉันเห็นบนเวที ดิฉันยิ้ม เห็นแล้วมีความสุข วันนี้พี่น้องคนนี้มา คนนั้นมา เราก็มีความสุข นี่คือการหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน แล้วการได้มาคริสตจักรของพระเจ้า ได้มาฟังถ้อยคำของพระองค์ ก็จะเสริมกำลังเรา พระองค์บอกว่าถ้อยคำของพระองค์เป็นฤทธิ์เดช ถ้อยคำของพระองค์ไม่ได้เป็นคำสอนแบบเหมือนเราสอนในโรงเรียน สอนต้องทำอย่างโน้น ต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ไม่มี พระเยซูไม่เคยสอนว่าต้องทำอะไร แต่พระเยซูสอนว่าควรทำอะไร? “ต้อง” กับ “ควร” ไม่เหมือนกันนะ ต้อง คือการบังคับ ต้องทำให้ได้ ไม่ทำก็ผิด แต่ควร หมายความว่าเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เราควรจะทำเลียนแบบเหมือนพระองค์ แต่ถ้าเกิดเราไม่ได้ทำ ก็ไม่เป็นไร เราก็ยังคงเป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิม แต่ถ้าเรายังถูกคลุมด้วยความรู้เดิมๆ ที่บอกว่าเราต้อง พอต้องปุ๊บ กลายเป็นว่าทุกอย่างที่เราทำให้พระเจ้า เราถูกบังคับมา ไม่ได้ทำจากใจ แต่พระเจ้าต้องการให้เรามาหาพระเจ้าจากใจ ใจข้างในเรา ไม่มีใครบังคับเรามา แต่เราอยากมา อยู่ไกลแค่ไหน เราก็อยากจะดั้นด้นมา บางอาทิตย์เราไม่ได้มา เราก็ไม่เป็นไร ก็ไปฟังย้อนหลังทูยูป พระเจ้าน่ารักมาก ให้เทคโนโลยีช่วยเราได้เยอะเลย สมมติว่าอาทิตย์นี้เราตกงานอยู่ แล้วมีบริษัทเรียกเราไปสัมภาษณ์ แล้วมาเรียกวันอาทิตย์พอดี ยังไงล่ะ …
“ไม่เอาเราต้องเอาพระเจ้าก่อน ทิ้งมันไป แล้วรอคราวหน้า”
รอคราวหน้า โอกาสอาจจะไม่มาถึงท่านก็ได้ พี่น้องนึกออกไหม?
ฉะนั้น พระเจ้าไม่ได้ไปไหน? พระเจ้าก็อยู่กับท่าน ไปกับท่าน อะไรที่ท่านสามารถทำได้ ท่านก็ไปทำ เมื่อพระเจ้าเปิดโอกาสแล้ว ท่านก็ไปสัมภาษณ์ สัมภาษณ์เสร็จ ท่านได้งาน มีโอกาส ท่านก็มาโบสถ์ ก็แค่นั้นเอง มันไม่ได้เป็นภาระที่ว่าท่านจะต้องถูกบังคับ ด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มนุษย์ตั้งขึ้น เพื่อบีบบังคับให้ท่านกลัวว่าถ้าวันไหนท่านไม่มาโบสถ์ พระเจ้าจะไม่พอใจ ถ้าวันไหนท่านไม่อธิษฐาน พระเจ้าจะไม่รักเรา หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ให้เรารับรู้ความจริงว่าไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำ พระเจ้าก็รักเราเหมือนเดิมเลย เท่าเดิมเลย คือพระเยซูคริสต์รักเราจนที่สุดแล้ว ตายแทนเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ว่าพี่น้องจะทำอะไรมากหรือน้อย ความรักของพระเจ้าเท่าเดิม ท่านไม่สามารถที่จะปฏิบัติ หรือทำอะไร เพื่อทำให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น หรือประพฤติ ปฏิบัติให้เราเป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น ยืนยัน พระเยซูคริสต์บอกว่าการเป็นผู้ชอบธรรม พระเยซูคริสต์ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ทันทีที่บังเกิดใหม่ เราเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริงที่เราจะต้องยึดไว้
กาลาเทีย 3:15-17 “15 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน พันธสัญญาของมนุษย์ เมื่อตกลงกันแล้วก็ไม่มีใครยกเลิกหรือเพิ่มเติมได้ฉันใด กรณีนี้ก็ฉันนั้น 16 พระเจ้าทรงทำพระสัญญาต่างๆ กับอับราฮัม และพงศ์พันธุ์ของเขา พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่า “แก่บรรดาพงศ์พันธุ์” อันหมายถึงผู้คนมากมาย แต่ระบุว่า “แก่พงศ์พันธุ์ของเจ้า” อันหมายถึงคนเพียงคนเดียว คือพระคริสต์ 17 ข้าพเจ้าหมายความว่าอย่างนี้ คือบทบัญญัติซึ่งมีมาภายหลัง 430 ปี ไม่ได้ล้มล้างพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ก่อนแล้ว และด้วยเหตุนี้ บทบัญญัติจึงไม่ได้ยกเลิกพระสัญญา”
สัญญาที่พระเจ้าให้อับราฮัม คือก่อนที่จะมีบทบัญญัติขึ้นมา ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าให้สัญญาว่า …
“เราจะอวยพรเจ้า พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะเป็นเหมือนเม็ดทรายบนทะเล เหมือนดาวบนท้องฟ้า ถ้าเจ้านับได้ พงศ์พันธุ์ของเจ้าก็จะเยอะขนาดนั้น”
นี่คือพระสัญญา พอจากนั้น ดำเนินมาเรื่อยๆ สัญญานี้ ก็ยังไม่สำเร็จ หลายสิบปีผ่านไป ก็ยังไม่สำเร็จ จนพระเจ้าอวยพรผ่านทางอิสอัค ซึ่งพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าจะให้ลูกตามพระสัญญา แล้วจากสายเลือดของอิสอัคเรื่อยๆ จนถึงพระเยซูคริสต์ พอถึงพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว แต่กว่าที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ พระสัญญาของพระเจ้าตั้งแต่ปฐมกาล ดำเนินมาหลายพันปี ซึ่งมนุษย์ในสมัยก่อนเขารอแล้วรออีก รอพระมาซีฮาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือคนอื่นที่คนต่างชาติเขาไม่รู้จักหรอก พระมาซีฮาห์คือใคร? พระเยซูคริสต์คือใคร? แต่มีกลุ่มคนที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ก็คือชาวยิว เขาจะรู้จัก เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ แล้วพระองค์ก็บอกให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ ให้รับรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะส่งพระมาซีฮาห์มา เพื่อช่วยเขาให้รอด แล้วให้คนยิวเหล่านี้ ยึดถือบทบัญญัติไว้ก่อน บทบัญญัติเป็นเงา ในอนาคตข้างหน้า ที่พระเยซูคริสต์จะมาทำบทบัญญัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งบทบัญญัติเหล่านี้ มาเพื่อที่จะบ่งบอกให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป ช่วยตัวเองไม่ได้ บทบัญญัตินี้ไม่ได้มาเพื่ออะไรเลย พระเจ้าต้องการที่จะให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป มนุษย์เกิดมาบาป เพราะบรรพบุรุษของมนุษย์ล้มลงในความบาป มี DNA บาป ต่อให้ทำดีขนาดไหน? เชื้อบาปก็ยังคงอยู่ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนแปลงได้ทางเดียว ก็คือต้องตาย แล้วไปเกิดใหม่เท่านั้นเอง ตายจากตระกูลบาป ไปเกิดใหม่ในตระกูลชอบธรรม มีวิธีเดียวเท่านั้น แล้ววิธีนี้ พระเจ้าก็วางแผนมานานมาก จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์
ฉะนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ไม่ได้เกิดจากเชื้อบาปของมนุษย์ แต่พระองค์เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระองค์เป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีบาปเลย แล้วเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกใบนี้ สามารถที่จะทำตามกฎบัญญัติทุกจุด ทุกขีดอย่างไม่มีการผิดพลาดเลย นั่นแหละ พระองค์จึงสามารถที่จะมาเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ ทำให้บทบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ในตัวของพระองค์เอง แล้วพระองค์ก็เดินไปที่แดนประหาร เพื่อที่จะสิ้นพระชนม์ แทนมนุษยชาติทั้งหมด ตามกฎที่พระเจ้าตั้งไว้
เราจำกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ตั้งแต่เริ่มต้นได้ไหม? ที่พระเจ้าบอกอาดัมว่า …
“เจ้าอย่ากินต้นไม้ต้นนี้ ถ้าเจ้าขืนกิน เจ้าจะตาย”
ค่าจ้างของความบาป คือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ คือความชอบธรรม พระพรนานัปการที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติ ฉะนั้น กฎอันนี้พระเจ้าล้มเลิกไม่ได้ เมื่อพระเจ้าตั้ง พระเจ้าเป็นผู้รักษากฎด้วย มีความตายอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถชดใช้หนี้บาปนี้ได้ แล้วใคร? มนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ ที่จะสามารถมาตายแทนกันได้ มีไหม? ไม่มี ทุกคนเป็นคนบาป หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง คือทุกคนติดหนี้หมด ไม่มีใครสามารถใช้หนี้ให้กับใครได้เลย เป็นหนี้เป็นสินกันทั่วโลกเลย ซึ่งต้องมีใครคนหนึ่งที่ไม่มีหนี้เลย แล้วเป็นมหาเศรษฐีด้วย อัครมหาเศรษฐีที่จะมีเงินเป็นกอบเป็นกำ สามารถมาใช้หนี้แทนมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ได้
พระเยซูไม่ได้มาใช้หนี้เป็นตัวเงิน แต่พระองค์มาใช้หนี้บาปด้วยชีวิตของพระองค์เอง ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถ้าไม่มีการหลั่งโลหิต ก็จะไม่มีการอภัยบาป ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น ก็คือชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต จากวันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง เอาเลือดมาปะพรม เอาหนังมาห่อหุ้มร่างกาย เป็นการชั่วคราว แล้วรอถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาบนโลกใบนี้ พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่ยอมเดินไปที่ไม้กางเขน ยอมหลั่งพระโลหิตของพระองค์เอง ตอนนี้พระองค์ไม่ได้ใช้เลือดสัตว์ ถ้าเป็นมนุษย์ ปุโรหิตที่พระเจ้าตั้งไว้บนโลกใบนี้ ปุโรหิตทุกคนจะใช้เลือดของสัตว์ที่บริสุทธิ์ ที่ไม่มีตำหนิ เอาเข้าไปถวายในอภิสุทธิสถานของพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปให้กับคนๆ นั้น คือแต่ละคนต้องพกสัตว์ของตัวเองมา ไม่มีใครแทนใครได้ สมัยก่อน ชาวยิวทุกคน ถึงปีหนึ่ง เขาต้องเดินทางไปที่เยรูซาเล็ม แล้วก็เอาสัตว์ไปตัวหนึ่งไปให้ปุโรหิต ไปถวายเป็นเครื่องบูชา เอาเลือดไปปะพรมพระวิหาร ซึ่งปุโรหิตจะเข้าไปทำงานปีละครั้งเดียวเอง เข้าไปในอภิสุทธิสถาน
ฉะนั้น เรื่องนี้ดำเนินมาหลายพันปีมาก จนพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วพระองค์เดินเข้าไปที่แดนประหารด้วยตัวของพระองค์เอง ใช้เลือดอันบริสุทธิ์ของพระองค์เอง ชำระล้างบาปของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ แล้วพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์หลั่งพระโลหิตครั้งเดียวเป็นพอ ก็คือไม่ต้องเหมือนกับปุโรหิตเอาเลือดสัตว์มาทุกปี ไม่ใช่ทุกปีอย่างเดียว มีบาปเบี้ยใบ้รายทางในชีวิตประจำวัน ก็ต้องเอาเครื่องบูชามาถวาย แต่เบี้ยใบ้รายทางไม่ได้เข้าไปในห้องอภิสุทธิสถาน ก็แค่ห้องวิสุทธิสถานเท่านั้น
มันเป็นขบวนการที่ยุ่งยากมาก สำหรับมนุษย์และสำหรับชาวยิวในยุคนั้น แต่เขาก็ภาคภูมิใจว่าเขาเป็นประชากรของพระเจ้า เขาได้รับสิทธิพิเศษ เขามีโอกาสมาถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า แต่ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็บอกว่าให้รอคอย วันหนึ่งพระองค์จะส่งพระมาซีฮาห์มา แล้วเมื่อพระมาซีฮาห์มา ก็คือตัวจริงมาแล้ว เงาก็ไม่ต้อง ระหว่างตัวจริงกับเงา อะไรสำคัญกว่ากัน ต้องตัวจริงสำคัญกว่าใช่ไหม? เมื่อพระเยซูคริสต์มา พระเยซูบอกว่าพระองค์ยอมหลั่งพระโลหิตครั้งเดียวก็จบ หมายความว่าวันที่พระเยซูคริสต์อยู่ที่ไม้กางเขน แล้วพระองค์ตะโกนดังๆ ว่า “สำเร็จแล้ว” แปลว่าขบวนการการไถ่ถอน ขบวนการที่พระเจ้าวางแผนมาหลายพันปี ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว
ต่อจากวันนั้น วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย พระเจ้าได้เปิดศักราชใหม่ เปิดหนทางใหม่ให้กับมนุษยชาติ มนุษย์มีตัวเลือกใหม่ ที่จะสามารถเลือกได้ว่ามนุษย์จะยังคงอยู่ที่เดิม คือในบาป ในอาดัม ในคำสาปแช่ง หรือมนุษย์เลือกที่จะย้ายที่อยู่ใหม่ หลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย เราเลือกได้ แล้วข่าวดีนี้ ก็ถูกประกาศไป ตั้งแต่กลุ่มชาวยิว มาจนถึงกลุ่มคนต่างชาติ ก็คือพวกเราทุกคน ซึ่งไม่ใช่เป็นยิว แต่เราเป็นอิสราเอล โดยความเชื่อ
เราได้เรียนรู้ ได้ยิน ได้ฟัง เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถูกประกาศมา 2,000 ปี จากบรรพบุรุษ มาจนถึงรุ่นของเรา ซึ่งเราได้ยิน หลายคนอาจจะได้ยินมาหลายสิบปี แต่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่ว่าเมล็ดพันธุ์แห่งข่าวดีนี้ ถ้าเราไม่ทิ้ง มันจะถูกหว่านลงไปในวิญญาณของเรา แล้วมันก็ค่อยๆ เกิดผลตามวาระของมัน เมื่อถึงเวลากำหนด ข้างในวิญญาณเรา เราไม่รู้ว่าพระเจ้าทำอย่างไร? ไม่รู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำอย่างไร? แต่เร้าจากข้างใน ไม่ใช่ข้างนอกนะ เร้าจากข้างในวิญญาณ ในเรื่องราวข่าวดีที่เราได้ยินได้ฟังมาหลายสิบปี มันถูกขุดขึ้นมา ทำให้เราต้องการพระเจ้า ต้องการพระเยซูคริสต์ โดยเราก็หาสาเหตุไม่เจอ ไม่รู้เหมือนกัน บอกไม่ได้ว่าทำไม? เพราะอะไร? แต่รู้อย่างเดียวว่าไม่ได้แล้ว เราต้องไปโบสถ์ ไม่ได้แล้ว เราอยากจะมีพระเยซูเป็นพระเจ้าส่วนตัวของเรา เราจะไปต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
เมื่อก่อนเราก็คิดว่าต้อนรับพระเยซูคริสต์ต้องมาโบสถ์เท่านั้น แต่ความเป็นจริง คือท่านอยู่ที่ไหน? ท่านก็ต้อนรับได้ ท่านอยู่ในบ้าน ท่านก็ต้อนรับได้ ท่านอยู่บนเตียงนอน ท่านกำลังจะนอน ท่านก็สามารถต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้เช่นเดียวกัน ก็คือท่านอธิษฐานกับพระเจ้าเลย คุยกับพระเจ้าเลย คุยแบบง่ายๆ ไม่ต้องมีราชาศัพท์ บังเอิญเราอ่านพระคัมภีร์ ราชาศัพท์เยอะ เราก็เลยติดคำราชาศัพท์
“พระเจ้า พระบิดา ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้า ลูก ข้าพระองค์”
อะไรอย่างนี้ เราก็ติด แต่ถ้าเราคุยกับพระเจ้า พระเจ้าเป็นพ่อเรา เป็นพ่อกับลูก เราเรียกพระเจ้าว่าพ่อก็ได้ เรียกพระเจ้าว่าปะป๊าก็ได้ เรียกพระเจ้าว่าแด๊ดดี้ก็ได้ คือมันเป็นความผูกพัน พี่น้องนึกออกไหม? เราก็อธิษฐานคุยกับพระเจ้าได้ ถ้าพี่น้องอยู่ที่บ้าน แล้วข้างในวิญญาณเร้าท่านว่า …
“ฉันอยากได้พระเจ้าองค์นี้ ฉันอยากได้จริงๆ ฉันฟังมาเยอะแล้ว ฟังมานานมากเลย แล้วทุกคนที่เชื่อพระเจ้าองค์นี้”
ทำไมเขาถึงมีความสุขอย่างนี้ เรารู้ได้อย่างไรว่าเขามีความสุข ขณะที่เขาเผชิญความทุกข์ยาก เขายังสามารถชื่นชมยินดีได้ มันเกิดอะไรขึ้น เขาก็อยากได้เหมือนเรานั่นแหละ พออยากได้ปุ๊บ พี่น้องไม่ต้องวิ่งมาโบสถ์ก็ได้ ไม่ต้องให้อาจารย์พาท่านอธิษฐาน ท่านอธิษฐานเลย …
“พระเจ้า พระเยซู ลูกอยากได้พระองค์เป็นพระเจ้าส่วนตัวของลูก ขอรับลูกเป็นลูกของพระองค์ด้วยอีกคนหนึ่ง เสด็จเข้ามาเถิดพระเจ้า” แค่นั้น เอง “ในนามพระเยซู”
แค่ท่านเปิดปาก ยอมรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านจะพูดอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องราชาศัพท์ พูดแบบภาษาง่ายๆ …
“พ่อจ๋า อยากได้พระองค์เป็นพ่อ” แค่นั้น จบ
พระเจ้าก็เข้ามาทำขบวนการของพระองค์ทันทีในโลกวิญญาณ อย่างที่ในพระคัมภีร์บอกว่า …
“นี่แน่ เราเคาะอยู่ที่ประตูใจของท่าน ถ้าใครได้ยินเสียงของเรา แล้วเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น เราจะเข้าไปกินข้าวด้วย แล้วเราจะอยู่ในเขา และเขาจะอยู่ในเรา”
นี่เป็นถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ ในหนังสือวิวรณ์ ซึ่งสมัยก่อน เราก็เข้าใจถ้อยคำข้อนี้ผิดมหันต์มาก เราเข้าใจว่าถ้อยคำข้อนี้ พูดกับคริสเตียน ผู้เชื่อเวลาทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกต้อง ทำบาป พระเยซูก็ระเห็จออกไปจากชีวิตของเรา แล้วพระเยซูก็ไปยืนอยู่ข้างนอก แล้วพระองค์ก็มาทุบประตูเรา …
“ฉันอยู่ตรงนี้ๆ เปิดประตูหน่อย ให้ฉันเข้าไปหน่อย”
มันไม่เกี่ยวกัน มันไม่ใช่เลย เมื่อเราเป็นผู้เชื่อ เมื่อเราบังเกิดใหม่ เมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา แยกจากกันไม่ได้ อย่างที่อาจารย์บอก ขิงดอง กระเทียมดอง อะไรดองทั้งหลาย คือดองแล้วดองเลย กลับไปที่เดิมไม่ได้ ก็คือพระเจ้าไม่ไปไหน? พระเจ้าบอกว่า …
“เราสถิตอยู่ในเจ้า เราไม่ทอดทิ้งเจ้า เราอยู่กับเจ้าจนกว่าจะสิ้นยุค”
นี่คือพระสัญญา ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกว่าพอท่านเผลอไปทำผิด หรือวันนี้ดื้อ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวตนแท้ๆ ของเรา วันนี้ทำอย่างนี้นะ พระเจ้าออกไปข้างนอกแล้ว ตอนนี้ เธอต้องคอยฟังเสียงพระองค์นะว่าเมื่อไร พระองค์จะมาเคาะประตู เธอรีบเปิดเลยนะ พระองค์จะได้เข้ามา มันไม่ใช่ เราถูกหลอกมานานแล้ว ดิฉันถูกหลอกมาหลายสิบปีแล้ว เพิ่งมารู้ความจริง พอรู้ความจริงเราก็มาบอกต่อกัน เราจะได้ไม่ถูกหลอกต่อ
ถ้อยคำนี้ พระเจ้าพูดกับคนที่ไม่เชื่อ พระเจ้าเคาะที่ประตูใจเขาแบบไหน? แบบทุกที่ ทุกหน ทุกแห่ง เมื่อเขาไปเจอ อาจจะเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง ญาติโกโหติกา วันดีคืนดีก็มาคุยเรื่องพระเยซูให้ฟัง เราฟังแล้ว เราอาจจะขัดใจบ้าง อะไรบ้าง ไม่รู้แหละ แต่พระเจ้าก็คอยเคาะๆ จนวันหนึ่งเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อ ข่าวดีของพระเจ้าเข้าไป วันหนึ่ง ข้างในวิญญาณเราเปิด เปิดจากข้างใน แล้วเราก็เปิดใจให้พระเยซู ที่พระเยซูบอกว่า …
“เมื่อท่านเปิดประตู เราจะเข้าไปหาท่าน แล้วเราก็จะไปกินข้าวด้วย”
การกินข้าวด้วย ถ้าไม่คุ้นเคย ไม่กินด้วยนะ เวลาเรากินข้าว เราชอบกินกับใคร? เรากินกับครอบครัว มีความสุข กินกับเพื่อนที่เรารัก เรามีความสุข ไม่ใช่อยู่ดีๆ เราไปเจอคนแปลกหน้า บนถนน แล้วเราก็ไปลากเขา …
“ไปๆ กินข้าวด้วยกัน”
ไม่มีใครทำแบบนั้น เราไม่มีความสุข ที่จะกินกับใครก็ไม่รู้ เราไม่รู้จัก อยู่ดีๆ ชวนเขามากินข้าว หรือเขามาชวนเรากินข้าว เราก็มองหน้า ใคร? ทำอะไร? ไม่ไปด้วยหรอก? อะไรแบบนี้ นี่คือธรรมชาติที่เรามองภาพตรงนี้
ฉะนั้น การที่พระเจ้าเข้ามาในใจเรา เข้ามากินข้าวกับเรา เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา แปลว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรายอมให้พระเจ้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา แล้วเราก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพระองค์ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ปัจจุบันพวกเราเป็นอยู่แล้ว ฉะนั้น ให้เรายึดในถ้อยคำตรงนี้ ยึดในความจริงตรงนี้ ที่เราจะไม่โดนหลอกว่าวันดีคืนดี ถ้าเราทำไม่ดี พระเยซูจะทิ้งเรา พระเยซูจะออกจากตัวเรา พระองค์จะไปนั่งรอเราข้างบน หรืออะไรก็แล้วแต่
เมื่อก่อนเขาพูดเล่น ถ้าท่านขับรถ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พระเยซูนั่งอยู่ข้างๆ ถ้าท่านขับ 90 พระเยซูไปนั่งเบาะหลัง ถ้าท่านขับเกิน 100 พระเยซูขึ้นไปรอท่านอยู่ข้างบน เมื่อก่อนนักเทศน์ชอบเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เป็นเรื่องที่เขาจะคุยให้สนุกสนาน ให้เรารู้สึกมันเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ต่อให้ท่านขับ 140 พระเยซูก็อยู่ในท่าน อยู่ในใจท่าน ไม่หนีท่านขึ้นไปรอข้างบน เพราะว่าอย่างไรพระเยซูก็อยู่ในท่าน ถ้ายังไม่ถึงเวลากำหนดของท่าน พระเยซูก็ไม่ต้องขึ้นไปรอท่านข้างบน แต่ถ้าพระเยซูจะรับท่านไป คือถึงกำหนดเวลาแล้ว ท่านจะต้องกลับบ้านจริงๆ พระองค์ก็มารับวิญญาณท่านขึ้นไปอยู่ข้างบน นั่นแหละ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราจำเป็นจะต้องรู้ และชัดเจนมากๆ พระเจ้าอวยพรค่ะ
**********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
เกิดโดยมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ เกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็เป็นวิญญาณบริสุทธิ์
มนุษย์เกิดมาโดยธรรมชาติก็เป็นมนุษย์ แม้จะอยู่ในครรภ์ก็เป็นมนุษย์แล้ว ไม่ต้องรอเรียนรู้จักการเดิน การปฏิบัติตัว ไม่ต้องรอจนอายุ 10, 20, 30, 50 ถึงจะเป็นมนุษย์ เพราะเกิดก็เป็นมนุษย์แล้ว
เกิดเป็นมนุษย์หนึ่งวัน กับเกิดมาแล้ว 10 ปีก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เป็นมนุษย์ที่เจริญเติบโตไม่เท่ากัน
เกิดเป็นมนุษย์ใหม่ๆ ยังไม่เจริญเติบโต ยังเป็นทารกเด็กเล็กๆ ประพฤติยังไม่สมกับการเป็นมนุษย์ แต่ก็เป็นมนุษย์อยู่ เห็นแก่ตัว อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ผู้ให้กำเนิดกันทุกคน แต่พอเจริญเติบโต ก็รู้ว่าตนเองสมควรทดแทนพระคุณ
เช่นเดียวกัน … เกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็สามารถทำอะไรที่ไม่สมกับการเป็นลูกพระเจ้าได้ เพราะยังเด็กอยู่ ต้องรอการสอน การเรียนรู้ และเจริญเติบโตในวิญญาณ
ธรรมชาติของการเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า
– เกิดมาเป็นผู้ให้อภัยเสมอ
– เกิดมาเป็นผู้ไม่โลภเลย
– เกิดมาเป็นผู้ให้แต่อย่างเดียว
– เกิดมาเป็นผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย
– เกิดมาเป็นผู้ที่มีความสงบ
– เกิดมาเป็นผู้ที่มีใจกล้า ไม่มีความกลัว
– เกิดมาเป็นผู้ที่ยุติธรรม
– เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม
– เกิดมาเป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดใด
– เกิดมาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย
– เกิดมาก็เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เป็นทายาท รับมรดกนิรันดร์จากพ่อแห่งฟ้าสวรรค์
เป็นผู้ที่พ่อแห่งฟ้าสวรรค์รักมากดังแก้วตาดวงใจ
พระเจ้าอวยพรครับ