วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1484

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  สิงหาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 6

โดย วราพร  คงล้วน

            เรายังอยู่ในหนังสือกาลาเทีย วันนี้เราจะมาเริ่มบทที่ 3 คราวที่แล้วที่เราเรียนกัน เรื่องของอาจารย์เปโตร ที่ไปทานข้าวกับคนต่างชาติ กำลังทาน สนุกสนานกันอยู่ พอเห็นคนยิวเข้ามา ด้วยความตกใจ ก็รีบลุกขึ้น แล้วก็ชะแว๊บหายไปเลย เป็นสิ่งที่อาจารย์เปาโลรับไม่ได้ ก็เลยว่ากันแรงๆ ไม่ได้ไปแอบว่า คือว่ากันต่อหน้าว่า …

            “ท่านเป็นคนยิว ท่านยังรู้ว่ามนุษย์ไม่มีความสามารถที่จะได้รับความรอด โดยผ่านทางบทบัญญัติ แล้วท่านยังจะมาทำท่าทางแบบว่าไม่ได้ ฉันกับคนต่างชาติอยู่ด้วยกันไม่ได้ คนละระดับ”

            ซึ่ง ณ เวลานี้ สิ่งที่อาจารย์เปาโลกำลังประกาศ คือโดยพระคุณความรักของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษยชาติ คนต่างชาติกับคนยิวที่ได้เข้ามา เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะอยู่ในสถานะเดียวกัน ก็คือเป็นประชากรของพระเจ้าร่วมกัน สามารถที่จะเป็นพี่น้องกัน แต่อาจารย์เปโตรทำอย่างนี้ เหมือนไม่ได้เป็นพี่น้องกัน ซึ่งมันขัดกับความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า  อันนี้อาจารย์เปาโลรับไม่ได้  ไม่ยอมด้วย ไม่ให้มันผ่านไป ต้องเคลียร์ให้เสร็จๆ เลยว่าทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ณ ปัจจุบัน ความรอดมาถึงทุกคนแล้ว ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาเป็นพี่น้องของเรา เขาอยู่ในสถานะเดียวกัน เขามีพระเจ้าองค์เดียวกันกับเรา ซึ่งเป็นพ่อของเราทั้งหลาย และมีพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพี่ชายใหญ่ของเรา ทุกอย่างมันเป็นไปตามนั้น อย่างที่เราเรียนรู้จากในหนังสือเอเฟซัส  ไม่มียิว ไม่มีกรีก ไม่มีทาส ไม่มีไท คือทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์

            พอมาถึงบทที่ 3 เรามาดูบทที่ 1 ข้อที่ 1

        กาลาเทีย 3:1-2 “1 “ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย! ใครสะกดท่านให้หลงไปเสียแล้วเล่า? ภาพพระเยซูคริสต์ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ก็ชัดเจนอยู่ต่อหน้าต่อตาท่าน 2 สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากรู้จากท่าน  คือท่านได้รับพระวิญญาณ โดยการทำตามบทบัญญัติ หรือโดยการเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน?”

            แปลว่าตรงนี้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในกาลาเทีย ตั้งแต่บทที่ 1 ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าใครก็ตามที่มาประกาศข่าวประเสริฐอื่น นอกเหนือจากที่อาจารย์เปาโลประกาศไว้แล้ว ให้คนนั้นถูกสาปแช่ง ไม่ว่าคนนั้นจะใหญ่มาจากที่ไหน? ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์หรือใครก็ตาม  ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่น ขอให้เขาถูกสาปแช่ง

            ฉะนั้น ตรงนี้แปลว่ามีผู้คนมาประกาศข่าวประเสริฐอื่นให้กับชาวกาลาเทีย แล้วไม่เพียงแต่ประกาศข่าวประเสริฐอื่นเท่านั้น ชาวกาลาเทียเชื่อด้วย  แล้วก็ไปทำตาม พอเชื่อและไปทำตาม อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่าท่านโง่ถึงขนาดนี้ ใช้คำว่า “โง่” เลยนะ ฉลาดน้อยไปหน่อย อะไรประมาณนี้ แต่โง่จริงๆ เพราะว่าข่าวประเสริฐที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติ ที่อาจารย์เปาโลประกาศ คือข่าวประเสริฐเป็นพระคุณ

            “พระคุณ” หมายความว่ามนุษย์ทำเองไม่ได้  แล้วก็ไม่สามารถทำได้ด้วย ไม่ว่าการประพฤติดีใดๆ ตามกฎบัญญัติทุกอย่างที่พระเจ้าตั้งไว้ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถประพฤติได้เต็ม 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า แปลว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถใช้วิธีการประพฤติปฏิบัติตามบทบัญญัติ หรือถ้าไม่ใช่ชาวยิว ไม่รู้จักบทบัญญัติ คือทำดี ประพฤติดีตามกฎที่เขาได้รับมา เพื่อไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ ซึ่งตรงนี้ไม่มีใครทำได้เลย

            แล้วอาจารย์เปาโลเลยถามว่าอยากจะรู้จริงๆ ว่าพวกท่านรับพระวิญญาณ โดยการประพฤติใช่ไหม? หรือว่ารับโดยความเชื่อที่ท่านได้ยินการประกาศข่าวดี ผ่านทางอาจารย์เปาโล ข่าวดีนี้ คือพระเจ้าได้ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ซึ่งเป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า เป็นผู้เดียวที่เกิดบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีเชื้อบาปเลย  แล้วเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกส่งมา เป็นผู้ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาปว่าจะส่งพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับมนุษยชาติ พระเจ้าผู้นี้ คือพระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ และมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนที่เมื่อกี้เราทำมหาสนิท ก็คือพระเยซูคริสต์ยอมสละพระองค์เอง ให้มนุษย์นำไปตรึงบนไม้กางเขน ยอมหลั่งพระโลหิตของพระองค์ จนถึงเลือดหยดสุดท้ายของพระองค์

            แล้วพี่น้องลองคิดดู พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ยอมละวิญญาณของพระองค์เอง ไม่มีใครฆ่าพระเยซูคริสต์ได้ พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าพระเยซูไม่ยอม เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ยอม การยอมของพระเยซูคริสต์ต้องใช้พลังมหาศาลมาก ทำไมเรารู้ว่าใช้พลังมหาศาล เราเห็น หลังจากที่พระเยซูคริสต์ทำมหาสนิทกับสาวกแล้ว ร้องเพลง “วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะชื่นชมยินดี” แต่โดยความเป็นมนุษย์ พี่น้องนึกออกไหม?  ณ เวลานั้น พระเยซูยังเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์อยู่ มีความกลัวอยู่ พระองค์กลัวมากๆ เพราะพระองค์รู้ทุกอย่าง รู้สิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ รู้ว่าต่อแต่นี้ไป อีกไม่กี่นาที พระองค์จะต้องไปเผชิญกับอะไร?  กลัวขนาดที่อธิษฐานกับพระเจ้า เหงื่อออกมาเป็นเลือด อธิษฐานกับพระเจ้าถึง 3 ครั้ง

            “ไม่ไปได้ไหม พระองค์เจ้าข้า ให้ถ้วยนี้เลื่อนไปได้ไหม? ไม่อยากไป มันทรมาน”

            ชนิดที่พระเยซูเป็นมนุษย์ จะรู้ว่ามันเจ็บ มันปวด มันทรมาน และที่ทรมานมากกว่านี้ คือพระเยซูคริสต์จะต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้าพระบิดา ช่วงระยะหนึ่ง ตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  จนถึงวันที่ 3 ที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย คือด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ชุบให้พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย และที่ทรมานมากกว่านี้ คือพระเยซูคริสต์จะต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า ช่วงระยะหนึ่งตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน จนถึงวันที่ 3 ที่พระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  คือด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย

            ฉะนั้น การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์มีความหมายมากๆ สำหรับมนุษยชาติ ถ้าพระเยซูคริสต์แค่หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระล้างบาปของเราเท่านั้น มนุษย์ก็ได้รับการยกโทษบาปเฉยๆ  แต่มนุษย์จะไม่สามารถเป็นเหมือนพระเจ้า คือไม่สามารถที่จะบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ก็แค่ได้รับการยกโทษ มนุษย์ก็ทำผิดแล้วผิดอีก ก็ยกโทษแล้วยกโทษอีก ก็ไม่มีผลอะไร? เพราะว่าวิญญาณของมนุษย์ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ในอาดัม อยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง

            พระเยซูคริสต์จำเป็นต้องยอมละวิญญาณของตัวพระองค์เอง คือยอมตายบนไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เพื่อว่ามนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ จะได้ตายพร้อมกับพระองค์ วิญญาณเก่าที่เป็นบาปจะได้ถูกนำไปไว้กับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน และตายด้วยกัน ถ้าวิญญาณเก่าของมนุษย์ไม่ตาย มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ นี่เป็นขบวนการ เป็นแผนการที่พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป แล้วแผนการนี้ พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้ร่วมมือกับพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ต้องยอมด้วย เหมือนกับพวกเรา เมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ได้บังคับเรา เราต้องยอม ด้วยตัวของเราเองว่ายอมให้พระเจ้าทำงานในชีวิตของเรา  ยอมที่จะทำตามสิ่งที่เราได้บังเกิดใหม่ ธรรมชาติใหม่ที่มันเป็นตัวตนของเราแล้ว เรายอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนของเรา เพื่อที่จะส่งผลของการบังเกิดใหม่ของเราออกไปให้ผู้คนได้สามารถเห็นได้ ตรงนี้เป็นภาพที่พวกเราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ว่าถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ตาย เราก็ตายไม่ได้ คือตัวเราเองตายอยู่ในบาปแล้ว ตายนิรันดร์เลย หลังจากโลกนี้สลายไป วิญญาณออกจากร่าง เราก็ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ในบาป  แต่เพราะพระเยซูคริสต์ยอมตาย  พระเจ้าจึงสามารถนำตัวเก่าของเราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ตายไปด้วย เมื่อตัวเก่าของเราตายปุ๊บ ฝังกับพระเยซูคริสต์ แล้วเราเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็คือบังเกิดใหม่ ด้วยพระสัญญาใหม่ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติ พระเจ้าสัญญาว่า …

            “เราจะให้ใจใหม่กับเจ้า เราจะให้วิญญาณใหม่กับเจ้า  แล้วเจ้าจะเป็นประชากรของเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า”

            นี่คือพระสัญญาในพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะทำ และสิ่งนี้ได้ทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ วันที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย

            ฉะนั้น มนุษย์ทุกคนมีทางเลือกใหม่ เลือกที่จะยอมให้พระเจ้าย้ายเราจากในอาดัม จากความบาป จากคำสาปแช่ง จากการไม่มีพระเจ้านิรันดร์กาล ย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ทันทีที่เราย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  แล้วเราได้ตามพระสัญญา ก็คือเราได้รับวิญญาณใหม่ ได้รับความคิดจิตใจใหม่ที่พระเจ้าให้ใหม่เลย ณ วันนี้ ผู้เชื่อทุกคน พวกเราทุกคนจำตรงนี้แม่นๆ ก็คือตัวตนของเราจริงๆ ไม่มีบาปเลย  อย่าให้ใครมาใส่ความเรา หรือใส่ความคิดลงมาว่า …

            “เธอยังบาปอยู่เลย เธอยังทำโน่นนี่ไม่ถูกต้อง

            เราต้องยืนกรานตามถ้อยคำของพระเจ้าว่า … “ฉันไม่มีบาปแล้ว ตัวบาปเก่าของฉันตายไปกับพระเยซูคริสต์แล้ว ณ เวลานี้ ฉันเป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์เลย”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกกับเรา ดังนั้น หลังจากที่ผู้เชื่อได้เปิดใจต้อนรับเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือครบถ้วน สมบูรณ์ ใครก็ตามที่เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก พระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องพยายามที่จะทำเพิ่ม เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น  ไม่ต้อง พระเจ้าบอก …

            “เธอชอบธรรมแล้ว”

             เราไม่จำเป็นต้องพยายามตะเกียกตะกาย ทำอะไรก็ตาม เพื่อให้เราสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไม่ต้อง เพราะว่าพระเจ้าทำให้เราเสร็จสิ้น สมบูรณ์แล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป๊ะ ตอนนี้วิญญาณใหม่ของเราไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียวเลย นี่คือความจริง  ความจริงในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้น แต่เนื่องจากเรายังอยู่ในโลกใบนี้อยู่ ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ โอกาสที่เราจะเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องมันมี ฉะนั้น ไม่ว่าผู้เชื่อคนไหนก็ตามที่เผลอไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเรา  คนๆ นั้นก็จะได้รับผล เฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่มันจะไม่สามารถกระทบกระเทือนกับวิญญาณของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนที่อาจารย์นครบอก ขิงมันถูกดองไปแล้ว  จะเอากลับไปเป็นขิงสดไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็คือเป็นขิงดอง แล้วก็ดองตลอดไป จนกว่าจะถูกกินหมด นั่นคือความจริง

            เราจำเป็นจะต้องมองภาพพวกนี้ให้เห็น ให้ชัด  เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก  เพราะว่าโลกนี้พยายามหลอกเรา หลอกผู้เชื่อว่าต้องไปทำโน่นเพิ่ม ทำนี่เพิ่ม เห็นไหม เธอต้องพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อเธอจะได้เป็นที่รักของพระเจ้า  เพื่อเธอจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น  แต่พระเจ้าบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย  เธอเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว เธอเป็นที่รักของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์รักเราดังแก้วตาดวงใจเรียบร้อยไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจากนี้ต่อไป เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราจะสังเกต เราไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกายทำด้วยตัวเราเอง แต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา พระองค์จะนำเรา ในการทำ ให้ส่งผลของธรรมชาติใหม่ของเราออกไป ให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น ถ้าเรารู้ความจริงมากเท่าไร? ผลนั้นจะถูกส่งออกไปมากเท่านั้น ถ้าเรารู้ความจริงน้อย ก็จะถูกหลอกว่า …

            “เธอยังบาปอยู่เลย เธอยังทำโน่นก็ไม่ดี ทำนี่ก็ไม่ดี”

            แต่เราก็ไม่ต้องไปสนใจ โลกนี้ส่งข้อมูลพวกนี้มา เราต้องยืนกรานว่า … “พระเจ้าบอกว่าฉันดี ต่อให้ตอนนี้ฉันเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ดี พระเจ้าก็ยังบอกว่าฉันดี ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่บางครั้ง เผลอไปทำบาปเท่านั้นเอง” เผลอทำบาปนะ

            ฉะนั้น การเผลอทำบาปของผู้เชื่อ มันจะอยู่กับเรานานไหม? พี่น้องอาจจะถามว่าเมื่อไรเราจะไม่เผลอล่ะ ก็เมื่อลมหายใจเราออกจากร่างนั่นแหละ เราก็จะไม่เผลอ ไม่อย่างนั้นเราเผลอทุกวัน ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่ศิษยาภิบาลก็มิสิทธิ์เผลอด้วยใช่ไหม? เราทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า มีสถานะเดียวกัน แค่พระเจ้าใช้แต่ละคนในตำแหน่งหน้าที่ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง เรามีสิทธิ์ที่จะเผลอ แต่ไม่ว่าเราจะเผลอขนาดไหนก็ตาม เราต้องรับรู้ความจริง และยืนยันความจริงว่า …

            “ฉันแค่เผลอ ทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามตัวตนของฉันเท่านั้นเอง  แต่ตัวตนของฉัน ฉันสะอาด บริสุทธิ์ ฉันชอบธรรม ฉันเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ฉันไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว ในสายพระเนตรของพระเจ้า”

        กาลาเทีย 3:3-4 “3 ท่านโง่เขลาปานนี้หรือ?  หลังจากที่เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ บัดนี้ ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่าน ด้วยการขวนขวายของมนุษย์หรือ? 4 ท่านได้ทนทุกข์มากมาย โดยเปล่าประโยชน์หรือ? สิ่งนี้เป็นการเปล่าประโยชน์จริงๆ หรือ?”

            มันเปล่าประโยชน์จริงๆ ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์บอกพระองค์ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ในชีวิตของเรา เราได้รับผลสำเร็จทั้งหมดที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราแล้ว แต่ผู้เชื่อยังสามารถถูกหลอกว่า …

            “แค่นั้นไม่พอ เธอต้องพยายามทำโน่นทำนี่ ทำนั่น เพื่อที่เธอจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น”

            อาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าอย่าให้ถูกหลอกว่าเราจำเป็นจะต้องทำโน่นนี่นั่น  เพิ่มเติมจากสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ผลสำเร็จทั้งหมด เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว มันจะต่างกันตรงที่ว่าหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราได้รับวิญญาณใหม่จากพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเราแล้ว  หลังจากนั้น เราก็ฝึกฝน มันต่างกันนะ หลังจากนั้น เราฝึกฝน ให้ธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นอยู่ให้พัฒนา แล้วก็ถูกสำแดงออกไป มันต่างออกไป ที่เราพยายามทำๆ เพื่อเราจะได้รับความรอด แต่ความเป็นจริง คือผู้เชื่อได้รับความรอดแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว หลังจากนั้น เราก็ฝึกฝนการเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ให้สำแดงความชอบธรรมของพระองค์ออกไป ให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็นชัดเจนมากขึ้น มันจะต่างกัน

            เหมือนกับครอบครัว เราอยู่ในครอบครัว เราเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ เราไม่จำเป็นที่ต้องพยายามทำอะไรก็ตาม เพื่อทำให้เราเป็นลูกของพ่อแม่ ไม่ต้อง ต่อให้เราไม่ทำ ต่อให้นั่งไป นอนไป กินไป เล่นไป  เราก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่อยู่ มันเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ไม่ได้ แต่ที่เราลุกมาทำโน่นทำนี่  เพราะเรารักพ่อแม่ เราอยู่ในบ้าน เราลุกขึ้นมา ช่วยแม่กวาดบ้าน ช่วยแม่ถูบ้าน ช่วยแม่หุงข้าว ช่วยแม่ทำโน่นทำนี่ ไปจ่ายตลาด ไปช่วยแม่หิ้วของ ซื้อของ นั่นคือความรักที่มาจากข้างใน เรารู้ว่าเราเป็นลูกของแม่ เราอยากจะทำให้แม่หายเหนื่อย เราก็ไปทำ แค่นั้นเอง ภาพมันจะต่างกันกับการที่เราต้องพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อให้แม่หรือพ่อยอมรับว่าฉันเป็นลูก มันไม่ใช่ ไม่จำเป็นเลย ก็คือเราเป็นลูกเรียบร้อยไปแล้ว หลังจากนั้น เราค่อยทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นใจ

            ในภาพเดียวกัน เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า เราไม่จำเป็นต้องพยายามดิ้นรนทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้ายอมรับว่าเราเป็นลูกของพระองค์ เราเป็นเรียบร้อยไปแล้ว แต่ที่เราต้องการ ที่เราปรารถนาอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เพราะธรรมชาติใหม่ข้าง ในเราเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เราเป็นความดีงามอยู่แล้ว เราเป็นเหมือนพระเจ้าอยู่แล้ว แล้วเราก็อยากจะสำแดงความเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราออกไป เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันๆ นี่คือภาพ พี่น้องต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออก เราก็จะถูกหลอก พอนานๆ เข้า การที่เรามีความสำนึกว่า …

            “ฉันเป็นลูกพ่อลูกแม่ ฉันเข้าบ้าน บ้านของพ่อแม่ คือบ้านฉัน”

            เป็นไหม? ความรู้สึกมันเป็นอย่างนี้จริงๆ บ้านของพ่อแม่ คือบ้านฉัน พอเราเข้าบ้านพ่อแม่ เราก็เปิดตู้เย็น เราก็หยิบของกิน เรามีความสุข วันนี้เราขี้เกียจทำอะไร เราก็นอนตีพุง เปิดโทรทัศน์ดู พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร? หรือแค่บอกว่าลุกขึ้นมาหน่อย อะไรแบบนี้  ก็แค่นั้น แต่เรายังมีความรู้สึกของการเป็นลูกของบ้านนี้อยู่ ไม่ใช่ว่าเราเข้ามา เราก็เกร็งๆ …

            “บ้านนี้ของฉันหรือเปล่า? บ้านพ่อแม่ไหม? เวลาฉันจะหยิบจับอะไร? ฉันเกร็งมากเลย  ฉันไม่กล้าหยิบ ฉันกลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด”

            มันไม่ใช่ภาพปกติ ธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ใช่แน่นอน แต่ว่าธรรมชาติของการเป็นมนุษย์ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรามีความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในสิ่งที่พ่อแม่เรามีและเป็น ในภาพของโลกวิญญาณเหมือนกัน เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เราเห็นภาพนี้ชัดเจนมาก ในขณะที่เรามีความสุข มีสันติสุข สบายใจ เวลาอยู่ในบ้านของพระเจ้า  เราไม่ต้องพยายามเกร็งมากเลย ต้องพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้าพอใจ ไม่ต้องนะ พระเจ้าพอใจเรามากอยู่แล้ว

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยถามคนกาลาเทียว่า … “ที่ท่านเชื่อ เชื่อเพราะว่าท่านได้รับ ได้ยินข่าวดีของพระเจ้าผ่านทางฉัน  ฉันประกาศให้เธอ หรือเพราะท่านปฏิบัติดี ท่านจึงได้รับความรอด” อันนี้ต่างกันนะ

        กาลาเทีย 3:5-7 “5 พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน และทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น ก็เพราะท่านรักษาบทบัญญัติ หรือเพราะท่านเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน? 6 จงพิจารณาดูอับราฮัม “เขาเชื่อพระเจ้าและความเชื่อนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” 7 ฉะนั้น จงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อ ก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม”

            อาจารย์เปาโลยกตัวอย่างอับราฮัม ทำไมอับราฮัมได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งความเชื่อ  และเพราะความเชื่อของเขา พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม  เป็นความชอบธรรม อับราฮัมได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ชอบธรรม ตั้งแต่เมื่อไร?  ก็คือตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าเรียกเขาในหนังสือปฐมกาล บทที่ 12 พระเจ้าเรียกเขาให้ออกมา

        ปฐมกาล 12:1-3 “1 องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้เคยตรัสกับอับรามว่า “จงละบ้านเมืองของเจ้า วงศ์ตระกูลของเจ้า และครอบครัวบิดาของเจ้า เพื่อไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า 2 “เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ และเราจะอวยพรเจ้า เราจะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือ และเจ้าจะเป็นพร 3 เราจะอวยพรบรรดาผู้ที่อวยพรเจ้า และเราจะสาปแช่งบรรดาผู้ที่แช่งเจ้า ทุกชนชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเจ้า”

            นี่เป็นคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกไว้ แล้วเป็นสิ่งที่พระเจ้าเรียกอับราฮัมตั้งแต่เริ่มแรก เมื่อก่อนไม่ได้ชื่อ “อับราฮัม” นะ ชื่อ “อับราม” พระเจ้าบอกกับอับรามว่าให้ออกจากบ้าน ออกจากเมือง ไปตามที่พระเจ้าได้สั่งให้เขาไป เพราะอับราฮัมเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เพียงความเชื่อของอับราฮัมเพียงครั้งเดียว ก็คือเมื่อพระเจ้าตรัสปุ๊บ เขาพาภรรยา ตอนนั้นยังไม่มีลูกนะ พาภรรยา เอาคนใช้ เดินทางไปเลย ไปตามที่พระเจ้าสั่ง ณ เวลานั้น พระเจ้าก็ไม่ได้บอกว่าจะให้ไปที่ไหน? บอกมาแล้วกัน แล้วเราจะทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับเจ้า ความเชื่อของอับราฮัมเพียงครั้งเดียว  เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ที่อับราฮัมเชื่อว่า …

            “พระเจ้ามีอยู่จริง แล้วเชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้ ที่สั่งให้เขาเดินทางออกจากบ้านเมืองของตัวเอง ออกจากญาติพี่น้องของตัวเอง แล้วเดินตามพระองค์ไป มันเป็นความเชื่อในโลกวิญญาณที่อับราฮัมเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แล้วฉันก็จะตามไปด้วย”

            หลังจากความเชื่อตรงนี้ เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างความเชื่อและความเชื่อฟัง

            เรื่องของความเชื่อ เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ  แต่เรื่องของการเชื่อฟัง เป็นเรื่องของโลกใบนี้ โลกวัตถุ ฉะนั้น การเชื่อของอับราฮัม  หรือของพวกเรา ณ ปัจจุบันที่เราเป็นผู้เชื่อแล้ว การที่เราจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังพระเจ้า มันเป็นการดำเนินชีวิต ซึ่งเรามีโอกาสที่จะไม่เชื่อฟังก็ได้ ตอนที่อับราฮัมไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าก็ยังถือว่าเขาชอบธรรมอยู่ ไม่ใช่พอ ไม่เชื่อฟังปุ๊บ พระเจ้าบอกไม่เอาแล้ว ไม่ให้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ใช่ อับราฮัมไม่เชื่อฟังพระเจ้าหลายต่อหลายครั้ง เรารู้ได้จาก …

            ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่เห็นชัดๆ คือตอนที่พระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่า …

            “เราจะให้เจ้ามีลูกหลานดกทวีคูณเต็มแผ่นดิน”

            และคนที่จะเป็นทายาทในฝ่ายวิญญาณ จะเกิดจากนางซาราย ผู้เดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคนอื่น แล้วตอนที่อับราฮัมได้ยิน ท่านเชื่อตามนั้น แต่เนื่องด้วยสภาวะของร่างกาย หรือเนื่องด้วยความเป็นมนุษย์ อยู่กันไป ก็เชื่อตามนั้นแหละ พระเจ้าบอกว่าให้ไปดูเม็ดทราย ลูกหลานของเจ้าจะเต็มเหมือนเม็ดทราย ลูกหลานของเจ้าจะเป็นเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า อับราฮัมก็เชื่อตามนั้น ตอนที่พระเจ้าคุยกับอับราฮัม อายุ 75 จนเวลาผ่านไป 10 ปี อายุ 85 แล้ว อับราฮัมก็มอง 10 ปีผ่านไป ไม่เห็นมีวี่แววเลย  นางซารายก็เลย คิดจะช่วยพระเจ้า ยกนางฮาการ์ คนใช้ของตัวเองให้อับราฮัมไปเป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง  แล้วอับราฮัมก็ไปนอนกับนางฮาการ์ นี่ถือว่าไม่เชื่อฟัง เพราะพระเจ้าบอกแล้วไง …

            “ลูกหลานของเธอจะมาทางสายของนางซารายเท่านั้น”

            แต่ในความเป็นมนุษย์ อับราฮัม ก็ไม่เชื่อฟัง ก็ไปนอนกับนางฮาการ์ มีลูกออกมาคนหนึ่ง พอหลังจากนั้น พระเจ้าก็ยังถือว่าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ จนอายุ 99 พระเจ้ามาหาอับราฮัมอีกครั้งหนึ่ง  แล้วก็บอกอับราฮัมว่า …

            “วันนี้ ปีหน้า นางซารายจะคลอดบุตรชาย”

            แล้วบุตรคนนั้น ให้ตั้งชื่อว่าอิสอัค บุตรคนนี้แหละ เป็นบุตรแห่งพันธสัญญา  ที่เราได้มีเป้าหมายไว้ เราจะอวยพรบุตรคนนี้ผ่านทางลูกหลานของเขา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้บอกกับอับราฮัม แล้ววันนั้น อับราฮัมก็ยังจริงหรือไม่จริง ในขณะที่นางซารายก็แอบหัวเราะด้วยนะ พระเจ้าล้อเล่นไหมเนี้ย ตอนนั้นแก่มากแล้ว ประจำเดือนหมด จะมีลูกได้อย่างไร? พระเจ้าสามารถที่จะทำทุกอย่างได้ ตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ แล้วนางซารายก็คลอดลูกจริงๆ

            พอคลอดลูกเสร็จ อิสอัคเป็นที่รักของอับราฮัมมาก รอมานานมาก จากนั้น สิ่งที่ไม่คาดฝัน คือพระเจ้าสั่งอับราฮัมว่าให้เอาอิสอัคไปถวาย  แล้วพวกเราอาจจะคิดว่าตอนที่อับราฮัมถวายอิสอัค เป็นความเชื่อเริ่มต้น ไม่ใช่ ความเชื่อเริ่มต้น ก็คือตอนที่เดินทางมา ดังนั้น การถวายอิสอัคเป็นเพียงการพิสูจน์ความเชื่ออีกครั้งหนึ่งของอับราฮัม ที่เขาเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แล้วเขาก็ถวายอิสอัค แล้วเขาก็เชื่อต่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถที่จะทำให้คนตายเป็นขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อเขาถวายอิสอัค พระเจ้าสามารถ พระเจ้าจะทำให้อิสอัคเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้  นั่นคือผลหรือบทพิสูจน์ความเชื่อที่อับราฮัมมีอยู่แล้ว เอาอิสอัคไปถวาย แล้วพระเจ้าก็เห็นแล้วตอนนี้ สิ่งที่พิสูจน์ความเชื่อของอับราฮัม ก็ได้ทำแล้ว พระเจ้าเลยบอกหยุดๆ ไม่ต้อง พอแล้ว เราเห็นแล้ว แล้วพระเจ้าก็เตรียมแกะตัวหนึ่งให้อับราฮัม แล้วอับราฮัมก็เอาแกะตัวนั้น ไปถวายแด่พระเจ้า

            การที่มนุษย์จะเชื่อวางใจในพระเจ้าครั้งแรก ที่พวกเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นความเชื่อครั้งเดียวที่เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ มาตายแทนเราบนไม้กางเขนจริงๆ เชื่อว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งมา เพื่อชำระล้างความผิดบาปของเราจริงๆ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าด้วย เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แล้วเราเชื่อว่าพวกเราทุกคนได้เป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์จริงๆ แล้วเรายังเชื่ออีกว่าพระพรนานัปการที่บอกว่าทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว มันเป็นจริง ณ บัดนี้ เราได้รับพระพรเหล่านั้น เรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เราเชื่อจริงๆ  เราจึงมีความหวังใจ

            อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก ถ้าผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคน ไม่ได้เชื่อตามนี้ ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย การเชื่อของเราก็เปล่าประโยชน์ เราก็เป็นคนโง่เขลา เพราะถ้าพระเยซูคริสต์ไม่เป็นขึ้นมาจากความตาย พวกเราก็ไม่สามารถบังเกิดใหม่ พวกเราก็ไม่สามารถเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ พวกเราไม่สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าได้เลย

            เพราะฉะนั้น ใครก็ตามหลังจากนั้น ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะอวยพรผู้คนผ่านทางอับราฮัม ฉะนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม หลังจากอับราฮัมจนถึงพวกเราในยุคปัจจุบัน ถ้าเราทำตามกฎนี้ คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ เราก็จะเป็นบุตรของอับราฮัมผ่านทางความเชื่อ กฎนี้ ก็คือกฎที่เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และเราเข้ามารับความรอดผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่มีการกระทำใดๆ เข้ามาผสมผเสเลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะว่าเราทำเองไม่ได้ ต้องให้พระเจ้าทำให้กับเรา ให้พระเจ้าเอาวิญญาณเก่าของเราไปตายพร้อมกับพระเยซู ให้วิญญาณเก่าเราไปฝังพร้อมกับพระเยซู แล้วให้พระเจ้าใส่วิญญาณใหม่ เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น อับราฮัมเป็นบรรพบุรุษของเราทางวิญญาณ พวกเราทุกคนก็เป็นลูกหลานของอับราฮัม ผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราทั้งหลายบนไม้กางเขน

            ฉะนั้น ตรงนี้ อาจารย์เปาโลก็เลยต้องเน้นย้ำว่าสิ่งที่ผู้เชื่อทั้งหลายได้รับ ผ่านทางความเชื่อทั้งนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติของเราเลย  เมื่อเราเชื่อแล้ว หลังจากที่เราเชื่อ ไม่ว่าเราจะทำผิดบ้าง ถูกบ้าง พลาดบ้าง พระเจ้ายังถือว่าเราเป็นลูกของพระองค์ ดูจากตัวอย่างอับราฮัม อับราฮัมโกหกเก่งนะ ไปไหนก็บอกให้นางซาราบอกใครต่อใครว่าเธอไม่ใช่เมียฉัน เธอเป็นน้องฉันนะ  เพราะว่ากลัวตาย ภรรยาสวย ใครจะเอาภรรยาไปเป็นเมีย ก็ฆ่าฉัน ฉันกลัวตาย ฉันก็เลยบอกอย่างนี้  โกหกไหม? โกหก แต่พระเจ้ายังถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม มันไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ เลย ถ้าพี่น้องเห็นภาพตรงนี้ พี่น้องจะชัดเจนมากว่าปัจจุบันเหมือนกัน อย่าให้ใครหลอกเราว่าเมื่อเราเผลอทำบาป พระเจ้าไม่เอาเราแล้ว พระเจ้าทิ้งเราแล้ว พระเจ้าไม่นับเราเป็นลูกแล้ว เรารับรองไม่รอดแน่ๆ  เผลอๆ ตายไป เราไม่ได้ไปอยู่สวรรค์แน่ๆ เลย อย่าให้ใครหลอกเรา ให้เรายึดในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า ในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่า ณ ปัจจุบัน เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น เป็นจริงๆ แล้วเราก็เอเมน ตามนั้น แล้วเราดำเนินชีวิตไปตามที่พระวิญญาณที่อยู่ข้างในนำเราในแต่ละวัน ผิดบ้าง พลาดบ้าง ไม่เป็นไร ก็เดินตามที่พระเจ้านำเรา จนถึงวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง เราก็ไปอยู่ที่เดิม  ก็คืออยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่เดิมเลย แต่มันจะต่างจากที่ทุกวันนี้ เรามองอะไรไม่ชัดเจน  เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องพระเยซูคริสต์ได้ แต่เราใช้ความเชื่อเอา พอถึงวันนั้น เราได้เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  เราไม่ต้องไปซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์อีกแล้ว เรามีร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา ผู้เชื่อทุกคนไปสวมร่างกายนั้น ตามพระสัญญาที่พระเจ้าบอกกับเรา เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “ผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ได้เกิดใหม่ สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป ทุกสิ่งทั้งหมดเป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            2 โครินธ์ 5:17 … “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไปได้ตายไปแล้ว  จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมดเป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            สิ่งเก่าทั้งหมด คือวิญญาณ จิตใจและร่างกาย

            สิ่งใหม่ทั้งหมด คือวิญญาณ จิตใจและร่างกาย

            … คือ …

            วิญญาณเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ จิตใจเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายเดิม แต่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ใหม่ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์สะอาดบริสุทธิ์ดีพร้อม ไร้มลทินไร้ตำหนิใดใด ที่พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ดีพร้อม พอใจรับได้ และสามารถเข้ามาอาศัยสถิตอยู่ด้วยได้ และรอรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ได้ทรงสถิตอยู่กับเราแล้วนั้น สวมร่างกายใหม่ร่างกายสวรรค์นี้ทันที หลังจากร่างกายเดิมนี้สิ้นสุดลงหมดลมหายใจ  และเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ของพระบิดาอย่างสมบูรณ์เต็มรูปแบบ ด้วยตัวตนแท้จริงที่สมบูรณ์แบบเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ตลอดนิรันดร์

            คือ … ด้วยวิญญาณเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ จิตใจเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

            โคโลสี 1:13 … “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยซูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ หรือที่เรียกว่าในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซู ได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรสวรรค์ ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว และจะอาศัยอยู่ในอาณาจักรสวรรค์นี้ อยู่กับพระเจ้า ตั้งแต่โลกนี้จนถึงโลกหน้าตลอดนิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1483

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  สิงหาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 6 “คริสเตียนไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราอยู่ใน “หนังสือ 1 ยอห์น” วันนี้ตอนที่ 6 ชื่อเรื่อง “คริสเตียนไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก”

            เราได้เรียนรู้อะไรกันมาแล้วบ้าง? 5 ตอนแล้ว ตอนนี้ตอนที่ 6 ในหนังสือยอห์น บอกเราถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณมากกว่า ที่บอกว่าคริสเตียนจริงๆ แล้ว เป็นใครอยู่ที่ไหน? ในโลกวิญญาณเรามองไม่เห็น อาจารย์ยอห์นไม่ได้มาสอนว่าให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องทำอันโน้นอันนี้อย่างไร? แต่กำลังมาชี้ความเป็นจริง สิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตา ก็คือในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเวลาเราเป็นคริสเตียนแล้ว วิญญาณของเรามันเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง? ยกตัวอย่างเช่น เราเรียนรู้แล้ว อาจารย์ยอห์นบอกว่าคริสเตียนอาศัยอยู่ในความสว่าง ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  พอเราเป็นคริสเตียน รับเชื่อพระเจ้าปุ๊บ  เราได้ย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในความสว่าง เรียกว่าอาศัยอยู่ในความสว่าง ทั้งๆ ที่เราก็อยู่เหมือนเดิม เมื่อคืนปิดไฟนอน มืดไหม? มืด แต่เราเป็นคริสเตียน ทำไมพระคัมภีร์บอกว่าเราอาศัยอยู่ในความสว่าง  เห็นไหม? นี่คือความรู้ทางโลกวิญญาณ ที่เป็นเรื่องเดียวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่สอนให้คริสเตียน ให้ผู้คนได้รู้ ได้เข้าใจ  เพราะมันมองไม่เห็น  เราเรียนรู้ว่าคริสเตียนอาศัยอยู่ในความสว่าง ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยความรัก  ที่อยู่ภายในวิญญาณ

            ซึ่งได้เรียนรู้ว่ามันตรงกันข้ามกับก่อนหน้าที่เราไม่ใช่คริสเตียน  เราอาศัยอยู่ในความมืด ดำเนินชีวิตด้วยความเกลียดชัง  อยู่ภายในวิญญาณของเรา นี่คือความจริงที่เราได้เรียนรู้กันมา อาจารย์ยอห์นบอกว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียน อาศัยอยู่ในความสว่างจริงๆ ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  แล้วไปทำบาป เรียกว่าเผลอ ถูกหลอกลวงให้ไปทำบาป ในขณะที่กำลังอยู่ในความสว่าง อยู่กับพระเจ้านั้น ขณะที่ทำบาป เขาก็ยังอยู่ในความสว่าง กำลังอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า  พระเจ้าก็อยู่กับเขา นี่เป็นเรื่องจริงที่เราได้เรียนรู้กันมา 5 ตอนแล้ว

            ยกตัวอย่างใน 1 ยอห์น 2:10 ที่เราได้เรียนรู้กันชัดเจนมาก ผมยกมาให้เห็นชัดๆ …

        1 ยอห์น 2:10 “ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง และในความสว่างนั้นไม่มีอะไร เป็นเหตุที่จะทำให้สะดุด (ทำบาป) เลย”

            “ผู้ที่รักพี่น้องของตน” ก็คือคริสเตียน ก็อยู่ในความสว่าง คริสเตียนอยู่ในความสว่าง ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง

            พูดความจริงอย่างนี้ เราได้เรียนรู้แล้วนะ อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นเลยว่าจงมั่นใจอย่างนี้ นี่คือตัวท่าน เป็นคริสเตียนในโลกวิญญาณ เราไม่มีธรรมชาติภายในวิญญาณของเรา ที่เป็นสาเหตุให้เรา ไปทำบาปเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ไม่เหมือนตอนที่เรายังไม่เชื่อ ตอนก่อนเชื่อ ยังไม่ได้เป็น คริสเตียน เราอยู่ในความมืด  เราทำตามธรรมชาติในความมืดนั้น ทำบาปตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรรับรู้เรื่องความจริงเหล่านี้ว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นใครในพระคริสต์?

            “ฉันเป็นใครในพระคริสต์”

            เราต้องคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา เป็นการอธิษฐานถามพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในเรา ที่เราเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราเสมอ …

            “แล้วลูกเป็นใครในพระองค์ ในพระคริสต์”

            สถานะทางโลกวิญญาณของเราคริสเตียนนั้น เป็นอย่างไร? ที่ยอห์นกำลังชี้ให้เราเห็นถึงความจริงแห่งพระคุณนี้ ตลอดทั้งเล่มของพระคัมภีร์ใหม่ เรียกว่า “พระคุณแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์” “พระคุณแห่งข่าวดี” หรือ “ข่าวดีแห่งพระคุณ” ต้องจำคำนี้ไว้เลยว่าข่าวดีนี้ เป็นข่าวดีแห่งพระคุณ หรือพระคุณแห่งข่าวดี

            พระคุณแห่งข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? คือเมื่อผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ต้อนรับข่าวดีแล้ว เขาก็จะได้รับพระคุณเหล่านี้ ที่เราได้เรียนรู้มาตลอด เขาได้รับฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่เปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์ พระคุณเหล่านี้เป็นของเขา ได้รับฟรีๆ โดยความเชื่อนี้ คือได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในความสว่าง ได้อยู่ในสวรรค์ ได้เป็นคนบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์  และจะอยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์อย่างนี้ ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะเผลอ ถูกล่อลวงให้ทำบาป อะไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม เขาได้รับความรอด จากการถูกพิพากษา ลงโทษแล้ว เขาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว แล้วเขาจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป ชั่วนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นี่เรียกว่า “พระคุณ”

            และเมื่อรับรู้พระคุณเหล่านี้ได้มากเท่าไร? พระคัมภีร์บอกว่าคนๆ นั้น หรือคริสเตียนคนนั้น เขาก็จะกระทำตัวให้เหมาะสม เขาก็จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เป็นเหมือนความจริงในโลกวิญญาณได้มากขึ้น ตามที่เขาเป็นอยู่  ก็คือเขาถูกหลอก ล่อลวงให้ทำบาปน้อยลง เพราะเขารู้ความจริง

            ถ้ารู้ความจริง คนก็จะมาหลอกเราไม่ได้ ถ้าเรารู้ความจริงเยอะๆ คนก็มาหลอกลวงเราไม่ได้เยอะๆ ถ้าเรารู้น้อย ตรงที่เราไม่รู้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะถูกหลอกล่อ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

            ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่อง “พระคุณ” อย่างนี้ ในข่าวดีของพระเจ้า ในข่าวประเสริฐของพระองค์ ทั้งหมดในพระคัมภีร์ใหม่ ทั้งเล่ม ทุกเล่มในหนังสือจดหมายฝาก ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณของพระเยซูคริสต์ อ้างถึงตรงนี้ตลอด สอนถึงเรื่องราวตรงนี้ตลอด ให้เราจดจำตรงนี้ตลอด ให้เราระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ตลอด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งอาจจะถูกหลอกให้ทำบาป  ก็ได้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่การอาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่ในความสว่าง อยู่กับพระเจ้านั้น เป็นนิรันดร์ไปแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว  เกิดจากความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตรงนี้เรียกว่าพระคุณ

            ยกตัวอย่างเช่น ในหนังสือโรม อาจารย์เปาโลก็พูดอย่างนี้แหละ ในโรม 12:1-2 …

        โรม 12:1-2  “1 พี่น้อง (คือคริสเตียน) เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้มอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมความคิดและสติปัญญาของท่าน (ให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงชำระท่าน) ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการ กตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควรในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง 2 อย่ายอมประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ โดยการเปลี่ยนแปลงความคิดสติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้กับท่าน”

            พระคุณของพระเจ้าทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เห็นพระคุณตรงนี้ เพื่อท่านจะได้ดำเนินชีวิตให้สมกับที่พระเจ้าได้กระทำให้ท่านสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เอเมน ในทิตัส 2:11-12 ก็เช่นเดียวกัน …

        ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากการเป็นทาสของบาปและความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับการได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว)”

            ฝึกฝนเราให้ปฏิเสธการถูกล่อลวงให้ทำบาป  ต้องเรียนรู้จักพระคุณนี้

            วันนี้มาต่อตอนที่ 6 เรื่อง “คริสเตียนไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก” เราไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก  แต่เราอยู่ในพระคริสต์ เราไม่ได้อยู่ในโลก แต่เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่ในพระเจ้า แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก มันหมายถึงอย่างนี้  พูดง่ายๆ ว่าเราดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างแล้ว ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกที่เป็นความมืด วันนี้มาต่อจากครั้งที่แล้ว 1 ยอห์น 2:15 …

        1 ยอห์น 2:15  “อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก  ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดา ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น”

            “อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก” เห็นอะไรบางอย่างไหม? อยู่ตรงข้ามกับในพระเจ้า ในพระคริสต์ “ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดา ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น” อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็น คนที่ไม่ใช่คริสเตียนแท้ ที่อ้างตนเองว่าเป็นคริสเตียน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ที่เข้ามาในชุมชนของคริสเตียน สมัยนั้น ภายในวิญญาณของเขาไม่ได้เป็นความรัก  ไม่สามารถรักพระเจ้าได้ เขาจึงมีธรรมชาติในวิญญาณที่รักโลก และสิ่งของบนโลก เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            อาจารย์ยอห์นก็พูดว่า … “เพราะฉะนั้น พี่น้องคริสเตียน อย่าถูกหลอกให้รักโลกนั่นเอง”

            ความหมายของ 1 ยอห์น 2:15 ก็คืออย่าถูกหลอกให้รักโลกและสิ่งของบนโลก เพราะนั่นไม่ใช่ตัวจริงของเรา แต่เป็นตัวตนของผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียน ในตรงนี้ อาจารย์ยอห์น ชี้ให้เห็นถึงคนที่เป็น คริสเตียนแท้ๆ ว่าสถานะทางวิญญาณเขาเป็นเช่นไร? แตกต่างจากคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนอย่างไร? เพื่อจะได้สังเกตตัวเองด้วย ในขณะนั้นนะ

            คนที่เป็นคริสเตียนแท้จะเป็นความรักแบบอากาเป้เหมือนพระเจ้า และรักพระเจ้าพระบิดา แต่จะเกลียดชัง ปฏิเสธโลก และสิ่งของบนโลก ระบบของโลก ซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลของความบาปและความชั่ว นี่เป็นธรรมชาติทางวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ เมื่อเราเชื่อในพระเยซู วิญญาณได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่หมดเรียบร้อยแล้ว เราไม่สามารถไปด้วยกันกับโลกนี้อีกต่อไป  เพราะมันอยู่ตรงกันข้ามกัน  2 โครินธ์ 5:17 ได้บันทึกไว้อย่างนั้น เราได้รับการขอร้องจากพระเจ้า ผ่านทางพระคัมภีร์ ขอร้องให้เราดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในเรา ขอร้องเรานะ เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก ให้ทำตามโลกใบนี้ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่าเนื้อหนัง เราจะได้ไม่ถูกหลอกให้ทำตามเนื้อหนัง เราจะได้ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน ทำให้สมกับฐานะคริสเตียนของเรา ที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่สมควรจะกระทำ มองไปที่วิญญาณที่อยู่ข้างใน ที่เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่มองดูข้างนอก ระบบของโลกนี้ ที่อยู่เพียงชั่วคราว

            คริสเตียนแม้จะดำเนินชีวิตบนโลกนี้ แต่ไม่ได้เป็นของโลก แล้วเป็นของใคร? เป็นของพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า เป็นพลเมืองของพระเจ้า ไม่ได้เป็นพลเมืองของโลกใบนี้อีกต่อไป  แต่ก่อนเราเป็นพลเมืองของโลก แต่เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ย้ายเรามาอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ อยู่ในพระคริสต์ เป็นประชากรของพระเจ้าแล้ว แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก ฟิลิปปี 3:20-21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ฟิลิปปี 3:20-21 “เราก็เป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            เราเป็นพลเมืองสวรรค์  เป็นประชากรสวรรค์แล้วในขณะนี้  เพียงแต่เฝ้ารอคอยวันที่จะได้ไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า พอได้พบพระเยซู ก็ได้รับร่างกายใหม่  มาแทนร่างกายนี้ ได้รับร่างกายสวรรค์ ที่สามารถอยู่ในสวรรค์จริงๆ ได้ ได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นตัวเองตามความเป็นจริงในร่างกายใหม่ เรารอคอยตัวนั้น  เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จึงไม่ใช่เป็นของโลก ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าเราเป็นเหมือนคนต่างด้าว เป็นเหมือนคนแปลกหน้า บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เดินบนโลกใบนี้ ขณะเดียวกัน เป็นคริสเตียน ต้องรู้ว่าเราเดินอยู่บนโลกที่ไม่ได้เป็นบ้านของเรา เราอยู่เพียงชั่วคราวเอง ในทางวิญญาณแล้ว เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ในขณะนี้

            ท่านคิดดูสิ ถ้าเกิดเราระลึกถึงพระคุณของพระเจ้าอย่างนี้ ชัดเจนมากๆ ตลอดทุกลมหายใจเข้าออก มันจะมีความสุขขนาดไหน? เรานึกออกใช่ไหม? เราไม่ได้รอคอยสวรรค์ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป แล้วพระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 1 เปโตร 2:11 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 เปโตร 2:11 “ดูก่อนท่านที่รัก ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลาย ผู้อาศัยในโลกอย่างโลกไม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ให้เว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึกต่อวิญญาณจิตของท่าน”

            วิงวอน ขอคริสเตียน ที่เป็นคนแปลกหน้าของโลกใบนี้ อยู่บนโลกใบนี้ อย่างไม่ใช่บ้านเกิดของเรา ให้ละเว้น ก็คือให้ระวังอย่าถูกล่อลวง โดยกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึก ศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า โคโลสี 1:13 ได้เรียนแล้ว ชัดเจนมากเลย …

        โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยซูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            เราได้รับการย้ายเข้ามาแล้ว ย้ายเลยเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอตายก่อน ขณะนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทันที วิญญาณเราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่อาณาจักรหนึ่ง เรียกว่าสวรรค์ในพระคริสต์ เรียกว่าเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์  อาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์ มาเป็นพลเมืองสวรรค์กับพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เรายังคงถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก่อน เพื่อจะได้ประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าจะได้ใช้เรา อยู่บนโลกใบนี้ เพื่อทำงานเหมือนคนต่างด้าว กำลังทำงาน เพราะเรามาจากสวรรค์ ขณะนี้เราอยู่ในสวรรค์ เราไม่ได้เป็นของโลกใบนี้  โลกใบนี้เต็มไปด้วยความบาป ความมืด แต่เราอยู่ในความสว่าง อยู่ในความชอบธรรม  อยู่ในพระเจ้า 1 ยอห์น 2:16 …

        1 ยอห์น 2:16 “เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัณหาของเนื้อหนัง [ความอยากในร่างกาย] ตัณหาของตา [ความปรารถนาอันโลภมากของจิตใจ] และความเย่อหยิ่งในชีวิต [ความมั่นใจในความรู้ความสามารถ สติปัญญาของตนเอง หรือความมั่นคงของสิ่งของทางโลก]  สิ่งเหล่านี้  ไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลกเอง”

            ในโลกนี้มีอะไร? อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็น ในโลกที่เราไม่ได้อยู่อาศัยนั้น  แต่เราดำเนินชีวิตอยู่ ตรงนี้มีอะไรบ้าง? พูดถึงสิ่งที่อยู่ในโลก ซึ่งไม่ได้มาจากพระบิดา ผู้สถิตอยู่ภายใน แต่มันเป็นของโลกเอง ให้เห็นความแตกต่างระหว่างภายในเรา  ที่เราอยู่กับพระบิดา  อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ ในขณะนี้ อาศัยอยู่ในความสว่าง ในขณะนี้ กับเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลก โลกเต็มไปด้วยความมืด  แต่เราอาศัยอยู่ในความสว่าง มันต่างกันมากเลย มันคนละเรื่องกันเลย

            ในโลกนี้ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าสิ่งที่อยู่ในโลกนี้  ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของโลก จะใช้คำนี้ ลักษณะนี้ ก็คือตัณหาหรือกิเลสทางฝ่ายเนื้อหนังของระบบของโลกนี้ ซึ่งกิเลสตัณหาของโลกนี้ ระบบของโลกนี้ที่หลอกลวง ล่อลวงเรา เป็นอิทธิพลที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ซึ่งมันสามารถแยกแยะออกมาเป็น 3 สิ่งหลักของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังนี้ อาจารย์ยอห์นจะชี้ให้เราได้เห็น  เพื่อเราจะได้เรียนรู้ว่านี่แหละ คือศัตรูของเราตัวจริง นี่แหละ คือตัวที่ทำให้เราไปทำบาป ขณะที่เราเป็นคริสเตียน พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา  เราไปทำบาป ทำผิดพลาด ก็เพราะตัวนี้ไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันๆๆๆๆ มันประกอบไปด้วย 3 สิ่งหลักเหล่านี้ คือ …

            (1) ตัณหาของเนื้อหนัง หมายถึงความปรารถนาที่จะได้รับความพึงพาใจทางกาย คือความสุขทางกาย หรือความสุขทางกายภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะดึงดูดใจมนุษย์  นี่แหละ ชี้ให้เห็นเลยว่ามันมาจากตรงนี้แหละ มาจากกายที่ถูกเร้า

            (2) ตัณหาของตา หมายถึงความโลภ หรือความปรารถนาที่จะได้มีสิ่งที่เห็นอยู่นั้น อยากได้สิ่งที่เห็น ซึ่งจะนำไปสู่ความอิจฉาริษยา ความบาปต่างๆ ความโลภต่างๆ ทำให้เกิดการทำชั่วต่างๆ เกิดขึ้น จากสิ่งที่ตามองเห็นและอยากได้

            (3) ความเย่อหยิ่งในชีวิต หมายถึงความมั่นใจในทรัพยากรของตนเอง ทรัพยากรของตนเอง ก็คือที่พระเยซูบอกว่าอย่าสะสมทรัพย์ไว้กับตนเอง ทรัพย์ตัวนี้ ไม่ได้หมายถึงเงินทอง แต่หมายถึงปัญญาทรัพย์ ความเย่อหยิ่งว่าฉันรู้ ฉันเก่ง ฉันดี ฉันยอดเยี่ยม อะไรต่างๆ เหล่านั้น ฉันเป็นคนดี ฉันเป็นอะไรก็แล้วแต่ เรียกว่าความมั่นใจในทรัพยากรของตนเอง หรือความมั่นคงในสิ่งทางโลก  อันนี้หมายถึงทรัพย์แล้ว  ความมั่นคง คือในฐานะ ตำแหน่ง ทรัพย์สิน เงินทอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ความมั่นใจ ความมั่นคงเหล่านี้ อาจทำให้เราคริสเตียน เกิดกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง คือเกิดการพึ่งพาตนเองมากกว่าการพึ่งพาพระเจ้า ซึ่งก็คือบาป นั่นเอง แทนที่จะพึ่งพระเจ้า มั่นใจตัวเองจนเกินไป

            พระคัมภีร์ตรงนี้กำลังเตือนเรา คริสเตียนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า อย่ากล่าวหาพระเจ้าว่าพระเจ้าล่อลวงเราให้ทำบาป  อย่ากล่าวหาพระเจ้าว่าชักจูงเราให้ทำบาป อย่ากล่าวหาว่าพระเจ้านำพาเราให้ไปทำบาป ไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากตัวตนแท้จริงของเรา ที่ตะกี้เราอ่านตั้งแต่ข้อแรก 1 ยอห์น 2:10 มันไม่มีเหตุจากภายในของเรา ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราบริสุทธิ์ สะอาด อย่าไปกล่าวหาเขา สิ่งเหล่านี้มาจากข้างนอกตัวเรา ตัวตนแท้จริงของเราสะอาด บริสุทธิ์  ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า แต่มันเป็นสิ่งที่มากระตุ้น จูงใจเราจากระบบของโลกนี้ ซึ่งเป็นระบบที่เป็นศัตรู ขัดแย้งกับพระเจ้า และขัดแย้งกับความจริงของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา ซึ่งได้บังเกิดใหม่  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว

            แล้วพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน พระเจ้าก็จะทรงฝึกฝนเรา นี่แหละ คือสงครามที่อยู่ในโลกวิญญาณ ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของคริสเตียน พระเจ้าก็จะฝึกฝนเราให้ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน ฝึกฝน ด้วยความรัก ฝึกฝนเราว่าอันนี้ล่อลวง อันนี้เป็นอย่างไร? อะไรต่างๆ ให้ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ  ไม่ถูกล่อลวงให้ทำตามกิเลสตัณหาทางเนื้อหนัง เมื่อตะกี้นี้ที่เราหนุนใจกัน ซึ่งในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5 ได้เขียนไว้ชัดเจนว่าจงดำเนินชีวิตด้วยพระวิญญาณที่อยู่ภายใน อย่าสนองกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง

        กาลาเทีย 5:16-17 “ดังนั้น ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป เพราะตัณหาของวิสัยบาป ขัดกับพระวิญญาณ และพระวิญญาณ ขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทำ จึงไม่ได้ทำ”

            “เนื้อหนัง” ในที่นี้ พอพูดปุ๊บ จำไว้เลยว่าระบบของโลกนี้ มันคือศัตรู มันไม่ใช่ตัวท่าน มันคือตัณหาของวิสัยบาป  ก็คือตัณหาของเนื้อหนัง  พูดอีกนัยหนึ่ง ให้เข้าใจได้ง่าย ก็คือตัณหาของเนื้อหนัง คือความอยากได้  อยากเป็น อยากมี ในสิ่งที่ตนเองต้องการ หรือความไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากมีในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ นึกออกไหม? มีอยู่แค่ 2 อันแค่นี้เอง  ทั้งหมดเลยที่ตะกี้นี้ว่ามา 3 หัวข้อหลักของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง  สรุปมาได้แค่ 2 ข้อว่ามันทำแค่นี้ ทำให้มนุษย์เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น กระตุ้นให้ทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ โดยกระตุ้นอย่างนี้ทั้งหมด คือความอยากได้ อยากเป็น อยากมีในสิ่งที่ตนเองต้องการ  ในสิ่งที่เราอยากได้ เราต้องการ  หรือความไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากมีในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ  อันนี้เข้าใจยากนิดหนึ่ง เราไม่ต้องการอะไร? เราป่วยเป็นมะเร็ง เราก็ไม่อยากได้ อยากจะแข็งแรง นี่แหละ รวมความแล้ว ก็คือความไม่มีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เป็นอยู่นั่นเอง

            ความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว ในวินาทีนี้ ในขณะนี้ เราพอใจไหม? ถ้าเราพอใจ นั่นแหละ คือน้ำพระทัยพระเจ้า ถ้าเราพอใจ นั่นแหละ เราไม่ถูกหลอกด้วยกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ถ้าเราไม่พอใจเมื่อไร? นั่นแหละ เริ่มต้นถูกหลอกแล้ว  ถูกหลอกเพราะอะไร? เพราะตัวเราเอง ไม่ใช่ ตัวข้างในเราพึงพอใจในตัวเราเองที่เป็นอยู่แล้ว อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง แต่มันเป็นการล่อลวง จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ภายนอก

            “กิเลสตัณหาที่อยู่ในโลกนี้ อยู่ภายนอกตัวเรา”

            ต้องจดจำความจริงให้แม่นเลย  เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก บางคนถูกหลอกว่ามาจากพระเจ้า เลยเละเลย เลยไม่รู้ว่าศัตรูเรา คือใคร? นึกว่ามาจากพระเจ้าทำให้เราเป็นอย่างนี้ วิงวอนขอจากพระเจ้าให้เราหลุดพ้นจากสิ่งพวกนี้ มันก็ไม่หลุดสักที ก็เพราะว่าเราไม่รู้ศัตรูตัวจริง ศัตรูมันแอบอยู่ ยุยง เป็นเหตุให้เราทำบาป  ก็คือมันนั่นแหละ แล้วมันก็บอกว่าที่เราทำ เพราะตัวเราอยากทำเอง เห็นไหม? แค่นี้ไม่พอ หมัดที่ 2 บอกว่า “พระเจ้าเป็นคนล่อลวงให้แกทำ” กล่าวหาพระเจ้าอีก  แล้วก็บอกว่าพระเจ้าไม่ชอบ พระเจ้าเขี่ยแกทิ้งแล้ว เราก็รู้สึกฟ้องผิด แย่แล้ว ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์แล้ว ตกสวรรค์ไปแล้ว  ไม่ได้รับความรอดแน่ๆ เลย ตายไป แทนที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ได้รับแล้ว จะรอดหรือเปล่าหนอ นี่ไง เราถูกหลอกด้วยศัตรูมันยุแหย่ ยุยงให้เราตีกันเองกับพวกเรา พี่น้องคริสเตียนด้วยกัน หรือมนุษย์ด้วยกัน แล้วไปตีกันเองกับพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในเรา ซึ่งรักเรามากเหลือเกิน มาก ดังแก้วตาดวงใจ ข้อต่อไป 1 ยอห์น 2:17 …

        1 ยอห์น 2:17 “โลก​และ​กิเลส​ของ​โลก ​ก็​กำลัง​ล่วงลับ​ไป แต่​ผู้​ที่​กระทำ​ตาม​ความ​ประสงค์​ของ​พระ​เจ้า ​จะ​ดำรง​อยู่​ตลอด​ไป”

            พูดง่ายๆ คืออย่าให้มันหลอก ให้เราไปยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น อยากได้สิ่งเหล่านั้น มันอยู่ชั่วคราว มันเอามาหลอกและล่อเรา อีกไม่นาน มันก็สูญสิ้นไปแล้ว เหมือนที่มันหลอกล่อพระเยซู นำพระเยซูขึ้นไป บอกว่า …

            “ทรัพย์สินทั้งหมดบนโลกใบนี้ สิทธิอำนาจในโลกใบนี้เป็นของเรา เราจะมอบให้ใครก็ได้  เพราะฉะนั้น ถ้าท่านกราบไหว้เรา” ซาตานทดลองพระเยซู “เราจะให้ท่านสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด”

            พระเยซูบอก “ไปให้พ้น”

            จะให้สิทธิอำนาจบนโลกใบนี้ ทรัพย์สินบนโลกใบนี้ทั้งหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันอยู่ชั่วคราว แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว โลกและกิเลสของโลก กำลังล่วงลับไป  อิทธิพลเหล่านี้กำลังหมดไป  กำลังจบสิ้นไป อดทน นิดเดียวเท่านั้นเอง

            ยอห์นสรุปในที่นี้นะ เพราะฉะนั้น พี่น้องที่เป็นคริสเตียนทั้งหลาย อย่าถูกล่อลวงให้แสวงหาสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้ มันหมายถึงอย่างนี้  ไม่ได้มาสั่งให้เราบอกว่าท่านทั้งหลายอย่าทำนะ  เพราะอาจารย์ยอห์นรู้ว่าภายในท่าน ไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นอยู่แล้ว ท่านจะถูกล่อลวง มันไม่ได้มาจากตัวท่าน  มันมาจากข้างนอก  เพราะฉะนั้น พี่น้องอย่าถูกล่อลวงให้แสวงหาสิ่งของที่อยู่บนโลกนี้ เพราะมันอยู่ไม่ได้นาน มันเป็นของไม่จีรังยั่งยืน  พูดง่ายๆ เดี๋ยวมันก็ล่วงลับไปแล้ว

            อย่าถูกล่อลวงให้แสวงหาสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้ โดยผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของท่าน ที่ถูกปลุกเร้าและต้องการจนเสียความสมดุลตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น มันเสียสมดุลไป เช่น …

            ควรจะพอใจในสุขภาพร่างกายเท่าที่สามารถทำได้ ก็ไม่พอใจอีก อยากจะแข็งแรงกว่านี้ มันก็ทุกข์สิ นึกภาพให้ดีๆ แทนที่จะยอมรับ และรู้ว่านี่คือความจริง พระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างนั้นว่ากายภายนอกของเราจะต้องทรุดโทรมไป  เราก็ไม่ยอมให้มันทรุดโทรม ไม่ให้ทรุดโทรมมันก็โอเค ออกกำลังกาย ก็ว่ากันไปตามเหตุและผล ตามความพอเหมาะ ไม่ใช่ไปแสวงหาแบบจิ๋นซีฮ่องเต้ หายาอายุวัฒนะอะไรที่มันแปลกประหลาด ที่มันมากเกินเลย มันทำลายความสมดุลของเราตะกี้นี้ ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของโลกนี้ มันยุแยงให้มนุษย์ทำอะไรก็ตามที่มันเกินไป หรือไม่ก็น้อยเกินไป หาอายุวัฒนะอะไรแปลกประหลาดเกินเลย มันทำลายสมดุลของเราตะกี้นี้ ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของโลก ยุยงให้มนุษย์ทำอะไรก็ตามที่มันมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ไม่พอดี

            ควรจะพอใจในการกิน การอยู่ และทรัพย์สินเงินทองเท่าที่สามารถทำได้ ตามที่พระเจ้าประทานให้ พระเจ้าได้ทรงประทานกำลัง ควรจะพอใจ ก็แค่นั้นแหละ  เราขอบคุณพระเจ้า ขยันทำงาน ทำมาหากิน แต่ไม่เว่อร์ ถึงกับโลภ …

            “ปีหน้าฉันต้องได้อย่างนี้ ปีต่อไป ฉันต้องได้มากกว่านี้ ฉันจะต้องร่ำรวยเหมือนคนนี้ๆ”

            นี่แหละความไม่สมดุล ไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ก็เกิดความทุกข์

            ควรพอใจในคำสรรเสริญเยินยอ ตามสถานะในสังคม ที่ผู้คนยกย่อง ตามความเป็นจริง ไม่เกินไปหรือขาดไป  ขาดไปอย่างไร? เกินไปเรารู้อยู่แล้ว เกิดความมั่นใจ เกิดความเย่อหยิ่ง แต่ขาดไป คือเกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง ฟ้องผิดในตัวเอง ถล่มตัวเองอยู่ตลอดเวลา …

            “ฉันมันเลวๆ”

            นึกออกไหม? ตำหนิตัวเองอยู่ร่ำไปตลอดเวลา  … “ลูกมันแย่อย่างนั้น” อย่างนี้ก็เกินไป  ไม่มีความพึงพอใจ แต่ให้เรามีความพอใจในสถานะนั้น ที่พระเจ้าได้ให้เราเป็นอยู่ในขณะนั้น ไม่ว่ากำลังถูกคนเขานินทา ลบหลู่เกียรติ หรือกำลังยกย่องเราก็ตาม เราก็รับได้ สมดุล บางคนก็ขาดความสมดุล ยกตัวอย่างเช่น คนมาชมเรา …

            “ไม่หรอก ไม่ ขอบคุณพระเจ้าๆ”

            บางครั้งมันก็เว่อร์ไป อย่างนี้ คิดให้ดีๆ พอมันเว่อร์ไป ในที่สุด มันตกขอบ พอตกขอบ มันไม่มีตรงกลาง มันก็คือบาปนั่นเอง  เพราะว่าในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ที่เราอยู่อาศัยกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้วในขณะนี้ มันอยู่นิรันดร์ แต่สิ่งของที่อยู่บนโลก ที่บอกให้เราพึงพอใจนั้น มันอยู่เพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว เราควรจะพึงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่พระเจ้าให้เราเป็นอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ เพราะมันอยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าอะไรก็ตาม มันอยู่แค่แป๊บเดียว ถ้าเขาจะสรรเสริญเยินยอเรา มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าเขาจะติฉินนินทาเรา มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าเราจะเจ็บป่วยขนาดไหน? มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าเราจะแข็งแรงเท่าไร? มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว เพราะโลกนี้อยู่ในการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกวินาที ไปสู่ความสูญสิ้น แต่ในโลกวิญญาณที่เราอยู่แล้ว ในสวรรค์ ในวิญญาณเรา ในพระคริสต์นั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ ตลอดไปเป็นนิตย์  เพราะฉะนั้น เราควรจะจดจ่อชีวิตเราไปอยู่ที่ไหน? อาจารย์ยอห์นกำลังจะชี้ให้เราเห็นถึงสถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้นะ อย่ามองในสิ่งที่มองเห็นได้บนโลกใบนี้ เพราะมันอยู่เพียงชั่วคราว แต่จงมองไปในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะมันอยู่นิรันดร์  สิ่งที่มองไม่เห็น คืออะไร? ก็คือสวรรคสถาน คือพระคริสต์ ที่เราได้อาศัยอยู่แล้ว

            พระเยซูตรัสว่าให้เราแสวงหาสิ่งของที่อยู่ในสวรรค์ ให้เราแสวงหา ไม่ใช่หมายถึงให้เราไปค้นคว้าหา     แต่ให้จดจ่อ    ให้ความสนใจกับทรัพย์สินที่เรามีอยู่แล้ว       ที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณที่มันเหลือล้นมากเลย  พระพรนานัปการให้เราเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ ในสวรรคสถาน ในขณะนี้ เรียบร้อยไปแล้ว

            “แต่ผู้ที่ทำตามความประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไป” ในข้อนี้ พระเยซูบอกว่าอย่างไร? คนไหนที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า จะดำรงอยู่ตลอดไป บางคนก็คิดว่านี่กำลังจะบอกว่าถ้าใครทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็จะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิจ ก็จะได้รับความรอดจนถึงนิรันดร์

            มันไม่ใช่อย่างนั้น ตะกี้เราคุยกันแล้วว่าดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อาจจะถูกล่อลวงให้ทำผิด ทำพลาดไป  ไม่ได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าสักหน่อย นึกออกไหม? แต่ทำตามการถูกล่อลวงด้วยกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แล้วตรงนี้หมายถึงอะไร? “แต่ผู้ที่กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า” ตอนที่พระเยซูประกาศข่าวประเสริฐ เดินอยู่บนโลกใบนี้ มีคนมาถามพระเยซู …

            “แล้วต้องทำอย่างไร? ต้องทำอะไรตามพระประสงค์ของพระเจ้าบ้าง? กิจการงานอะไรที่ควรจะทำบ้าง? เพื่อว่าจะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า จะได้ดำรงอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า”

            พระเยซูเปลี่ยนคำว่า “การงานต่างๆ” อะไรบ้างหลายอย่าง เปลี่ยนเป็นเอกพจน์ คืออย่างเดียวเท่านั้น พระประสงค์อย่างเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำ เพื่อที่ท่านจะดำรงอยู่เป็นนิจกับพระองค์ คือวางใจในเรา ผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา คือวางใจในพระเยซู พูดง่ายๆ ตรงนี้ คือแต่ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์จะดำรงอยู่ตลอดไป เอเมน อาจารย์ยอห์นกำลังจะพูดอย่างนี้

            ถ้าคนเข้าใจผิดตรงนี้ เอาไปพูดบอกว่าเพราะฉะนั้น ต้องทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า คิดสิ จะทำอะไรที่ต้องคิด ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ตามปุ๊บ ก็ไม่ดำรงอยู่กับพระเจ้าเป็นนิจ ก็อาจจะไม่ได้ไปสวรรค์นะ เป็นคริสเตียน พลาดไปทำบาป พลาดไปโกหก ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าไหม? ไม่ใช่ พลาดไปโลภ โลภเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าไหม? ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ไม่รอดแน่ เห็นไหม? ถูกหลอกอีกแล้ว แต่น้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ประตูเปิดให้ทุกอย่างเรียบร้อย พระเจ้าต้องการแค่นี้  ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย เธอมนุษย์คนหนึ่ง ต้องการเพียงแค่วางใจในพระเยซูคริสต์ ที่เหลือพระเจ้าทำหมด

            พอวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ได้บังเกิดใหม่ ได้รับเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้านิรันดร์กาลเรียบร้อยเลย เรียกว่าความรอดนิรันดร์ ชัดเจน …

        1 ยอห์น 2:18 “ลูกที่รัก บัดนี้ เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์กำลังมานั้น แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็มีมามากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย”

            “วาระสุดท้าย” คือวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลก วาระสุดท้าย หรือยุคสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาเร็วๆ นี้ กำลังชี้ให้เห็นอะไร? ยอห์น คืออัครทูต ในสมัย 2,000 ปีก่อน เขียนถึงคริสเตียนอย่างนี้  เพราะว่าอัครทูตเป็นผู้ที่ใกล้ชิดพระเจ้าที่สุดแล้ว อัครทูตเหล่านี้ ก็ยังไม่รู้เลยว่าพระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? เขาและพวกยังคิดว่าพระเยซูกำลังจะกลับมาเร็วๆ นี้ หมายถึงเมื่อ 2,000 ปีก่อน อาจจะมาอีก 10 วันมั้ง พระเยซูสัญญาว่าจะกลับมาอีกทีหนึ่ง ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และอยู่กับเขา 40 วัน เขารู้ไหมว่าอยู่อีก 40 วัน เขาไม่รู้หรอก  แต่เขารอตามที่พระเยซูสั่งให้รอ ก็รอ รอไปแค่ 10 วัน พระเยซูกลับมาแล้ว วันเพ็นเตคอส เขาก็นึกว่าหลังจากวันเพ็นเตคอส พระเยซูอยู่ด้วยกันกับเขา แล้วก็บอกว่าจะกลับมาอีกทีหนึ่ง เขาก็คิดว่ารออีกไม่นาน คงกลับมาแน่ เขาก็คิดว่ากลับมาในยุคที่เขามีชีวิตอยู่นั่นแหละ นึกออกไหม? แม้กระทั่งอัครทูตยังไม่รู้เลย พระเยซูก็บอกว่าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าวันสุดท้าย หรือวันที่พระองค์จะกลับมาใหม่นั้นเป็นวันใด? โมงใด? ไม่มีใครรู้ พระบุตรเองก็ไม่รู้ แต่มีมนุษย์ทั้งหลาย พยายามอยากรู้มาตลอด เขียนหนังสือบ้าง? บรรยายบ้างว่าจะกลับมาวันนั้น วันนี้ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ในหนังสือวิวรณ์เขียนบอกอีก อย่างนั้นอย่างนี้ พยายามบอกทุกอย่าง ตรวจต่างๆ แล้วบอกว่าจะมาวันนั้น แล้วไม่มาสักที เช่นเดียวกัน วาระสุดท้ายตรงนี้ ก็หมายถึงเขาคิดว่าจะมาในวาระสุดท้าย คือวันนั้น

            และคำว่า “ตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์ จะมาในวาระสุดท้ายนั้น”

            และที่เข้าใจผิดอีกคำหนึ่ง ก็คือ “ตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์ หรือแอนตี้ไครซ์” ก็หมายถึงมาร ซึ่งเป็นศัตรู มารซึ่งเป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์ แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้  ปฏิปักษ์พระคริสต์มีมามากมาย  เหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย  หมายถึงอะไร? คนก็เข้าใจผิด นึกว่าวาระสุดท้าย คือมีคนอ้างตัวเองว่าเป็นพระเยซูเยอะแยะ มาทำอัศจรรย์ หลอกล่อคน มันไม่ใช่หมายถึงอย่างนั้นเลย  นึกย้อนไป 2,000 ปีก่อน อาจารย์ยอห์นกำลังจะบอกว่ามารซึ่งเป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ต่อข่าวดีของพระคริสต์ ถึงเรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์

            ข่าวดีของพระคริสต์ คือพระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา  เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งปวง  มารเป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์  ต่อข่าวดีของพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนปฐมกาลแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้มารตกกระป๋องมา  ก็เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์  เป็นศัตรูต่อพระคริสต์ ตั้งแต่ตอนสมัยที่ยังไม่ได้เป็นมาร เป็นลูซีเฟอร์อยู่ แล้วมาถึงตอนนี้ แผนการของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด คือส่งพระมาซีฮาห์มา มารก็ต่อต้านพระมาซีฮาห์ ต่อต้านพระคริสต์มาตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว เรื่อยมา แล้วจะมาเร่งการงานของมันมากขึ้น ในยุคสุดท้ายนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น ในยุคสุดท้าย วาระสุดท้าย มันจะมีมากมายขึ้น คือกระทำการงานผ่านทางคนมากมาย เพราะว่ามันจะหมดเวลาของมันแล้ว  ก่อนที่จะสิ้นสุดโลกใบนี้ ก็คือในยุคสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูจะกลับมาพิพากษาโลกใบนี้  ก่อนที่มันจะถูกพิพากษาลงโทษ โยนลงไปในบึงไฟนรกนิรันดร์นั่นเอง มันก็เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของมันแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น และก่อนที่มันจะสิ้นสุดโอกาสในการที่จะล่อลวงมนุษย์ให้หลงผิด เชื่อในความเท็จของมัน  โดยการปิดบังตามนุษย์ไม่ให้มนุษย์เห็นความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มารก็เร่งการงานมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรู้ว่าใกล้วันเท่าไร ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  พูดง่ายๆ มีคริสเตียนมากขึ้นเรื่อยๆ มารมันก็ทำงานผ่านทางคนนี่แหละ ผ่านทางมนุษย์นี่แหละ ในการบิดเบือนข่าวประเสริฐ จึงเป็นการเตือนจากอาจารย์ยอห์นให้คริสเตียน ที่อยู่ในชุมชนคริสเตียน อยู่ในคริสตจักรขณะนั้น เกี่ยวกับการปรากฏตัวของปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งเป็นบุคคลหรือกลุ่มคนที่ต่อต้านพระคริสต์  และคำสอนของพระองค์ในเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ แค่นี้เอง ซึ่งคือใคร? ในบริบทนี้ ยอห์นกำลังเตือนสติให้ระวังผู้ที่พยายามหลอกลวง เบี่ยงเบนความเชื่อของพวกเขาคริสเตียนที่แท้จริง

            จำได้ไหม บทที่ 1 เราได้เรียนรู้แล้วว่ามีคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียน แต่ไม่ใช่คริสเตียน แล้วได้มาอยู่ในท่ามกลางเหล่าคริสเตียน  แล้วก็มาสอนอะไรที่ผิดๆ ก็คือมาต่อต้านพระคริสต์ ยอห์นใช้คำว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ เพื่อที่จะบ่งบอกถึงผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ พยายามบิดเบือนความจริงของข่าวประเสริฐ ในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ คือปฏิเสธพระเยซูว่าเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อช่วยคนบาป ได้บันทึกแล้วก็เขียนถึงคนเหล่านี้ ใน 1 ยอห์น 2:22 …

        1 ยอห์น 2:22 “ใครเล่าคือคนโกหก ก็คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์  คนเช่นนี้แหละ คือปฏิปักษ์ของพระคริสต์ เขาปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร”

            นี่แหละปฏิปักษ์พระคริสต์ คือคนที่โกหก ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าเตรียมไว้  ปฏิปักษ์ของพระคริสต์ในบริบทนี้ จึงหมายถึงบุคคลที่ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ พระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งมีมากมาย นับไม่ถ้วนในโลกนี้ ไม่ได้หมายถึงบุคคลที่ตั้งตนเอง หรืออุปโลกน์ตัวเองว่า …

            “ฉันเป็นพระเยซูมาเกิด ฉันคือพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 แล้ว” คนละเรื่อง

        1 ยอห์น 2:19  “พวกเขาออกไปจากพวกเรา แต่ที่จริงแล้ว เขาไม่ใช่พวกเรา เพราะถ้าใช่ เขาก็คงอยู่กับเราต่อไป แต่การที่เขาจากไป แสดงว่าในพวกเขา ไม่มีสักคนเดียว ที่เป็นพวกเรา”

            คนที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์เหล่านี้ อยู่ในชุมชนของคริสเตียนแท้ ในขณะนั้น ทุกวันนี้ก็มีอยู่ ดูเหมือนคริสเตียน แต่ไม่ใช่  เพราะว่าเขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ แต่เขาอ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียนเหมือนกัน และพยายามสอน แนะนำความเชื่อที่แตกต่าง ที่เป็นความเชื่อที่ปฏิเสธข่าวดีแห่งพระคุณ ก็คือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ในหลายๆ รูปแบบ เช่น พวกนอสซีส ที่พูดไว้ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 แล้ว ก็คือ …

            “เธอรับเชื่อพระเจ้าหรือยัง?”

            “รับเชื่อแล้ว”

            “เธอเป็นคริสเตียนหรือยัง?”

            “ฉันก็เป็นคริสเตียน มาเชื่อพระเจ้าแล้วเหมือนกัน แต่ฉันจะบอกให้นะ ยังไม่พอหรอก เธอต้องเพิ่มความรู้ เพิ่มพิธีกรรม เพิ่มโน่น เพิ่มนี่ ต้องเชื่อตรงโน้นด้วย เชื่อตรงนี้ด้วย พระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าจริงหรอก  แต่ฉันรู้ว่าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ”

            หรือไม่ก็ “พระเยซูเป็นพระเจ้าจริง แต่ไม่ได้เป็นมนุษย์หรอก จะบอกให้” อะไรอย่างนี้

            ซึ่งปัจจุบันก็มีอย่างนี้แหละ ลักษณะเดียวกัน ซึ่งปฏิปักษ์ของพระคริสต์เหล่านี้ ไม่ได้สามัคคีธรรม ทางวิญญาณกับคริสเตียนเลย ไม่ได้เกิดใหม่  ไม่ได้บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราทางวิญญาณ  พูดง่ายๆ ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณเลย ถ้าเขารู้จักพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณ เขาจะต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปของฉันที่เป็นคนบาป และไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ทั้งโลกที่เป็นคนบาป และทำบาป ตรงนี้เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า สำคัญที่สุด

            และอาจารย์ยอห์นบอกว่าพวกคนเหล่านี้ ที่เขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เขาไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นปฏิปักษ์กับพระคริสต์แล้ว เป็นแอนตี้ไครซ์ ก็มีเยอะแยะมากมายไปหมดเลย มาในรูปแบบของบุคคลเอย เป็นคณะ เป็นคำสอนอะไรต่างๆ เยอะแยะ ปัจจุบันก็มีเยอะแยะ  เช่น บอกว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้าอันดับหนึ่ง พระเจ้าอันดับหนึ่ง คือพระบิดา อะไรแบบนี้ ท่านต้องระวังไว้ให้ดี เหล่านี้ ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งมีเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด อาจารย์ยอห์นบอกว่านอกเสียจากว่าพวกเขาเหล่านี้ เมื่อได้ยินได้ฟังความจริงจากพวกเราที่เป็นคริสเตียนแท้ ที่อยู่ในคริสตจักรแล้ว ได้ยินคำประกาศของอาจารย์ยอห์นแล้ว ถ้าเขายอมรับความจริง แล้วเปลี่ยนความคิดจิตใจเขาเสียใหม่ กลับใจใหม่ มายอมสารภาพ มายอมจำนนว่าพระเยซูคริสต์นี้ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อคนบาปอย่างท่าน อย่างเรา มนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นคนบาป  และต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงสามารถเข้ามาบัพติศมา ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นคริสเตียนเหมือนเราได้  ที่เราได้เรียนรู้ไปใน 1 ยอห์น 1:9 ถ้าเขาสารภาพบาป เขาก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน

            และในทุกวันนี้ ก็เช่นเดียวกัน ใครก็ตามที่ยอมรับ สารภาพ ยอมจำนนว่าตนเองเป็นคนบาปและทำบาป ต้องการการช่วยเหลือ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดจากความบาป ชำระทุกคนด้วยพระโลหิตของพระองค์ได้ เขาก็จะได้กลายเป็นคริสเตียนแท้จริง เช่นเดียวกัน  พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! ท่านได้บังเกิดใหม่ ได้มีชีวิตใหม่ ได้เป็นคนใหม่ ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            จงหมั่นอดทนฝึกฝนธรรมชาติใหม่ของชีวิต ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ด้วยความภาคภูมิใจให้สมกับที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ด้วยพระคุณและความเชื่อ

            ฟิลิปปี 2:12-13 … “12 ดังนั้น  ท่านที่รักตามที่ท่านเชื่อฟัง (คำแนะนำของข้าพเจ้า) มาโดยตลอด  ดังนั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่ (ด้วยความกระตือรือร้นที่ท่านจะแสดง) ต่อหน้าข้าพเจ้า  แต่ยิ่งกว่านั้นอีกมาก  ในขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่  จงหมั่นอดทนฝึกฝน (ไปให้ถึงเป้าหมาย และทำให้สมบูรณ์) ผลของความรอดของท่านเอง  ด้วยความรัก  เคารพยำเกรงพระเจ้า  13 (ไม่ใช่ด้วยกำลังของท่านเอง) เพราะเป็นพระเจ้าผู้ทรงทำงานอยู่ภายในตัวท่านตลอดเวลา (พระองค์ให้พลัง  และสร้างพลัง  และใส่ความปรารถนาภายในตัวท่าน) ให้ท่านเกิดความต้องการ  อีกทั้งเกิดการกระทำดี  ตามพระประสงค์ของพระองค์  เพื่อความพอใจและความปิติยินดีของพระองค์”

            ในฟีลิปปี 2:12  อาจารย์เปาโลพูดกับพี่น้องชาวฟิลิปปีว่า …  “พี่น้องที่รัก  ท่านเคยเชื่อฟังคำแนะนำของเรามาตลอด  ตอนที่ท่านต้อนรับข่าวดี ได้รับความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ ได้รับการอภัยจากความบาปทั้งสิ้น และได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ท่านมีธรรมชาติใหม่ของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณท่าน และท่านก็เชื่อตามที่เราบอกท่านไว้ ให้ท่านอดทน ฝึกฝน ให้ผลของธรรมชาติใหม่นี้ ได้ถูกสำแดงออกมา  โดยผ่านทางความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในท่าน  ตอนที่เราอยู่กับท่าน ท่านก็ฝึกฝนอยู่แล้ว  แต่ตอนนี้เราไม่ได้อยู่กับท่านแล้ว ขอให้พี่น้องมีความกระตือรือร้นฝึกฝนด้วยความอดทน ให้เป็นไปตามธรรมชาติการเป็นลูกของพระเจ้า  พระวิญญาณจะเป็นพี่เลี้ยงคอยฝึกฝน ให้กำลังความสามารถ สติปัญญากับท่านเอง  ให้ท่านพัฒนาธรรมชาติใหม่  ที่ท่านเป็นลูกพระเจ้า ให้หมั่นฝึกฝนพุ่งเป้าไปที่ความรอดที่ท่านได้แล้ว ให้ฝึกฝนให้ผลของความรอดออกมาในการดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ  ฝึกฝนให้รู้ว่าอะไรคือเนื้อหนัง ที่เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกับพระวิญญาณ  อะไรคือพระวิญญาณ  ฝึกฝนที่จะทำตามพระวิญญาณ ฝึกฝนที่จะปฏิเสธการกระทำตามเนื้อหนัง”

            เช่นพระวิญญาณที่อยู่ในเราแนะนำ พร้อมให้กำลังเรา  บอกเราว่าควรสำแดงความรักแทนความโกรธ  ฝึกฝนให้สันติสุขและความชื่นชมยินดีออกมา  ฝึกฝนคอยสังเกตว่าแต่ละวันเราเผชิญกับอะไรสถานการณ์ไหน  เราควรจะตอบสนองออกไปแบบไหนตามพระวิญญาณหรือตามเนื้อหนัง ผิดบ้างพลาดบ้าง นี่เป็นบทเรียน นี่คือการฝึกฝนของผู้เชื่อในแต่ละวัน  เพื่อเราจะได้สำแดงธรรมชาติใหม่ที่อยู่ภายในเรา ออกมามากขึ้นด้วยความรัก เคารพ ยำเกรง ให้เกียรติพระเจ้า พ่อของเรา

            คำว่า “ด้วยความเคารพยำเกรง ให้เกียรติพระเจ้า” หมายถึงพระเจ้าเป็นผู้ตั้งกฎและรักษากฎอย่างเคร่งครัดพระองค์ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด  ถ้าใครทำผิดกฎ  ก็จะถูกลงโทษ  คนที่ทำตามกฎที่พระเจ้าวางไว้  ถือว่าผู้นั้นให้ความเคารพยำเกรงพระองค์  ให้เกียรติกับกฎระเบียบที่พระเจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่  ฉะนั้น การฝึกฝน เพื่อให้ความเคารพยำเกรงพระเจ้า  ฝึกฝนผลของพระคุณที่ทำให้ท่านรอด  ให้ท่านพ้นจากบาป  ทำให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ท่านควรจะทำตัวให้สมศักดิ์ศรีของการเป็นลูกของพระเจ้า ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ฉายแสง สำแดงธรรมชาติตัวจริงภายในของเราที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น ออกมาเป็นความประพฤติ

            ถ้าท่านทำดีตามพระวิญญาณนำ ท่านก็เก็บเกี่ยวผลจากพระวิญญาณ คือชีวิต ความชื่นชมยินดี สันติสุข

            แต่ถ้าท่านทำตามเนื้อหนัง ท่านก็เก็บเกี่ยวความตาย ความทุกข์ลำบาก

            ฉะนั้น ถ้าท่านฝึกฝนที่จะทำตามพระวิญญาณนำ ท่านก็ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทำให้พระเจ้ามีความสุขด้วย แต่ถ้าท่านทำตามเนื้อหนัง ท่านก็จะได้รับผลในโลกนี้ คือความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งทำให้พระเจ้า ผู้เป็นพ่อทุกข์ใจเสียใจ

            ในข้อ 13 บอกว่า … “พระเจ้าเป็นผู้กระทำการงานในท่าน ให้กำลังท่านจากข้างใน  ให้ท่านสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้”

            แปลว่าท่านแค่มอบถวายทุกส่วนในร่างกายของท่าน ให้กับพระเจ้าและพระเจ้าจะทรงเป็นผู้กระทำการงาน  ให้ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้สำแดงออกมาเอง โดยธรรมชาติที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้  ขอบคุณพระเจ้า

            พระเจ้าพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ลูกขอบคุณพระองค์  สำหรับพระคุณความรัก  ความเมตตาที่ได้ทรงโปรดประทานให้กับลูก  ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอด  การเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ เป็นความรัก เป็นความสว่าง  เป็นสันติสุข  เป็นความชื่นชมยินดี  ขอบคุณที่พระองค์ประทานกำลังให้ผลเหล่านี้ ได้ถูกสำแดงออกมาจากชีวิตของลูก ลูกขอบคุณพระองค์ในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

            พระเจ้าอวยพรครับ