คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2024
เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 6
โดย วราพร คงล้วน
เรายังอยู่ในหนังสือกาลาเทีย วันนี้เราจะมาเริ่มบทที่ 3 คราวที่แล้วที่เราเรียนกัน เรื่องของอาจารย์เปโตร ที่ไปทานข้าวกับคนต่างชาติ กำลังทาน สนุกสนานกันอยู่ พอเห็นคนยิวเข้ามา ด้วยความตกใจ ก็รีบลุกขึ้น แล้วก็ชะแว๊บหายไปเลย เป็นสิ่งที่อาจารย์เปาโลรับไม่ได้ ก็เลยว่ากันแรงๆ ไม่ได้ไปแอบว่า คือว่ากันต่อหน้าว่า …
“ท่านเป็นคนยิว ท่านยังรู้ว่ามนุษย์ไม่มีความสามารถที่จะได้รับความรอด โดยผ่านทางบทบัญญัติ แล้วท่านยังจะมาทำท่าทางแบบว่าไม่ได้ ฉันกับคนต่างชาติอยู่ด้วยกันไม่ได้ คนละระดับ”
ซึ่ง ณ เวลานี้ สิ่งที่อาจารย์เปาโลกำลังประกาศ คือโดยพระคุณความรักของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษยชาติ คนต่างชาติกับคนยิวที่ได้เข้ามา เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะอยู่ในสถานะเดียวกัน ก็คือเป็นประชากรของพระเจ้าร่วมกัน สามารถที่จะเป็นพี่น้องกัน แต่อาจารย์เปโตรทำอย่างนี้ เหมือนไม่ได้เป็นพี่น้องกัน ซึ่งมันขัดกับความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า อันนี้อาจารย์เปาโลรับไม่ได้ ไม่ยอมด้วย ไม่ให้มันผ่านไป ต้องเคลียร์ให้เสร็จๆ เลยว่าทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ณ ปัจจุบัน ความรอดมาถึงทุกคนแล้ว ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาเป็นพี่น้องของเรา เขาอยู่ในสถานะเดียวกัน เขามีพระเจ้าองค์เดียวกันกับเรา ซึ่งเป็นพ่อของเราทั้งหลาย และมีพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพี่ชายใหญ่ของเรา ทุกอย่างมันเป็นไปตามนั้น อย่างที่เราเรียนรู้จากในหนังสือเอเฟซัส ไม่มียิว ไม่มีกรีก ไม่มีทาส ไม่มีไท คือทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์
พอมาถึงบทที่ 3 เรามาดูบทที่ 1 ข้อที่ 1
กาลาเทีย 3:1-2 “1 “ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย! ใครสะกดท่านให้หลงไปเสียแล้วเล่า? ภาพพระเยซูคริสต์ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ก็ชัดเจนอยู่ต่อหน้าต่อตาท่าน 2 สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากรู้จากท่าน คือท่านได้รับพระวิญญาณ โดยการทำตามบทบัญญัติ หรือโดยการเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน?”
แปลว่าตรงนี้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในกาลาเทีย ตั้งแต่บทที่ 1 ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าใครก็ตามที่มาประกาศข่าวประเสริฐอื่น นอกเหนือจากที่อาจารย์เปาโลประกาศไว้แล้ว ให้คนนั้นถูกสาปแช่ง ไม่ว่าคนนั้นจะใหญ่มาจากที่ไหน? ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์หรือใครก็ตาม ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่น ขอให้เขาถูกสาปแช่ง
ฉะนั้น ตรงนี้แปลว่ามีผู้คนมาประกาศข่าวประเสริฐอื่นให้กับชาวกาลาเทีย แล้วไม่เพียงแต่ประกาศข่าวประเสริฐอื่นเท่านั้น ชาวกาลาเทียเชื่อด้วย แล้วก็ไปทำตาม พอเชื่อและไปทำตาม อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่าท่านโง่ถึงขนาดนี้ ใช้คำว่า “โง่” เลยนะ ฉลาดน้อยไปหน่อย อะไรประมาณนี้ แต่โง่จริงๆ เพราะว่าข่าวประเสริฐที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติ ที่อาจารย์เปาโลประกาศ คือข่าวประเสริฐเป็นพระคุณ
“พระคุณ” หมายความว่ามนุษย์ทำเองไม่ได้ แล้วก็ไม่สามารถทำได้ด้วย ไม่ว่าการประพฤติดีใดๆ ตามกฎบัญญัติทุกอย่างที่พระเจ้าตั้งไว้ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถประพฤติได้เต็ม 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า แปลว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถใช้วิธีการประพฤติปฏิบัติตามบทบัญญัติ หรือถ้าไม่ใช่ชาวยิว ไม่รู้จักบทบัญญัติ คือทำดี ประพฤติดีตามกฎที่เขาได้รับมา เพื่อไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ ซึ่งตรงนี้ไม่มีใครทำได้เลย
แล้วอาจารย์เปาโลเลยถามว่าอยากจะรู้จริงๆ ว่าพวกท่านรับพระวิญญาณ โดยการประพฤติใช่ไหม? หรือว่ารับโดยความเชื่อที่ท่านได้ยินการประกาศข่าวดี ผ่านทางอาจารย์เปาโล ข่าวดีนี้ คือพระเจ้าได้ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ซึ่งเป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า เป็นผู้เดียวที่เกิดบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีเชื้อบาปเลย แล้วเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกส่งมา เป็นผู้ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาปว่าจะส่งพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับมนุษยชาติ พระเจ้าผู้นี้ คือพระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ และมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนที่เมื่อกี้เราทำมหาสนิท ก็คือพระเยซูคริสต์ยอมสละพระองค์เอง ให้มนุษย์นำไปตรึงบนไม้กางเขน ยอมหลั่งพระโลหิตของพระองค์ จนถึงเลือดหยดสุดท้ายของพระองค์
แล้วพี่น้องลองคิดดู พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ยอมละวิญญาณของพระองค์เอง ไม่มีใครฆ่าพระเยซูคริสต์ได้ พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าพระเยซูไม่ยอม เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ยอม การยอมของพระเยซูคริสต์ต้องใช้พลังมหาศาลมาก ทำไมเรารู้ว่าใช้พลังมหาศาล เราเห็น หลังจากที่พระเยซูคริสต์ทำมหาสนิทกับสาวกแล้ว ร้องเพลง “วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะชื่นชมยินดี” แต่โดยความเป็นมนุษย์ พี่น้องนึกออกไหม? ณ เวลานั้น พระเยซูยังเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์อยู่ มีความกลัวอยู่ พระองค์กลัวมากๆ เพราะพระองค์รู้ทุกอย่าง รู้สิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ รู้ว่าต่อแต่นี้ไป อีกไม่กี่นาที พระองค์จะต้องไปเผชิญกับอะไร? กลัวขนาดที่อธิษฐานกับพระเจ้า เหงื่อออกมาเป็นเลือด อธิษฐานกับพระเจ้าถึง 3 ครั้ง
“ไม่ไปได้ไหม พระองค์เจ้าข้า ให้ถ้วยนี้เลื่อนไปได้ไหม? ไม่อยากไป มันทรมาน”
ชนิดที่พระเยซูเป็นมนุษย์ จะรู้ว่ามันเจ็บ มันปวด มันทรมาน และที่ทรมานมากกว่านี้ คือพระเยซูคริสต์จะต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้าพระบิดา ช่วงระยะหนึ่ง ตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน จนถึงวันที่ 3 ที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย คือด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ชุบให้พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย และที่ทรมานมากกว่านี้ คือพระเยซูคริสต์จะต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า ช่วงระยะหนึ่งตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน จนถึงวันที่ 3 ที่พระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย คือด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย
ฉะนั้น การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์มีความหมายมากๆ สำหรับมนุษยชาติ ถ้าพระเยซูคริสต์แค่หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระล้างบาปของเราเท่านั้น มนุษย์ก็ได้รับการยกโทษบาปเฉยๆ แต่มนุษย์จะไม่สามารถเป็นเหมือนพระเจ้า คือไม่สามารถที่จะบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ก็แค่ได้รับการยกโทษ มนุษย์ก็ทำผิดแล้วผิดอีก ก็ยกโทษแล้วยกโทษอีก ก็ไม่มีผลอะไร? เพราะว่าวิญญาณของมนุษย์ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ในอาดัม อยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง
พระเยซูคริสต์จำเป็นต้องยอมละวิญญาณของตัวพระองค์เอง คือยอมตายบนไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เพื่อว่ามนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ จะได้ตายพร้อมกับพระองค์ วิญญาณเก่าที่เป็นบาปจะได้ถูกนำไปไว้กับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน และตายด้วยกัน ถ้าวิญญาณเก่าของมนุษย์ไม่ตาย มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ นี่เป็นขบวนการ เป็นแผนการที่พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป แล้วแผนการนี้ พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้ร่วมมือกับพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ต้องยอมด้วย เหมือนกับพวกเรา เมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ได้บังคับเรา เราต้องยอม ด้วยตัวของเราเองว่ายอมให้พระเจ้าทำงานในชีวิตของเรา ยอมที่จะทำตามสิ่งที่เราได้บังเกิดใหม่ ธรรมชาติใหม่ที่มันเป็นตัวตนของเราแล้ว เรายอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนของเรา เพื่อที่จะส่งผลของการบังเกิดใหม่ของเราออกไปให้ผู้คนได้สามารถเห็นได้ ตรงนี้เป็นภาพที่พวกเราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ว่าถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ตาย เราก็ตายไม่ได้ คือตัวเราเองตายอยู่ในบาปแล้ว ตายนิรันดร์เลย หลังจากโลกนี้สลายไป วิญญาณออกจากร่าง เราก็ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ในบาป แต่เพราะพระเยซูคริสต์ยอมตาย พระเจ้าจึงสามารถนำตัวเก่าของเราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ตายไปด้วย เมื่อตัวเก่าของเราตายปุ๊บ ฝังกับพระเยซูคริสต์ แล้วเราเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็คือบังเกิดใหม่ ด้วยพระสัญญาใหม่ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติ พระเจ้าสัญญาว่า …
“เราจะให้ใจใหม่กับเจ้า เราจะให้วิญญาณใหม่กับเจ้า แล้วเจ้าจะเป็นประชากรของเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า”
นี่คือพระสัญญาในพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะทำ และสิ่งนี้ได้ทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ วันที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย
ฉะนั้น มนุษย์ทุกคนมีทางเลือกใหม่ เลือกที่จะยอมให้พระเจ้าย้ายเราจากในอาดัม จากความบาป จากคำสาปแช่ง จากการไม่มีพระเจ้านิรันดร์กาล ย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ทันทีที่เราย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วเราได้ตามพระสัญญา ก็คือเราได้รับวิญญาณใหม่ ได้รับความคิดจิตใจใหม่ที่พระเจ้าให้ใหม่เลย ณ วันนี้ ผู้เชื่อทุกคน พวกเราทุกคนจำตรงนี้แม่นๆ ก็คือตัวตนของเราจริงๆ ไม่มีบาปเลย อย่าให้ใครมาใส่ความเรา หรือใส่ความคิดลงมาว่า …
“เธอยังบาปอยู่เลย เธอยังทำโน่นนี่ไม่ถูกต้อง”
เราต้องยืนกรานตามถ้อยคำของพระเจ้าว่า … “ฉันไม่มีบาปแล้ว ตัวบาปเก่าของฉันตายไปกับพระเยซูคริสต์แล้ว ณ เวลานี้ ฉันเป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์เลย”
นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกกับเรา ดังนั้น หลังจากที่ผู้เชื่อได้เปิดใจต้อนรับเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือครบถ้วน สมบูรณ์ ใครก็ตามที่เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก พระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องพยายามที่จะทำเพิ่ม เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น ไม่ต้อง พระเจ้าบอก …
“เธอชอบธรรมแล้ว”
เราไม่จำเป็นต้องพยายามตะเกียกตะกาย ทำอะไรก็ตาม เพื่อให้เราสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไม่ต้อง เพราะว่าพระเจ้าทำให้เราเสร็จสิ้น สมบูรณ์แล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป๊ะ ตอนนี้วิญญาณใหม่ของเราไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียวเลย นี่คือความจริง ความจริงในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้น แต่เนื่องจากเรายังอยู่ในโลกใบนี้อยู่ ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ โอกาสที่เราจะเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องมันมี ฉะนั้น ไม่ว่าผู้เชื่อคนไหนก็ตามที่เผลอไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเรา คนๆ นั้นก็จะได้รับผล เฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่มันจะไม่สามารถกระทบกระเทือนกับวิญญาณของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนที่อาจารย์นครบอก ขิงมันถูกดองไปแล้ว จะเอากลับไปเป็นขิงสดไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็คือเป็นขิงดอง แล้วก็ดองตลอดไป จนกว่าจะถูกกินหมด นั่นคือความจริง
เราจำเป็นจะต้องมองภาพพวกนี้ให้เห็น ให้ชัด เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก เพราะว่าโลกนี้พยายามหลอกเรา หลอกผู้เชื่อว่าต้องไปทำโน่นเพิ่ม ทำนี่เพิ่ม เห็นไหม เธอต้องพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อเธอจะได้เป็นที่รักของพระเจ้า เพื่อเธอจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น แต่พระเจ้าบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย เธอเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว เธอเป็นที่รักของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์รักเราดังแก้วตาดวงใจเรียบร้อยไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจากนี้ต่อไป เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราจะสังเกต เราไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกายทำด้วยตัวเราเอง แต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา พระองค์จะนำเรา ในการทำ ให้ส่งผลของธรรมชาติใหม่ของเราออกไป ให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น ถ้าเรารู้ความจริงมากเท่าไร? ผลนั้นจะถูกส่งออกไปมากเท่านั้น ถ้าเรารู้ความจริงน้อย ก็จะถูกหลอกว่า …
“เธอยังบาปอยู่เลย เธอยังทำโน่นก็ไม่ดี ทำนี่ก็ไม่ดี”
แต่เราก็ไม่ต้องไปสนใจ โลกนี้ส่งข้อมูลพวกนี้มา เราต้องยืนกรานว่า … “พระเจ้าบอกว่าฉันดี ต่อให้ตอนนี้ฉันเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ดี พระเจ้าก็ยังบอกว่าฉันดี ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่บางครั้ง เผลอไปทำบาปเท่านั้นเอง” เผลอทำบาปนะ
ฉะนั้น การเผลอทำบาปของผู้เชื่อ มันจะอยู่กับเรานานไหม? พี่น้องอาจจะถามว่าเมื่อไรเราจะไม่เผลอล่ะ ก็เมื่อลมหายใจเราออกจากร่างนั่นแหละ เราก็จะไม่เผลอ ไม่อย่างนั้นเราเผลอทุกวัน ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่ศิษยาภิบาลก็มิสิทธิ์เผลอด้วยใช่ไหม? เราทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า มีสถานะเดียวกัน แค่พระเจ้าใช้แต่ละคนในตำแหน่งหน้าที่ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง เรามีสิทธิ์ที่จะเผลอ แต่ไม่ว่าเราจะเผลอขนาดไหนก็ตาม เราต้องรับรู้ความจริง และยืนยันความจริงว่า …
“ฉันแค่เผลอ ทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามตัวตนของฉันเท่านั้นเอง แต่ตัวตนของฉัน ฉันสะอาด บริสุทธิ์ ฉันชอบธรรม ฉันเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ฉันไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว ในสายพระเนตรของพระเจ้า”
กาลาเทีย 3:3-4 “3 ท่านโง่เขลาปานนี้หรือ? หลังจากที่เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ บัดนี้ ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่าน ด้วยการขวนขวายของมนุษย์หรือ? 4 ท่านได้ทนทุกข์มากมาย โดยเปล่าประโยชน์หรือ? สิ่งนี้เป็นการเปล่าประโยชน์จริงๆ หรือ?”
มันเปล่าประโยชน์จริงๆ ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์บอกพระองค์ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ในชีวิตของเรา เราได้รับผลสำเร็จทั้งหมดที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราแล้ว แต่ผู้เชื่อยังสามารถถูกหลอกว่า …
“แค่นั้นไม่พอ เธอต้องพยายามทำโน่นทำนี่ ทำนั่น เพื่อที่เธอจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น”
อาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าอย่าให้ถูกหลอกว่าเราจำเป็นจะต้องทำโน่นนี่นั่น เพิ่มเติมจากสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ผลสำเร็จทั้งหมด เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว มันจะต่างกันตรงที่ว่าหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราได้รับวิญญาณใหม่จากพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเราแล้ว หลังจากนั้น เราก็ฝึกฝน มันต่างกันนะ หลังจากนั้น เราฝึกฝน ให้ธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นอยู่ให้พัฒนา แล้วก็ถูกสำแดงออกไป มันต่างออกไป ที่เราพยายามทำๆ เพื่อเราจะได้รับความรอด แต่ความเป็นจริง คือผู้เชื่อได้รับความรอดแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว หลังจากนั้น เราก็ฝึกฝนการเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ให้สำแดงความชอบธรรมของพระองค์ออกไป ให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็นชัดเจนมากขึ้น มันจะต่างกัน
เหมือนกับครอบครัว เราอยู่ในครอบครัว เราเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ เราไม่จำเป็นที่ต้องพยายามทำอะไรก็ตาม เพื่อทำให้เราเป็นลูกของพ่อแม่ ไม่ต้อง ต่อให้เราไม่ทำ ต่อให้นั่งไป นอนไป กินไป เล่นไป เราก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่อยู่ มันเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ไม่ได้ แต่ที่เราลุกมาทำโน่นทำนี่ เพราะเรารักพ่อแม่ เราอยู่ในบ้าน เราลุกขึ้นมา ช่วยแม่กวาดบ้าน ช่วยแม่ถูบ้าน ช่วยแม่หุงข้าว ช่วยแม่ทำโน่นทำนี่ ไปจ่ายตลาด ไปช่วยแม่หิ้วของ ซื้อของ นั่นคือความรักที่มาจากข้างใน เรารู้ว่าเราเป็นลูกของแม่ เราอยากจะทำให้แม่หายเหนื่อย เราก็ไปทำ แค่นั้นเอง ภาพมันจะต่างกันกับการที่เราต้องพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อให้แม่หรือพ่อยอมรับว่าฉันเป็นลูก มันไม่ใช่ ไม่จำเป็นเลย ก็คือเราเป็นลูกเรียบร้อยไปแล้ว หลังจากนั้น เราค่อยทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นใจ
ในภาพเดียวกัน เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า เราไม่จำเป็นต้องพยายามดิ้นรนทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้ายอมรับว่าเราเป็นลูกของพระองค์ เราเป็นเรียบร้อยไปแล้ว แต่ที่เราต้องการ ที่เราปรารถนาอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เพราะธรรมชาติใหม่ข้าง ในเราเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เราเป็นความดีงามอยู่แล้ว เราเป็นเหมือนพระเจ้าอยู่แล้ว แล้วเราก็อยากจะสำแดงความเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราออกไป เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันๆ นี่คือภาพ พี่น้องต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออก เราก็จะถูกหลอก พอนานๆ เข้า การที่เรามีความสำนึกว่า …
“ฉันเป็นลูกพ่อลูกแม่ ฉันเข้าบ้าน บ้านของพ่อแม่ คือบ้านฉัน”
เป็นไหม? ความรู้สึกมันเป็นอย่างนี้จริงๆ บ้านของพ่อแม่ คือบ้านฉัน พอเราเข้าบ้านพ่อแม่ เราก็เปิดตู้เย็น เราก็หยิบของกิน เรามีความสุข วันนี้เราขี้เกียจทำอะไร เราก็นอนตีพุง เปิดโทรทัศน์ดู พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร? หรือแค่บอกว่าลุกขึ้นมาหน่อย อะไรแบบนี้ ก็แค่นั้น แต่เรายังมีความรู้สึกของการเป็นลูกของบ้านนี้อยู่ ไม่ใช่ว่าเราเข้ามา เราก็เกร็งๆ …
“บ้านนี้ของฉันหรือเปล่า? บ้านพ่อแม่ไหม? เวลาฉันจะหยิบจับอะไร? ฉันเกร็งมากเลย ฉันไม่กล้าหยิบ ฉันกลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด”
มันไม่ใช่ภาพปกติ ธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ใช่แน่นอน แต่ว่าธรรมชาติของการเป็นมนุษย์ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรามีความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในสิ่งที่พ่อแม่เรามีและเป็น ในภาพของโลกวิญญาณเหมือนกัน เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เราเห็นภาพนี้ชัดเจนมาก ในขณะที่เรามีความสุข มีสันติสุข สบายใจ เวลาอยู่ในบ้านของพระเจ้า เราไม่ต้องพยายามเกร็งมากเลย ต้องพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้าพอใจ ไม่ต้องนะ พระเจ้าพอใจเรามากอยู่แล้ว
ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยถามคนกาลาเทียว่า … “ที่ท่านเชื่อ เชื่อเพราะว่าท่านได้รับ ได้ยินข่าวดีของพระเจ้าผ่านทางฉัน ฉันประกาศให้เธอ หรือเพราะท่านปฏิบัติดี ท่านจึงได้รับความรอด” อันนี้ต่างกันนะ
กาลาเทีย 3:5-7 “5 พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน และทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น ก็เพราะท่านรักษาบทบัญญัติ หรือเพราะท่านเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน? 6 จงพิจารณาดูอับราฮัม “เขาเชื่อพระเจ้าและความเชื่อนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” 7 ฉะนั้น จงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อ ก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม”
อาจารย์เปาโลยกตัวอย่างอับราฮัม ทำไมอับราฮัมได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งความเชื่อ และเพราะความเชื่อของเขา พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม เป็นความชอบธรรม อับราฮัมได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ชอบธรรม ตั้งแต่เมื่อไร? ก็คือตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าเรียกเขาในหนังสือปฐมกาล บทที่ 12 พระเจ้าเรียกเขาให้ออกมา
ปฐมกาล 12:1-3 “1 องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้เคยตรัสกับอับรามว่า “จงละบ้านเมืองของเจ้า วงศ์ตระกูลของเจ้า และครอบครัวบิดาของเจ้า เพื่อไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า 2 “เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ และเราจะอวยพรเจ้า เราจะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือ และเจ้าจะเป็นพร 3 เราจะอวยพรบรรดาผู้ที่อวยพรเจ้า และเราจะสาปแช่งบรรดาผู้ที่แช่งเจ้า ทุกชนชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเจ้า”
นี่เป็นคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกไว้ แล้วเป็นสิ่งที่พระเจ้าเรียกอับราฮัมตั้งแต่เริ่มแรก เมื่อก่อนไม่ได้ชื่อ “อับราฮัม” นะ ชื่อ “อับราม” พระเจ้าบอกกับอับรามว่าให้ออกจากบ้าน ออกจากเมือง ไปตามที่พระเจ้าได้สั่งให้เขาไป เพราะอับราฮัมเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เพียงความเชื่อของอับราฮัมเพียงครั้งเดียว ก็คือเมื่อพระเจ้าตรัสปุ๊บ เขาพาภรรยา ตอนนั้นยังไม่มีลูกนะ พาภรรยา เอาคนใช้ เดินทางไปเลย ไปตามที่พระเจ้าสั่ง ณ เวลานั้น พระเจ้าก็ไม่ได้บอกว่าจะให้ไปที่ไหน? บอกมาแล้วกัน แล้วเราจะทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับเจ้า ความเชื่อของอับราฮัมเพียงครั้งเดียว เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ที่อับราฮัมเชื่อว่า …
“พระเจ้ามีอยู่จริง แล้วเชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้ ที่สั่งให้เขาเดินทางออกจากบ้านเมืองของตัวเอง ออกจากญาติพี่น้องของตัวเอง แล้วเดินตามพระองค์ไป มันเป็นความเชื่อในโลกวิญญาณที่อับราฮัมเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แล้วฉันก็จะตามไปด้วย”
หลังจากความเชื่อตรงนี้ เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างความเชื่อและความเชื่อฟัง
เรื่องของความเชื่อ เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ แต่เรื่องของการเชื่อฟัง เป็นเรื่องของโลกใบนี้ โลกวัตถุ ฉะนั้น การเชื่อของอับราฮัม หรือของพวกเรา ณ ปัจจุบันที่เราเป็นผู้เชื่อแล้ว การที่เราจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังพระเจ้า มันเป็นการดำเนินชีวิต ซึ่งเรามีโอกาสที่จะไม่เชื่อฟังก็ได้ ตอนที่อับราฮัมไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าก็ยังถือว่าเขาชอบธรรมอยู่ ไม่ใช่พอ ไม่เชื่อฟังปุ๊บ พระเจ้าบอกไม่เอาแล้ว ไม่ให้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ใช่ อับราฮัมไม่เชื่อฟังพระเจ้าหลายต่อหลายครั้ง เรารู้ได้จาก …
ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่เห็นชัดๆ คือตอนที่พระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่า …
“เราจะให้เจ้ามีลูกหลานดกทวีคูณเต็มแผ่นดิน”
และคนที่จะเป็นทายาทในฝ่ายวิญญาณ จะเกิดจากนางซาราย ผู้เดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคนอื่น แล้วตอนที่อับราฮัมได้ยิน ท่านเชื่อตามนั้น แต่เนื่องด้วยสภาวะของร่างกาย หรือเนื่องด้วยความเป็นมนุษย์ อยู่กันไป ก็เชื่อตามนั้นแหละ พระเจ้าบอกว่าให้ไปดูเม็ดทราย ลูกหลานของเจ้าจะเต็มเหมือนเม็ดทราย ลูกหลานของเจ้าจะเป็นเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า อับราฮัมก็เชื่อตามนั้น ตอนที่พระเจ้าคุยกับอับราฮัม อายุ 75 จนเวลาผ่านไป 10 ปี อายุ 85 แล้ว อับราฮัมก็มอง 10 ปีผ่านไป ไม่เห็นมีวี่แววเลย นางซารายก็เลย คิดจะช่วยพระเจ้า ยกนางฮาการ์ คนใช้ของตัวเองให้อับราฮัมไปเป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง แล้วอับราฮัมก็ไปนอนกับนางฮาการ์ นี่ถือว่าไม่เชื่อฟัง เพราะพระเจ้าบอกแล้วไง …
“ลูกหลานของเธอจะมาทางสายของนางซารายเท่านั้น”
แต่ในความเป็นมนุษย์ อับราฮัม ก็ไม่เชื่อฟัง ก็ไปนอนกับนางฮาการ์ มีลูกออกมาคนหนึ่ง พอหลังจากนั้น พระเจ้าก็ยังถือว่าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ จนอายุ 99 พระเจ้ามาหาอับราฮัมอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็บอกอับราฮัมว่า …
“วันนี้ ปีหน้า นางซารายจะคลอดบุตรชาย”
แล้วบุตรคนนั้น ให้ตั้งชื่อว่าอิสอัค บุตรคนนี้แหละ เป็นบุตรแห่งพันธสัญญา ที่เราได้มีเป้าหมายไว้ เราจะอวยพรบุตรคนนี้ผ่านทางลูกหลานของเขา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้บอกกับอับราฮัม แล้ววันนั้น อับราฮัมก็ยังจริงหรือไม่จริง ในขณะที่นางซารายก็แอบหัวเราะด้วยนะ พระเจ้าล้อเล่นไหมเนี้ย ตอนนั้นแก่มากแล้ว ประจำเดือนหมด จะมีลูกได้อย่างไร? พระเจ้าสามารถที่จะทำทุกอย่างได้ ตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ แล้วนางซารายก็คลอดลูกจริงๆ
พอคลอดลูกเสร็จ อิสอัคเป็นที่รักของอับราฮัมมาก รอมานานมาก จากนั้น สิ่งที่ไม่คาดฝัน คือพระเจ้าสั่งอับราฮัมว่าให้เอาอิสอัคไปถวาย แล้วพวกเราอาจจะคิดว่าตอนที่อับราฮัมถวายอิสอัค เป็นความเชื่อเริ่มต้น ไม่ใช่ ความเชื่อเริ่มต้น ก็คือตอนที่เดินทางมา ดังนั้น การถวายอิสอัคเป็นเพียงการพิสูจน์ความเชื่ออีกครั้งหนึ่งของอับราฮัม ที่เขาเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แล้วเขาก็ถวายอิสอัค แล้วเขาก็เชื่อต่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถที่จะทำให้คนตายเป็นขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อเขาถวายอิสอัค พระเจ้าสามารถ พระเจ้าจะทำให้อิสอัคเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้ นั่นคือผลหรือบทพิสูจน์ความเชื่อที่อับราฮัมมีอยู่แล้ว เอาอิสอัคไปถวาย แล้วพระเจ้าก็เห็นแล้วตอนนี้ สิ่งที่พิสูจน์ความเชื่อของอับราฮัม ก็ได้ทำแล้ว พระเจ้าเลยบอกหยุดๆ ไม่ต้อง พอแล้ว เราเห็นแล้ว แล้วพระเจ้าก็เตรียมแกะตัวหนึ่งให้อับราฮัม แล้วอับราฮัมก็เอาแกะตัวนั้น ไปถวายแด่พระเจ้า
การที่มนุษย์จะเชื่อวางใจในพระเจ้าครั้งแรก ที่พวกเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นความเชื่อครั้งเดียวที่เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ มาตายแทนเราบนไม้กางเขนจริงๆ เชื่อว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งมา เพื่อชำระล้างความผิดบาปของเราจริงๆ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าด้วย เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แล้วเราเชื่อว่าพวกเราทุกคนได้เป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์จริงๆ แล้วเรายังเชื่ออีกว่าพระพรนานัปการที่บอกว่าทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว มันเป็นจริง ณ บัดนี้ เราได้รับพระพรเหล่านั้น เรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เราเชื่อจริงๆ เราจึงมีความหวังใจ
อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก ถ้าผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคน ไม่ได้เชื่อตามนี้ ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย การเชื่อของเราก็เปล่าประโยชน์ เราก็เป็นคนโง่เขลา เพราะถ้าพระเยซูคริสต์ไม่เป็นขึ้นมาจากความตาย พวกเราก็ไม่สามารถบังเกิดใหม่ พวกเราก็ไม่สามารถเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ พวกเราไม่สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าได้เลย
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามหลังจากนั้น ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะอวยพรผู้คนผ่านทางอับราฮัม ฉะนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม หลังจากอับราฮัมจนถึงพวกเราในยุคปัจจุบัน ถ้าเราทำตามกฎนี้ คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ เราก็จะเป็นบุตรของอับราฮัมผ่านทางความเชื่อ กฎนี้ ก็คือกฎที่เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และเราเข้ามารับความรอดผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่มีการกระทำใดๆ เข้ามาผสมผเสเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าเราทำเองไม่ได้ ต้องให้พระเจ้าทำให้กับเรา ให้พระเจ้าเอาวิญญาณเก่าของเราไปตายพร้อมกับพระเยซู ให้วิญญาณเก่าเราไปฝังพร้อมกับพระเยซู แล้วให้พระเจ้าใส่วิญญาณใหม่ เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น อับราฮัมเป็นบรรพบุรุษของเราทางวิญญาณ พวกเราทุกคนก็เป็นลูกหลานของอับราฮัม ผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราทั้งหลายบนไม้กางเขน
ฉะนั้น ตรงนี้ อาจารย์เปาโลก็เลยต้องเน้นย้ำว่าสิ่งที่ผู้เชื่อทั้งหลายได้รับ ผ่านทางความเชื่อทั้งนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติของเราเลย เมื่อเราเชื่อแล้ว หลังจากที่เราเชื่อ ไม่ว่าเราจะทำผิดบ้าง ถูกบ้าง พลาดบ้าง พระเจ้ายังถือว่าเราเป็นลูกของพระองค์ ดูจากตัวอย่างอับราฮัม อับราฮัมโกหกเก่งนะ ไปไหนก็บอกให้นางซาราบอกใครต่อใครว่าเธอไม่ใช่เมียฉัน เธอเป็นน้องฉันนะ เพราะว่ากลัวตาย ภรรยาสวย ใครจะเอาภรรยาไปเป็นเมีย ก็ฆ่าฉัน ฉันกลัวตาย ฉันก็เลยบอกอย่างนี้ โกหกไหม? โกหก แต่พระเจ้ายังถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม มันไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ เลย ถ้าพี่น้องเห็นภาพตรงนี้ พี่น้องจะชัดเจนมากว่าปัจจุบันเหมือนกัน อย่าให้ใครหลอกเราว่าเมื่อเราเผลอทำบาป พระเจ้าไม่เอาเราแล้ว พระเจ้าทิ้งเราแล้ว พระเจ้าไม่นับเราเป็นลูกแล้ว เรารับรองไม่รอดแน่ๆ เผลอๆ ตายไป เราไม่ได้ไปอยู่สวรรค์แน่ๆ เลย อย่าให้ใครหลอกเรา ให้เรายึดในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า ในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่า ณ ปัจจุบัน เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น เป็นจริงๆ แล้วเราก็เอเมน ตามนั้น แล้วเราดำเนินชีวิตไปตามที่พระวิญญาณที่อยู่ข้างในนำเราในแต่ละวัน ผิดบ้าง พลาดบ้าง ไม่เป็นไร ก็เดินตามที่พระเจ้านำเรา จนถึงวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง เราก็ไปอยู่ที่เดิม ก็คืออยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่เดิมเลย แต่มันจะต่างจากที่ทุกวันนี้ เรามองอะไรไม่ชัดเจน เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องพระเยซูคริสต์ได้ แต่เราใช้ความเชื่อเอา พอถึงวันนั้น เราได้เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า เราไม่ต้องไปซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์อีกแล้ว เรามีร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา ผู้เชื่อทุกคนไปสวมร่างกายนั้น ตามพระสัญญาที่พระเจ้าบอกกับเรา เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ
************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
“ผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ได้เกิดใหม่ สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป ทุกสิ่งทั้งหมดเป็นใหม่ทั้งสิ้น”
2 โครินธ์ 5:17 … “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไปได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมดเป็นใหม่ทั้งสิ้น”
สิ่งเก่าทั้งหมด คือวิญญาณ จิตใจและร่างกาย
สิ่งใหม่ทั้งหมด คือวิญญาณ จิตใจและร่างกาย
… คือ …
วิญญาณเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ จิตใจเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายเดิม แต่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ใหม่ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์สะอาดบริสุทธิ์ดีพร้อม ไร้มลทินไร้ตำหนิใดใด ที่พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ดีพร้อม พอใจรับได้ และสามารถเข้ามาอาศัยสถิตอยู่ด้วยได้ และรอรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ได้ทรงสถิตอยู่กับเราแล้วนั้น สวมร่างกายใหม่ร่างกายสวรรค์นี้ทันที หลังจากร่างกายเดิมนี้สิ้นสุดลงหมดลมหายใจ และเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ของพระบิดาอย่างสมบูรณ์เต็มรูปแบบ ด้วยตัวตนแท้จริงที่สมบูรณ์แบบเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ตลอดนิรันดร์
คือ … ด้วยวิญญาณเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ จิตใจเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์
โคโลสี 1:13 … “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยซูคริสต์) ที่รักของพระองค์”
เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ หรือที่เรียกว่าในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซู ได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรสวรรค์ ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว และจะอาศัยอยู่ในอาณาจักรสวรรค์นี้ อยู่กับพระเจ้า ตั้งแต่โลกนี้จนถึงโลกหน้าตลอดนิรันดร์
พระเจ้าอวยพรครับ