วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1486

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  กันยายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 7 “คนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คือปฏิปักษ์พระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 7 วันนี้ ผมให้ชื่อเรื่องว่า “คนที่ไม่ยอมรัรบว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คือปฏิปักษ์พระคริสต์

            เรื่องนี้มีคนเข้าใจผิดเยอะมาก ในยุคปัจจุบัน  ครั้งที่แล้วเราจบกันที่ 1 ยอห์น 2:18-19 วันนี้จะมาทวนนิดหนึ่ง 1 ยอห์น 2:18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 2:18 “ลูกที่รัก บัดนี้ เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์กำลังมานั้น แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็มีมามากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย”

            วาระสุดท้าย คืออะไร? เราได้เรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว นี่เขาพูดวาระสุดท้าย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  เรากำลังอ่านเรื่องเกี่ยวกับเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ทำไมเป็นวาระสุดท้าย แล้วยังแถมบอกว่า “ลูกที่รัก บัดนี้”  คือตั้งแต่เดียวนี้เป็นต้นไป เป็นวาระสุดท้าย หรือยุคสุดท้าย หรือเวลาสุดท้าย สุดท้ายของอะไร? เริ่มต้นที่ไหน? ยุคสุดท้าย

            ยุคแรก คือยุคที่โลกใบนี้ยังไม่มีเลย เรียกว่าก่อนปฐมกาล พระคัมภีร์บันทึกไว้ก่อนปฐมกาล พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แล้ว  3 พระภาค ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์ ไม่มีโลกใบนี้

            ยุคต่อมา คือยุคที่พระเจ้าสร้างมนุษยชาติและโลกใบนี้ สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ให้มนุษย์ครอบครอง เรียกว่ายุคสวนเอเดน  พระเจ้าอยู่กับมนุษย์ โลกนี้เป็นสวนเอเดน

            ยุคต่อมา เป็นยุคที่มนุษย์ปฏิเสธพระเจ้า  ทิ้งพระเจ้า ละพระเจ้าเรารู้กันอยู่แล้ว ที่เราเรียกว่าตกลงไปในความบาป  ความบาป คือการไม่เชื่อพระเจ้า คือการทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ เป้าหมายของพระเจ้าที่สร้างมา เรียกว่าบาป

            ยุคต่อมา ยุคตั้งแต่บรรพบุรุษของมนุษย์ตกลงไปในความบาป พามนุษย์ทั้งปวงและโลกใบนี้ หล่นลงไปในคำสาปแช่ง ความบาป เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้ นี่ก็อีกยุคหนึ่ง และในยุคที่มนุษย์ตกลงไปในความบาปและความตาย พระเจ้าก็สัญญาว่าจะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น กลับมาเหมือนยุคก่อน คือยุคสวรรค์ ยุคสวนเอเดน สัญญาโดยบอกตั้งแต่เริ่มต้น ยุคที่ตกลงไปในความบาปว่า …

            “เราจะส่งบุตรของเรามาช่วย ให้พวกเจ้า คือมนุษย์ทั้งปวง และโลกใบนี้ ได้รอดพ้นจากคำสาปแช่ง และการตกลงไปในความบาปนี้ เราจะส่งบุตรของเรามาช่วย  บุตรของเรานี้จะชื่อ “เยซู” เยซูที่มาเกิดนี้  เป็นบุตรของเราที่อยู่ในสวรรค์กับเรา มาตั้งแต่เริ่มต้น เราจะส่งเขามาเกิดเป็นมนุษย์  และเมื่อเขาเกิดเป็นมนุษย์ จะมีนามว่า “เยซู”

            ส่วน “คริสต์หรือไคร์ซ” หมายถึงหน้าที่ของเยซูผู้นี้ มีหน้าที่ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ก็คือผู้ที่พระเจ้าตระเตรียม จัดตั้ง มอบหน้าที่ไว้ ภาษากรีกเรียกว่า “พระคริสต์” ภาษาฮีบรูเรียกว่า “เมซิยาห์” คือผู้ที่พระเจ้าจัดตั้งเตรียมไว้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ตามที่สัญญาไว้นั่นเอง

            นึกออกใช่ไหม? คราวนี้ รอมาๆ มายุคสุดท้าย คืออะไร?  ยุคสุดท้าย คือยุคที่พระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดจริงๆ เลย มาเกิดแล้ว เพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากความบาป และพระเยซูคริสต์ก็เดินทางไปสำเร็จการงานของพระองค์บนไม้กางเขน ที่เราได้รู้ก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว อะไรสำเร็จ ที่ตะกี้เล่ามาทั้งหมด ที่สัญญาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น สำเร็จแล้ว

            นับตั้งแต่ที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว นั่นคือยุคสุดท้าย นั่นคือเวลาสุดท้าย ช่วงเวลาสุดท้ายของมนุษยชาติที่จะเข้าสู่สวรรค์ พ้นจากความบาป พ้นจากคำสาปแช่ง  พ้นจากกฎของความบาปและความตาย เริ่มต้นตั้งแต่ที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว และจะดำเนินไปเรื่อยๆ เป็นขบวนการ จนกว่าโลกใบนี้จะสูญสิ้น เพราะได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์จะกลับมาอีกที

            เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ช่วงที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว จนถึงวันนี้ที่เรานั่งคุยกันอยู่นี้ อยู่ในยุคสุดท้าย เวลาสุดท้ายแล้ว พระเจ้าไม่ทำอะไรแล้ว เพราะว่ามันจบแล้ว พระเจ้ารอเพียงเวลาที่กำหนด คือโลกใบนี้สิ้นสุดลง มนุษย์คนสุดท้ายมาเชื่อพระเจ้า และมนุษย์คนสุดท้ายได้บังเกิดเป็นมนุษย์ ตามที่กำหนดไว้ และนั่นแหละ คือหมดยุคสุดท้ายนี้ คือพระเยซูคริสต์กลับมาอีกที  ก็มาหลังยุคสุดท้าย ก็คือยุคโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ ที่เราจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์

            ท่านจะเห็นแล้วนะว่ามันมียุคอะไรต่างๆ พอหนังสือพระคัมภีร์พูดถึงยุคสุดท้ายในพระคัมภีร์ใหม่ ในจดหมายหนังสือฝาก  ก็จงเห็นภาพว่าตั้งแต่วันนั้น วันที่พระเยซูคริสต์บอกสำเร็จแล้ว จนกระทั่งมาถึงเมื่อไรก็ตาม จนกระทั่งวันสุดท้ายที่โลกใบนี้แตก ดับสูญ พระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง นั่นแหละ คือช่วงเวลาของยุคสุดท้าย เราก็อยู่ในช่วงนั้น  และไม่มีใครรู้ว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมาเมื่อไร? อัครสาวกต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่รู้ นึกว่าคงมาเร็วๆ นี้ ก็เลยบอกว่านี่ไง บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว ให้เราเตรียมตัวเลย  เพราะว่าเขาไม่รู้ ถ้าเขารู้ว่าอีก 2,000 ปีเราก็เตรียมตัวอย่างนี้เหมือนกัน เขาคงไม่กระตือรือร้นมากนัก แต่เขาไม่รู้ เพราะพระเยซูบอกไม่มีใครรู้ พระองค์ก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะกลับมาเมื่อไร? พระองค์จะมาเหมือนขโมยมา ก็คือเราหลับสนิท เราไม่รู้เรื่อง  นี่คือที่เรารู้ว่ายุคสุดท้าย คืออะไร?

            ในนี้บอกว่า “ตามที่ได้ยินมาปฏิปักษ์พระคริสต์” ท่านรู้แล้ว ปฏิปักษ์พระคริสต์ “ปฏิปักษ์” ก็คือต่อต้าน ต่อต้านใคร? ต่อต้านพระคริสต์ พระคริสต์ คือใคร? พระคริสต์ คือพระเมซิยาห์ ในพระคัมภีร์ได้พูดถึง เปรียบเทียบว่าพระองค์เป็นแกะ เพื่อรับบาปให้กับมวลมนุษย์  ใช้ภาษาราชาศัพท์ว่า “พระเมษโปดก” แปลว่า “ลูกแกะของพระเจ้า” ก็คือแพะรับบาปที่เราคุ้นหูกัน  พระคัมภีร์บอก พระคริสต์ หรือพระเมซิยาห์ หรือพระเมษโปดก ลูกแกะของพระเจ้า คือพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าพระบิดาสัญญาว่าจะส่งพระบุตรมาช่วยให้มนุษย์ทั้งปวง รอดพ้นจากโทษของความบาปผิดทั้งปวง เพราะว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป  จึงต้องมาช่วย ถ้าไม่ตก ก็ไม่ต้องมาช่วย และใน 1 ยอห์น 2:19 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 2:19 “พวกเขาออกไปจากพวกเรา  แต่ที่จริงแล้ว เขาไม่ใช่พวกเรา เพราะถ้าใช่  เขาก็คงอยู่กับเราต่อไป  แต่การที่เขาจากไป  แสดงว่าในพวกเขาไม่มีสักคนเดียว ที่เป็นพวกเรา”

            อาจารย์ยอห์นกำลังจะบอกว่า “พวกเขาออกไปจากพวกเรา” ก็คือพวกเขาไม่ใช่คริสเตียน ไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์นั่นเอง เพื่อต่อต้าน ไม่เชื่อในพระเยซู ก็คือผู้ที่ไม่ยอมรับพระเยซู ก็คือปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ช้าๆ นะ ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เอาพระออกไป ปฏิเสธว่าคนนี้ที่ชื่อเยซู ที่อ้างว่าเป็นบุตรของพระเจ้า มาช่วย ไม่เชื่อว่าเขาเป็นพระคริสต์ เขาชื่อเยซู ลูกช่างไม้เฉยๆ  เป็นมนุษย์คนหนึ่งเฉยๆ  เขาปฏิเสธพระคริสต์ว่าคนนี้ไม่ใช่ ที่พระเจ้าเจิมไว้  ก็คือปฏิเสธว่าคนนี้ไม่ใช่พระเมซิยาห์  สำหรับชาวยิวที่ใช้ภาษาฮีบรู ที่รอพระเมซิยาห์ คนนี้ไม่ใช่ๆ ก็คือผู้ที่ปฏิเสธพระคริสต์ว่าไม่ได้เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ ก็คือปฏิเสธข่าวดีของพระเจ้าพระบิดา  ข่าวดี คือพระองค์ทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระเยซูคือพระคริสต์ คือพระเมซิยาห์ ที่มาช่วยเหลือมนุษย์ตามที่สัญญาไว้เรียบร้อยแล้ว

            เขาเหล่านี้ คือผู้ที่ไม่ยอมรับข่าวดี ก็คือไม่ได้เกิดใหม่ ไม่ได้ร่วมสามัคคีธรรม เป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระคริสต์  ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ ไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะว่าหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐที่ทำให้มนุษย์รอดพ้นจากความบาปนั้น หัวใจสำคัญอยู่ที่การยอมรับ จำนนสารภาพว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ เป็นพระเมซิยาห์  เป็นพระเจ้า ที่เป็นพระบุตร  ที่พระบิดาเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับมนุษย์ทั้งปวง คนยุคก่อนโน้นว่าจะส่งมาช่วย บัดนี้มาเกิดแล้ว  เพื่อชำระมนุษย์ทุกคน ที่เป็นคนบาป  เขาไม่ยอมรับสิ่งนี้  คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ยอมรับว่าพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน ไม่ยอมรับว่ามาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ไม่ยอมรับว่าตัวเขาเองเป็นคนบาปและทำบาป หัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ มีอยู่แค่นี้เอง

            นี่คือสรุปคร่าวๆ เมื่อตอนที่แล้ว วันนี้มาต่อ 1 ยอห์น 2:20 …

        1 ยอห์น 2:20 “แต่ท่านทั้งหลายได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์แล้ว และพวกท่านทุกคน ก็รู้ความจริง”

            “แต่ท่านทั้งหลาย” ก็คือไม่ได้ปฏิเสธพระคริสต์  แต่ท่านทั้งหลายไม่ได้ต่อต้านพระเมซิยาห์ แต่ท่านทั้งหลายยอมรับว่าเยซู ผู้นี้คือพระคริสต์ คือพระเมซิยาห์จริๆ วางใจในผู้นี้แหละ เมื่อวางใจในผู้นี้ ก็วางใจว่าคือผู้ที่พระเจ้าส่งมาไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ รวมทั้งฉันด้วย ก็เลยต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            แต่ท่านทั้งหลายที่ต้อนรับพระคริสต์แล้ว ได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์แล้ว  “แล้ว” หมายถึงคริสเตียนทั้งหลายที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ของเขาแล้ว เขาได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์ องค์บริสุทธิ์นี้ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

            และในนี้ต่อด้วยว่า “และพวกท่านทุกคน ก็รู้ความจริง” รู้ความจริง เพราะมันเกิดขึ้นภายในวิญญาณของเรา เราจะรู้ทันทีว่าเราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ แล้ว หมายถึงอย่างนั้น

            การเจิม หมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสด็จเข้ามา บัพติศมา คือผ่าตัดในวิญญาณ ก็ได้ จุ่มเราลงไป ก็ได้ แช่อิ่มเราลงไป ก็ได้ ในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อทำให้เรารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และให้วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่  อาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อาศัยอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน

            การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ การจุ่มเรา การผ่าตัดวิญญาณเราเข้าไปในตัวตนของพระเยซูคริสต์ อยู่ในโรม บทที่ 6 ไปอ่านดูได้ ทั้งหมดเลย เป็นการย้ายข้างทางฝ่ายวิญญาณของผู้นั้น ที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ย้ายข้างจากการเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ เป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ กลับมาเป็นอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระวิญญาณเข้ามาย้ายเราทันที ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เพราะว่าเรายอมรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพราะเรายอมรับว่าเราเป็นคนบาปและต้องการการช่วยเหลือ เราจึงวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระคริสต์ที่พระองค์ทรงถูกแต่งตั้งไว้ จากพระเจ้า มาช่วยเราให้ได้รับความรอด เราจึงรับพระองค์ เมื่อรับพระองค์ เราก็ได้รับความรอดจริงๆ คือพระเจ้าก็ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาบัพติศมา หรือผ่าตัดวิญญาณของเรา เข้าไปอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เรียกว่าบังเกิดใหม่ภายในวิญญาณและในใจของเราได้วิญญาณใหม่เลย ได้ใจใหม่ วิญญาณใหม่และใจใหม่ของเรา รู้จักพระเจ้า รู้จักภายในวิญญาณ รู้จักพระเจ้าพระบิดา รู้จักพระเจ้าพระเยซูคริสต์

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าอาณาจักรที่เราอยู่ในพระเจ้าพระบิดา และพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง  เป็นอาณาจักรที่มีแต่ความจริง ไม่มีความโกหกอยู่ในนั้น ไม่มีความมืด ไม่มีความเท็จอยู่เลย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี เพราะว่าเป็นสถานที่สถิตของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  เป็นสถานที่บริสุทธิ์จริงๆ เราได้ไปอยู่ตรงโน้นแล้ว โดยการรับเชื่อเท่านั้นเอง ใน 2 เปโตร 1:3-4 ได้บอกไว้ตรงนี้ เราได้รับตรงนี้แล้วจริงๆ ผมจึงยกมาให้ท่านได้อ่านดูว่าเมื่อเราได้บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ กับพระบิดาเจ้าแล้ว เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั้น มันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเราบ้าง เราได้รับอะไรไปแล้ว ในโลกวิญญาณบ้าง มันเป็นเช่นไร? …

        2 เปโตร 1:3-4 “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา  ที่จำเป็นแล้ว ในการมีชีวิตที่ชอบธรรม และดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริ และความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วม ในพระเกียรติสิริและความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทาน พระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และรอดพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

            นี่คือสถานะที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ ในวิญญาณของท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่เชื่อแล้ว มันเกิดขึ้นอย่างนี้ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่ มันเป็นอย่างนี้แล้ว คือท่านได้เข้าส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ และความดีงามของพระองค์ในพระคริสต์ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าพระบิดา ผู้บริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ท่านคิดดูท่านบริสุทธิ์ขนาดไหน?  ท่านมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า

            พระลักษณะของพระเจ้า คือธรรมชาติของพระเจ้า ท่านเข้าไปมีส่วนเลย เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า รอดพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ก็คือถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่เป็นความมืด ที่ตกอยู่ในความบาปและคำสาปแช่ง ย้ายออกมาอยู่ในความสว่าง อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่กับพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูแล้ว เราคริสเตียนได้มีทุกสิ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างในโลกวิญญาณแล้ว เราได้รับจากพระเจ้าแล้ว นี่คือคำยืนยันจากพระเจ้า ในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ เราไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว ในโลกวิญญาณ ไม่ต้องมีใครมาหลอกเราว่าต้องไปเติมอันโน้นอันนี้ ไม่ต้องเติมแล้ว เราครบถ้วนบริบูรณ์ ในพระเยซูคริสต์แล้ว อย่าให้ใครมาหลอกเราว่าเราเป็นคริสเตียน ยังขาดตกบกพร่องในโลกวิญญาณตรงโน้นตรงนี้ ต้องอธิษฐานเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้ตรงนี้มา ต้องไปสัมมนาที่นี่ ที่นั่น เพื่อจะได้รับพระวิญญาณมากขึ้น  พระวิญญาณอยู่กับท่านอยู่แล้ว ก็คือพระวิญญาณเป็นบุคคล ไม่ใช่เป็นแก๊สมาส่งทีละถังๆ ไม่พอ ไปเติมถังใหม่ เป็นบุคคล เป็นหนึ่งคน  เข้าไปอยู่กับท่าน คืออยู่กับไม่อยู่เท่านั้นเอง อยู่ก็คืออยู่ ไม่อยู่ก็คือไม่อยู่ ไม่ใช่อยู่แค่ครึ่งคน เข้าใจใช่ไหมครับ? เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครมาหลอก

            เรารู้ความจริงเหล่านี้ โดยจากภายในวิญญาณเรา เรารู้ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในเรา เราจึงรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ความคิดเราอาจจะต่อต้านว่าเราไม่รู้เรื่อง แต่ข้างในใจเรารับรู้ว่าเหล่านี้เป็นจริง เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ เรารับจริงๆ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และยืนยันสิ่งเหล่านี้ให้กับเราจริงๆ เพราะฉะนั้น จงรับรู้และอย่าให้ใครมาหลอกท่านว่าท่านขาดตกบกพร่องในสิ่งใด ท่านไม่ขาดเลยแม้แต่นิดเดียว  เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนได้รับการเจิมครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว โดยเราอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเรา และเรากับพระคริสต์อยู่ในพระบิดา เราทั้ง 3 เป็นหนึ่งเดียวกัน 1 ยอห์น 2:21 …

        1 ยอห์น 2:21 “ที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้ และเพราะไม่มีความเท็จใดๆ มาจากความจริง”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง ผมเขียนมา เพราะท่านรู้อยู่ในใจของท่านอยู่แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ในใจของท่านอยู่แล้ว  ท่านรู้อยู่แล้ว  ท่านรู้เพราะอะไร?  เพราะความจริงอยู่ในท่าน  พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในท่าน วิญญาณที่อยู่ในเรา ไม่มีการโกหกหลอกลวงเลย เพราะไม่มีใครโกหกหลอกลวงได้ เพราะวิญญาณแห่งความจริง คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา  ในยอห์น 16:13 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 16:13 “แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่าน ไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่าน ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น”

            ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกนี้ ที่ประกาศข่าวดี ตอนที่จะทำให้สำเร็จที่บนไม้กางเขนนั้น พระองค์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เสด็จมาสถิตอยู่กับเรา  พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระวิญญาณจะเอาความจริงบอกเราข้างใน

            ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่พระเยซูส่งสาวกออกไปประกาศว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ โดยมอบสิทธิอำนาจพิเศษให้เฉพาะตอนนั้น ตอนที่พระองค์ยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ให้ออกไปประกาศว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ อัครสาวกเหล่านี้ก็ออกไปประกาศ ประกาศเสร็จแล้ว กลับมารายงานพระเยซู

            พระเยซูถามว่า … “เขาว่าเราเป็นใคร?”

            เวลาท่านไปประกาศ แล้วคนเขาตอบว่าเป็นใคร? สาวกคนโน้นคนนี้ก็ตอบว่า …

            “เขาตอบว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ พระองค์เป็นเอลียาห์ พระองค์เป็นรับบี”

            แล้วพระองค์ก็ถามเปโตร “เปโตร ท่านว่าเราเป็นใคร?”

            เปโตรเป็นผู้เดียวที่ตอบว่า “พระองค์ คือพระคริสต์”

            พระคริสต์ หมายถึงพระเมซิยาห์

            พระเยซูตอบกลับให้กับเปโตร “ไม่ใช่ท่านพูดหรอก ที่ท่านพูด เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ให้ความจริงนี้กับท่าน”

            ขณะนั้นเปโตรยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ แต่พระวิญญาณที่อยู่ภายนอก ได้ส่งความจริงนี้ให้กับเปโตรได้รู้ว่าพระองค์ คือพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้จะรู้ได้โดยโลกวิญญาณ  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น 1 ยอห์น 2:22-23 …

        1 ยอห์น 2:22-23 “22 ใครเล่าคือคนโกหก ก็คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คนเช่นนี้แหละ คือปฏิปักษ์ของพระคริสต์ เขาปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร 23 ผู้ใดปฏิเสธพระบุตร ก็ไม่มีพระบิดา ผู้ใดรับพระบุตร ก็มีพระบิดาด้วย”

            คนที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระคริสต์ เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซิฮาห์ ก็แสดงว่าในใจของเขาไม่มีความจริงอยู่ เมื่อไม่มีความจริงอยู่ ก็เหลืออยู่อย่างเดียว ก็คือความไม่จริง คือความเท็จ คือเป็นคนโกหก จากข้างใน เพราะว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ คือผู้ที่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับข่าวดี ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านั่นเอง นี่คือความจริง และเขาไม่เชื่อ แสดงว่าในใจของเขามีแต่ความเท็จอยู่

            ฉะนั้น หัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็คืออย่างที่บอก ต้องยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้มนุษย์ เพื่อช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด จากบาป ได้รับชีวิตนิรันดร์ ตามยอห์น 3:16 ก็คือหัวใจของข่าวประเสริฐนั้น

            ยอห์น 3:16 ที่บอกว่า “พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลงมาบนโลกใบนี้ คือพระเยซูคริสต์ คือพระเมซิยาห์”

            เพื่อผู้ที่วางใจในพระองค์ คือวางใจในพระบุตรนี้ว่าเป็นพระเมซิยาห์ จะไม่พินาศ คือถูกตัดสินให้พินาศ หลังจากความตาย ลงนรกนั่นเอง  แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่เหมือนพระเจ้า  1 ยอห์น 2:24 …

        1 ยอห์น 2:24 “ให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรก ดำรงอยู่ในท่าน หากสิ่งนี้ ดำรงอยู่ในท่าน ท่านก็จะดำรงอยู่ในพระบุตร และในพระบิดาด้วย”

            “ให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรก” ผมตัดคำว่า “จง” ออกไป เพราะว่าพอมีคำว่า “จง” เรามักจะเข้าใจผิด คิดว่าพระคัมภีร์หรืออาจารย์ยอห์นกำลังสั่งให้เราพยายามทำให้มันเกิดขึ้น แต่มันไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้ว โดยพระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น  เพราะฉะนั้น ก็ควรจะบอกว่าให้ท่านรับรู้ว่านี่มันเกิดขึ้นแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น ให้รับรู้ความจริงเหล่านี้ที่เกิดขึ้น และอยู่ในตัวท่านแล้ว คือเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นพระเมซิยาห์ เป็นพระคริสต์ เรื่องการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ท่านได้รับบัพติศมาด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ คือความจริง คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ในพระคริสต์นั่นเอง ให้ท่านรับรู้

            “ดำรงอยู่” หมายถึงอาศัยอยู่ เป็นอยู่ในท่าน เป็นสภาวะทางฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าดำรง คงอยู่ เป็นอยู่ ไม่ใช่ทำให้มันดำรง ไม่ใช่ มันอาศัยอยู่ มันเป็นอยู่อย่างนั้นแล้ว พระคริสต์อาศัยอยู่ ดำรงอยู่ในวิญญาณของท่านแล้ว คิดตามนะ …

            “พระคริสต์ คือพระเยซูคริสต์ดำรงอยู่ อาศัยอยู่ในวิญญาณของฉันแล้ว”

            ต้องทำอะไรเพิ่มไหม? อธิษฐานให้มากขึ้น จะได้พระเยซูคริสต์มากขึ้นไหม? ไม่ใช่ พระองค์อยู่ก็คืออยู่ ไม่อธิษฐาน แล้วยังอยู่ไหม? ก็อยู่ ไม่ไปไหน?  ก็อยู่แล้วอยู่เลย แล้วเข้ามาอยู่ได้อย่างไร? ก็โดยที่ฉันเปิดใจยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซิฮาห์ ฉันวางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นผู้นั้น ที่พระเจ้าส่งมา และฉันยอมรับว่าฉันเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ฉันถึงต้อนรับพระเยซูคริสต์หัวใจของข่าวประเสริฐ แค่นี้

            พอต้อนรับปุ๊บ ทุกอย่างเหล่านี้ ก็เกิดขึ้นทันที พระเยซูคริสต์ก็เข้ามาอยู่ในฉันทันที  เพราะฉะนั้น มันก็มีอยู่แค่ 2 อันเท่านั้นเอง คือจะอยู่หรือไม่อยู่ ไม่ใช่อยู่แค่ครึ่งเดียว และอีกครึ่งหนึ่งเราต้องปฏิบัติตัวเอง ทำดีเยอะๆ ประพฤติตัวดีๆ เยอะๆ มาโบสถ์เป็นประจำ ถวายเยอะๆ ออกไปประกาศเยอะๆ จะได้พระเยซูเพิ่มขึ้นในตัว ไม่ใช่เลย พูดไปพูดมาอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติของเราเลย พูดไปพูดมาอย่างไร สิ่งเหล่านี้เราได้รับมา โดยความเชื่อในการกระทำ ในความประพฤติของพระเยซู ซึ่งได้ทำให้เรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน  ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว

            พระเยซูดำรง อาศัยอยู่ในตัวท่าน หรือตัวเรา  และเราก็อาศัยอยู่ ดำรงอยู่ในพระบุตร คือในพระคริสต์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว และพระคัมภีร์บันทึกว่าและเราก็อยู่ในพระบิดา เข้าส่วนร่วมสามัคคีธรรมในวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพอย่างสมบูรณ์แบบเรียบร้อยแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยเลย  อาจารย์ยอห์นเลยชี้ให้เห็นว่าจงรับรู้ความจริงในเรื่องโลกวิญญาณนี้ว่ามันเป็นอย่างนี้แล้ว …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในฉัน ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์  เหมือนพระเยซูคริสต์ เกิดจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ เรียกว่าชีวิตนิรันดร์  เอเมน”

        1 ยอห์น 2:25 “และนี่คือสิ่งที่พระองค์ ได้ทรงสัญญาไว้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์นั่นเอง”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่า “ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้แล้วว่าผู้ใดที่วางใจในพระบุตรที่เราส่งมาว่าเป็นพระเมซิยาห์ ช่วยให้ท่านรอดได้ ผู้นั้น ก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ แทนที่จะถูกพิพากษาให้พินาศ กลายเป็นได้รับชีวิตนิรันดร์ ตรงกันข้ามกันเลย”

            เพราะฉะนั้น อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าให้รับรู้ ถ้าท่านไม่ตัดคำว่า “จง” ออก ก็ใส่คำว่า “รับรู้” เข้าไปเพิ่มเติมก็ได้ จงรับรู้ว่าท่านได้รับชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในหนังสือพระคัมภีร์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม สมัยปฐมกาลแล้ว จนถึงปัจจุบันนี้

            “จงรับรู้”

            เวลาพระคัมภีร์เขียนคำว่า “จง” เมื่อไรให้เข้าใจตรงนี้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว …

        1 ยอห์น 2:26  “ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้มาถึงท่าน เกี่ยวกับบรรดาผู้พยายามชักจูงให้ท่านหลงผิด”

            ทำไมเตือนเราให้เราจงรับรู้ เพราะว่าพยายามชี้ให้เราเห็นถึงความจริงในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นในวิญญาณและให้เรารับรู้ จะได้ไม่ถูกหลอก  แค่นั้นเอง  หลอกให้อะไรก็ตามที่อยู่ตรงกันข้ามความจริงนี้ ก็คือเอาความเท็จมาหลอกเรา อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่าเรา ซึ่งเป็น คริสเตียนที่เกิดใหม่ในโลกวิญญาณแล้ว เราอยู่ในกลุ่มใด กลุ่มที่มีความจริงอยู่ในวิญญาณ  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  หรือกลุ่มที่มีความโกหกอยู่ มีความหลอกลวงอยู่ในวิญญาณที่ตกลงไปในความบาปและความตายอยู่ เราอยู่ในกลุ่มไหน? กลุ่มที่เป็นความจริง หรือกลุ่มที่ถูกหลอก

            ถ้าเราอยู่ในกลุ่มที่เป็นความจริง ก็คือจงรับรู้ความจริงเหล่านี้ และยึดมั่นเอาไว้ นิ่งๆ เอาไว้ มั่นคงเอาไว้ อย่าหวั่นไหว อย่าให้ใครมาหลอกท่านได้ มันหมายถึงอย่างนี้

            หลงผิด คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ นี่คือหลงผิด เข้าใจผิด หรือรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเฉยๆ แต่ไม่รับว่าพระองค์เป็นมนุษย์ อย่างนี้ก็ไม่รับว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ ถ้ารับว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ ต้องมั่นหมายว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาป และเป็นขึ้นจากความตาย ครบถ้วนบริบูรณ์เหล่านี้ ถึงเรียกว่าไม่ปฏิเสธ ถ้าต่อต้านสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหล่านี้ ถือว่าปฏิเสธ เพราะมันโยงกันหมดเลย เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มีไหม? มี แต่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นมนุษย์ ก็แสดงว่าไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ถูกส่งมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ก็ไม่รอด นึกภาพออกใช่ไหม? ฉะนั้น หลงผิด เป็นการเข้าใจผิด เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ระวังที่จะรับการสอนเหล่านี้เข้ามาในชีวิตของท่าน

            “ท่าน” ในที่นี้ หมายถึงท่านที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์จริงๆ เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้ว ระวังคำสอนเหล่านี้ ที่แปลกๆ เป็นข่าวดีที่ผสมผสานความคิดของมนุษย์เข้าไปในความจริง ทำให้เราหลงผิด ซึ่งปัจจุบันก็มีเยอะแยะ เพื่อทำลายความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ  เพื่อจะทอนฤทธิ์เดชอำนาจของข่าวประเสริฐนี้  แต่มันทอนไปไม่ได้เยอะหรอก เพราะว่าความจริง คือความจริง ความจริง คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดช  ยังไงมันทะลุมาถึงมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้ อย่างที่เห็น 2,000 ปีนี้ เต็มไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ปฏิปักษ์พระคริสต์ ใน 2,000 ปีนี้เกิดขึ้นเยอะแยะมากมายไปหมดเลย

            ปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็คือผู้ที่ปฏิเสธพระคริสต์ทั้งหลายนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น อย่าให้ผู้ที่ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้า กลายเป็นข่าวดีที่ผสมผสานความคิดของมนุษย์ และระบบของโลกใบนี้เข้าไป  ก็คือไม่เชื่อในความจริงทั้งหมดของข่าวประเสริฐว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? ไม่เชื่อในผลทางฝ่ายวิญญาณของข่าวดีในพระคริสต์ว่าคืออะไร? ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพระเจ้าได้เขียนไว้ชัดเจน ที่บอกว่าวางใจในพระบุตรเท่านั้นและรับชีวิตนิรันดร์แค่นั้นเองจริงๆ อย่ามาบวก

            สอนผิดๆ คือวางใจในพระบุตรของพระเจ้าและบวกด้วยความประพฤติที่ดีๆ ด้วย ไม่ใช่ ความจริง คือวางในพระบุตรว่าเป็นพระคริสต์เท่านั้น ได้รับความรอดแล้ว อย่างนั้นมันก็ง่ายเกินไปสิ อย่างนี้ใครๆ ก็ไปทำบาปกันหมดสิ นี่แหละ คือคำสอนที่ผิด มันดูเหมือนดี แต่มันไม่ตรงกับความเป็นจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า

            การเป็นคริสเตียนแล้วของเรา เราได้รับความรอดแล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ให้เราเชื่ออย่างนั้น แต่คนที่มาสอนผิด คืออะไร? เพราะมันมี 2 ลักษณะ สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เราถูกสอนให้หลงผิด คิดว่าความเชื่ออย่างนั้น การประพฤติอย่างนั้น การปฏิบัติอย่างนั้น เราได้รับความรอด อย่างนั้นเรียกว่าคนไม่เชื่อเลย ก็คือปฏิเสธพระเยซูเลย ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จบเลย อย่างนั้นมันง่าย สังเกตง่าย แต่ที่สังเกตยาก ก็คือเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว แล้วมีคนมาสอนว่าเรายังไม่เกิดใหม่ สิ่งที่เราพูดมา สิ่งที่อาจารย์ยอห์นพูดมาทั้งหมดนั้น ไม่เป็นความจริง ต่อต้าน นั่นสังเกตยาก

            อาจารย์ยอห์นจึงมาชี้ให้เห็นว่าเราวางคำสอนอย่างนี้ เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราบังเกิดใหม่จริงๆ แล้ว มันได้รับเรียบร้อยไปแล้ว อย่าให้ใครมาสอนสิ่งที่ผิดไป เช่น ไม่เชื่อว่าเรามีวิญญาณที่เกิดใหม่แล้วจริงๆ วิญญาณที่เกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าจริงๆ เป็นวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าที่มาอยู่ในวิญญาณของเราจริงๆ เป็นจริงๆ เลย เราได้มีธรรมชาติใหม่แล้วจริงๆ เลย

            คำสอนเหล่านี้ ที่ว่าไม่จริง เราไม่ได้เกิดใหม่ มันเต็มไปหมดเลย ในหมู่ของคริสเตียน ฟังให้ดีๆ ในหมู่ของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน แล้วเป็นคริสเตียนจริงๆ ด้วย  แต่เขาหลงผิดไป หลงผิดตรงนี้ ทำให้เขารอดไหม? เขาก็ยังรอดอยู่ดี แต่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า มันไม่ครบ รอดเหมือนรอดด้วยไฟ รอดด้วยความทุกข์ยากลำบาก ข่าวประเสริฐก็ถูกทำให้เสียหาย

            เขาไม่เชื่อว่าคริสเตียนมีธรรมชาติในวิญญาณที่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ไม่มีบาปหลงเหลืออยู่เลยจริงๆ ในวิญญาณของเขา ทั้งๆ ที่ยังทำบาปอยู่ แต่เขาดีพร้อม สะอาดบริสุทธิ์ ตามถ้อยคำพระเจ้าแล้ว แม้ว่ายังถูกล่อลวงให้ทำบาปอยู่ นี่เป็นเรื่องจริง แต่เขาไม่เชื่อ เขาก็เลยไปสอนให้คริสเตียนด้วยกัน หลงผิดไปว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซิยาห์แล้ว ยอมรับพระองค์แล้ว ยอมรับตัวเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือแล้ว ได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว บังเกิดใหม่เรียบร้อยไปแล้ว กลายเป็นชักเขว …

            “ฉันรอดหรือยังเนี้ย? แล้วฉันทำดีหรือยังเนี้ย? เมื่อวานนี้ฉันยังทำไม่ดีอยู่เลย ประพฤติไม่ดีอยู่ แล้วฉันรอดอยู่หรือเปล่า? ฉันสารภาพบาปพอไหม? แล้วสรุปสุดท้าย คือตายไป ฉันได้รับความรอดไหม?”

            ทั้งๆ ที่เขาได้รับความรอดแล้ว เขาอยู่เหมือนคนที่ไม่มีความรอด  พอนึกออกไหม? …

        1 ยอห์น 2:27 “ส่วนท่านทั้งหลาย การเจิมที่ท่านได้รับจากพระองค์ ก็ดำรงอยู่ในท่าน จึงไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่าน แต่เพราะการเจิมของพระองค์สอนท่านทุกสิ่ง และเพราะการเจิมนั้น จริงแท้ ไม่ปลอมแปลง จงดำรงอยู่ในพระองค์ตามที่การเจิม ได้สอนท่านไว้แล้ว”

            “จงดำรงอยู่ในพระองค์” เห็นไหมอีกแล้ว “ตามที่การเจิมได้สอนท่านไว้แล้ว คือท่านรู้แล้ว มันอยู่ข้างในท่านแล้ว ให้ท่านเรียนรู้ รับรู้เอา รับตัวเองอย่างนั้นตามถ้อยคำพระเจ้า ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า

            “Be it unto be according to your words”

            “โอ้ พระเจ้าขอให้เป็นไปตามนั้น ตามถ้อยคำของพระองค์ที่บันทึกเอาไว้เถิด ขอให้เป็นอย่างนั้น ใช่มันเป็นอย่างนั้น เอเมนๆ”

            ไม่ใช่ “เอ๊ะ แต่ว่า”

            พระเจ้าบอก “ได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว”  … “เอ๊ะ แต่ว่า”

            พระเจ้าบอก “เราเป็นผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว” … “เอ๊ะ แต่ว่า”

            แทนที่จะ “แต่ว่า” เป็น “เอเมน” ได้ไหม? เอเมนไหม?

            อาจารย์ยอห์นบอกให้เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เตือนตัวเอง วิธีเตือน คือพอได้ยินอะไรต่างๆ เหล่านี้ รู้สึกมันตรงกับในหัวใจของเรา บอก “เอเมน” ใช่ พอมันไม่ใช่ ก็เกรงใจคนที่เขาพูด ก็นึกในใจ ไม่เอเมน แล้วก็เดินหนีเลย อย่าไปฟัง ใครที่บอกท่านว่ายังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านต้องรับการเจิม เจิมๆ มันทุกวันๆ เอเมนไหม? ไม่เอเมน ถ้าใครบอกท่านว่าการเจิมท่านครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ครบถ้วน พระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ท่านเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูแล้ว ทั้งหมดนี้สมบูรณ์แบบอยู่ในท่าน ท่านก็บอกว่าเอเมนดังๆ เลย

            “ส่วนท่านทั้งหลาย” ก็คือคริสเตียน “การเจิมที่ท่านได้รับ” เห็นไหม? สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ท่านได้รับเรียบร้อยแล้วจากพระองค์ อยู่ที่ไหน? ก็ดำรงอยู่ในท่าน อยู่ในท่านอยู่แล้ว คริสเตียน ที่ท่านได้รับจากพระองค์ ก็คือได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่บัพติศมาท่าน และสถิตอยู่กับท่านตอนนี้ ดำรงอยู่ในท่านแล้ว อยู่ในตัวท่านแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีใครมาสอนท่านอีก

            “ไม่จำเป็นต้องมีใครมาสอนฉันว่าฉันได้รับการเจิมพอหรือยัง?”

            ไม่ต้องมาสอน ไม่ต้องมาชี้แนะว่าอันนี้ขาด อันนั้นขาด

            “ฉันไม่ขาดเลยแม้แต่นิดเดียว ในโลกฝ่ายวิญญาณ เอเมน ฉันต้องแสวงหา รับรู้สิ่งเหล่านี้ว่ามันอยู่ในตัวฉันแล้ว”

            แต่เพราะการเจิมของพระองค์สอนท่านทุกสิ่ง เพราะว่าอยู่ในใจ ไม่ใช่มาต่อต้านเรื่องการสอน เรียนพระคัมภีร์ไม่ใช่ ถ้อยคำพระเจ้ายังสำคัญอยู่ แต่ควรเป็นถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นไปตามความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า เรียกว่าถ้อยคำพระเจ้า อนุโลมเรียกว่าถ้อยคำพระเจ้า ก็หมายถึงถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นจริง ของปลอมนั้น เราไม่เรียกว่าถ้อยคำพระเจ้าหรอก เราเรียกว่าถ้อยคำแห่งความเท็จ  แต่อ้างว่าถ้อยคำพระเจ้า มันเป็นความเท็จ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? ในวิญญาณเราจะรู้ว่ามันไม่ใช่ เรายึดมั่นอยู่แค่นี้ …

            “ฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เป็นพระมาซีฮาห์ของฉัน เป็นพระคริสต์ของฉัน ฉันวางใจ ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ฉันไม่มีบาปหลงเหลืออยู่เลย อาจารย์ยอห์นบอกฉันได้ถูกลบบาปออก หมดสิ้น ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตนิรันดร์เลย ฉันอยู่ในพระคุณของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ฉันไม่ฟังอย่างอื่นแล้ว อะไรที่มาแย้งกับตรงนี้ ฉันไม่รับทั้งสิ้น เอเมน”

            หนังสือเยเรมีย์ 31:34 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ตามพระสัญญาของพระเจ้า ก่อนที่พระเยซูจะทำให้สำเร็จ และพระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว …

        เยเรมีย์ 31:34  “ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”  องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “เพราะเราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป”

            ก็หมายถึงทุกคนจะรู้จักความจริงเหล่านี้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในของท่าน การที่ผมสอนเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้าแห่งความจริง หรือท่านได้ยินถ้อยคำพระเจ้าแห่งความจริง แล้วท่านรู้ว่ามันใช่ ไม่ใช่เพราะผมสอน ผมเพียงแต่พูดให้ท่านได้ฟัง แล้วท่านได้รับการยืนยันจากข้างในวิญญาณของท่านว่ามันเป็นจริง ท่านลองสังเกตดู หลายเรื่องเรารู้อยู่แก่ใจ หลายเรื่องบางทีเราฟังถ้อยคำพระเจ้าจากคำสอน หรือเราเดินออกไปข้างนอก เราได้ยินถ้อยคำพระเจ้าบ้าง ได้ยินคำพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐบ้าง แล้วเรามีความรู้สึก เหมือนเราได้รู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ไม่มีใครสอน ไม่มีใครเคยพูดให้เราฟัง แล้วเราไม่เคยอ่านมาจากไหน? แต่ข้างในมีความรู้สึกเหมือนคุ้นๆ เราก็เชื่ออย่างนี้ เราก็รู้อย่างนี้เหมือนกัน นั่นแหละ ก็มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเราเหมือนกัน หลายเรื่องเราเอเมนเลย ทั้งๆ ที่ไม่มีใครสอน ไม่มีใครบอก เราเอเมนอยู่ในใจ ใช่ เป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังสอนเรา

             อย่างเช่นพระคัมภีร์เมื่อตะกี้ ที่บอกว่า “เพราะเราจะอภัยในความบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาอีกเลย”

            พระเจ้าบอกไม่จดจำความบาปของเขาอีกเลย แสดงว่าไม่มีบาปอีกเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้ท่าน ก่อนตาย ทำบาป พอวิญญาณออกจากร่าง พระเจ้าก็จำไม่ได้ว่าท่านทำบาปไปเมื่อตะกี้นี้ เกิดหงุดหงิดไปโกรธ ไปด่าพยาบาล หมอ เพราะมันเจ็บ หงุดหงิด สมมติ แล้วก็สิ้นลมไปพอดีเลย พระเจ้าก็จำไม่ได้ พระเจ้าบอก …

            “เราจะไม่จดจำความบาปของเจ้าอีกเลย”

            แล้วเราไปจดจำทำไม? คนมาสอนให้เราจดจำ ถูกไหมล่ะ ก็ต้องบอกไม่เอเมน ถ้าบอกพระเจ้าไม่จดจำ แล้วเราไม่จดจำด้วย  ก็ต้องบอกว่า “เอเมน” ไปจดจำทำไม มันก็จบ ไปแล้ว ไม่ต้องมีคำว่า “แต่”

            “แต่ว่าถ้าไม่จดจำ แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร?”

            เอ้อ! น่า ไม่จดจำแล้วกัน เดี๋ยวมันจะแก้ไขอย่างไร? เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำเราอย่างไร? เอเมนไหม? มันมีวิธี คิดให้มันเป็นทางบวก คิดให้มันเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า  คิดให้มันเป็นทางเดียวกับพระเจ้าได้ ไม่จำเป็นต้องไปคิด สิ่งที่มันตรงกันข้าม สิ่งที่มาต่อต้าน แล้วบอกว่าจะช่วยเรา ให้เราประพฤติดี ไม่มี ความเท็จ ก็คือความเท็จ มันหลอก มันเหมือนดี แต่มันส่งผลไม่ดีกับเรา พระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน จะเป็นพี่เลี้ยงคอยสอน และเป็นพยานยืนยันว่าถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เป็นจริงหรือไม่? ถามข้างใน เดี๋ยวท่านจะรู้เองว่าใช่หรือไม่?

            สมัยก่อนไม่มีเครื่องมือ ไม่มีวัสดุอุปกรณ์ในการสอนถ้อยคำพระเจ้าแบบนี้ ท่านลองคิดดู 2,000 ปีก่อน เขาอยู่อย่างไร? ข่าวประเสริฐจึงมาถึงปัจจุบันได้ ตั้ง 2,000 ปีแล้ว เจริญเติบโตด้วย เขาอยู่ได้อย่างไร? เขาแข็งแรงได้อย่างไร? ถ้อยคำพระเจ้าไม่มี พระคัมภีร์ไม่มี มีแต่หนังสือจดหมายฝาก ฉบับหนึ่ง สองฉบับ อ่านวนไปวนมา แล้วหลายคนก็อ่านหนังสือไม่ออก หลายคนก็ไม่รู้จักตัวหนังสือ แล้วเขาอยู่กับข่าวประเสริฐอย่างไร? ก็อยู่ด้วยวิธีนี้แหละ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะสอนเขาเอง บอกเขาเอง บอกหัวข้อที่เป็นข่าวประเสริฐของพระเจ้านิดเดียว ให้เขาตัดสินใจต้อนรับพระเยซู ต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในตัว แค่นั้นเอง จบ พระวิญญาณจะเป็นผู้นำเขาเองว่าอะไรเป็นอะไรต่อไป เอเมนไหม? ปัจจุบันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ ปัจจุบัน พอต้อนรับพระเยซูคริสต์มาแล้ว เต็มไปหมดเลย ภาระ ต้องไปอ่านตรงนี้ ต้องไปค้นคว้าตรงนี้ ต้องไปอย่างโน้น ต้องไปอย่างนี้ ผมไม่ได้ต่อต้านการค้นคว้าถ้อยคำพระเจ้า ผมชอบ สนุกด้วย แต่มันคนละเรื่องกันกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าทั่วๆ ไป ทั้งหมด

            คนส่วนใหญ่จะต้องเหมือนผมอย่างนี้หรือ? กว่าจะได้รับความรอดที ค้นคว้าข่าวประเสริฐ ฮีบรูเขาว่าอย่างไร? ภาษาอังกฤษเขาว่าอย่างไร? ภาษาไทยแปลผิดว่าตรงนี้ ตรงนี้ควรจะต้องแปลว่าอย่างนั้น ต้องรู้อย่างนี้หรือ? ไม่ต้อง เพียงหัวใจที่อยู่ในวิญญาณของเขา ที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แรกๆ นั้น รับว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? ไม่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เขาไม่ได้เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ แค่นั้นพอแล้ว ไม่ต้องรู้อะไรมาก พระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? โลกนี้จะสูญสิ้นเมื่อไร? ไม่ต้องรู้ ในอดีต เขาก็ไม่รู้อะไรมากมายขนาดนั้นหรอก …

        1 ยอห์น 2:28 “และบัดนี้ ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงอาศัยอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราทั้งหลายจะได้มีใจกล้า และไม่หลบพระพักตร์พระองค์ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา”

            เดี๋ยวนี้ ก็หมายถึงขณะนี้ ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้นะ คริสเตียนทั้งหลาย มาอีกแล้ว “ให้รับรู้เถิดว่า” ก็คือจงรับรู้เถิดว่าท่านกำลังอาศัยอยู่ในพระคริสต์ พระเยซูคริสต์อาศัยอยู่ในท่าน ท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หมดบาปเรียบร้อยแล้ว  จนถึงนิรันดร์เลย  เอเมน มีใครในใจไม่เอเมนบ้าง? มีใครในใจบอกว่า “แต่ว่า เดี๋ยว ถ้าไปทำบาปอีก” มีใครคิดอย่างนี้ไหม? กลับใจใหม่ซะ

            จงรับรู้ความจริงนี้ จะได้มีใจกล้า ก็คือจะได้ไม่กลัว กลัวอะไร? กลัวความตาย เพราะว่ากลัวการพิพากษา หลังความตาย  เพราะฉะนั้น ฝากถึงคริสเตียนควรรับรู้ความจริง ไม่กลัวหลังความตาย เพราะว่าฉันรอด 100% อยู่แล้ว ไม่ว่าฉันจะประพฤติอะไรก็ตาม จากนี้ต่อไป เอเมน ต้องกล้าพูดคำนี้ ไม่ใช่มาพูดอย่างนี้ พอมีคนมาบอก อ้าว! อย่างนี้พยายามพูด สอนให้เห็นว่าทำบาปได้สิ คุณอยากไปทำบาปหรือเป็นคริสเตียนแล้ว เอาง่ายๆ

            อย่าหลงไปเชื่อคำสอนผิดๆ ที่ทำให้ท่านเกิดความกลัว แต่ท่านต้องรักษาความประพฤติอันดี จนกระทั่ง ถึงวันสุดท้าย จากโลกใบนี้ เพื่อว่าท่านจะได้รับความรอด  ไม่ถูกพิพากษา  เนี้ย กลัวไหม? กลัวสิ ใครจะไม่กลัว ฟังไปบ่อยๆ อย่างนี้ ทั้งๆ ที่เกิดใหม่แล้ว กลัว มีหลายคนที่เป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วมาปรึกษา มาถาม เราก็ได้แต่พูดความจริงให้เขาฟัง สิ่งที่จะแก้ให้เขาได้ ก็คือหยุดรับข้อมูลของคนที่หลงผิด และสอนผิดๆ เหล่านั้น แล้วหันมารับข้อมูลที่ถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์จริงๆ มันธรรมดา มันง่ายๆ ไม่ได้ยากอะไรเลย มนุษย์เราเก่งมากเลยเรื่องนี้ กระทำสิ่งที่ง่ายให้ยาก …

        1 ยอห์น 2:29 “ถ้าท่านรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ชอบธรรม ท่านก็รู้ว่าทุกๆ คน ที่ฝึกฝนการกระทำความชอบธรรม ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณนั้น ได้เกิดมาจากพระองค์ด้วย”

            ก็หมายถึงพูดง่ายๆ ต่อจากเมื่อตะกี้นี้ คือรอดแล้ว ท่านรอดเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะสูญเสียความรอด เพราะท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว พูดง่ายๆ คือธรรมชาติของคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่ ในวิญญาณของท่าน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ คือชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เหมือนพระองค์แล้วเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

            “ธรรมชาติ” แปลว่าอะไร? ธรรมชาติ ก็แปลว่าธรรมชาติ แปลว่าการเกิดมา แล้วเป็น ไม่ต้องทำอะไรเลย มันเป็นไปตามที่เกิด เพราะฉะนั้น มีได้แค่ธรรมชาติเดียวเท่านั้น ถูกไหม? เหมือนตัวอย่างที่ผมพูดบ่อยๆ ตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่เป็นทาร์ซาน รู้จักทาร์ซานไหมครับ? ต่อให้ทาร์ซานไปอยู่กับลิงเท่าไร? ทำท่าทางเหมือนลิง กินอาหารเหมือนลิงเท่าไร? อยู่กับลิงให้เยอะๆ เลย จนกระทั่งถึงแก่เฒ่า จนตายเลย เขาก็เป็นมนุษย์ ทาร์ซานเป็นมนุษย์ ฉันใดก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าและได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ตัวตนที่แท้จริงของเรา จากธรรมชาติเก่า ที่เป็นธรรมชาติแห่งวิสัยบาป เป็นคนบาป มาเป็นธรรมชาติที่เป็นเหมือนพระเจ้า มีพระลักษณะเหมือนพระเจ้า

            และเมื่อพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติของเราเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะสามารถมาเปลี่ยนได้อีก เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว  เพราะธรรมชาติใหม่ของเราเป็นธรรมชาติ ที่เป็นพระลักษณะของพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า

            ผมจึงใช้คำว่า “ฉันเป็นวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์” ไม่ใช่ “ฉันมีชีวิตนิรันดร์”

            “มี” มันอาจจะหายได้ ผมจึงใส่คำว่า “ฉันเป็น” เป็นอะไร? เป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เกิดจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า DNA ของพระเจ้า คริสเตียนจึงมีธรรมชาติของวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า ตัวตนเก่าที่เป็นคนของบาป ได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูบนไม้กางเขน ไม่มีอีกแล้วธรรมชาติ วิสัยบาปในตัวเรา ไม่มี เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป

            ถามว่าคริสเตียนมีธรรมชาติเหมือนพระเจ้าแล้ว ยังทำบาปอีกไหม? ตอบพร้อมกันว่า “ทำ” ทำแน่นอน ยังทำบาปอีก  แต่เป็นการทำบาป ที่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ วิสัยตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณ ไม่ได้มาจากวิญญาณของเรา  และมาจากไหน? พระคัมภีร์บอกให้ชัดเจนเลย โรม 6:6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 6:6 “เรารู้แล้วว่าคนเก่าของเรานั้น ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้น จะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”

            “คนเก่าของเรา” คือตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวเก่าที่เป็นบาปนั่น จะถูกทำลายให้สิ้นไป สูญไปแล้วนะ คนเก่าของเรา ก็คือตัวตนเก่าของเรา  ที่เป็นธรรมชาติ วิสัยบาป ถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว  ถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  ได้เปลี่ยนธรรมชาติ วิสัยบาปแล้ว มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติ วิสัยของพระเจ้าได้อยู่ในตัวเรา  เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า ธรรมชาติ วิสัยของพระเจ้า ที่อยู่ในเราคืออะไร? คือเราสะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาป  และไม่ทำบาป เพราะฉะนั้น เมื่อไรเราทำบาป ก็แปลว่าเรากำลังฝืน ธรรมชาติในวิญญาณของเรา  เราไม่ได้ทำออกมาจากในวิญญาณของเรา  เหมือนทาร์ซานถูกช่วยออกมาจากป่าแล้ว มาอยู่บ้าน มาอยู่กับพ่อแม่ที่เป็นคนแล้ว ตื่นขึ้นมา ยังเผลอทำเหมือนลิงอยู่ แต่เขาไม่ได้เป็นลิง เขาเป็นคน

            คริสเตียนจึงมีธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า  แต่ยังคงทำบาปอยู่ เพราะยังมีเนื้อหนัง พระคัมภีร์ใช้คำว่า “เนื้อหนัง” เนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป ที่ยังคงฝังอยู่ในความคิด ในสมอง ความเคยชินในร่างกาย ซึ่งเคยเป็นทาสของมันอยู่ในอดีต ก่อนที่เราจะรับเชื่อ ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน  ความเคยชิน อิทธิพลของโลกนี้ มันยังอยู่ ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เนื้อหนัง” มาจากคำว่า “Sarx” หรือ “Fresh” มันไม่ใช่ธรรมชาติ ลักษณะของเราเลย ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นเหมือนกับพยาธิ ปรสิต กาฝากที่แอบซ่อนอยู่ คอยกระตุ้นล่อลวงให้เรากระทำตามมัน พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มัน” นะ มัน แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเรา

            เพราะฉะนั้น มาถึงตรงนี้เรา ก็พอสรุปได้จากข้อความที่อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตัวตนแท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรา มีธรรมชาติที่เป็นเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ และข้อสำคัญ คือมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นเลย แม้แต่นิดเดียว เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเราได้รับความรอด  ได้อยู่ในสวรรค์แล้วแน่นอน 100% ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว

            ต้องรับตรงนี้ เอาความจริงตรงนี้อยู่ในใจ จงให้ความจริงเหล่านี้ อยู่ในใจของท่านตลอดเวลา รับรู้อยู่ตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น แค่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และได้ทำบาป  และให้เราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์ และรวมทั้งฉันด้วย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ช่วยฉันได้ แค่นั้น ทุกสิ่งเหล่านี้ ที่เราคุยกันในวันนี้  ก็เป็นของท่าน หรือของเรา  หรือของใครก็ตาม ที่ยอมรับความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์นี้ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าได้ให้คำสัญญาและสาบานกับมวลมนุษย์หลายพันปี ก่อนทำให้สำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์ คำสัญญาและสาบานนั้นคือ?

            เอเสเคียล 36:25-27 … “25 เราจะประพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้า  จากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 จะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเรา ไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า  ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

            มนุษย์ถูกสร้างประกอบไปด้วยร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ตัวตนจริงๆ ของเราคือวิญญาณ และใจที่อาศัยอยู่ในเรือนดิน คือร่างกายนี้

            มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ เป็นวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า  ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป อยู่ใต้อำนาจบังคับของบาป

            เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์  พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ เพื่อตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ ด้วยวิญญาณใหม่และใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์

            ความต้องการภายในจิตใจ แรงจูงใจภายในจิตใจใหม่ทั้งสิ้นเหมือนพระเจ้า

            วิญญาณและใจใหม่ของเรา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์ จากเดิมกลายเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ มีความต้องการ มีความดีงาม มีความบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เมื่อสะอาดบริสุทธิ์ไร้ตำหนิแล้ว พระวิญญาณของพระองค์ ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา รวมเป็นหนึ่งกับวิญญาณของเราที่เกิดใหม่นั้นได้ทันที

            เราจึงกลายเป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า และเป็นวิหารของพระเจ้า แม้กระทั่งร่างกายของเรา ก็ได้รับการชำระด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ ให้บริสุทธิ์ ที่พระเจ้าสามารถรับได้แล้ว เดี๋ยวนี้จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1485

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  กันยายน  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย”  ตอน 7

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในกาลาเทีย 3:8 สัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงในข้อที่ 7 ที่บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:7 “ฉะนั้น จงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อ ก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม”

            พอวันนี้มาต่อข้อที่ 8 …

        กาลาเทีย 3:8 “พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้า  ว่าพระเจ้าจะทรงนับว่าคนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่า “ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านทางเจ้า”

            พระพรตรงนี้ ที่พระเจ้าทรงตรัสกับอับราฮัม สัปดาห์ที่แล้ว เราคุยกันในหนังสือปฐมกาล บทที่ 12 ที่พระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่า …

            “เราจะอวยพรเจ้า เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่  เราจะให้ประชาชาติทั้งหลายได้รับพร ผ่านทางเจ้า”

            สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าเขียนไว้ บอกไว้กับอับราฮัม มันสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ ก็คือเป็นแผนการตั้งแต่เริ่มต้น ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้สำหรับมนุษยชาติ ที่ล้มลงในความบาปแล้ว แล้วพระเจ้าก็บอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะทรงอำนวยพระพร แล้วให้ลูกหลานที่สืบเชื้อสายจากอับราฮัม อับราฮัมเป็นบุรุษแห่งความเชื่อ ทุกคนที่สืบเชื้อสายจากอับราฮัม ก็คือเผ่าพันธุ์ที่มาโดยความเชื่อจะได้รับพระพร จากพระเจ้าผ่านทางอับราฮัม ในข้อที่ 9 บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:9 “ฉะนั้น ผู้ที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมบุรุษแห่งความเชื่อ”

            ตรงนี้พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงการประพฤติเลย อาจารย์เปาโลไม่ได้พูดถึง ไม่ได้เน้นย้ำถึงการประพฤติดีหรือชั่ว ไม่เกี่ยวกัน แต่กำลังเน้นย้ำถึงความเชื่อที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ เพื่อมนุษยชาติ ที่ไม้กางเขน เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น ใครก็ตามที่เชื่อตามที่พระเจ้าเขียนไว้ในพระคัมภีร์บอกเรา คนนั้นแหละ เป็นลูกหลานของอับราฮัม สัปดาห์ที่แล้ว เราคุยกันถึงเรื่องความเชื่อของอับราฮัม ที่พระเจ้านับว่าอับราฮัม เป็นบิดาแห่งความเชื่อตอนไหน?  ตอนที่อับราฮัมเดินทางออกจากบ้านเมืองของตัวเอง บอกว่าให้ออกมาเลย  แล้วเราจะอวยพรเจ้า  อับราฮัมทำตามทันที โดยที่ไม่ได้ลังเลใจว่าตกลงพระเจ้าจะพาเราไปไหน? ไม่บอกด้วย แค่บอกว่าให้ออกมา อับราฮัมก็มีความเชื่อว่าพระเจ้า เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว เมื่อพระองค์สั่งอับราฮัมเชื่อตามนั้น ก็เดินทางออกมา นั่นแหละ เป็นครั้งแรก จุดเริ่มต้นที่อับราฮัมถูกพระเจ้าถือว่าเป็นผู้ชอบธรรม

            ฉะนั้น จากวันนั้นถึงวันนี้ ปัจจุบันด้วย ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน คนนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกหลานของอับราฮัม และได้รับพระพรผ่านทางความเชื่อ  พอถึงข้อที่ 10 บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:10 “คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติ  ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”

            พอมาพูดถึงบทบัญญัติ บทบัญญัติอันนี้มันขัดแย้งกับความเชื่อที่พระเจ้าให้อับราฮัมไหม? ทำไมพระเจ้าต้องให้บทบัญญัติให้กับโมเสส ตั้งแต่ในยุคนั้น ให้ชนอิสราเอลยึดถือบทบัญญัตินั้น พระองค์มีเป้าหมายอะไร? บทบัญญัติเป็นเครื่องที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นคนบาป เป็นสิ่งแสดงว่ามนุษย์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มนุษย์ไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติทุกจุดทุกขีด  ที่พระเจ้าสั่งไว้ ฉะนั้น บทบัญญัติพระเจ้าให้มา  เพื่อทำให้มันมีกฎมีเกณฑ์ เพื่อจะได้อยู่ด้วยกันเป็นระเบียบ

            ก่อนหน้าที่มีบทบัญญัติ หรือก่อนหน้าที่มีกฎหมายบ้านเมือง เขาเรียกว่าคนเมืองเถื่อน  ก็คือใครจะทำอะไรก็ได้ ฆ่าคนตาย ก็ไม่ผิด จะไปแย่งชิงอะไรของใคร ก็ไม่ผิด เพราะว่าไม่มีกฎหมาย ถ้าเธอไปแย่งของเขา เธอผิดนะ เธอต้องชดใช้นะ  พอไม่มีปุ๊บ ก็เลยทำผิดทำบาป ก็ไม่ได้ถูกกฎเกณฑ์บังคับว่าฉันต้องชดใช้ นั่นคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในบทบัญญัติของโมเสส ฉะนั้น พอพระเจ้าให้บทบัญญัตินี้ปุ๊บ ก็ทำให้มนุษย์รู้ว่าไม่ได้แล้วนะ ถ้าเราทำผิดจากที่กฎหมายบังคับไว้ แปลว่าเราต้องได้รับโทษ เหมือนกับกฎหมายไม่ได้บอกว่าข้ามถนน โดยไม่ข้ามทางม้าลาย จะถูกปรับ ถูกลงโทษ เราข้ามที่ไหนก็ได้ เราก็รู้สึกเฉยๆ เพราะไม่มีกฎหมายบังคับ แต่พอมีกฎหมายบังคับว่าเวลาข้ามถนน ให้มาข้ามทางม้าลายนะ จะได้ปลอดภัย ถ้าเราไปข้ามที่อื่นปุ๊บ ข้างในจิตใจเราจะรู้สึกฟ้องผิดเอง เราทำไม่ถูกต้องนะ เราควรจะเดินไปที่ทางม้าลาย นอกจากว่าถนนเส้นนั้น กว่าจะเดินไปถึงทางม้าลาย  เป็นระยะทาง 2-3 กิโลฯ  อันนั้น ก็เป็นข้อยกเว้นนะ แต่ส่วนใหญ่ ม้าลายเขาก็จะมีเป็นช่วงๆ ให้ หรืออะไรหลายๆ อย่างที่ถูกระบุไว้ในกฎหมาย ถ้าเราไม่ทำปุ๊บ เราก็รู้ว่าฉันทำผิดแล้ว มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าตั้งขึ้นมา เพื่อให้มนุษย์รู้ว่ายังไงๆ เธอก็ไม่สามารถทำตามกฎบัญญัติได้ทุกข้อ ทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลาได้

            ในข้อที่ 10 บอกว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ” ดูเหมือนใจร้าย ไม่ทำตามบัญญัติก็ถูกแช่งเลย นั่นคือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ พระองค์บอกว่าใครก็ตามที่จะเป็นผู้ชอบธรรม จำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า คนนั้นต้องสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม คือไม่ทำผิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรือคนๆ นั้น จำเป็นจะต้องรักษากฎบัญญัติที่ในยุคของพระคัมภีร์เดิมที่พระเจ้าตั้งไว้ ใครก็ตามที่ทำผิดกฎตรงนั้น ก็ต้องมาถวายเครื่องบูชา ซึ่งพระเจ้ากำหนดไว้ชัดเจนว่าถ้าทำผิดแบบนี้ ต้องเอาอะไรมาถวายให้พระเจ้า เพื่อลบล้างความผิด คนอิสราเอลหนักกว่าคนทั่วไป ที่พวกเราเป็นคนต่างชาติ เราไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ แต่ว่าเราก็ยึดถือกฎเหล่านี้ เพราะข้างในมันจะบอกเราเองว่าถ้าเราทำอย่างนี้ ถ้าเราฆ่าคนตาย ข้างในวิญญาณจะรับรู้ว่า …

            “ฉันทำผิด ฉันฆ่าคนตาย”

            ต้องชดใช้ ต้องถูกลงโทษให้ตัดสินประหารชีวิตเหมือนกัน คือกฎพระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ทั่วไป บนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น พระเจ้าจึงบอกว่าใครก็ตามที่จะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  ต้องทำตามทุกจุด ทุกขีด ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว ตลอดชีวิตของเขา มีใครทำได้ไหม? มันไม่มี เพราะไม่มีไง พระเจ้าเลยต้องส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ซึ่งเป็นสภาพของพระเจ้า  ที่ไม่มีเชื้อบาปของอาดัมเลย มาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี แล้วพระองค์คลอดออกมาตามธรรมชาติ เหมือนมนุษย์ทุกคน ก็คือพระองค์เป็นทั้งมนุษย์ และเป็นทั้งพระเจ้า  และในตัวพระเยซูคริสต์เอง  ไม่มีเชื้อบาป เป็นเชื้อที่บริสุทธิ์ ซึ่งมาจากพระเจ้า ฉะนั้น พระเยซูคริสต์สามารถที่จะทำตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ครบถ้วนสมบูรณ์โดยไม่มีผิดเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์ไม่ทำบาป  ฉะนั้น สิ่งที่มันปรากฏขึ้น ก็คือพระเจ้าบอกว่าถ้าใครคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้ชอบธรรม โดยการประพฤติของตัวเอง คือพยายามตะเกียกตะกาย อยากจะทำดี เพื่อว่าตัวเองจะไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าบอกอยากทำอย่างนั้นได้เหมือนกัน คือเธอจะต้องทำตามกฎทุกจุด ทุกขีด ไม่มีขาดตกบกพร่อง และไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่วินาทีเดียว  ตลอดชีวิตของเธอ ซึ่งแค่ฟังแค่นี้ หงายท้องเลย ไม่มีใครสามารถทำได้แน่นอน

            พอไม่มีใครสามารถทำได้ พระเจ้าก็เลยนำเสนอบอก “เรามีตัวช่วยนะ” ตัวช่วยเราได้ถูกส่งมาแล้ว  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตัวช่วยที่พระเจ้าส่งมา คือพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ถูกส่งมา บนโลกใบนี้ เพื่อจะเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ มาตายแทนมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

            ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม พระเจ้าบอกว่าค่าจ้างของความบาป คือความตาย เมื่อมนุษย์ทำบาป ก็คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า ผิดจากเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น สำหรับมนุษยชาติ พระเจ้าวางเป้าหมายไว้ สำหรับอาดัมและเอวา ก็คือเธอไม่ต้องทำอะไร เธอไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เธอแค่รับรู้ว่า …

            “เธอสะอาดบริสุทธิ์ เธอเหมือนฉัน แล้วเธอก็ดำเนินชีวิตให้สบายใจ สิ่งที่เราสร้างมาในสวนเอเดน ให้เธอเชยชม กินได้ทุกอย่าง ยกเว้นอันเดียวแค่นั้น”

            นั่นคือบทพิสูจน์ความเชื่อฟังของมนุษย์คู่แรก ก็คืออาดัมกับเอวา แล้วเมื่อพระเจ้าสั่ง พระเจ้าบอกผลด้วย ไม่ได้สั่งเฉยๆ ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราสั่งลูก แล้วเราไม่บอกเหตุผล ลูกก็ไม่เข้าใจ ทำไมถึงทำไม่ได้

            “พ่อบอกมาสิ ทำไมถึงทำไม่ได้”

            “เชื่อเถอะ ทำไม่ได้ ก็แล้วกัน”

            เด็กก็มีความต้องการอยากจะรู้ว่าทำไมถึงไม่ได้ อยากจะทำ ยิ่งห้าม เหมือนยิ่งยุ  ก็เลยไปทำ ทำเสร็จ ก็เลยต้องถูกลงโทษ นี่คือมนุษย์ทั่วไป แต่พระเจ้าของเราไม่เหมือนมนุษย์ ตอนที่พระองค์สั่งอาดัมเอวาว่า …

            “อย่ากินต้นไม้ต้นนี้นะ เป็นต้นไม้ที่สำนึกความดีความชั่ว แล้วต้นไม้ต้นนี้ เธอไม่จำเป็นต้องไปแตะมัน เพราะว่าเธอไม่รู้จักความชั่ว เธอรู้จักอย่างเดียว คือความดีงาม เธอเป็นเหมือนฉัน ดีงามแค่นั้น พอแล้ว ใช้ชีวิตให้มีความสุข”

            แล้วพระเจ้าบอกว่า … “ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะตาย”

            บอกล่วงหน้าด้วย อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าเธอไปแตะเมื่อไร? เธอตายนะ ตายฝ่ายร่างกายและตายฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าบอกล่วงหน้า แต่มนุษย์ก็ถูกล่อลวง พระเจ้าให้อิสรภาพกับมนุษย์ตั้งแต่ยุคอาดัมจนถึงยุคเรา ยุคพระคุณ พระเจ้าก็ยังคงให้อิสรภาพกับเราผู้เชื่อทุกคน แม้ว่าพระองค์ได้ซื้อชีวิตของเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง จริงๆ พระองค์บังคับเราได้นะ ห้ามทำอย่างนี้ ห้ามทำอย่างนั้น กดปุ่มหยุดๆ เลิกทำ แต่พระเจ้าไม่ทำ พระเจ้าให้เสรีภาพกับเรา เพราะพระเจ้ารักเรา พระเจ้าให้อิสรภาพเราในการตัดสินใจว่าเราจะเชื่อพระองค์ หรือเราจะเชื่อฟังการล่อลวงของข้างนอกที่ส่งมา หรือเราจะเชื่อฟังตัวเราเอง ที่มีอีโก้ของตัวเองว่าฉันเก่ง ฉันแน่ คือมันเป็นความบาปที่ส่งเข้ามาวันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป เกิดความเย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าตัวเองสามารถทำได้ เทียบเท่าพระเจ้าด้วย

            ฉะนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็ยังคงให้อิสรภาพเราเหมือนเดิม แต่พระเจ้าจะขอร้องเรา พี่น้องลองคิดดู พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ผู้ที่เป็นเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ซื้อชีวิตของเรา ตายแทนเราด้วย  แต่พระองค์ต้องขอร้องเรา ขอร้องให้เรามาเชื่อพระองค์ ขอร้องให้เราทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา พระองค์ขอร้องนะ ไม่ได้บังคับ ไม่ได้สั่ง แต่พระองค์บอกว่าให้มาทำแบบนี้เถอะ อย่าไปหลงเชื่อกลลวงของโลกใบนี้ที่ส่งเข้ามา  แล้วสิ่งที่เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด คือพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา พระองค์จะคอยบอก คอยเตือนให้เรารับรู้ว่าอันนี้ มาจากพระองค์ อันนี้ไม่ได้เป็นของพระองค์ เรารู้อยู่แก่ใจ

            ก่อนที่เราจะทำอะไร? ข้างในวิญญาณเรารู้แล้ว พระเจ้าบอกว่า “ถ้าลูกทำแบบนี้ นี่คือธรรมชาติใหม่ ที่เราให้กับเจ้านะ ตอนนี้เจ้าเป็นลูกของเรา เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เจ้าเป็นคนที่บริสุทธิ์ สะอาด ดีงาม เป็นความรัก”

            นั่นคือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อทุกคน ข้างในวิญญาณเรารับรู้ แล้วถ้าอะไรก็ตามที่ส่งผลออกมา ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรารู้ ก็คือสิ่งที่พระเจ้าบอก อันนั้นก็แปลว่ามันไม่ได้เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า  อย่างที่พระเจ้าบอก “ให้เรารักซึ่งกันและกัน เหมือนดังที่พระเจ้าทรงรักเรา” พระเจ้ารักเราก่อน พระเจ้าใส่ความรักลงมาในวิญญาณของพวกเราทั้งหลาย ในวิญญาณเราเป็นความรักอยู่แล้ว เราไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกาย เพื่อที่จะไปรักคนอื่น ไม่ใช่ แต่ให้เรารับรู้ความจริงว่าข้างในตัวตนแท้ๆ ของเรา เป็นความรัก แล้วให้เรายอมให้พระเจ้าทำงานในวิญญาณของเรา ส่งผลให้ความรักที่เป็นตัวตนแท้ๆ ของเราออกไปสู่ผู้คนรอบข้าง มันต่างกัน ไม่ใช่พยายามต้องรัก ไม่ใช่ เราเป็นความรักแล้ว เป็นอยู่แล้ว แค่เรายอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ส่งผลที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ออกไปให้ผู้อื่นได้สัมผัส จับต้องได้ แค่นั้นเอง เมื่อเช้าที่อาจารย์หนุ่ยพูดถึงหนังสือโรม 12:1-2 ที่บอกว่าเมื่อเรารู้ความจริงตรงนี้ ที่ว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดประทานความรอดให้กับพวกเราทั้งหลาย แล้วพระเจ้าก็ทรงให้เราทุกคนได้รับสิ่งสารพัดเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย ฉะนั้น ให้เรายอมจำนน ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองให้กับพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะใช้ทุกส่วนในร่างกายของเรา ส่งผลที่เป็นผลของพระวิญญาณของพระเจ้า ออกไปสู่ผู้คนรอบข้าง

            ฉะนั้น ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ สมองของเราเป็นป้อมปราการ เป็นสนามรบที่เรา ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ตัวเราเอง มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าเราจะมอบสนามนี้ ให้กับใคร? เราจะมอบให้พระเจ้าไหม? ถ้าเรามอบให้พระเจ้า สมองเราคิดอะไร? สมองจะสั่งการมาที่ร่างกายของเรา แล้วร่างกายของเราจะทำตามที่สมองสั่ง แต่ถ้าเราไม่ยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนของเรา เรายอมให้กับโลกใบนี้ส่งข้อมูล ที่เราชอบพูด …

            “แค้นนี้ต้องชำระ ไม่ได้ เขาทำกับเรา 10 เราต้องทำกลับไป 100” อะไรอย่างนี้

            ถ้าเราอนุญาตให้ความคิดนี้ส่งเข้ามาในสมองของเรา พอส่งเข้ามา เก็บข้อมูลปุ๊บ สมองสั่งเหมือนกัน สั่งลงไปที่ร่างกายของเรา แล้วร่างกายของเราก็จะทำตาม เขาเหยียบขาเรา สมองสั่งเลย …

            “ไม่ได้ เธอต้องเหยียบกลับ เหยียบให้เจ็บกว่าเดิม อภัยให้ไม่ได้”

            แล้วถ้าสมองส่วนที่เป็นป้อมปราการ เป็นตัวกลางของเราให้พระเจ้าใช้ พระเจ้าว่าอย่างไร? พระเจ้าเป็นความรัก พระองค์ก็บอกอภัยให้เขาเถิด เขาแค่เหยียบขา เราเจ็บแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หาย ถ้าเราไปเหยียบกลับ เจอคนที่รุนแรง เขาอาจจะเอาอะไรเหวี่ยงใส่หัวเราก็ได้ มันไม่ได้ผลดีหรอก ต่อให้เราทำไป สะใจ แค่ชั่ววินาทีเดียว  แต่มานั่งเสียใจอีกหลายเวลาเลย …

            “ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมเราถึงทำไปแบบนี้”

            ทั้งๆ ที่ข้างในวิญญาณของเรา เป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว

            นี่คือจุดสำคัญในชีวิตของผู้เชื่อทุกคน แล้วหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าบอกเราว่าวิญญาณของเรา ได้เป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณของเราสะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย แล้ววิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ความคิดจิตใจเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ตัวเก่าของเราที่เป็นบาปได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตของเราแม้แต่นิดเดียว  ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ เราจะเผลอไม่ยอมเชื่อฟังพระวิญญาณที่อยู่ข้างใน เผลอไปเชื่อฟังการหลอกลวงของโลกใบนี้ แล้วเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็อย่าให้หลอกต่อ พอเราทำผิดปุ๊บ โลกนี้หลอกเราต่อนะ …

            “เห็นไหม? แกมันเลว แกเป็นคริสเตียนนะ แกทำผิดอย่างนี้ได้อย่างไร? พระเจ้าไม่รักแกแล้ว”

            เคยเป็นไหม ความรู้สึก แย่เลย “ฉันทำอย่างนี้ พระเจ้าไม่รักฉันแน่ๆ เลย เราถูกหลอก ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามที่ผิดไปจากความเป็นจริง ในตัวตนของเรา มากน้อยขนาดไหน? ไม่สามารถที่จะสั่นคลอนความรักของพระเจ้าที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ในตัวเราได้ พระเจ้ารักเราจนถึงที่สุด พระเจ้าตายแทนเราได้ ฉะนั้น ความรักของพระเจ้าอยู่ในเรา มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต่อให้เราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พี่น้องจำตรงนี้ ประโยคนี้ ดิฉันจะพูดทุกครั้ง เราเป็นผู้ชอบธรรม ที่บางครั้งเผลอไปทำบาป หรือเผลอไปทำผิด แต่ไม่ว่าเราเผลอไปทำผิดทำบาปขนาดไหน? เราก็ยังคงเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เป็นผู้ชอบธรรมที่เผลอไปทำผิด แล้วก็รับผล คือแทนที่เราจะมีความสุข เราอยู่กับพระเจ้า เรายอมจำนนกับพระเจ้า ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์นำเรา ทุกวันเราก็ใช้ชีวิตเต็มล้นด้วนสันติสุข ที่มันอยู่ข้างในเรา แทนที่มันจะเป็นอย่างนั้น ก็กลายเป็นเราทุกข์ไง

            มีพี่น้องผู้เชื่อคนไหนที่ทำผิด แล้วมีความสุข  ดิฉันเชื่อว่าไม่มีแน่นอน เพราะว่าวิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว ทำผิดเราจะทุกข์ เราจะทรมาน เราจะรู้สึกไม่น่าเลย ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้ แค่ชั่วพริบตาเดียว ทำไมเราไม่อดทน อะไรก็แล้วแต่ มันจะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ หลายคนคิดว่าถ้าเราไม่สอนว่าต้องอย่างโน้น ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น แล้วคริสเตียนก็สบายสิ ทำอะไรก็ได้ มันไม่จริงหรอก ข้างในวิญญาณเราจะไม่มีความสบาย ถ้าเราทำอะไรก็ตามที่ผิดจากธรรมชาติ ที่พระเจ้าให้เราใหม่

            ฉะนั้น ให้เราขอบคุณพระเจ้าเถิดว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของเรา วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา แล้วพระองค์ก็จะทรงนำพาย่างเท้าของเรา จูงมือเราเดิน เดินไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต จนถึงวิญญาณเราออกจากร่าง หัวทิ่มบ้าง หัวตำบ้าง หลับบ้าง ตื่นบ้าง อะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าพระเจ้าสัญญา พระองค์จะนำพาวิญญาณของเรา จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่ต้องกลัวว่าวินาทีสุดท้าย เราจะหลุดไปจากทางของพระเจ้า คนที่วินาทีสุดท้ายหลุดออกจากทางของพระเจ้า คนนั้น วิญญาณเขาอาจดูเหมือนเชื่อ แต่เขาไม่ได้เชื่อจริงๆ

            แล้วใครจะรู้ว่าใครเชื่อจริง ใครเชื่อไม่จริง ไม่มีใครรู้ แต่พระเจ้ารู้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราจะรู้ว่าเราเป็นพวกเดียวกับพระองค์ หรือไม่ใช่พวกเดียวกับพระองค์ เราอาจจะทำตัวเหมือนคริสเตียนที่สุดยอดเลย ทำทุกอย่างตามกฎระเบียบเป๊ะ แต่ข้างในวิญญาณเราอาจจะยังไม่ได้บังเกิดใหม่ก็ได้ ไม่มีใครรู้ และไม่มีใครสามารถตัดสินได้ว่าคนนี้เชื่อจริง คนนี้เชื่อไม่จริง แต่ว่าพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะเป็นคนบอกเราเอง ถ้าเราเชื่อพระเจ้าจริงๆ ข้างในวิญญาณเราจะปรารถนาทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่คือจุดที่เราสามารถจะทดสอบ หรือตรวจสอบตัวเองได้ ถ้าเราไม่ปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว พระเจ้าสั่งซ้ายเราไปขวา พระเจ้าสั่งเดินหน้า เราอยากจะถอยหลัง อันนั้นก็ต้องมีเครื่องหมายคำถาม ตกลงเธอบังเกิดใหม่ไหม? ถ้าบังเกิดใหม่จริงๆ มันเผลอได้นะ บางครั้งอาจจะดื้อกับพระเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกครั้งแน่นอน ข้างในวิญญาณคนที่บังเกิดใหม่ มีใจปรารถนาที่จะทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอกอยู่แล้ว แล้วเราทำตามได้อย่างไร? ก็คือยอมให้พระเจ้าใช้ ไม่ต้องไปพยายามทำ  ไม่ต้องไปพยายามรักคนอื่น ความรักมันอยู่ข้างใน มันจะส่งผลออกมาเอง

            เหมือนดอกไม้ ต้นไม้เขาไม่ต้องพยายามที่จะบีบตัวเองให้ออกดอก ไม่ต้อง ก็คือถ้าถึงฤดูกาลของมัน มันจะออกดอกสะพรั่งให้เราเชยชมแน่นอน แต่ถ้ายังไม่ถูกฤดูกาลเราก็จะไม่เห็นดอก เห็นแต่ใบเต็มไปหมด หรือต้นไม้ที่ออกผล เขาก็จะมีฤดูกาลของเขา ถ้าเราไปบีบให้ออกผลนอกฤดูกาล มันก็ไม่อร่อย มันก็ไม่สวยงาม ทุกอย่างมีฤดูกาลของมัน แล้วพระเจ้าก็เฝ้ามองเราอยู่ ตามสายตาของมนุษย์ อาจจะเห็นว่าคนนี้เชื่อมา 10 ปีแล้ว ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่สายพระเนตรของพระเจ้ามองดูคนๆ นี้ เขาสวยงาม เขาสำเร็จแล้ว ตามที่เราวางแผนไว้ สำหรับชีวิตของคนๆ นี้ แต่ละคนพระเจ้าวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วพระองค์ก็จะจูงมือเราเดินไปจนถึงแผนการที่พระเจ้าวางไว้ สำหรับชีวิตของเรา สำเร็จปุ๊บ พระเจ้าบอกเสร็จงานแล้ว ไป กลับบ้าน ถ้ายังไม่เสร็จงาน อยู่ต่อก็แล้วกัน ต่อให้อายุเยอะขนาดไหน? ยังไม่เสร็จงาน พระเจ้าก็ให้อยู่ก่อน

            บางคน 90, 100 พระเจ้ายังไม่พากลับบ้านเลย งานยังไม่เสร็จ เขายังมีงานที่พระเจ้าให้ทำอยู่ แต่บางคนอายุยังน้อยอยู่เลย อ้าว! ทำไมพระเจ้าพากลับบ้านล่ะ เหตุผลง่ายๆ คืองานที่พระเจ้าใช้เขาสำเร็จแล้ว พระเจ้าบอกพอแล้วๆ งานจบแล้ว ให้ทำงานแค่นี้แหละ บางคนทำงานแค่ชั่วโมงเดียว บางคนต้องทำงานตรากตรำถึง 10 กว่าชั่วโมง แล้วแต่ละคนที่ทำงาน พระเจ้าเป็นผู้กำหนด พระองค์วางแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว ให้เราสามารถมั่นใจในพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา และทรงนำพาย่างเท้าของเรา แล้วพวกเราทุกคน ที่ได้รับพระคุณ พระพรตรงนี้ ก็ไม่ได้เกิดจากความดีงามของเราเลย  ไม่ใช่เราเก่ง ไม่ใช่เราแน่ ไม่ใช่เราเป็นคนดีมากๆ ช่วยเหลือคนอื่นทั่วไป ไม่ใช่ เราจะช่วยเหลือไม่ช่วยเหลือ ก็ไม่เกี่ยวกัน พระเจ้าไม่ได้มองตรงนี้ พระเจ้ามองตรงที่ว่าวิญญาณเราอยู่ที่ไหน? ณ เวลานี้ วิญญาณเราอยู่ในพระคริสต์แล้วหรือยัง? เมื่อวิญญาณเราอยู่ในพระคริสต์ ให้เรามั่นใจได้เลย หลับๆ ตื่นๆ เดี๋ยวพระเจ้าก็พาเราไปจนถึงจุดหมายปลายทาง แล้วก็พาเรากลับบ้านไปพักผ่อนกับพระเจ้า

            บางคนถูกเรียกมาหนักหนาสาหัสเหมือนอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลรับใช้พระเจ้าแบบหนักหนาสาหัสมาก ล้มลุกคลุกคลาน ถูกข่มเหงทุกรูปแบบ แต่อาจารย์เปาโลก็รับใช้พระเจ้า อย่างไม่ย่อท้อ แล้วพระเจ้าให้กำลังเขาด้วย ถ้าพระเจ้าจะใช้ใครในงานรับใช้ ที่ใหญ่โตมโหฬาร พระเจ้าจะเป็นผู้เสริมกำลังให้กับผู้นั้น พี่น้องไม่ต้องกลัวนะ …

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกไม่ไหว งานใหญ่ขนาดนี้ ลูกจะไปได้อย่างไร?”

            พระเจ้าบอก … “ลืมไปแล้วหรือ! คนที่อยู่ในเจ้าคือใคร? คือฉัน พระเจ้าตรีเอกานุภาพ”

            พระองค์สถิตอยู่ในเรา และพระองค์จะเป็นผู้นำพาชีวิตของเรา ให้จุดหมายปลายทางของเราที่พระเจ้ามอบหมายไว้ให้กับเราสำเร็จ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ …

            กาลาเทีย 3:11 “เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า  ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยบทบัญญัติ เพราะว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ”

            “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ” ในพระคัมภีร์บอกว่า “เริ่มต้นด้วยความเชื่อ ดำเนินชีวิตในความเชื่อ จบลงด้วยความเชื่อ”

            ความเชื่อตรงนี้ไม่ได้เชื่อว่าเราจะสามารถทำหมายสำคัญ ทำการอัศจรรย์ ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกัน บางคนบอกต้องเริ่มต้นด้วยความเชื่อ พี่น้องต้องเชื่อนะ เชื่อว่าเราอธิษฐาน แล้วพระเจ้าจะทำตามที่เราอธิษฐาน ตามความเชื่อของเรา ไม่เกี่ยวกันเลยนะ

            “ความเชื่อ” ตรงนี้ หมายความว่าเริ่มต้นด้วยความเชื่อ เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  ทำให้เราสามารถบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ นี่คือความเชื่อเริ่มต้น  และจากนั้น ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ คือยึดความเชื่อตรงนี้ไว้ ว่าตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว แล้วเรายึดมั่นตรงนี้ มั่นคงเลย ไม่เกี่ยวอะไรกับผลการกระทำของเราแม้แต่นิดเดียว ถ้าเรายึดมั่นตรงนี้ปุ๊บ ระหว่างทางที่เราเดินอยู่ เราอาจจะเจอหุบเขา เงาแห่งความตาย เราอาจจะเผชิญกับปัญหาทุกข์ยากลำบากมากมาย เจอแน่นอน พระเยซูบอกแล้ว ในโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ท่านชื่นชมยินดี เพราะฉันชนะโลกแล้ว ความทุกข์ยากเอาชนะฉันไม่ได้ ทุกข์แค่บนโลกใบนี้เท่านั้น หายใจเข้า หายใจออก เดี๋ยวเราก็กลับบ้านแล้ว บ้านเราอยู่ไหน? อยู่บนสวรรค์ บ้านของผู้เชื่อทุกคนอยู่บนสวรรค์ ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ ขณะที่อยู่บนโลกนี้ แม้เราจะมีบ้านเป็น 10 หลัง หรือ 100 หลัง มีบ้านที่เป็นคฤหาสน์ ที่ใหญ่โตขนาดไหน? วันหนึ่งเราก็ต้องทิ้งบ้านเหล่านี้ไป เพราะว่ามันไม่ใช่บ้านถาวรของเรา มันเป็นแค่ที่อยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่บ้านถาวรของผู้เชื่อทุกคน อยู่บนสวรรค์ แล้วพระเจ้าเตรียมที่ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วด้วย

            ดังนั้น ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พี่น้องนึกถึงภาพที่เราไปเข้าค่าย บางทีเราก็เจอค่ายที่ดี ไปอยู่โรงแรมหรู อยู่โรงแรม 5 ดาว มีของอร่อยกิน 3 มื้อ ไม่ต้องทำอะไรเลย กินๆ นอนๆ เล่นๆ เข้าค่ายกินๆ นอนๆ เล่นๆ จริงๆ  แล้วเสร็จจบค่าย ต่อให้ค่ายที่เราไปจะสะดวกสบาย ดีงามขนาดไหน? เราก็ไม่อยากอยู่ตลอดชีวิตแน่นอน บอกค่ายมี 3 วัน วันที่ 3 เราอยากกลับบ้านแล้ว ต่อให้อาหารอร่อยแค่ไหน? ที่พักสวยงามแค่ไหน? …

            “ไม่เอาแล้ว ฉันคิดถึงเตียงที่บ้านฉัน”

            เตียงที่บ้านเราอาจจะไม่หรูเท่ากับโรงแรม   อาจจะเป็นแค่เตียงไม้   ไม่มีฟูกด้วย    แต่เป็นที่ๆ เราคุ้นชิน    เราอยู่แล้วมีความสุข  นั่นคือบ้านเรา  แต่ที่พระเจ้าบอก     ก็คือบ้านของเราถาวรอยู่บนสวรรคสถาน ไม่ว่าบนโลกใบนี้เราจะได้รับพระพรขนาดไหน? มากกว่าคนอื่นขนาดไหน? บางคนถูกเรียกมายากจนตลอดชีวิต จนลมหายใจออกจากร่าง ก็ยังยากจนอยู่เลย ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็ยากจนแค่บนโลกใบนี้เท่านั้น เขามีความหวังใจ เขาไม่ได้มองที่ตัวเองอยู่ ณ เวลานี้ แต่ผู้เชื่อคนนั้น มองไปที่พระเจ้า และมีความหวังใจ อยู่แป๊บเดียวๆ อยู่แค่ชั่วคราวเอง เป็นบ้านเช่าด้วย ไม่มีบ้านตัวเองด้วย  บ้านเช่าไม่พอ เช่าถูกๆ ด้วย ฝนตกที ต้องหากะละมัง ถังมารองน้ำฝนที่ตกจากหลังคา เขาก็ยังมีความสุขที่จะอยู่ เพราะเขาไม่ได้คิดว่าเขาจะอยู่ถาวร ณ ที่แห่งนั้น บ้านของเขาอยู่ที่สวรรคสถาน เขาจับจ้องมองดูที่พระสัญญาที่พระเจ้าบอกเขาว่าวันหนึ่ง เมื่อเราทำงานเสร็จ พระเจ้าจะให้เรากลับบ้าน

            ฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน วันที่เรากลับบ้านบนสวรรค์ เป็นวันที่เรามีความสุขที่สุด เราไม่กลัวว่าตายไป เราจะไปอยู่ไหน? เพราะว่าพระเจ้าบอกเราแล้ว เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเยซูอยู่ในเราขณะนี้ ไม่ต้องรอตาย เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว อยู่ในสวรรคสถานแล้ว ในโลกวิญญาณ เราใช้ความเชื่อ แต่วันหนึ่ง เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราไม่ต้องใช้ความเชื่อ เราไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย นี่คือพระพรที่พระเจ้าบอกกับพวกเราว่าเราจะได้รับแบบนี้แหละ

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าเราดำรงชีวิตด้วยความเชื่อ จบลงด้วยความเชื่อ ยังไง เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา ยึดมั่นในสิ่งนั้น แล้ววันหนึ่ง เมื่อลมหายใจเราออกจากร่าง คือวันที่เราพักผ่อน เรามีความสุข ดังนั้น เวลาเรามีงานไว้อาลัย เราจึงไม่โศกเศร้าจนเกินไป  เพราะว่าเราแค่จากกันชั่วขณะหนึ่ง วันหนึ่งเราจะได้ไปพบกับคนที่เรารัก และในพระคัมภีร์ คริสเตียนไม่ได้ตาย

            พระเยซูบอก … “เราเป็นเหตุให้ท่านได้รับชีวิต และเป็นชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์”

            คริสเตียนจะไม่ตาย เขาเรียกว่าล่วงหลับ  เราแค่หลับไป เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ตื่นขึ้นมาอีกที ก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า แค่นั้นเอง นี่คือภาพที่เรายึดมั่นและมีความหวังใจในพระองค์ …

        กาลาเทีย 3:12 “บทบัญญัติไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ   แต่  “ผู้ใดที่ทำสิ่งเหล่านี้  จะมีชีวิตอยู่โดยสิ่งเหล่านี้”

            “ทำสิ่งเหล่านี้” คือทำตามบทบัญญัติ ในพระคัมภีร์ตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าใครที่คิดว่าตัวเองจะประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติทุกประการ  เพื่อที่จะได้รับความรอด เขาก็จะมีชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ ก็คือตามบทบัญญัติ เมื่อตามบทบัญญัติปุ๊บ ข้อข้างบนบอกว่าใครที่ทำตามบทบัญญัติ คนนั้นจะถูกสาปแช่ง ก็คือมนุษย์ทุกคนอยู่ในคำสาปแช่งอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่คิดที่จะย้ายสถานที่ที่เขาอยู่ ก็คืออยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ถ้าเขาไม่ยอมย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์

            อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ก็คือผ่านทางความเชื่อเท่านั้น  เชื่อในสิ่งที่พระเยซูทำให้กับเขาบนไม้กางเขน เท่านั้นเอง  เขาก็จะได้รับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าเตรียมการไว้ให้กับเขาเรียบร้อยไปแล้ว ทำเรียบร้อยไปแล้ว ของขวัญจัดไว้เรียบร้อยไปแล้ว แค่รอให้ใครก็ตามได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วเดินเข้ามารับของขวัญชิ้นนี้ไป แค่นั้นเอง

            อาจารย์เปาโลพยายามชี้ให้ผู้ที่อยู่ในกาลาเทียได้เห็นภาพ ว่าถ้าใครคิดว่าจะทำตามกฎบัญญัติ ก็ต้องทำให้ครบถ้วนทุกประการ เหมือนพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์คิดว่าตัวเองสามารถทำตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าตั้งไว้  เพื่อตัวเองจะได้ไปถึงพระเจ้า  ไปถึงสวรรค์ พระเยซูมาประกาศว่า …

            “เธอทำไม่ได้หรอก ยังไงเธอก็ทำไม่ครบ มาเชื่อฉันเถอะ”

            แต่เขาก็ยังเย่อหยิ่งเกินไป ที่จะมายอมรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ พระเจ้าก็ไม่ห้าม พอเขาตัดสินใจแบบนั้น พระเยซูต้องพูดว่า “เอเมน” เอเมน แปลว่าเป็นไปตามนั้น  ท่านตัดสินใจอะไร? ท่านจะรับผลตามนั้น

            เราขอบคุณพระเจ้าที่ข่าวดีของพระเจ้ามาถึงพวกเราทุกๆ คน แล้วเราก็ตัดสินใจแล้ว มาพึ่งในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราพึ่งในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูคริสต์ก็อาเมนเหมือนกัน  ก็คือได้ตามนั้นเลย เราจะได้รับชีวิตใหม่  เราได้รับวิญญาณใหม่  เราได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า  เราได้มาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้รับชีวิตนิรันดร์แบบพระเจ้าเลย วิญญาณเราได้อยู่กับพระเจ้าแล้ว หลังความตาย เราไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้รับโทษแทนเราเรียบร้อยไปแล้ว  นี่คือข่าวดี นี่คือพระพร นี่คือพระคุณที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเรามนุษยชาติทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ แต่ไม่ได้ทำตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือน คนที่ส่องกระจก มองหน้าตัวเอง หลังจากส่องดูแล้วก็ไป และทันใดนั้น ก็ลืมว่าหน้าตาตนเอง เป็นอย่างไร

            ยากอบ 1:22-25 … “22 อย่าเพียงแต่ฟังพระวจนะ  ซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง  แต่จงปฏิบัติตามพระวจนะนั้น 23 ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ  แต่ไม่ได้ทำตาม  ผู้นั้นเป็นเหมือนคนที่ส่องกระจก  มองหน้าตัวเอง 24 หลังจากส่องดูแล้วก็ไป  และทันใดนั้นก็ลืมว่าหน้าตาตนเองเป็นอย่างไร 25 ส่วนผู้ที่พินิจดูบทบัญญัติอันสมบูรณ์  ซึ่งให้เสรีภาพ  และทำสิ่งนี้ต่อไป  โดยไม่ลืมสิ่งที่เขาได้ยิน  แต่ปฏิบัติตาม  เขาก็จะได้รับพรในสิ่งที่ตนทำ”

            ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ  แล้วไม่เชื่อ ไม่ได้ทำตาม ก็อยู่ในการพิพากษาลงโทษเหมือนเดิม

            ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ  แล้วเชื่อและได้ทำตาม ก็ได้รับการบังเกิดใหม่รับความรอดนิรันดร์

            สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว  ถ้อยคำพระเจ้าเป็นเหมือนกระจกเงาให้เราส่องดูว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์  หน้าตาของเราเป็นอย่างไร  สะอาดหมดจดแค่ไหน  บาปของเราได้รับการยกออกแล้ว วิญญาณของเราและจิตใจใหม่ของเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  ให้เราจดจำถ้อยคำเหล่านี้

            เพื่อเราจะไม่ถูกหลอกให้ลืมความจริงนี้  และไปติดตามคำยุแยงของศัตรู  ที่ส่งกระแสเข้ามา  ผ่านทางอิทธิพลของความบาป  ล่อลวงให้เราทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้า

            เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว มองดูตนเองในกระจกเงา คือถ้อยคำของพระเจ้าก็จะเห็นว่าตัวเองเป็นลูกพระเจ้าเป็นความรักเหมือนพระเจ้า  แล้วก็ดำเนินชีวิตอยู่ในความรัก

            ตรงนี้พระเจ้าให้เสรีภาพกับเรา  ไม่ว่าเราจะประพฤติออกมาเป็นความรักหรือไม่ก็ตาม  ทำผิดหรือทำถูก  ก็ไม่มีการลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น

            เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อยู่ในความรักแล้ว  อยู่ในกฎใหม่แล้ว  ตัวจริงๆ ของเราตามธรรมชาติใหม่

            เป็นความดีงาม  เป็นความรัก  ถ้าเราไม่เผลอลืม  เราก็จะดำเนินชีวิตตามความรัก  พระเจ้าไม่ได้บังคับเราว่าต้องปฏิบัติ

            แต่ให้เราปฏิบัติตามความเป็นจริง  ตามธรรมชาติที่เกิดใหม่ของเรา  ไม่ถูกหลอก ถ้าเราทำอย่างนี้  เราก็จะได้รับพรในสิ่งที่เราทำ  เกิดเป็นผลดีต่อชีวิตของเราทางฝ่ายโลก ไม่เกี่ยวอะไรกับทางวิญญาณของเราเลย

            เมื่อเราเชื่อ  วิญญาณเรารอดแล้วแน่นอน  ความประพฤติไม่สำคัญเลย  แม้จะทำดีหรือทำไม่ดี  ก็ไม่มีผลกับวิญญาณของเราเลย

            เพราะพระเจ้าบอกเราว่าเราได้รับความรอด โดยพระคุณความรักของพระเจ้าไม่ใช่โดยการกระทำความประพฤติของตนเอง

            แต่ร่างกายของเรา ยังอาศัยอยู่บนโลกนี้ ยังอยู่ภายใต้ กฎของความบาปและความตาย กฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีละชั่ว กฎของการหว่าน  และการเก็บเกี่ยว  หว่านอะไรต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ถ้าเราประพฤติอย่างถูกต้อง  ด้วยความเคารพยำเกรงในกฎทั้งสอง ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาดูแล ด้วยความยุติธรรม

            เราก็จะได้รับผลดีในชีวิตของเรา เป็นพระพรตามที่พระเจ้าได้ระบุไว้ในถ้อยคำของพระองค์อย่างแน่นอน

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1484

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  สิงหาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 6

โดย วราพร  คงล้วน

            เรายังอยู่ในหนังสือกาลาเทีย วันนี้เราจะมาเริ่มบทที่ 3 คราวที่แล้วที่เราเรียนกัน เรื่องของอาจารย์เปโตร ที่ไปทานข้าวกับคนต่างชาติ กำลังทาน สนุกสนานกันอยู่ พอเห็นคนยิวเข้ามา ด้วยความตกใจ ก็รีบลุกขึ้น แล้วก็ชะแว๊บหายไปเลย เป็นสิ่งที่อาจารย์เปาโลรับไม่ได้ ก็เลยว่ากันแรงๆ ไม่ได้ไปแอบว่า คือว่ากันต่อหน้าว่า …

            “ท่านเป็นคนยิว ท่านยังรู้ว่ามนุษย์ไม่มีความสามารถที่จะได้รับความรอด โดยผ่านทางบทบัญญัติ แล้วท่านยังจะมาทำท่าทางแบบว่าไม่ได้ ฉันกับคนต่างชาติอยู่ด้วยกันไม่ได้ คนละระดับ”

            ซึ่ง ณ เวลานี้ สิ่งที่อาจารย์เปาโลกำลังประกาศ คือโดยพระคุณความรักของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษยชาติ คนต่างชาติกับคนยิวที่ได้เข้ามา เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะอยู่ในสถานะเดียวกัน ก็คือเป็นประชากรของพระเจ้าร่วมกัน สามารถที่จะเป็นพี่น้องกัน แต่อาจารย์เปโตรทำอย่างนี้ เหมือนไม่ได้เป็นพี่น้องกัน ซึ่งมันขัดกับความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า  อันนี้อาจารย์เปาโลรับไม่ได้  ไม่ยอมด้วย ไม่ให้มันผ่านไป ต้องเคลียร์ให้เสร็จๆ เลยว่าทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ณ ปัจจุบัน ความรอดมาถึงทุกคนแล้ว ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาเป็นพี่น้องของเรา เขาอยู่ในสถานะเดียวกัน เขามีพระเจ้าองค์เดียวกันกับเรา ซึ่งเป็นพ่อของเราทั้งหลาย และมีพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพี่ชายใหญ่ของเรา ทุกอย่างมันเป็นไปตามนั้น อย่างที่เราเรียนรู้จากในหนังสือเอเฟซัส  ไม่มียิว ไม่มีกรีก ไม่มีทาส ไม่มีไท คือทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์

            พอมาถึงบทที่ 3 เรามาดูบทที่ 1 ข้อที่ 1

        กาลาเทีย 3:1-2 “1 “ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย! ใครสะกดท่านให้หลงไปเสียแล้วเล่า? ภาพพระเยซูคริสต์ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ก็ชัดเจนอยู่ต่อหน้าต่อตาท่าน 2 สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากรู้จากท่าน  คือท่านได้รับพระวิญญาณ โดยการทำตามบทบัญญัติ หรือโดยการเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน?”

            แปลว่าตรงนี้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในกาลาเทีย ตั้งแต่บทที่ 1 ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าใครก็ตามที่มาประกาศข่าวประเสริฐอื่น นอกเหนือจากที่อาจารย์เปาโลประกาศไว้แล้ว ให้คนนั้นถูกสาปแช่ง ไม่ว่าคนนั้นจะใหญ่มาจากที่ไหน? ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์หรือใครก็ตาม  ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่น ขอให้เขาถูกสาปแช่ง

            ฉะนั้น ตรงนี้แปลว่ามีผู้คนมาประกาศข่าวประเสริฐอื่นให้กับชาวกาลาเทีย แล้วไม่เพียงแต่ประกาศข่าวประเสริฐอื่นเท่านั้น ชาวกาลาเทียเชื่อด้วย  แล้วก็ไปทำตาม พอเชื่อและไปทำตาม อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่าท่านโง่ถึงขนาดนี้ ใช้คำว่า “โง่” เลยนะ ฉลาดน้อยไปหน่อย อะไรประมาณนี้ แต่โง่จริงๆ เพราะว่าข่าวประเสริฐที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติ ที่อาจารย์เปาโลประกาศ คือข่าวประเสริฐเป็นพระคุณ

            “พระคุณ” หมายความว่ามนุษย์ทำเองไม่ได้  แล้วก็ไม่สามารถทำได้ด้วย ไม่ว่าการประพฤติดีใดๆ ตามกฎบัญญัติทุกอย่างที่พระเจ้าตั้งไว้ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถประพฤติได้เต็ม 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า แปลว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถใช้วิธีการประพฤติปฏิบัติตามบทบัญญัติ หรือถ้าไม่ใช่ชาวยิว ไม่รู้จักบทบัญญัติ คือทำดี ประพฤติดีตามกฎที่เขาได้รับมา เพื่อไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ ซึ่งตรงนี้ไม่มีใครทำได้เลย

            แล้วอาจารย์เปาโลเลยถามว่าอยากจะรู้จริงๆ ว่าพวกท่านรับพระวิญญาณ โดยการประพฤติใช่ไหม? หรือว่ารับโดยความเชื่อที่ท่านได้ยินการประกาศข่าวดี ผ่านทางอาจารย์เปาโล ข่าวดีนี้ คือพระเจ้าได้ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ซึ่งเป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า เป็นผู้เดียวที่เกิดบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีเชื้อบาปเลย  แล้วเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกส่งมา เป็นผู้ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาปว่าจะส่งพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับมนุษยชาติ พระเจ้าผู้นี้ คือพระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ และมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนที่เมื่อกี้เราทำมหาสนิท ก็คือพระเยซูคริสต์ยอมสละพระองค์เอง ให้มนุษย์นำไปตรึงบนไม้กางเขน ยอมหลั่งพระโลหิตของพระองค์ จนถึงเลือดหยดสุดท้ายของพระองค์

            แล้วพี่น้องลองคิดดู พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ยอมละวิญญาณของพระองค์เอง ไม่มีใครฆ่าพระเยซูคริสต์ได้ พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าพระเยซูไม่ยอม เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ยอม การยอมของพระเยซูคริสต์ต้องใช้พลังมหาศาลมาก ทำไมเรารู้ว่าใช้พลังมหาศาล เราเห็น หลังจากที่พระเยซูคริสต์ทำมหาสนิทกับสาวกแล้ว ร้องเพลง “วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะชื่นชมยินดี” แต่โดยความเป็นมนุษย์ พี่น้องนึกออกไหม?  ณ เวลานั้น พระเยซูยังเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์อยู่ มีความกลัวอยู่ พระองค์กลัวมากๆ เพราะพระองค์รู้ทุกอย่าง รู้สิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ รู้ว่าต่อแต่นี้ไป อีกไม่กี่นาที พระองค์จะต้องไปเผชิญกับอะไร?  กลัวขนาดที่อธิษฐานกับพระเจ้า เหงื่อออกมาเป็นเลือด อธิษฐานกับพระเจ้าถึง 3 ครั้ง

            “ไม่ไปได้ไหม พระองค์เจ้าข้า ให้ถ้วยนี้เลื่อนไปได้ไหม? ไม่อยากไป มันทรมาน”

            ชนิดที่พระเยซูเป็นมนุษย์ จะรู้ว่ามันเจ็บ มันปวด มันทรมาน และที่ทรมานมากกว่านี้ คือพระเยซูคริสต์จะต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้าพระบิดา ช่วงระยะหนึ่ง ตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  จนถึงวันที่ 3 ที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย คือด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ชุบให้พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย และที่ทรมานมากกว่านี้ คือพระเยซูคริสต์จะต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า ช่วงระยะหนึ่งตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน จนถึงวันที่ 3 ที่พระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  คือด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย

            ฉะนั้น การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์มีความหมายมากๆ สำหรับมนุษยชาติ ถ้าพระเยซูคริสต์แค่หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระล้างบาปของเราเท่านั้น มนุษย์ก็ได้รับการยกโทษบาปเฉยๆ  แต่มนุษย์จะไม่สามารถเป็นเหมือนพระเจ้า คือไม่สามารถที่จะบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ก็แค่ได้รับการยกโทษ มนุษย์ก็ทำผิดแล้วผิดอีก ก็ยกโทษแล้วยกโทษอีก ก็ไม่มีผลอะไร? เพราะว่าวิญญาณของมนุษย์ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ในอาดัม อยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง

            พระเยซูคริสต์จำเป็นต้องยอมละวิญญาณของตัวพระองค์เอง คือยอมตายบนไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เพื่อว่ามนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ จะได้ตายพร้อมกับพระองค์ วิญญาณเก่าที่เป็นบาปจะได้ถูกนำไปไว้กับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน และตายด้วยกัน ถ้าวิญญาณเก่าของมนุษย์ไม่ตาย มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ นี่เป็นขบวนการ เป็นแผนการที่พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป แล้วแผนการนี้ พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้ร่วมมือกับพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ต้องยอมด้วย เหมือนกับพวกเรา เมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ได้บังคับเรา เราต้องยอม ด้วยตัวของเราเองว่ายอมให้พระเจ้าทำงานในชีวิตของเรา  ยอมที่จะทำตามสิ่งที่เราได้บังเกิดใหม่ ธรรมชาติใหม่ที่มันเป็นตัวตนของเราแล้ว เรายอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนของเรา เพื่อที่จะส่งผลของการบังเกิดใหม่ของเราออกไปให้ผู้คนได้สามารถเห็นได้ ตรงนี้เป็นภาพที่พวกเราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ว่าถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ตาย เราก็ตายไม่ได้ คือตัวเราเองตายอยู่ในบาปแล้ว ตายนิรันดร์เลย หลังจากโลกนี้สลายไป วิญญาณออกจากร่าง เราก็ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ในบาป  แต่เพราะพระเยซูคริสต์ยอมตาย  พระเจ้าจึงสามารถนำตัวเก่าของเราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ตายไปด้วย เมื่อตัวเก่าของเราตายปุ๊บ ฝังกับพระเยซูคริสต์ แล้วเราเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็คือบังเกิดใหม่ ด้วยพระสัญญาใหม่ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติ พระเจ้าสัญญาว่า …

            “เราจะให้ใจใหม่กับเจ้า เราจะให้วิญญาณใหม่กับเจ้า  แล้วเจ้าจะเป็นประชากรของเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า”

            นี่คือพระสัญญาในพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะทำ และสิ่งนี้ได้ทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ วันที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย

            ฉะนั้น มนุษย์ทุกคนมีทางเลือกใหม่ เลือกที่จะยอมให้พระเจ้าย้ายเราจากในอาดัม จากความบาป จากคำสาปแช่ง จากการไม่มีพระเจ้านิรันดร์กาล ย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ทันทีที่เราย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  แล้วเราได้ตามพระสัญญา ก็คือเราได้รับวิญญาณใหม่ ได้รับความคิดจิตใจใหม่ที่พระเจ้าให้ใหม่เลย ณ วันนี้ ผู้เชื่อทุกคน พวกเราทุกคนจำตรงนี้แม่นๆ ก็คือตัวตนของเราจริงๆ ไม่มีบาปเลย  อย่าให้ใครมาใส่ความเรา หรือใส่ความคิดลงมาว่า …

            “เธอยังบาปอยู่เลย เธอยังทำโน่นนี่ไม่ถูกต้อง

            เราต้องยืนกรานตามถ้อยคำของพระเจ้าว่า … “ฉันไม่มีบาปแล้ว ตัวบาปเก่าของฉันตายไปกับพระเยซูคริสต์แล้ว ณ เวลานี้ ฉันเป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์เลย”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกกับเรา ดังนั้น หลังจากที่ผู้เชื่อได้เปิดใจต้อนรับเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือครบถ้วน สมบูรณ์ ใครก็ตามที่เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก พระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องพยายามที่จะทำเพิ่ม เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น  ไม่ต้อง พระเจ้าบอก …

            “เธอชอบธรรมแล้ว”

             เราไม่จำเป็นต้องพยายามตะเกียกตะกาย ทำอะไรก็ตาม เพื่อให้เราสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไม่ต้อง เพราะว่าพระเจ้าทำให้เราเสร็จสิ้น สมบูรณ์แล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป๊ะ ตอนนี้วิญญาณใหม่ของเราไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียวเลย นี่คือความจริง  ความจริงในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้น แต่เนื่องจากเรายังอยู่ในโลกใบนี้อยู่ ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ โอกาสที่เราจะเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องมันมี ฉะนั้น ไม่ว่าผู้เชื่อคนไหนก็ตามที่เผลอไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเรา  คนๆ นั้นก็จะได้รับผล เฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่มันจะไม่สามารถกระทบกระเทือนกับวิญญาณของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนที่อาจารย์นครบอก ขิงมันถูกดองไปแล้ว  จะเอากลับไปเป็นขิงสดไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็คือเป็นขิงดอง แล้วก็ดองตลอดไป จนกว่าจะถูกกินหมด นั่นคือความจริง

            เราจำเป็นจะต้องมองภาพพวกนี้ให้เห็น ให้ชัด  เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก  เพราะว่าโลกนี้พยายามหลอกเรา หลอกผู้เชื่อว่าต้องไปทำโน่นเพิ่ม ทำนี่เพิ่ม เห็นไหม เธอต้องพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อเธอจะได้เป็นที่รักของพระเจ้า  เพื่อเธอจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น  แต่พระเจ้าบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย  เธอเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว เธอเป็นที่รักของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์รักเราดังแก้วตาดวงใจเรียบร้อยไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจากนี้ต่อไป เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราจะสังเกต เราไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกายทำด้วยตัวเราเอง แต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา พระองค์จะนำเรา ในการทำ ให้ส่งผลของธรรมชาติใหม่ของเราออกไป ให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น ถ้าเรารู้ความจริงมากเท่าไร? ผลนั้นจะถูกส่งออกไปมากเท่านั้น ถ้าเรารู้ความจริงน้อย ก็จะถูกหลอกว่า …

            “เธอยังบาปอยู่เลย เธอยังทำโน่นก็ไม่ดี ทำนี่ก็ไม่ดี”

            แต่เราก็ไม่ต้องไปสนใจ โลกนี้ส่งข้อมูลพวกนี้มา เราต้องยืนกรานว่า … “พระเจ้าบอกว่าฉันดี ต่อให้ตอนนี้ฉันเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ดี พระเจ้าก็ยังบอกว่าฉันดี ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่บางครั้ง เผลอไปทำบาปเท่านั้นเอง” เผลอทำบาปนะ

            ฉะนั้น การเผลอทำบาปของผู้เชื่อ มันจะอยู่กับเรานานไหม? พี่น้องอาจจะถามว่าเมื่อไรเราจะไม่เผลอล่ะ ก็เมื่อลมหายใจเราออกจากร่างนั่นแหละ เราก็จะไม่เผลอ ไม่อย่างนั้นเราเผลอทุกวัน ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่ศิษยาภิบาลก็มิสิทธิ์เผลอด้วยใช่ไหม? เราทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า มีสถานะเดียวกัน แค่พระเจ้าใช้แต่ละคนในตำแหน่งหน้าที่ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง เรามีสิทธิ์ที่จะเผลอ แต่ไม่ว่าเราจะเผลอขนาดไหนก็ตาม เราต้องรับรู้ความจริง และยืนยันความจริงว่า …

            “ฉันแค่เผลอ ทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามตัวตนของฉันเท่านั้นเอง  แต่ตัวตนของฉัน ฉันสะอาด บริสุทธิ์ ฉันชอบธรรม ฉันเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ฉันไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว ในสายพระเนตรของพระเจ้า”

        กาลาเทีย 3:3-4 “3 ท่านโง่เขลาปานนี้หรือ?  หลังจากที่เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ บัดนี้ ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่าน ด้วยการขวนขวายของมนุษย์หรือ? 4 ท่านได้ทนทุกข์มากมาย โดยเปล่าประโยชน์หรือ? สิ่งนี้เป็นการเปล่าประโยชน์จริงๆ หรือ?”

            มันเปล่าประโยชน์จริงๆ ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์บอกพระองค์ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ในชีวิตของเรา เราได้รับผลสำเร็จทั้งหมดที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราแล้ว แต่ผู้เชื่อยังสามารถถูกหลอกว่า …

            “แค่นั้นไม่พอ เธอต้องพยายามทำโน่นทำนี่ ทำนั่น เพื่อที่เธอจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น”

            อาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าอย่าให้ถูกหลอกว่าเราจำเป็นจะต้องทำโน่นนี่นั่น  เพิ่มเติมจากสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ผลสำเร็จทั้งหมด เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว มันจะต่างกันตรงที่ว่าหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราได้รับวิญญาณใหม่จากพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเราแล้ว  หลังจากนั้น เราก็ฝึกฝน มันต่างกันนะ หลังจากนั้น เราฝึกฝน ให้ธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นอยู่ให้พัฒนา แล้วก็ถูกสำแดงออกไป มันต่างออกไป ที่เราพยายามทำๆ เพื่อเราจะได้รับความรอด แต่ความเป็นจริง คือผู้เชื่อได้รับความรอดแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว หลังจากนั้น เราก็ฝึกฝนการเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ให้สำแดงความชอบธรรมของพระองค์ออกไป ให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็นชัดเจนมากขึ้น มันจะต่างกัน

            เหมือนกับครอบครัว เราอยู่ในครอบครัว เราเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ เราไม่จำเป็นที่ต้องพยายามทำอะไรก็ตาม เพื่อทำให้เราเป็นลูกของพ่อแม่ ไม่ต้อง ต่อให้เราไม่ทำ ต่อให้นั่งไป นอนไป กินไป เล่นไป  เราก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่อยู่ มันเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ไม่ได้ แต่ที่เราลุกมาทำโน่นทำนี่  เพราะเรารักพ่อแม่ เราอยู่ในบ้าน เราลุกขึ้นมา ช่วยแม่กวาดบ้าน ช่วยแม่ถูบ้าน ช่วยแม่หุงข้าว ช่วยแม่ทำโน่นทำนี่ ไปจ่ายตลาด ไปช่วยแม่หิ้วของ ซื้อของ นั่นคือความรักที่มาจากข้างใน เรารู้ว่าเราเป็นลูกของแม่ เราอยากจะทำให้แม่หายเหนื่อย เราก็ไปทำ แค่นั้นเอง ภาพมันจะต่างกันกับการที่เราต้องพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อให้แม่หรือพ่อยอมรับว่าฉันเป็นลูก มันไม่ใช่ ไม่จำเป็นเลย ก็คือเราเป็นลูกเรียบร้อยไปแล้ว หลังจากนั้น เราค่อยทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นใจ

            ในภาพเดียวกัน เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า เราไม่จำเป็นต้องพยายามดิ้นรนทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้ายอมรับว่าเราเป็นลูกของพระองค์ เราเป็นเรียบร้อยไปแล้ว แต่ที่เราต้องการ ที่เราปรารถนาอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เพราะธรรมชาติใหม่ข้าง ในเราเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เราเป็นความดีงามอยู่แล้ว เราเป็นเหมือนพระเจ้าอยู่แล้ว แล้วเราก็อยากจะสำแดงความเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราออกไป เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันๆ นี่คือภาพ พี่น้องต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออก เราก็จะถูกหลอก พอนานๆ เข้า การที่เรามีความสำนึกว่า …

            “ฉันเป็นลูกพ่อลูกแม่ ฉันเข้าบ้าน บ้านของพ่อแม่ คือบ้านฉัน”

            เป็นไหม? ความรู้สึกมันเป็นอย่างนี้จริงๆ บ้านของพ่อแม่ คือบ้านฉัน พอเราเข้าบ้านพ่อแม่ เราก็เปิดตู้เย็น เราก็หยิบของกิน เรามีความสุข วันนี้เราขี้เกียจทำอะไร เราก็นอนตีพุง เปิดโทรทัศน์ดู พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร? หรือแค่บอกว่าลุกขึ้นมาหน่อย อะไรแบบนี้  ก็แค่นั้น แต่เรายังมีความรู้สึกของการเป็นลูกของบ้านนี้อยู่ ไม่ใช่ว่าเราเข้ามา เราก็เกร็งๆ …

            “บ้านนี้ของฉันหรือเปล่า? บ้านพ่อแม่ไหม? เวลาฉันจะหยิบจับอะไร? ฉันเกร็งมากเลย  ฉันไม่กล้าหยิบ ฉันกลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด”

            มันไม่ใช่ภาพปกติ ธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ใช่แน่นอน แต่ว่าธรรมชาติของการเป็นมนุษย์ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรามีความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในสิ่งที่พ่อแม่เรามีและเป็น ในภาพของโลกวิญญาณเหมือนกัน เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เราเห็นภาพนี้ชัดเจนมาก ในขณะที่เรามีความสุข มีสันติสุข สบายใจ เวลาอยู่ในบ้านของพระเจ้า  เราไม่ต้องพยายามเกร็งมากเลย ต้องพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้าพอใจ ไม่ต้องนะ พระเจ้าพอใจเรามากอยู่แล้ว

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยถามคนกาลาเทียว่า … “ที่ท่านเชื่อ เชื่อเพราะว่าท่านได้รับ ได้ยินข่าวดีของพระเจ้าผ่านทางฉัน  ฉันประกาศให้เธอ หรือเพราะท่านปฏิบัติดี ท่านจึงได้รับความรอด” อันนี้ต่างกันนะ

        กาลาเทีย 3:5-7 “5 พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน และทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น ก็เพราะท่านรักษาบทบัญญัติ หรือเพราะท่านเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน? 6 จงพิจารณาดูอับราฮัม “เขาเชื่อพระเจ้าและความเชื่อนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” 7 ฉะนั้น จงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อ ก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม”

            อาจารย์เปาโลยกตัวอย่างอับราฮัม ทำไมอับราฮัมได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งความเชื่อ  และเพราะความเชื่อของเขา พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม  เป็นความชอบธรรม อับราฮัมได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ชอบธรรม ตั้งแต่เมื่อไร?  ก็คือตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าเรียกเขาในหนังสือปฐมกาล บทที่ 12 พระเจ้าเรียกเขาให้ออกมา

        ปฐมกาล 12:1-3 “1 องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้เคยตรัสกับอับรามว่า “จงละบ้านเมืองของเจ้า วงศ์ตระกูลของเจ้า และครอบครัวบิดาของเจ้า เพื่อไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า 2 “เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ และเราจะอวยพรเจ้า เราจะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือ และเจ้าจะเป็นพร 3 เราจะอวยพรบรรดาผู้ที่อวยพรเจ้า และเราจะสาปแช่งบรรดาผู้ที่แช่งเจ้า ทุกชนชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเจ้า”

            นี่เป็นคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกไว้ แล้วเป็นสิ่งที่พระเจ้าเรียกอับราฮัมตั้งแต่เริ่มแรก เมื่อก่อนไม่ได้ชื่อ “อับราฮัม” นะ ชื่อ “อับราม” พระเจ้าบอกกับอับรามว่าให้ออกจากบ้าน ออกจากเมือง ไปตามที่พระเจ้าได้สั่งให้เขาไป เพราะอับราฮัมเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เพียงความเชื่อของอับราฮัมเพียงครั้งเดียว ก็คือเมื่อพระเจ้าตรัสปุ๊บ เขาพาภรรยา ตอนนั้นยังไม่มีลูกนะ พาภรรยา เอาคนใช้ เดินทางไปเลย ไปตามที่พระเจ้าสั่ง ณ เวลานั้น พระเจ้าก็ไม่ได้บอกว่าจะให้ไปที่ไหน? บอกมาแล้วกัน แล้วเราจะทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับเจ้า ความเชื่อของอับราฮัมเพียงครั้งเดียว  เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ที่อับราฮัมเชื่อว่า …

            “พระเจ้ามีอยู่จริง แล้วเชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้ ที่สั่งให้เขาเดินทางออกจากบ้านเมืองของตัวเอง ออกจากญาติพี่น้องของตัวเอง แล้วเดินตามพระองค์ไป มันเป็นความเชื่อในโลกวิญญาณที่อับราฮัมเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แล้วฉันก็จะตามไปด้วย”

            หลังจากความเชื่อตรงนี้ เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างความเชื่อและความเชื่อฟัง

            เรื่องของความเชื่อ เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ  แต่เรื่องของการเชื่อฟัง เป็นเรื่องของโลกใบนี้ โลกวัตถุ ฉะนั้น การเชื่อของอับราฮัม  หรือของพวกเรา ณ ปัจจุบันที่เราเป็นผู้เชื่อแล้ว การที่เราจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังพระเจ้า มันเป็นการดำเนินชีวิต ซึ่งเรามีโอกาสที่จะไม่เชื่อฟังก็ได้ ตอนที่อับราฮัมไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าก็ยังถือว่าเขาชอบธรรมอยู่ ไม่ใช่พอ ไม่เชื่อฟังปุ๊บ พระเจ้าบอกไม่เอาแล้ว ไม่ให้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ใช่ อับราฮัมไม่เชื่อฟังพระเจ้าหลายต่อหลายครั้ง เรารู้ได้จาก …

            ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่เห็นชัดๆ คือตอนที่พระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่า …

            “เราจะให้เจ้ามีลูกหลานดกทวีคูณเต็มแผ่นดิน”

            และคนที่จะเป็นทายาทในฝ่ายวิญญาณ จะเกิดจากนางซาราย ผู้เดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคนอื่น แล้วตอนที่อับราฮัมได้ยิน ท่านเชื่อตามนั้น แต่เนื่องด้วยสภาวะของร่างกาย หรือเนื่องด้วยความเป็นมนุษย์ อยู่กันไป ก็เชื่อตามนั้นแหละ พระเจ้าบอกว่าให้ไปดูเม็ดทราย ลูกหลานของเจ้าจะเต็มเหมือนเม็ดทราย ลูกหลานของเจ้าจะเป็นเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า อับราฮัมก็เชื่อตามนั้น ตอนที่พระเจ้าคุยกับอับราฮัม อายุ 75 จนเวลาผ่านไป 10 ปี อายุ 85 แล้ว อับราฮัมก็มอง 10 ปีผ่านไป ไม่เห็นมีวี่แววเลย  นางซารายก็เลย คิดจะช่วยพระเจ้า ยกนางฮาการ์ คนใช้ของตัวเองให้อับราฮัมไปเป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง  แล้วอับราฮัมก็ไปนอนกับนางฮาการ์ นี่ถือว่าไม่เชื่อฟัง เพราะพระเจ้าบอกแล้วไง …

            “ลูกหลานของเธอจะมาทางสายของนางซารายเท่านั้น”

            แต่ในความเป็นมนุษย์ อับราฮัม ก็ไม่เชื่อฟัง ก็ไปนอนกับนางฮาการ์ มีลูกออกมาคนหนึ่ง พอหลังจากนั้น พระเจ้าก็ยังถือว่าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ จนอายุ 99 พระเจ้ามาหาอับราฮัมอีกครั้งหนึ่ง  แล้วก็บอกอับราฮัมว่า …

            “วันนี้ ปีหน้า นางซารายจะคลอดบุตรชาย”

            แล้วบุตรคนนั้น ให้ตั้งชื่อว่าอิสอัค บุตรคนนี้แหละ เป็นบุตรแห่งพันธสัญญา  ที่เราได้มีเป้าหมายไว้ เราจะอวยพรบุตรคนนี้ผ่านทางลูกหลานของเขา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้บอกกับอับราฮัม แล้ววันนั้น อับราฮัมก็ยังจริงหรือไม่จริง ในขณะที่นางซารายก็แอบหัวเราะด้วยนะ พระเจ้าล้อเล่นไหมเนี้ย ตอนนั้นแก่มากแล้ว ประจำเดือนหมด จะมีลูกได้อย่างไร? พระเจ้าสามารถที่จะทำทุกอย่างได้ ตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ แล้วนางซารายก็คลอดลูกจริงๆ

            พอคลอดลูกเสร็จ อิสอัคเป็นที่รักของอับราฮัมมาก รอมานานมาก จากนั้น สิ่งที่ไม่คาดฝัน คือพระเจ้าสั่งอับราฮัมว่าให้เอาอิสอัคไปถวาย  แล้วพวกเราอาจจะคิดว่าตอนที่อับราฮัมถวายอิสอัค เป็นความเชื่อเริ่มต้น ไม่ใช่ ความเชื่อเริ่มต้น ก็คือตอนที่เดินทางมา ดังนั้น การถวายอิสอัคเป็นเพียงการพิสูจน์ความเชื่ออีกครั้งหนึ่งของอับราฮัม ที่เขาเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แล้วเขาก็ถวายอิสอัค แล้วเขาก็เชื่อต่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถที่จะทำให้คนตายเป็นขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อเขาถวายอิสอัค พระเจ้าสามารถ พระเจ้าจะทำให้อิสอัคเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้  นั่นคือผลหรือบทพิสูจน์ความเชื่อที่อับราฮัมมีอยู่แล้ว เอาอิสอัคไปถวาย แล้วพระเจ้าก็เห็นแล้วตอนนี้ สิ่งที่พิสูจน์ความเชื่อของอับราฮัม ก็ได้ทำแล้ว พระเจ้าเลยบอกหยุดๆ ไม่ต้อง พอแล้ว เราเห็นแล้ว แล้วพระเจ้าก็เตรียมแกะตัวหนึ่งให้อับราฮัม แล้วอับราฮัมก็เอาแกะตัวนั้น ไปถวายแด่พระเจ้า

            การที่มนุษย์จะเชื่อวางใจในพระเจ้าครั้งแรก ที่พวกเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นความเชื่อครั้งเดียวที่เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ มาตายแทนเราบนไม้กางเขนจริงๆ เชื่อว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งมา เพื่อชำระล้างความผิดบาปของเราจริงๆ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าด้วย เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แล้วเราเชื่อว่าพวกเราทุกคนได้เป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์จริงๆ แล้วเรายังเชื่ออีกว่าพระพรนานัปการที่บอกว่าทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว มันเป็นจริง ณ บัดนี้ เราได้รับพระพรเหล่านั้น เรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เราเชื่อจริงๆ  เราจึงมีความหวังใจ

            อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก ถ้าผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคน ไม่ได้เชื่อตามนี้ ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย การเชื่อของเราก็เปล่าประโยชน์ เราก็เป็นคนโง่เขลา เพราะถ้าพระเยซูคริสต์ไม่เป็นขึ้นมาจากความตาย พวกเราก็ไม่สามารถบังเกิดใหม่ พวกเราก็ไม่สามารถเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ พวกเราไม่สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าได้เลย

            เพราะฉะนั้น ใครก็ตามหลังจากนั้น ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะอวยพรผู้คนผ่านทางอับราฮัม ฉะนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม หลังจากอับราฮัมจนถึงพวกเราในยุคปัจจุบัน ถ้าเราทำตามกฎนี้ คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ เราก็จะเป็นบุตรของอับราฮัมผ่านทางความเชื่อ กฎนี้ ก็คือกฎที่เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และเราเข้ามารับความรอดผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่มีการกระทำใดๆ เข้ามาผสมผเสเลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะว่าเราทำเองไม่ได้ ต้องให้พระเจ้าทำให้กับเรา ให้พระเจ้าเอาวิญญาณเก่าของเราไปตายพร้อมกับพระเยซู ให้วิญญาณเก่าเราไปฝังพร้อมกับพระเยซู แล้วให้พระเจ้าใส่วิญญาณใหม่ เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น อับราฮัมเป็นบรรพบุรุษของเราทางวิญญาณ พวกเราทุกคนก็เป็นลูกหลานของอับราฮัม ผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราทั้งหลายบนไม้กางเขน

            ฉะนั้น ตรงนี้ อาจารย์เปาโลก็เลยต้องเน้นย้ำว่าสิ่งที่ผู้เชื่อทั้งหลายได้รับ ผ่านทางความเชื่อทั้งนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติของเราเลย  เมื่อเราเชื่อแล้ว หลังจากที่เราเชื่อ ไม่ว่าเราจะทำผิดบ้าง ถูกบ้าง พลาดบ้าง พระเจ้ายังถือว่าเราเป็นลูกของพระองค์ ดูจากตัวอย่างอับราฮัม อับราฮัมโกหกเก่งนะ ไปไหนก็บอกให้นางซาราบอกใครต่อใครว่าเธอไม่ใช่เมียฉัน เธอเป็นน้องฉันนะ  เพราะว่ากลัวตาย ภรรยาสวย ใครจะเอาภรรยาไปเป็นเมีย ก็ฆ่าฉัน ฉันกลัวตาย ฉันก็เลยบอกอย่างนี้  โกหกไหม? โกหก แต่พระเจ้ายังถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม มันไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ เลย ถ้าพี่น้องเห็นภาพตรงนี้ พี่น้องจะชัดเจนมากว่าปัจจุบันเหมือนกัน อย่าให้ใครหลอกเราว่าเมื่อเราเผลอทำบาป พระเจ้าไม่เอาเราแล้ว พระเจ้าทิ้งเราแล้ว พระเจ้าไม่นับเราเป็นลูกแล้ว เรารับรองไม่รอดแน่ๆ  เผลอๆ ตายไป เราไม่ได้ไปอยู่สวรรค์แน่ๆ เลย อย่าให้ใครหลอกเรา ให้เรายึดในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า ในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่า ณ ปัจจุบัน เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น เป็นจริงๆ แล้วเราก็เอเมน ตามนั้น แล้วเราดำเนินชีวิตไปตามที่พระวิญญาณที่อยู่ข้างในนำเราในแต่ละวัน ผิดบ้าง พลาดบ้าง ไม่เป็นไร ก็เดินตามที่พระเจ้านำเรา จนถึงวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง เราก็ไปอยู่ที่เดิม  ก็คืออยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่เดิมเลย แต่มันจะต่างจากที่ทุกวันนี้ เรามองอะไรไม่ชัดเจน  เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องพระเยซูคริสต์ได้ แต่เราใช้ความเชื่อเอา พอถึงวันนั้น เราได้เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  เราไม่ต้องไปซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์อีกแล้ว เรามีร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา ผู้เชื่อทุกคนไปสวมร่างกายนั้น ตามพระสัญญาที่พระเจ้าบอกกับเรา เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “ผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ได้เกิดใหม่ สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป ทุกสิ่งทั้งหมดเป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            2 โครินธ์ 5:17 … “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไปได้ตายไปแล้ว  จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมดเป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            สิ่งเก่าทั้งหมด คือวิญญาณ จิตใจและร่างกาย

            สิ่งใหม่ทั้งหมด คือวิญญาณ จิตใจและร่างกาย

            … คือ …

            วิญญาณเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ จิตใจเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายเดิม แต่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ใหม่ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์สะอาดบริสุทธิ์ดีพร้อม ไร้มลทินไร้ตำหนิใดใด ที่พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ดีพร้อม พอใจรับได้ และสามารถเข้ามาอาศัยสถิตอยู่ด้วยได้ และรอรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ได้ทรงสถิตอยู่กับเราแล้วนั้น สวมร่างกายใหม่ร่างกายสวรรค์นี้ทันที หลังจากร่างกายเดิมนี้สิ้นสุดลงหมดลมหายใจ  และเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ของพระบิดาอย่างสมบูรณ์เต็มรูปแบบ ด้วยตัวตนแท้จริงที่สมบูรณ์แบบเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ตลอดนิรันดร์

            คือ … ด้วยวิญญาณเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ จิตใจเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

            โคโลสี 1:13 … “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยซูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ หรือที่เรียกว่าในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซู ได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรสวรรค์ ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว และจะอาศัยอยู่ในอาณาจักรสวรรค์นี้ อยู่กับพระเจ้า ตั้งแต่โลกนี้จนถึงโลกหน้าตลอดนิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1483

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  สิงหาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 6 “คริสเตียนไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราอยู่ใน “หนังสือ 1 ยอห์น” วันนี้ตอนที่ 6 ชื่อเรื่อง “คริสเตียนไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก”

            เราได้เรียนรู้อะไรกันมาแล้วบ้าง? 5 ตอนแล้ว ตอนนี้ตอนที่ 6 ในหนังสือยอห์น บอกเราถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณมากกว่า ที่บอกว่าคริสเตียนจริงๆ แล้ว เป็นใครอยู่ที่ไหน? ในโลกวิญญาณเรามองไม่เห็น อาจารย์ยอห์นไม่ได้มาสอนว่าให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องทำอันโน้นอันนี้อย่างไร? แต่กำลังมาชี้ความเป็นจริง สิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตา ก็คือในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเวลาเราเป็นคริสเตียนแล้ว วิญญาณของเรามันเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง? ยกตัวอย่างเช่น เราเรียนรู้แล้ว อาจารย์ยอห์นบอกว่าคริสเตียนอาศัยอยู่ในความสว่าง ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  พอเราเป็นคริสเตียน รับเชื่อพระเจ้าปุ๊บ  เราได้ย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในความสว่าง เรียกว่าอาศัยอยู่ในความสว่าง ทั้งๆ ที่เราก็อยู่เหมือนเดิม เมื่อคืนปิดไฟนอน มืดไหม? มืด แต่เราเป็นคริสเตียน ทำไมพระคัมภีร์บอกว่าเราอาศัยอยู่ในความสว่าง  เห็นไหม? นี่คือความรู้ทางโลกวิญญาณ ที่เป็นเรื่องเดียวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่สอนให้คริสเตียน ให้ผู้คนได้รู้ ได้เข้าใจ  เพราะมันมองไม่เห็น  เราเรียนรู้ว่าคริสเตียนอาศัยอยู่ในความสว่าง ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยความรัก  ที่อยู่ภายในวิญญาณ

            ซึ่งได้เรียนรู้ว่ามันตรงกันข้ามกับก่อนหน้าที่เราไม่ใช่คริสเตียน  เราอาศัยอยู่ในความมืด ดำเนินชีวิตด้วยความเกลียดชัง  อยู่ภายในวิญญาณของเรา นี่คือความจริงที่เราได้เรียนรู้กันมา อาจารย์ยอห์นบอกว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียน อาศัยอยู่ในความสว่างจริงๆ ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  แล้วไปทำบาป เรียกว่าเผลอ ถูกหลอกลวงให้ไปทำบาป ในขณะที่กำลังอยู่ในความสว่าง อยู่กับพระเจ้านั้น ขณะที่ทำบาป เขาก็ยังอยู่ในความสว่าง กำลังอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า  พระเจ้าก็อยู่กับเขา นี่เป็นเรื่องจริงที่เราได้เรียนรู้กันมา 5 ตอนแล้ว

            ยกตัวอย่างใน 1 ยอห์น 2:10 ที่เราได้เรียนรู้กันชัดเจนมาก ผมยกมาให้เห็นชัดๆ …

        1 ยอห์น 2:10 “ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง และในความสว่างนั้นไม่มีอะไร เป็นเหตุที่จะทำให้สะดุด (ทำบาป) เลย”

            “ผู้ที่รักพี่น้องของตน” ก็คือคริสเตียน ก็อยู่ในความสว่าง คริสเตียนอยู่ในความสว่าง ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง

            พูดความจริงอย่างนี้ เราได้เรียนรู้แล้วนะ อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นเลยว่าจงมั่นใจอย่างนี้ นี่คือตัวท่าน เป็นคริสเตียนในโลกวิญญาณ เราไม่มีธรรมชาติภายในวิญญาณของเรา ที่เป็นสาเหตุให้เรา ไปทำบาปเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ไม่เหมือนตอนที่เรายังไม่เชื่อ ตอนก่อนเชื่อ ยังไม่ได้เป็น คริสเตียน เราอยู่ในความมืด  เราทำตามธรรมชาติในความมืดนั้น ทำบาปตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรรับรู้เรื่องความจริงเหล่านี้ว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นใครในพระคริสต์?

            “ฉันเป็นใครในพระคริสต์”

            เราต้องคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา เป็นการอธิษฐานถามพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในเรา ที่เราเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราเสมอ …

            “แล้วลูกเป็นใครในพระองค์ ในพระคริสต์”

            สถานะทางโลกวิญญาณของเราคริสเตียนนั้น เป็นอย่างไร? ที่ยอห์นกำลังชี้ให้เราเห็นถึงความจริงแห่งพระคุณนี้ ตลอดทั้งเล่มของพระคัมภีร์ใหม่ เรียกว่า “พระคุณแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์” “พระคุณแห่งข่าวดี” หรือ “ข่าวดีแห่งพระคุณ” ต้องจำคำนี้ไว้เลยว่าข่าวดีนี้ เป็นข่าวดีแห่งพระคุณ หรือพระคุณแห่งข่าวดี

            พระคุณแห่งข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? คือเมื่อผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ต้อนรับข่าวดีแล้ว เขาก็จะได้รับพระคุณเหล่านี้ ที่เราได้เรียนรู้มาตลอด เขาได้รับฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่เปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์ พระคุณเหล่านี้เป็นของเขา ได้รับฟรีๆ โดยความเชื่อนี้ คือได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในความสว่าง ได้อยู่ในสวรรค์ ได้เป็นคนบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์  และจะอยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์อย่างนี้ ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะเผลอ ถูกล่อลวงให้ทำบาป อะไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม เขาได้รับความรอด จากการถูกพิพากษา ลงโทษแล้ว เขาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว แล้วเขาจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป ชั่วนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นี่เรียกว่า “พระคุณ”

            และเมื่อรับรู้พระคุณเหล่านี้ได้มากเท่าไร? พระคัมภีร์บอกว่าคนๆ นั้น หรือคริสเตียนคนนั้น เขาก็จะกระทำตัวให้เหมาะสม เขาก็จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เป็นเหมือนความจริงในโลกวิญญาณได้มากขึ้น ตามที่เขาเป็นอยู่  ก็คือเขาถูกหลอก ล่อลวงให้ทำบาปน้อยลง เพราะเขารู้ความจริง

            ถ้ารู้ความจริง คนก็จะมาหลอกเราไม่ได้ ถ้าเรารู้ความจริงเยอะๆ คนก็มาหลอกลวงเราไม่ได้เยอะๆ ถ้าเรารู้น้อย ตรงที่เราไม่รู้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะถูกหลอกล่อ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

            ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่อง “พระคุณ” อย่างนี้ ในข่าวดีของพระเจ้า ในข่าวประเสริฐของพระองค์ ทั้งหมดในพระคัมภีร์ใหม่ ทั้งเล่ม ทุกเล่มในหนังสือจดหมายฝาก ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณของพระเยซูคริสต์ อ้างถึงตรงนี้ตลอด สอนถึงเรื่องราวตรงนี้ตลอด ให้เราจดจำตรงนี้ตลอด ให้เราระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ตลอด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งอาจจะถูกหลอกให้ทำบาป  ก็ได้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่การอาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่ในความสว่าง อยู่กับพระเจ้านั้น เป็นนิรันดร์ไปแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว  เกิดจากความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตรงนี้เรียกว่าพระคุณ

            ยกตัวอย่างเช่น ในหนังสือโรม อาจารย์เปาโลก็พูดอย่างนี้แหละ ในโรม 12:1-2 …

        โรม 12:1-2  “1 พี่น้อง (คือคริสเตียน) เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้มอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมความคิดและสติปัญญาของท่าน (ให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงชำระท่าน) ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการ กตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควรในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง 2 อย่ายอมประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ โดยการเปลี่ยนแปลงความคิดสติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้กับท่าน”

            พระคุณของพระเจ้าทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เห็นพระคุณตรงนี้ เพื่อท่านจะได้ดำเนินชีวิตให้สมกับที่พระเจ้าได้กระทำให้ท่านสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เอเมน ในทิตัส 2:11-12 ก็เช่นเดียวกัน …

        ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากการเป็นทาสของบาปและความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับการได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว)”

            ฝึกฝนเราให้ปฏิเสธการถูกล่อลวงให้ทำบาป  ต้องเรียนรู้จักพระคุณนี้

            วันนี้มาต่อตอนที่ 6 เรื่อง “คริสเตียนไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก” เราไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก  แต่เราอยู่ในพระคริสต์ เราไม่ได้อยู่ในโลก แต่เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่ในพระเจ้า แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก มันหมายถึงอย่างนี้  พูดง่ายๆ ว่าเราดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างแล้ว ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกที่เป็นความมืด วันนี้มาต่อจากครั้งที่แล้ว 1 ยอห์น 2:15 …

        1 ยอห์น 2:15  “อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก  ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดา ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น”

            “อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก” เห็นอะไรบางอย่างไหม? อยู่ตรงข้ามกับในพระเจ้า ในพระคริสต์ “ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดา ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น” อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็น คนที่ไม่ใช่คริสเตียนแท้ ที่อ้างตนเองว่าเป็นคริสเตียน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ที่เข้ามาในชุมชนของคริสเตียน สมัยนั้น ภายในวิญญาณของเขาไม่ได้เป็นความรัก  ไม่สามารถรักพระเจ้าได้ เขาจึงมีธรรมชาติในวิญญาณที่รักโลก และสิ่งของบนโลก เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            อาจารย์ยอห์นก็พูดว่า … “เพราะฉะนั้น พี่น้องคริสเตียน อย่าถูกหลอกให้รักโลกนั่นเอง”

            ความหมายของ 1 ยอห์น 2:15 ก็คืออย่าถูกหลอกให้รักโลกและสิ่งของบนโลก เพราะนั่นไม่ใช่ตัวจริงของเรา แต่เป็นตัวตนของผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียน ในตรงนี้ อาจารย์ยอห์น ชี้ให้เห็นถึงคนที่เป็น คริสเตียนแท้ๆ ว่าสถานะทางวิญญาณเขาเป็นเช่นไร? แตกต่างจากคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนอย่างไร? เพื่อจะได้สังเกตตัวเองด้วย ในขณะนั้นนะ

            คนที่เป็นคริสเตียนแท้จะเป็นความรักแบบอากาเป้เหมือนพระเจ้า และรักพระเจ้าพระบิดา แต่จะเกลียดชัง ปฏิเสธโลก และสิ่งของบนโลก ระบบของโลก ซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลของความบาปและความชั่ว นี่เป็นธรรมชาติทางวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ เมื่อเราเชื่อในพระเยซู วิญญาณได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่หมดเรียบร้อยแล้ว เราไม่สามารถไปด้วยกันกับโลกนี้อีกต่อไป  เพราะมันอยู่ตรงกันข้ามกัน  2 โครินธ์ 5:17 ได้บันทึกไว้อย่างนั้น เราได้รับการขอร้องจากพระเจ้า ผ่านทางพระคัมภีร์ ขอร้องให้เราดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในเรา ขอร้องเรานะ เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก ให้ทำตามโลกใบนี้ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่าเนื้อหนัง เราจะได้ไม่ถูกหลอกให้ทำตามเนื้อหนัง เราจะได้ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน ทำให้สมกับฐานะคริสเตียนของเรา ที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่สมควรจะกระทำ มองไปที่วิญญาณที่อยู่ข้างใน ที่เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่มองดูข้างนอก ระบบของโลกนี้ ที่อยู่เพียงชั่วคราว

            คริสเตียนแม้จะดำเนินชีวิตบนโลกนี้ แต่ไม่ได้เป็นของโลก แล้วเป็นของใคร? เป็นของพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า เป็นพลเมืองของพระเจ้า ไม่ได้เป็นพลเมืองของโลกใบนี้อีกต่อไป  แต่ก่อนเราเป็นพลเมืองของโลก แต่เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ย้ายเรามาอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ อยู่ในพระคริสต์ เป็นประชากรของพระเจ้าแล้ว แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก ฟิลิปปี 3:20-21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ฟิลิปปี 3:20-21 “เราก็เป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            เราเป็นพลเมืองสวรรค์  เป็นประชากรสวรรค์แล้วในขณะนี้  เพียงแต่เฝ้ารอคอยวันที่จะได้ไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า พอได้พบพระเยซู ก็ได้รับร่างกายใหม่  มาแทนร่างกายนี้ ได้รับร่างกายสวรรค์ ที่สามารถอยู่ในสวรรค์จริงๆ ได้ ได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นตัวเองตามความเป็นจริงในร่างกายใหม่ เรารอคอยตัวนั้น  เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จึงไม่ใช่เป็นของโลก ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าเราเป็นเหมือนคนต่างด้าว เป็นเหมือนคนแปลกหน้า บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เดินบนโลกใบนี้ ขณะเดียวกัน เป็นคริสเตียน ต้องรู้ว่าเราเดินอยู่บนโลกที่ไม่ได้เป็นบ้านของเรา เราอยู่เพียงชั่วคราวเอง ในทางวิญญาณแล้ว เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ในขณะนี้

            ท่านคิดดูสิ ถ้าเกิดเราระลึกถึงพระคุณของพระเจ้าอย่างนี้ ชัดเจนมากๆ ตลอดทุกลมหายใจเข้าออก มันจะมีความสุขขนาดไหน? เรานึกออกใช่ไหม? เราไม่ได้รอคอยสวรรค์ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป แล้วพระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 1 เปโตร 2:11 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 เปโตร 2:11 “ดูก่อนท่านที่รัก ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลาย ผู้อาศัยในโลกอย่างโลกไม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ให้เว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึกต่อวิญญาณจิตของท่าน”

            วิงวอน ขอคริสเตียน ที่เป็นคนแปลกหน้าของโลกใบนี้ อยู่บนโลกใบนี้ อย่างไม่ใช่บ้านเกิดของเรา ให้ละเว้น ก็คือให้ระวังอย่าถูกล่อลวง โดยกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึก ศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า โคโลสี 1:13 ได้เรียนแล้ว ชัดเจนมากเลย …

        โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยซูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            เราได้รับการย้ายเข้ามาแล้ว ย้ายเลยเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอตายก่อน ขณะนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทันที วิญญาณเราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่อาณาจักรหนึ่ง เรียกว่าสวรรค์ในพระคริสต์ เรียกว่าเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์  อาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์ มาเป็นพลเมืองสวรรค์กับพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เรายังคงถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก่อน เพื่อจะได้ประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าจะได้ใช้เรา อยู่บนโลกใบนี้ เพื่อทำงานเหมือนคนต่างด้าว กำลังทำงาน เพราะเรามาจากสวรรค์ ขณะนี้เราอยู่ในสวรรค์ เราไม่ได้เป็นของโลกใบนี้  โลกใบนี้เต็มไปด้วยความบาป ความมืด แต่เราอยู่ในความสว่าง อยู่ในความชอบธรรม  อยู่ในพระเจ้า 1 ยอห์น 2:16 …

        1 ยอห์น 2:16 “เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัณหาของเนื้อหนัง [ความอยากในร่างกาย] ตัณหาของตา [ความปรารถนาอันโลภมากของจิตใจ] และความเย่อหยิ่งในชีวิต [ความมั่นใจในความรู้ความสามารถ สติปัญญาของตนเอง หรือความมั่นคงของสิ่งของทางโลก]  สิ่งเหล่านี้  ไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลกเอง”

            ในโลกนี้มีอะไร? อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็น ในโลกที่เราไม่ได้อยู่อาศัยนั้น  แต่เราดำเนินชีวิตอยู่ ตรงนี้มีอะไรบ้าง? พูดถึงสิ่งที่อยู่ในโลก ซึ่งไม่ได้มาจากพระบิดา ผู้สถิตอยู่ภายใน แต่มันเป็นของโลกเอง ให้เห็นความแตกต่างระหว่างภายในเรา  ที่เราอยู่กับพระบิดา  อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ ในขณะนี้ อาศัยอยู่ในความสว่าง ในขณะนี้ กับเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลก โลกเต็มไปด้วยความมืด  แต่เราอาศัยอยู่ในความสว่าง มันต่างกันมากเลย มันคนละเรื่องกันเลย

            ในโลกนี้ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าสิ่งที่อยู่ในโลกนี้  ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของโลก จะใช้คำนี้ ลักษณะนี้ ก็คือตัณหาหรือกิเลสทางฝ่ายเนื้อหนังของระบบของโลกนี้ ซึ่งกิเลสตัณหาของโลกนี้ ระบบของโลกนี้ที่หลอกลวง ล่อลวงเรา เป็นอิทธิพลที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ซึ่งมันสามารถแยกแยะออกมาเป็น 3 สิ่งหลักของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังนี้ อาจารย์ยอห์นจะชี้ให้เราได้เห็น  เพื่อเราจะได้เรียนรู้ว่านี่แหละ คือศัตรูของเราตัวจริง นี่แหละ คือตัวที่ทำให้เราไปทำบาป ขณะที่เราเป็นคริสเตียน พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา  เราไปทำบาป ทำผิดพลาด ก็เพราะตัวนี้ไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันๆๆๆๆ มันประกอบไปด้วย 3 สิ่งหลักเหล่านี้ คือ …

            (1) ตัณหาของเนื้อหนัง หมายถึงความปรารถนาที่จะได้รับความพึงพาใจทางกาย คือความสุขทางกาย หรือความสุขทางกายภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะดึงดูดใจมนุษย์  นี่แหละ ชี้ให้เห็นเลยว่ามันมาจากตรงนี้แหละ มาจากกายที่ถูกเร้า

            (2) ตัณหาของตา หมายถึงความโลภ หรือความปรารถนาที่จะได้มีสิ่งที่เห็นอยู่นั้น อยากได้สิ่งที่เห็น ซึ่งจะนำไปสู่ความอิจฉาริษยา ความบาปต่างๆ ความโลภต่างๆ ทำให้เกิดการทำชั่วต่างๆ เกิดขึ้น จากสิ่งที่ตามองเห็นและอยากได้

            (3) ความเย่อหยิ่งในชีวิต หมายถึงความมั่นใจในทรัพยากรของตนเอง ทรัพยากรของตนเอง ก็คือที่พระเยซูบอกว่าอย่าสะสมทรัพย์ไว้กับตนเอง ทรัพย์ตัวนี้ ไม่ได้หมายถึงเงินทอง แต่หมายถึงปัญญาทรัพย์ ความเย่อหยิ่งว่าฉันรู้ ฉันเก่ง ฉันดี ฉันยอดเยี่ยม อะไรต่างๆ เหล่านั้น ฉันเป็นคนดี ฉันเป็นอะไรก็แล้วแต่ เรียกว่าความมั่นใจในทรัพยากรของตนเอง หรือความมั่นคงในสิ่งทางโลก  อันนี้หมายถึงทรัพย์แล้ว  ความมั่นคง คือในฐานะ ตำแหน่ง ทรัพย์สิน เงินทอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ความมั่นใจ ความมั่นคงเหล่านี้ อาจทำให้เราคริสเตียน เกิดกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง คือเกิดการพึ่งพาตนเองมากกว่าการพึ่งพาพระเจ้า ซึ่งก็คือบาป นั่นเอง แทนที่จะพึ่งพระเจ้า มั่นใจตัวเองจนเกินไป

            พระคัมภีร์ตรงนี้กำลังเตือนเรา คริสเตียนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า อย่ากล่าวหาพระเจ้าว่าพระเจ้าล่อลวงเราให้ทำบาป  อย่ากล่าวหาพระเจ้าว่าชักจูงเราให้ทำบาป อย่ากล่าวหาว่าพระเจ้านำพาเราให้ไปทำบาป ไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากตัวตนแท้จริงของเรา ที่ตะกี้เราอ่านตั้งแต่ข้อแรก 1 ยอห์น 2:10 มันไม่มีเหตุจากภายในของเรา ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราบริสุทธิ์ สะอาด อย่าไปกล่าวหาเขา สิ่งเหล่านี้มาจากข้างนอกตัวเรา ตัวตนแท้จริงของเราสะอาด บริสุทธิ์  ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า แต่มันเป็นสิ่งที่มากระตุ้น จูงใจเราจากระบบของโลกนี้ ซึ่งเป็นระบบที่เป็นศัตรู ขัดแย้งกับพระเจ้า และขัดแย้งกับความจริงของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา ซึ่งได้บังเกิดใหม่  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว

            แล้วพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน พระเจ้าก็จะทรงฝึกฝนเรา นี่แหละ คือสงครามที่อยู่ในโลกวิญญาณ ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของคริสเตียน พระเจ้าก็จะฝึกฝนเราให้ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน ฝึกฝน ด้วยความรัก ฝึกฝนเราว่าอันนี้ล่อลวง อันนี้เป็นอย่างไร? อะไรต่างๆ ให้ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ  ไม่ถูกล่อลวงให้ทำตามกิเลสตัณหาทางเนื้อหนัง เมื่อตะกี้นี้ที่เราหนุนใจกัน ซึ่งในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5 ได้เขียนไว้ชัดเจนว่าจงดำเนินชีวิตด้วยพระวิญญาณที่อยู่ภายใน อย่าสนองกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง

        กาลาเทีย 5:16-17 “ดังนั้น ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป เพราะตัณหาของวิสัยบาป ขัดกับพระวิญญาณ และพระวิญญาณ ขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทำ จึงไม่ได้ทำ”

            “เนื้อหนัง” ในที่นี้ พอพูดปุ๊บ จำไว้เลยว่าระบบของโลกนี้ มันคือศัตรู มันไม่ใช่ตัวท่าน มันคือตัณหาของวิสัยบาป  ก็คือตัณหาของเนื้อหนัง  พูดอีกนัยหนึ่ง ให้เข้าใจได้ง่าย ก็คือตัณหาของเนื้อหนัง คือความอยากได้  อยากเป็น อยากมี ในสิ่งที่ตนเองต้องการ หรือความไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากมีในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ นึกออกไหม? มีอยู่แค่ 2 อันแค่นี้เอง  ทั้งหมดเลยที่ตะกี้นี้ว่ามา 3 หัวข้อหลักของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง  สรุปมาได้แค่ 2 ข้อว่ามันทำแค่นี้ ทำให้มนุษย์เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น กระตุ้นให้ทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ โดยกระตุ้นอย่างนี้ทั้งหมด คือความอยากได้ อยากเป็น อยากมีในสิ่งที่ตนเองต้องการ  ในสิ่งที่เราอยากได้ เราต้องการ  หรือความไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากมีในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ  อันนี้เข้าใจยากนิดหนึ่ง เราไม่ต้องการอะไร? เราป่วยเป็นมะเร็ง เราก็ไม่อยากได้ อยากจะแข็งแรง นี่แหละ รวมความแล้ว ก็คือความไม่มีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เป็นอยู่นั่นเอง

            ความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว ในวินาทีนี้ ในขณะนี้ เราพอใจไหม? ถ้าเราพอใจ นั่นแหละ คือน้ำพระทัยพระเจ้า ถ้าเราพอใจ นั่นแหละ เราไม่ถูกหลอกด้วยกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ถ้าเราไม่พอใจเมื่อไร? นั่นแหละ เริ่มต้นถูกหลอกแล้ว  ถูกหลอกเพราะอะไร? เพราะตัวเราเอง ไม่ใช่ ตัวข้างในเราพึงพอใจในตัวเราเองที่เป็นอยู่แล้ว อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง แต่มันเป็นการล่อลวง จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ภายนอก

            “กิเลสตัณหาที่อยู่ในโลกนี้ อยู่ภายนอกตัวเรา”

            ต้องจดจำความจริงให้แม่นเลย  เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก บางคนถูกหลอกว่ามาจากพระเจ้า เลยเละเลย เลยไม่รู้ว่าศัตรูเรา คือใคร? นึกว่ามาจากพระเจ้าทำให้เราเป็นอย่างนี้ วิงวอนขอจากพระเจ้าให้เราหลุดพ้นจากสิ่งพวกนี้ มันก็ไม่หลุดสักที ก็เพราะว่าเราไม่รู้ศัตรูตัวจริง ศัตรูมันแอบอยู่ ยุยง เป็นเหตุให้เราทำบาป  ก็คือมันนั่นแหละ แล้วมันก็บอกว่าที่เราทำ เพราะตัวเราอยากทำเอง เห็นไหม? แค่นี้ไม่พอ หมัดที่ 2 บอกว่า “พระเจ้าเป็นคนล่อลวงให้แกทำ” กล่าวหาพระเจ้าอีก  แล้วก็บอกว่าพระเจ้าไม่ชอบ พระเจ้าเขี่ยแกทิ้งแล้ว เราก็รู้สึกฟ้องผิด แย่แล้ว ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์แล้ว ตกสวรรค์ไปแล้ว  ไม่ได้รับความรอดแน่ๆ เลย ตายไป แทนที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ได้รับแล้ว จะรอดหรือเปล่าหนอ นี่ไง เราถูกหลอกด้วยศัตรูมันยุแหย่ ยุยงให้เราตีกันเองกับพวกเรา พี่น้องคริสเตียนด้วยกัน หรือมนุษย์ด้วยกัน แล้วไปตีกันเองกับพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในเรา ซึ่งรักเรามากเหลือเกิน มาก ดังแก้วตาดวงใจ ข้อต่อไป 1 ยอห์น 2:17 …

        1 ยอห์น 2:17 “โลก​และ​กิเลส​ของ​โลก ​ก็​กำลัง​ล่วงลับ​ไป แต่​ผู้​ที่​กระทำ​ตาม​ความ​ประสงค์​ของ​พระ​เจ้า ​จะ​ดำรง​อยู่​ตลอด​ไป”

            พูดง่ายๆ คืออย่าให้มันหลอก ให้เราไปยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น อยากได้สิ่งเหล่านั้น มันอยู่ชั่วคราว มันเอามาหลอกและล่อเรา อีกไม่นาน มันก็สูญสิ้นไปแล้ว เหมือนที่มันหลอกล่อพระเยซู นำพระเยซูขึ้นไป บอกว่า …

            “ทรัพย์สินทั้งหมดบนโลกใบนี้ สิทธิอำนาจในโลกใบนี้เป็นของเรา เราจะมอบให้ใครก็ได้  เพราะฉะนั้น ถ้าท่านกราบไหว้เรา” ซาตานทดลองพระเยซู “เราจะให้ท่านสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด”

            พระเยซูบอก “ไปให้พ้น”

            จะให้สิทธิอำนาจบนโลกใบนี้ ทรัพย์สินบนโลกใบนี้ทั้งหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันอยู่ชั่วคราว แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว โลกและกิเลสของโลก กำลังล่วงลับไป  อิทธิพลเหล่านี้กำลังหมดไป  กำลังจบสิ้นไป อดทน นิดเดียวเท่านั้นเอง

            ยอห์นสรุปในที่นี้นะ เพราะฉะนั้น พี่น้องที่เป็นคริสเตียนทั้งหลาย อย่าถูกล่อลวงให้แสวงหาสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้ มันหมายถึงอย่างนี้  ไม่ได้มาสั่งให้เราบอกว่าท่านทั้งหลายอย่าทำนะ  เพราะอาจารย์ยอห์นรู้ว่าภายในท่าน ไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นอยู่แล้ว ท่านจะถูกล่อลวง มันไม่ได้มาจากตัวท่าน  มันมาจากข้างนอก  เพราะฉะนั้น พี่น้องอย่าถูกล่อลวงให้แสวงหาสิ่งของที่อยู่บนโลกนี้ เพราะมันอยู่ไม่ได้นาน มันเป็นของไม่จีรังยั่งยืน  พูดง่ายๆ เดี๋ยวมันก็ล่วงลับไปแล้ว

            อย่าถูกล่อลวงให้แสวงหาสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้ โดยผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของท่าน ที่ถูกปลุกเร้าและต้องการจนเสียความสมดุลตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น มันเสียสมดุลไป เช่น …

            ควรจะพอใจในสุขภาพร่างกายเท่าที่สามารถทำได้ ก็ไม่พอใจอีก อยากจะแข็งแรงกว่านี้ มันก็ทุกข์สิ นึกภาพให้ดีๆ แทนที่จะยอมรับ และรู้ว่านี่คือความจริง พระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างนั้นว่ากายภายนอกของเราจะต้องทรุดโทรมไป  เราก็ไม่ยอมให้มันทรุดโทรม ไม่ให้ทรุดโทรมมันก็โอเค ออกกำลังกาย ก็ว่ากันไปตามเหตุและผล ตามความพอเหมาะ ไม่ใช่ไปแสวงหาแบบจิ๋นซีฮ่องเต้ หายาอายุวัฒนะอะไรที่มันแปลกประหลาด ที่มันมากเกินเลย มันทำลายความสมดุลของเราตะกี้นี้ ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของโลกนี้ มันยุแยงให้มนุษย์ทำอะไรก็ตามที่มันเกินไป หรือไม่ก็น้อยเกินไป หาอายุวัฒนะอะไรแปลกประหลาดเกินเลย มันทำลายสมดุลของเราตะกี้นี้ ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของโลก ยุยงให้มนุษย์ทำอะไรก็ตามที่มันมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ไม่พอดี

            ควรจะพอใจในการกิน การอยู่ และทรัพย์สินเงินทองเท่าที่สามารถทำได้ ตามที่พระเจ้าประทานให้ พระเจ้าได้ทรงประทานกำลัง ควรจะพอใจ ก็แค่นั้นแหละ  เราขอบคุณพระเจ้า ขยันทำงาน ทำมาหากิน แต่ไม่เว่อร์ ถึงกับโลภ …

            “ปีหน้าฉันต้องได้อย่างนี้ ปีต่อไป ฉันต้องได้มากกว่านี้ ฉันจะต้องร่ำรวยเหมือนคนนี้ๆ”

            นี่แหละความไม่สมดุล ไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ก็เกิดความทุกข์

            ควรพอใจในคำสรรเสริญเยินยอ ตามสถานะในสังคม ที่ผู้คนยกย่อง ตามความเป็นจริง ไม่เกินไปหรือขาดไป  ขาดไปอย่างไร? เกินไปเรารู้อยู่แล้ว เกิดความมั่นใจ เกิดความเย่อหยิ่ง แต่ขาดไป คือเกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง ฟ้องผิดในตัวเอง ถล่มตัวเองอยู่ตลอดเวลา …

            “ฉันมันเลวๆ”

            นึกออกไหม? ตำหนิตัวเองอยู่ร่ำไปตลอดเวลา  … “ลูกมันแย่อย่างนั้น” อย่างนี้ก็เกินไป  ไม่มีความพึงพอใจ แต่ให้เรามีความพอใจในสถานะนั้น ที่พระเจ้าได้ให้เราเป็นอยู่ในขณะนั้น ไม่ว่ากำลังถูกคนเขานินทา ลบหลู่เกียรติ หรือกำลังยกย่องเราก็ตาม เราก็รับได้ สมดุล บางคนก็ขาดความสมดุล ยกตัวอย่างเช่น คนมาชมเรา …

            “ไม่หรอก ไม่ ขอบคุณพระเจ้าๆ”

            บางครั้งมันก็เว่อร์ไป อย่างนี้ คิดให้ดีๆ พอมันเว่อร์ไป ในที่สุด มันตกขอบ พอตกขอบ มันไม่มีตรงกลาง มันก็คือบาปนั่นเอง  เพราะว่าในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ที่เราอยู่อาศัยกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้วในขณะนี้ มันอยู่นิรันดร์ แต่สิ่งของที่อยู่บนโลก ที่บอกให้เราพึงพอใจนั้น มันอยู่เพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว เราควรจะพึงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่พระเจ้าให้เราเป็นอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ เพราะมันอยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าอะไรก็ตาม มันอยู่แค่แป๊บเดียว ถ้าเขาจะสรรเสริญเยินยอเรา มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าเขาจะติฉินนินทาเรา มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าเราจะเจ็บป่วยขนาดไหน? มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าเราจะแข็งแรงเท่าไร? มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว เพราะโลกนี้อยู่ในการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกวินาที ไปสู่ความสูญสิ้น แต่ในโลกวิญญาณที่เราอยู่แล้ว ในสวรรค์ ในวิญญาณเรา ในพระคริสต์นั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ ตลอดไปเป็นนิตย์  เพราะฉะนั้น เราควรจะจดจ่อชีวิตเราไปอยู่ที่ไหน? อาจารย์ยอห์นกำลังจะชี้ให้เราเห็นถึงสถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้นะ อย่ามองในสิ่งที่มองเห็นได้บนโลกใบนี้ เพราะมันอยู่เพียงชั่วคราว แต่จงมองไปในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะมันอยู่นิรันดร์  สิ่งที่มองไม่เห็น คืออะไร? ก็คือสวรรคสถาน คือพระคริสต์ ที่เราได้อาศัยอยู่แล้ว

            พระเยซูตรัสว่าให้เราแสวงหาสิ่งของที่อยู่ในสวรรค์ ให้เราแสวงหา ไม่ใช่หมายถึงให้เราไปค้นคว้าหา     แต่ให้จดจ่อ    ให้ความสนใจกับทรัพย์สินที่เรามีอยู่แล้ว       ที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณที่มันเหลือล้นมากเลย  พระพรนานัปการให้เราเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ ในสวรรคสถาน ในขณะนี้ เรียบร้อยไปแล้ว

            “แต่ผู้ที่ทำตามความประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไป” ในข้อนี้ พระเยซูบอกว่าอย่างไร? คนไหนที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า จะดำรงอยู่ตลอดไป บางคนก็คิดว่านี่กำลังจะบอกว่าถ้าใครทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็จะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิจ ก็จะได้รับความรอดจนถึงนิรันดร์

            มันไม่ใช่อย่างนั้น ตะกี้เราคุยกันแล้วว่าดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อาจจะถูกล่อลวงให้ทำผิด ทำพลาดไป  ไม่ได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าสักหน่อย นึกออกไหม? แต่ทำตามการถูกล่อลวงด้วยกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แล้วตรงนี้หมายถึงอะไร? “แต่ผู้ที่กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า” ตอนที่พระเยซูประกาศข่าวประเสริฐ เดินอยู่บนโลกใบนี้ มีคนมาถามพระเยซู …

            “แล้วต้องทำอย่างไร? ต้องทำอะไรตามพระประสงค์ของพระเจ้าบ้าง? กิจการงานอะไรที่ควรจะทำบ้าง? เพื่อว่าจะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า จะได้ดำรงอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า”

            พระเยซูเปลี่ยนคำว่า “การงานต่างๆ” อะไรบ้างหลายอย่าง เปลี่ยนเป็นเอกพจน์ คืออย่างเดียวเท่านั้น พระประสงค์อย่างเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำ เพื่อที่ท่านจะดำรงอยู่เป็นนิจกับพระองค์ คือวางใจในเรา ผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา คือวางใจในพระเยซู พูดง่ายๆ ตรงนี้ คือแต่ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์จะดำรงอยู่ตลอดไป เอเมน อาจารย์ยอห์นกำลังจะพูดอย่างนี้

            ถ้าคนเข้าใจผิดตรงนี้ เอาไปพูดบอกว่าเพราะฉะนั้น ต้องทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า คิดสิ จะทำอะไรที่ต้องคิด ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ตามปุ๊บ ก็ไม่ดำรงอยู่กับพระเจ้าเป็นนิจ ก็อาจจะไม่ได้ไปสวรรค์นะ เป็นคริสเตียน พลาดไปทำบาป พลาดไปโกหก ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าไหม? ไม่ใช่ พลาดไปโลภ โลภเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าไหม? ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ไม่รอดแน่ เห็นไหม? ถูกหลอกอีกแล้ว แต่น้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ประตูเปิดให้ทุกอย่างเรียบร้อย พระเจ้าต้องการแค่นี้  ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย เธอมนุษย์คนหนึ่ง ต้องการเพียงแค่วางใจในพระเยซูคริสต์ ที่เหลือพระเจ้าทำหมด

            พอวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ได้บังเกิดใหม่ ได้รับเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้านิรันดร์กาลเรียบร้อยเลย เรียกว่าความรอดนิรันดร์ ชัดเจน …

        1 ยอห์น 2:18 “ลูกที่รัก บัดนี้ เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์กำลังมานั้น แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็มีมามากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย”

            “วาระสุดท้าย” คือวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลก วาระสุดท้าย หรือยุคสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาเร็วๆ นี้ กำลังชี้ให้เห็นอะไร? ยอห์น คืออัครทูต ในสมัย 2,000 ปีก่อน เขียนถึงคริสเตียนอย่างนี้  เพราะว่าอัครทูตเป็นผู้ที่ใกล้ชิดพระเจ้าที่สุดแล้ว อัครทูตเหล่านี้ ก็ยังไม่รู้เลยว่าพระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? เขาและพวกยังคิดว่าพระเยซูกำลังจะกลับมาเร็วๆ นี้ หมายถึงเมื่อ 2,000 ปีก่อน อาจจะมาอีก 10 วันมั้ง พระเยซูสัญญาว่าจะกลับมาอีกทีหนึ่ง ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และอยู่กับเขา 40 วัน เขารู้ไหมว่าอยู่อีก 40 วัน เขาไม่รู้หรอก  แต่เขารอตามที่พระเยซูสั่งให้รอ ก็รอ รอไปแค่ 10 วัน พระเยซูกลับมาแล้ว วันเพ็นเตคอส เขาก็นึกว่าหลังจากวันเพ็นเตคอส พระเยซูอยู่ด้วยกันกับเขา แล้วก็บอกว่าจะกลับมาอีกทีหนึ่ง เขาก็คิดว่ารออีกไม่นาน คงกลับมาแน่ เขาก็คิดว่ากลับมาในยุคที่เขามีชีวิตอยู่นั่นแหละ นึกออกไหม? แม้กระทั่งอัครทูตยังไม่รู้เลย พระเยซูก็บอกว่าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าวันสุดท้าย หรือวันที่พระองค์จะกลับมาใหม่นั้นเป็นวันใด? โมงใด? ไม่มีใครรู้ พระบุตรเองก็ไม่รู้ แต่มีมนุษย์ทั้งหลาย พยายามอยากรู้มาตลอด เขียนหนังสือบ้าง? บรรยายบ้างว่าจะกลับมาวันนั้น วันนี้ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ในหนังสือวิวรณ์เขียนบอกอีก อย่างนั้นอย่างนี้ พยายามบอกทุกอย่าง ตรวจต่างๆ แล้วบอกว่าจะมาวันนั้น แล้วไม่มาสักที เช่นเดียวกัน วาระสุดท้ายตรงนี้ ก็หมายถึงเขาคิดว่าจะมาในวาระสุดท้าย คือวันนั้น

            และคำว่า “ตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์ จะมาในวาระสุดท้ายนั้น”

            และที่เข้าใจผิดอีกคำหนึ่ง ก็คือ “ตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์ หรือแอนตี้ไครซ์” ก็หมายถึงมาร ซึ่งเป็นศัตรู มารซึ่งเป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์ แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้  ปฏิปักษ์พระคริสต์มีมามากมาย  เหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย  หมายถึงอะไร? คนก็เข้าใจผิด นึกว่าวาระสุดท้าย คือมีคนอ้างตัวเองว่าเป็นพระเยซูเยอะแยะ มาทำอัศจรรย์ หลอกล่อคน มันไม่ใช่หมายถึงอย่างนั้นเลย  นึกย้อนไป 2,000 ปีก่อน อาจารย์ยอห์นกำลังจะบอกว่ามารซึ่งเป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ต่อข่าวดีของพระคริสต์ ถึงเรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์

            ข่าวดีของพระคริสต์ คือพระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา  เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งปวง  มารเป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์  ต่อข่าวดีของพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนปฐมกาลแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้มารตกกระป๋องมา  ก็เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์  เป็นศัตรูต่อพระคริสต์ ตั้งแต่ตอนสมัยที่ยังไม่ได้เป็นมาร เป็นลูซีเฟอร์อยู่ แล้วมาถึงตอนนี้ แผนการของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด คือส่งพระมาซีฮาห์มา มารก็ต่อต้านพระมาซีฮาห์ ต่อต้านพระคริสต์มาตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว เรื่อยมา แล้วจะมาเร่งการงานของมันมากขึ้น ในยุคสุดท้ายนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น ในยุคสุดท้าย วาระสุดท้าย มันจะมีมากมายขึ้น คือกระทำการงานผ่านทางคนมากมาย เพราะว่ามันจะหมดเวลาของมันแล้ว  ก่อนที่จะสิ้นสุดโลกใบนี้ ก็คือในยุคสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูจะกลับมาพิพากษาโลกใบนี้  ก่อนที่มันจะถูกพิพากษาลงโทษ โยนลงไปในบึงไฟนรกนิรันดร์นั่นเอง มันก็เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของมันแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น และก่อนที่มันจะสิ้นสุดโอกาสในการที่จะล่อลวงมนุษย์ให้หลงผิด เชื่อในความเท็จของมัน  โดยการปิดบังตามนุษย์ไม่ให้มนุษย์เห็นความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มารก็เร่งการงานมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรู้ว่าใกล้วันเท่าไร ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  พูดง่ายๆ มีคริสเตียนมากขึ้นเรื่อยๆ มารมันก็ทำงานผ่านทางคนนี่แหละ ผ่านทางมนุษย์นี่แหละ ในการบิดเบือนข่าวประเสริฐ จึงเป็นการเตือนจากอาจารย์ยอห์นให้คริสเตียน ที่อยู่ในชุมชนคริสเตียน อยู่ในคริสตจักรขณะนั้น เกี่ยวกับการปรากฏตัวของปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งเป็นบุคคลหรือกลุ่มคนที่ต่อต้านพระคริสต์  และคำสอนของพระองค์ในเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ แค่นี้เอง ซึ่งคือใคร? ในบริบทนี้ ยอห์นกำลังเตือนสติให้ระวังผู้ที่พยายามหลอกลวง เบี่ยงเบนความเชื่อของพวกเขาคริสเตียนที่แท้จริง

            จำได้ไหม บทที่ 1 เราได้เรียนรู้แล้วว่ามีคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียน แต่ไม่ใช่คริสเตียน แล้วได้มาอยู่ในท่ามกลางเหล่าคริสเตียน  แล้วก็มาสอนอะไรที่ผิดๆ ก็คือมาต่อต้านพระคริสต์ ยอห์นใช้คำว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ เพื่อที่จะบ่งบอกถึงผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ พยายามบิดเบือนความจริงของข่าวประเสริฐ ในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ คือปฏิเสธพระเยซูว่าเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อช่วยคนบาป ได้บันทึกแล้วก็เขียนถึงคนเหล่านี้ ใน 1 ยอห์น 2:22 …

        1 ยอห์น 2:22 “ใครเล่าคือคนโกหก ก็คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์  คนเช่นนี้แหละ คือปฏิปักษ์ของพระคริสต์ เขาปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร”

            นี่แหละปฏิปักษ์พระคริสต์ คือคนที่โกหก ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าเตรียมไว้  ปฏิปักษ์ของพระคริสต์ในบริบทนี้ จึงหมายถึงบุคคลที่ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ พระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งมีมากมาย นับไม่ถ้วนในโลกนี้ ไม่ได้หมายถึงบุคคลที่ตั้งตนเอง หรืออุปโลกน์ตัวเองว่า …

            “ฉันเป็นพระเยซูมาเกิด ฉันคือพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 แล้ว” คนละเรื่อง

        1 ยอห์น 2:19  “พวกเขาออกไปจากพวกเรา แต่ที่จริงแล้ว เขาไม่ใช่พวกเรา เพราะถ้าใช่ เขาก็คงอยู่กับเราต่อไป แต่การที่เขาจากไป แสดงว่าในพวกเขา ไม่มีสักคนเดียว ที่เป็นพวกเรา”

            คนที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์เหล่านี้ อยู่ในชุมชนของคริสเตียนแท้ ในขณะนั้น ทุกวันนี้ก็มีอยู่ ดูเหมือนคริสเตียน แต่ไม่ใช่  เพราะว่าเขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ แต่เขาอ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียนเหมือนกัน และพยายามสอน แนะนำความเชื่อที่แตกต่าง ที่เป็นความเชื่อที่ปฏิเสธข่าวดีแห่งพระคุณ ก็คือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ในหลายๆ รูปแบบ เช่น พวกนอสซีส ที่พูดไว้ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 แล้ว ก็คือ …

            “เธอรับเชื่อพระเจ้าหรือยัง?”

            “รับเชื่อแล้ว”

            “เธอเป็นคริสเตียนหรือยัง?”

            “ฉันก็เป็นคริสเตียน มาเชื่อพระเจ้าแล้วเหมือนกัน แต่ฉันจะบอกให้นะ ยังไม่พอหรอก เธอต้องเพิ่มความรู้ เพิ่มพิธีกรรม เพิ่มโน่น เพิ่มนี่ ต้องเชื่อตรงโน้นด้วย เชื่อตรงนี้ด้วย พระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าจริงหรอก  แต่ฉันรู้ว่าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ”

            หรือไม่ก็ “พระเยซูเป็นพระเจ้าจริง แต่ไม่ได้เป็นมนุษย์หรอก จะบอกให้” อะไรอย่างนี้

            ซึ่งปัจจุบันก็มีอย่างนี้แหละ ลักษณะเดียวกัน ซึ่งปฏิปักษ์ของพระคริสต์เหล่านี้ ไม่ได้สามัคคีธรรม ทางวิญญาณกับคริสเตียนเลย ไม่ได้เกิดใหม่  ไม่ได้บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราทางวิญญาณ  พูดง่ายๆ ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณเลย ถ้าเขารู้จักพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณ เขาจะต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปของฉันที่เป็นคนบาป และไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ทั้งโลกที่เป็นคนบาป และทำบาป ตรงนี้เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า สำคัญที่สุด

            และอาจารย์ยอห์นบอกว่าพวกคนเหล่านี้ ที่เขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เขาไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นปฏิปักษ์กับพระคริสต์แล้ว เป็นแอนตี้ไครซ์ ก็มีเยอะแยะมากมายไปหมดเลย มาในรูปแบบของบุคคลเอย เป็นคณะ เป็นคำสอนอะไรต่างๆ เยอะแยะ ปัจจุบันก็มีเยอะแยะ  เช่น บอกว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้าอันดับหนึ่ง พระเจ้าอันดับหนึ่ง คือพระบิดา อะไรแบบนี้ ท่านต้องระวังไว้ให้ดี เหล่านี้ ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งมีเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด อาจารย์ยอห์นบอกว่านอกเสียจากว่าพวกเขาเหล่านี้ เมื่อได้ยินได้ฟังความจริงจากพวกเราที่เป็นคริสเตียนแท้ ที่อยู่ในคริสตจักรแล้ว ได้ยินคำประกาศของอาจารย์ยอห์นแล้ว ถ้าเขายอมรับความจริง แล้วเปลี่ยนความคิดจิตใจเขาเสียใหม่ กลับใจใหม่ มายอมสารภาพ มายอมจำนนว่าพระเยซูคริสต์นี้ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อคนบาปอย่างท่าน อย่างเรา มนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นคนบาป  และต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงสามารถเข้ามาบัพติศมา ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นคริสเตียนเหมือนเราได้  ที่เราได้เรียนรู้ไปใน 1 ยอห์น 1:9 ถ้าเขาสารภาพบาป เขาก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน

            และในทุกวันนี้ ก็เช่นเดียวกัน ใครก็ตามที่ยอมรับ สารภาพ ยอมจำนนว่าตนเองเป็นคนบาปและทำบาป ต้องการการช่วยเหลือ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดจากความบาป ชำระทุกคนด้วยพระโลหิตของพระองค์ได้ เขาก็จะได้กลายเป็นคริสเตียนแท้จริง เช่นเดียวกัน  พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! ท่านได้บังเกิดใหม่ ได้มีชีวิตใหม่ ได้เป็นคนใหม่ ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            จงหมั่นอดทนฝึกฝนธรรมชาติใหม่ของชีวิต ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ด้วยความภาคภูมิใจให้สมกับที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ด้วยพระคุณและความเชื่อ

            ฟิลิปปี 2:12-13 … “12 ดังนั้น  ท่านที่รักตามที่ท่านเชื่อฟัง (คำแนะนำของข้าพเจ้า) มาโดยตลอด  ดังนั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่ (ด้วยความกระตือรือร้นที่ท่านจะแสดง) ต่อหน้าข้าพเจ้า  แต่ยิ่งกว่านั้นอีกมาก  ในขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่  จงหมั่นอดทนฝึกฝน (ไปให้ถึงเป้าหมาย และทำให้สมบูรณ์) ผลของความรอดของท่านเอง  ด้วยความรัก  เคารพยำเกรงพระเจ้า  13 (ไม่ใช่ด้วยกำลังของท่านเอง) เพราะเป็นพระเจ้าผู้ทรงทำงานอยู่ภายในตัวท่านตลอดเวลา (พระองค์ให้พลัง  และสร้างพลัง  และใส่ความปรารถนาภายในตัวท่าน) ให้ท่านเกิดความต้องการ  อีกทั้งเกิดการกระทำดี  ตามพระประสงค์ของพระองค์  เพื่อความพอใจและความปิติยินดีของพระองค์”

            ในฟีลิปปี 2:12  อาจารย์เปาโลพูดกับพี่น้องชาวฟิลิปปีว่า …  “พี่น้องที่รัก  ท่านเคยเชื่อฟังคำแนะนำของเรามาตลอด  ตอนที่ท่านต้อนรับข่าวดี ได้รับความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ ได้รับการอภัยจากความบาปทั้งสิ้น และได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ท่านมีธรรมชาติใหม่ของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณท่าน และท่านก็เชื่อตามที่เราบอกท่านไว้ ให้ท่านอดทน ฝึกฝน ให้ผลของธรรมชาติใหม่นี้ ได้ถูกสำแดงออกมา  โดยผ่านทางความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในท่าน  ตอนที่เราอยู่กับท่าน ท่านก็ฝึกฝนอยู่แล้ว  แต่ตอนนี้เราไม่ได้อยู่กับท่านแล้ว ขอให้พี่น้องมีความกระตือรือร้นฝึกฝนด้วยความอดทน ให้เป็นไปตามธรรมชาติการเป็นลูกของพระเจ้า  พระวิญญาณจะเป็นพี่เลี้ยงคอยฝึกฝน ให้กำลังความสามารถ สติปัญญากับท่านเอง  ให้ท่านพัฒนาธรรมชาติใหม่  ที่ท่านเป็นลูกพระเจ้า ให้หมั่นฝึกฝนพุ่งเป้าไปที่ความรอดที่ท่านได้แล้ว ให้ฝึกฝนให้ผลของความรอดออกมาในการดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ  ฝึกฝนให้รู้ว่าอะไรคือเนื้อหนัง ที่เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกับพระวิญญาณ  อะไรคือพระวิญญาณ  ฝึกฝนที่จะทำตามพระวิญญาณ ฝึกฝนที่จะปฏิเสธการกระทำตามเนื้อหนัง”

            เช่นพระวิญญาณที่อยู่ในเราแนะนำ พร้อมให้กำลังเรา  บอกเราว่าควรสำแดงความรักแทนความโกรธ  ฝึกฝนให้สันติสุขและความชื่นชมยินดีออกมา  ฝึกฝนคอยสังเกตว่าแต่ละวันเราเผชิญกับอะไรสถานการณ์ไหน  เราควรจะตอบสนองออกไปแบบไหนตามพระวิญญาณหรือตามเนื้อหนัง ผิดบ้างพลาดบ้าง นี่เป็นบทเรียน นี่คือการฝึกฝนของผู้เชื่อในแต่ละวัน  เพื่อเราจะได้สำแดงธรรมชาติใหม่ที่อยู่ภายในเรา ออกมามากขึ้นด้วยความรัก เคารพ ยำเกรง ให้เกียรติพระเจ้า พ่อของเรา

            คำว่า “ด้วยความเคารพยำเกรง ให้เกียรติพระเจ้า” หมายถึงพระเจ้าเป็นผู้ตั้งกฎและรักษากฎอย่างเคร่งครัดพระองค์ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด  ถ้าใครทำผิดกฎ  ก็จะถูกลงโทษ  คนที่ทำตามกฎที่พระเจ้าวางไว้  ถือว่าผู้นั้นให้ความเคารพยำเกรงพระองค์  ให้เกียรติกับกฎระเบียบที่พระเจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่  ฉะนั้น การฝึกฝน เพื่อให้ความเคารพยำเกรงพระเจ้า  ฝึกฝนผลของพระคุณที่ทำให้ท่านรอด  ให้ท่านพ้นจากบาป  ทำให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ท่านควรจะทำตัวให้สมศักดิ์ศรีของการเป็นลูกของพระเจ้า ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ฉายแสง สำแดงธรรมชาติตัวจริงภายในของเราที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น ออกมาเป็นความประพฤติ

            ถ้าท่านทำดีตามพระวิญญาณนำ ท่านก็เก็บเกี่ยวผลจากพระวิญญาณ คือชีวิต ความชื่นชมยินดี สันติสุข

            แต่ถ้าท่านทำตามเนื้อหนัง ท่านก็เก็บเกี่ยวความตาย ความทุกข์ลำบาก

            ฉะนั้น ถ้าท่านฝึกฝนที่จะทำตามพระวิญญาณนำ ท่านก็ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทำให้พระเจ้ามีความสุขด้วย แต่ถ้าท่านทำตามเนื้อหนัง ท่านก็จะได้รับผลในโลกนี้ คือความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งทำให้พระเจ้า ผู้เป็นพ่อทุกข์ใจเสียใจ

            ในข้อ 13 บอกว่า … “พระเจ้าเป็นผู้กระทำการงานในท่าน ให้กำลังท่านจากข้างใน  ให้ท่านสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้”

            แปลว่าท่านแค่มอบถวายทุกส่วนในร่างกายของท่าน ให้กับพระเจ้าและพระเจ้าจะทรงเป็นผู้กระทำการงาน  ให้ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้สำแดงออกมาเอง โดยธรรมชาติที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้  ขอบคุณพระเจ้า

            พระเจ้าพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ลูกขอบคุณพระองค์  สำหรับพระคุณความรัก  ความเมตตาที่ได้ทรงโปรดประทานให้กับลูก  ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอด  การเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ เป็นความรัก เป็นความสว่าง  เป็นสันติสุข  เป็นความชื่นชมยินดี  ขอบคุณที่พระองค์ประทานกำลังให้ผลเหล่านี้ ได้ถูกสำแดงออกมาจากชีวิตของลูก ลูกขอบคุณพระองค์ในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

            พระเจ้าอวยพรครับ