วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1475

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  มิถุนายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 2 “พระเจ้าได้ลบบาปทั้งปวง ไม่ใช่เพียงบาปของคริสเตียนเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลกด้วย 2,000 ปีมาแล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มาต่อหนังสือ 1 ยอห์น ตอนที่ 2  อย่างที่ผมได้บอกสัปดาห์ที่แล้วว่าหนังสือตั้งแต่ 1 ยอห์นเป็นต้นไป ลึกซึ้งมาก สนุกมาก ตั้งใจฟัง เรียนรู้ เข้าใจในเรื่องเล่านี้  จะทำให้ท่านมีความสุข  มีสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมากมาย เกินกว่าที่เราจะเข้าใจ 1 ยอห์น ตอนที่ 2 สรุปหัวข้อเรื่องวันนี้ ก็คือ “พระเจ้าได้ลบบาปทั้งปวง ไม่ใช่เพียงบาปของคริสเตียนเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลกด้วย 2,000 ปีมาแล้ว”

            บาปทั้งปวง คือบาปตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตนิรันดร์  ในอดีต คือบาปอะไร? ในอดีต คือบาปที่เราเกิดมา อยู่ในอาดัม  อยู่ในบรรพบุรุษของเรา ซึ่งสืบเชื้อสาย  DNA จากอาดัม ที่เป็นคนบาป  เราก็ติดเชื้อบาปมา  เป็นคนบาปตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา  คลอดออกมา ก็เป็นคนบาป นี่เราเรียกว่าบาปในอดีต และเมื่อคลอดออกมา ก็เริ่มมีชีวิตดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เรียกว่าบาปในปัจจุบัน  และบาปในอนาคตคืออะไร?  คือเมื่อเราเป็นคนบาป  ในปัจจุบันกระทำบาปอยู่ แต่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระบุตร พระเมสิยาห์ ที่พระเจ้าประทานให้กับมวลมนุษยชาติ  เพื่อลบบาปออก แล้วเราก็ต้อนรับ พอเราต้อนรับพระเยซูมาเป็นผู้รับบาป บาปนั้น ได้ถูกลบออกไปเลย พอมองเห็นไหม? บาปอดีตถูกลบออกไป บาปปัจจุบัน ที่กำลังกระทำอยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ก็ถูกลบออกไป และรวมถึงบาป ที่เมื่อเราทิ้งร่างนี้ คือตายจากโลกนี้ ซึ่งถ้าเราไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราก็ยังติดเชื้อบาปอยู่นั้น  แต่ถ้าเราเป็นคริสเตียน เราต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ลบบาปออกแล้ว  พระองค์ก็ลบบาปนั้นด้วย ในอนาคตนิรันดร์ คือหลังความตาย ก็ถูกลบออกไปด้วย  เพราะฉะนั้น หลังความตาย เมื่อท่านปรากฏตัวท่านเอง ต่อหน้าพระเจ้า ท่านก็ไม่มีบาป ไม่ได้เป็นคนบาปเลยสักนิดเดียว

            เมื่อตอนที่แล้ว ที่เราเรียนกัน เริ่มต้นหนังสือยอห์น  เราได้รู้แล้วว่าใน 1 ยอห์น บทที่ 1 ยอห์นกำลังเขียนถึง กำลังพูดถึง เน้นถึงพวกที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน  แต่ไม่ได้เป็นจริงๆ หลงผิดไป คิดว่าเป็นคริสเตียน ซึ่งก็คือคนที่เชื่อในลัทธินอสติก เราได้เรียนรู้ตรงนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

            ข้อความในหนังสือที่อ่านพูดถึงใคร? พูดกับใคร?  หมายถึงใคร?  อย่างที่ผมบอก สรรพนามในหนังสือที่เราอ่าน มันสำคัญมากๆ วันนี้ ขอเน้นอีกนิดหนึ่งว่าสรรพนามที่ใช้ สำคัญมากๆ ยกตัวอย่าง มีทั้งคำว่า “เรา” เราที่หมายถึงคริสเตียน แล้วก็มีคำว่า “เรา” ที่หมายถึงคนทั่วๆ ไป มนุษย์บนโลกใบนี้ ซึ่งมีทั้งคริสเตียน และไม่ใช่คริสเตียน หรือบางอัน มีคำว่าเราในหนังสือยอห์น บทที่ 1 ตอนต้น ที่เราเรียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “เรา” หมายถึงอัครสาวก 12 คนเท่านั้นเอง ก็มี ก็ใช้คำว่า “เรา” เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น “เรา” หรือ “เขา” หรือ “ท่าน” ในสรรพนามต่างๆ ในหนังสือไบเบิ้ล ไม่ว่าจะเรียนเรื่องไหนก็ตาม อาจจะต้องระมัดระวัง ดูว่าบริบทของสรรพนามนั้น หมายถึงใคร? หมายถึงตัวเราคริสเตียน หรือหมายถึงผู้ที่ไม่เชื่อ หรือหมายถึงใครกันแน่

            ยกตัวอย่างเช่นในหนังสือ มัทธิว บทที่ 5 ที่เราเคยเรียนกันไป ก่อนหน้านี้แล้ว บริบทนี้ พระเยซูประกาศกับชาวยิว ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ยกมาตรฐาน บัญญัติของชาวยิวขึ้นมา บัญญัติของชาวยิว ไม่ใช่บัญญัติของคริสเตียน พระองค์ทรงยกบัญญัติของชาวยิว ให้สูงกว่ามาตรฐานขึ้นมา มาตรฐานของพระเจ้า เพื่อบ่งชี้ให้ชาวยิว ได้เห็นว่าพวกเขารักษาบทบัญญัตินี้ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ได้หรอก  ไม่ได้พูดถึงคริสเตียน  พระองค์บอกว่าทำไม่ได้หรอก เพราะตามมาตรฐานของพระเจ้าจริงๆ คือท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า พูดกับชาวยิวที่ไม่ใช่คริสเตียน …

            “ท่านไม่สามารถพึ่งพาตนเองในการเข้าสวรรค์ได้ โดยการรักษาบทบัญญัติของโมเสสหรอก จงมาวางใจในเรา  ผ่านทางเราเท่านั้น ท่านจึงจะถึงพระบิดาได้ นอกจากทางเรา ไม่มีทางอื่นเลย นี่กำลังพูดกับชาวยิวตอนนั้น เราจะได้เห็นว่ามันสำคัญไหม? ซึ่งตรงกับหนังสือกาลาเทีย  หลังจากที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

            หนังสือกาลาเทียก็ได้บันทึกไว้ว่าบทบัญญัติมีไว้เพื่อบ่งบอกว่ามนุษย์นั้นเป็นคนบาป  ไม่สามารถรักษากฎบัญญัติได้ตามมาตรฐานของพระเจ้า  เพราะตามมาตรฐานของพระเจ้า คือผิดข้อเดียวก็ไม่ได้เลย  ไม่มีใครสามารถกระทำดีได้ครบถ้วน อันนี้พูดถึงคริสเตียนทั่วไปด้วยว่ารักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติของคริสเตียนทั่วไป ที่ไม่ใช่ชาวยิว คืออะไร? คือความสำนึกผิดที่พระเจ้าเขียนบัญญัติไว้ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น ในหนังสือโรม เพราะตามมาตรฐานแล้ว ผิดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ ข้อเดียวก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เลิกพึ่งการกระทำดี เพื่อพยายามที่จะเข้าสวรรค์ อย่าเข้าใจผิดว่าเลิกทำดี ไม่ใช่ เลิกทำดี เพื่อจะไปสวรรค์ เลิกทำซะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะท่านทำดี ไม่ครบถ้วน ไม่สามารถไปสวรรค์ได้ เมื่อไปไม่ได้แน่ๆ ก็เลิกพึ่งการกระทำของตนเอง เพื่อจะไปสวรรค์ แต่ให้มาพึ่งในพระเยซู บอกชาวยิวนะ  คือให้เรา  เราในที่นี้หมายถึง พระองค์ก็เป็นชาวยิวที่พูดกับเขาที่เป็นชาวยิวด้วยกัน ให้เรามากลับใจใหม่เถิด  ก็พูดง่ายๆ ให้เราชาวยิว กลับใจใหม่ซะ กลับใจจากการพึ่งพาในการกระทำตามบทบัญญัติของโมเสส เห็นไหม คริสเตียนไม่เกี่ยวอะไรกับโมเสส  เราเป็นต่างชาติ เราไม่ได้รู้เรื่องบทบัญญัติเหล่านี้ แต่ตอนนี้ พระเยซูกำลังพูดถึงคนยิว  อย่าพึ่งการกระทำตามบัญญัติของโมเสส  ที่บรรพบุรุษกระทำตามมาตลอด  นั่นเป็นพระคัมภีร์เดิมที่พระเจ้าได้บัญญัติเอาไว้  เพื่อจะได้เข้าสวรรค์ ตรงนี้สำคัญ  เลิกทำตามกฎบัญญัติของโมเสส ซึ่งเป็นกฎที่ดีทั้งหมดเลยนะ  ทำเพื่อจะได้ไปสวรรค์เลิกทำซะ มันทำไม่ได้หรอก มันต้องพึ่งความเชื่ออย่างเดียว  แต่หันมาวางใจในพระเยซู ในตัวเรา ซึ่งเป็นพระมาซีฮาห์  พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ดีกว่า และเมื่อท่านเชื่อในเราแล้ว ในพระเยซูแล้ว ก็จะได้ถูกย้ายมาอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ เป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย  เป็นอิสระจากกฎแห่งการกระทำตามบัญญัติ คือท่านจะเข้าสู่ความบริสุทธิ์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น นี่คือบริบทของมัทธิว บทที่ 5 ที่พระเยซูประกาศ

            แล้วถ้าเราเอามาใช้สรรพนามผิดว่าเป็นตัวเรา มันก็ยุ่ง ถ้าเราแปลความหมายผิด ไม่ได้พูดกับเรา เราก็เอามาพูดกับเรา ที่พูดกับเรา เราก็บอกไม่ได้พูดกับเรา  ถ้าเราแปลความหมายสรรพนามผิด เพียงนิดเดียว เรา ท่าน อะไรต่างๆ แปลผิดว่าพูดกับเรา  มันก็เสียหาย อย่างง่ายๆ เมื่อตะกี้ที่พระเยซูประกาศกับชาวยิว เรื่องความรอดว่าพึ่งพาตนเองไม่ได้  ถ้าเราแปลความหมายผิด เราก็จะเสียโอกาสในการประกาศข่าว เพราะเขากำลังพูดถึงคนไม่เชื่อ  เรานึกว่าพูดถึงคนเชื่อ เราก็เสียโอกาสในการประกาศข่าวดี  จากถ้อยคำของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ระบุไว้ เสียโอกาสในการประกาศข่าวดีให้กับผู้คนอื่นๆ ที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่เป็นคริสเตียน ทำให้เขาสามารถได้ฟังข้อมูลข่าวประเสริฐอย่างแท้จริง  เพราะเรายังสับสนอยู่เลย เรานึกว่าพระเยซูมาสอนเรา ให้เราตั้งใจกระทำความดี  รักษาบัญญัติให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ นั่นไม่ใช่เป้าหมายที่พระองค์ทรงพูด พระองค์พูดกับคนที่ไม่เชื่อ เป้าหมาย ก็คือท่านอย่าพึ่งพาในการรักษาบทบัญญัตินั้น เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ ทำไม่ได้หรอก อย่างนี้เป็นต้น

            ซึ่งข่าวประเสริฐที่พระเยซูพูด ง่ายนิดเดียว คือ “แค่วางใจในเราเท่านั้นเอง ท่านก็ได้รับความรอดแล้ว”

            ข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ มันง่ายมาก สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ  หรือคนทั้งปวงบนโลกใบนี้  ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เห็นไหม? มันเข้าใจง่าย วางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วท่านจะได้รับความรอด คือถ้าท่านยังรักษากฎบัญญัติทางศาสนา ทางศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งมันดีอยู่แล้ว ท่านนับถือศาสนาอะไร ซึ่งเขาสอนทำดี ทำดีต่อไป ก็ดีอยู่แล้ว ก็ทำต่อไป เป็นสิ่งที่ดี  แต่ท่านไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ถึงมาตรฐานของพระเจ้า ที่สามารถทำให้ท่านเข้าสวรรค์ได้หรอก หลังความตายที่ท่านหวังไว้ กระทำดี สะสมความดี เพื่อจะไปสวรรค์หลังความตาย นั่นลมๆ แล้งๆ ไม่ได้หรอก หันมาวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  แล้วท่านก็ประกาศข่าวดีพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่าน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพียงแค่ท่านเชื่อตรงนี้ ท่านก็ได้สิทธิ์ทันที เราก็สามารถประกาศตรงนี้ได้ เห็นไหม? มันง่ายนิดเดียว ว่าท่าน บุคคลที่ไม่ได้เชื่อ มนุษย์ทั่วไป บนโลกใบนี้ จงกลับใจใหม่ มาวางใจในพระเยซูคริสต์ดีกว่า และเพียงแค่ท่านเชื่อ และยอมสารภาพ ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป  และได้ทำบาป ไม่สามารถชดใช้ ลบบาปตนเองได้ด้วยการกระทำดี เท่านั้นเอง แค่นี้เอง และหันมาเชื่อว่าพระเยซูสามารถทำได้  พระเจ้าให้คำมั่นสัญญาว่าพระองค์จะลบล้างบาปให้กับท่าน ถ้าท่านกลับมาหาพระองค์อย่างนี้ พระองค์จะทรงลบบาป ให้กับท่าน ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จนถึงนิรันดร์ ท่านจะได้เข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์กับพระองค์ และกับคริสเตียนคนอื่นๆ ทั้งหลายทั่วโลก เป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระเจ้า ทันทีที่ท่านยอมสารภาพบาปนั้น  และท่านจะได้รับสิ่งนี้ ไปจนตลอด ไปจนถึงนิรันดร์ หลังความตาย นี่คือคำสัญญาของพระเจ้า ซึ่งสำเร็จแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ … รู้แล้วนะว่าศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ล อ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ต้องเน้น ดูให้ดีๆ ว่ากำลังพูดถึงใคร?

            วันนี้เรามาเริ่มต้นบทที่ 2 ข้อ 1-2  …

        1 ยอห์น 2:1-2 “1 ลูกที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเช่นนี้ เพื่อท่านจะไม่ทำบาป แต่ถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ ผู้ทูลแก้ต่างต่อพระบิดา เพื่อเราทั้งหลาย  คือพระเยซูคริสต์องค์ผู้ชอบธรรม 2 พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปทั้งปวงของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของเราเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย”

            จะขออธิบายจากตอนท้าย  ข้อที่ 2 ก่อน เพราะว่าเป็นชื่อเรื่องของซีรี่ย์นี้ วันนี้ และเป็นหัวข้อที่สำคัญมากๆ  ที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มักจะได้ยินและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ตรงคำว่า “ลบบาปทั้งปวง พระองค์สัญญาว่าจะส่งพระเยซูคริสต์มา ลบบาปทั้งปวงของเราทั้งหลาย  ลองอ่านตาม

            “ลบบาปทั้งปวง ไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของคริสเตียนเท่านั้น  แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย เอเมน”

            บาปทั้งปวงของคนทั้งโลก หมายถึงใคร พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อลบบาปของคริสเตียนเท่านั้นหรือ? เปล่าในนี้บอกว่าบาปของคนทั้งโลก นั่นหมายถึงตอนที่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขนนั้น พระองค์สิ้นพระชนม์ทันทีปุ๊บ มนุษย์ทั้งโลกได้รับการอภัยโทษ ลบจากบาปทั้งสิ้น ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่เขาต้องมาใช้สิทธิของเขา เมื่อเขารู้ข่าวดีนี้ แล้วก็ยกมือรับสิทธินี้ว่า

            “ใช่ ฉันต้อนรับพระเยซูคริสต์  พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของฉัน พระเยซูคริสต์เป็นผู้นั้นแหละ ที่ทำให้ฉัน ฉันรับพระเยซูคริสต์”

            การรับพระเยซูคริสต์ คือรับทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำให้นั่นเอง  ถ้าไม่รับ ก็ไม่ได้อะไรเลย  เพราะในนี้บอกว่าพระเยซูเป็นผู้กระทำสิ่งนั้น  พระเจ้ากระทำสิ่งนี้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่บาปทั้งปวงของคริสเตียนเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลก ต้องต่อด้วยว่าบาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย คือคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  ยังเป็นของโลกนี้อยู่ ถ้าคนๆ นั้น เป็นของโลกนี้ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  ยังมีบาปอยู่ ถ้าเขายอมจำนน เชื่อข่าวดีนี้ และรับสิทธิของเขา เขาก็จะถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์  อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์  เป็นลูกของพระเจ้า ถูกลบบาปออกหมดสิ้นเลย  เห็นไหม? เพราะทำให้แล้ว  เพียงแต่เขายอมรับว่าพระเยซูทำให้กับคนที่เป็นคนบาป  และทำบาป และต้องชดใช้บาปนิรันดร์ หลังความตาย ใช่ไหม? คุณยอมรับไหมว่าคุณทำบาป  คุณยอมรับไหมว่าวันสุดท้าย หลังความตาย คุณก็จะต้องชดใช้ความบาปนั้น  ถ้าไม่ยอมรับ ก็แน่นอน จบกัน ก็ไม่ได้  แต่ถ้าคุณยอมรับสารภาพว่าคุณเป็นคนบาป และต้องการหมอรักษาบาปนั้น พระเยซูคริสต์นั่นแหละ คือหมอ ที่พระเจ้าทรงประทานให้  (แล้ว) ถ้านับปัจจุบัน ที่กำลังพูดอยู่นี้  ประทานให้ 2,000 ปีมาแล้ว พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จ ที่บนไม้กางเขนเรียบร้อยแล้ว ก่อนเราจะเกิดด้วยซ้ำไป นั่นหมายถึงพระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ล่วงหน้า บางท่านไม่เข้าใจ

            “ไถ่บาปเราล่วงหน้าได้อย่างไร? สนับสนุนให้เราไปทำบาปเหรอ มีการไถ่บาปเราล่วงหน้า พรุ่งนี้เราจะทำอะไรต่างๆ พระเยซูไถ่แล้ว ไถ่ได้อย่างไร?”

            ก็วันนี้ ท่านบอกว่าท่านพ้นจากบาป พ้นจากเวรกรรมแล้ว  ท่านรับเชื่อแล้ว พระเยซูไถ่ท่าน ไถ่วันนี้หรือ? ไม่ใช่ ท่านเพิ่งมารับสิทธิ์วันนี้จริง  แต่พระเยซูไถ่ท่านตั้งแต่ ค.ศ. 1 แล้ว สมมติให้ฟัง ไถ่ตั้งแต่ ค.ศ.1 แล้ว ไถ่มา 2,000 ปีแล้ว แต่เพิ่งมารับตอนนี้  ตอนที่ผมรับ พระเยซูไถ่ผมมา 1,980 ปีแล้ว แต่ถ้าใครเชื่อวันนี้ พระเยซูไถ่เขาตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว  แต่ท่านมารับสิทธิ์ของท่านวันนี้ นี่คือความจริง

            ความจริงที่อาจารย์ยอห์น เขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ใน 1 ยอห์น บทที่ 2 เมื่อตะกี้นี้บอก ลบบาปออกหมด  เพื่อท่าน ท่านคือใคร? ท่าน คือผู้ที่ยอมจำนน สารภาพแล้วว่าตนเอง เป็นคนบาป ทำบาป  และต้องการความช่วยเหลือ  เป็นคนป่วยที่ต้องการหมอ ยอมรับแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นหมอ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ก็คือเป็นคริสเตียนแล้ว ได้รับการลบล้างบาปทั้งปวงแล้ว ใช่หรือไม่? เอเมน นี่ตามถ้อยคำพระเจ้าเป๊ะเลย  พูดแล้วพูดอีก นี่เขียนถึงผู้ที่เป็นคริสเตียน (เท่านั้น) คือคนที่ยอมสารภาพว่าตนเองเป็นคนบาป สารภาพเมื่อไร? ไม่รู้ ก่อนหน้านี้ ตอนเปิดใจรับเชื่อ

            เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่เราเรียน ยอห์นประกาศกับพวกนอสติก คือคนที่ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้กำลังพูดกับคนที่เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว ยอมสารภาพแล้ว ก่อนหน้านี้ประกาศกับพวกนอสติกที่ยังไม่เชื่อ สัปดาห์ที่แล้วเราได้เรียนแล้ว 1 ยอห์น 1:9 หัวใจเลย ที่คนเข้าใจผิด คิดอยู่เรื่อยว่าพูดกับคริสเตียน แต่จริงๆ กำลังพูดกับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน คนที่ยังไม่เชื่อ …

        1 ยอห์น 1:9 “ถ้าเรา (มนุษย์ผู้ใด) ยอมจำนนรับว่าเรา (เขา) เป็นคนบาป และเรา (เขา) สารภาพบาปของเรา (เขา) พระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญา และมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เรา (เขา) และชำระเรา (เขา) ให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรม (ความบาป) ทั้งปวง”

            วงเล็บไว้ให้เป็นเขา  เพื่อจะได้ให้เห็นชัดขึ้น …

            ขึ้นมา “ถ้าเราสารภาพบาป” ก็แสดงว่ายังไม่สารภาพใช่ไหม? คนที่ยังไม่สารภาพ ก็หมายถึงคนที่ยังไม่ได้มาใช้สิทธิของเขา  ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน

            1 ยอห์น 1:9 ถ้าผมจะยกตัวอย่างให้อย่างนี้ จะทำให้ท่านเห็นชัดขึ้น 1 ยอห์น 1:9 จึงเป็นข้อสำหรับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน

        1 ยอห์น 1:9 “สำหรับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน ถ้าเรา (เขา) ยอมรับสารภาพบาปว่าเป็นคนบาป  และได้ทำบาปด้วย พระเจ้าจะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เรา (เขา) และชำระเรา (เขา) ให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรม (ความบาป) ทั้งปวง”

            ชัดไหม? ถ้ายังไม่ชัด เดี๋ยวผมจะใส่ตรงนี้ให้อีก คราวนี้ชัดเลยสมมติว่าผมไปเจอเพื่อนคนหนึ่ง ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  ผมจะประกาศให้กับเขา ผมจะประกาศอย่างไร? สมมติว่าเขาชื่อจ่อย ยังไม่เชื่อพระเจ้า ผมจะไปประกาศ ผมจะบอกจ่อยว่า …

            “นี่นะจ่อย ถ้าจ่อยยอมรับสารภาพบาปว่าจ่อยเป็นคนบาป และจ่อยได้ทำบาป ทำหรือเปล่า? เมื่อวานนี้ วันนี้ โกหกหรือเปล่า พระเจ้าพระเยซูคริสต์จะยกโทษบาปทั้งหมดเลยนะ ให้แก่จ่อย และชำระจ่อยให้บริสุทธิ์  พ้นจากความบาป ความไม่ชอบธรรมทั้งปวง ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หลังความตาย ก็ไม่มีบาปเลย  อยู่ในสวรรค์เลยล่ะ จ่อยเชื่อไหม? ถ้าเชื่อ มาสารภาพบาป ดีกว่า ยอมรับดีกว่า ยอมจำนนดีกว่า”

            “1 ยอห์น 1:9 จึงเป็นการเชื้อเชิญคนที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน”

            แต่สำหรับคนที่เป็น คริสเตียนแล้ว ต้องดูใน 1 ยอห์น 2:1-2 …

        1 ยอห์น 2:1-2 “1 ลูกที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเช่นนี้ เพื่อท่านจะไม่ทำบาป แต่ถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ ผู้ทูลแก้ต่างต่อพระบิดา เพื่อเราทั้งหลาย  คือพระเยซูคริสต์องค์ผู้ชอบธรรม 2 พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปทั้งปวงของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของเราเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย”

            ขอบคุณพระเจ้า ลึกซึ้ง เข้าใจยาก และคนได้ยินจะไม่เข้าใจ อาจต่อต้าน แล้วหาว่าเราสอนให้คนไปทำบาป  ทำบาปก็ไม่เป็นไร ได้รับการอภัยโทษแล้ว พูดอย่างนี้ ก็ไปทำบาปได้สบาย  อาจารย์ยอห์นก็คิดเหมือนกัน เริ่มประกาศเรียบร้อยแล้ว ต้องพูดความจริงเรื่องนี้ให้กับท่านที่เป็น คริสเตียน อาจารย์ยอห์นพูดอย่างนี้ ในบทที่ 2 ข้อ 1 และ 2 ที่ตะกี้นี้อ่าน จำเป็นต้องบอกความจริงกับท่าน  เพราะมันเป็นความจริง แล้วถูกต่อต้าน อย่างนี้ก็สอนให้คริสเตียนไปทำบาปได้สิ จึงเป็นเหตุให้อัครสาวกยอห์น พูดก่อนเลย ก่อนที่จะแจ้งความจริงนี้ว่าไม่ได้มาสอนความจริงนี้ เพื่อท่านจะได้ไปทำบาป อ่านดูสิ ย้อนกลับไปบทที่ 2 ข้อ 1 บรรทัดแรกเลย …

            “ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเช่นนี้ เพื่อท่านจะไปทำบาป” ใช่ไหม? ไม่ใช่ “ข้าพเจ้าชี้แจงกับท่านในเรื่องจริงเรื่องนี้ ประกาศความจริงของพระเจ้า  พระคุณอันยิ่งใหญ่เหลือล้นของพระเจ้าที่ทำผ่านพระเยซูคริสต์ลบบาปให้กับเรา ลบบาปของมวลมนุษย์ทั้งหลายออก ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนิรันดร์เลยนั่นแหละ ไม่ใช่ เพื่อทำให้ท่านไปทำบาป แต่เพื่อท่านจะไม่ทำบาป หมายความว่าถ้าท่านรู้ความจริงนี้แล้ว ท่านจะไม่ทำบาป

            ถ้าท่านรู้ความจริงเหมือนเมื่อตะกี้นี้  ที่อาจารย์ยอห์นพูดในหนังสือ 1 ยอห์น 2:1-2 ท่านจะไม่ทำบาป  ถ้าท่านรู้ความจริงอย่างนี้ว่าท่านได้รับความรอดอย่างนี้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ครบถ้วน 100% จนกระทั่งอนาคต จะทำอะไรก็ได้ เชิญเถอะ  ถ้าท่านรู้อย่างนี้ ท่านจะไม่ทำบาป  แล้วคนมาชี้หน้าเรา บอกว่าเราพูดความจริงตามอาจารย์ยอห์น แล้วบอกว่าจะไปบอกให้คนทำบาป หัวเราะหน่อยสิ เป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ เพราะพระคัมภีร์ก็พูดไว้อย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ แสดงว่าเขายังไม่ได้รู้ความจริงเหล่านี้ เมื่อเขาไม่รู้ความจริงเหล่านี้ มันก็ตรงกันข้าม ขอโทษทีนะ ไม่ได้กล่าวหาใคร พูดตามถ้อยคำพระเจ้า ตามตรรกะของพระเจ้า ถ้ารู้ความจริงเหล่านี้ตามที่อาจารย์ยอห์นเขียน เขาก็จะไม่ทำบาป

            เอากลับกันสิ ถ้าไม่รู้ความจริงเหล่านี้ เขาก็จะทำบาป  ผมไม่ได้พูดนะ

            เอาใหม่อีกที ถ้าเรารู้ความจริงเหล่านี้ พระคุณของพระเจ้าให้เรารอดจากบาป  โดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการกระทำ โดยความประพฤติ  พูดแล้วพูดอีก พูดซ้ำแล้ว พูดซ้ำอีก แล้วเขาก็หาว่าเราไปส่งเสริมให้คนทำบาป คนที่พูดอย่างนั้น ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจถึงเรื่องพระคุณของพระเจ้า ยังไม่เข้าไปลึกถึงพระเจ้า  เขาก็ไม่รู้ความจริงเหล่านี้  เมื่อเขาไม่รู้ความจริงเหล่านี้ เขาก็จะทำบาป เรียนอยู่แค่นี้วันนี้ บอกแล้วไงว่ามันสำคัญมาก

            เพราะนี่คือหัวใจของการที่จะเรียนรู้หนังสือยอห์น 1 ยอห์น, 2 ยอห์น, 3 ยอห์น ถ้าตรงนี้ไม่ผ่าน อ่านต่อไป ท่านก็จะชี้นิ้วอยู่เรื่อย อยู่ในแสงสว่างแล้วอยู่เลย  ไม่มีความมืดเลย อะไรไม่มีความมืด เมื่อวานก็ยังเห็นโกหกอยู่เลย  ไม่มืดได้อย่างไร? อยู่ในสว่างได้อย่างไร?  เขาก็จะคิดอย่างนี้ตลอดเวลา  แต่พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีความมืดในความสว่าง  เมื่อท่านเข้ามาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ทรงปกป้องท่านด้วย พระเยซูคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ นี่เป็นเหตุให้อาจารย์ยอห์นต้องเขียนก่อน บอกก่อน สั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง ว่าเมื่อเกิดใหม่แล้ว  เกิดแล้วเกิดเลย อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้าแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            แล้วคิดดูสิว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าคริสเตียนเราเองเข้าใจผิดคำว่า “เรา” ใน 1 ยอห์น 1:9 “เรา” คือ คริสเตียน คือตัวเรา พอเราเข้าใจผิด หรือถูกสอนว่าเราเป็นคริสเตียน นี่คือตัวเรา  เราก็เลยกลับกลายเป็นผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ ปฏิเสธพระเยซูคริสต์เสียเอง ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียน  ด้วยการทำตามคำสอนของเขา เขา คือคนที่เข้าใจผิด ก็คือด้วยการสารภาพ ขออภัยในความบาปของเราทุกวี่ทุกวัน ก่อนนอน ตื่นนอน อย่าลืมสารภาพบาป  ทำผิดแล้วต้องสารภาพบาป สารภาพบาปทุกวี่ทุกวัน  ทั้งๆ ที่พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว  ทำให้แล้ว ไม่เชื่อในอำนาจของพระโลหิตพระเยซูหรืออย่างไร? พระเยซูคงตะโกนออกมาจากที่เบื้องขวาของพระเจ้าที่สวรรคสถาน มาขอทุกวันเลย  ก็แสดงว่าไม่เชื่อในฤทธิ์อำนาจ ไม่เชื่อว่าเรายังทรงพระชนม์อยู่ ไม่เชื่อว่าเราเป็นพยานอยู่ข้างขวาของพระเจ้าตอนนี้ เราเป็นพยาน เราประกาศแล้วว่าเจ้าบริสุทธิ์ๆ เจ้าไม่มีบาป แต่เจ้าก็มาสารภาพทุกครั้ง

            เรากำลังประกาศว่าเราไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญา  เราทำให้พระองค์เป็นผู้โกหก  พระองค์บอกว่าสารภาพบาปครั้งเดียวปุ๊บ จัดการให้หมด ตาม 1 ยอห์น 1:9 เราบอกว่ายังไม่หมด ด้วยการสารภาพของเราทุกวี่ทุกวัน  เราทำให้พระองค์เป็นผู้โกหกที่พระองค์บอกว่าเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ จากบาปทั้งปวงแล้ว  ก็คือจากบาปในอนาคต ด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ หลุดจากการเป็นคนบาป ได้รับการอภัยจากการทำบาป ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตตลอดไปนิรันดร์  ได้รับความรอดนิรันดร์ ตลอดไป

            นิรันดร์ตลอดไป หมายถึงตั้งแต่เริ่มต้นสารภาพบาปครั้งแรก คือเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์ จนมีชีวิตตลอดไปนิรันดร์เลย ก่อนตาย จนกระทั่งหลังตาย ไปถึงนิรันดร์ ไม่มีช่วงไหนเลยที่จะมาแว๊บบอกว่ากลับกลายมาเป็นคนบาป ต้องมาสารภาพใหม่ กลับเข้าๆ ออกๆ ออกๆ เข้าๆ  เป็นคริสเตียนบ้าง  ไม่เป็นคริสเตียนบ้าง เดี๋ยวมาอยู่ในแสงสว่าง เดี๋ยวมาอยู่ในความมืด  อะไรประเภทนั้น มันไม่มี

            ฉะนั้น ใน 1 ยอห์น 2:2 จึงได้บอกข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเช่นนี้ เพื่อเป็นพยาน ประกาศพระคุณพระเจ้าที่ทำให้เราคริสเตียนได้บังเกิดใหม่ ลบล้างบาปทั้งสิ้น ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตชั่วนิรันดร์ ให้เราบริสุทธิ์ ชอบธรรมดีพร้อมเหมือนพระองค์แล้วชั่วนิรันดร์ ให้เรารับรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อมาสนับสนุนให้เราทำบาป  แต่ทำให้เราได้รู้ความจริง เพื่อจะได้รู้จักการปฏิเสธ การถูกล่อลวงให้ทำบาปต่างหาก  เพื่อจะได้ทำดีบนโลกใบนี้ สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า  ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว จะได้รู้ว่าท่านบริสุทธิ์ดีพร้อม เป็นใครในพระคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ตลอดชั่วนิรันดร์แล้วต่างหาก  ต้องการให้รู้อย่างนี้ ซึ่งการรับรู้อย่างนี้ เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า

            การรับรู้ว่าเราได้รับความรอดทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนิรันดร์เลย อยู่ในแสงสว่างนิรันดร์เลย  เป็นการถวายเกียรติ เป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยจิตวิญญาณและความจริง อาจารย์ยอห์นบอก ท่านไม่รู้ความจริงตรงนี้ ท่านก็ไม่ได้นมัสการพระเจ้า ด้วยจิตวิญญาณและความจริง 1 ยอห์น 2:12  ได้บันทึกอย่างนี้เลย อาจารย์ยอห์นบอกอย่างนี้ …

        1 ยอห์น 2:12 “ลูกที่รัก ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลาย เพราะบาปทั้งปวงของท่าน  ได้รับการอภัยแล้ว เนื่องด้วยพระนามของพระองค์”

            ได้รับการอภัยแล้ว ให้ท่านรู้เรื่องเหล่านี้ เพราะบาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว  เนื่องด้วยพระนามของพระองค์ หมายถึงผ่านทางพระนามของพระองค์ ให้ท่านรู้ว่าพระนามของพระองค์ ทำให้ท่านได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถ้าท่านเชื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ท่านก็เท่ากับยกชู ขอบคุณพระเยซูคริสต์ เป็นการยกย่อง ถวายเกียรติแด่พระนามพระเยซูคริสต์ แด่พระเยซูคริสต์ เมื่อท่านเชื่อว่าท่านได้รับการยกบาป ลบบาปทั้งปวงทั้งสิ้นของท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว 100% แล้ว ท่านกำลังยกย่อง เชิดชู ขอบคุณพระเยซู และถ้าเราไม่เชื่อว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว แล้วเรายังคงอธิษฐาน ขอการอภัยลบบาป จากพระองค์อยู่อีก เราก็เท่ากับกำลังกล่าวหา หมิ่นประมาทพระองค์โดยไม่รู้ตัว ถูกไหม? นี่ตามเหตุและผล

            แต่ถ้าท่าน คริสเตียนคนไหน? พลาด หลงไปทำบาป  เมื่อตะกี้เราอ่าน  ในหนังสือยอห์นบอกว่าอย่างไร? พลาดไปทำบาป เราก็มีพระเยซู ผู้ทรงพระชนม์อยู่ เป็นคนกลาง พระเยซูทรงพระชนม์อยู่ถึงเมื่อไรนะ? วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิรันดร์ นั่นหมายถึงพระเยซูจะอยู่ตรงกลาง ช่วยแก้ต่างให้กับเราว่าเราไม่บาป  เรามีพระเยซูอยู่ตรงกลาง เรามีพระองค์ผู้ทูลขอ แก้ต่างต่อพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นผู้ชอบธรรม  ซึ่งหมายความว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ทรงคอยทูลแก้ต่างแทนเราตลอดชั่วนิรันดร์ เพื่อให้เรานั้น บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เป็นลูกของพระเจ้าอย่างนั้น ตลอดไป  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พระเยซูยืนยันอยู่ที่ข้างขวามือของพระเจ้าว่าอย่างนั้น ไม่มีใครที่จะมากล่าวหาท่านได้อีกเลย  ไม่มีใครที่จะมาว่าท่านเป็นคนบาปได้อีก พระเยซูบอกท่านไม่ได้เป็นคนบาป โดยพระโลหิตของเราเป็นพยาน โลหิตก็อยู่นี่ ตัวเราก็อยู่ที่นี่  เขาอยู่ในร่างกายของเรา เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เราไถ่เขาเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครเอาเขาออกจากมือของเราไปได้หรอก เอเมน

            นอกจากนี้พระเยซูยังเป็นอะไร? ตะกี้ที่เราอ่านในหนังสือ 1 ยอห์น 2:1-2 บอกว่านอกจากนี้ พระเยซูเองยังเป็นเครื่องบูชาลบบาปทั้งปวงของเรา ซึ่งไม่ใช่เราที่เป็นคริสเตียนเท่านั้น ที่ตะกี้เราอ่าน แต่หมายถึงคริสเตียน และคนทั้งโลกด้วยที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน

            ลองย้อนกลับไปดูนิดหนึ่ง ผมจะชี้ให้ท่านเห็นบางอย่างที่มันสำคัญมาก ใน 1 ยอห์น 2:2 ในนี้บอกว่าพระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปทั้งปวง คือบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนิรันดร์ เรารู้อยู่แล้ว พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาป คือเป็นแพะผู้รับบาป พระองค์ไถ่บาปให้กับเรา ด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

            ในนี้เขียนว่าอย่างไร? พระองค์ทรงเป็น “ทรงเป็น” แปลว่าอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นอยู่ พระองค์ทรงเป็น คือเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดชั่วนิรันดร์  ที่เราบอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงเป็น ไม่ใช่พระองค์ทรงได้เป็น ได้เป็น ตอนนี้อาจจะไม่ได้เป็น  แต่พระองค์ทรงเป็น หมายถึงปัจจุบัน ขณะนี้ ตลอดเวลา  ไม่ว่าท่านจะทำบาปเมื่อไรก็ตาม ไม่ว่าท่านจะทำบาปตอนนี้ หรือว่าก่อนตาย หรืออีก 10 ปีข้างหน้าจะทำบาป พระองค์ก็ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปให้กับท่านตลอดเวลา เอเมนไหม? ชัดไหม? ชัดเลย พระองค์ทรงเป็น

            พระเยซูคริสต์ตายเมื่อไร? ไม่อยู่เมื่อไร? ท่านระวังตัว  กลัวความบาปได้  แต่พระเยซูอยู่ชั่วนิรันดร์  มีชีวิตอยู่ตลอดไป พระองค์ทรงเป็นตลอดไป และเป็นอะไร? เป็นพระเยซูคริสต์ที่อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน เป็นพระเจ้า ผู้ทรงได้รับสิทธิอำนาจสูงสุด จากพระเจ้าพระบิดา และทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาป ให้กับมนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา

            การเป็นของพระองค์นี้ แสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ และความเพียงพอ  พอเพียงในการเสียสละชีวิตของพระองค์ เพื่อเราทั้งหลายว่าพระองค์ทรงเสียสละชีวิต หลั่งพระโลหิต ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ ถ้าท่านเชื่อตามนั้น พระองค์ทรงเป็นอยู่จริงๆ และอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าจริงๆ และเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับท่าน ให้กับเราจริงๆ ได้ชำระบาปเราทั้งหมดทั้งปวง ชำระเราให้บริสุทธิ์ พ้นจากความบาป พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งหมด

            นี่คือการอภัยโทษบาปของมนุษยชาติ  ซึ่งกระทำโดยพระเยซูคริสต์ครั้งเดียว เป็นพอที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว  สำหรับโลกมนุษย์นี้ เรียกว่า 2,000 ปี สำหรับโลกนิรันดร์กาลในสวรรค์ เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้  ไม่มีวันเวลา  ในฮีบรู 10:10 และ 14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ฮีบรู 10:10,14 “10 และโดยพระประสงค์นี้ เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์  โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์  เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 14 โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น  ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป”

            “โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระเยซูก็ทรงทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไปนิรันดร์”

            ดังนั้น คริสเตียนผู้เชื่อ เราสามารถที่จะผ่อนคลาย พักผ่อน เหมือนอย่างที่พระเยซูคริสต์บอก … “ผู้ใดแบกภาระ และเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้น หายเหนื่อยและเป็นสุข”

            เราสามารถเป็นสุขและหายเหนื่อย อยู่ในสันติสุขของพระเจ้าได้ สามารถพักผ่อนในความจริงนี้ ที่เราได้เรียนรู้ในวันนี้  จากหนังสือยอห์นว่าความสัมพันธ์ในการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ความบริสุทธิ์ในการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า การที่เป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์นั้น มันจะอยู่ตลอดไป  เราได้รับการอภัยโทษ อย่างสมบูรณ์แล้ว และนั่นหมายถึงเราได้รับความรักอย่างเต็มที่จากพระเจ้าแล้วเหมือนกัน ให้เราคริสเตียนทั้งหลาย จงมั่นใจ ความมั่นใจนี้ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตตามตัวตนใหม่ในพระคริสต์ ในชีวิตใหม่นี้  และจะได้แสดงผลของพระวิญญาณที่อยู่ในตัวเรา และการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา  และดำเนินชีวิตในเสรีภาพที่มีพระคุณของพระองค์ดำรงอยู่ มอบให้กับเราไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นงานที่สำเร็จมาแล้ว 2,000 ปี คือพระคุณของพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน

            สรุปของวันนี้ ก็คือยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา  เพื่อแจ้งให้คริสเตียนทราบ ประกาศให้รู้ทั่วกัน ทั้งคริสเตียนส่วนใหญ่ และอ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนได้รู้ว่าพระเจ้าได้ลบบาปทั้งปวง ทั้งบาปอดีต ปัจจุบันและอนาคตนิรันดร์นั้น ไม่ใช่เพียงแค่บาปของคริสเตียนเท่านั้น  แต่บาปของคนทั้งโลกเลย 2,000 ปีมาแล้ว พระองค์ทรงแบกเอาบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์บนไม้กางเขน พระองค์พูดก่อนจะถูกตรึง บอกว่า …

            “วันใดที่พระองค์ถูกยกขึ้น  ก็คือบุตรมนุษย์ถูกยกขึ้น คือพระองค์ถูกยกขึ้น ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์จะนำบรรดาผู้คนบนโลกทั้งหมด เข้ามาหาพระองค์” มันหมายถึงอย่างนี้

            พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์นำมนุษย์ที่ยังไม่เกิดด้วย มองมาถึงเดี๋ยวนี้ ผ่านมา 2,000 ปี เห็นคุณนครด้วย รวมไว้ที่พระองค์เลย รวม เพื่อพระองค์จะได้ชำระ เป็นตัวแทนของเขา ชำระบาปให้เขา เป็นแพะผู้ไถ่บาปให้กับเขา หมดสิ้นเลย พอเขาเกิดมา เขาได้รับข่าวดีนี้  เขาสารภาพ ยอมรับข่าวดีนี้ เขาก็จะได้รับสิ่งนี้นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น มันเสร็จมา 2,000 ปีแล้ว มนุษย์ทุกคน เรามาร่วมยอมรับความจริงนี้ ด้วยกันดีไหม? ทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ คนไม่เชื่อ ก็ควรจะรับและสารภาพซะ แต่คนเชื่อแล้ว ก็จะได้รู้ความจริงเหล่านี้ว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว รู้อะไร? สำคัญที่สุดในวันนี้ ก็คือ …

            “บาปทั้งปวงของฉัน ได้รับการอภัยแล้ว เนื่องด้วยพระนามของพระองค์” เอเมน

            ซึ่งเป็นการยกย่อง ถวายเกียรติแด่พระนามพระเยซูคริสต์ แด่พระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงประทานพระเยซูคริสต์ให้กับเราทั้งหลาย

            “บาปทั้งปวงของฉันได้รับการอภัยแล้ว เนื่องด้วยพระนามของพระองค์” เอเมน

            ขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มนุษย์ทุกคนต้องตัดสินใจเลือก! …

                        “กฎแห่งกรรม พึ่งในการกระทำของตนเอง”

                                    หรือ …

                        “กฎแห่งพระคุณ พึ่งในการกระทำของพระเยซู”

            พระเยซูเป็นพระเจ้า มาประสูติเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป คืออยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ และสามารถมีชัยชนะเหนือกฎแห่งกรรมนี้ได้ โดยไม่ทำบาปเลย เพราะเป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่ได้เกิดเป็นคนบาป จนถึงวันสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อรับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งปวง

            พระเยซูจึงเตือนให้เราทราบว่าไม่มีทางที่จะเอาชนะกฎแห่งกรรมนี้ได้เลย เพราะว่าท่านทั้งหลายเกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว

            กฎแห่งกรรมกฎที่พึ่งในการกระทำของตนเองนี้ พระคัมภีร์เรียกว่า “กฎของความบาปและความตาย”

            ส่วนกฎแห่งพระคุณ พึ่งในการกระทำของพระเยซู พระคัมภีร์เรียกว่า “กฎวิญญาณที่ประทานชีวิต”

            โรม 8:1-2 … “1 เหตุฉะนั้น  บัดนี้จึงไม่มีการลงโทษ  แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์  กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต  ได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย”

            เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  โดยผ่านทางความเชื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ผ่าตัด วิญญาณของเรา  บัพติศมาเรา เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์  วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเรา ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว ถูกฝังพร้อมกับพระเยซู  และได้เป็นขึ้นมาพร้อมกับพระเยซูแล้ว  โดยการบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม  สะอาด หมดจดเหมือนพระเยซู  เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอีกต่อไป แต่เราอยู่ภายใต้กฎแห่งพระคุณ กฎวิญญาณที่ประทานชีวิตนิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1473

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  มิถุนายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 1 “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และยอมถ่อมลงมาเกิดในร่างมนุษย์จริงๆ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้จะเริ่มซีรี่ย์ใหม่ ตื่นเต้น เพราะเป็นซีรี่ย์ที่สนุกมากเลย ท่านอาจจะไม่ค่อยจะได้ยิน ได้ฟัง ซีรี่ย์นี้เท่าไร?  แต่พอพูดชื่อไป ท่านอาจจะโอ้โห อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจเลยพระคัมภีร์ อ่านเอง รู้สึกน่าเบื่อ แต่รับรองได้ว่าผมจะพยายามที่สุดเลย ที่จะทำให้ท่านสนุกให้ได้ เพราะว่าผมยังสนุกเลย ยิ่งอ่าน ยิ่งสนุก มันสั้นๆ เอง แต่สนุกมาก ซีรี่ย์นี้มีชื่อว่า “หนังสือ 1 ยอห์น” วันนี้จะเริ่มต้นซีรี่ย์ของหนังสือ 1 ยอห์น อัครทูตยอห์น ที่เขาว่าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเยซูคริสต์ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มากที่สุด เขาว่านะ

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ให้ชื่อเรื่องตามหนังสือนี้ ที่จะมาเรียนรู้กันต่อไปนี้  ตามเรื่อง ก็คือ  ตอนที่ 1 “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และยอมถ่อมลงมาเกิดในร่างมนุษย์จริงๆ” ทำไมถึงต้องสำคัญถึงขนาดนั้น ถึงกับเป็นหัวข้อเรื่องเลย

            ทำไมเริ่มต้นอัครทูตยอห์นถึงต้องมาพูดถึงเรื่องนี้ด้วย เบื้องหลังของหนังสือ 1 ยอห์นตื่นเต้นมาก คือเขียนเมื่อประมาณ ค.ศ.90 คืออัครทูตยอห์นเป็นอัครทูตคนสุดท้าย ที่มีชีวิตยืนยาวที่สุด ทุกคนตอนที่เขียนส่วนใหญ่ ก็ถูกประหารชีวิตกันไปหมดแล้ว เหลืออาจารย์ยอห์นคนเดียว นึกถึงภาพนะ ย้อนกลับไปในอดีต เมื่อ ค.ศ.90

            ข่าวประเสริฐเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร? เริ่มประกาศเมื่อไร? ใครจำได้บ้าง? เริ่มประกาศวันแรก คือวันเพ็นเตคอส วันที่ 50 หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว วันเพ็นเตคอส คือวันเริ่มต้นเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ เริ่มต้นคริสตจักรของพระเจ้า วันนั้นเป็นวันเริ่มต้นวันประกาศข่าวดี ถ้าเป็นค.ศ. ก็ประมาณ ค.ศ.33 ตอนนี้ ค.ศ.90 ก็ผ่านมาประมาณ 50 กว่าปี ถูกไหม? อาจารย์ยอห์นก็อายุประมาณ 80 กว่า 90 กว่า แก่แล้ว

            และในช่วงนั้น ตั้งแต่เริ่มต้นเพ็นเตคอส เริ่มต้นประกาศข่าวดี ข่าวดีบูมมากเลย  แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใช้คำว่าบูม มันแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วมากเลย  จำได้ไหมในหนังสือกิจการ วันแรก 3,000 คน คนแห่กันมาเชื่อมากเลย คริสตจักรกำลังเจริญเติบโต ผู้เชื่อเกิดขึ้นในที่ต่างๆ เหมือนดอกเห็ด ปุ๊บปั๊บๆ ที่โน่นก็มี ที่นี่ก็มี ทั้งคนยิวและไม่ใช่ยิว มาเชื่อพระเจ้ากันเต็มไปหมดเลย มารก็มีหน้าที่เร่งทำงานของมันเหมือนกัน ก็คือพยายามปกปิดความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ทำให้คนไม่รู้ข่าวประเสริฐอย่างแท้จริง ก็เลยเกิดการต่อต้านขึ้น ปิดบังความจริงบ้างก็ไม่เชื่อเลยว่าโกหกทั้งเพ อย่างเช่นผู้นำศาสนายิว ยังไม่เชื่อเลย บ้างก็ไม่เชื่อเฉยๆ  แต่ก็ไม่สนใจ แต่บ้างไม่เชื่อไม่พอ ยังข่มเหงอีก  ทั้งเกลียดด้วย  ไม่มีเหตุผล ไม่ชอบ  อย่างชาวยิวเขาเกลียด เขาไม่ชอบ เขาต่อต้านและข่มเหง เขายังมีเหตุผล

            เหตุผล ก็คือเขาเชื่อว่าพระเจ้าของเขาเป็นพระเจ้าองค์เดียว ไม่มีมนุษย์คนไหนมาเป็นพระเจ้าได้ พระเยซูมาอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า นี่เขาหาว่าหมิ่นประมาท เพราะว่าเขาไม่รู้ความจริง  อันนี้โอเค แต่ยังมีคนที่เข้าร่วมด้วยขณะที่ไม่เชื่อ แล้วก็อ้างตัวเองว่าเป็น คริสเตียน อันนี้หนัก นึกภาพออกใช่ไหม? ไม่เชื่อเสียเลยก็ดีกว่า แต่เชื่อแบบบางส่วน

            ยกตัวอย่าง เชื่อว่าพระเยซูเป็นรับบี  “รับบี” แปลว่าอาจารย์ เก่งในเรื่องศาสนศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้ เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า บางคนก็บอกว่าเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมาทำหมายสำคัญให้กับมนุษย์กลับใจใหม่เฉยๆ บางคนก็บอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  แต่ไม่ได้มาอยู่ในสภาพของมนุษย์ เป็นพระเจ้าจริงๆ มาจริงๆ

            สรุป ก็คือต่อต้านว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้า  หรือพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าบอกว่าจะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ ก็คือพระผู้ช่วยให้รอดเพียงผู้เดียว ที่พระเจ้าส่งมา ซึ่งบอกไว้ในอดีตแล้ว เผยพระวจนะไว้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป นี่บิดไปเรื่อยๆ ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย การปฏิเสธว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์จริงๆ นั้น และไม่เชื่อว่าตนเองเป็นคนบาป ถามว่าทำไมเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะว่านี่คือหัวใจของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่เป็นคนบาปอยู่ มนุษย์ต้องการหมอ มนุษย์ต้องรู้ว่าตัวเองป่วย  ตัวเองเป็นคนบาป ต้องการหมอ และหมอ ก็คือพระเยซูคริสต์

            เพราะฉะนั้น เมื่อปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่เป็นคนบาป ก็จบกัน  ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าก็จบกัน เพราะหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือพระเจ้าส่งพระบุตรของพระองค์  คือพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดในสภาพของมนุษย์ มนุษย์จริงๆ  เพื่อว่าจะได้เป็นตัวแทนแบกรับบาปทั้งปวงของมนุษย์ทั้งหลาย แล้วก็เป็นตัวแทนของมนุษย์ ตายไปพร้อมกับบาป บนไม้กางเขน  เพื่อมวลมนุษย์จะได้พ้นจากความบาปนั้น และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 มันต้องต่อเนื่องกันอย่างนี้

            ในช่วงนั้นมีผู้ต่อต้านแบบนี้  อย่างที่ตะกี้นี้บอก หลายอย่าง หลายแบบ แต่แบบที่สำคัญที่สุด  คือแบบที่ดูเหมือนไม่ต่อต้านเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนต่อต้าน แบบประณีประณอม อะลุ่มอล่วย ก็คือแอบเข้ามาในคริสตจักร แอบเข้ามาในกลุ่มผู้เชื่อคริสเตียน แล้วอ้างตัวเองว่าเป็น คริสเตียน  ก็คือกลุ่มลัทธิหนึ่งที่มีชื่อว่านอสซิส หรือนอสติก

            พวกนอสติก คือผู้ที่มีมาก่อน ที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ลัทธินี้ เชื่อในเรื่องโลกวิญญาณเป็นพิเศษ เชื่อในความรอดในโลกวิญญาณ เหมือนกับคริสเตียน เชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน แต่ความเชื่อหนึ่งของเขา คือวัตถุเป็นโลกไร้สาระ  เหมือนโลกแห่งภาพลวงตา  ไม่เป็นอยู่จริง ไม่นานโลกวัตถุ ซึ่งรวมทั้งร่างกายของมนุษย์ ก็จะต้องสูญสิ้นไป ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่จะไปยุ่งกับมัน  เพราะฉะนั้น ทำบาปอะไรก็ได้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ตายไปแล้ว ไม่ได้สำคัญ สำคัญที่สุด เรียนรู้ความลึกซึ้ง ความล้ำลึกแห่งความรู้ทางโลกวิญญาณ  ความรู้ตัวนี้  เรียกว่านอสซิส มาจากคำว่า “นอส” ที่แปลว่าความรู้ ต้องรู้เรื่องโลกวิญญาณจริงๆ มันลึกลับมาก  ต้องเรียนรู้จากพระเจ้าโดยตรงเลย ถึงจะได้รับความรอดของโลกวิญญาณ ส่วนมนุษย์เป็นคนบาปนั้น ไม่มีจริง ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป แต่หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง เขายังเชื่อเหมือนกับคริสเตียนอยู่ ก็คือเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน  พอมองเห็นภาพไหม?

            ในหนังสือยอห์น เรียกพวกนอสซิสว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ เคยได้ยินใช่ไหม?  พวกต่อต้านพระคริสต์ หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกแอนตี้ไคร์ซ คือคนที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าตระเตรียมไว้ ส่งมา เพราะฉะนั้น พวกนอสซิสพวกนี้ ก็คือพวกที่แอบเข้ามาในคริสตจักร แล้วก็มาชักชวนให้ผู้เชื่อจริงๆ ผู้เชื่อแท้ๆ หลงไปเชื่อในลัทธิคำสอนของเขา

            ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่า … “นี่เธอก็เป็นคริสเตียน ฉันก็เป็นคริสเตียนเหมือนกัน ฉันเชื่อพระเจ้าเหมือนกัน พระเยซูฉันก็เชื่อ แต่พระเยซูไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก  ฉันจะบอกให้ฟังความจริง พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ แต่ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พระองค์มาในโลกใบนี้ มาในลักษณะเป็นวิญญาณ เป็นภาพเหมือน เป็นแสงสว่าง ร่างกายเป็นแบบวิญญาณ ไม่ใช่ร่างกายแบบเนื้อหนัง แบบเราๆ อย่างนี้หรอก เพราะร่างกายแบบเราๆ มันสกปรก  โสโครก ไร้สาระ พระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์อันต่ำต้อยอย่างนี้หรอก เป็นไปไม่ได้ เห็นไหม? ร่างกายนี้ ก็เหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่ง  เดี๋ยวมันก็ตายไปแล้ว  ทำบาป ทำอะไรต่างๆ มันสกปรก พระเยซูไม่มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้หรอก  ไม่มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ที่ต่ำต้อยอย่างนี้หรอก”

            คริสเตียนที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ในหลักการของข่าวประเสริฐว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะโยงมาถึงเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง ในการรับบาปไว้ ก็เสียหาย เห็นอะไรบางอย่างไหม?

            ข้อมูลเท็จเหล่านี้ มันแทรกซึมเข้ามาอยู่ในคริสตจักร คริสตจักรสมัยก่อน ไม่ได้เป็นคริสตจักรอย่างนี้หรอก ส่วนใหญ่จะเป็นคริสตจักรตามบ้าน ตามชุมชน ตามกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย  ซึ่งกำลังเกิดเป็นดอกเห็ด อย่างที่บอก ความเชื่ออย่างนี้ มันก็เข้าไปซึมอยู่ในกลุ่มของคริสเตียนแท้ๆ จริงๆ ทำให้เกิดการสับสน และอันตรายมากๆ สำหรับความคิดอย่างนี้  ซึ่งเป็นหน้าที่ของศิษยาภิบาล ผู้อาวุโสที่ดูแลคริสตจักร  ก็คืออัครทูตยอห์น ในขณะนั้น  ก็เลยต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา

            แล้วก็เริ่มต้นพูดถึงเรื่องนี้ก่อน คือตั้งแต่บทที่ 1 เลย  เพราะในกลุ่มคนที่เป็นคริสเตียน  ในคริสตจักรในขณะนั้น หลายสิ่งหลายอย่าง มันอาจจะไม่เหมือนกัน ในความคิดของคริสเตียน ในขณะนั้น  แต่มันยังพอรับกันได้บางอย่าง ยังอะลุ่มอล่วยกันได้  อย่างเช่น อาจจะเป็นคริสเตียนเหมือนกัน เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เหมือนกัน แต่อาจจะไม่คิดเหมือนกัน คือกินเนื้อสัตว์ที่มีมลทิน ตามบัญญัติของโมเสสได้ไหม? กินได้หรือไม่ได้ บางคนก็บอกว่ากินได้  บางคนก็บอกกินไม่ได้ อันนี้ไม่เป็นไร?  ไม่ได้สำคัญมากนัก  หรือจะนมัสการพระเจ้าวันสะบาโต วันอาทิตย์ดีหรือวันเสาร์ดี บางคนก็บอกวันอาทิตย์ดี บางคนก็บอกวันเสาร์ดี อย่างนี้ก็ไม่สำคัญ หรือเนื้อที่เขาถวายรูปเคารพแล้ว เอามาขายตลาด เอามากินได้ไหม? กินได้ไม่ได้ อันนี้ไม่สำคัญ

            แต่เรื่องที่จะมาบอกว่าไม่เหมือนกัน ตรงที่พระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้า  หรือเป็นพระเจ้า ไม่ได้มาเกิดในร่างกายของมนุษย์จริงๆ หรือปฏิเสธว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นคนบาปจริงๆ อันนี้ กระทบข่าวดีโดยตรง รับไม่ได้เลยจริงๆ  เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีหน้าที่ดูแล ก็คืออัครทูต ก็เลยต้องเขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อยืนยัน ประกาศความจริงในเรื่องของพวกนอกรีต ที่เอาเข้ามาในคริสตจักรเหล่านั้น  ให้เขาได้เห็นว่านี่เรื่องจริงมันเป็นอย่างนี้  เราจะเป็นพยานให้ เราเป็นผู้ได้เห็นกับตา ได้รู้กับตัว ได้จับมากับมือเลยว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างเราจริงๆ นึกออกใช่ไหม? พอเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจะสนุกแล้ว

            เพราะในหนังสือของอาจารย์ยอห์นจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสถานะ ความเป็นอยู่ในโลกวิญญาณของคริสเตียนว่าเป็นเช่นไร? ซึ่งลึกซึ้งมาก สนุกมากเลย ซึ่งอาจารย์ยอห์น อย่างที่บอก ใกล้ชิดกับพระเยซูมาก เดือดร้อนใจในเรื่องนี้มาก เลยเป็นพยานยืนยันเริ่มต้นเลย ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 ลองอ่านกันดู เมื่อเรารู้พื้นฐานนี้แล้ว เรามาดูว่าอาจารย์ยอห์น หรืออัครทูตยอห์น แย้งหรือเป็นพยานยืนยัน ประกาศความจริงในเรื่องนี้ ให้กับพวกนอกรีต พวกที่ไม่ใช่คริสเตียนแท้อย่างไร?  อ่านภายใต้เบื้องหลังนี้ แล้วท่านจะเข้าใจ จะเห็นชัดขึ้นว่าทำไมเริ่มต้นจดหมายต้องเขียนอย่างนี้ด้วย ปกติจดหมายฝากอื่นๆ เริ่มต้นจดหมายจะไม่เขียนลักษณะอย่างนี้ คือลักษณะของการเริ่มเขียน ก็คือทักทายกัน ให้พระพรกัน  ทำไมอันนี้ต้องเขียนอย่างนี้ด้วย  ก็เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก เขียนถึงคริสเตียนที่ไม่ใช่คริสเตียนแท้  ที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียน  โดยเฉพาะพวกที่ถือลัทธินอสซิส 1 ยอห์น 1:1-2 …

        1 ยอห์น 1:1-2 “1 เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมา ตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น คือพระวาทะแห่งชีวิต 2 และชีวิตที่ว่านี้ ได้ปรากฏขึ้นแล้ว เราได้เห็นและได้เป็นพยาน และเราประกาศชีวิตนิรันดร์นี้ ให้กับพวกท่าน เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่กับพระบิดา และมาปรากฏแก่เรา”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่า … “เราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และได้จับต้องด้วยมือของเรา”

            จับใคร? เห็นใคร? ได้ยินใคร? พระวาทะแห่งชีวิต คือพระวาทะแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่อยู่เริ่มต้นตั้งแต่ปฐมกาล ก็คือพระเยซูคริสต์ ในหนังสือยอห์นอีกฉบับหนึ่ง ที่เขียนไว้ ก็เริ่มต้นอย่างนี้ว่าพระเยซูคริสต์ คือพระวาทะ ยอห์นกำลังเป็นพยานต่อสู้กับความเชื่อผิดๆ ของพวกนอสติกหรือนอสซิสนี้ ยอห์นกำลังต่อสู้กับพวกนอกรีต ด้วยความจริงที่ว่าพระเจ้าเป็นชีวิตนิรันดร์ พระเยซูเป็นชีวิตนิรันดร์ ดำรงอยู่ก่อนสิ่งทั้งมวล  ก่อนจะสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย พระองค์ทรงอยู่ก่อนแล้ว

            ยอห์นกำลังบอกพวกเขาว่าเราได้ยินเสียงของพระเยซู เราได้เห็นพระองค์ด้วยตาทางกายภาพ นี่แหละ เราเห็นเลย  เราจับตาดูพระองค์ ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงปรากฏตัวให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ใช่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน พระองค์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ  ด้วยร่างกายที่เป็นมนุษย์ที่เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ตอนที่ยังไม่เป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ก็เป็นมนุษย์จริงๆ  ในสภาพที่เป็นพระเจ้าอยู่ด้วย พระองค์ไม่ใช่ผี พระองค์ไม่ใช่วิญญาณที่ลอยไปลอยมา พระองค์ไม่ใช่ลำแสง พวกนอสซิส บอกว่าเป็น พระองค์เป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เหมือนเราๆ นี่เลย ผมจับกับมือเลย ดูด้วยตาเลย แล้วพระองค์ก็พูดกับพวกเรา (หมายถึงอัครทูต 12 คนที่อยู่ใกล้ชิด) ว่าให้พวกเราสัมผัสร่างกายของพระองค์ อัครสาวกก็ได้โอบกอดพระองค์ แตะต้องพระองค์จริงๆ  และรู้ว่าพระองค์มีร่างกายจริงๆ  โดยเฉพาะอย่างนี้ ข้าพเจ้า คืออัครทูตยอห์น ตอนที่ทำพิธีมหาสนิทก่อนที่จะถูกตรึงบนกางเขน พระคัมภีร์บันทึกว่ายอห์นไปซบอกของพระเยซู ข้าพเจ้านอนอยู่ตรงนั้นจริงๆ นอนอยู่ที่อกของพระเจ้า ที่มีนามว่าพระเยซูคริสต์จริงๆ  พระองค์เป็นเนื้อหนัง เป็นร่างกายจริงๆ พูดอย่างสุภาพให้บรรดาคริสเตียนปลอมทั้งหลาย ให้เขาได้รู้ความจริงเหล่านี้

            ในข้อที่ 2 ที่บอกว่า “และชีวิตที่ว่านี้ได้ปรากฏขึ้นแล้ว” ชีวิตที่ว่านี้ คือชีวิตนิรันดร์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้า พระเจ้าเป็นชีวิตนิรันดร์ พระเยซูเป็นพระเจ้า ก็เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า คุ้นๆ ไหมชีวิตนิรันดร์ ผู้ใดวางใจพระบุตร พระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ผู้นั้นได้รับชีวิตนิรันดร์ เราผู้เป็นคริสเตียนแท้ๆ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็ได้รับชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์นั่นเอง

            ชีวิตที่ว่า คือพระเยซูได้ปรากฏขึ้นแล้ว เราคืออัครทูต 12 คนนั้น เราได้เห็นและได้เป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นี้ ตั้งแต่วันเพ็นเตคอสมาแล้ว เราประกาศว่าเราเห็นกับตา เห็นตอนที่พระองค์ทรงเป็นมนุษย์อยู่ เห็นตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เป็นมนุษย์ที่เป็นขึ้นจากความตาย เห็นพระองค์ลอยต่อหน้าต่อตาขึ้นไปในสวรรค์ เห็นพระองค์จริงๆ เป็นชีวิตนิรันดร์ที่ดำรงอยู่กับพระบิดา และมาปรากฏแก่เรา  ก็คือเป็นชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดามาตั้งแต่นานนมแล้ว  และลงมาเกิดเป็นมนุษย์  และมาอยู่กับเรา ก็คือมาเป็นมนุษย์เหมือนเราๆ นี้

            อาจารย์ยอห์นมาเป็นพยานยืนยันในการเป็นพระเจ้า มาเกิดในสภาพมนุษย์จริงๆ เราเห็นกับตาจริงๆ  พระคริสต์ทรงเป็นชีวิตนิรันดร์อยู่กับพระบิดาจริงๆ ก่อนหน้านั้น  แต่ในช่วงหลัง ช่วงเวลาหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ พระเจ้าองค์นี้ คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรนี้ ทรงมาเกิด ปรากฏต่อเราในร่างมนุษย์ และเป็นมนุษย์อยู่ เป็นเวลา 33 ปี พระองค์ทรงปรากฏแก่เรา 12 คน เห็นกับตา สนิทสนมกันใน 3 ปีนั้น  และที่เรากำลังประกาศอยู่นี้ เป็นสิ่งที่เราได้เห็นกับตาจริงๆ  และได้ยินกับพระองค์จริงๆ ก็คือสิ่งที่เราประกาศให้กับท่าน  เรื่องข่าวดีนั้น  เราไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าพูดกับเรา ให้พระเยซูบอกเรา สอนเรา โดยร่างกายของพระองค์ ปากของพระองค์ พูด เราได้ยินจากหูเนื้อเราได้ยินจริงๆ ตาเราได้เห็นจริงๆ ตาเราได้สัมผัสจริงๆ 1 ยอห์น 1:3 …

        1 ยอห์น 1:3 “เราประกาศให้ท่านทราบถึงสิ่งที่เราได้เห็นและได้ยิน เพื่อท่านจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเราด้วย และการสามัคคีธรรมกับเรา คือการสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์”

            “เราประกาศสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยิน จากพระเยซูคริสต์บอกเรา  พูดกับเรา อยู่กับเรา  ประกาศให้ท่านทราบ” ท่าน ในที่นี้ คือพวกนอสติก พวกที่อ้างว่ารู้จักพระเจ้า แต่ไม่ได้เป็นคริสเตียนจริงๆ “ท่านจะได้ร่วม” ขณะนี้เขาได้ร่วมอยู่หรือเปล่า?  “ท่านจะได้ร่วม” แสดงว่าตอนนี้เขาไม่ได้ร่วม พูดง่ายๆ ว่าท่านจะได้เป็นคริสเตียนแท้ๆ สักทีหนึ่ง

            “ท่านจะได้ร่วม” ก็คือคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  ก็คือพวกนอสซีสเหล่านี้  ที่อ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียนแล้ว ถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านจะได้สามัคคีธรรมกับเราด้วย จะได้เข้ามาอยู่กับเรา ตอนนี้ท่านไม่ใช่

            คำว่า “สามัคคีธรรม” คืออะไร? สามัคคีธรรม คือในตอนนี้  พวกเขาก็สามัคคีธรรมกันทางด้านร่างกาย ทางตามองเห็นแล้ว  ก็คือเขาเข้ามาอยู่ในคริสตจักร เข้ามาพูดคุย อย่างนี้เราเรียกว่าสามัคคีธรรมใช่ไหม? แต่คำพูดในพระคัมภีร์ตอนนี้ ที่บันทึกไว้ใน 1 ยอห์น 1:3  หมายถึงสามัคคีธรรมทางวิญญาณ ไม่ได้หมายถึงสามัคคีธรรมอย่างนี้ อย่างที่เรามาคริสตจักร เขาอยู่ในคริสตจักรอยู่แล้ว แต่เขาไม่ใช่คริสเตียนแท้จริง เขาอ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่เขาก็สามัคคีธรรมแบบมนุษย์ อยู่ด้วยกัน นึกออกไหม?  เขานึกว่าเขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา  แต่อาจารย์ยอห์นบอกไม่ใช่เลย เข้าใจผิดแล้ว

            คำว่า “สามัคคีธรรม” ตัวนี้ มาจากคำว่า “koinonia (koy-nohn-ee’-ah) (คอย-โน-เนีย)” เป็นภาษากรีก ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Fellowship” ความหมาย คือการเข้าส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์ เป็นวิญญาณเดียวกัน  มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง รู้จักกัน ผูกพันกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน (ทางวิญญาณ) ตรงนี้อาจารย์ยอห์นกำลังหมายถึงอย่างนี้

            เราประกาศความจริงเหล่านี้ให้กับท่าน เพื่อท่านจะได้เชื่อเรา  แล้วจะได้เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเราในพระเยซูคริสต์

            พวกอัครสาวกได้ประกาศเป็นพยาน เรื่องข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประกาศข่าวดีนี้ แก่ผู้ที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้ต้อนรับข่าวดีของพระเยซู เพื่อว่าผู้ที่ยังไม่เชื่อนั้น ก็คือพวกนอสซีสนั้นจะได้กลับใจใหม่ หันมาต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด หันมาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ มาช่วยเขาได้รับความรอดจริงๆ พวกอัครสาวกได้ประกาศสิ่งเหล่านี้ ให้กับพวกนอสซิสได้เข้าใจ  เพื่อพวกเขาจะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเข้าไปสู่การสามัคคีธรรมทางวิญญาณ คือวิญญาณของพวกเขาจะได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของผู้ที่ได้เชื่อในข่าวดี และได้บังเกิดใหม่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ก็คือคริสเตียนแท้ทั้งหลาย รวมทั้งอัครสาวกเหล่านั้น  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า 3 พระภาค เพื่อพวกท่านจะได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเรา

            และเพื่อว่าพวกเขาทั้งหลาย พวกนอสซีสนั้น จะได้มาเชื่อ และเป็นผู้เชื่อใหม่ จะได้รู้จักสนิทสนมกับพระเจ้า  มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นเดียวกับเราทั้งหลาย นี่คือความหมายของ 1 ยอห์น 1:3 จะเห็นภาพชัดเจนเลย 1 ยอห์น 1:4 …

        1 ยอห์น 1:4 “และเราเขียนข้อความเหล่านี้ เพื่อความชื่นชมยินดีของเรา (และท่าน) จะได้เต็มเปี่ยม”

            เราแจ้งข้อความเหล่านี้ คือเราประกาศความจริงให้กับท่านนะ  เพื่อว่าความชื่นชมยินดีของเรา ผู้ประกาศ และของท่าน ผู้ที่ถูกประกาศ  ที่ท่านได้รับฟัง  เพื่อท่านจะได้เชื่อและจะได้ชื่นชมยินดี  และเราก็ชื่นชมยินดีด้วย เราชื่นชมยินดี เพราะว่าเราได้ประกาศ และเราได้เห็นคนรับเชื่อและได้รับความรอด เหมือนเราทุกวันนี้ เราประกาศ แล้วคนรับเชื่อ หรือใครประกาศก็ตาม แล้วเขารับเชื่อ เราดีใจไหม? นี่แหละเราดีใจ และคนที่เชื่อใหม่ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขาดีใจไหม? เขาดีใจ เพราะฉะนั้น เราทั้งสองคนจะได้ดีใจด้วยกัน จากข่าวประเสริฐนี้ นี่มันแปลว่าอย่างนี้ 1 ยอห์น 1:5 …

        1 ยอห์น 1:5 “แล้วนี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และกำลังประกาศแก่ท่านทั้งหลายในขณะนี้ คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และไม่​มี​ความมืดอยู่ในพระองค์​เลย”

            เราบอกความจริงที่เราได้ยินจากพระองค์ เห็นไหม?  เราได้ยินจากใคร? จากพระเยซู เราก็ได้ยินจากพระองค์ พูดว่าอย่างไร? เราได้ยินพระเยซูพูดกับเราว่าพระองค์ทรงเป็นความสว่าง เราไม่ได้คิดเอง  เราไม่ได้อธิษฐานด้วย พระเจ้าในรูปของพระเยซูคริสต์ พูดกับเราเองว่าพระองค์เป็นความสว่าง พระองค์บอกพระองค์เป็นพระเจ้าด้วย ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นพระบิดา จงวางใจในเรา เพื่อจะได้ไปพบพระบิดาได้ พระองค์เป็นผู้พูดกับเราทั้งนั้น  เราในที่นี้ คืออัครทูตเหล่านั้น  ใน 1 ยอห์น 1:6 จึงได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 1:6 “ถ้าเราอ้างว่ามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ แต่ยังดำเนินในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตโดยความจริง”

            “ถ้าเราดำเนินชีวิตในความมืด แต่อ้างว่ามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ ทั้งๆ ที่เราไม่มี เพราะเรายังอยู่ในความบาปมืด เพราะเราปฏิเสธความจริงว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ยอมถ่อมตนมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนในการไถ่บาป ให้มนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ทั้งปวงล้วนเป็นคนบาป  นี่เราปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ แล้วเราจะมาบอกว่าเราสามัคคีธรรมอยู่กับพระองค์ด้วย โกหก  พวกแอบอ้าง ข้อ 7 บอกว่า …

        1 ยอห์น 1:7 “แต่​ถ้า​เรา​ดำเนิน​อยู่​ใน​ความ​สว่างเหมือน​อย่าง​พระ​องค์​ สถิต​อยู่​ใน​ความ​สว่าง เรา​ก็​ร่วม​สามัคคี​ธรรม​ซึ่ง​กัน​และ​กัน และ​พระ​โลหิต​ของ​พระ​เยซู​คริสต์ ​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์​ได้​ชำระ​เรา​ทั้ง​หลาย ​ให้​ปราศ​จาก​บาป​ทั้ง​สิ้น”

            1 ยอห์น 1:7 บอกว่าแต่ถ้าเราเป็นคริสเตียนจริงๆ เราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์สถิตอยู่ในความสว่าง เราก็อยู่ในความสว่าง พระเยซูก็อยู่ในความสว่าง เหมือนกันเลย นั่นแหละ เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน ก็คือร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู และผู้เชื่อคนอื่นๆ  ที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ  ก็เป็นแสงสว่าง ต่างคนเป็นต่างเป็นแสงสว่าง มารวมกันเป็นแสงสว่าง

            และเป็นคริสเตียนแท้ๆ และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ได้ชำระเราทั้งหลาย ให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น คือบาปตั้งแต่บรรพบุรุษ คือบาปตะกี้นี้  เขาปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นคนบาป ก็ถูกยกออก และบาปในการกระทำ คือบาปปัจจุบันที่คุณ มาเชื่อเป็นคริสเตียนอยู่ อาจจะพลั้งไปทำบาป ก็ได้รับการยกทั้งสิ้น ได้รับการอภัยทั้งหมดเลย

            พูดง่ายๆ ว่าถ้าเรา “เรา” ในที่นี้ ก็คือพวกนอสติก พวกที่อ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้เป็นจริงๆ ถ้าพวกนอสซิสที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน  ถ้าเขาได้เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นกับเขา เขาจะไม่เป็นเช่นนี้

            สิ่งอะไรที่เกิดขึ้นกับเขา ถ้าเกิดคุณเป็นคริสเตียนจริงๆ คริสเตียนก็ต้องอยู่ในความสว่าง ไม่ใช่อยู่ในความมืดอย่างนี้ ความมืดซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านพระคริสต์ เป็นศัตรูกับความสว่าง  เป็นความหลอกลวง เป็นความเท็จ  ต่อต้านความจริง คือพระคริสต์ เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกัน  แบบที่คุณกำลังทำอยู่นี้ มันตรงกันข้ามกัน คุณไม่ใช่คริสเตียนแท้ คริสเตียนแท้ๆ เขาจะอยู่ในความสว่าง เหมือนพระเยซูคริสต์อยู่ในความสว่าง  มันหมายถึงอย่างนี้  ความสว่างเป็นสถานที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่ง ที่เป็นความสว่าง ไม่ใช่ความประพฤติ เป็นความสว่าง

            ความสว่างเป็นสถานที่ที่อยู่อาศัย อยู่ในความสว่างหรือไม่อยู่ในความสว่าง ก็คืออยู่ในความมืด มีอยู่ 2 แห่ง จะอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่หนึ่ง  เราจะอยู่ในความสว่าง เราก็ไม่ได้อยู่ในความมืด  ถ้าเราอยู่ในความมืด เราก็ไม่ได้อยู่ในความสว่าง ไม่ใช่เราอยู่ในความสว่างครึ่งหนึ่ง แล้วอยู่ในความมืดครึ่งหนึ่ง  หรืออยู่ในความสว่าง 20% แล้วอีก 80% อยู่ในความมืด  ไม่ใช่ ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ สำหรับอาศัยอยู่ในความสว่างหรือในความมืด อาจารย์ยอห์นจะพูดให้เห็นชัดเจน เด็ดขาดเลย  แต่การเขียนของอาจารย์ยอห์นต่อไปด้วยว่าแบ่งกันเด็ดขาด อาณาจักรไหน? อาณาจักรนั้นเลย อย่างเช่นใน 1  ยอห์น 4:17 …

        1 ยอห์น 4:17 “เช่นนี้ ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะในโลกนี้ เราเป็นเหมือนพระองค์”

            ขณะที่เราอยู่บนโลกนี้  กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราได้เป็นเหมือนพระเยซู คือเป็นความรัก ความสว่าง เหมือนที่พระองค์เป็นความสว่าง อาศัยอยู่ในความสว่าง  พูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือเราเป็นความสว่างเท่าๆ กับพระองค์เป็นความสว่าง  และเท่าๆ กับบรรดาคริสเตียนแท้ๆ ทั้งหลาย ที่อยู่ในความสว่างเช่นเดียวกัน พระองค์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น เหมือนกันไม่มีผิดเลย

            พระคัมภีร์บอกเราอีกว่าความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความเหมือนกันนี้ พระคัมภีร์อธิบายให้เราฟังว่ามีลักษณะอย่างไร? เพื่อเราจะได้เข้าใจเท่าที่ทำได้ เพราะนั่นเป็นสถานะความจริงในโลกวิญญาณ อาจจะเข้าใจยากหน่อยหนึ่ง พระคัมภีร์จึงยกตัวอย่างว่าพระเยซูเป็นศีรษะ เราเป็นร่างกาย เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง อยู่ในร่างกายของพระองค์ พระองค์เป็นชีวิตนิรันดร์ เราก็เป็นชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระองค์ พระเยซูเป็นต้นไม้แห่งความชอบธรรม เราก็เป็นกิ่งที่ต่อติดอยู่ในพระองค์ เราจึงเป็นความชอบธรรมเหมือนพระองค์

            พระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอกของพระวิหารฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ที่เรียกว่าคริสตจักรทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือประชากรของพระเจ้า เราก็เป็นศิลา เป็นก้อนหนึ่งอยู่ในพระวิหาร เป็นประชากรของพระเจ้าคนหนึ่ง อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน นี่แปลความเป็นหนึ่ง หมายความว่าอย่างนี้  แล้วยังบันทึกไว้ในหนังสือยอห์น 17:20-23 บอกว่าอย่างนี้

            บอกว่า … “คริสเตียนเราอยู่ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในเรา  และเรากับพระเยซูอยู่ในพระบิดา เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่ชัดเจนเลย โรม 8:38-39 จึงได้บอกอย่างนี้ สรุปว่า … “ไม่มีใครสามารถพรากเราออกไปจากสถานที่นี้ สถานะนี้ได้เลย ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีใครมาเอาเราไปไหนได้เลย  เราอยู่ที่นี่ แล้วจะอยู่ที่นี่ตลอดไป เอเมนไหม? โคโลสี 1:12-14 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:12-14 “12 อีก​ทั้ง​ขอบคุณ​พระ​บิดา ​ผู้​โปรด​ให้​ท่าน​มี​ส่วน​ร่วม​ ได้​รับ​มรดก​ ของ​บรรดา​ผู้​บริสุทธิ์​ของ​พระ​เจ้า​ ใน​อาณาจักร​แห่ง​ความ​สว่าง 13 ด้วย​ว่าพระ​องค์​ได้​ช่วย​เราให้​พ้น​จาก​อำนาจ​ของ​ความ​มืด และ​นำ​เรา​สู่​อาณาจักร​แห่ง​พระ​บุตร ​ผู้​เป็น​ที่รัก​ของ​พระ​องค์ 14 เรา​ได้​รับ​การ​ไถ่ คือ​การ​ยก​โทษ​บาป​ทั้งปวงจาก​พระ​องค์”

            เราจะอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด  อยู่ในที่ใดที่หนึ่ง  ไม่มีการอยู่ทั้งสองข้าง และไม่มีไปๆ มาๆ อยู่ในความสว่าง 2 ปี ประพฤติไม่ดี กลับกลายเป็นเด้งไปอยู่ในความมืด 2 ปี กลับใจใหม่ กลับไปอยู่ในความสว่างอีก 1 ปี ประพฤติตัวไม่ดี หล่นมาอยู่ในความมืด ไม่มี แต่ทั้งสองอัน อยู่ที่ไหน? ก็ที่นั่น ยกเว้นอย่างเดียวว่าอยู่ในความมืด ถ้ายังไม่ตายจากโลกนี้  ยังมีโอกาส คือเปิดใจต้อนรับ พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดทันทีทันใดนั้น พระเจ้าก็จะย้ายท่านออกจากอาณาจักรของความมืด  มาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และเมื่อท่านอยู่ในความสว่าง ท่านก็จะได้รับการไถ่ คือการยกโทษบาปทั้งปวง ทั้งสิ้นทันที

            การยกโทษบาปทั้งปวงของท่าน เพราะว่าท่านเป็นคนบาป จึงต้องยกโทษบาปให้กับท่านทั้งปวง ทั้งหมด ทั้งสิ้น ก็คือทั้งบาปที่ท่านเป็นคนบาป ในวิญญาณ ถูกยก ถูกลบออก ทั้งบาปที่ท่านเป็น คริสเตียนแล้ว ยังประพฤติบางอย่าง ล้มลงในความบาป ล้มลงในการล่อลวง ทำผิดอะไรบ้าง ก็ถูกลบออกไปหมดสิ้น ทั้งบาปอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่ท่านกระทำ ได้ถูกลบออกไปหมดเลย เพราะวิญญาณของท่านได้อยู่ในความสว่างเรียบร้อยแล้ว เอเมน

            ทั้งหมดนี้ คือความเชื่อ คือความจริงของสถานะของคริสเตียนแท้ๆ ในโลกวิญญาณต้องเป็นอย่างนี้ อาจารย์ยอห์นอธิบายให้ฟังอย่างนี้  เพื่อให้คริสเตียนได้เห็นชัด  เพื่อว่า คริสเตียนที่ได้ยินได้ฟัง ในขณะนั้น ในช่วงนั้น ถูกข่มเหงรังแกมาก ถูกทรมานอย่างแสนสาหัส เขาจะได้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไปในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาอยู่ที่นี่แล้ว เขาไม่ได้ไปไหนเลย เขาเป็นความสว่าง พระเจ้าอยู่กับเขา เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ถ้าเขาจากโลกนี้ไป  เขาก็ไปอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม เพียงแต่ได้รับร่างกายใหม่ เขาถึงทนอยู่กับความเลวร้าย แห่งสถานการณ์ การข่มเหงคริสเตียน ในขณะนั้นได้ ในขณะเดียวกัน นี่คือความจริงที่จะประกาศให้คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน ได้เห็นชัดเจนว่าท่านไม่ได้เป็นคริสเตียนอย่างแท้จริง เพราะว่าท่านปฏิเสธพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์

            เราจะเห็นชัดเจนว่าความรอดเริ่มต้นจากการยอมรับตนเองว่าเป็นคนบาป สำคัญที่สุดเลย พระเยซูบอกคนป่วยต้องการหมอ ท่านบอกว่าท่านไม่ป่วย ใครจะไปรักษาท่าน ท่านไม่ไปหาหมอ เพราะฉะนั้น เริ่มต้นจากการยอมรับตัวเองว่าเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยตัวเองได้  ไม่ใช่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาปเฉยๆ ไม่อย่างนั้น ท่านยอมรับว่าตัวเองป่วย ฉันจะรักษาตนเอง ฉันจะใช้สมุนไพรกิน รักษาตัวเอง โรคของคุณหนักเกินกว่าที่จะรักษาด้วยตนเองได้ ท่านต้องไปหาหมอ เช่นเดียวกัน ท่านเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ท่านต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้เสียก่อน ต้องการความช่วยเหลือจากใคร? มีอยู่ผู้เดียวที่ช่วยได้ ก็คือมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า มาเกิดอยู่ในสภาพมนุษย์ ช่วยท่านได้ มีผู้เดียวเท่านั้น นอกนั้น เป็นมนุษย์คนบาปทั้งสิ้น ยกเว้นพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ช่วยท่านได้ ตรงนี้ เห็นไหม? ท่านต้องยอมรับความจริงตรงนี้ 1 ยอห์น 1:8 จึงบันทึกอย่างนี้ อย่างชัดเจน บอกให้กับคนที่เป็นนอสซีส บอกให้กับคนที่ปฏิเสธต่อต้านพระคริสต์ บอกให้กับคนที่เป็นแอนตี้ไคร์ซได้รู้ความจริงอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 1:8 “ถ้า​เรา (มนุษย์ผู้ใด) ปฏิเสธว่า​เรา​ไม่​ได้เป็นคนบาป เรา​ (เขา) ก็​หลอกลวง​ตนเอง และ​ไม่​มี​ความ​จริง​ (พระคริสต์ผู้เป็นความจริง และเป็นความสว่าง) อยู่​ใน​ตัว​เขา”

            อันนี้ชัดเจนมาก หลายครั้งในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึก เขียนถึงคริสเตียน แต่ก็มีหลายครั้งหลายคราวที่เขาใช้สรรพนามหลายๆ อย่างในนี้ พูดถึงคนที่ไม่เชื่อด้วย พูดถึงคนทั่วๆ ไปด้วย อย่างเช่นบรรดามนุษย์ทั้งหลาย ผู้ใดก็ตาม ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง รวมทั้งคนเชื่อ ไม่เชื่อ นี่คือกฎธรรมชาติ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ในนี้ก็เช่นเดียวกัน  เราจึงเห็นบริบทมา ตั้งแต่ข้อ 1 มาถึงข้อ 8 แล้ว “ถ้าเรา” ก็คือมนุษย์ผู้ใด ใครก็ตามปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นคนบาป  เราไม่ได้เป็นคนบาป ก็คือผู้ใดก็ตามนั้น มนุษย์คนนั้น ที่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนบาป เราก็หลอกลวงตนเอง ก็คือเขาคนนั้นที่ปฏิเสธนั้น  ก็กำลังหลอกลวงตัวเองอยู่ และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา ความจริง ก็คือพระคริสต์ ซึ่งเป็นความจริงและแสงสว่าง เขาก็ไม่มีความจริง ไม่มีความสว่างอยู่ในตัวเขา เห็นชัดเลย มนุษย์คนใดก็ตาม  ปฏิเสธว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป เขาก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริง คือไม่มีพระคริสต์อยู่ในเรา ไม่มีความสว่างอยู่ในเขา ถูกหลอก ชัดไหม?

            สรุป ก็คือเพราะท่านทั้งหลาย พวกนอสติกเอ๋ย ที่หลงเชื่อผิดๆ ที่ปฏิเสธความจริงเหล่านี้ ปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เพื่อไถ่บาปให้กับคนทั้งปวง รวมทั้งตัวท่าน ซึ่งเป็นคนบาปด้วย ท่านปฏิเสธอย่างนี้ใช่ไหม? ท่านจึงยังคงอาศัยอยู่ในความมืด ไม่ใช่ความสว่างอย่างที่ท่านคิด ท่านอยู่ในการถูกหลอกลวงในความเท็จ ไม่ใช่ความจริง ท่านกำลังอยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษให้ถึงตาย เนื่องจากโทษของความบาปของท่านอยู่เลย ออกจากร่างกายนี้ไป ท่านก็ต้องลงไปอยู่ในการถูกพิพากษา ลงไปอยู่ในนรก  เราไม่อยากจะเห็นท่านเป็นอย่างนั้น เราอยากประกาศข่าวดีให้กับท่าน อาจารย์ยอห์นกำลังพูดอย่างนี้ ชัดเจนนะ ใน 2 ยอห์น 1:1-2 อาจารย์ยอห์นได้พูดอย่างนี้ ในหนังสือเล่มเดียวกัน แต่อยู่ในบทต่อไป ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความจริงอยู่ในตัวตนของคริสเตียนแท้ ถ้าไม่ใช่คริสเตียนแท้จะไม่มีความจริงอยู่ในนั้น มีแต่ความหลอกลวง มีแต่ความโกหก มีแต่ความเท็จ ลองอ่านดู …

        2 ยอห์น 1:1-2 “1 จดหมายฉบับนี้ จากข้าพเจ้าผู้อาวุโส ถึงท่านสุภาพสตรี ที่ทรงเลือกไว้กับบุตรทั้งหลายของท่าน 2 ข้าพเจ้ารักพวกท่านทุกคนในความจริง (พระคริสต์) และไม่ใช่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้น แต่คนทั้งปวงที่รู้จักความจริง (พระคริสต์) ด้วย ข้าพเจ้ารักพวกท่าน เพราะความจริง (พระคริสต์) ซึ่งอยู่ในเราทั้งหลาย และซึ่งจะคงอยู่กับเราตลอดไป”

            อาจารย์ยอห์นเรียกตัวเองว่าผู้อาวุโส ก็คือผู้ดูแลผู้เชื่อทั้งหลายในขณะนั้น ผู้เลี้ยงนั่นเอง ก็คือพูดง่ายๆ พาสเตอร์ ศิษยาภิบาลนั่นเอง ศิษยาภิบาลอาวุโสแก่มากแล้ว แจ้งหรือเขียนจดหมายฉบับนี้ ให้กับพวกท่านทั้งหลาย ก็คือให้กับคริสเตียนแท้ๆ แล้วนะ ข้าพเจ้ารักพวกท่านทุกคนในความจริง ผมวงเล็บไว้ให้ จะได้ชัดๆ ความจริงนี้ ก็คือพระคริสต์ คือความสว่าง และไม่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้น แต่คนทั้งปวงที่รู้จักความจริง  ก็คือที่รู้จักพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ Fellowship สามัคคีธรรมกับวิญญาณกับพระคริสต์ ข้าพเจ้ารักพวกท่าน เพราะความจริง ข้าพเจ้าไม่ได้รักพวกท่านเพราะว่าเป็นมนุษย์รักท่าน  แต่ข้าพเจ้ารักท่านด้วยวิญญาณของข้าพเจ้า ก็คือที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ข้าพเจ้ารักพวกท่าน เพราะความจริง คือพระคริสต์ ซึ่งอยู่ในเราทั้งหลาย ซึ่งพระคริสต์รักท่าน เพราะว่าพระคริสต์อยู่ในผม  และพระคริสต์อยู่ในท่านด้วย  เราต่างคนต่างอยู่ในพระคริสต์ เป็นวิญญาณเดียวกัน ผมถึงรักคุณไง ไม่ใช่รักคุณ เพราะว่าคุณหน้าตาดี ไม่ใช่ เพราะคุณเป็นญาติ  ไม่ใช่ รักคุณ เพราะคุณเป็นมนุษย์  นั่นเป็นความรักธรรมดา แต่ผมรักคุณ เพราะความรักของพระเจ้าที่อยู่ภายใน  ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  และความเป็นหนึ่งเดียวกันนี่แหละ ซึ่งจะคงอยู่กับเราตลอดไป ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความรัก ความสว่าง พระคริสต์จะอยู่ในเรา เป็นของเรา อยู่ในสภาวะนี้ตลอดไป

            เรากลับมาดูใน 1 ยอห์น 1:9 มาดูสิว่าประกาศให้กับพวกนอสซิส พวกที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้เป็นจริงๆ เขาควรทำอย่างไร? อาจารย์ยอห์นพูดถึงบทสรุปว่าเพราะฉะนั้น ท่านควรจะทำอย่างไรถึงจะได้เป็นคริสเตียนแท้จริง เหมือนอย่างเรา …

        1 ยอห์น 1:9 “ถ้า​เรา (มนุษย์ผู้ใด) ยอมจำนน รับว่าเราเป็นคนบาป และเรา​สารภาพ​บาป​ของ​เรา พระ​องค์​เป็น​ผู้​รักษา​คำมั่น​สัญญา ​และ​มี​ความ​เที่ยงธรรม พระ​องค์​จะ​ยกโทษ​บาป​ทั้งหมดแก่​เรา และ​ชำระ​เรา​ให้​บริสุทธิ์  พ้น​จาก​ความ​ไม่​ชอบธรรม​ทั้ง​ปวง”

            อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าอย่างนี้ … “เพราะว่าความจริง ก็คือถ้ามนุษย์ผู้ใด มนุษย์คนใดยอมจำนนรับว่าเขานั้นเป็นคนบาป  และเขาสารภาพบาปของเขาต่อพระเจ้า พระองค์ผู้รักษาคำมั่นสัญญาและมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เขา และชำระเขาคนนั้น ที่ยอมรับให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง ทั้งสิ้นเลย ใครก็ตาม”

            พวกคุณนอสซิสใช่ไหม? คุณรีบกลับใจใหม่ซะ ยอมจำนนต่อความจริง หันหลังให้กับลัทธิหลงผิด ลัทธินอสติกนั่นแหละ แล้วมารับข่าวดี อันดับแรก เชื่อว่าท่านเป็นคนบาป ยอมรับสารภาพต่อพระเจ้า เชื่อ ลูกยอมแล้ว พระองค์บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาป ลูกเป็นคนบาป ยอมๆ และยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ  มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ รับโทษบาปแทนท่านได้จริงๆ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 แค่นี้เอง ท่านเปลี่ยนความเชื่อ มาเชื่อตรงนี้ แค่นี้เอง ท่านก็จะได้รับการอภัยโทษในบาปทั้งปวง ทั้งสิ้นของท่าน ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตตลอดไปเลย เอเมน

            ไม่ใช่นอสซิสอย่างเดียว ใครก็ตามที่ไม่เชื่อด้วยเหตุผลใดก็ตามว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ แบกรับบาปของมนุษย์บนไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตชำระบาป  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป  พระเยซูมาช่วยได้  แค่นั้น ก็ได้รับสิ่งนี้แล้ว 1 ยอห์น 1:10 จึงเป็นบทสรุปของ 1 ยอห์น บทที่ 1 นี้ …

        1 ยอห์น 1:10 “ถ้า​เรา​ (มนุษย์คนใด) พูดว่าเรา​ (เขา) ไม่​เคย​ทำ​บาปเลย ก็​เท่า​กับ​เรา​ (เขา) ทำ​ให้​พระ​องค์​เป็น​ผู้​โกหก และ​ถ้อยคำของ​พระ​องค์​ (คือพระเยซู คือความจริง) ก็ไม่ได้อยู่​ใน​ตัว​เรา (เขา)”

            นี่แย้งกันว่า “ถ้ามนุษย์คนใดพูดว่าเขาไม่เคยทำบาปเลย ก็เท่ากับเขาทำให้เขา หรือกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นคนโกหก ไม่จริง กล่าวเท็จ และถ้อยคำของพระองค์ คือถ้อยคำของพระเยซู ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา” คือถ้อยคำพระเยซูที่บอกว่าเป็นความสว่าง เป็นความจริง ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา

            พระเยซูตรัสว่า “คนป่วยต้องการหมอ”

            เราบอกว่า “โกหก ไม่จริง”

            พระเยซูบอกว่า “เราไม่ได้มาหาคนชอบธรรม แต่มาหาคนบาป”

            เราบอก “ไม่จริง เพราะไม่มีใครบาปเลย”

            ก็เท่ากับเรากำลังบอกพระเยซูโกหก

            พระคัมภีร์บอกความจริง ในโรม 5:12 ไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 5:12 “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะเชื้อบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”

            นี่คือความจริง เชื้อบาป ก็เหมือนไวรัสทางวิญญาณที่ทำให้มนุษย์ทุกคนตายแน่นอน ซึ่งเกิดมาจากคนๆ เดียว คืออาดัม มนุษย์ทุกคนจึงเกิดมาเป็นคนบาป ทั้งหมดเหล่านี้ คือความจริงที่พระเยซูบอกเราทั้งหลาย  เพราะฉะนั้น ถ้าใครปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนบาป เขาก็ไม่ได้เป็นคริสเตียนที่แท้จริงแน่นอน เขาก็ยังคงแบกบาปทั้งหมดของตน ไว้ที่ตนเอง เข้าสู่การพิพากษาต่อไป จนถึงหลังความตาย แบกรับบาปของตัวเองไว้ แต่ผู้ที่ยอมรับความจริง คือพระคริสต์ ยอมรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาก็ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง ได้รับความรอด อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ 1 ยอห์น 2:12 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 2:12 “ลูกที่รัก ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลาย (คริสเตียน) เพราะบาปทั้งปวงของท่านได้รับการอภัยแล้ว เนื่องด้วยพระนามของพระองค์”

            “ลูกที่รัก” ก็หมายถึงคริสเตียน นี่บทที่ 2 แล้ว  ที่เราจะเรียนรู้ในครั้งต่อไป อาจารย์ยอห์นจะเน้น เขียนถึงคริสเตียนแล้ว คริสเตียนแท้ๆ คริสเตียนจริงๆ  ที่อยู่ในความสว่าง มีสามัคคีธรรมกัน ทางวิญญาณ รู้จักพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ  โดยเรียกผู้เชื่อเหล่านี้ คริสเตียนเหล่านี้ว่าลูกที่รัก ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลาย เพราะเป็นคริสเตียนที่แท้จริง เพราะบาปทั้งปวงของท่านได้รับการอภัยแล้ว เนื่องด้วยนามพระเยซู เนื่องด้วยท่านเชื่อในนามพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ ท่านจึงได้รับการยกโทษบาปทั้งปวงเรียบร้อยแล้ว

            คริสเตียนได้รับการยกโทษจากบาปทั้งปวง คือบาปที่อยู่ในอาดัม แล้วเราติดเชื้อมา  บาปที่เรากระทำตั้งแต่ในอดีต ตอนเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ทำผิดพลาดไป ก่อนรับเชื่อ บาปที่รับเชื่อแล้ว เป็น คริสเตียนยังคงทำบาป ประพฤติ ไม่ถูกต้องอยู่ ก็ได้รับการยกโทษอภัย การอภัยนี้ยกโทษไปหมด บาปไม่มีอยู่อีกเลยในตัวเรา นี่คือสิ่งที่อาจารย์ยอห์นกำลังจะแจ้งให้เราได้เห็น ได้ชัดเจน ทั้งกับคนที่เป็นคริสเตียนปลอมและคริสเตียนแท้จริงได้รู้ ครั้งต่อไป เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กัน  พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คำอธิษฐานของผู้ที่วางใจ ในพระเยซูคริสต์

            ฟิลิปปี 4:6-8 .. “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ 8 สุดท้ายนี้ พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญ ถึงสิ่งที่เลอเลิศ หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง”

            ตัวอย่างลักษณะคำอธิษฐานของผู้ที่วางใจพระเยซูคริสต์ ด้วยสุดจิตสุดใจสุดความคิด …

            “พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ลูกขอบคุณพระองค์ สำหรับชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้ และพระวิญญาณของพระองค์ ที่ทรงสถิตอยู่ภายในลูกในขณะนี้ ทำให้ลูกเชื่อมั่น และวางใจในพระองค์ได้ ในทุกสถานการณ์แห่งความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วยทางร่างกายหรือจิตใจ ปัญหาเรื่องการกินการอยู่ ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ในครอบครัวที่แตกแยก ปัญหาเรื่องความขัดแย้ง ไม่เข้าใจกันและกัน ความกลัว ความวิตกกังวล แม้กระทั่งความตาย

            ลูกไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ลูกรู้คือ พระเยซูคริสต์ทรงอยู่ด้วย พระองค์รัก และห่วงใยลูก และนำพาลูกตลอดเวลา

            ขอบคุณพ่อ ที่คอยสอนลูก ให้รู้จักเคล็ดลับในการดำเนินชีวิต ด้วยสันติสุข ความพอเพียง ไม่ว่ายามสุขสบาย หรือยามทุกข์ยากลำบาก ยามขัดสน หรือยามมีเหลือล้น ยามเจ็บป่วย หรือแข็งแรง ลูกพร้อมเสมอ ที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ด้วยการนำ การทรงสถิตอยู่ ของพระวิญญาณของพระองค์ภายในลูก… ลูกขอวางใจในพระองค์ และดำเนินชีวิต ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ทุกประการ ด้วยความยินดี

            ในนามพระเยซูคริสต์

            เอเมน”

Holy  News   ฉบับที่ 1472

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  มิถุนายน  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 3

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรายังอยู่ในกาลาเทีย บทที่ 1 เรามาต่อข้อที่ 21 …

        กาลาเทีย 1:21-24 “21 หลังจากนั้น ข้าพเจ้าไปยังเขตแดนซีเรียและซิลีเซีย 22 คริสตจักรต่างๆ ในพระคริสต์ที่แคว้นยูเดียไม่รู้จักข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว 23 พวกเขาเพียงแต่ได้ข่าวว่า “คนที่แต่ก่อนเคยข่มเหงเราเดี๋ยวนี้ประกาศความเชื่อซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามทำลาย” 24 และพวกเขาสรรเสริญพระเจ้าเนื่องด้วยข้าพเจ้า”

            กาลาเทียบทที่ 1 อาจารย์เปาโลได้แนะนำตัวเองว่าเป็นอัครทูต ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากพระเยซูคริสต์โดยตรง ไม่ได้ไปเรียนจากอัครทูตคนอื่น  ไม่ว่าจะเป็นเปโตรหรือยากอบ หรือใครก็ตาม แต่ว่าท่านได้รับข่าวดีจากพระเจ้า  ผ่านทางพระเยซูคริสต์โดยตรง ฉะนั้น ข่าวประเสริฐที่อาจารย์เปาโลประกาศนั้น อาจารย์เปาโลยืนยันว่าเป็นข่าวดีที่ถูกต้อง ตามที่พระเจ้าต้องการ อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าใครก็ตาม ที่มาประกาศข่าวประเสริฐอื่น ก็คือมีบวกๆ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วทุกอย่างเลย เราผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เรามารับเอาข่าวดีนี้ ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย  นี่คือข่าวดี ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น  ฉะนั้น ในช่วงเวลาที่อาจารย์เปาโลไม่อยู่กับชาวกาลาเทีย ก็มีคนอื่นซึ่งมาสอนข่าวดีที่มีบวกๆ มาด้วยว่าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ มันไม่พอ เราต้องทำอย่างอื่นเพิ่มเติม เพื่อว่าจะได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า เพื่อว่าเราจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น หรืออะไรก็แล้วแต่

            อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าใครประกาศข่าวประเสริฐอื่น ไม่ว่าคนนั้นจะใหญ่มาจากไหน?  หรือแม้แต่ทูตสวรรค์ ให้คนนั้นถูกสาปแช่ง ทำไมอาจารย์เปาโลต้องพูดถึงขนาดนั้น ถูกสาปแช่ง เพราะว่าถ้าคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐ ที่มีบวกๆ มา จะทำให้เขาไขว้เขว ฉะนั้น คนที่มาประกาศข่าวประเสริฐ ก็คือเขาไม่ได้เชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเขาว่าพระองค์ทำสำเร็จ เมื่อเขาไม่เชื่อ ในความสำเร็จของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ไม่ได้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แน่นอนโดยปริยาย เขาก็ถูกสาปแช่งไป เพราะว่าผู้ไม่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ คนเหล่านั้นถูกสาปแช่งอยู่แล้ว อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว  ฉะนั้น อาจารย์เปาโลพยายามที่จะบอกที่มาที่ไป  ที่อาจารย์เปาโลมาประกาศข่าวดีกับคนต่างชาติ เพราะท่านถูกเรียกมา  โดยเฉพาะเจาะจงให้ไปประกาศกับคนที่ไม่ใช่ยิว  ก็มาจากผลที่พระเยซูคริสต์เลือกไว้ให้เปโตรกับอัครทูตคนอื่นประกาศกับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์เปาโลให้ประกาศกับคนต่างชาติ

            พออาจารย์เปาโลได้ยินข่าวดีของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์เองโดยตรง อาจารย์เปาโลก็ออกประกาศเลย ไม่ได้ขอความเห็นจากเปโตร หรือจากคนโน้นคนนี้ว่าโอเคไหม? อาจารย์เปาโลมั่นใจในการทรงเรียกของพระเจ้า ก็เลยออกประกาศ หลังจากนั้น ประกาศไปหลายปี ก็กลับมาที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อที่จะมาทักทายปราศรัย ไม่ใช่มาขอความรู้เพิ่มเติม เพราะว่าความรู้ของอาจารย์เปาโลมีเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว อัดแน่นมาก ฉะนั้น มาเพื่อที่จะยืนยันให้กับอัครทูตคนอื่น ได้รับรู้ว่าท่านได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า  เพื่อไปประกาศข่าวดีกับคนต่างชาติ

            แล้วก็มาที่ข้อที่ 21 บอกว่าหลังจากที่ไปโน่นมานี่ หลายปีเลย ก็ไปที่เขตแดนซีเรียและซีลีเซีย คริสตจักรต่างๆ แบบไม่รู้จักอาจารย์เปาโลเป็นการส่วนตัว แต่ได้ยินข่าวว่าอาจารย์เปาโลเป็นผู้ที่แต่ก่อนได้ข่มเหงคริสเตียน ข่มเหงขนาดที่เรียกว่าได้ยินว่าใครเชื่อทางนั้น ก็คือเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ไม่ได้ต้องจัดการให้สิ้นซากไปเลย ก็ไปขอทหาร ไปจับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์มาติดคุก มาทำร้าย ก็แล้วแต่กรณี ทุกคนก็หวาดกลัว ตอนที่อาจารย์เปาโลไปประกาศใหม่ๆ จะมาหลอกเราว่าเป็น คริสเตียน แล้วมาจับเราไปข่มเหงอีกหรือเปล่า? แต่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยิน คืออาจารย์เปาโลได้กลับใจใหม่จริงๆ แล้วมาประกาศความเชื่อเดียวกันกับเขา

            เมื่อเป็นอย่างนั้นปุ๊บ ทุกคนก็ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าเลยว่าคนนี้เมื่อก่อนข่มเหงพวกเรา ตอนนี้ เขาได้กลับใจใหม่แล้ว เขาได้มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เหมือนกับพวกเรา มาทางเดียวกันกับเราเรียบร้อยไปแล้ว … บทที่ 2 …

        กาลาเทีย 2:1 “สิบสี่ปีต่อมา ข้าพเจ้าไปที่กรุงเยรูซาเล็มอีกพร้อมกับบารนาบัส ข้าพเจ้าพาทิตัสไปด้วย”

            หลังจากนั้น 14 ปี แปลว่าอาจารย์เปาได้ไปประกาศกับคนต่างชาติ มาเรื่อยๆ ได้มีผลงานมากมาย คือมีคนต่างชาติได้กลับใจใหม่ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดอย่างเยอะแยะมากมาย  แล้วอาจารย์เปาโลก็ได้ก่อตั้งคริสตจักร ตามที่ต่างๆ  ที่มีคนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากนั้น อาจารย์เปาโลก็แต่งตั้งผู้คน ในกลุ่มคนเหล่านั้น ให้ดูแลกัน แล้วอาจารย์เปาโลก็ไปประกาศต่อตามที่ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงนำพาไป หลังจาก 14 ปี อาจารย์เปาโลก็ไปที่กรุงเยรูซาเล็มอีก ตอนนี้พาบารนาบัสกับทิตัสไปด้วย  ทิตัสเป็นคนต่างชาติ

        กาลาเทีย 2:2 “ข้าพเจ้าไปตามการทรงสำแดง  และได้ชี้แจงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่คนต่างชาติ ให้พวกเขาฟัง แต่ข้าพเจ้าก็ได้ชี้แจงเป็นการส่วนตัว ให้บรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเป็นผู้นำฟัง เนื่องจากเกรงว่าที่ข้าพเจ้ากำลังวิ่งแข่ง หรือได้วิ่งแข่งไปแล้วจะเปล่าประโยชน์”

            ก็คือชี้แจงให้ผู้นำต่างๆ ได้เห็นถึงการงานที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ทำงานผ่านทางอาจารย์เปาโล ไปกับผู้คนมากมาย ที่เขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า

        กาลาเทีย 2:3 “แต่กระนั้นทิตัส ซึ่งอยู่กับข้าพเจ้า แม้เขาจะเป็นกรีกก็ไม่ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต”

            ตรงนี้เป็นประเด็น คนยิวหลายๆ คนเขายังยึดถือกฎเดิม แม้ว่าเขาเปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังพยายามที่จะทำตามกฎเดิมของเขา เหมือนกับทำสักหน่อย เพื่อมีความรู้สึกว่าอุ่นใจดี แค่บอกว่ามาเชื่อวางใจในนามของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ก็ได้รับความรอด ดูมันง่ายไป ขอทำพิธีสักนิดหนึ่ง ฉะนั้น จะมีผู้เชื่อชาวต่างชาติหลายคนที่ถูกผู้เชื่อชาวยิวแนะนำว่า …

            “ท่านเชื่ออย่างเดียว ไม่น่าจะพอ ควรจะทำอันนี้ด้วย เพิ่มเติม คือรักษาวันสะบาโต และมาทำพิธีเข้าสุหนัต มาทำโน่นนี่นั่น จากพิธีกรรมเดิมที่พระเจ้าสั่งโมเสสเอาไว้”

            เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว คือพิธีกรรมเหล่านั้น ไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผู้เชื่อ ซึ่งเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติก็ตาม ไม่มีผลอะไรเลย

            ฉะนั้น การที่ผู้คนกลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซูคริสต์  ซึ่งเป็นคนยิว พยายามที่จะเอากฎเก่ากับกฎใหม่มาผสมผเสด้วยกัน เพื่อจะได้มีอะไรทำบ้าง ไม่ใช่ว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วสบายเลย ไม่ต้องทำอะไร? หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูบอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน เราทุกคนมารับเอาผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์กระทำให้กับพวกเราแล้ว ต่อแต่นี้ไป ผู้เชื่อไม่ต้องทำอะไร?

            ความหมายตรงนี้ คือไม่ต้องทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณอีกต่อไป นึกภาพออกนะ เพราะว่าเรื่องของวิญญาณ พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้เราได้รับความรอด  หรือเราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น  หรือเราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้เราเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเพิ่มพูนมากขึ้น  หรือไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้เราเป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น

            ซึ่งตรงนี้ พระเยซูบอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น พระเยซูเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นผู้ชอบธรรมด้วย พระเยซูเป็นที่รักของพระเจ้า เป็นทายาท พวกเราได้รับหมดเลย  นี่คือเรื่องของโลกวิญญาณ เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว แต่ส่วนหลังจากนั้น  หลายคนจะเข้าใจตรงนี้ว่าอ้าว! อย่างนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องมาโบสถ์ ไม่ต้องถวายสิบลด ไม่ต้องอธิษฐาน ไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์ เชื่อพระเจ้าอย่างเดียว จบ อันนั้นเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ แต่ส่วนการกระทำบนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลยังคงบอกเราว่าให้เราเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก  ในเมื่อเราเป็นบุตรที่รักแล้ว  พระเจ้าเราเป็นอย่างไร? เราก็เลียนแบบพระองค์ตามนั้น

            ท่าทีข้างในของเรา ต้องเปลี่ยนแล้ว จากที่เราเข้าใจว่าถ้าเรามาโบสถ์ เราถึงจะได้รับความโปรดปรานมากขึ้นจากพระเจ้า มันต้องเปลี่ยนแล้ว  เราจะมาโบสถ์หรือไม่มาโบสถ์ ความโปรดปรานของพระเจ้ามี 100% เต็มในชีวิตของเรา  แต่ที่ต่างกัน คือเมื่อเราได้บังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเราแล้ว เราอยากมาโบสถ์ อยากจากข้างใน พี่น้องนึกภาพออกไหม?  อยากจากวิญญาณข้างใน ที่เรารู้สึกว่าเราอยากมาโบสถ์ เราอยากมาเจอพี่น้อง เราอยากถวายทรัพย์ เราอยากอ่านพระคัมภีร์ เราอยากอธิษฐาน มันจากวิญญาณข้างในของเรา มันออกไป แต่ทุกอย่างที่เราทำ ไม่มีผลอะไรกับการบังเกิดใหม่ของเราเลย ไม่ได้ทำให้เรารอดมากขึ้น เรารอดอยู่แล้ว หลังจากรอด เราก็เริ่มต้นประพฤติ เริ่มต้นทำอะไรทุกอย่างจากวิญญาณของเรา

            ที่พระคัมภีร์ใหม่ อาจารย์เปาโลจะเขียนว่าเมื่อท่านถวาย ให้ท่านถวายจากใจข้างใน เมื่อก่อนดิฉันก็เข้าใจผิด กฎเก่าของโมเสส ก็คือพระเจ้าตั้งไว้ให้ประชากรของพระองค์ถวายสิบลด เพื่อสิบลดนี้จะได้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ของเลวี คือตระกูลปุโรหิต ซึ่งตระกูลปุโรหิต พระเจ้าไม่ได้ให้ที่ดินทำกิน  แต่พระองค์แยกเขาออกมา เพื่อจะปรนนิบัติในพระนิเวศน์ของพระเจ้า  เมื่อปรนนิบัติในพระนิเวศน์ของพระเจ้าปุ๊บ มันก็เลยเป็นหน้าที่ของอิสราเอลเผ่าอื่นๆ ที่พระเจ้าบอกว่าให้ถวาย 10% เข้าในพระวิหารของพระเจ้า เพื่อกลุ่มคนเลวีเหล่านั้น จะได้นำเอาทรัพย์สินเหล่านี้ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

            พอหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย กฎต่างๆ เหล่านี้ มันได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ทุกกฎเลยนะ พระเยซูคริสต์บอกว่ากฎเก่าที่โมเสสตั้งไว้ เมื่อพระเยซูคริสต์มาทำสำเร็จ กฎเก่าทุกอย่างมันถูกยกเลิกไปแล้ว แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือความรักที่อยู่ข้างในวิญญาณของเรา ทำให้เราอยากจะให้ มันเป็นวิญญาณแห่งความรัก ที่ผลักดันผู้เชื่อทุกคนที่อยากจะให้ออกไป โดยที่มีเป้าหมายไว้ในใจ ไม่ได้เป็นข้อบังคับว่าต้องๆ แต่เป็นความรู้สึก …

            “ฉันอยากทำ”

            ไม่ใช่ต้องทำ คำว่า “อยากทำ” กับ “ต้องทำ” มันต่างกันมากเลย อยากทำ มันทำจากข้างในวิญญาณ ที่เรามีความสุข มีความสุขที่เราได้มาโบสถ์ มีความสุขที่เราได้มาเจอพี่น้องในคริสตจักรของพระองค์ มีความสุขที่ได้มาพูดคุยกัน  มีความสุขที่ได้มาฟังถ้อยคำของพระเจ้าร่วมกัน แม้เราจะต้องเดินทางไกล แต่เรามีความสุข มาแล้วมันได้รับกำลังใจ  นี่คือจากวิญญาณข้างใน ไม่ใช่ท่าทีที่ต้องมานะ ถ้าวันอาทิตย์ไม่มา เดี๋ยวเราไม่ได้รับพระพร มันไม่ใช่ ถ้าเป็นอย่างนั้น เหมือนต้อง  มันกลายเป็นกฎบังคับ กลายเป็นกลับไปที่เดิม  ที่พระเจ้าสั่งคนอิสราเอลว่า …

            “เจ้าต้องๆๆๆๆๆ”

            แล้วแต่ละต้อง ก็คือคนอิสราเอลไม่เคยทำได้ครบถ้วนสักทีหนึ่ง  เพราะว่าเรายังเป็นมนุษย์อยู่ ฉะนั้น จากท่าทีข้างในวิญญาณของเรา ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ เรามีเสรีภาพ ดังนั้น เสรีภาพที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ก็คือเสรีภาพที่เราอยากจะทำสารพัดสิ่ง อะไรก็ได้  ที่ข้างในวิญญาณเราต้องการ ข้างในวิญญาณเรารักพระเจ้า เพราะว่าวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าให้กับเรา เป็นวิญญาณแห่งความรัก เมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ เรารักพระเจ้าเลย ไม่ต้องพยายามรัก ไม่ต้องพยายามที่ว่าต้องรัก ไม่ใช่  มันเกิดมาเป็นความรัก  ข้างในวิญญาณของเรา แม้ว่าหลายครั้ง เราอาจจะทำอะไร? ดูเหมือนไม่รักพระเจ้า แต่ความจริงในโลกวิญญาณ คือวิญญาณเรารักพระเจ้า 100% เรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น พฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำ หลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า  เราอาจจะทำบ้าง? ไม่ทำบ้าง? เชื่อฟังบ้าง? ไม่เชื่อฟังบ้าง?  ดื้อบ้าง? อะไรบ้าง? แต่ให้เรารับรู้ความจริงว่าไม่ว่าเราจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ขนาดไหน? พระเจ้ารักเราครบถ้วนสมบูรณ์ 100% ไม่มีลดน้อยลง พระเจ้าไม่เคยรักเราน้อยลง ทำไมเรารู้ว่าพระเจ้าไม่รักเราน้อยลง? เพราะว่าพระเยซูคริสต์ทุ่มสุดตัว คือเอาชีวิตของพระองค์แลกกับชีวิตของพวกเรา คือไม่มีอะไรที่จะสามารถทำให้พระเจ้ารักเรามากกว่านี้แล้ว คือรักจนสุดๆ แล้ว

            ตรงนี้อย่าให้ใครหลอกเราว่าถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พระเจ้าจะไม่รักเรา ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น พระเจ้าจะไม่รักเรา อย่าให้โดนหลอก แต่ให้ทุกอย่างที่เราทำ มันออกจากข้างในวิญญาณของเรา แล้วเรามีความสุข

            พี่น้องมีความสุขไหมที่ได้มาโบสถ์ ดิฉันคนหนึ่งมีความสุขมากที่ได้อยู่โบสถ์ แล้วดิฉันก็ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าให้อยู่โบสถ์ มันเป็นความสุขที่โลกนี้ให้เราไม่ได้  แต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน พระองค์ให้กับพวกเรา เวลาเรามาโบสถ์ เราจะมีความสุขทุกครั้ง เวลาเราได้เจอพี่น้อง เราก็มีความสุขทุกครั้ง  เวลาเราได้ยินถ้อยคำของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้าคุยกับเรา เวลาเรามาอ่านพระคัมภีร์ เหมือนพระเจ้าคุยกับเรา  เราก็มีความสุข เหมือนพ่อกับลูกได้คุยกัน ถ้าอยู่ในครอบครัว พ่อลูกไม่คุยกันเลย  แม่ลูกไม่คุยกันเลย พี่น้องไม่คุยกันเลย มันก็ดูแปลกๆ อย่างน้อยได้คุยกันบ้าง? แต่ไม่ใช่ว่าคุยจ้อทั้งวัน มันไม่ใช่ ก็คือเราได้คุยกันบ้าง เรารู้ว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน หรือแม้บางคนคุยไม่เก่ง เรานั่งอยู่ด้วยกัน เราก็สัมผัสถึงความรักที่มันอยู่ข้างในออกมา  บางคนคุยไม่เก่ง แต่แค่เราได้เห็นหน้าเขา เราก็มีความสุข  เพราะเราได้ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว

            ฉะนั้น ภาพพวกนี้ ให้พี่น้องเห็นถึงเสรีภาพที่พระเจ้าให้กับพวกเรา  อย่าให้เราโดนหลอก ขโมยเสรีภาพ ออกไปจากชีวิตของเรา  ทำให้ชีวิตของเราถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์อะไรก็ไม่รู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ให้เรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะทำการงานในวิญญาณของเรา พระองค์จะบอกเราเอง ผลักดันเราให้ไปทำอะไรตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับว่าถ้าเรายอมพระองค์ บางครั้งพระเจ้าผลักดัน แต่เราไม่ยอม เราดื้อดึง พระเจ้าก็โอเค ต้องปล่อยตามนั้น  ก็ให้เราทำตามใจตัวเอง  แต่ว่าทุกครั้งที่เราทำตามใจตัวเอง พี่น้องหันกลับไปดู หลังจากนั้น เราจะรู้สึกไม่สบายใจ …

            “ทำไมเราถึงทำอย่างนี้ เราไม่น่าทำเลย”

            แต่ว่าทุกครั้งที่เราทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะมีความสุข มันเป็นสุขที่อยู่ลึกๆ ข้างในวิญญาณ ตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าทิตัส เป็นคนกรีก ซึ่งคนต่างชาติ หลังจากที่เขามาเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว กฎเดิม ที่พระเจ้าตั้งไว้ สำหรับคนอิสราเอล ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา คนต่างชาติไม่จำเป็นต้องเข้าสุหนัต หรือแม้แต่คนยิวที่มาเชื่อพระเจ้า ที่เขายังไม่ได้เข้าสุหนัต ก็ไม่ต้องพยายามไปทำพิธีกรรมนี้  เพราะว่าพิธีกรรมนี้ ไม่มีผลอะไรกับความรอดของเขาแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลพยายามให้เห็นถึงภาพว่านี่แหละ คือเสรีภาพที่แท้จริง

        กาลาเทีย 2:4 “เรื่องนี้ลุกลามขึ้นมา เพราะพี่น้องจอมปลอมบางคนที่แทรกซึมเข้ามาในหมู่เรา เพื่อสืบดูเสรีภาพที่เรามีในพระเยซูคริสต์ และเพื่อจะทำให้เราเป็นทาส”

            ทำให้เราเป็นทาส  ทำเป็นทาสตรงไหน?  ตรงที่เราไปเชื่อไง เชื่อฟังพี่น้องจอมปลอมว่าเราได้รับความรอดแล้ว  แค่เชื่ออย่างเดียวไม่พอ  เราควรจะทำอันนี้เพิ่ม  ทำอันโน้นเพิ่ม ด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกว่าไม่ได้ อันนั้น ผิดจากเป้าหมายจริงๆ ที่พระเจ้าได้ตั้งไว้

        กาลาเทีย 2:5 “แต่เราไม่อ่อนข้อให้เขาแม้สักขณะหนึ่ง เพื่อความจริงของข่าวประเสริฐจะได้คงอยู่กับท่าน”

            อาจารย์เปาโลไม่ยอม แบบว่าหยวนๆ เขาบอกให้ไปทำพิธีเข้าสุหนัต ก็ไปทำๆ ให้เขาเถอะ อะไรประมาณนั้น อาจารย์เปาโลไม่ยอมนะ บอกว่าเราได้รับความรอด ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ผ่านทางการประพฤติใดๆ ของมนุษย์

            สมัยก่อน คนยิวคิดว่าเขาประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระเจ้า เขาเป็นผู้ชอบธรรม อันนั้นกฎเดิม พระเจ้าได้ตั้งไว้อยู่แล้ว สำหรับคนยิวว่าเขายังคงเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แล้วก็เชื่อตามพันธสัญญาที่พระเจ้าตั้งไว้ให้กับคนยิวในยุคเดิมว่าให้มาทำพิธีกรรมปีต่อปี เอาแพะเอาแกะมาถวายเครื่องบูชา ให้ปุโรหิตเอาเลือดมาปะพรมแท่นบูชา เขาจะได้รับการอภัยโทษ แล้วเขาจะเป็นประชากรของพระองค์ แต่ ณ ปัจจุบัน ก็คือตอนที่อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ กฎเหล่านั้นได้ถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว  พระเยซูคริสต์ได้ทำพันธสัญญาใหม่กับผู้คนบนโลกใบนี้ แม้แต่คนยิวที่รักษากฎบัญญัติ เขายังจำเป็นจะต้องมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ตอน ณ เวลานี้ ไม่ได้โดยปริยายว่าคนยิวจะเป็นคนของพระเจ้า ตอนนี้กฎใหม่มาแล้ว  ก็คือคนยิวทุกคนจำเป็นจะต้องเหมือนคนต่างชาติ มาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่พึ่งการประพฤติปฏิบัติ ตามกฎบัญญัติของโมเสสที่ตั้งไว้  ถ้าเขายังพึ่งกฎบัญญัติ เขาก็หล่นพ้นจากความรอดที่พระเยซูคริสต์ทำให้

        กาลาเทีย 2:6-8 “6 สำหรับบรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเป็นคนสำคัญ ซึ่งเขาจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้าพเจ้า  พระเจ้าไม่ได้ทรงพิจารณาที่รูปลักษณ์ภายนอก พวกเขาไม่ได้เพิ่มเติมอะไรแก่ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้เลย 7 ตรงกันข้าม  เขาเห็นว่าข้าพเจ้าได้รับมอบหมายภารกิจในการประกาศข่าวประเสริฐ แก่คนต่างชาติเช่นเดียวกับที่เปโตรประกาศแก่คนยิว 8 เพราะพระเจ้าผู้ทรงดำเนินการในพันธกิจของเปโตร ผู้เป็นอัครทูตไปยังคนยิว ก็ทรงดำเนินการในพันธกิจของข้าพเจ้า ผู้เป็นอัครทูตไปยังคนต่างชาติด้วย”

            อาจารย์เปาโลก็ยังคงยืนยันว่าการทรงเรียกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  พระเจ้าใช้แต่ละคนไม่เหมือนกันด้วย พระเจ้าใช้เปโตรกับอัครทูตคนอื่นๆ ไปประกาศกับคนยิว ซึ่งคนยิวก็ต้องได้รับข่าวดีของพระเจ้า และต้องกลับใจใหม่ด้วย  ไม่ใช่โดยปริยายว่าจะได้รับความรอด ผ่านทางการประพฤติ เขาจำเป็นจะต้องกลับใจใหม่ แล้วอาจารย์เปาโลก็ถูกมอบหมายให้ประกาศกับคนต่างชาติ

            ทุกคนพอได้ยินดังนั้น ก็มีความสุข โอเค พระเจ้าได้เลือกแล้ว ต่างคนต่างทำหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุดตามที่พระเจ้าได้มอบหมายไว้

        กาลาเทีย 2:9 “เมื่อยากอบ เปโตรและยอห์น ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเสาหลักเห็นถึงพระคุณที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า ก็จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัส เพื่อแสดงว่าเราร่วมงานกัน เขาเหล่านี้เห็นด้วยว่าเราควรไปยังคนต่างชาติ ส่วนพวกเขาไปหาคนยิว”

            เมื่อได้รับฟังความจริงที่อาจารย์เปาโลได้บอกแล้ว ก็มีความสุข เหมือนกับพวกเราทุกคน ณ เวลานี้ เราได้ยินว่าใครได้รับการทรงนำจากพระเจ้า ให้ไปประกาศกับคนอื่น ที่ยังไม่เชื่อ เราก็มีความสุข เพราะว่าแต่ละคนจะถูกเรียกไม่เหมือนกัน บางคนพระเจ้าใช้เขาในการประกาศข่าวดี อาจจะไม่ใช่เป็นลักษณะเป็นผู้รับใช้ แต่ว่าพระเจ้าให้ของประทาน เขาก็จะมีความสามารถในการประกาศกับคนนี้ คนโน้น คนนั้น แล้วพาเขามารับเชื่อ เราก็มีความสุขร่วมกัน ฉะนั้น แต่ละคนมีหน้าที่ที่ไม่เหมือนกัน

            พี่น้องเชื่อหรือไม่ ดิฉันเชื่อพระเจ้ามาแล้ว จะ 38 ปีแล้ว ดิฉันยังไม่สามารถประกาศเอาใครมารับเชื่อสัก 1 คน เมื่อเราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราก็ได้รับคำสอนว่าเราจำเป็นจะต้องไปประกาศ ทุกโอกาสเลย คือเมื่อมีโอกาส เราต้องรีบประกาศ  ไม่อย่างนั้น ข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง ที่ถูกยกมาใส่สมองของเราว่า …

            “วิบัติแก่เจ้า ถ้าเจ้าไม่ประกาศ”

            ข้อนี้ทำให้แป๊กได้ทุกครั้ง  ก็คือ … “ถ้าเราไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดกับเราไหม? แล้วจะเป็นอย่างไร? เราจะถูกลงโทษไหม? เราจะโน่นนี่นั่นไหม?”

            พอเรารู้ความจริง ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ เลย ขอบคุณ เพราะว่าคำนี้ ประโยคนี้ พระเจ้าใช้เฉพาะอาจารย์เปาโลเท่านั้น ดังนั้น เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ ให้รู้ว่าบริบทนั้น พระเจ้ากำลังคุยกับใคร?  คำนี้อาจารย์เปาโลเป็นคนพูดเอง พระเจ้าได้ใช้และเรียกอาจารย์เปาโลให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็เลยพูดคำนี้ขึ้นมาว่า …

            “วิบัติแก่ข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ”

            เพราะว่าพระเจ้าใช้และให้ของประทาน ให้กำลัง ให้ความสามารถ ให้สิทธิอำนาจกับอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลเลยยืนยันตรงนี้ ให้กับคนที่เขียนถึง ให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องแบบนี้ เรื่องของเรื่อง คือเราผู้เชื่อ เราก็เก็บเอามาเป็นของเราเอง  แล้วเราก็มาทุกข์ใจ ดิฉันทุกข์ใจเป็นสิบปี เพราะว่าดิฉันประกาศไม่ได้สักที แล้วดิฉันก็หาทุกโอกาสด้วย เขาบอกเวลาขึ้นรถเมล์ คนมานั่งข้างๆ ต้องหาวิธีประกาศเรื่องพระเยซูให้เขาให้ได้  แล้วก็ตั้งใจมาก  แบบจ้องเขา ตั้งแต่ขึ้นรถ จนเขาเดินลงรถ ยังพูดไม่ได้สักที ปากมันไม่ออกมา มันไม่ได้ หรือหลายครั้ง ขึ้นแท็กซี่ด้วย ตั้งแต่ขึ้นรถ จนลงรถ ก็ไม่สามารถประกาศ คือมันพูดไม่ออก เราพูดไม่ได้ แต่อย่ามาถามเรื่องพระเจ้า  ถ้าถามปุ๊บ คุยได้สบาย  มันต้องมีที่มาที่ไป มีเหตุว่าพอคนมาถาม เราก็เล่าให้เขาฟังได้ใช่ไหม? เขานั่งอยู่ เขาไม่รู้จักเราเลย เราก็ไม่รู้จักเขา อยู่ดีๆ เราก็ไปบอกเขาเรื่องของพระเจ้า มันไม่ได้ คือเราไม่ได้ถูกเรียกมาแบบนี้ แล้วก็ทุกข์ใจมากว่า …

            “แล้วตกลง ฉันจะรอดไหม? เพราะฉันวิบัติแน่ๆ เลย  ฉันเชื่อมา 30 กว่าปีแล้ว ฉันยังประกาศกับใครไม่ได้เลย”

            แล้วพระเยซูก็บอกกับเราว่า … “ถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยท่านให้เป็นไท”

            พอเรารู้ความจริง ขอบคุณพระเจ้า เราแต่ละคน เหมือนเป็นอวัยวะที่แตกต่างกัน ในร่างกายของมนุษย์คนหนึ่ง พระเจ้าสร้างบางคนเป็นผม บางคนเป็นคิ้ว บางคนเป็นตา บางคนเป็นจมูก เป็นปาก เป็นแก้ม เป็นมือ เป็นเท้า เป็นตับ ไต ไส้ พุง คือแต่ละคน แต่ละส่วนทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน แต่เราถูกสอนว่าทุกคนต้องทำเหมือนกัน อันนี้แหละเป็นเรื่อง ทุกคนต้อง แล้วก็ต้อง เลยกลายเป็นว่าคำสอนนี้ ไปบีบคั้นผู้เชื่อ ที่เขามาเชื่อพระเจ้า แล้วเขาทำไม่ได้ แล้วเขาก็ทุกข์ใจ แล้วเขาก็เกิดความสงสัยว่า …

            “แล้วตกลงฉันจะรอดหรือไม่รอด”

            แต่อาจารย์เปาโลบอกชัดเจนว่าความรอด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติ  ความรอดขึ้นอยู่กับความเชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเท่านั้น เราได้รับความรอด หลังจากนั้น พระเจ้าจะใช้เราแบบไหน? อย่างไร?  นั่นเป็นเรื่องของพระองค์ พระองค์ใช้แต่ละคนไม่เหมือนกัน

            ตรงนี้แหละ คือประเด็นหลัก ที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริง เมื่อพระเจ้าใช้แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนก็ถูกใช้เยอะมาก อย่างเช่นอาจารย์เปาโลถูกใช้ให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ พาคนมารับเชื่อเป็นแสน เป็นหมื่นคน แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลได้รับ ได้รับเหมือนพวกเรา คือได้รับพระพร ได้รับมรดกเท่ากับผู้เชื่อคนหนึ่ง ที่เพิ่งกลับใจใหม่ คือได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอด ผ่านทางการเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ได้รับพระพรนานัประการในสวรรคสถาน คือได้รับเท่ากันเลย เพียงแต่ว่าของประทานของแต่ละคนไม่เท่ากัน และของประทานของแต่ละคนไม่เหมือนกันปุ๊บ ในพระคัมภีร์จะพูดถึงคำว่า “บำเหน็จ”

            เรามาคุยเรื่องบำเหน็จ พอพระคัมภีร์พูดถึงคำว่า “บำเหน็จ” ปุ๊บ หรือ “รางวัล” เราก็ไปเข้าใจว่าถ้าเรารับใช้พระเจ้าเยอะๆ หลังจากที่เราจากโลกนี้ไป  เราจะได้รางวัลพิเศษมากกว่าคนอื่น เมื่อก่อนดิฉันก็เชื่ออย่างนั้น เราจะได้รับรางวัลพิเศษมากกว่าคนอื่น เหมือนผู้รับใช้เก่าๆ เขาก็เล่ากันมา …

            “ถ้าเรารับใช้พระเจ้ามากๆ เราขึ้นไปสวรรค์ เราก็จะได้บ้านเดี่ยวสวยงาม  ถ้าเราอยู่บนโลกใบนี้ เราไม่ได้รับใช้พระเจ้า เราไม่ยอมรับใช้อะไร?  ขึ้นไปสวรรค์ เราก็จะได้กระต๊อบหลังเล็กๆ แถมหลังคารั่วด้วย”

            เป็นอย่างนั้น พอคำสอนนี้ออกไป คริสเตียนก็ตกใจสิ … “แล้วอย่างนี้ทำอย่างไร? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง หรือฉันเป็นแม่บ้าน ฉันเชื่อพระเจ้า ฉันเชื่อว่าพระองค์ทรงประทานความรอดให้กับฉัน ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย? ฉันอยู่บ้านเฉยๆ แล้วตกลงฉันจะได้รางวัลไหม? ขึ้นไปบนสวรรค์ ฉันจะเฉียดสวรรค์ไหม? ฉันจะได้เข้าไปในที่ที่สวยงามไหม? หรือฉันต้องอยู่นอกขอบสวรรค์”

            นั่นแหละ เรียกว่าสร้างความงุนงงให้กับผู้เชื่อ  แต่ความเป็นจริงแล้ว ทุกคนจะได้เท่ากัน คือได้รับชีวิตนิรันดร์แบบพระเยซูคริสต์เลย ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เลย ทุกคนได้เท่ากันหมด เพราะพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้บังเกิดใหม่ คือพระเจ้าได้บัพติศมาเรา ผ่าตัดวิญญาณเรา ให้เราเข้าไปตายพร้อมกับพระองค์ ตัวเก่าที่เป็นบาปของเรา ตายพร้อมกับพระองค์แล้ว แล้วเราได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่เหมือนกับพระองค์ด้วย ตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันพระเจ้าพระบิดา พระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเราด้วย เราเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเป็นวิหารของพระเจ้า เราอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์

            ถ้อยคำเหล่านี้ เป็นความจริงหมดเลยในโลกวิญญาณ ก็คือตั้งแต่ที่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือพูดอีกนัยหนึ่งเราได้อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์เข้ามาอาศัยอยู่ในเรา  แล้ว ณ วันนี้ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข้างในวิญญาณ พระเจ้าบอกเราว่า …

            “เรารู้จักเจ้า”

            แค่คำนี้เป็นคำที่สำคัญมากๆ สำหรับพวกเรา  พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์รู้จักเรา ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด รู้จักตั้งแต่วันนั้น จนดำเนินชีวิต จนถึงวันสุดท้าย ลมหายใจออกจากร่าง เราได้ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระเยซูยังคงพูดว่า …

            “เรารู้จักเจ้า” … เพราะว่ารู้จักตั้งแต่ยังอยู่บนโลกใบนี้

            แต่ที่พระเยซูบอกว่า … “เราไม่เคยรู้จักเจ้า” แปลว่าตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เราก็ไม่รู้จักพระเยซู พระเยซูก็ไม่รู้จักเรา เราไม่ยอมเข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่ยอมเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราไม่ยอมรับว่าพระองค์ คือผู้นั้น ที่จะสามารถช่วยเราให้รอดได้ คนนั้น ก็คือปฏิเสธผู้ที่จะมาช่วยเขาให้รอด เมื่อปฏิเสธ พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ พี่น้องนึกภาพออกไหม? ในพระคัมภีร์ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งเอเมน ไม่ว่ามนุษย์จะตัดสินใจอะไรก็ตาม พระเจ้าเอเมนด้วย ก็คือเป็นไปตามนั้น พระเจ้าไม่บังคับ มนุษย์ที่ไม่ยอมตัดสินใจย้ายข้าง จากการอยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ พระเจ้าก็ต้องเอเมนตามนั้น

            แต่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าไหม?  ไม่ใช่แน่นอน  เพราะพระประสงค์ของพระเจ้า คือต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด นี่คือเป้าหมาย นี่คือพระประสงค์ ฉะนั้น คนที่ไม่ยอมเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระเยซูก็ต้องบอกว่าเอเมน หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ที่เราชอบพูดว่า …

            “พระเจ้าอนุญาต”

            “ทำไมพระเจ้าอนุญาตล่ะ”

            “ก็พระเจ้าทำอะไรไม่ได้ พระเจ้าต้องอนุญาติให้เป็นอย่างนั้น  เพราะว่าเธอไม่ยอม”

            แต่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระองค์แน่นอน นี่คือภาพที่เราแยกออก เราจะขอบคุณพระเจ้า เราได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับผลสำเร็จทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ต่อจากนี้ไป เราก็แค่ยอมให้พระเจ้าใช้เราแค่นั้นเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ก็จะทำงานขับเคลื่อนเรา เหมือนกับเวลาเรามาโบสถ์ เราก็มาจากข้างในวิญญาณ อยากมา เวลาเราถวายทรัพย์ ก็จากข้างในวิญญาณเราอยากถวาย ไม่ใช่ว่าพอถุงถวายทรัพย์เดินผ่าน เราอึกอักๆ เราไม่อยากถวาย แล้วทำอย่างไร? เกรงใจคนข้างๆ เขามองหน้าเรา ควักสักหน่อย อะไรอย่างนี้ ไม่ต้องเลยนะพี่น้อง ให้ทุกอย่างทำจากข้างในวิญญาณ ให้สิ่งที่เราทำ มีเป้าหมายเรียบร้อยไปแล้วในใจของเราว่าเรามีเป้าหมายอย่างนั้น

            ดังนั้น ทุกอย่างที่เราทำ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้นำเรา หรือหลายครั้งเราออกนอกลู่นอกทาง พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ลุ้นเรานั่นแหละ …

            “ลูกๆ เหวนะเหว กำลังออกนอกลู่นอกทางแล้ว กลับมาๆ”

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำแค่นี้จริงๆ เพราะว่าบังคับเราไม่ได้ เราก็ขอบคุณพระเจ้า อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องพูดคำนี้ทุกวันเนอะ …

            “ลูกๆ กลับมาๆ เหวนะเหว” … อะไรแบบนี้

            ก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามีให้กับพวกเรา เป็นความรักที่พระองค์ไม่เคยบังคับเรา แล้วพอเรามาอยู่ในพระเจ้าเรามีความสุขไง คือเราได้อยู่กับพ่อของเราที่เข้าใจเรา เป็นพ่อที่อบอุ่นมากๆ เป็นพ่อที่ไม่เคยบังคับเรา เป็นพ่อที่พยายามโน้มนำเรา นำเสนอ เสนอแนะทางดีให้กับเรา แค่หลายครั้งเราก็ดื้อบ้าง? อะไรบ้าง? ไม่เป็นไร พอลูกเราดื้อ พ่อก็คงไม่ตัดออกจากกองมรดกแน่นอน ถ้าดื้อคุณพ่อคุณแม่ก็เสียใจนิดๆ  แต่ยังรักลูกเหมือนเดิม  ความรักที่พ่อแม่ให้กับลูกไม่เคยถดถอย รักเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่เขาเกิด จนวันที่เขาตาย เหมือนเดิม แล้วยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด? ความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา หนักกว่านั้นอีก พระองค์รักเราตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสุดท้าย แล้วพระองค์ก็ดูแลนำพาชีวิตของเรา ระหว่างที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้  พระองค์เริ่มต้นการงานดีแล้ว พระองค์ก็จะพาเราไปถึงจุดหมายปลายทาง ทำให้สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระองค์ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            โลกบอกว่า … “ทุกทางของความเชื่อ ต่างสอนให้คนทำดี เพื่อไปสู่สวรรค์ หลังความตายเหมือนๆ กัน”

            แต่พระเจ้าบอกว่า … “ไม่มีทางไหนมาถึงสวรรค์ของเราได้ นอกจากทางพระเยซูเท่านั้น”

            ยอห์น 14:6 … “พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดา (ผู้สถิตในสวรรค์) ได้นอกจากมาทางเรา”

            พระเยซูได้นำสวรรค์ของพระเจ้า ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้แล้วทางฝ่ายวิญญาณ

            พระเยซู คือประตูสวรรค์ที่เปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลก  ให้เข้าไปอาศัยอยู่กับพระเจ้า  ผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ตราบนิรันดร์

            ยอห์น  14:1-2  พระเยซูตรัสว่า … “1 อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย 2 ในพระนิเวศพระบิดาของเรา (คือในสวรรค์ของพระบิดา) มีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มี เราคงได้บอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้  สำหรับท่านทั้งหลาย”

            ยอห์น 14:23 … “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอน (ข่าวดี) ของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา”

            • เป็นข่าวดี  ที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคน  ที่จะสามารถมีความหวัง  เข้าสวรรค์ได้เลย ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายนี้  เข้าอยู่ทันที  ไม่ต้องรอให้ตายก่อน

            • คือแต่ไหนแต่ไรมา  สิ่งที่มนุษย์เคยเรียนรู้มาตลอด ในทุกยุคทุกสมัย และแทบจะ ทุกความเชื่อเลย ก็คือมนุษย์ต้องสั่งสมความดี  ต้องละเว้นการกระทำบาป  เพื่อที่ว่าหลังจากที่ตายจากโลกนี้ไปแล้ว   จะสามารถไปอยู่ในสวรรค์ได้

            • คำสอนและความเชื่อแบบนี้   เป็นข่าวธรรมดา ที่มนุษย์ทุกคนคุ้นเคยกันดี  แต่ความเป็นจริง ก็คือมันเป็นความหวัง ที่ไม่แน่นอน เพราะอย่างที่เราย้ำมาตลอดว่าไม่มีใครไม่ทำบาป ทุกคนไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์เพียงพอที่จะเข้าสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้ เพราะฉะนั้น ความเชื่อแบบนี้ จึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถมั่นใจ ในชีวิตหลังความตายได้เลยว่าตัวเองจะได้ไปสวรรค์หรือไม่ ต้องทำดีแค่ไหน  ต้องละเว้นบาปขนาดไหน  จึงจะเพียงพอ

            • จนกระทั่ง หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นจากความตาย มนุษย์ที่เชื่อในคำประกาศข่าวดีของพระเยซู จึงสามารถมั่นใจได้แล้วว่าได้ไปสวรรค์แน่นอน   โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำใดใดของตนเลย  แต่หันกลับมาพึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนแทน

            พระเจ้าอวยพรครับ