คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2024
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 35
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อหนังสือเอเฟซัส 6:9 …
เอเฟซัส 6:9 “ผู้ที่เป็นนายจงปฏิบัติต่อทาสในทำนองเดียวกัน อย่าข่มขู่เขาใน เมื่อรู้อยู่ว่าพระองค์ผู้ทรงเป็นองค์เจ้านายทั้งของเขาและของท่านนั้นอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงลำเอียงเข้าข้างใคร”
คราวที่แล้วเราพูดถึงลักษณะการดำเนินชีวิตที่พระเจ้า บอกผ่านอาจารย์เปาโลว่าเมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราอยู่ในสถานะไหน? ก็ให้เราอยู่ในสถานะนั้น อย่าคิดว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ สถานะความเป็นอยู่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องเปลี่ยนไป หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์บอกว่าเราเป็นอิสระแล้ว เราไม่เป็นทาสของความบาปและความตายแล้ว แล้วก็นำเอาเรื่องนี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
สมัยก่อนพระคัมภีร์ตรงนี้ มีการค้าทาสอยู่ มีคนที่ตกเป็นทาสของเจ้านายเยอะแยะมากมาย แต่ถ้อยคำของพระเจ้าตรัสสอนว่า ถ้าท่านอยู่ในสถานะเป็นทาส ก็ให้เป็นทาสต่อไป แต่ว่าให้ดำเนินชีวิตที่ดี ทำดีกับเจ้านายของตัวเอง อย่าคิดว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะทำให้เราไม่ได้กลายเป็นทาส
แต่อีกนัยหนึ่ง คือถ้าพระเจ้าจะทำ พระองค์ทำได้ แต่ไม่ได้เป็นความต้องการของเราเองที่พยายามถีบตัวเองให้หลุดจากการเป็นทาส ฉะนั้น ให้เราอยู่ในสถานะอย่างนั้นแหละ ตามที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับเรา
มาข้อที่ 10 เป็นข้อที่สำคัญมากๆ ในหนังสือจดหมายฉบับนี้ …
เอเฟซัส 6:10 “สุดท้ายนี้จงเข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์”
ตรงนี้อาจารย์เปาโลบอกว่า “จงเข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า” หมายความว่ามันเป็นเรื่องของวิญญาณข้างใน ที่พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเราแล้ว ข้างในวิญญาณเราเข้มแข็ง ตัวเราเองจะอ่อนแอก็ไม่เป็นไร แต่ว่าให้รับรู้ความจริงว่าวิญญาณข้างในของเรา พระเจ้าเป็นผู้ประทานความเข้มแข็งให้กับพวกเราในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ข้อ 11 …
เอเฟซัส 6:11 “จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อท่านจะยืนหยัดต่อสู้แผนการทั้งหลายของมารได้”
ในหนังสือตรงนี้ อาจารย์เปาโลย้ำกับคนเอเฟซัส เพราะว่าช่วงนั้นจะมีการโกหกหลอกลวงเยอะแยะทุกรูปแบบ ที่ถูกส่งเข้ามาในคริสตจักรของพระองค์ ในขณะเดียวกัน ไม่เพียงแต่ในยุคเดิมเท่านั้น ในยุคของเราปัจจุบันก็มีโอกาสที่จะถูกส่งข้อมูลที่มันไม่ได้เป็นไปตามความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าเข้ามาในเราเหมือนกัน ฉะนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายจำเป็นจะต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อเราจะได้ยืนหยัดต่อสู้แผนการทั้งหลายของมาร มารมีแผนทำอะไร? พระคัมภีร์บอกเราแล้ว มารมา เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย ลักเอาความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าออกไปจากชีวิตของเรา ฆ่าเราโดยการส่งคำโกหกหลอกลวงเข้ามา ในสมองของเรา เพื่อเราจะได้คล้อยตามมัน ทำลายทุกอย่างที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น ซึ่งจริงๆ เราเป็นอยู่แล้ว ตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นผู้ชอบธรรม เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว แต่มารจะพยายามส่งข้อมูลเข้ามาในสมองของเราว่า …
“ไม่จริงหรอก เรื่องเหล่านี้เรายังไม่ได้รับหรอก ต้องรอก่อน รอให้ตายจากโลกนี้ไป เราค่อยไปรับ”
แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า คือทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เราได้รับสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยไปแล้ว เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเรียบร้อยไปแล้ว คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ แต่ความจริงในถ้อยคำของพระองค์มันเป็นอย่างนั้น ก็คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ทำไมพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราได้ ในขณะที่ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ สูงสุด ยิ่งใหญ่ ทำไมพระองค์จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ พระคำของพระองค์บอกว่าพระเจ้าได้ทรงชำระร่างกายของเรา ซึ่งร่างกายที่ยังอยู่ภายใต้ความบาปและความตายอยู่นี้ ที่วันหนึ่งจะต้องตายจากไป แต่พระเจ้าทรงชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นวิหารของพระเจ้าได้ เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้
ถ้าร่างกายเรายังสกปรกอยู่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ไม่ได้ ถ้าพระองค์เข้ามาอยู่ปุ๊บ เราตายทันที จำได้ใช่ไหมกฎพระคัมภีร์เดิม มนุษย์เข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้ เข้าใกล้ปุ๊บ ตายทันที นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ หลังจากที่พวกเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ก็คือเราได้รับวิญญาณใหม่ ซึ่งพระเจ้าเปลี่ยนให้เราใหม่เลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ความคิดจิตใจใหม่ ที่ถูกเปลี่ยนเหมือนพระเยซูคริสต์ด้วย ร่างกายที่ยังเป็นร่างกายเดิม แต่ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา นี่คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า
ฉะนั้น ระบบของโลกนี้ ผ่านทางผีมารซาตานที่มาลัก ฆ่าและทำลาย พยายามที่จะส่งข้อมูลมาบอกเราว่าไม่จริงหรอก พระเจ้าไม่สามารถสถิตอยู่กับเราได้ ถ้าเผื่อเราทำบาป ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าไม่อยู่กับเราแน่ๆ พระเจ้าก็จะลอยไปจากชีวิตของเรา ซึ่งความเป็นจริง คือมันโกหกเรา ทำให้เรากลัวที่จะเข้ามาใกล้พระเจ้า ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราอยู่ใกล้พระเจ้าอยู่แล้ว เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าผู้เชื่อจะทำผิดแค่ไหนก็ตาม พระเจ้ายังคงสถิตอยู่ในท่าน นี่คือความจริง ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าก็สอนเราว่าให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้บังเกิดใหม่ ก็คือสมกับที่เราเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ให้ทำตัวให้ดีๆ หน่อย แต่ไม่ว่าเราจะทำตัวได้ดีหรือไม่ดีขนาดไหนก็ตาม พระเจ้าก็ยังคงรับเราเป็นลูกของพระองค์ เพราะการเป็นลูกของพระเจ้าไม่ได้เกิดจากการประพฤติดีของเรา ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติเลย แต่มาจากความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า เชื่อในพระโลหิตไถ่ของพระองค์ว่าชำระล้างความผิดบาปของเราเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่บาปอดีต บาปปัจจุบัน และบาปในอนาคตข้างหน้า ที่เรามีโอกาสทำอีก เราปฏิเสธไม่ได้เลย มีใครกล้าที่จะยกมือบอกว่าหลังจากเชื่อพระเจ้า เราไม่เคยทำผิดเลย โกหก ไม่จริง พระเยซูบอกว่าแค่คิดไม่ดีก็บาปแล้ว หรืออะไรก็ตามที่เราคิดว่าดี แล้วเราไม่ทำ ก็บาปแล้ว ถ้าใช้กฎเดิม คือพระคัมภีร์เดิม มนุษย์ไม่สามารถหลุดพ้นได้ เพราะทำผิดครั้งเดียว ถือว่าผิดหมด ต่อให้มนุษย์จะทำดีขนาดไหน? ทำดีได้ 99.99% ทำบาป 0.000001% ท่านก็บาปแล้ว ตายลูกเดียว
ฉะนั้น มนุษย์ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นจากความบาปได้ ไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ ด้วยการประพฤติดีของมนุษย์เอง นี่คือเหตุผลหนึ่งที่พระเยซูคริสต์ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาปด้วย เป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีเชื้อของบาปอยู่เลย แล้วพระองค์ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายจะได้สามารถตายพร้อมกับพระองค์ ถ้าวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเราไม่ตาย เราก็ไม่สามารถบังเกิดใหม่ได้
ฉะนั้น วิญญาณบาปของเราได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว จะบอกว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ได้นะ เพราะจริงๆ พระเยซูคริสต์ทำเรียบร้อยเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว คือทุกอย่างสำเร็จแล้ว เพียงแต่ว่าเรารับรู้ความจริงเมื่อไรก็ตาม เราก็จะได้รับผลตรงนั้นทันที ซึ่งพระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ตัวเก่าที่เป็นบาปของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ด้วยพิธีบัพติศมา ก็คือเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังพร้อมกัน แล้วเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย พวกเราทุกคนก็ได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่าบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นพลเมืองของสวรรค์ เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือความจริงทั้งหมด ในโลกวิญญาณที่พระเจ้าเขียนไว้ว่าพระพรนานัปการ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ผู้เชื่อทั้งหลาย หรือมนุษยชาติทั้งหลาย มีหน้าที่ทำอย่างเดียว คือเดินเข้ามารับเอาของขวัญนี้ ไปเป็นของเรา พระเยซูให้เป็นของขวัญ เป็นพระคุณ ให้เราเปล่าๆ โดยไม่เกี่ยวอะไรกับการทำดี ทำไม่ดีอะไรของเราเลย ไม่เกี่ยวกัน
หลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าก็ยังไม่บังคับเราอีก แต่พระเจ้านำเสนอ บอกกับเราว่าเมื่อเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เมื่อเราได้เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว เมื่อเราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าแล้ว อันนี้เป็นการนำเสนอ หมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเป็นผู้ประกอบกิจอยู่ในเรา แล้วเป็นผู้ให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถพัฒนาชีวิตของตัวเราเองให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความเป็นจริง หรือสอดคล้องกับธรรมชาติใหม่ ที่พระเจ้าได้เปลี่ยนเราเรียบร้อยไปแล้ว จะมากหรือน้อยไม่เป็นไร ให้เราพัฒนาไปเรื่อยๆ รับรู้ความจริงไปเรื่อยๆ เราก็จะสามารถพัฒนาความเป็นเหมือนพระเจ้าได้เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อที่ 12-13 บอกว่า …
เอเฟซัส 6:12-13 “12 เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเหล่าเทพผู้ครอง เทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพของโลกอันมืดมนนี้ และต่อสู้กับเหล่าวิญญาณชั่วในย่านฟ้าอากาศ 13 ฉะนั้น จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อท่านจะยืนหยัดรับมือได้ เมื่อถึงวันอันชั่วร้าย และหลังจากท่านได้ผ่านทุกอย่างแล้ว ท่านก็ยังยืนหยัดอยู่ได้”
เราจะยืนหยัดอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อเรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ฉะนั้น มารซาตานส่งข้อมูลการโกหกหลอกลวง ทุกรูปแบบ มันจะส่งเข้ามาตลอดเวลา ที่ความคิดของเรา ฉะนั้น ความคิดของมนุษย์ คือสนามรบ หรือจะเรียกว่าเป็นศูนย์บัญชาการรบของมนุษย์คนนั้น ฉะนั้น หน้าที่ของมารที่ทำงานผ่านใครก็ได้ ที่เราอ่านเมื่อกี้ เทพผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ เทพผู้มีอำนาจ ก็คือสิ่งเหล่านี้เขาทำผ่านมนุษย์ ส่งข้อมูลมา ให้เราเชื่อตามมัน ฉะนั้น ตรงความคิดของเรา ถ้าเราคล้อยตามมัน เราก็จะประพฤติตามมันด้วย แต่ถ้าเรามีถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า เรียกว่ายึดพื้นที่ในความคิดของเรา เมื่อไร? เราก็จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เราก็จะเป็นผู้ชนะ การรบตรงนี้ ไม่ใช่เป็นการรบว่าเราต้องไปสู้รบปรบมือ ทะเลาะวิวาทกับคนอื่น ไม่เกี่ยวกัน ตรงนี้ แค่เรารู้ความจริงแล้ว เราไม่ยอมมัน
สมัยก่อน ถ้าเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราไม่ยอมมัน ก็ต้องยอม นึกออกไหม? เราไม่มีกำลังพอ ที่จะต่อต้านขัดขืน ไม่มีกำลังพอที่จะพยายามทำสิ่งที่เราเรียกว่าทำความดีได้ ทำดีเดี๋ยวก็ล้ม เดี๋ยวก็ทำชั่ว แต่เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ สิ่งที่มันไม่เหมือนกัน คือเรามีพระเจ้าอยู่ในเรา เรามีพลังอำนาจเพียงพอที่จะต่อต้านมัน คือไม่ยอมมัน คำว่า “ต่อต้าน” คือไม่ยอม ไม่ใช่ต่อต้าน โดยการไปถือดาบ ถือปืน ไปไล่วิ่ง ไม่ใช่ ต่อต้านด้วยวิธีไม่ยอม คำว่า “ไม่ยอม” หมายความว่าเราสามารถยืนอยู่ตรงที่ที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ข้อที่ 14 บอกว่า …
เอเฟซัส 6:14 “ด้วยเหตุนี้ จงยืนหยัดมั่นคง โดยคาดเอวด้วยเข็มขัดแห่งความจริง สวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรม”
ความจริงเรื่องอะไร? ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงที่พระเจ้าบอกเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ ความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าทันทีที่เราบังเกิดใหม่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ความจริงที่ว่า ณ เวลานี้ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน และพระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย พระเยซู ณ เวลานี้ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย ในโลกวิญญาณ นี่คือความจริง
“สวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรม” ในหนังสือเอเฟซัส อาจารย์เปาโลพยายามพูดให้คนในยุคนั้นได้เข้าใจ คนยุคนั้น ไม่เหมือนยุคนี้ ยุคนี้ถ้าเราจะสู้กัน เราจะฆ่าใครสักคน เราก็เอาปืนยิง ไม่อย่างนั้น เราก็ปล่อยจรวดปรมาณู แต่ว่าในยุคของเอเฟซัสตอนนี้ เขาสู้รบแบบโบราณ คือใส่ชุดเกราะ เวลาศัตรูยิงธนูมา ก็มีโล่ป้องกัน ฉะนั้น เป็นภาพที่ให้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นการสู้รบ แต่เป็นการสู้รบในโลกวิญญาณ
ความชอบธรรมที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ใส่เข้าไปในร่างกายของเรา เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูยิงธนูเข้ามาใส่เราได้ ป้องกัน ในขณะที่โลกนี้ ผ่านทางผีมารซาตานนั่นแหละ ส่งข้อมูลแห่งการโกหกหลอกลวง เข้ามาที่ความคิดของเรา เหมือนยิง การโกหกหลอกลวงเข้ามา เราอย่านิ่งเฉย ยิงกลับไป ด้วยถ้อยคำของพระเจ้า ถ้าเขาโกหกเราว่าตอนนี้ เราเป็นผู้เชื่อแล้วใช่ไหม? เราบอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา พระเจ้าจะสถิตอยู่ในเราได้อย่างไร? ถ้าพระเจ้าอยู่ในเรา ทำไมเรายังทำบาปอยู่ นั่นแหละ คือการโกหกแล้ว เราก็เริ่มสงสัย …
“จริง ถ้าพระเจ้าอยู่ในฉัน ฉันทำบาปได้อย่างไร? มันไม่น่าเป็นไปได้”
แต่ความเป็นจริงที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าตัวตนแท้ๆ ของเรา ที่บังเกิดใหม่แล้ว เราไม่ได้ทำบาปเลย แต่ที่เราทำบาป เพราะเราถูกหลอก มันเป็นปรสิต ไม่ใช่ตัวเรา มันหลอกให้เราไปคล้อยตามมัน ทำบาป ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ฉะนั้น เรายังคงยืนกรานเหมือนเดิม ในขณะที่เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วโลกนี้พยายามส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของเราว่า …
“พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว เธอแย่แน่เลย ถ้าเธอจากโลกนี้ไป เธอไม่ได้ขึ้นสวรรค์แน่ๆ เลย นิสัยแบบนี้ ทำโน่นก็ไม่ดี ทำนี่ก็ไม่ดี”
เราทำอย่างไร? เขายิงธนูมาใช่ไหม? เราเอาโล่ป้องกัน โล่ คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า แล้วเราก็ยิงธนูกลับไปเลย เราไม่ต้องเกรงใจนะ ยิงกลับไปเลยว่า …
“ฉันไม่เชื่อแกหรอก เพราะพระเจ้าบอกฉันว่าอย่างนี้”
เราควรจะเชื่อพระเจ้า หรือเราควรจะเชื่อคำโกหกหลอกลวง
“พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นลูกที่รัก เป็นดังแก้วตาดวงใจของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่ในฉัน พระเจ้าจะคอยดูแลฉัน นำพาย่างเท้าของฉัน แม้บางครั้ง ฉันอาจจะหลงไปเชื่อฟังแก ไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฉันก็ลุกขึ้นมาใหม่ เพราะว่าการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นลูกของพระเจ้าของฉันไปได้ ฉันยังคงเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย พระเจ้าไม่ทิ้งฉัน ไม่ว่าฉันจะทำอะไร พระเจ้าอยู่ในฉัน” นี่คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า
แล้วเมื่อเรายืนหยัดอยู่ตรงนี้ปุ๊บ เราจะสามารถทำลายป้อมปราการของผีมารซาตานผ่านทางมนุษย์ส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของเรา ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้มันสามารถผ่านทางบุคคล หรือสามารถผ่านทางคริสเตียนด้วยกัน ด้วยซ้ำไป สามารถผ่านทางคนที่ไม่เชื่อ ผ่านทางข่าวสารต่างๆ ที่เราไปเสพมัน ก็คือเราไปอ่านข่าวสาร อ่านข้อมูลอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงที่พระเจ้าบอกเรา เราปฏิเสธไปเลย ไม่ต้องรับ ยืนหยัดในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า ที่บอกว่า ณ เวลานี้ เราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ แล้วไม่ต้องกังวลว่าเมื่อเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หลังความตาย เราจะไม่รอด เราจะไม่สามารถไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้าได้ อันนั้น เขาก็โกหกเราอีก เพราะว่าพระเจ้าบอกเราว่าเราอยู่ที่สวรรค์ ตั้งแต่ขณะนี้แล้ว ตอนที่เราตัวเป็นๆ อยู่นี้ เราก็อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริง
ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ จะสามารถช่วยเรา ผู้เชื่อทั้งหลายที่จะผ่านพ้นการโกหกหลอกลวงทุกรูปแบบ ที่ถูกส่งเข้ามาในสมอง หรือในความคิดของเรา ข้อ 15 …
เอเฟซัส 6:15 “สวมรองเท้า ที่ทำให้พร้อมประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข”
ตรงนี้หลายคนกำลังเข้าใจผิด คิดว่าอาจารย์เปาโลกำลังสอนว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องสวมรองเท้าแล้วออกไปประกาศข่าวดีของพระเจ้านะ ต้องออกไปทำนะ แล้วบางคนเอาข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง ที่อาจารย์เปาโลเป็นคนพูดไว้ว่า …
“ข้าพเจ้าต้องประกาศ วิบัติแก่ข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐ”
เอาข้อพระคัมภีร์ข้อนี้มาขู่คริสเตียน ทำให้ทุกคนตกใจ แย่แล้ว ถ้าฉันไม่ประกาศ ฉันตายแน่ๆ เลย เป็นวิบัติแน่ๆ เลย พี่น้อง เวลาเราอ่านถ้อยคำของพระเจ้า เราต้องอ่านบริบทให้ดีๆ อ่านว่าถ้อยคำตรงนี้ พระเจ้ากำลังพูดกับใคร? แล้วอยู่ในช่วงเวลาไหน? อย่างไร? ตามถ้อยคำพระเจ้าพูดกับเราทุกคนหรือ? ไม่ใช่ แต่ถ้อยคำที่พระเจ้าพูดกับพวกเราทุกคน มีอยู่ในหนังสือยอห์น 3:16-18 นั่นพูดกับพวกเราทุกคน …
“ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์” นี่พูดกับทุกคนนะ ทุกคนจะได้หมด ถ้าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาจะได้รับความรอด ทุกคนได้เหมือนกัน แล้วถ้าใครไม่เชื่อ เขาก็อยู่ในการพิพากษาอยู่แล้ว สำหรับคนที่เขาไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรเขาเลย เขาอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในการพิพากษาของพระเจ้า สืบเนื่องจากบรรพบุรุษของเรา คืออาดัม ฉะนั้น มีทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะหลุดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ ก็คือมาย้ายที่อยู่ใหม่ ย้ายจากอยู่ในอาดัมเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือย้ายจากการพึ่งพาการกระทำดีของตัวเราเอง มาพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเจ้ามีแค่นั้นเอง
ฉะนั้น คำว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐ” บริบทตรงนี้ พระเจ้าพูดกับอาจารย์เปาโลคนเดียว แล้วอาจารย์เปาโลถูกสั่งให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งการประกาศกับคนต่างชาติในยุคนั้น ยุคต้นๆ หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ยังอยู่ในการข่มเหงทุกรูปแบบ ซึ่งชาวยิวจะข่มเหงคริสเตียนมากๆ ใครที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาบอกว่าพวกนี้กบฏกับพระเจ้า เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉะนั้น เขาจะคอยต่อต้านตลอดเวลา คนที่ต่อต้านหนักที่สุด คืออาจารย์เปาโลเองนั่นแหละ ต่อต้านทุกรูปแบบ แต่วันที่อาจารย์เปาโลได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือจะว่ากัน พระเจ้าเปิดตาใจให้อาจารย์เปาโลเห็นความจริงว่าความจริงแล้ว พระเจ้าได้ทำอะไรกับมนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือเป็นแผนการที่พระเจ้าบอกไว้ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าบอกว่าเราจะส่งพระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับมนุษยชาติ
ฉะนั้น เมื่ออาจารย์เปาโลเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูสั่งอาจารย์เปาโลคนเดียว อัครทูตคนเดียวเท่านั้น ที่ถูกสั่งให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ส่วนสาวกคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเปโตร ยากอบ ยอห์น พระเยซูคริสต์ให้เขาประกาศกับคนยิว แล้วอาจารย์เปาโลก็พูดความจริงตรงที่ว่าจริงๆ แล้วข่าวดีของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้มาถึงคนยิวก่อน คือประกาศกับคนยิวก่อนเลย แต่เพราะคนยิวไม่เชื่อ พระเจ้าก็บอกว่าไหนๆ ไม่เชื่อ เอาไว้ก่อน งั้นข่าวดีนี้ให้ไปถึงคนต่างชาติ แล้วหลังจากนั้นค่อยมาประกาศใหม่ คนยิวจะรับเชื่อหรือไม่รับเชื่อนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ แต่ว่าข่าวดีของพระเจ้า จะถูกประกาศออกไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก ก็คือคนต่างชาติ ซึ่งคนยิวดูถูกเหยียดหยามมาก คนยิวถือว่าคนต่างชาติเป็นเหมือนหมู เป็นเหมือนหมา ก็คือไม่สามารถมาเทียบระดับกับเขาได้เลย เขาโกรธมากที่อาจารย์เปาโลประกาศว่าข่าวดีของพระเจ้าจะถูกประกาศไปถึงคนต่างชาติ แล้วอาจารย์เปาโลก็ไปประกาศจริงๆ กับคนที่ไม่ใช่ยิว อาจารย์เปาโลจากการที่เป็นคนที่คนยิวนับหน้าถือตา กลายเป็นว่าเป็นศัตรูกัน คนยิวไล่ล่าฆ่าอาจารย์เปาโลทุกเวลา ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเสี่ยงมาก เสี่ยงกับความตายทุกวัน มีถ้อยคำที่อาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่า …
“ข้าพเจ้าตายทุกวัน” ก็คือมีโอกาสได้ตายทุกวัน เจอแจ็กพอร์ต โดนฟันตายเลย เพราะว่าในยุคนั้น คนยิวเขาโกรธอาจารย์เปาโลมากๆ แต่ว่าทุกครั้งที่อาจารย์เปาโลประกาศข่าวดีของพระเจ้า อาจารย์เปาโลก็ยังพูดเหมือนเดิม
“ข้าพเจ้าถูกเรียกมาให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ”
น้ำพระทัยของพระเจ้า คือพระเจ้าต้องการให้คนต่างชาติได้มีโอกาสเข้ามารับข่าวดีของพระเจ้า เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวยิว ก็คือเป็นพลเมืองของพระเจ้า เหมือนกับชาวยิวเลย ยิ่งไม่ไหว โกรธ มันไม่ได้ คือคนต่างชาติจะมาเป็นระดับเดียวกันกับเราไม่ได้เลย แต่ความจริง คือพระเจ้ากำหนดไว้อย่างนั้นแล้ว แล้วอาจารย์เปาโลก็ไม่ได้สนใจ ท่านไม่ชอบ ก็ไม่ใช่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันไม่ประกาศ ต่อให้ท่านไม่ชอบ เรื่องท่าน ท่านจะฆ่าเรา ก็เรื่องท่าน มีปัญญาฆ่า ก็มาฆ่าไปเลย ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต ให้ใครคนหนึ่งคนใดตาย ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้นะ เหมือนกับที่พระเยซูบอกว่า …
“นกกระจาบ 2 ตัว เขาซื้อบาทเดียวนะ แต่ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต ไม่มีใครยิงนกตัวนั้นตายได้เลย”
พระเยซูกำลังพูดอะไร? กำลังบอกความจริงว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่พระเจ้าทำ คือพระเจ้าไม่บังคับ เราอยากให้พระเจ้าบังคับเรามากๆ เลย แต่พระเจ้าไม่บังคับ ถ้าพระเจ้าบังคับเรา เราก็ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกอย่าง พระเจ้ากดรีโมตให้เราเชื่อฟังๆ จงเชื่อฟัง เราก็ตามนั้น เหมือนหุ่นยนต์ เราก็โอเคๆ เชื่อฟังๆ แต่พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น พระเจ้าให้อิสระเสรีภาพกับมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่อดีต อาดัมเอวา จนถึงทุกวันนี้ เราผู้เชื่อ แม้เราถูกซื้อด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งจริงๆ เราไม่สามารถหือได้เลย ชีวิตเราไม่มีแล้ว พระเยซูคริสต์เป็นเจ้าของชีวิตเรา แต่พระเจ้าก็ยังคงความเป็นพระองค์เอง ก็คือให้อิสรภาพกับมนุษย์ กับผู้เชื่อ ให้ตัดสินใจว่ามนุษย์คนนั้น เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขาจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่? หรือเขาจะดื้อกับพระองค์ ดื้อกับพระองค์ ก็คือรับข้อมูลจากข้างนอก คำโกหก หลอกลวงที่ถูกส่งเข้ามา แล้วก็คล้อยตามมัน หรือจะรับข้อมูลจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ข้างในผู้เชื่อเหล่านั้น แล้วก็คล้อยตามที่พระเจ้าบอก
ฉะนั้น สนามรบที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ คือความคิด ถ้าความคิดเราจดจ่ออยู่ที่พระเจ้า เราก็จะดำเนินชีวิตคล้อยตามพระเจ้า ให้สมกับที่เราเป็นบุตรที่รักของพระองค์ เราก็จะสามารถสำแดงความเป็นจริง หรือตัวตนแท้ๆ ของเรา ออกไปได้มากขึ้นๆ ทุกวัน แต่ถ้าเรายอมระบบของโลกนี้ การโกหก หลอกลวงทุกรูปแบบ ส่งเข้ามาในความคิดของเรา แล้วเราคล้อยตาม เราก็จะทำตามระบบของโลกนี้เช่นเดียวกัน แต่ว่าถ้าเราเผลอทำตาม ยังคงบอกว่าไม่เป็นไร เพราะว่าพระเจ้ายกโทษให้กับเราทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องมาขออภัยนะ วิญญาณของเราเป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เวลาเราทำไม่ถูกต้อง พระเจ้าเป็นผู้ควบคุม 2 กฎใช่ไหม? กฎทั้งวิญญาณ กฎทั้งบนโลกใบนี้ ถ้าเราทำไม่ถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระองค์ มันก็จะมีกฎของโลกนี้ พิพากษาเราเอง
ฉะนั้น หลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ในจดหมายฝาก เขียนคำว่าพิพากษาเมื่อไร? ถ้าเป็นเรื่องของร่างกายบนโลกใบนี้ เราจะถูกพิพากษา เพราะว่าเราทำสิ่งที่ไม่ดี คนที่พิพากษาเรา คือคนรอบข้างนั่นแหละ พิพากษาอย่างไร? …
“เป็นคริสเตียนทำไมถึงนิสัยอย่างนี้ ไหนบอกว่าพระเจ้าเป็นความรักไง ขี้เหนียวจังเลย ไม่เห็นมีความรักเลย เจอใครก็ด่าอย่างเดียวเลย”
นั่นแหละ เราถูกพิพากษาไปแล้ว ใช่ไหม? ถูกต้องไหม? แต่คำว่า “พิพากษา” ไม่เกี่ยวกับวิญญาณของเรา วิญญาณเราจะไม่ถูกพิพากษาใดๆ เลย เพราะว่าวิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่ สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ฉะนั้น เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ เราคิดให้ดีๆ อย่าให้ถูกหลอกว่าเราเป็นผู้เชื่อแล้ว วิญญาณเรายังสามารถถูกพิพากษาอีก ไม่จริง เป็นคำโกหก และหลอกเราด้วย แล้วผู้เชื่อหลายคนหลงเชื่อด้วย กลัวลานเลย …
“แย่แล้วๆ ถ้าเราตายไป เรายังจะรอดไหม? วิญญาณเราจะต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้าไหม? เรายังต้องให้พระเจ้าพิพากษาว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้านะ ทิ้งเจ้าไป’”
เป็นอย่างนั้นไหม? ไม่จริง พระเจ้ารู้จักเราตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ถ้าเราได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าพระเยซูคริสต์รู้จักเรา ทำไมเราถึงรู้ว่ารู้จัก เพราะว่าพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราไง ถ้าไม่รู้จัก จะเข้ามาได้อย่างไร? นึกออกไหม? พระเจ้าบอกว่าเราเคาะที่ประตูใจของเจ้า ถ้าใครก็ตามเปิดประตูออก เราจะเข้าไปอยู่กับผู้นั้น เราจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา แล้วเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา หมายความว่ารู้จักคุ้นเคย เราเคยอยู่ดีๆ ไปบ้านคนแปลกหน้า แล้วก็ไปกินข้าวกับเขา มีไหม? ไม่มีนะ เราจะไปบ้านใคร? ไปทานข้าวด้วยกัน เราต้องรู้จักมักจี่ ไม่ใช่รู้จักอย่างเดียว รู้จักเฉยๆ เราก็ยังไม่ไปทานข้าวด้วย มันยังไม่สนิท แต่ถ้าเมื่อไรที่เราไปทานข้าวบ้านใคร? แปลว่ามันสนิทน่าดูเลย เรายอมที่จะไปทานข้าวกับเขา ไม่อย่างนั้น วางตัวไม่ถูก
ภาพเดียวกัน พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา รู้จักมักจี่เรา ตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ จะมีอะไรไหมบนโลกใบนี้ ที่จะสามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้าได้ หรือว่าหลังความตาย เราต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อถูกพิพากษาอีกหรือ? มันไม่ใช่แน่นอน ถ้าผู้เชื่อถูกหลอกว่าหลังความตาย เราต้องไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์การพิพากษาจากพระเจ้า พระบิดา เพราะว่าหลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว ผิดเล็ก ผิดน้อย ผิดฝอย ผิดอะไรเยอะแยะมากมายเลย เราต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ แปลว่าถ้าเรายืนอยู่ตรงนั้น พระเยซูต้องไปยืนกับเราด้วย ต้องไปถูกพิพากษาด้วย แล้วมันจริงไหม? ที่พระเยซูคริสต์ต้องถูกพิพากษาด้วย พี่น้องแค่คิดง่ายๆ เลย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพระเจ้า พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ พระองค์ไม่เคยทำบาป แล้วพระองค์ยอมที่จะเป็นคนบาป เพื่อเรา ตายเพื่อเรา นี่คือภาพที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริง แล้วความจริงตรงนี้แหละ จะทำให้เราเป็นไท
ฉะนั้น การสวมรองเท้า พร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข หมายความว่าการดำเนินชีวิต เวลาเราดำเนินชีวิต เราจะออกไปข้างนอก เราเดินเท้าเปล่าได้ไหม? ไม่ได้ เราก็ต้องใส่รองเท้า อยู่ข้างในบ้าน เรายังต้องใส่รองเท้าเลย
การดำเนินชีวิตของเรา ในแต่ละวัน ให้ชีวิตของเราได้ประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอดของพระเยซูคริสต์ หรืออีกนัยหนึ่งที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านทั้งหลายเป็นตัวหนังสือของพระเยซูคริสต์ ซึ่งท่านเดินไปไหน? คนอื่นสามารถอ่านออกเลยว่านี่ใช่เลย เป็นลูกพระเจ้า แล้วคำที่พระเยซูคริสต์พูดอยู่ประโยคหนึ่ง คือคนจะรู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นสาวกของเรา เมื่อท่านรักซึ่งกันและกัน
คำว่า “รักซึ่งกันและกัน” ในโลกวิญญาณ คือเรารักแล้ว ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า เรารักกันเลย ไม่ต้องพยายามทำ เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก แล้วพระเจ้าผู้นี้ เข้ามาอยู่ในเรา อยู่ในผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ท่านก็เป็นความรัก เมื่อท่านกับเราเป็นความรัก มีพระเจ้าอยู่ในทั้งท่านและเรา แปลว่าเราทั้งหมดนั่นแหละ บนโลกใบนี้ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราเป็นหนึ่งเดียวกัน และรักซึ่งกันและกันในวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว ส่วนการประพฤติคนละเรื่อง ความประพฤติเราค่อยๆ พัฒนาบุคลิกของเราให้สอดคล้องกับความเป็นจริง คือให้เหมือนกับที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว
ท่านทั้งหลายจงดำเนินชีวิตเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับที่ได้เป็นบุตรที่รักแล้ว ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนั้น ฉะนั้น การดำเนินชีวิตของเราจะส่องให้คนอื่นได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา
เอเฟซัส 6:16 “นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จงยึดโล่แห่งความเชื่อ ซึ่งพวกท่านใช้ดับลูกศรเพลิงทั้งปวงของมารร้ายได้”
ลูกศรเพลิงอธิบายไปแล้วนะ คือคำโกหกหลอกลวงที่ส่งเข้ามาในความคิดของเรา เราใช้โล่แห่งความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าเราเป็นใคร? ฉะนั้น ความเชื่อตรงนี้เป็นเกราะ เป็นโล่ เป็นที่คุ้มกันภัยให้กับพวกเรา
เอเฟซัส 6:17 “จงสวมหมวกเกราะแห่งความรอด และถือดาบแห่งพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า”
จริงๆ ทั้งหมดนี้ อาจารย์เปาโลกำลังให้พี่น้องเห็นภาพ ภาพของนักรบ สมัยนั้น พอจะออกรบต้องสวมชุดเกราะ ต้องมีโล่ ต้องมีดาบ ต้องมีธนู มีคันธนู มีครบเลย เป็นภาพ ฉะนั้น ภาพตรงนี้ ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง สวมหมวกเกราะแห่งความรอด ก็คือทำไมต้องมีหมวก
ทุกวันนี้เขารณรงค์ให้คนขี่มอเตอร์ไซด์ใส่หมวกกันน็อค เพื่อป้องกันศีรษะของเรา ถ้าเกิดพลาดพลั้ง เรารถล้ม เรายังปลอดภัยอยู่
ทำไมรัฐบาลต้องรณรงค์ให้ใส่หมวกกันน็อค มันเป็นความปลอดภัยของเราเอง ไม่ได้เป็นอะไรเกี่ยวกับคนอื่นเลย ภาพเดียวกัน ที่พระเจ้าบอกเราว่าให้ใส่หมวกเกราะแห่งความรอด … ความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าบอกเราว่ารอดแล้ว รอดเลย ไม่ต้องมีมายึกยักว่ารอดแล้ว ตกลงพรุ่งนี้ ไม่รอดไหม? ถ้าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มะรืนนี้ไปคิดไม่ดีกับเพื่อนอีก รอดไหมเนี้ย? ยืนยันเลยว่ารอดแล้ว รอดเลย เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว บังเกิดใหม่เลย เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้ามาอยู่เลย ไม่มีใครเอาเราออกจากพระเยซูคริสต์ได้อีกแล้ว
เอเฟซัส 6:18 “และจงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกโอกาส ด้วยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกรูปแบบ โดยคำนึงถึงสิ่งนี้ จงเฝ้าระวังด้วยความมานะอดทน และด้วยการวิงวอนเผื่อประชากรทั้งปวงของพระเจ้าเสมอ”
อธิษฐานในพระวิญญาณ หมายความว่าข้างในวิญญาณระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ตลอดเวลา การอธิษฐานตลอดเวลา ทุกรูปแบบ ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องต้องไปนั่งคุกเข่าอธิษฐานกับพระเจ้าทุกวัน ทุกเวลา วันละ 24 ชั่วโมง ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไม่ใช่ การอธิษฐาน ท่านสามารถที่จะคุยกับพระเจ้า ที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ อยู่บนรถเมล์ก็คุยได้ อยู่บนท้องถนนเดินไป ก็คุยกับพระเจ้าได้ ระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าเรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำไมอาจารย์เปาโลต้องพูดให้คนเอเฟซัสอธิษฐานเผื่อท่านด้วย …
เอเฟซัส 6:19 “และเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อใดที่ข้าพเจ้าเอ่ยปาก พระเจ้าจะประทานถ้อยคำให้ข้าพเจ้าสำแดงข้อล้ำลึกแห่งข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ”
อาจารย์เปาโลต้องการคำอธิษฐานมากๆ เพราะข้อล้ำลึกแห่งข่าวประเสริฐ ก็คือพระเจ้าได้เลือกชาวยิวก่อน แล้วหลังจากนั้น คนต่างชาติ ความรอดของพระเจ้ามาถึงทั้งสองกลุ่ม แล้วทั้งสองกลุ่มสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ได้ ซึ่งเป็นการประกาศที่ทำให้คนยิวไม่พอใจมาก ไล่ล่าฆ่านั่นแหละ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกอธิษฐานเผื่อเราด้วยให้มีความกล้าหาญ
กล้าตรงไหน? ไม่รู้แหละ แม้จะมีดาบมาจ่อที่คอ ก็ยังให้กล้าหาญที่จะพูดความจริงของข่าวประเสริฐออกไป
เอเฟซัส 6:20 “เพราะข่าวประเสริฐนี้ ข้าพเจ้าจึงเป็นทูตที่ถูกล่ามโซ่อยู่ เพื่อว่าข้าพเจ้าจะประกาศข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญตามที่ข้าพเจ้าสมควรจะทำ”
อาจารย์เปาโลถูกล่ามโซ่ ถูกจับ ถูกตี ถูกทุกรูปแบบ แต่ว่าอาจารย์เปาโลพูดว่าไม่มีโซ่อันไหนสามารถล่ามถ้อยคำของพระเจ้าได้ อยากล่ามโซ่ล่ามไป อยากจับไปติดคุก เชิญตามสบาย อยากเอาเข้าไปอยู่ในถ้ำลึกๆ ก็ตามสบาย อาจารย์เปาโลสามารถเขียนจดหมายออกมาหนุนใจผู้เชื่อทั้งหลายแหล่ในยุคนั้น ให้เขามั่นคงในความเชื่อนี้ ให้เขาระลึกว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา
แล้วอย่างที่บอก ที่เราคุยกันบ่อยๆ ก็คือคนในยุคนั้น ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เขาเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์ใกล้จะเสด็จมาแล้ว ไม่เป็นไรหรอก อีกอึดใจเดียว ถูกข่มเหง ก็ไม่เป็นไร ถูกจับไปตี ก็ไม่เป็นไร ติดคุกก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพระเจ้าก็มารับเรากลับบ้านแล้ว นั่นเป็นความรู้สึกของคนในยุคนั้น
แต่พอถึงยุคของเราเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตาม ให้เราระลึกอยู่เสมอว่าความหวังใจเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าบอกว่าโลกใบนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา เป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น วันหนึ่งพวกเราผู้เชื่อจะต้องกลับบ้านถาวรของเรา ก็คือสถานที่ใหม่ โลกใบใหม่ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ สำหรับผู้เชื่อทั้งหลายเรียบร้อยไปแล้ว แล้วรวมทั้งร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าเป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นมาจากความตาย เต็มไปด้วยสง่าราศี ซึ่งพระเจ้าเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราไปสวมร่างกายใหม่ทันที เหมือนกับที่ในพระคัมภีร์บอกว่าเราจะไม่เปลือยเปล่า ส่วนคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า วิญญาณออกจากร่างเขาเปลือยเปล่า เพราะว่าเขาไม่มีร่างกายใหม่ให้สวม เพราะเป็นวิญญาณที่ถูกพิพากษา รอวันที่จะถูกส่งไปในบึงไฟนรก
เอเฟซัส 6:21-24 “21 ทีคิกัสน้องที่รัก ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้ทราบด้วยว่าข้าพเจ้าเป็นอย่างไร และกำลังทำอะไรอยู่ 22 ข้าพเจ้าจะส่งเขาไปหาท่าน ก็เพราะจุดประสงค์ข้อนี้เอง คือเพื่อให้ท่านทราบว่าพวกเราเป็นอยู่อย่างไร และเพื่อเขาจะได้ให้กำลังใจท่าน 23 สันติสุขและความรัก ด้วยความเชื่อจากพระเจ้าพระบิดา และจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่พี่น้องทั้งหลาย 24 พระคุณดำรงอยู่กับคนทั้งปวง ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วยความรักอันไม่เสื่อมสลาย”
ไม่ขอนะ เพราะว่ามันมีอยู่แล้ว สันติสุขที่พระเจ้าให้กับเรา ทันทีที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าให้เราเป็นสันติสุขเรียบร้อยไปแล้ว เป็นความรักเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือไม่ต้องขอนะ มันมีอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว
คนที่รักพระองค์ หมายความว่าคนนั้นได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ฉะนั้น พระคุณของพระเจ้าสถิตอยู่ในผู้นั้นเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องขออีก
คำว่า “ความรักที่ไม่เสื่อมสลาย” หมายความว่าทันทีที่เรากลับใจใหม่ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าแห่งความรักเข้ามาในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราเป็นความรัก แล้วเป็นความรักที่ไม่เสื่อมสลาย เพราะว่าความรักนี้ เป็นความรัก ซึ่งพระเจ้าผู้เป็นความรักเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ฉะนั้น พระเจ้าผู้นี้ ความรักที่ไม่เสื่อมสลาย จะอยู่ในวิญญาณที่บังเกิดใหม่เท่านั้น ฉะนั้น เราไม่ต้องไปกลัวว่าเราจะไม่รักพระเจ้า ไม่ต้องกลัวนะ เพราะวิญญาณข้างในเรารักพระเจ้า 100% 1,000% 10,000% ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ที่เราจะรักพระเจ้า ด้วยกำลังของเรา แต่เป็นพระเจ้าผู้กระทำให้เรารักพระองค์ เรียกว่ารักอย่างที่พระองค์ต้องการให้เราเป็น
นี่คือความจริงทั้งหมดในโลกวิญญาณ ที่อาจารย์เปาโลได้เขียนไว้ในหนังสือเอเฟซัส วันนี้เราก็จบหนังสือเล่มนี้ พระเจ้าอวยพรค่ะ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
บัพติศมาในน้ำ เป็นภาพของการบังเกิดใหม่ ทางฝ่ายวิญญาณ ในนามพระเยซูคริสต์
1 เปโตร 3:21… “และบัพติศมา ซึ่งเป็นภาพของการช่วยให้รอด ทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่รอดโดยการขจัดความสกปรกของร่างกายภายนอก แต่โดยได้รับการชำระภายใน ได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ และใจใหม่ ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ผ่านความเชื่อของท่าน ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์”
คริสเตียน … ท่านรอด มิใช่โดยความประพฤติภายนอก … แต่เป็นความเชื่อภายใน เรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ
เอเฟซัส 2:8-9 … “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปราน ของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติหรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีของตัวเองในความรอดของตนได้”
พระเจ้าอวยพรครับ