วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1460

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  มีนาคม  2024

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 35

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อหนังสือเอเฟซัส 6:9 …

        เอเฟซัส 6:9 “ผู้ที่เป็นนายจงปฏิบัติต่อทาสในทำนองเดียวกัน    อย่าข่มขู่เขาใน เมื่อรู้อยู่ว่าพระองค์ผู้ทรงเป็นองค์เจ้านายทั้งของเขาและของท่านนั้นอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงลำเอียงเข้าข้างใคร”

            คราวที่แล้วเราพูดถึงลักษณะการดำเนินชีวิตที่พระเจ้า บอกผ่านอาจารย์เปาโลว่าเมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราอยู่ในสถานะไหน? ก็ให้เราอยู่ในสถานะนั้น  อย่าคิดว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ สถานะความเป็นอยู่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องเปลี่ยนไป หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์บอกว่าเราเป็นอิสระแล้ว เราไม่เป็นทาสของความบาปและความตายแล้ว แล้วก็นำเอาเรื่องนี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน

            สมัยก่อนพระคัมภีร์ตรงนี้ มีการค้าทาสอยู่ มีคนที่ตกเป็นทาสของเจ้านายเยอะแยะมากมาย  แต่ถ้อยคำของพระเจ้าตรัสสอนว่า ถ้าท่านอยู่ในสถานะเป็นทาส ก็ให้เป็นทาสต่อไป  แต่ว่าให้ดำเนินชีวิตที่ดี ทำดีกับเจ้านายของตัวเอง  อย่าคิดว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะทำให้เราไม่ได้กลายเป็นทาส

            แต่อีกนัยหนึ่ง คือถ้าพระเจ้าจะทำ พระองค์ทำได้ แต่ไม่ได้เป็นความต้องการของเราเองที่พยายามถีบตัวเองให้หลุดจากการเป็นทาส ฉะนั้น ให้เราอยู่ในสถานะอย่างนั้นแหละ  ตามที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับเรา

            มาข้อที่ 10 เป็นข้อที่สำคัญมากๆ ในหนังสือจดหมายฉบับนี้ …

        เอเฟซัส 6:10 “สุดท้ายนี้จงเข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า  และในฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์”

            ตรงนี้อาจารย์เปาโลบอกว่า “จงเข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า” หมายความว่ามันเป็นเรื่องของวิญญาณข้างใน ที่พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเราแล้ว  ข้างในวิญญาณเราเข้มแข็ง ตัวเราเองจะอ่อนแอก็ไม่เป็นไร แต่ว่าให้รับรู้ความจริงว่าวิญญาณข้างในของเรา พระเจ้าเป็นผู้ประทานความเข้มแข็งให้กับพวกเราในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ข้อ 11 …

        เอเฟซัส 6:11 “จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า  เพื่อท่านจะยืนหยัดต่อสู้แผนการทั้งหลายของมารได้”

            ในหนังสือตรงนี้ อาจารย์เปาโลย้ำกับคนเอเฟซัส เพราะว่าช่วงนั้นจะมีการโกหกหลอกลวงเยอะแยะทุกรูปแบบ ที่ถูกส่งเข้ามาในคริสตจักรของพระองค์ ในขณะเดียวกัน ไม่เพียงแต่ในยุคเดิมเท่านั้น  ในยุคของเราปัจจุบันก็มีโอกาสที่จะถูกส่งข้อมูลที่มันไม่ได้เป็นไปตามความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าเข้ามาในเราเหมือนกัน ฉะนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายจำเป็นจะต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อเราจะได้ยืนหยัดต่อสู้แผนการทั้งหลายของมาร  มารมีแผนทำอะไร? พระคัมภีร์บอกเราแล้ว มารมา เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย ลักเอาความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าออกไปจากชีวิตของเรา ฆ่าเราโดยการส่งคำโกหกหลอกลวงเข้ามา ในสมองของเรา  เพื่อเราจะได้คล้อยตามมัน ทำลายทุกอย่างที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น ซึ่งจริงๆ เราเป็นอยู่แล้ว ตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นผู้ชอบธรรม เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว แต่มารจะพยายามส่งข้อมูลเข้ามาในสมองของเราว่า …

            “ไม่จริงหรอก เรื่องเหล่านี้เรายังไม่ได้รับหรอก ต้องรอก่อน รอให้ตายจากโลกนี้ไป เราค่อยไปรับ”

            แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า คือทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เราได้รับสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยไปแล้ว เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเรียบร้อยไปแล้ว คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ แต่ความจริงในถ้อยคำของพระองค์มันเป็นอย่างนั้น ก็คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ทำไมพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราได้ ในขณะที่ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้  ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ สูงสุด ยิ่งใหญ่  ทำไมพระองค์จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ พระคำของพระองค์บอกว่าพระเจ้าได้ทรงชำระร่างกายของเรา ซึ่งร่างกายที่ยังอยู่ภายใต้ความบาปและความตายอยู่นี้ ที่วันหนึ่งจะต้องตายจากไป  แต่พระเจ้าทรงชำระให้สะอาดบริสุทธิ์  จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นวิหารของพระเจ้าได้ เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้

            ถ้าร่างกายเรายังสกปรกอยู่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ไม่ได้ ถ้าพระองค์เข้ามาอยู่ปุ๊บ เราตายทันที จำได้ใช่ไหมกฎพระคัมภีร์เดิม มนุษย์เข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้ เข้าใกล้ปุ๊บ ตายทันที นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ หลังจากที่พวกเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ก็คือเราได้รับวิญญาณใหม่ ซึ่งพระเจ้าเปลี่ยนให้เราใหม่เลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ความคิดจิตใจใหม่ ที่ถูกเปลี่ยนเหมือนพระเยซูคริสต์ด้วย ร่างกายที่ยังเป็นร่างกายเดิม แต่ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา นี่คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า

            ฉะนั้น ระบบของโลกนี้ ผ่านทางผีมารซาตานที่มาลัก ฆ่าและทำลาย พยายามที่จะส่งข้อมูลมาบอกเราว่าไม่จริงหรอก พระเจ้าไม่สามารถสถิตอยู่กับเราได้ ถ้าเผื่อเราทำบาป ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าไม่อยู่กับเราแน่ๆ  พระเจ้าก็จะลอยไปจากชีวิตของเรา  ซึ่งความเป็นจริง คือมันโกหกเรา ทำให้เรากลัวที่จะเข้ามาใกล้พระเจ้า ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราอยู่ใกล้พระเจ้าอยู่แล้ว เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าผู้เชื่อจะทำผิดแค่ไหนก็ตาม  พระเจ้ายังคงสถิตอยู่ในท่าน นี่คือความจริง ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าก็สอนเราว่าให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้บังเกิดใหม่ ก็คือสมกับที่เราเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ให้ทำตัวให้ดีๆ หน่อย  แต่ไม่ว่าเราจะทำตัวได้ดีหรือไม่ดีขนาดไหนก็ตาม  พระเจ้าก็ยังคงรับเราเป็นลูกของพระองค์ เพราะการเป็นลูกของพระเจ้าไม่ได้เกิดจากการประพฤติดีของเรา  ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติเลย  แต่มาจากความเชื่อ  เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน  เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า  เชื่อในพระโลหิตไถ่ของพระองค์ว่าชำระล้างความผิดบาปของเราเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่บาปอดีต บาปปัจจุบัน และบาปในอนาคตข้างหน้า ที่เรามีโอกาสทำอีก เราปฏิเสธไม่ได้เลย มีใครกล้าที่จะยกมือบอกว่าหลังจากเชื่อพระเจ้า เราไม่เคยทำผิดเลย โกหก ไม่จริง พระเยซูบอกว่าแค่คิดไม่ดีก็บาปแล้ว หรืออะไรก็ตามที่เราคิดว่าดี แล้วเราไม่ทำ ก็บาปแล้ว ถ้าใช้กฎเดิม คือพระคัมภีร์เดิม มนุษย์ไม่สามารถหลุดพ้นได้ เพราะทำผิดครั้งเดียว ถือว่าผิดหมด ต่อให้มนุษย์จะทำดีขนาดไหน? ทำดีได้ 99.99% ทำบาป 0.000001% ท่านก็บาปแล้ว  ตายลูกเดียว

            ฉะนั้น มนุษย์ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นจากความบาปได้ ไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ ด้วยการประพฤติดีของมนุษย์เอง  นี่คือเหตุผลหนึ่งที่พระเยซูคริสต์ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาปด้วย เป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีเชื้อของบาปอยู่เลย แล้วพระองค์ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายจะได้สามารถตายพร้อมกับพระองค์ ถ้าวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเราไม่ตาย เราก็ไม่สามารถบังเกิดใหม่ได้

            ฉะนั้น วิญญาณบาปของเราได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว จะบอกว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ได้นะ เพราะจริงๆ พระเยซูคริสต์ทำเรียบร้อยเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  คือทุกอย่างสำเร็จแล้ว  เพียงแต่ว่าเรารับรู้ความจริงเมื่อไรก็ตาม เราก็จะได้รับผลตรงนั้นทันที ซึ่งพระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว

            ตัวเก่าที่เป็นบาปของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ด้วยพิธีบัพติศมา ก็คือเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังพร้อมกัน แล้วเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย พวกเราทุกคนก็ได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่าบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นพลเมืองของสวรรค์ เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือความจริงทั้งหมด ในโลกวิญญาณที่พระเจ้าเขียนไว้ว่าพระพรนานัปการ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ผู้เชื่อทั้งหลาย หรือมนุษยชาติทั้งหลาย มีหน้าที่ทำอย่างเดียว คือเดินเข้ามารับเอาของขวัญนี้ ไปเป็นของเรา พระเยซูให้เป็นของขวัญ เป็นพระคุณ ให้เราเปล่าๆ โดยไม่เกี่ยวอะไรกับการทำดี ทำไม่ดีอะไรของเราเลย ไม่เกี่ยวกัน

            หลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า  พระเจ้าก็ยังไม่บังคับเราอีก แต่พระเจ้านำเสนอ บอกกับเราว่าเมื่อเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เมื่อเราได้เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว เมื่อเราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าแล้ว  อันนี้เป็นการนำเสนอ หมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์  จะเป็นผู้ประกอบกิจอยู่ในเรา แล้วเป็นผู้ให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถพัฒนาชีวิตของตัวเราเองให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความเป็นจริง หรือสอดคล้องกับธรรมชาติใหม่ ที่พระเจ้าได้เปลี่ยนเราเรียบร้อยไปแล้ว จะมากหรือน้อยไม่เป็นไร ให้เราพัฒนาไปเรื่อยๆ รับรู้ความจริงไปเรื่อยๆ เราก็จะสามารถพัฒนาความเป็นเหมือนพระเจ้าได้เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อที่ 12-13 บอกว่า …

        เอเฟซัส 6:12-13 “12 เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเหล่าเทพผู้ครอง เทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพของโลกอันมืดมนนี้ และต่อสู้กับเหล่าวิญญาณชั่วในย่านฟ้าอากาศ 13 ฉะนั้น จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อท่านจะยืนหยัดรับมือได้ เมื่อถึงวันอันชั่วร้าย และหลังจากท่านได้ผ่านทุกอย่างแล้ว ท่านก็ยังยืนหยัดอยู่ได้”

            เราจะยืนหยัดอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อเรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ฉะนั้น มารซาตานส่งข้อมูลการโกหกหลอกลวง ทุกรูปแบบ มันจะส่งเข้ามาตลอดเวลา ที่ความคิดของเรา ฉะนั้น ความคิดของมนุษย์ คือสนามรบ หรือจะเรียกว่าเป็นศูนย์บัญชาการรบของมนุษย์คนนั้น ฉะนั้น หน้าที่ของมารที่ทำงานผ่านใครก็ได้ ที่เราอ่านเมื่อกี้ เทพผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ เทพผู้มีอำนาจ ก็คือสิ่งเหล่านี้เขาทำผ่านมนุษย์ ส่งข้อมูลมา ให้เราเชื่อตามมัน ฉะนั้น ตรงความคิดของเรา ถ้าเราคล้อยตามมัน เราก็จะประพฤติตามมันด้วย แต่ถ้าเรามีถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า  เรียกว่ายึดพื้นที่ในความคิดของเรา เมื่อไร? เราก็จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เราก็จะเป็นผู้ชนะ การรบตรงนี้ ไม่ใช่เป็นการรบว่าเราต้องไปสู้รบปรบมือ ทะเลาะวิวาทกับคนอื่น ไม่เกี่ยวกัน ตรงนี้ แค่เรารู้ความจริงแล้ว เราไม่ยอมมัน

            สมัยก่อน  ถ้าเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราไม่ยอมมัน ก็ต้องยอม นึกออกไหม? เราไม่มีกำลังพอ ที่จะต่อต้านขัดขืน ไม่มีกำลังพอที่จะพยายามทำสิ่งที่เราเรียกว่าทำความดีได้ ทำดีเดี๋ยวก็ล้ม เดี๋ยวก็ทำชั่ว แต่เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ สิ่งที่มันไม่เหมือนกัน คือเรามีพระเจ้าอยู่ในเรา  เรามีพลังอำนาจเพียงพอที่จะต่อต้านมัน คือไม่ยอมมัน คำว่า “ต่อต้าน” คือไม่ยอม ไม่ใช่ต่อต้าน โดยการไปถือดาบ ถือปืน ไปไล่วิ่ง ไม่ใช่ ต่อต้านด้วยวิธีไม่ยอม คำว่า “ไม่ยอม” หมายความว่าเราสามารถยืนอยู่ตรงที่ที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ข้อที่ 14 บอกว่า …

        เอเฟซัส 6:14 “ด้วยเหตุนี้  จงยืนหยัดมั่นคง โดยคาดเอวด้วยเข็มขัดแห่งความจริง สวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรม”

            ความจริงเรื่องอะไร? ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  ความจริงที่พระเจ้าบอกเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ ความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าทันทีที่เราบังเกิดใหม่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ความจริงที่ว่า ณ เวลานี้ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  และพระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย  พระเยซู ณ เวลานี้ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  เราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย ในโลกวิญญาณ นี่คือความจริง

            “สวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรม” ในหนังสือเอเฟซัส อาจารย์เปาโลพยายามพูดให้คนในยุคนั้นได้เข้าใจ คนยุคนั้น ไม่เหมือนยุคนี้ ยุคนี้ถ้าเราจะสู้กัน เราจะฆ่าใครสักคน เราก็เอาปืนยิง ไม่อย่างนั้น เราก็ปล่อยจรวดปรมาณู แต่ว่าในยุคของเอเฟซัสตอนนี้ เขาสู้รบแบบโบราณ คือใส่ชุดเกราะ เวลาศัตรูยิงธนูมา ก็มีโล่ป้องกัน  ฉะนั้น เป็นภาพที่ให้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นการสู้รบ แต่เป็นการสู้รบในโลกวิญญาณ

            ความชอบธรรมที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  ใส่เข้าไปในร่างกายของเรา  เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูยิงธนูเข้ามาใส่เราได้ ป้องกัน ในขณะที่โลกนี้ ผ่านทางผีมารซาตานนั่นแหละ ส่งข้อมูลแห่งการโกหกหลอกลวง เข้ามาที่ความคิดของเรา  เหมือนยิง การโกหกหลอกลวงเข้ามา เราอย่านิ่งเฉย ยิงกลับไป ด้วยถ้อยคำของพระเจ้า  ถ้าเขาโกหกเราว่าตอนนี้ เราเป็นผู้เชื่อแล้วใช่ไหม? เราบอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา  พระเจ้าจะสถิตอยู่ในเราได้อย่างไร? ถ้าพระเจ้าอยู่ในเรา ทำไมเรายังทำบาปอยู่ นั่นแหละ คือการโกหกแล้ว เราก็เริ่มสงสัย …

            “จริง ถ้าพระเจ้าอยู่ในฉัน ฉันทำบาปได้อย่างไร? มันไม่น่าเป็นไปได้”

            แต่ความเป็นจริงที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าตัวตนแท้ๆ ของเรา ที่บังเกิดใหม่แล้ว เราไม่ได้ทำบาปเลย แต่ที่เราทำบาป เพราะเราถูกหลอก มันเป็นปรสิต ไม่ใช่ตัวเรา มันหลอกให้เราไปคล้อยตามมัน ทำบาป ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ฉะนั้น เรายังคงยืนกรานเหมือนเดิม ในขณะที่เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วโลกนี้พยายามส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของเราว่า …

            “พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว เธอแย่แน่เลย ถ้าเธอจากโลกนี้ไป เธอไม่ได้ขึ้นสวรรค์แน่ๆ เลย นิสัยแบบนี้ ทำโน่นก็ไม่ดี ทำนี่ก็ไม่ดี”

            เราทำอย่างไร? เขายิงธนูมาใช่ไหม? เราเอาโล่ป้องกัน โล่ คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า แล้วเราก็ยิงธนูกลับไปเลย  เราไม่ต้องเกรงใจนะ ยิงกลับไปเลยว่า …

            “ฉันไม่เชื่อแกหรอก  เพราะพระเจ้าบอกฉันว่าอย่างนี้”

            เราควรจะเชื่อพระเจ้า หรือเราควรจะเชื่อคำโกหกหลอกลวง

            “พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นลูกที่รัก เป็นดังแก้วตาดวงใจของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่ในฉัน  พระเจ้าจะคอยดูแลฉัน นำพาย่างเท้าของฉัน แม้บางครั้ง ฉันอาจจะหลงไปเชื่อฟังแก ไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฉันก็ลุกขึ้นมาใหม่ เพราะว่าการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นลูกของพระเจ้าของฉันไปได้  ฉันยังคงเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม  ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย พระเจ้าไม่ทิ้งฉัน ไม่ว่าฉันจะทำอะไร พระเจ้าอยู่ในฉัน” นี่คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า

            แล้วเมื่อเรายืนหยัดอยู่ตรงนี้ปุ๊บ เราจะสามารถทำลายป้อมปราการของผีมารซาตานผ่านทางมนุษย์ส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของเรา  ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้มันสามารถผ่านทางบุคคล หรือสามารถผ่านทางคริสเตียนด้วยกัน ด้วยซ้ำไป สามารถผ่านทางคนที่ไม่เชื่อ ผ่านทางข่าวสารต่างๆ  ที่เราไปเสพมัน ก็คือเราไปอ่านข่าวสาร อ่านข้อมูลอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงที่พระเจ้าบอกเรา เราปฏิเสธไปเลย ไม่ต้องรับ ยืนหยัดในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า ที่บอกว่า ณ เวลานี้ เราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ แล้วไม่ต้องกังวลว่าเมื่อเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หลังความตาย เราจะไม่รอด  เราจะไม่สามารถไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้าได้ อันนั้น เขาก็โกหกเราอีก เพราะว่าพระเจ้าบอกเราว่าเราอยู่ที่สวรรค์ ตั้งแต่ขณะนี้แล้ว ตอนที่เราตัวเป็นๆ อยู่นี้  เราก็อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริง

            ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ จะสามารถช่วยเรา ผู้เชื่อทั้งหลายที่จะผ่านพ้นการโกหกหลอกลวงทุกรูปแบบ ที่ถูกส่งเข้ามาในสมอง หรือในความคิดของเรา  ข้อ 15 …

        เอเฟซัส 6:15 “สวมรองเท้า   ที่ทำให้พร้อมประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข”

            ตรงนี้หลายคนกำลังเข้าใจผิด คิดว่าอาจารย์เปาโลกำลังสอนว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องสวมรองเท้าแล้วออกไปประกาศข่าวดีของพระเจ้านะ ต้องออกไปทำนะ แล้วบางคนเอาข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง ที่อาจารย์เปาโลเป็นคนพูดไว้ว่า …

            “ข้าพเจ้าต้องประกาศ วิบัติแก่ข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐ”

            เอาข้อพระคัมภีร์ข้อนี้มาขู่คริสเตียน  ทำให้ทุกคนตกใจ  แย่แล้ว ถ้าฉันไม่ประกาศ  ฉันตายแน่ๆ เลย  เป็นวิบัติแน่ๆ เลย พี่น้อง เวลาเราอ่านถ้อยคำของพระเจ้า เราต้องอ่านบริบทให้ดีๆ  อ่านว่าถ้อยคำตรงนี้ พระเจ้ากำลังพูดกับใคร? แล้วอยู่ในช่วงเวลาไหน?  อย่างไร?  ตามถ้อยคำพระเจ้าพูดกับเราทุกคนหรือ? ไม่ใช่ แต่ถ้อยคำที่พระเจ้าพูดกับพวกเราทุกคน มีอยู่ในหนังสือยอห์น 3:16-18 นั่นพูดกับพวกเราทุกคน …

            “ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์” นี่พูดกับทุกคนนะ  ทุกคนจะได้หมด ถ้าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาจะได้รับความรอด ทุกคนได้เหมือนกัน แล้วถ้าใครไม่เชื่อ เขาก็อยู่ในการพิพากษาอยู่แล้ว  สำหรับคนที่เขาไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรเขาเลย เขาอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในการพิพากษาของพระเจ้า สืบเนื่องจากบรรพบุรุษของเรา คืออาดัม ฉะนั้น มีทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะหลุดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ ก็คือมาย้ายที่อยู่ใหม่ ย้ายจากอยู่ในอาดัมเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือย้ายจากการพึ่งพาการกระทำดีของตัวเราเอง มาพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเจ้ามีแค่นั้นเอง

            ฉะนั้น คำว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐ” บริบทตรงนี้ พระเจ้าพูดกับอาจารย์เปาโลคนเดียว แล้วอาจารย์เปาโลถูกสั่งให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งการประกาศกับคนต่างชาติในยุคนั้น  ยุคต้นๆ หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ยังอยู่ในการข่มเหงทุกรูปแบบ ซึ่งชาวยิวจะข่มเหงคริสเตียนมากๆ ใครที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาบอกว่าพวกนี้กบฏกับพระเจ้า เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ฉะนั้น เขาจะคอยต่อต้านตลอดเวลา คนที่ต่อต้านหนักที่สุด คืออาจารย์เปาโลเองนั่นแหละ ต่อต้านทุกรูปแบบ แต่วันที่อาจารย์เปาโลได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือจะว่ากัน พระเจ้าเปิดตาใจให้อาจารย์เปาโลเห็นความจริงว่าความจริงแล้ว พระเจ้าได้ทำอะไรกับมนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือเป็นแผนการที่พระเจ้าบอกไว้ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าบอกว่าเราจะส่งพระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับมนุษยชาติ

            ฉะนั้น เมื่ออาจารย์เปาโลเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ  พระเยซูสั่งอาจารย์เปาโลคนเดียว อัครทูตคนเดียวเท่านั้น ที่ถูกสั่งให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ส่วนสาวกคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเปโตร ยากอบ ยอห์น พระเยซูคริสต์ให้เขาประกาศกับคนยิว  แล้วอาจารย์เปาโลก็พูดความจริงตรงที่ว่าจริงๆ แล้วข่าวดีของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้มาถึงคนยิวก่อน คือประกาศกับคนยิวก่อนเลย แต่เพราะคนยิวไม่เชื่อ พระเจ้าก็บอกว่าไหนๆ ไม่เชื่อ เอาไว้ก่อน งั้นข่าวดีนี้ให้ไปถึงคนต่างชาติ แล้วหลังจากนั้นค่อยมาประกาศใหม่ คนยิวจะรับเชื่อหรือไม่รับเชื่อนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ แต่ว่าข่าวดีของพระเจ้า จะถูกประกาศออกไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก ก็คือคนต่างชาติ ซึ่งคนยิวดูถูกเหยียดหยามมาก คนยิวถือว่าคนต่างชาติเป็นเหมือนหมู เป็นเหมือนหมา ก็คือไม่สามารถมาเทียบระดับกับเขาได้เลย  เขาโกรธมากที่อาจารย์เปาโลประกาศว่าข่าวดีของพระเจ้าจะถูกประกาศไปถึงคนต่างชาติ  แล้วอาจารย์เปาโลก็ไปประกาศจริงๆ กับคนที่ไม่ใช่ยิว อาจารย์เปาโลจากการที่เป็นคนที่คนยิวนับหน้าถือตา กลายเป็นว่าเป็นศัตรูกัน คนยิวไล่ล่าฆ่าอาจารย์เปาโลทุกเวลา ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเสี่ยงมาก เสี่ยงกับความตายทุกวัน มีถ้อยคำที่อาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่า …

            “ข้าพเจ้าตายทุกวัน” ก็คือมีโอกาสได้ตายทุกวัน เจอแจ็กพอร์ต โดนฟันตายเลย  เพราะว่าในยุคนั้น คนยิวเขาโกรธอาจารย์เปาโลมากๆ แต่ว่าทุกครั้งที่อาจารย์เปาโลประกาศข่าวดีของพระเจ้า อาจารย์เปาโลก็ยังพูดเหมือนเดิม

            “ข้าพเจ้าถูกเรียกมาให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ

            น้ำพระทัยของพระเจ้า คือพระเจ้าต้องการให้คนต่างชาติได้มีโอกาสเข้ามารับข่าวดีของพระเจ้า เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวยิว ก็คือเป็นพลเมืองของพระเจ้า  เหมือนกับชาวยิวเลย ยิ่งไม่ไหว  โกรธ มันไม่ได้ คือคนต่างชาติจะมาเป็นระดับเดียวกันกับเราไม่ได้เลย แต่ความจริง คือพระเจ้ากำหนดไว้อย่างนั้นแล้ว แล้วอาจารย์เปาโลก็ไม่ได้สนใจ ท่านไม่ชอบ ก็ไม่ใช่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันไม่ประกาศ ต่อให้ท่านไม่ชอบ เรื่องท่าน ท่านจะฆ่าเรา ก็เรื่องท่าน มีปัญญาฆ่า ก็มาฆ่าไปเลย  ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต ให้ใครคนหนึ่งคนใดตาย ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้นะ  เหมือนกับที่พระเยซูบอกว่า …

            “นกกระจาบ 2 ตัว เขาซื้อบาทเดียวนะ แต่ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต ไม่มีใครยิงนกตัวนั้นตายได้เลย”

            พระเยซูกำลังพูดอะไร? กำลังบอกความจริงว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  แต่สิ่งที่พระเจ้าทำ คือพระเจ้าไม่บังคับ เราอยากให้พระเจ้าบังคับเรามากๆ เลย แต่พระเจ้าไม่บังคับ ถ้าพระเจ้าบังคับเรา เราก็ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกอย่าง พระเจ้ากดรีโมตให้เราเชื่อฟังๆ จงเชื่อฟัง เราก็ตามนั้น เหมือนหุ่นยนต์ เราก็โอเคๆ เชื่อฟังๆ แต่พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น พระเจ้าให้อิสระเสรีภาพกับมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่อดีต อาดัมเอวา จนถึงทุกวันนี้ เราผู้เชื่อ แม้เราถูกซื้อด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งจริงๆ เราไม่สามารถหือได้เลย  ชีวิตเราไม่มีแล้ว พระเยซูคริสต์เป็นเจ้าของชีวิตเรา แต่พระเจ้าก็ยังคงความเป็นพระองค์เอง  ก็คือให้อิสรภาพกับมนุษย์ กับผู้เชื่อ ให้ตัดสินใจว่ามนุษย์คนนั้น เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขาจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่?  หรือเขาจะดื้อกับพระองค์ ดื้อกับพระองค์ ก็คือรับข้อมูลจากข้างนอก  คำโกหก หลอกลวงที่ถูกส่งเข้ามา แล้วก็คล้อยตามมัน  หรือจะรับข้อมูลจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ข้างในผู้เชื่อเหล่านั้น แล้วก็คล้อยตามที่พระเจ้าบอก

            ฉะนั้น สนามรบที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ คือความคิด ถ้าความคิดเราจดจ่ออยู่ที่พระเจ้า เราก็จะดำเนินชีวิตคล้อยตามพระเจ้า ให้สมกับที่เราเป็นบุตรที่รักของพระองค์ เราก็จะสามารถสำแดงความเป็นจริง หรือตัวตนแท้ๆ ของเรา ออกไปได้มากขึ้นๆ ทุกวัน แต่ถ้าเรายอมระบบของโลกนี้  การโกหก หลอกลวงทุกรูปแบบ ส่งเข้ามาในความคิดของเรา แล้วเราคล้อยตาม เราก็จะทำตามระบบของโลกนี้เช่นเดียวกัน  แต่ว่าถ้าเราเผลอทำตาม ยังคงบอกว่าไม่เป็นไร เพราะว่าพระเจ้ายกโทษให้กับเราทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ต้องมาขออภัยนะ  วิญญาณของเราเป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เวลาเราทำไม่ถูกต้อง พระเจ้าเป็นผู้ควบคุม 2 กฎใช่ไหม?  กฎทั้งวิญญาณ กฎทั้งบนโลกใบนี้ ถ้าเราทำไม่ถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระองค์ มันก็จะมีกฎของโลกนี้ พิพากษาเราเอง

            ฉะนั้น หลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ในจดหมายฝาก เขียนคำว่าพิพากษาเมื่อไร? ถ้าเป็นเรื่องของร่างกายบนโลกใบนี้  เราจะถูกพิพากษา เพราะว่าเราทำสิ่งที่ไม่ดี คนที่พิพากษาเรา คือคนรอบข้างนั่นแหละ  พิพากษาอย่างไร? …

            “เป็นคริสเตียนทำไมถึงนิสัยอย่างนี้ ไหนบอกว่าพระเจ้าเป็นความรักไง ขี้เหนียวจังเลย  ไม่เห็นมีความรักเลย  เจอใครก็ด่าอย่างเดียวเลย”

            นั่นแหละ เราถูกพิพากษาไปแล้ว ใช่ไหม? ถูกต้องไหม?  แต่คำว่า “พิพากษา” ไม่เกี่ยวกับวิญญาณของเรา วิญญาณเราจะไม่ถูกพิพากษาใดๆ เลย เพราะว่าวิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่ สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ฉะนั้น เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ เราคิดให้ดีๆ  อย่าให้ถูกหลอกว่าเราเป็นผู้เชื่อแล้ว วิญญาณเรายังสามารถถูกพิพากษาอีก  ไม่จริง เป็นคำโกหก และหลอกเราด้วย  แล้วผู้เชื่อหลายคนหลงเชื่อด้วย กลัวลานเลย …

            “แย่แล้วๆ  ถ้าเราตายไป เรายังจะรอดไหม? วิญญาณเราจะต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้าไหม?  เรายังต้องให้พระเจ้าพิพากษาว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้านะ ทิ้งเจ้าไป’”

            เป็นอย่างนั้นไหม?  ไม่จริง พระเจ้ารู้จักเราตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ถ้าเราได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าพระเยซูคริสต์รู้จักเรา  ทำไมเราถึงรู้ว่ารู้จัก เพราะว่าพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราไง ถ้าไม่รู้จัก จะเข้ามาได้อย่างไร? นึกออกไหม? พระเจ้าบอกว่าเราเคาะที่ประตูใจของเจ้า ถ้าใครก็ตามเปิดประตูออก เราจะเข้าไปอยู่กับผู้นั้น  เราจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา แล้วเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา  หมายความว่ารู้จักคุ้นเคย เราเคยอยู่ดีๆ ไปบ้านคนแปลกหน้า แล้วก็ไปกินข้าวกับเขา มีไหม? ไม่มีนะ เราจะไปบ้านใคร?  ไปทานข้าวด้วยกัน เราต้องรู้จักมักจี่ ไม่ใช่รู้จักอย่างเดียว รู้จักเฉยๆ เราก็ยังไม่ไปทานข้าวด้วย มันยังไม่สนิท แต่ถ้าเมื่อไรที่เราไปทานข้าวบ้านใคร? แปลว่ามันสนิทน่าดูเลย เรายอมที่จะไปทานข้าวกับเขา  ไม่อย่างนั้น วางตัวไม่ถูก

            ภาพเดียวกัน พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา รู้จักมักจี่เรา ตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา  เราอยู่ในพระองค์ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ จะมีอะไรไหมบนโลกใบนี้ ที่จะสามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้าได้ หรือว่าหลังความตาย เราต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า  เพื่อถูกพิพากษาอีกหรือ?  มันไม่ใช่แน่นอน ถ้าผู้เชื่อถูกหลอกว่าหลังความตาย เราต้องไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์การพิพากษาจากพระเจ้า พระบิดา เพราะว่าหลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว  ผิดเล็ก ผิดน้อย ผิดฝอย ผิดอะไรเยอะแยะมากมายเลย เราต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ แปลว่าถ้าเรายืนอยู่ตรงนั้น พระเยซูต้องไปยืนกับเราด้วย  ต้องไปถูกพิพากษาด้วย  แล้วมันจริงไหม? ที่พระเยซูคริสต์ต้องถูกพิพากษาด้วย พี่น้องแค่คิดง่ายๆ เลย มันเป็นไปไม่ได้  เพราะพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพระเจ้า  พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ พระองค์ไม่เคยทำบาป แล้วพระองค์ยอมที่จะเป็นคนบาป  เพื่อเรา  ตายเพื่อเรา นี่คือภาพที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริง แล้วความจริงตรงนี้แหละ  จะทำให้เราเป็นไท

            ฉะนั้น การสวมรองเท้า พร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข หมายความว่าการดำเนินชีวิต เวลาเราดำเนินชีวิต เราจะออกไปข้างนอก เราเดินเท้าเปล่าได้ไหม? ไม่ได้ เราก็ต้องใส่รองเท้า อยู่ข้างในบ้าน เรายังต้องใส่รองเท้าเลย

            การดำเนินชีวิตของเรา ในแต่ละวัน ให้ชีวิตของเราได้ประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอดของพระเยซูคริสต์ หรืออีกนัยหนึ่งที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านทั้งหลายเป็นตัวหนังสือของพระเยซูคริสต์ ซึ่งท่านเดินไปไหน? คนอื่นสามารถอ่านออกเลยว่านี่ใช่เลย เป็นลูกพระเจ้า แล้วคำที่พระเยซูคริสต์พูดอยู่ประโยคหนึ่ง คือคนจะรู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นสาวกของเรา เมื่อท่านรักซึ่งกันและกัน

            คำว่า “รักซึ่งกันและกัน” ในโลกวิญญาณ คือเรารักแล้ว ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า  เรารักกันเลย ไม่ต้องพยายามทำ  เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก  แล้วพระเจ้าผู้นี้ เข้ามาอยู่ในเรา อยู่ในผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า  ท่านก็เป็นความรัก  เมื่อท่านกับเราเป็นความรัก มีพระเจ้าอยู่ในทั้งท่านและเรา แปลว่าเราทั้งหมดนั่นแหละ บนโลกใบนี้ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  และรักซึ่งกันและกันในวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว ส่วนการประพฤติคนละเรื่อง ความประพฤติเราค่อยๆ พัฒนาบุคลิกของเราให้สอดคล้องกับความเป็นจริง คือให้เหมือนกับที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว

            ท่านทั้งหลายจงดำเนินชีวิตเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับที่ได้เป็นบุตรที่รักแล้ว ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนั้น ฉะนั้น การดำเนินชีวิตของเราจะส่องให้คนอื่นได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา

        เอเฟซัส 6:16 “นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จงยึดโล่แห่งความเชื่อ ซึ่งพวกท่านใช้ดับลูกศรเพลิงทั้งปวงของมารร้ายได้”

            ลูกศรเพลิงอธิบายไปแล้วนะ  คือคำโกหกหลอกลวงที่ส่งเข้ามาในความคิดของเรา เราใช้โล่แห่งความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าเราเป็นใคร? ฉะนั้น ความเชื่อตรงนี้เป็นเกราะ เป็นโล่ เป็นที่คุ้มกันภัยให้กับพวกเรา

        เอเฟซัส 6:17 “จงสวมหมวกเกราะแห่งความรอด และถือดาบแห่งพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า”

            จริงๆ ทั้งหมดนี้ อาจารย์เปาโลกำลังให้พี่น้องเห็นภาพ ภาพของนักรบ สมัยนั้น พอจะออกรบต้องสวมชุดเกราะ ต้องมีโล่ ต้องมีดาบ ต้องมีธนู มีคันธนู มีครบเลย  เป็นภาพ ฉะนั้น ภาพตรงนี้ ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง สวมหมวกเกราะแห่งความรอด  ก็คือทำไมต้องมีหมวก

            ทุกวันนี้เขารณรงค์ให้คนขี่มอเตอร์ไซด์ใส่หมวกกันน็อค เพื่อป้องกันศีรษะของเรา ถ้าเกิดพลาดพลั้ง เรารถล้ม เรายังปลอดภัยอยู่

            ทำไมรัฐบาลต้องรณรงค์ให้ใส่หมวกกันน็อค มันเป็นความปลอดภัยของเราเอง ไม่ได้เป็นอะไรเกี่ยวกับคนอื่นเลย ภาพเดียวกัน ที่พระเจ้าบอกเราว่าให้ใส่หมวกเกราะแห่งความรอด … ความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าบอกเราว่ารอดแล้ว รอดเลย  ไม่ต้องมีมายึกยักว่ารอดแล้ว ตกลงพรุ่งนี้ ไม่รอดไหม? ถ้าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มะรืนนี้ไปคิดไม่ดีกับเพื่อนอีก รอดไหมเนี้ย? ยืนยันเลยว่ารอดแล้ว รอดเลย เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว บังเกิดใหม่เลย  เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้ามาอยู่เลย  ไม่มีใครเอาเราออกจากพระเยซูคริสต์ได้อีกแล้ว

        เอเฟซัส 6:18 “และจงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกโอกาส ด้วยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกรูปแบบ โดยคำนึงถึงสิ่งนี้ จงเฝ้าระวังด้วยความมานะอดทน และด้วยการวิงวอนเผื่อประชากรทั้งปวงของพระเจ้าเสมอ”

            อธิษฐานในพระวิญญาณ หมายความว่าข้างในวิญญาณระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ตลอดเวลา การอธิษฐานตลอดเวลา ทุกรูปแบบ ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องต้องไปนั่งคุกเข่าอธิษฐานกับพระเจ้าทุกวัน ทุกเวลา วันละ 24 ชั่วโมง ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไม่ใช่ การอธิษฐาน ท่านสามารถที่จะคุยกับพระเจ้า ที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้  อยู่บนรถเมล์ก็คุยได้  อยู่บนท้องถนนเดินไป ก็คุยกับพระเจ้าได้  ระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าเรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำไมอาจารย์เปาโลต้องพูดให้คนเอเฟซัสอธิษฐานเผื่อท่านด้วย …

        เอเฟซัส 6:19  “และเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อใดที่ข้าพเจ้าเอ่ยปาก พระเจ้าจะประทานถ้อยคำให้ข้าพเจ้าสำแดงข้อล้ำลึกแห่งข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ”

            อาจารย์เปาโลต้องการคำอธิษฐานมากๆ เพราะข้อล้ำลึกแห่งข่าวประเสริฐ ก็คือพระเจ้าได้เลือกชาวยิวก่อน แล้วหลังจากนั้น คนต่างชาติ ความรอดของพระเจ้ามาถึงทั้งสองกลุ่ม แล้วทั้งสองกลุ่มสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ได้ ซึ่งเป็นการประกาศที่ทำให้คนยิวไม่พอใจมาก ไล่ล่าฆ่านั่นแหละ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกอธิษฐานเผื่อเราด้วยให้มีความกล้าหาญ

            กล้าตรงไหน? ไม่รู้แหละ แม้จะมีดาบมาจ่อที่คอ ก็ยังให้กล้าหาญที่จะพูดความจริงของข่าวประเสริฐออกไป

        เอเฟซัส 6:20 “เพราะข่าวประเสริฐนี้  ข้าพเจ้าจึงเป็นทูตที่ถูกล่ามโซ่อยู่ เพื่อว่าข้าพเจ้าจะประกาศข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญตามที่ข้าพเจ้าสมควรจะทำ”

            อาจารย์เปาโลถูกล่ามโซ่ ถูกจับ ถูกตี ถูกทุกรูปแบบ แต่ว่าอาจารย์เปาโลพูดว่าไม่มีโซ่อันไหนสามารถล่ามถ้อยคำของพระเจ้าได้ อยากล่ามโซ่ล่ามไป  อยากจับไปติดคุก เชิญตามสบาย  อยากเอาเข้าไปอยู่ในถ้ำลึกๆ  ก็ตามสบาย  อาจารย์เปาโลสามารถเขียนจดหมายออกมาหนุนใจผู้เชื่อทั้งหลายแหล่ในยุคนั้น ให้เขามั่นคงในความเชื่อนี้ ให้เขาระลึกว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา

            แล้วอย่างที่บอก ที่เราคุยกันบ่อยๆ ก็คือคนในยุคนั้น ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เขาเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์ใกล้จะเสด็จมาแล้ว ไม่เป็นไรหรอก อีกอึดใจเดียว  ถูกข่มเหง ก็ไม่เป็นไร ถูกจับไปตี ก็ไม่เป็นไร  ติดคุกก็ไม่เป็นไร  เดี๋ยวพระเจ้าก็มารับเรากลับบ้านแล้ว นั่นเป็นความรู้สึกของคนในยุคนั้น

            แต่พอถึงยุคของเราเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตาม ให้เราระลึกอยู่เสมอว่าความหวังใจเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าบอกว่าโลกใบนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา  เป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น วันหนึ่งพวกเราผู้เชื่อจะต้องกลับบ้านถาวรของเรา ก็คือสถานที่ใหม่ โลกใบใหม่ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ สำหรับผู้เชื่อทั้งหลายเรียบร้อยไปแล้ว แล้วรวมทั้งร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าเป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นมาจากความตาย เต็มไปด้วยสง่าราศี  ซึ่งพระเจ้าเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราไปสวมร่างกายใหม่ทันที เหมือนกับที่ในพระคัมภีร์บอกว่าเราจะไม่เปลือยเปล่า ส่วนคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า วิญญาณออกจากร่างเขาเปลือยเปล่า เพราะว่าเขาไม่มีร่างกายใหม่ให้สวม เพราะเป็นวิญญาณที่ถูกพิพากษา รอวันที่จะถูกส่งไปในบึงไฟนรก

        เอเฟซัส 6:21-24 “21 ทีคิกัสน้องที่รัก ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้ทราบด้วยว่าข้าพเจ้าเป็นอย่างไร และกำลังทำอะไรอยู่ 22 ข้าพเจ้าจะส่งเขาไปหาท่าน ก็เพราะจุดประสงค์ข้อนี้เอง คือเพื่อให้ท่านทราบว่าพวกเราเป็นอยู่อย่างไร และเพื่อเขาจะได้ให้กำลังใจท่าน 23 สันติสุขและความรัก   ด้วยความเชื่อจากพระเจ้าพระบิดา และจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่พี่น้องทั้งหลาย 24 พระคุณดำรงอยู่กับคนทั้งปวง  ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วยความรักอันไม่เสื่อมสลาย”

            ไม่ขอนะ เพราะว่ามันมีอยู่แล้ว สันติสุขที่พระเจ้าให้กับเรา ทันทีที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าให้เราเป็นสันติสุขเรียบร้อยไปแล้ว เป็นความรักเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือไม่ต้องขอนะ  มันมีอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว

            คนที่รักพระองค์ หมายความว่าคนนั้นได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ฉะนั้น พระคุณของพระเจ้าสถิตอยู่ในผู้นั้นเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ต้องขออีก

            คำว่า “ความรักที่ไม่เสื่อมสลาย” หมายความว่าทันทีที่เรากลับใจใหม่ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าแห่งความรักเข้ามาในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราเป็นความรัก แล้วเป็นความรักที่ไม่เสื่อมสลาย เพราะว่าความรักนี้ เป็นความรัก ซึ่งพระเจ้าผู้เป็นความรักเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ฉะนั้น พระเจ้าผู้นี้ ความรักที่ไม่เสื่อมสลาย จะอยู่ในวิญญาณที่บังเกิดใหม่เท่านั้น ฉะนั้น เราไม่ต้องไปกลัวว่าเราจะไม่รักพระเจ้า  ไม่ต้องกลัวนะ  เพราะวิญญาณข้างในเรารักพระเจ้า  100% 1,000% 10,000% ไปเรียบร้อยแล้ว  ไม่ใช่ที่เราจะรักพระเจ้า ด้วยกำลังของเรา  แต่เป็นพระเจ้าผู้กระทำให้เรารักพระองค์ เรียกว่ารักอย่างที่พระองค์ต้องการให้เราเป็น

            นี่คือความจริงทั้งหมดในโลกวิญญาณ  ที่อาจารย์เปาโลได้เขียนไว้ในหนังสือเอเฟซัส วันนี้เราก็จบหนังสือเล่มนี้ พระเจ้าอวยพรค่ะ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            บัพติศมาในน้ำ เป็นภาพของการบังเกิดใหม่ ทางฝ่ายวิญญาณ ในนามพระเยซูคริสต์

            1 เปโตร 3:21… “และบัพติศมา ซึ่งเป็นภาพของการช่วยให้รอด ทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่รอดโดยการขจัดความสกปรกของร่างกายภายนอก แต่โดยได้รับการชำระภายใน ได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ และใจใหม่ ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ผ่านความเชื่อของท่าน ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์”

            คริสเตียน … ท่านรอด มิใช่โดยความประพฤติภายนอก … แต่เป็นความเชื่อภายใน เรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ

            เอเฟซัส 2:8-9 … “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปราน ของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติหรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีของตัวเองในความรอดของตนได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1459

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  มีนาคม  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 4.1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนและหลังเชื่อพระเยซู” วันนี้เป็นตอนที่ 4 …

            จากตอนที่ 1 เราได้รับคำตอบไปแล้วว่าวิญญาณของคริสเตียนก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ

            ตอนที่ 2 เราได้เรียนรู้แล้วว่าก่อนเชื่อวิญญาณของคริสเตียนอยู่ในอาดัม หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์

            ตอนที่ 3 เราเรียนรู้แล้วว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกเราว่าก่อนเชื่อนั้น เราเป็นทาสบาป หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์

            วันนี้มาตอนที่ 4 “ก่อนเชื่ออยู่ในความมืด หลังเชื่ออยู่ในความสว่าง”

            เรากำลังเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ หรือเป็นวิญญาณ แสวงหาพระเจ้า เรียนรู้จักพระเจ้าต้องเรียนรู้ทางวิญญาณเท่านั้น ไม่ใช่ตามองเห็น  เพราะฉะนั้น เรากำลังพูดถึงโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่พูดมาทั้งหมด ทุกวัน เมื่อไรก็ตามอ่านพระคัมภีร์ เล่าให้คนอื่นฟัง หรือประกาศ หรือเข้าใจเอง หรือจะร้องเพลงเกี่ยวกับพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำภายในวิญญาณเท่านั้น ด้วยจิตวิญญาณและความจริง ความจริง คือถ้อยคำของพระเจ้าที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจริงๆ 

            ถ้อยคำ ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง ซึ่งพระเจ้าจะเปิดเผยในความจริงเหล่านี้ให้กับเราทั้งหลายได้รับรู้ เมื่อเราแสวงหาพระองค์อย่างจริงใจ  ก็คือจากวิญญาณและความจริง เกี่ยวกับความรู้ในเรื่องโลกวิญญาณ เกี่ยวกับพระองค์ และเราได้รับรู้ว่าวิญญาณของมนุษย์ก่อนที่จะเป็นคริสเตียน อยู่ในความมืด

            นี่คือความจริงอีกส่วนหนึ่ง ในโลกวิญญาณที่พระเจ้า แจ้งให้เรา บอกให้เราได้รับรู้ ซึ่งเราจะเรียนรู้ในวันนี้ว่าวิญญาณของมนุษย์ ก่อนที่จะเป็นคริสเตียนอยู่ในความมืด แต่หลังเชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว อยู่ในความสว่าง มันเป็นอย่างไร? อย่าลืมนะ เรากำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ  อย่าเอาความคิด สติปัญญา ตรรกะ เหตุผลแบบมนุษย์มาใช้กับเรื่องราวต่อไปนี้ จากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล จงคิด จงมองให้เห็นเถิดในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นเช่นนั้น ซึ่งเราอาจจะไม่เข้าใจหมดเลย  แต่เราเรียนรู้ไปทีละนิดทีละหน่อย  พระวิญญาณจะสำแดงสิ่งเหล่านี้ ให้กับเราทั้งหลายได้เข้าใจมากขึ้น  เราทั้งหลายผู้ซึ่งได้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระองค์ และได้เปิดใจต้อนรับข่าวดีแล้ว ได้เป็นคริสเตียน ได้เป็นผู้เชื่อแล้ว

            มาดูกันว่าที่เราคริสเตียนได้อยู่ในความสว่าง ความสว่างนี้ คืออะไร? คือใคร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  ที่พระเจ้าได้ทำให้เรา ได้อยู่ในความสว่างนี้แล้ว  หลังเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นอดีตไปแล้ว ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว หลังเชื่อแล้ว  เราได้อยู่ในความสว่าง

            ความสว่างเป็นอย่างไรหนอ เราอยากเรียนรู้ ขอพระเจ้าทรงเปิดตา ประทานสติปัญญาฝ่ายวิญญาณ มันต้องใช้การรับรู้ทางวิญญาณ  ไม่ใช่ความคิดแบบมนุษย์ ขอพระองค์ทรงเมตตาช่วยเหลือเราทั้งหลายให้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เถิด เริ่มต้นที่ยอห์น 1:1-5 และข้อ 10 …

        ยอห์น 1:1-5, 10 “1 ตอนเริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้นก็มีพระคำ (พระคริสต์) อยู่แล้ว พระคำนี้ (พระคริสต์นี้) อยู่กับพระเจ้า และเป็นพระเจ้าด้วย 2 พระคำ (พระคริสต์) อยู่กับพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้น 3 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้  เกิดมาจากพระคำ (พระคริสต์) ทั้งนั้น  ไม่มีอะไรเลย ที่ไม่ได้เกิดมาจากพระคำ (พระคริสต์) 4 พระคำ (พระคริสต์) เป็นแหล่งของชีวิตที่เที่ยงแท้ ชีวิตนั้นได้นำความสว่างมาให้มนุษย์ทุกคน 5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืดอยู่ แต่ความมืดไม่สามารถเอาชนะ ไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถรับความสว่างนั้นได้ 10 พระองค์ (พระคริสต์) ได้อยู่ในโลกนี้ แต่โลกนี้ กลับไม่รู้จักพระองค์ ทั้งๆ ที่โลกนี้ ถูกสร้างผ่านทางพระองค์”

            พระเจ้าเริ่มพาเราไปเรียนรู้ความจริงตั้งแต่เริ่มต้นเลย จึงได้รู้ว่าเริ่มต้นที่เรามองเห็นทั้งหมด คือชีวิตต่างๆ ที่เรามองเห็นในโลกใบนี้ รวมทั้งตัวเราด้วย มันไม่ได้เกิดขึ้นก่อนสิ่งเหล่านี้  มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นก่อนที่จะกำเนิดโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ตอนเริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้น  มีพระคำอยู่แล้ว ก่อนจะมีสิ่งเหล่านี้ โลกนี้ทั้งใบ รวมทั้งมนุษย์ด้วย  พระคำคือใคร? คือพระเยซูคริสต์ พระเยซูแปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  พระคริสต์แปลว่าผู้ที่ถูกเจิม แต่งตั้งเอาไว้ ให้มาช่วยมนุษย์ให้รอด พระคำ คือชื่อที่พระเจ้าตั้งให้พระเยซู เพื่อจะทำให้มนุษย์ พอที่จะเข้าใจ แต่ว่าพระองค์มีหน้าที่ มาช่วยให้เรารอดอย่างไร? พยายามให้เราเข้าใจ จึงใช้คำว่าพระคำ จริงๆ แล้วพระเจ้าไม่มีชื่อ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย มีมาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งปวง ไม่มีอะไรเลย นอกจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถตั้งชื่อพระเจ้าได้ ผู้สร้างกับผู้ถูกสร้าง ผู้ถูกสร้าง ไม่สามารถแต่งตั้งชื่อให้กับพระเจ้าได้ ก็เลยเรียกพระเจ้าตามพระลักษณะของพระองค์ พระเจ้าก็สำแดงให้มนุษย์ได้รู้ว่าพระองค์มี 3 พระลักษณะ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไม่เข้าใจหรอก มันเป็นอย่างไร?  แต่พระเจ้าก็อธิบายให้เราฟังว่าพระเจ้าพระบิดา มีหน้าที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง มีหน้าที่เป็นผู้บริหาร อาณาจักรของพระองค์ คืออาณาจักรสวรรค์ ตั้งแต่ก่อน

            พระบุตรมีหน้าที่เป็นผู้สั่งการ ทำงานต่างๆ  เป็นเหมือนกับสัญญาณบอกอะไรบางอย่าง ให้กับพระวิญญาณ พระวิญญาณมีหน้าที่ลงมือทำงาน ที่ผมเคยยกตัวอย่างให้ เหมือนเราปัจจุบันมนุษย์สร้างสิ่งนี้ขึ้นมา คือสั่งเป็นคำพูด รถสตาร์ท เราบอกสตาร์ท รถมันก็ติด เราเปรียบเหมือนพระบิดา เราต้องการให้รถสตาร์ท เราก็พูด คำพูดของเรานั่นแหละ คือพระคำ พอเราพูดปุ๊บ คำพูดนั้น ก็ไปสั่งการให้สวิทส์ สตาร์ทเครื่องให้ติด พลังงาน อำนาจที่ทำให้รถสตาร์ทเครื่องให้ติด คือพระวิญญาณ พอเข้าใจนะ ได้แค่นี้ อธิบายมากกว่านี้ ก็ไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ แค่นี้ ก็ไม่รู้เรื่องแล้ว ฟังไปเรื่อยๆ

            เพราะฉะนั้น พระคำนี้  ก็คือพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นถ้อยคำของพระเจ้า  พระเจ้าให้มาช่วยเหลือเรา เหล่ามนุษย์

            ข้อ 2 บอกพระคำ หรือพระคริสต์นี้  อยู่กับพระเจ้าตั้งแต่ เริ่มต้นก่อนที่โลกจะเกิดขึ้น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้ เกิดมาจากพระคำพระคริสต์ทั้งสิ้น  ไม่มีอะไรเลย ที่ไม่ได้เกิดมาจากพระคำ เห็นไหมครับ? เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นมา ก็คือพระบิดา พระบิดาต้องการอย่างนี้  ก็บอกให้พระเยซูคริสต์ ก็คือร่วมงานกับพระเยซูคริสต์ ให้พระเยซูคริสต์จัดการ สั่งการตามระบบ ผู้ที่ลงมือ คือพระวิญญาณ ลงมือสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  เพราะฉะนั้น ตรีเอกานุภาพ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงร่วมกันสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา และในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เรา” ตอนสร้างมนุษย์บอกว่าเราจะสร้างมนุษย์ให้เป็นเหมือนเรา … “เรา” คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์

            ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้ เกิดมาจากพระเจ้าทั้งนั้น ไม่มีอะไรเลย  ที่ไม่ได้เกิดมาจากพระเจ้า พระคริสต์ เพราะฉะนั้น พระคริสต์ คือพระเจ้า ถูกไหม?  พระคริสต์ คือพระเจ้าผู้สร้าง และมีหน้าที่สั่งการดูแลให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่าพระคริสต์ทรงครอบครอง ควบคุมทุกอย่าง ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระคริสต์ทรงครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง  ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มต้น โลกใบนี้แล้ว  ตั้งแต่มนุษย์ยังไม่ตกลงไปในความบาป  พระคริสต์ก็ทรงครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ในพระหัตถ์ของพระคริสต์ ก็คือพระเยซูคริสต์

            พระเยซู แปลว่าพระผู้มาช่วยให้เรารอด เพราะฉะนั้น จงมองให้เห็นเถิดว่าพระเยซูคริสต์ควบคุม ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง ยึดทุกสิ่งทุกอย่าง โดยพลังอำนาจ และชีวิตของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ ทั้งโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ รวมทั้งโลกฝ่ายวิญญาณด้วย

            ข้อ 4 บอกว่าพระคำ คือพระคริสต์เป็นแหล่งแห่งชีวิต ที่เที่ยงแท้ ชีวิตนั้นได้นำความสว่างมาให้มนุษย์ พูดง่ายๆ ก็คือพระเยซูทรงเป็นแหล่งแห่งชีวิต ก็คือถ้าให้ยกตัวอย่างอย่างนี้ จะชัดขึ้น ก็คือพระเยซูทรงเป็นพลังอำนาจ เป็นชีวิตที่ให้กับบรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด  พูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด รวมทั้งมนุษย์ด้วย  จำเป็นต้องได้รับชีวิต และพลังงานแห่งชีวิต และเรียกว่าความสว่างจากพระองค์ ถ้าพูดอย่างนี้ อาจจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ถ้ายกตัวอย่างอย่างนี้ จะเห็นชัดขึ้น เหมือนกับห้องนี้ ดูสวยใช่ไหม? สิ่งเหล่านี้มันสวยได้ เพราะว่ามันมีแสงสว่าง เรามองเห็น

            แสงสว่าง คือพระคริสต์ เอาแสงสว่างออกไป เห็นอะไรไหม?  ไม่เห็น ความสวยงามทั้งหมด  เราจะไม่เห็นเลย  พระองค์ทรงสร้างสิ่งสวยงามทั้งหมดเหล่านี้ขึ้นมา แต่ไม่มีใครเห็น มันไม่ปรากฎเลย จนกว่าพระองค์จะให้มีแสงสว่างมา  เห็น ใช่  มีอยู่จริงๆ

            หรือเปรียบกับเครื่องบินก็ได้ เครื่องบินสวย ออกแบบมาเป็นเครื่องบินไอพ่นอย่างดีเลย สวยงามเลย คนออกแบบ เขาออกแบบมาเรียบร้อยดีแล้ว  สวยอย่างไรก็ตามแต่ เขาออกแบบมาแล้วว่าต้องมีพลังงาน  หรือเรียกว่าชีวิตของมันอยู่ เขาเรียกว่ามีความสมบูรณ์ของสิ่งที่ถูกสร้าง และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเครื่องบินลำนั้น ที่เราอาจจะมองไม่เห็น  ก็คือน้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าไม่มีน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องบินลำนั้นมันก็ไร้ค่า มันก็จอดอยู่อย่างนั้นแหละ สวย แต่ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้น พระองค์ คือแหล่งพลังงาน เป็นชีวิต เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องบิน  เป็นเหมือนพลังงานไฟฟ้า สำหรับหลอดไฟ พระองค์ทรงสร้างหลอดไฟขึ้นมา  คือเราทั้งหลาย แล้วพระองค์ทรงให้พลังงานไฟฟ้า มันก็เป็นหลอดไฟที่มีความสว่าง

            พระองค์ทรงยกตัวอย่างว่าเราทั้งหลาย เหมือนตะเกียงที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา  แต่มันจะจุดติดขึ้นมาได้ โดยต้องมีน้ำมัน น้ำมันต้องคู่กับตะเกียง  ตะเกียงเฉยๆ ไม่มีค่า ไร้ค่า  พูดง่ายๆ ก็คือขาดพระองค์ ก็ไม่มีประโยชน์ ก็ไร้ค่า พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  ขาดพระเยซู พระคริสต์ ถ้อยคำที่เป็นพลังงาน เป็นชีวิต เป็นแสงสว่าง  มนุษย์ก็ไร้ค่า เรียกว่าตายอยู่

            เพราะฉะนั้น พระเยซูเข้ามาในโลกนี้ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ไม่ใช่แค่อภัยความบาปผิดของมนุษย์ทั้งปวง  ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์เฉยๆ  แต่พระองค์เข้ามาให้พลังชีวิตกับเรา  เป็นแสงสว่างให้กับเรา  พระองค์เข้ามาอยู่ในเราเลย และเราอยู่ในพระองค์ มองเห็นภาพไหมครับว่าหลอดไฟ ต้องมีพลังงานเข้ามา  พอเป็นดวงสว่างเมื่อไรปุ๊บ เรามองไป เราไม่เห็น เราเห็นแต่หลอดไฟ แต่จริงๆ แล้วหลอดไฟและพลังงานนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน  เรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน  อย่างนี้แหละ

            ข้อ 5 ได้บอกว่า “ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด”  พระเยซูคือความสว่าง แสดงว่าบนโลกใบนี้มีอะไรบางอย่างที่ปกคลุมอยู่ ทั้งโลกนี้อยู่ในความมืด  ความมืด คืออะไรก็ตามที่อยู่ตรงกันข้ามกับความสว่าง  “ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด  แต่ความมืดไม่สามารถเอาชนะ ไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถรับความสว่างนั้นได้  ก็คือไม่เข้าใจ ไม่รู้ ก็เลยปฏิเสธ … ปฏิเสธ คือเป็นศัตรูต่อต้าน ใครต่อต้าน โลกใบนี้ทั้งใบ  ที่อยู่ในความมืด  เห็นอะไรบางอย่างไหม? ต่อต้าน

            สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง คือโลกใบนี้ทั้งใบ  ที่ตกลงไปในความมืด  พระองค์ทรงสร้างด้วยความรัก  แต่สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างด้วยความรักทั้งหมด ทั้งสิ่งที่มองเห็น และสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยนะ กลับปฏิเสธ ต่อต้านพระองค์ ผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้น ด้วยความรัก เพราะไม่รู้ความจริง  ถูกหลอก หลงไป หลุดออกไปจากพลังแห่งชีวิต คือพระคริสต์ หลุดออกไปจากแสงสว่าง ไปอยู่ในความมืด เมื่อไม่เข้าใจ ก็ต่อต้านพระองค์  ทั้งๆ ที่พระองค์จะเข้ามาช่วย

            บางทีเรานึกว่าต้องเป็นศัตรูกับพระเยซูคริสต์ด้วย ไม่ได้เป็นศัตรูในเชิงของความเกลียดชังอย่างนั้น  แต่เป็นศัตรูในลักษณะของ “ฉันอยากจะอยู่ของฉันอย่างนี้” เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา คือปฏิเสธ พระองค์ผู้ทรงสร้าง ก็คือ …

            “ฉันอยากจะอยู่ด้วยตัวของฉันเอง ฉันอยากจะรับผิดชอบตัวฉันเอง ฉันจะรับผิดชอบทั้งดีและไม่ดี ฉันจะดูแลตัวเอง ในการกระทำดีและกระทำชั่ว ไม่พึ่งในพ่อแล้ว ฉันจะออกไป”

            นี่คือความหมายอย่างนั้น พูดง่ายๆ ว่าเหมือนกับครอบครัวเรา  เราเลี้ยงลูกมาด้วยความรัก ทะนุถนอมเลย พอเขาโตเป็นหนุ่มเป็นสาวปุ๊บ เขามาบอกเราว่า …

            “พ่อพ่อ แม่แม่ ลูกไปแล้วนะ ต่อไปนี้ ลูกจะอยู่ด้วยตนเองแล้ว พ่อแม่ไม่ต้องมาสอนแล้ว ไม่ต้องมายุ่ง ลูกจะไปพิสูจน์ตัวเองนอกบ้าน” … คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ

            นี่คือการปฏิเสธความรัก ความหวังดีของผู้สร้าง พอมองเห็นไหมครับ?  เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพของพระเยซูคริสต์มาตามหาพวกเรา เหมือนแกะหลงหาย มาตามง้อพวกเราให้กลับไป เราถูกหลอกแล้ว เรากำลังแย่แล้ว  เป็นลักษณะอย่างนี้ ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นผู้สร้างเรานะ พระองค์มาเคาะประตูด้วยความรัก เพราะว่าพระองค์มีอำนาจ ฤทธิ์เดช พระองค์จะทำลายประตูเลยก็ได้ ไม่ต้องสนใจเราแล้ว  ไม่เคาะให้เปิดหรอก ไม่ต้องเปิดหรอก ฉันจะทำลายเข้าไปเลย ก็ได้  แต่พระองค์ไม่ทำอย่างนั้น  เพราะเป็นพระเจ้าแห่งความรัก เข้าใจเรา  แต่เราไม่เข้าใจพระองค์ เราปฏิเสธพระองค์

            ความสว่างเข้ามาในความมืด  แต่ความมืดไม่สามารถเอาชนะความสว่างได้  ไม่สามารถเข้าใจความสว่าง ปฏิเสธผู้สร้างเขา  ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  ตั้งแต่ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป คือเกิดขึ้นในโลกวิญญาณกับสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง คือทูตสวรรค์

            ทูตสวรรค์ คือสิ่งมีชีวิต ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่าทรงสร้างด้วยความสวยงามทุกรูป ตามสถานะของแต่ละรูปที่จะใช้งาน คือลูซีเฟอร์  มีคาเอล  และกาเบียล มีอยู่ 3 รูปที่เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ มีตำแหน่งต่างๆ พระองค์ทรงสร้างด้วยความรัก ให้พลัง ให้อำนาจ ให้แสงสว่าง เป็นชีวิตของทูตสวรรค์ เป็นในลักษณะของทูตสวรรค์ แต่ละรูป ต้องขึ้นอยู่กับพระองค์ทั้งสิ้น  ปรากฏว่ามีอยู่รูปหนึ่งใน 3 รูปนี้ เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมา ก็เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับอาดัม ก็คือลูซีเฟอร์ อวดดี นึกว่าตัวเองแน่ บอกพระเยซูว่า …

            “ฉันจะออกมาเป็นเอกเทศ ฉันจะดูแลตัวเอง ฉันไม่ต้องการเธอ ฉันปฏิเสธพลังอำนาจของเธอ ชีวิตและแสงสว่างของเธอ ฉันไม่เอาแล้ว ฉันอยู่ด้วยตัวเองก็ได้”

            ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดนั้น มาจากพระองค์เป็นผู้สร้างให้ เมื่อปฏิเสธพระองค์ ออกไปจากพระองค์ ขาดพระองค์ ก็คือขาดพลังงาน ขาดชีวิต ขาดแสงสว่าง ก็เลยตกกระป๋อง กลายเป็นทูตสวรรค์แห่งความมืด  เรียกว่าซาตาน  แล้วมันก็ไปหลอก ไม่ใช่ไปหลอกอาดัมและเอวาก่อน เพราะว่าอาดัมและเอวายังไม่ได้รับการทรงสร้างขึ้นมาเลย มันหลอกทูตสวรรค์ด้วยกันก่อน  ที่เป็นลูกน้องต่ำลงมา หลอกได้ไปจำนวนหนึ่ง  พระคัมภีร์บอกว่า 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด สมมุติว่ามี 100 ก็เอาไป 33.33 รูป ไปเป็นสมุนของมัน  ไปเชื่อตามมัน  ก็คือไปปฏิเสธ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ผู้สร้างทูตสวรรค์เหล่านั้น  ทูตสวรรค์เหล่านั้น ก็ตกกระป๋องไปกับลูซีเฟอร์

            นี่แหละ ความมืดไม่สามารถที่จะเข้าใจความสว่างได้ และปฏิเสธ ก็คือถูกหลอกให้หลงไปตาม เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับลูซีเฟอร์ และมาถึงอาดัมและเอวาก็ถูกหลอกเหมือนกัน หลอกให้ทำลักษณะเดียวกัน ก็คือปฏิเสธผู้สร้างเขา  ผู้ให้ชีวิตกับเขา ให้ความสว่างกับเขา ทำเหมือนลูซีเฟอร์เลย ทำเหมือนซาตานเลย คือ …

            “ฉันจะออกมาเป็นเอกเทศ ฉันจะเป็นตัวของฉันเอง ฉันจะพึ่งพาในการกระทำของตนเอง ฉันจะสร้างกฎของตัวเองขึ้นมา คือกฎแห่งการกระทำด้วยตนเอง”

            เรียกว่ากฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ ซึ่งทำไม่ได้ เพราะหารู้ไม่ว่าทั้งสิ้นนั้นมาจากแหล่งแห่งกำเนิด เกิดขึ้นมาโดยผู้สร้าง ก็คือพลังงานและชีวิต พูดง่ายๆ อาดัมและเอวากำลังบอกพระเจ้า บอกพระเยซูว่า …

            “ฉันจะออกมามีพลังชีวิตด้วยตัวเอง ฉันจะออกมาปั่นแสงสว่างด้วยตนเอง ฉันจะดูแลรับผิดชอบด้วยตัวเอง”

            พอออกมา ก็ไม่มีแสงสว่างแล้ว น้ำมันไม่มีแล้ว  ปั่นให้ตายก็ไม่ขึ้น  เข็นให้ตาย เครื่องบินก็ไม่ขึ้น  ปั่นให้ตาย หลอดไฟก็ริบหรี่ๆ เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็บาป  ทำไม่ได้หรอก ก็เพราะว่าแหล่งพลังแห่งชีวิต คือพระเยซูคริสต์หายไป  ความสว่างหายไป  พระเยซูจึงมาทำให้เรากลับคืนสมบูรณ์ สู่สภาพดีเหมือนเดิม ก็คือความสว่างกลับมา แค่นั้นเอง ก็คือเอาความสว่างกลับมาเหมือนเดิม เราก็กลับเป็นเหมือนเดิม  เราก็ได้อยู่ในพระคริสต์ คืออยู่ในความสว่าง ตามหัวข้อที่เราเรียนกันวันนี้

            ทั้งสิ้น มาจากความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ถูกหลอก ไม่สามารถเข้าใจสติปัญญา และความจริงของพระเยซูคริสต์ ของพระเจ้าได้นั่นเอง แค่นั้นไม่พอ  ไม่ใช่เฉพาะลูซีเฟอร์ ทูตสวรรค์ อาดัมหรือเอวาที่ปฏิเสธ ในข้อนี้ หมายถึงผู้ที่ปฏิเสธความสว่าง ไม่เข้าใจในความสว่างนั้น ยังมีอีกพวกหนึ่งที่ข้อพระคัมภีร์นี้เล็งไปถึง นอกจากมีพวกเหล่าทูตสวรรค์แล้ว  มีอาดัมและเอวา หมายถึงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์แล้ว ตรงนี้เล็งไปถึงชนชาติของพระองค์เอง ก็คือชาวยิว ประชากรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรัก ในอดีตรักมากกว่าชาวต่างชาติ  เพราะเข้าไปใกล้ชิดมากเลย  ไปเตรียมแผนการต่างๆ ไว้อย่างดีเลย ไปช่วยเหลือ ปรากฏพระองค์เองให้กับพวกเขาได้รู้จักพระองค์ ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ตั้งแต่บรรพบุรุษของเขา แล้วก็ค่อยๆ นำพาพวกเขามาเป็นพันๆ ปีเลย เพื่อให้เกียรติเขาว่าพระเจ้าผู้สร้าง คือพระมาซีฮาห์ พระเยซูคริสต์จะมาเกิดในเผ่าพันธุ์ ชนชาติของเขา  เขาเดินอยู่ในถิ่นทุรกันดาร หรือบนโลกใบนี้ หลายพันปีกับพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ซึ่งต่างชาติไม่มี พระเจ้ารักเขาขนาดไหน? เตรียมให้เขาดีขนาดไหน? ให้พระเยซูคริสต์มาเกิดในเขา ปรากฏว่าพอพระองค์มาเกิด ทำความเสียใจให้กับผู้สร้างเหมือนเดิม เหมือนลูซีเฟอร์ …

            “ไม่เอา ฉันไม่เอา ฉันปฏิเสธ ฉันต่อต้าน”

            ทำไม? ในนี้บอก เพราะไม่เข้าใจ พระเจ้าเมตตาขนาดไหน?  ไม่ได้โกรธเคืองเลย บอกว่าเพราะความไม่เข้าใจ ไม่สามารถรับความสว่างนั้นได้ ไม่สามารถรับเอาความจริงที่พระเยซูมาประกาศข่าวดีให้กับเขาได้  ทั้งๆ ที่พระองค์มาช่วยเหลือน่าจะเป็นพวกแรกที่ได้รับเลย  เพราะว่าพระเจ้านำพาเผ่าพันธุ์ ชนชาติเขามาใกล้ชิด อย่างสนิทเลย เดี๋ยวก็มีผู้เผยพระวจนะ เดี๋ยวก็มีอัศจรรย์ตรงนี้ เยอะไปหมดเลย  เป็นหลายๆ พันปี  ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด  พอพระเยซูคริสต์มาเกิด ไม่เอา แล้วพระเยซูคริสต์เลยต้องไปให้ชนต่างชาติรับพระเยซูคริสต์ก่อนเยอะแยะเลย ทั้งๆ ที่ชาวยิวควรจะได้รับก่อน มันน่าเสียใจมากเลย แต่พระเจ้าเต็มไปด้วยความรัก  พระเจ้าป็นความรัก เป็นความอดทนนาน  พระเจ้ามีเมตตาตลอด แม้ว่ามนุษย์จะปฏิเสธพระองค์อย่างไร? ก็ตาม

            ข้อ 10 บอกว่า “พระองค์ ก็คือพระคริสต์ได้อยู่ในโลกนี้  แต่โลกนี้กลับไม่รู้จักพระองค์ ทั้งๆ ที่โลกนี้ถูกสร้างผ่านทางพระองค์”

            เห็นหรือยัง? โลกนี้ทั้งใบ คือมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ ทั้งทูตสวรรค์บนโลกใบนี้ ทั้งอิสราเอลที่พระองค์ทรงประคบประหงมมาตั้งแต่เริ่มต้น  ไม่เข้าใจ ปฏิเสธพระองค์ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาทั้งสิ้นเลย  ยอห์น 1:11 ต่อไป …

        ยอห์น 1:11 “เมื่อพระองค์มาถึงบ้านเมืองของพระองค์เอง คนของพระองค์ก็ยังไม่ยอมรับพระองค์”

            ตรงนี้หมายถึงเมื่อพระองค์มาถึงบ้านเมืองของพระองค์ คือโลกใบนี้ ที่มวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ มวลมนุษย์ที่เป็นของพระองค์ พระองค์เป็นเจ้าของ พระองค์มาถึง มวลมนุษย์บอกใคร?  เจ้าของบ้านนะ นี่คือใคร? ไม่รู้จักพระองค์ คิดดูความอดทนของพระองค์ขนาดไหน?  ความรักของพระองค์มีมากขนาดไหน?  แล้วยังหมายถึงใครได้อีก หมายถึงตะกี้ที่บอก นอกจากมนุษย์ทั้งมวล ทุกๆ คนบนโลกใบนี้แล้ว ยังหมายถึงชนชาติยิวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะชนชาติยิวที่ฉันประคบประหงมมาตลอดหลายพันปี ไม่รู้จักฉัน บอกมาตลอดเป็นพันๆ ปี  ผ่านทางผู้เผยพระวจนะมาตลอด  อัศจรรย์มาตลอด จนกระทั่งถึงวันนี้ ยังปฏิเสธฉันอยู่ และหมายถึงใครอีก?

            หมายถึงอันดับที่ 3 เขาว่าหมายถึงอันนี้ได้ด้วย ก็คือตอนที่พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว แล้วก็เริ่มต้นกระทำการงาน ประกาศข่าวประเสริฐ สำแดงตนเองเป็นพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ตอนอายุ 30 เริ่มต้นนั้น พระองค์ประกาศที่บ้านของพระองค์ก่อน คือบ้านเมืองของพระองค์ที่นาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีก่อน ซึ่งพระองค์เกิดที่นั่น  ไม่ได้เกิดที่นั่นหรอก แต่ว่าเจริญเติบโตที่นั่น  ท่ามกลางคนที่นั่นเห็นพระองค์เป็นมนุษย์ธรรมดา พอถึงวาระที่พระองค์จะทรงสำแดงเป็นพระเจ้ามาช่วยบรรดามนุษย์ให้รอดพ้นจากความมืดนี้แล้ว  เริ่มต้นประกาศ ทำอัศจรรย์ คนแถวๆ หมู่บ้านไม่เชื่อ

            “นี่ลูกช่างไม้ จะเป็นพระเจ้าได้อย่างไร?”

            หมายถึงอย่างนั้นด้วย คือกำลังพูดถึงความเป็นจริงที่พระเยซูเป็นใคร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเหลือเราทั้งหลาย แล้วเราทำกับพระองค์อย่างไร? นี่คือความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีให้กับบรรดามนุษยชาติ ที่สามารถที่จะสำแดงออกมาในข้อพระคัมภีร์ได้ ต่อไปยอห์น 1:12-14 …

        ยอห์น 1:12-14 “12 แต่ส่วนทุกๆ คน ที่ยอมรับและไว้วางใจพระองค์ พระองค์ให้สิทธิ์พวกเขา เป็นลูกของพระเจ้า 13 ลูกของพระเจ้านี้ ไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากเลือดเนื้อ หรือจากความต้องการของร่างกาย หรือจากความตั้งใจของพ่อที่เป็นมนุษย์ แต่เกิดมาจากพระเจ้า 14 พระคำ​ (พระคริสต์) ได้​กลาย​มา​เป็น​มนุษย์ และ​ใช้​ชีวิต​(ในสถานะมนุษย์) อยู่​ท่ามกลาง​พวกเรา พระคำ​ (พระคริสต์) นั้น​เต็ม​ไป​ด้วย ​ความ​เมตตา​กรุณา​และ​ความจริง พวก​เรา ​ได้​เห็น​ความยิ่งใหญ่​ของ​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​ความยิ่งใหญ่​ของ​พระบุตร​เพียง​องค์​เดียว​ของ​พระบิดา”

            พระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา เป็นความจริง เราได้เรียนรู้เมื่อตะกี้นี้ ตามถ้อยคำเมื่อสักครู่นี้ว่าความอดทนของพระองค์ขนาดไหน?  ความเข้าใจของพระองค์ในการปฏิเสธ การต่อต้าน การเป็นศัตรูที่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาด้วยพระองค์เอง ต่อต้าน  ปฏิเสธพระองค์ ถึงขนาดข่มเหง ทำร้าย ถึงขนาดฆ่าพระองค์ให้ตาย  ด้วยความเกลียดชัง

            แต่ส่วนทุกคนที่ยอมรับ และไว้วางใจในพระองค์ พระองค์ได้ให้สิทธิกับเขาเป็นลูกของพระเจ้า  คนจำนวนมากมายไม่เชื่อ ปฏิเสธพระองค์ แต่ใครก็ตามในมวลมนุษย์เหล่านี้ ที่ยังไม่รับพระองค์ ที่ยังไม่รู้จักพระองค์ แต่ส่วนคนที่ยอมรับ และไว้ใจในพระองค์ ก็คือไว้ใจในถ้อยคำของพระองค์ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นใคร?  เป็นพระบุตรของพระเจ้า  เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป  มาสู่ชีวิต เป็นแสงสว่างที่ส่องมาบนโลกใบนี้  ความมืดมาช่วย  ใครก็ตามที่ยอมรับพระองค์ว่าพระองค์ทรงเป็นทางนั้น เป็นทางไปหาพระบิดา  ไปสู่สวรรค์ได้  คนนั้นก็ได้สิทธิ ได้พลังงาน แห่งชีวิต สิทธิตัวนี้ หมายถึง Power หมายถึงฤทธิ์อำนาจ หรือพลังงานอำนาจ ที่ตะกี้ผมยกตัวอย่าง และรวมถึงชีวิต เข้าไปในชีวิตของเขา  ก็เหมือนดวงไฟที่มีพลังงาน จากโรงงานไฟฟ้าวิ่งมาปุ๊บ มันก็ติดเป็นดวงสว่างออกมา ก็คือความรอด กลายมาเป็นลูกของพระองค์ เพราะเป็นความสว่างเหมือนพระเจ้า  โดยได้รับพลังงานชีวิตจากพระองค์ แสงสว่างจากพระองค์ เมื่อมาจากพระองค์ ก็เป็นเหมือนพระองค์ เป็นเซลเดียวกัน เซลในทางฝ่ายวิญญาณ  คือเซลพลังงานของพระคำ คือพระคริสต์ เป็นชีวิตของพระคำ คือพระคริสต์ เป็นแสงสว่างของพระคำ คือพระคริสต์ พูดง่ายๆ พระคริสต์เป็นชีวิต เป็นพลัง เป็นแสงสว่าง เป็นตัวเราที่ยอมรับพระองค์

            ยอมรับ หมายถึงเชื่อในข่าวดี  เมื่อเชื่อในข่าวดี ก็คือเปิดประตูใจ ที่พระองค์มาเคาะหัวใจของเราตลอดเวลา ขอให้พระองค์เข้ามา  เรายอมเปิดใจต้อนรับ พอเปิดใจ พระองค์ก็เข้ามา

            ลูกของพระเจ้านี้ ไม่ใช่ลูกที่เกิดจากเลือดเนื้อ หรือความต้องการของร่างกาย  หรือจากความตั้งใจของพ่อที่เป็นมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า  นี่กำลังเทียบให้เห็นว่าบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เห็นไหม? เป็นโลกวิญญาณ พระคำพระคริสต์นี้ ได้กลายมาเป็นมนุษย์ พระคำพระคริสต์ ก็คือพระเยซูคริสต์ได้กลายมาเป็นมนุษย์  จากวิญญาณ ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า ได้มาจุติ เกิดในหญิงพรหมจารี ชื่อแมรี่  เรียกว่ามาเกิดเป็นมนุษย์

            พระเจ้ายอมมาเกิดเป็นมนุษย์  และใช้ชีวิต แบบสถานะมนุษย์ อยู่ท่ามกลางพวกเรา ก็คือท่ามกลางพวกคนที่ต่อต้าน ก็คือมนุษย์บนโลกใบนี้  พระคำนั้น เต็มไปด้วยความเมตตา กรุณา และความจริง เห็นหรือยัง? นี่กำลังสรุปให้เห็นว่าพระเยซูมา ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด มาก่อนที่จะมีอะไรทั้งปวงเลย  แล้วพระองค์ถูกทำให้เป็นอย่างนี้  นี่คือพระเจ้าแห่งความรักจริงๆ ไม่มีการโกรธ ไม่มีการโทษ ไม่มีการโมโห เข้าใจเราหมดทุกอย่าง  ทั้งๆ ที่ได้รับการตอบสนองจากพวกเรา และทูตสวรรค์อย่างนี้

            ตรงนี้จึงเขียนคำว่าพระองค์เต็มไปด้วยความเมตตา กรุณาและความจริง พวกเราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ นี่แหละ คือความยิ่งใหญ่ตรงนี้ ในความรักของพระองค์ ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ ท่ามกลางเหล่าสาวกในช่วงแรกๆ อันนั้นเป็นแค่น้ำจิ้ม แต่คนเหล่านี้ อัครทูตเหล่านี้  ที่หลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามา ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่แล้ว  เขาได้รับรู้ความจริง เหมือนกับเราที่กำลังรับรู้ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณในขณะนี้ เพราะเราเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราสาารถรับรู้เรื่องราว  สติปัญญา ความจริงจากพระเจ้าได้แล้ว เราจึงเข้าใจพระเจ้ามากขึ้น

            อัครทูตเหล่านี้ เขาก็เข้าใจพระเจ้ามากขึ้น เขาจึงเขียนคำนี้ว่า … “เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์” คือความรัก  ยิ่งใหญ่ที่เห็นด้วยตา ที่ทำการอัศจรรย์ มันไม่มีอะไรหรอก ซาตานหรืออะไรต่างๆ มันยังทำได้บ้าง ซึ่งเป็นความยิ่งใหญ่ของพระเยซู พระบุตรของพระองค์ พระบิดาส่งลงมา  พระบุตร คือพระคำ เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ ด้วยตัวของพระองค์เอง ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่  ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือของพระองค์ พูดง่ายๆ จะกำก็ตาย จะคายก็รอด แล้วพระองค์ตัดสินใจอย่างนี้  ยอมหมดทุกอย่างเลย ทั้งๆ ที่พระองค์บังคับอะไรก็ได้หมดเลย แต่ยอม พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ ได้ทำความยิ่งใหญ่ คือยอมเสียสละ เริ่มต้นจากเสียสละสถานะพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ต่ำต้อย เห็นสภาพหนักแล้ว ลงมายังถูกต่อต้าน  ไม่มีชิ้นดีเลย

            เพราะฉะนั้น เราจึงได้รู้ว่าถ้อยคำเหล่านี้ ทำให้เราได้เห็นว่าพระคำ ก็คือพระคริสต์ ผู้ทรงเต็มไปด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ได้ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลาย ทั้งหมด  ที่ตายไปแล้วในความบาป จะได้เกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระเจ้า

            พระองค์  พระบุตรของพระเจ้า  หรือพระคริสต์ผู้ครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงสร้าง สรรพสิ่งทั้งหลาย ได้ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อยกว่าเยอะเลย  เพื่อว่ามนุษย์ที่ต่ำต้อยนั้น จะได้สามารถเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ สลับที่กัน

            พระคำ คือพระคริสต์ คือพระเจ้าพระบุตร  คือแสงสว่างของพระเจ้า  เป็นพระเจ้า เป็นแสงสว่าง เป็นชีวิต  เป็นพลังงานอำนาจ ให้กำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมด  ทั้งในโลกที่มองเห็น และโลกที่มองไม่เห็น  คือทั้งในโลกวัตถุและในโลกวิญญาณ  ผู้เป็นศูนย์กลางของสิ่งทั้งมวลในมหาจักรวาลนี้ ทั้งโลกที่มองเห็นและมองไม่เห็น ผู้เป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่  ตอนนี้ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์   เพื่อว่าเราจะได้มาเป็นลูกของพระเจ้า  และตอนนี้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดผู้นี้อยู่ที่ไหน? ผู้เป็นแสงสว่าง เป็นพลังอำนาจ เป็นพระบุตรของพระเจ้า  เป็นพระคำ ตอนนี้อยู่ในเราทั้งหลาย ผู้เชื่อศรัทธา  พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่เรากำลังเล่ากันมาตามพระคัมภีร์ เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เห็นความรัก  ความอดทนของพระองค์ตอนนี้ อยู่ในเราทั้งหลาย ผู้เชื่อ มันเหลือเชื่อเลยนะ  แต่มันเป็นจริงไปแล้ว

            ก็เลยอยากจะบอกว่าสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังต่อต้าน ไม่ว่าจะต่อต้านมากหรือน้อยก็ตาม เมื่อยังไม่ยอมรับแสงสว่าง ไม่ยอมรับคำเชิญของพระเยซู ไม่ยอมรับพระเยซูคริสต์ ก็มีค่าเท่ากับกำลังต่อต้าน เพราะว่าอยู่ในโลกแห่งความมืด โลกแห่งความมืดต่อต้านความสว่าง ไม่มีทางที่จะเขากันได้เลย 1 ยอห์น 1:5  ปิดด้วยข้อความนี้ว่า …

        1 ยอห์น 1:5 “นี่เป็นเรื่องราว ซึ่งเราได้ยินจากพระองค์ และประกาศแก่ท่าน คือพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง ในพระองค์ไม่มีความมืดเลย”

            “พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง ในพระองค์ไม่มีความมืดเลย” มันตรงกันข้ามเลย ถ้าเป็นพระเยซูคริสต์ก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง เต็มไปด้วยความรัก ความดีงาม  แต่ถ้าไม่ใช่พระเยซูคริสต์ ไม่ใช่แสงสว่าง ก็เป็นความชั่วร้ายทั้งสิ้น อยู่ที่เราตัดสินใจว่าเราจะอยู่ฝ่ายไหน? สว่างหรือมืด พระเจ้าเป็นความสว่าง เป็นความรัก เป็นความดีงาม ในพระองค์ไม่มีความมืด  ไม่มีความชั่วร้ายทั้งปวงเลย  ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีการขโมย ฆ่า และทำลาย ไม่มีการงอนกับเรา ไม่มีการมาทารุณจิตใจเรา ไม่มีการมาบังคับเรา ไม่มีการมาวางแผนชั่วร้ายให้กับเรา มีแต่ความรัก ความเมตตา ความกรุณา ความดีงามทั้งสิ้น เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เป็นพระเจ้าแห่งความสว่าง  เป็นพระเจ้าแห่งความดีงาม “เป็น” ไม่ใช่พระองค์ “มี” พระองค์เป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้น  พระองค์ไม่มีอะไรเลยที่เป็นความมืด ก็คือไม่มีการขโมย ฆ่า และทำลาย  ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรต่างๆ  อยู่ในพระองค์เลย  พระองค์อดทนได้ทุกอย่าง  พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความเชื่อในพระคริสต์เป็นของประทาน แต่การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นสิ่งที่ท่านต้อง “ตัดสินใจ”

            คริสเตียน! ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ด้วยความเชื่ออันบริสุทธิ์ในพระคริสต์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ท่านในวิญญาณ  เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นอัศจรรย์ฤทธิ์เดชของพระเจ้า มนุษย์ที่เป็นคนบาปอย่างเรา ไม่สามารถมีความเชื่ออันบริสุทธิ์นี้ได้

        1 เปโตร 1:3-9 …  “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย  หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ (ในพระเยซู)   พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย 6 พวกท่านชื่นชมยินดียิ่งนักในเรื่องนี้ แม้ขณะนี้  ท่านต้องท้อใจ เครียด และทนความทุกข์โศกชั่วระยะหนึ่ง จากการทดลองสารพัดอย่าง 7 เพื่อทดสอบความเชื่อแท้ของท่าน (ทดสอบผลของความเชื่อนี้) ว่าล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถเสื่อมสลายไปได้ แม้ได้หลอมให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟ ผลของความเชื่อนี้ ก่อให้เกิดคำสรรเสริญ  เกียรติ  และศักดิ์ศรี  ในการดำเนินชีวิตของท่าน  เมื่อพระเยซูคริสต์ (ผู้สถิตอยู่ในท่าน) ปรากฏ (ผ่านทางความประพฤติของท่าน) 8 แม้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ก็รักพระองค์ แม้ขณะนี้ท่านไม่ได้เห็นพระองค์ แต่ก็เชื่อในพระองค์ และเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี ในชัยชนะอันยิ่งใหญ่  มหัศจรรย์สุดจะพรรณนา 9 ท่านได้รับผลของความเชื่อของท่าน คือวิญญาณของท่านได้รับความรอดแล้ว”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1457

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  กุมภาพันธ์  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อพระเยซู วันนี้เป็นตอนที่ 3

            Before and After ก่อนเชื่อและหลังเชื่อ วิญญาณเราอยู่ที้ไหน?

            จากตอนที่ 1 เราได้รับคำตอบแล้ว เรียนรู้กันไปแล้วว่าวิญญาณของคริสเตียนก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ จากถ้อยคำพระเจ้า

            ในตอน 2 เราได้เรียนรู้แล้ว จากถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าก่อนเชื่อเราอยู่ในอาดัม หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์

            วันนี้มาตอนที่ 3 จากถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป  หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์

            การได้รับรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ในพระคัมภีร์บอกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เรื่องอื่นๆ นะ ไม่ใช่เรื่องอธิษฐาน เรื่องทำพิธีกรรม เรื่องอะไรต่างๆ แต่เป็นเรื่องความจริงในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  ที่คริสเตียนควรจะเรียนรู้ ไม่ใช่คริสเตียน ก็ควรจะเรียนรู้ แต่เรียนรู้ยาก เพราะยังไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายใน แต่คริสเตียนหลังเชื่อแล้ว ควรจะเรียนรู้เรื่องนี้อย่างมากเลยว่าในโลกวิญญาณนี้ เป็นเช่นไร?  ความจริงในโลกวิญญาณ จะทำให้เป็นไท  เป็นอิสระ ถามว่าเป็นอิสระจากอะไร?  ก็เป็นอิสระจากการโกหกหลอกลวงของมาร  ก็แสดงว่ามารไม่มีอำนาจอะไรเลย  ถ้ามันมีอำนาจ มันคงไม่ใช่โกหก ไม่ใช่หลอกลวง ล่อลวง ถูกไหม? ถ้ามันโกหกหลอกลวง แสดงว่ามันไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว แล้วมันล่อลวง หลอกลวงเพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

            มันขโมยอะไร? ขโมยความสุข ขโมยสันติสุข ขโมยผลประโยชน์อะไรต่างๆ ของเราไป มันขโมย ก็แสดงว่ามันไม่มีสิทธิอำนาจทำอะไรเราได้เลย มันแอบย่องมาขโมย ให้รู้ไว้ จะได้ไม่ต้องกลัวมัน มารซาตานมันสิต้องกลัวเรา  เพราะเราเป็นเจ้าของ มันมาขโมย เจ้าของกลัวขโมย หรือขโมยกลัวเจ้าของ อันนี้พูดตามเรื่องปกติทั่วๆ ไป ขโมยต้องกลัวมาก ย่องเข้ามา กลัวทั้งตำรวจ กลัวทั้งเจ้าของ เจ้าของยืนสบาย เพราะเราเป็นเจ้าของ ยืนมั่นใจ นี่แหละคือความจริง

            ยกตัวอย่างเช่น ความจริงต้องเรียนรู้ คืออะไร? คือพอเรามาเป็นคริสเตียน ได้รับความรอดจากพระเจ้า ความรอดเป็นของขวัญจากพระเจ้า ก็คือเราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ได้เป็นลูกของพระเจ้าในวิญญาณ ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์เลยในวิญญาณ เราจะได้รับร่างกายใหม่ เมื่อจากโลกนี้ไปทันที เป็นร่างกายที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลยทันที สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในโลกวิญญาณ  ที่มารพยายามที่จะขโมยออกไปจากเรา คริสเตียนทุกคน เราควรจะเรียนรู้และรับรู้ว่าการบังเกิดใหม่มันเป็นอย่างไร?  ความรอดเป็นอย่างไร? ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้วในวิญญาณ มันเป็นอย่างไร?  เพื่อไม่ให้มันขโมยไป

            และเราเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย  ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่งถึงนิรันดร์กาล ตอนที่ได้รับร่างกายใหม่เลย  มันจะเป็นอยู่อย่างนี้แหละ บริสุทธิ์อย่างนี้แหละ อย่าให้มารมาโกหก หลอกลวง ขโมยเอาความจริงนี้ไป แล้วเอาสิ่งปลอมปนเข้ามาอยู่ในความคิดของเรา  ทำให้เราเป็นเหมือนคริสเตียนที่ไม่ได้ใช้สิทธิของเราอย่างเต็มที่ เต็มเม็ดเต็มหน่วย

            ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นของขวัญ ของฟรีๆ จากพระเจ้า โดยที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าเป็นพระคุณ เราได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป็นพระคุณ ความรอดนี้เป็นพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากเชื่อและเปิดใจเท่านั้น  อย่าให้มันหลอกลวง ล่อลวง พยายามโกหก ปิดบังตา ตั้งแต่เราก่อนเชื่อ จนกระทั่งหลังเชื่อ ก็ยังปิดอยู่ ก่อนเชื่อปิดอยู่ จนกระทั่งได้รับรู้ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ รู้แล้วๆ ได้รับความรอดแล้ว  ก็ดีแล้ว แต่ไม่ให้รู้เรื่องอื่นอีก พยายามจะปิดบังตา สมมุติว่าทรัพย์สินเงินทอง สมมุติว่ามี 4 อย่าง อันดับแรก เปิดใจรับเชื่อพระเจ้า เราได้รับทรัพย์ มันก็บอกว่าทรัพย์ เงินทองอย่าไปได้เลย  มันจะปิดบังตา  เราก็กระเสือกกระสนต่อไป พระวิญญาณนำต่อไป  ได้รู้ความจริงมากขึ้น พอรู้ความจริงมากขึ้น ก็ได้สินมาแล้ว ทรัพย์ แล้วก็สิน มันก็ปิดบังต่อไป ได้รับทรัพย์สินแล้ว โอเคไม่เป็นไร ก็ปิดบังต่อไปไม่ให้รับเงินทอง  เราก็เรียนรู้ต่อไป โดยพระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา รับรู้ความจริง พอรับรู้ความจริงนี้ อ้าว! เงินก็เป็นของเราด้วย  เราก็ได้รับเงินกลับมา มันก็ต้องคายออกมา มันขโมยเราไม่ได้ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง อย่างง่ายๆ แต่อย่าไปคิดอย่างโลกนี้ว่าผมกำลังบอกว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วจะได้ทรัพย์สินเงินทอง  นี่เปรียบให้ฟัง

            นี่คือวิธีการโกหกหลอกลวงของมาร ฟังในโลกวิญญาณอย่างนี้ แล้วไปคิดในเรื่องโลกวัตถุ พาสเตอร์นครบอกแล้วว่ามาเชื่อพระเจ้า จะได้รับทรัพย์สินเงินทอง นี่มันเป็นอย่างนี้แหละ คือการโกหกหลอกลวงของมาร วิธีการของมัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นชัด ก็คือเมื่อมันหลอกลวง ก็แสดงว่ามันไม่มีอะไรเลย มันมีอำนาจเก๊ เมื่อมันขโมย เพื่อจะฆ่า ทำลาย มันก็ไม่มีสิทธิอำนาจที่จะฆ่า ทำลาย นอกจากให้เราฆ่าตัวเราเอง ถูกไหม? เพราะว่ามันขโมยเอาความจริงไป  จบเลย

            นี่ก็คือความจริงของกฎทางโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เราเรียนรู้ วันนี้จะเพิ่มเติม กฎทางฝ่ายวิญญาณเป็นความจริง คือ “ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์” เราจะเรียนรู้ตรงนี้แหละว่าก่อนเชื่อเราเป็นทาสบาป เป็นอย่างไร? หลังเชื่อ เป็นทาสพระคริสต์ มันเป็นอย่างไร? ในทางวิญญาณ  เราจะเริ่มต้นที่โรม 6:16  บันทึกเอาไว้อย่างนี้ …

        โรม 6:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าเมื่อท่านยอมตัวเชื่อฟังเยี่ยงทาสต่อผู้ใด ท่านก็เป็นทาส ของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม”

            ตรงนี้สำคัญมาก “ไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของบาป ซึ่งนำไปสู่ความตาย” ตรงนี้ ก็คือก่อน ถูกไหม? ก่อนจะเชื่อ เรามาดูที่หลังเชื่อในนี้เขียนว่าอย่างไร? “หรือเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรม” นี่คือหลังเชื่อใช่ไหม?  เห็นภาพไหม?

            จะอธิบายให้ฟัง เป็นทาสบาป ลักษณะเป็นอย่างไร? ต้องรู้คำในพระคัมภีร์ คำนี้ก่อนว่ามันแปลว่าอะไร? ท่านรู้ไหมว่านมัสการแปลว่าอะไร? ในทางตามองเห็น  ในทางวัตถุ สิ่งของ ปฏิบัติบนโลกใบนี้ คำว่า “นมัสการ” ก็คือการกราบ ไหว้ บูชา สรรเสริญ จะพาท่านไปดูความหมายของคำว่านมัสการจริงๆ ในพระคัมภีร์ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ หมายถึงอะไร?

            “นมัสการ” หมายถึงบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนนเหมือนดั่งทาส  นี่คือความหมายของคำว่านมัสการ ในพระคัมภีร์ ในเชิงของวิญญาณ  ในทางวิญญาณที่เราบอกว่าสำคัญที่สุด อ่านพระคัมภีร์ต้องนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณทั้งหมด  ความรอดเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ  สำคัญที่สุด

            นมัสการเกี่ยวกับโลกวิญญาณ แปลว่าบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนน เหมือนดั่งทาส เพราะฉะนั้น  คำตะกี้เราบอกว่าไม่ว่าท่านจะเป็นทาสของความบาป ก็แสดงว่าไม่ว่าท่านจะนมัสการบูชา เคารพเชื่อฟัง ยอมจำนนต่อบาป ท่านเป็นทาส ก็คือท่านยอมเชื่อฟัง เคารพ บูชา  ยอมจำนนต่อบาป เหมือนดั่งทาส ซึ่งคือก่อนที่ท่านจะเชื่อ อยู่ในสภาพนี้  วิญญาณของท่านกำลังนมัสการบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนนต่อบาป หลังเชื่อค่อยมาว่ากัน

            เรามาดูสิว่าบูชา นมัสการ เชื่อฟัง ยอมจำนนต่อบาป หมายถึงอะไร? ในพระคัมภีร์บอกอาดัมนำเอาเชื้อบาปเข้ามา  เราได้ยิน เชื้อบาปคืออะไร?  เชื้อบาป คือการพึ่งพาในตนเอง ทำตนเองให้เป็นรูปเคารพบูชา นมัสการตนเอง  ก็คือเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง เชื่อฟังตนเอง เหมือนดั่งทาส นี่เรียกว่าความบาป แทนที่จะเชื่อฟังนมัสการพระเจ้า

            บาป คือการยกตนเองเป็นใหญ่ คือยอมจำนน ก้มกราบ เชื่อฟังในตัวเอง คิด แล้วก็ทำตามใจปรารถนาของตนเอง ซึ่งไม่มีทางที่จะทำดี สมบูรณ์ ครบถ้วน  ดีพร้อมตามที่ตัวเองคิดได้หรอก ถูกหลอกไป  เพราะตายจากความดีงาม คือตายจากพระสิริของพระเจ้าไปแล้ว  ทิ้งพระเจ้าไป  ก็ไม่มีทางทำดีได้  จึงไม่มีกำลังที่จะทำดี ให้บริสุทธิ์ดีพร้อมได้ตามที่ตัวเองคิดไว้ พระคัมภีร์บอก เพราะพระเจ้าเป็นแหล่งแห่งความดี

            “พระเจ้าดี” คำว่าพระเจ้าดี คือพระเจ้าเป็นดี God is good ไม่ใช่พระเจ้ามีดี พระเจ้ามีพระลักษณะ คือเป็นพระเจ้า สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพระเจ้า ที่ดี และเป็นความรัก  เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความชอบธรรม เป็นความสว่าง เมื่อไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้าในวิญญาณของอาดัม  คือตายจากพระเจ้าไปแล้ว ก็มีลักษณะของความบาป คือตรงกันข้ามมาแทนที่  ในวิญญาณ ก็เกิดสิ่งหนึ่งมาแทนที่ คือความเป็นมลทิน ความชั่ว ความอธรรม ความมืด อะไรที่ตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ พระเจ้าดี ก็กลายเป็นชั่ว ก็คือเป็นบาป  พระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี  พระเจ้าไม่อยู่แล้ว  ก็กลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม ก็คือเป็นบาปนั่นเอง ซึ่งสิ่งที่เกิดนี้ ไม่ได้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า  ไม่ได้เป็นแผนการของพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้น ในการวางแผนสร้างมนุษย์ให้เป็นลูกของพระองค์เลย เมื่อไม่ได้เป็นน้ำพระทัย  ไม่ได้เป็นพระประสงค์ ไม่ได้เป็นเป้าหมายของพระเจ้า จึงเรียกการกระทำนี้ว่าบาป

            บาป ก็คืออะไรก็ตามที่ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายของพระเจ้า เรียกว่า Missed the target แปลว่าพลาดเป้าไป นี่คือคำแปลของคำว่าบาป  Sin แปลตรงตัวเลย  แปลว่าเหมือนเรายิงธนู เล็งเป้าไว้กลมๆ สมมุติว่ามี 1 ถึง 10 มันหลุดออกไปเลย  หลุดกรอบไป เรียกว่าพลาดเป้า นี่คือภาษาจริงๆ ของพระคัมภีร์ คำว่า Sin แปลว่า Missed the target ความหมายคือเล็งแล้วมันไม่ตรงเป้า  ก็คือไม่ใช่วัตถุประสงค์ของพระเจ้าที่จะทำอย่างนั้น  พระเจ้าต้องการให้มนุษย์สบาย  พระเจ้าต้องการให้มนุษย์มีความสุข พักอยู่กับพระองค์ เป็นวันสะบาโตกับพระองค์ตลอดไป พระเจ้าต้องการให้มนุษย์พึ่งพาในพระองค์ วางใจในพระองค์ แต่มนุษย์ถูกหลอก โดยเริ่มต้นที่อาดัม ถูกล่อลวงให้พึ่งในตนเอง

            เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง?  เห็นชัดเลยนะ มารมีอำนาจมาเกี่ยวข้องไหม? ไม่มีเลย มันมาหลอกบรรพบุรุษของเรา บรรพบุรุษของเราพลาดไป ถูกหลอก ด้วยความแยบยลของความชั่วร้าย ความคิดร้าย ความบาปของมารซาตาน ทำให้อาดัมฝืนคำสั่งของพระเจ้า ที่พระเจ้าสร้างกฎไว้ว่าอย่ากินผลไม้ที่ห้าม อย่ากิน วันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะตายจากเรา วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะหลุดออกจากพระสิริของเรา วันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะไปอยู่ตามลำพังเจ้าเอง นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้

            บางคนบอกพระเจ้าสร้างและรักเรา  ทำไมต้องมีกฎนี้ หลายคนถาม วันนี้ตอบแล้วนะ เขาถามว่าแล้วทำไมพระเจ้าสร้างต้นไม้นี้ ต้นแห่งความดีและความชั่ว ไม่ให้กิน ไหนบอกรักเราไง เพราะรักเรา ถึงสร้างต้นไม้นี้ เพราะรักเรา ถึงสร้างกฎนี้ขึ้นมา เพราะกฎนี้ คือพระเจ้ารักมนุษย์ยิ่งนัก  จึงได้ประทานอิสรภาพให้กับเขา  ไม่ใช่สร้างเขามาเป็นโรบอต ไม่ได้สร้างเขามาเป็นหุ่นยนต์ว่า …

            “เธอต้องเชื่อฉัน เกิดมาต้องเชื่ออย่างเดียว”

            ให้เขาเป็นอิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะรักพ่อหรือไม่รัก จะเชื่อฟังพ่อหรือไม่เชื่อ  ให้เขาเป็นอิสระจากใจของเขา ดีกว่าไหม?  มิฉะนั้น เราก็เป็นเหมือนโรบอต เรามีลูก เราให้ลูกเราทำดีด้วยวิธีใด? ล่ามโซ่ ไม่ให้ออกจากบ้านเลย  อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ เราให้อิสระเขา  เราสอนเขา เราบอกเขาออกจากบ้านไปได้ ไปเลย  แล้วอยู่ที่เขาตัดสินใจ เขาจะเชื่อเรา หรือจะเชื่อคนนอกบ้าน แล้วอาดัมเชื่อใคร?  อาดัมนำบาปเข้ามา  อาดัมบรรพบุรุษของเราเชื่อการโกหกหลอกลวงของมาร อาดัมนำเอาพลังอำนาจหนึ่งที่เรียกว่าความบาป ความบาป มีพลัง มีอำนาจ ถ้าผมยกตัวอย่างจะเห็นชัด บางคนบอกว่าเป็นอำนาจของความบาปและความตาย มันไม่เห็น ไม่รู้เป็นอย่างไร?

            ยกตัวอย่างนี้ชัดเจนเลยว่าพลังอำนาจของแรงดึงดูดของโลกมีไหม?  โยนของขึ้นไป ก็ตกลงมาหมด เห็นไหมว่าอะไรดูดลงมา  ไม่เห็น  แต่มันมีอยู่จริงๆ เหมือนกัน พลังอำนาจความบาป ความตาย เข้ามาในโลกนี้ ครอบคลุมอยู่เหนือโลกนี้ โดยที่เราไม่เห็น  แต่ในโลกวิญญาณ มันเป็นอยู่จริงๆ  เรียกว่าพลังอำนาจของความบาปและความตาย อาดัมเอาเข้ามา พลังอำนาจของความบาปและความตาย  ทำให้เกิดคำสาปแช่ง

            คำสาปแช่ง คืออะไร? ฟังแล้วตกใจ ถ้าพูดง่ายนิดเดียว  คำสาปแช่ง คือพระพรของพระเจ้าหายไป คำสาปแช่ง คือตรงกันข้ามกับสิ่งที่เวลามีพระเจ้าอยู่ด้วย  มีพระพร พระเจ้าไม่อยู่ พระพรหายไป คำสาปแช่งเข้ามาแทนที่

            สิ่งดีงามที่พระเจ้าเรียกว่าพระพรต่างๆ ในชีวิตของมนุษย์ และโลกใบนี้ที่เป็นบ้านของเขา  วัตถุต่างๆ ทั้งหมด ถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจหนึ่ง ที่เรียกว่าพลังอำนาจแห่งความบาปและความตาย  และก่อให้เกิดคำสาปแช่ง เข้ามาปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ครอบครองอยู่ในวิญญาณจิตใจร่างกายของมนุษย์ มนุษย์ถูกสร้างด้วยวิญญาณ จิตใจ และร่างกายนี้ ถูกครอบด้วยพลังอำนาจของความบาปและความตาย  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างรวมทั้งร่างกายมนุษย์ทั้งหมด ถูกปกคลุมไปด้วยพลังอำนาจของความบาปและความตาย  คือต้องมาสู่ความสูญสิ้นทั้งสิ้น ตกอยู่ใต้พลังอำนาจของความบาปและความตายนี้ เหมือนดั่งทาส เห็นภาพหรือยังว่าเป็นทาสของความบาปและความตายหมายถึงอะไร?  เป็นทาสของความบาปและความตาย คืออยู่ใต้กฎนี้ โงหัวไม่ขึ้นเลย

            เราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าพลังอำนาจนี้มีอยู่จริง เหมือนที่ตะกี้นี้บอกว่าโยนของขึ้นไป มันก็ตกลงมา พิสูจน์ได้ แล้วพลังอำนาจของความบาปและความตาย ที่ทำให้เราคิดชั่ว คิดอะไรที่ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า มีอยู่จริงๆ เราจะพิสูจน์ได้โดย แม้มองไม่เห็นพลังอำนาจนี้ แต่พลังอำนาจนี้ สามารถส่งอิทธิพลผ่านเข้ามาในความคิดของเรา  ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม บนโลกนี้ ไปแอบอยู่ที่ไหนก็ตาม หรือจะไปที่ดาวอังคารก็ตาม ดาวอังคาร ก็ยังเป็นโลกนี้อยู่นะ โลกนี้ หมายถึงวัตถุต่างๆ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เป็นมหาจักรวาลนี้

            อิทธิพลของความบาปและความตายนี้ ผ่านทางความคิดเข้ามาสู่เรา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกนี้ ตราบใดที่เรายังมีร่างกายนี้ เป็นสื่ออยู่ เมื่อไรที่วิญญาณเราออกจากร่าง ก็หลุดพ้นแล้ว แต่หลุดพ้นหรือไม่ มันก็หลุดออกไปจากร่างกาย ไม่ใช่ความคิดแล้ว แต่มันอยู่ในสถานที่วิญญาณนั้นได้เป็นทาสอยู่ ไม่ได้เป็นอิสระ ก็เป็นทาสตลอดไปนิรันดร์

            ตราบใดที่เรายังมีร่างกายที่เป็นส่วนหนึ่งของโลก สามารถรับสื่ออิทธิพล คลื่น กระแสความคิดนี้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม  มัน  “มัน” ในที่นี้ หมายถึงพลังอำนาจของความบาปและความตาย อิทธิพลนี้  มันสามารถเกิดขึ้นได้ จากภายในตัวของเราเอง ความคิดในตัวของเราเองมันขึ้นมา  และจากภายนอก จากสื่อ จากข้างนอก มันตาเห็น หูได้ยิน มือไปสัมผัส ความคิดนี้มันสื่อเข้ามาได้  มันสามารถผ่านทะลุกำแพง ไม่ว่าจะหนาขนาดไหนก็ตาม ไม่ว่าจะปิดหู ปิดตา ไม่รับฟังก็ตาม ความคิดนี้มันก็สามารถเกิดขึ้นมาได้ ในความคิดของเราเอง ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่ากระแสของโลกนี้  เรียกว่าระบบของโลกนี้  เรียกว่าเนื้อหนัง ที่เราได้เรียนรู้ไปตอนที่ 1

            ระบบของโลกนี่ คืออิทธิพล พลังอำนาจของความบาปและความตาย ซึ่งเป็นศัตรูอยู่ตรงกันข้าม ต่อต้านพระเจ้า ซึ่งเป็นความดีงาม  ความบริสุทธิ์ ความรัก และเป็นพระเจ้าตัวจริงๆ  พระเจ้าผู้เที่ยงแท้ ผู้ทรงประกาศอยู่เสมอว่าเราคือพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ แต่เพียงพระองค์เดียว  แปลว่านอกนั้น หลอกเราหมด มีพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้นเอง ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย และสร้างกฎเหล่านี้ขึ้นมาทั้งหมด  ถูกหลอกว่าตรงนั้นเป็นพระเจ้า ตรงนี้ก็พระเจ้า  พระเจ้าเลยประกาศอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ว่าเราเป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และถ้าถูกหลอกไป ก็คือไปมีพระเจ้าอื่น ก็จะอยู่ในการถูกหลอก อยู่ตรงกันข้าม ซึ่งผลที่อาดัมทำเหล่านี้  ที่เอาพลังอำนาจของความบาปเข้ามาบนโลกใบนี้ ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ มันจะหมดไป เมื่อโลกนี้สิ้นสุดลง ผลก็คือลูกหลาน เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ คือพวกเราที่เกิดตามมา ที่อยู่ในอาดัม อยู่ใน DNA ของอาดัม เป็นลูกหลานที่ต่อสายพันธุ์ เชื้อชาติเข้ามา ก็ตกอยู่ใต้พลังอำนาจแห่งความบาปและความตายนี้ ก็คือตกเป็นทาสของความบาปนี้

            ตกเป็นทาส เชื่อฟังความคิดของบาป ก็คือเชื่อฟังความคิดของตัวเอง เห็นแก่ตัว ตัวเองเป็นใหญ่ เย่อหยิ่ง จองหอง  บูชา นมัสการตนเอง แทนที่จะนมัสการพระเจ้า ซึ่งพระคัมภีร์เปรียบเสมือนรูปเคารพ ที่อยู่ในใจของมนุษย์ รูปเคารพที่อยู่ในใจ คือบาป ตัวนี้แหละ  ก็คือตัวเองเป็นใหญ่  อะไรก็ฉัน ฉันเป็นใหญ่ และรูปเคารพที่อยู่ในใจ  คือพลังอำนาจของความบาปและความตาย ตรงนี้จะทำให้เกิดผลออกมา เป็นการกระทำภายนอก ผลของการกระทำภายนอก มันเกิดจากข้างใน ก็คือสร้างรูปปั้นจากสัตว์ จากอะไรต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้  มาเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงรูปเคารพที่อยู่ในใจ แล้วตัวเองกราบไหว้ ต้องการให้รูปเคารพนั้น ทำตามความปรารถนาของตนเอง ตัวเองเป็นใหญ่อยู่ในใจของตนเองนั่นเอง  สร้างมา เพื่อว่าเขาจะได้ทำตามเรา  แต่พระเจ้าบอกให้ทำตามพระเจ้า พระเจ้าปลอม ก็คือสร้างขึ้นมาโดยตัวเราเองนั่นเอง  เป็นคนที่อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้ รูปเคารพมีไว้เพื่ออะไร?  เพื่อเราจะได้ขออะไรต่างๆ ให้เป็นไปตามที่เราอยากได้ แต่พระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น  พระเจ้าให้เราพึ่งพา วางใจในพระองค์

            ในข้อพระคัมภีร์เมื่อตะกี้บอกว่า “ท่านไม่รู้ความจริงหรือว่า” ก็แสดงว่าเรื่องนี้มันสำคัญมาก  ท่านควรที่จะรู้ความจริงนี้ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณนี้ว่ามันเป็นอย่างนี้ มีทาสของความบาป และทาสของความชอบธรรม มี 2 ทาสเท่านั้นเอง นี่พูดถึงคริสเตียน ก็คือหลังเชื่อแล้ว ก่อนเชื่อนั้น ท่านเป็นทาสของความบาป  หลังเชื่อ ท่านเป็นทาสของพระเจ้า  เป็นความชอบธรรม ท่านควรจะรู้

            พูดง่ายๆ ในโลกวิญญาณ มีแค่ 2 เจ้าเท่านั้นเอง  ไม่ใช่ร้านขายของนะ  2 พระเจ้า พระเจ้าจริงกับพระเจ้าปลอม พูดง่ายๆ ในโลกวิญญาณมีอยู่ 2 เจ้านายเท่านั้นเอง ที่ท่านจะเชื่อฟัง และท่านจะกราบไหว้บูชา นมัสการ

            เจ้านายแรก ก็คือบาป ทุกคนเกิดมาอยู่ในเจ้านายแรก  อยู่ใต้ เป็นทาสเจ้านายแรก นมัสการเจ้านายแรก  เรียกว่าบาป

            เจ้านายที่สอง เรียกว่าชอบธรรม คือพระคริสต์ คือพระเจ้าแท้จริง

            พระเจ้าปลอม คือพระเจ้าบาป บาป คือตัวเองเป็นใหญ่  พึ่งพาในการกระทำของตนเอง

            พระเจ้าจริง คือพระเจ้าเป็นใหญ่ ไม่ใช่ตัวเราเอง แต่เป็นพระเจ้า  บาปส่งผลเป็นความตาย  ส่วนเจ้านาย คือพระเจ้าจริงๆ  ส่งผลเป็นชีวิต จำที่พระเยซูพูดได้ไหม? …

            “ท่านทั้งหลายไม่สามารถที่จะเป็นข้า 2 เจ้า บ่าว 2 นาย”

            ท่านต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง  ท่านจะเลือกทั้งนมัสการตัวเองด้วย ทั้งนมัสการพระเจ้าด้วยไม่ได้ ท่านต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งในวิญญาณของท่าน อยู่ 2 ที่ไม่ได้ อยู่ที่เดียว มันเป็นกฎ โดดไปโดดมา ก็ไม่ได้ อยู่ที่ไหนก็อยู่เลย  จนกระทั่งนิรันดร์ ถ้าท่านอยู่ในบาป ท่านก็จะอยู่ในบาปนิรันดร์  มีเจ้านาย  คือบาป ถ้าท่านเปลี่ยนเจ้านายใหม่ เจ้านายเป็นพระเจ้า ท่านก็มีพระเจ้าพระคริสต์ เที่ยงแท้แต่เพียงผู้เดียว ตลอดไป เป็นข้า 2 เจ้า บ่าว 2 นายไม่ได้ ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างท่านจะเป็นทาสของบาปต่อไป ซึ่งนำไปสู่ความตาย ก็คือก่อนจะเชื่อ หรือท่านตัดสินใจจะมาเป็นทาสของการเชื่อฟัง ซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรม หลังเชื่อ ท่านต้องเลือกเอา นำไปสู่ความชอบธรรม ก็คือนำไปสู่พระคริสต์นั่นเอง มาดู โรม 6:17 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 6:17  “แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป ท่านก็เชื่อฟังคำสอน ซึ่งทรงมอบหมายแก่ท่านนั้น อย่างสุดใจ”

            พระคัมภีร์ที่เรากำลังเรียนรู้อยู่ตรงนี้ อาจารย์เปาโลเขียนถึง กำลังพูดถึงคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว หลังเชื่อแล้ว  ในข้อ 17 จึงบอกว่า “แต่ขอบคุณพระเจ้า” ทำไมขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า เพราะคุณเลือกเชื่อแล้ว หลังเชื่อ ก็ขอบคุณพระเจ้า

            “แต่ขอบคุณพระเจ้า ที่แม้ท่านเคยเป็นทาสของบาป” คือแต่ก่อนนี้ ท่านอยู่ใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ “ท่านก็ได้เชื่อฟังคำสอน ซึ่งมอบหมายแก่ท่านนั้น อย่างสุดใจ” ตรงนี้เป็นสำนวน  ที่หมายถึงขอบคุณพระเจ้า  ที่แต่ก่อนนี้ ท่านอยู่ภายใต้การเป็นทาสของบาป  แต่ขอบคุณพระเจ้า ท่านตัดสินใจเลือกข้างใหม่ มาอยู่ในพระคริสต์ และพระเจ้าทรงประทานใจใหม่ให้ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าที่เชื่อฟังพระองค์ มันแปลว่าอย่างนี้  ก็คือโดยพระคุณพระเจ้า   ทรงประทานใจที่เป็นลูกของพระเจ้า ลูกแห่งการเชื่อฟังให้กับเรา ให้เป็นธรรมชาติใหม่ของเรา ที่เกิดใหม่ในวิญญาณ ใจที่เชื่อฟังนี้ เป็นส่วนหนึ่งในความรอดที่เราได้รับจากพระเจ้า เมื่อเราตัดสินใจย้ายข้าง เมื่อเราตัดสินใจย้ายออกจากทาสของความบาป มาสู่ทาสของพระคริสต์

            พูดง่ายๆ ว่าตรงนี้หมายถึงว่าท่านได้ไปอยู่ในพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าได้ประทานถ้อยคำ ก็คือพระคริสต์ ก็คือความจริงแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้ท่านเชื่อ และท่านเชื่อฟัง คำว่าเชื่อฟังตรงนี้ หมายถึงเชื่อฟัง ที่เป็นของประทานเกิดขึ้นอยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจใหม่ของท่านที่เกิดใหม่ เป็นของประทานที่ไม่ไปไหนเลย  ไม่ใช่ท่านเชื่อฟังเอง  แต่เป็นการเชื่อฟังที่เป็นบุคลิก เป็นลักษณะหนึ่ง ที่พระเจ้าได้ใส่ลงไปในวิญญาณและในใจใหม่ของท่านนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อได้รับธรรมชาติใหม่ และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในพระองค์ด้วย เป็นของประทานให้เชื่อพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าประทานให้เป็นของขวัญ เป็นพระคุณ ไม่ใช่พยายามเชื่อ แต่มันเชื่อโดยเป็นธรรมชาติ  มันไม่ได้เกี่ยวกันกับการพยายามบรรลุถึงสภาวะของการประพฤติ ในร่างกายนี้ ให้บริสุทธิ์ ให้ดีพร้อม ไม่ใช่ ให้เชื่อฟัง ไม่ใช่ แต่เป็นการตระหนัก และรับรู้ และดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงว่า …

            “ตัวตนแท้จริงของฉันในวิญญาณนั้น บริสุทธิ์และเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ในพระคริสต์ ฉันเป็นลูกที่บริสุทธิ์และเชื่อฟังแล้ว ในพระคริสต์ ตรงนี้ต่างหาก ที่ต้องรับรู้ ความบริสุทธิ์ของเรานั้น  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการพยายาม หรือการงานของเราทำ ไม่ใช่เราจะไปพยายามทำให้เราบริสุทธิ์ขึ้น ไม่ใช่ แต่ขึ้นอยู่กับการงานของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขนต่างหาก การสำเร็จ การไถ่ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน ตั้งแต่การสิ้นพระชนม์จนกระทั่งถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายนี้ ทำให้คนที่เชื่อในพระองค์บริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง ในวิญญาณ และในใจ ไม่ได้เกี่ยวกับการประพฤติเลย ข้อที่ 18 ต่อ …

        โรม 6:18 “ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป และได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว”

            เห็นไหมครับ? “ท่านได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป ได้กลายเป็นทาสของความชอบธรรมแล้ว” ก็คือมันเป็นขึ้นมาโดยกำเนิด มันไม่ได้เป็นการกระทำ  ไม่ใช่ท่านได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสรภาพจากความบาป โดยการประพฤติของท่านที่หนีออกมาจากความบาป ไม่ใช่ แต่พระเจ้าประทานให้ต่างหาก พูดง่ายๆ เหมือนท่านได้รับปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากบาป ก็คือตอนก่อนเชื่อ ท่านถูกล่ามโซ่อยู่ เป็นทาสของบาป รู้แล้วใช่ไหมบาปหมายถึงอะไร?  เราเรียนรู้ไปแล้วเมื่อตะกี้นี้ ตอนนี้ท่านเป็นลักษณะเดียวกัน คือท่านถูกล่ามโซ่ เหมือนกับทาสเหมือนกัน แต่เป็นการถูกล่ามโซ่ เหมือนกับทาส ถูกควบคุมให้ทำตามพระเจ้า

            เห็นอะไรบางอย่างไหม? แต่ก่อนนี้ ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  ไม่ต้องพยายามเลย  ท่านก็ทำชั่วอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  ท่านก็เชื่อฟังพระเจ้าอยู่แล้ว พอมองเห็นไหม? นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณว่ามี 2 ข้าง ข้างหนึ่งเป็นทาสแห่งความบาป คือไม่เชื่อฟัง อีกข้างหนึ่งเป็นทาสของพระคริสต์ คือเชื่อฟัง จะเลือกข้างใดข้างหนึ่ง พระคัมภีร์กำลังอธิบายให้เห็นถึงโลกวิญญาณว่ามันมี 2  ข้าง

            พระเจ้าประทานความปรารถนาในใจให้กับเรา  ตอนที่เราย้ายข้างมา  พระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ มีใจใหม่ ในพระคัมภีร์บอก เพราะฉะนั้น ตัวตนของเราจริงๆ คือวิญญาณและใจของเรา อยากได้อะไร ทั้งหมดนั้นมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น  มันของดีหมดเลย แต่ของไม่ดี มันมาจากข้างนอก นอกตัวเราแล้ว มันจะมาหลอกล่อ หลอกลวงเราต่างหาก

            พระเจ้าประทานความปรารถนาในใจให้กับเรา ซึ่งท่านไม่สามารถหนีไปไหนได้เลย พระวิญญาณของพระเจ้าควบคุมท่านอยู่ เพราะท่านเกิดใหม่แล้ว อยู่ในวิญญาณของท่าน อยู่ในใจของท่าน ควบคุมอยู่เลย ท่านจะไปไหนรอด  ไม่รอดเลย เพราะว่าท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณของพระเจ้าควบคุมท่าน อยู่ในใจของท่าน อยู่ในวิญญาณของท่าน ให้วิญญาณและในใจของท่านได้นมัสการ บูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนนต่อพระเจ้า ถูกนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันแปลว่าอย่างนี้ พระวิญญาณนำท่าน ที่เกิดใหม่นั้น ให้นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้แต่เพียงพระองค์เดียว  คือพระคริสต์

            นมัสการแปลว่าอะไร? ก็รู้อยู่แล้วตะกี้นี้ ก็คือให้ท่านบูชา เคารพ เชื่อฟัง ยอมจำนนต่อพระคริสต์ จอมเจ้านาย เหมือนดังเป็นทาส เปรียบเทียบให้ดู เหมือนแต่ก่อนนี้ เราเคยเป็นทาสของความบาป  แล้วมาเป็นทาสของพระเจ้า  เปรียบให้เหมือน ไม่ใช่เราเป็นทาสจริงๆ แต่เราเป็นลูก เป็นทาสที่เป็นลูก พูดง่ายๆ ข้อ 19 …

        โรม 6:19 “ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ตามประสามนุษย์ ก็เพราะท่านอ่อนแอตามปกติวิสัยของท่าน เมื่อก่อนท่านเคยให้ส่วนต่างๆ ในกายของท่าน เป็นทาสของความโสโครก และความชั่วร้ายที่เพิ่มขึ้นไม่สิ้นสุดอย่างไร บัดนี้ ก็จงให้ส่วนต่างๆ นั้น เป็นทาสของความชอบธรรม ซึ่งนำมาสู่ความบริสุทธิ์อย่างนั้น”

            ต้องเปรียบเทียบอย่างนี้ว่าแต่ก่อนนี้ ท่านไม่ได้เชื่อ ท่านอยู่ในความชั่วร้ายต่างๆ เหล่านั้น  เพราะเป็นทาสเขาอยู่ เพราะว่าท่านอ่อนแอ ต้องยกตัวอย่างอย่างนี้ว่าความชั่วร้ายที่ท่านเคยทำมาเป็นอย่างไร?  บัดนี้ ท่านไม่ได้อยู่อย่างนั้นแล้ว  ท่านจะไปทำความชั่วร้ายนั้นอีกทำไม? และท่านไม่ได้เป็นทาสมันแล้ว  บัดนี้ ท่านเชื่อแล้ว ท่านมาเป็นทาสของพระเจ้า ของความดีงามแทนแล้ว  ตรงนี้ต่างหาก

            ก่อนเชื่อ เป็นทาสของความโสโครก ความชั่วร้าย

            หลังเชื่อ เป็นทาสของความชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ที่อยู่ภายในใจ ในวิญญาณของท่านแล้วนั้น

            ให้เห็น 2 ข้างว่า แต่ก่อนนี้ทำไม่ดีต่างๆ เพราะว่าเป็นทาสของความไม่ดี ตอนนี้เป็นทาสของความดี ก็น่าจะมาทำตาม ให้มันสมกับการที่ภายในเป็นคนดีแล้ว พูดง่ายๆ อย่างนี้ ไม่ใช่ว่ากำลังสอนเราว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านควรจะมอบอวัยวะในร่างกายของท่าน มาเชื่อฟังพระเจ้า จะได้บริสุทธิ์ จะได้สะอาด จะได้ดีมากขึ้น สมบูรณ์แบบมากขึ้น  ไม่ใช่อย่างนั้น  แต่กำลังบอกให้เห็นว่ามันมี 2 ข้าง  ข้างหนึ่งชั่ว ข้างหนึ่งดี  ตอนนี้เราดีแล้ว ดีโดยกำเนิด ดีครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรมันก็ดี ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย

            แต่ปฏิบัติตัวภายนอก ก็คือมอบอวัยวะในร่างกายทุกส่วนให้กับวิญญาณที่อยู่ภายใน ให้กับพระเจ้าที่อยู่ภายในใช้ ให้มันสมกับที่มันเป็นคนดี สมบูรณ์แบบแล้ว  ไม่ใช่ว่ามอบอวัยวะในร่างกายให้กับพระเจ้าใช้นะ  เพื่อที่ท่านจะได้บริสุทธิ์ ดีพร้อมมากขึ้น  ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แต่ เราถูกโกหกหลอกลวงว่าให้เป็นอย่างนี้ มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ต้องทำดี ต้องทำอะไรต่างๆ นั้น มอบอวัยวะในร่างกายให้พระเจ้าใช้ เพื่อเราจะได้บริสุทธิ์ดีพร้อมมากขึ้น มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะท่านได้รับความบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่มีการกระทำใดๆ จะทำให้ท่านบริสุทธิ์เพิ่มขึ้นได้อีกเลย เพราะมันสมบูรณ์แล้ว  พระเยซูตรัสว่ามันสำเร็จแล้ว เอเมน

            ซาตาน มารก็พยายามมาหลอกเรา โกหกเรา มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็ยังไม่สมบูรณ์ ยังต้องทำดีอีก ต้องทำพร้อมกว่านี้  ไม่ดีหรอก ทำอย่างนั้น ก็ไม่ได้ ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ ยังไม่พร้อม จริงๆ ก็คือมันดีพร้อมหมดเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ภายนอก มันยังอยู่ใต้อิทธิพลของการหลอกลวงของมารอยู่ ข้อ 20-21 …

        โรม 6:20-21 “20 เมื่อท่านเป็นทาสของบาป ท่านก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของความชอบธรรม 21 ครั้งนั้น ท่านได้เก็บเกี่ยวประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านั้น ซึ่งบัดนี้ท่านก็ละอายแก่ใจ ผลลัพธ์ของสิ่งเหล่านั้น คือความตาย”

            เห็นไหม? เปรียบเทียบ 2 อัน ตอนนั้นท่านเป็นทาสของความบาป  พยายามทำความดีมากเท่าไร ก็ไม่สมบูรณ์แบบ เหมือนกิ่งก้านของต้นไม้เลว  ยังไงก็เป็นผลเลว  เป็นความพินาศ ความตาย  ท่านทำไป ก็มีแต่ความตายตลอดเวลา  มีแต่ความเสียหายตลอดเวลา ท่านเห็นไหม? แต่เดี๋ยวนี้ ข้อ 22 …

        โรม 6:22  “แต่บัดนี้ ท่านเป็นอิสระจากบาป และได้กลายมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ประโยชน์ที่ท่านได้เก็บเกี่ยว นำไปสู่ความบริสุทธิ์ และผลลัพธ์ คือชีวิตนิรันดร์”

            แต่เดี๋ยวนี้ ท่านเป็นกิ่งก้านที่พระเจ้าถอนออกมาจากต้นไม้เดิม คือต้นไม้อาดัม ต้นไม้บาป  คือตัวท่านถูกย้ายมา ตัวท่านก็เหมือนกิ่งก้านของต้นไม้ ย้ายออกมาต่อติดกับต้นไม้ดี คือพระเยซูคริสต์แล้ว พระคริสต์ คือเจ้าชีวิตของท่าน เป็นเจ้านายของท่าน แต่เพียงผู้เดียวแล้ว  ท่านได้เป็นชีวิตนิรันดร์ เข้าส่วนร่วมวิญญาณเดียวกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าและพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว  เป็นร่างกายของพระองค์แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว  ท่านจะไปทำอย่างเก่าอีกทำไม? นี่กำลังพูดอย่างนี้ หมายถึงท่านเป็นแล้ว  ท่านอย่าถูกหลอกให้ประพฤติเหมือนดังที่เคยประพฤติ ตอนที่ยังไม่ย้ายมา  ตอนที่เป็นทาสของบาปอยู่ ท่านไม่ได้เป็นทาสของมันแล้ว  ท่านปฏิเสธมันได้ ไม่ต้องไปยุ่งกับมันเลย  เพราะว่าวิญญาณและใจของท่านนั้น ใหม่เอี่ยม สะอาด เป็นส่วนหนึ่ง เป็นร่างกายของพระคริสต์แล้ว

        โรม 6:23 “เพราะว่าค่าตอบแทนที่ได้จากบาป คือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

            เพราะค่าตอบแทนของความบาป คือความตาย ถ้าท่านยังไปทำเหมือนเดิม ไปยอมเชื่อมารว่าให้ทำตามเหมือนเดิม ก็คือทำบาป ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระลักษณะของพระเจ้า  ก็คือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง รู้ไหมค่าจ้างของความบาป  ค่าจ้าง คือผลตอบแทน ท่านต้องลงแรงลงกาย ไปทำบาป แล้วก็ได้ความตาย  ความไม่สบายกลับมา  ได้ความทุกข์ใจกลับมา  ท่านจะไปลงแรงลงกายทำทำไม? เหนื่อยด้วย แล้วแถมได้สิ่งที่ไม่ดีกลับมาด้วย ท่านมาทางพระเจ้าดีกว่า เพราะว่าบาป คือการพึ่งพาแรงกาย การกระทำของตนเอง  ซึ่งทำไม่ได้ เหนื่อย  ยากลำบากมาก และค่าตอบแทนของการทำบาป  ทำตามใจตัวเองนั้น  ก็คือตายจากพระเจ้า ไม่ได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์ ท่านจะไปทำทำไม?

            กำลังพูดให้เห็นว่าท่านไม่อยากทำอยู่แล้ว ในใจของท่าน  เพราะมันเหนื่อย หมายถึงคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว  เวลาทำบาปแล้ว มันจะเหน็ดเหนื่อยมาก เหนื่อยเหลือเกิน  มันไม่อยากทำ  เพราะรู้ว่าค่าจ้างของมัน คือความตาย มันไม่มีประโยชน์เลย

            เพราะฉะนั้น เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เปิดใจรับของขวัญจากพระเจ้า  คือการพึ่งพา การกระทำของพระเยซูคริสต์ดีกว่า วางใจในพระเยซูคริสต์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่เหนื่อย ยาก ลำบาก ได้รับค่าตอบแทนสูงด้วยอีกต่างหาก ก็คือได้ชีวิตนิรันดร์ อยู่ในบาป พยายามๆ จะไปอยู่ในสวรรค์ นึกภาพออกนะ  ก่อนเชื่อ  อยู่ในบาป พยายามทำ เพื่อไปสวรรค์ เหนื่อยไหม? เหนื่อย  แล้วได้สวรรค์ไหม? ไม่ได้ ได้อะไรแทน ตกมาตาย  มาอีกข้างหนึ่ง มาวางใจในพระเยซูคริสต์ ไม่ต้องทำด้วยตัวเอง ให้พระเยซูทำ แต่ได้รางวัล คือได้สวรรค์ ไม่ตาย  นี่มันหมายถึงอย่างนี้

            ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านดู เป็นสุดท้ายก่อนที่จะจบ เห็นชัดเลย มันเหมือนเราจะไปสวรรค์ มนุษย์ทุกคนเกิดมาปุ๊บ ตกเป็นทาสบาป เขาอยากไปสวรรค์ อยากจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ สวรรค์เหมือนยอดภูเขา  อยู่บนยอดสวรรค์ มนุษย์เกิดมาปุ๊บ อยู่ตีนภูเขา  แล้วทำอะไร? มีบันไดให้ปีนขึ้นไป ปีนขึ้นไปด้วยตัวเอง  ไปสวรรค์ด้วยตัวเอง ก็คือปีน เกิดมาปุ๊บ วันแรก ก็เริ่มปีน  ปีนไปเรื่อยๆ บางคนก็ได้มากขั้น บางคนก็ได้น้อยขั้น แต่ไม่มีใครไปถึงสวรรค์สักคน ปีนๆ ไป ในที่สุด ก็ตาย ผลของการปีน เหนื่อย แล้วก็ต้องตาย ก็คือไม่ได้ไปสวรรค์นั่นเอง ไม่ได้อยู่ในสวรรค์

            แต่พระเจ้าส่งพระเยซูลงมา เพราะว่ามองเห็นมนุษย์อยู่ว่าปีนอย่างไรก็ไม่ถึง พระเยซูก็ลงมา แล้วก็ชี้ให้มนุษย์เห็นว่ามนุษย์ คุณปีนอย่างไรก็ไม่ถึง แล้วคุณพึ่งพาการกระทำของตนเอง พึ่งพาในความดีงามของตนเอง  เพื่อจะไปสวรรค์ มันไม่ถึงหรอก เพราะว่าคุณปีนไป คุณก็ทำชั่ว  เพราะว่าท่านเกิดอยู่ในบันไดของความชั่ว  ความบาปนี้  ท่านต้องย้าย  พระเยซูเลยมาบอกว่าวางใจในเราสิ  ไม่ต้องปีนให้เหนื่อย  วางใจในเรา ก็คือเข้ามาอยู่ในเรา อยู่ในพระเยซูคริสต์

            พระเยซูคริสต์เหมือนลิฟต์ รู้จักลิฟต์ใช่ไหม? เข้าอยู่ในลิฟต์ ปีนๆ อยู่ เหนื่อยๆ  ไม่ไหวแล้ว  ไม่ไหวก็เข้าไปอยู่ในลิฟต์ ขึ้นลิฟต์ปุ๊บ ถึงสวรรค์ทันทีเลย ไม่ต้องปีน ขึ้นลิฟต์ กดปุ๊บ ขึ้นสวรรค์เลย กด เมื่อท่านตัดสินใจจะย้ายออกจากบันไดนั้น พอย้ายจากบันไดปุ๊บ เข้าลิฟต์ ลิฟต์ขึ้นทันที ไม่ใช่เข้าเสร็จ ต้องรอให้คนอื่นมาหรือยังๆ ทุกคนมีลิฟต์ส่วนตัว พอเข้าลิฟต์ปุ๊บ ท่านกดทันที ขณะที่ท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านเข้ามาอยู่ในลิฟต์ มันขึ้นสวรรค์ทันทีแล้ว ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ตั้งแต่ตัดสินใจ และจะอยู่ที่นี่กับพระเจ้าตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่เหนื่อยด้วย และได้รับรางวัล คือสวรรค์

            อีกข้างหนึ่งทั้งเหนื่อย  ทั้งลำบาก ทั้งปีนด้วยตัวเอง แต่ในที่สุด  ตาย จะเอาอะไร? ปีนด้วยตัวเอง  พึ่งพาตัวเอง แล้วก็มองไปข้างล่าง

            แล้วก็บอก … “ตามฉันมา ทำให้ได้เหมือนฉันสิ  ฉันได้เยอะแล้ว  ฉันคิดว่าฉันไปถึง”

            แล้วถึงไหม? ไม่ถึง แต่ก็พยายามที่จะสอนคนข้างล่างว่าตามฉันขึ้นมา  ปีนขึ้นมาอีก พยายามปีนขึ้นมา พยายามปีนอีกนิดหนึ่ง คนสอนก็ไม่ถึง คนถูกสอน คนตามมาก็ไม่ถึง

            แต่พระเยซูบอก … “ฉันมา ไม่ได้ต้องการให้เธอมาปีนขึ้นมาตามฉัน ขึ้นมาๆ เพราะฉันจะบอกให้เธอฟังว่าฉันรู้ดี เธอปีนอย่างไรก็ไม่ถึงหรอก  เพราะฉะนั้น เลิกปีนเถอะ  เลิกยึดกฎระเบียบตามความบาป แต่ให้มาวางใจในฉัน  ฉันจะพาขึ้นสวรรค์เอง  จงวางใจในเรา แล้วท่านจะพบกับพระบิดา ท่านจะมาหาพระบิดาได้มีทางเดียว คือทางเรา พระบิดา คือเจ้าของสวรรค์ ท่านจะไปอยู่กับพระบิดาในสวรรค์ได้ ก็เพราะทางเราเท่านั้น เอเมน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าให้มนุษย์เลือกทางที่จะไปอยู่สวรรค์กับพระองค์

                        1. ทางของมนุษย์คิด

                        2. ทางของพระเจ้าคิด

            ทางของมนุษย์ คือสะสมทำดีก่อน เพื่อจะไปสวรรค์

            ทางของพระเจ้า คือได้อยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วจึงสะสมทำดี

            ความคิดมนุษย์ คือประพฤติตนเองให้บริสุทธิ์ดีพร้อม เพื่อจะไปสวรรค์

            ความคิดของพระเจ้า คือทำให้เจ้าบริสุทธิ์ดีพร้อมอยู่ในสวรรค์ก่อน แล้วเราจะฝึกฝนเจ้าให้ประพฤติสมกับที่บริสุทธิ์ดีพร้อม

            ทางไปสวรรค์ของมนุษย์ คือพึ่งพาการกระทำของตนเอง

            ทางไปสวรรค์ของพระเจ้า คือพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน

            ยอห์น 3:16 … “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก  จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ (วิญญาณตายอยู่ในบาป) แต่มีชีวิตนิรันดร์”

            เพราะเรารอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ  ตั้งแต่นาทีที่เราเชื่อ ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกนี้แล้ว   ได้บังเกิดใหม่แล้ว

            โรม 8:1-2 … “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษใดๆ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระ จาก (ทาง) กฎแห่งบาปและความตาย”

            พระเจ้าอวยพรครับ