คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2024
เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 7
โดย นคร เวชสุภาพร
เข้าซีรี่ย์ “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู” เราได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมา 6 ตอนแล้ว คือ …
ตอนที่ 1 : ก่อนเชื่อ อยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่อ อยู่ในพระวิญญาณ
ตอนที่ 2 : ก่อนเชื่อ อยู่ในอาดัม หลังเชื่อ อยู่ในพระคริสต์
ตอนที่ 3 : ก่อนเชื่อ เป็นทาสบาป หลังเชื่อ เป็นทาสพระคริสต์
ตอนที่ 4 : ก่อนเชื่อ อยู่ในความมืด หลังเชื่อ อยู่ในความสว่าง
ตอนที่ 5 : ก่อนเชื่อ ตายจากพระเจ้ามาอยู่ในบาป หลังเชื่อ ตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้า
ตอนที่ 6 : ก่อนเชื่อ อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย หลังเชื่อ อยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์
วันนี้ตอนที่ 7 : สำคัญมาก “ก่อนเชื่อ … เป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟังพระคริสต์ หลังเชื่อ … เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์”
เป็นความจริงในโลกวิญญาณที่สำคัญมาก เพราะหลายท่านเข้าใจผิดเยอะเลย รวมทั้งผมด้วย และก็ทั้งทีมงานหลายคน ก็เข้าใจผิดมาตลอด เพิ่งได้รับความรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่ามันเป็นอย่างนี้เอง คำว่า “เพิ่งได้รับ” ไม่ได้หมายถึงว่าวันนี้ได้รับนะ มันค่อยๆ รับรู้ความจริงมาเรื่อยๆ
ทั้ง 2 สถานะทางวิญญาณ ที่เมื่อสักครู่นี้อ่านกันว่าก่อนเชื่อ เป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟังพระคริสต์ หลังเชื่อ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์ ทั้ง 2 สถานะทางวิญญาณเป็นโดยการกำเนิดเกิดมาเป็นเลย ไม่ได้เป็นโดยการประพฤติ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตรงนี้เป็นหัวใจ เป็นความจริง
ก่อนเชื่อ เป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟังพระคริสต์ ในเอเฟซัส 2:1-3 บันทึกไว้อย่างนี้ อย่างชัดเจนเลย …
เอเฟซัส 2:1-3 “1 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ แม้ว่าท่านตายแล้ว โดยการละเมิดและในบาป 2 ครั้งเมื่อก่อน ท่านเคยดำเนินชีวิตอยู่ในบาป ประพฤติตามวิถีของโลกนี้ ตามเจ้าแห่งอำนาจในย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ ในลูกแห่งการไม่เชื่อฟัง (เป็นปฏิปักษ์ ต่อต้าน พระคริสต์) 3 เมื่อก่อน เราเคยเป็นเหมือนกับคนเหล่านั้น (ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป) ประพฤติตามตัณหาของเนื้อหนังเช่นกัน คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนัง ซึ่งมันเป็นธรรมชาติ ที่อยู่ในวิญญาณในใจ และในความคิด เราจึงเป็นลูกที่ถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่ง เหมือนอย่างคนอื่น”
พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ คือให้ท่านเกิดใหม่ ถ้าท่านเชื่อ ทำให้ท่านเกิดใหม่ แม้ว่าท่านตายแล้ว โดยการละเมิด ก็คือเกิดมา ตายแล้วในการละเมิด คือทำบาป เขาเรียกว่าละเมิดกฎของพระเจ้า ท่านตายแล้ว อยู่ในการละเมิดของพระเจ้า คือความประพฤติใช่ไหม? และในบาป คือเกิดมาอยู่ในบาป จึงละเมิด
ข้อ 2 บอกว่าครั้งเมื่อก่อน ก่อนเชื่อ ท่านเคยดำเนินชีวิต นึกออกนะ ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป ประพฤติตามวิถีของโลก เกิดมาอยู่ในบาป แล้วจึงประพฤติบาป ตามวิถีของโลก โลกนี้บาป ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในลูกแห่งการไม่เชื่อฟัง ก็คือวิญญาณท่านอยู่ในการครอบครองของความดื้อด้าน วิญญาณที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นปฏิปักษ์ต่อต้านพระคริสต์ โดยกำเนิดเกิดมาเป็นเลย
ข้อ 3 ชัดเจน เมื่อก่อน เราเคยเป็นเหมือนกับคนเหล่านั้น ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป ประพฤติตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนังเช่นกัน ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อนั่นเอง ท่านกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนัง ซึ่งมันเป็นธรรมชาติ มันไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นเชื้อโรคอยู่ในตัวเรา เป็นธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณ คือในใจ และในความคิดของเรา เราจึงเป็นลูกที่สมควร หรือที่ถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่งเหมือนอย่างคนอื่นๆ เขา ที่ยังไม่ได้เชื่อในข่าวประเสริฐ ชัดเจนเลยนะ คือมนุษย์เกิดมาในวิญญาณที่อยู่ในบาป เป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟังนั่นเอง
หลังเชื่อ ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ซึ่งเป็นพระบิดาของพระคริสต์ 1 เปโตร 1:2-3 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …
1 เปโตร 1:2-3 “2 พระเจ้าพระบิดาได้ทรงเลือกสรรพวกท่าน ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ผ่านทางการทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ เพื่อให้พวกท่าน มาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ (เพื่อให้ท่านมาบังเกิดใหม่ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์) และรับการประพรมด้วยพระโลหิตของพระองค์ ขอพระคุณและสันติสุข มีแต่พวกท่านอย่างล้นเหลือ 3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”
มาบังเกิดใหม่ เพื่อจะได้เป็นลูกที่เชื่อฟังพระคริสต์ “เป็น” เราได้เริ่มต้นรับฟังเมล็ดพันธุ์แห่งข่าวประเสริฐ ตอนก่อนเชื่อ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? คือเราได้ยิน ได้รับฟังถ้อยคำพระเจ้า คือเขาเรียกว่าข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ แล้วเราก็ไม่ปฏิเสธ แต่เราก็ไม่ได้รับโดยตรง ก็ฟังไปเรื่อยๆ แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งวันไหนไม่รู้ ที่เราตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับข่าวดีนั้น ด้วยใจของเรา ซึ่งเราไม่รู้ว่าวันไหนหรอก พอเราเปิดใจต้อนรับปุ๊บ เรียกว่าเริ่มต้นวางใจในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือไม่ปฏิเสธนั่นเอง ถูกไหม? พอไม่ปฏิเสธปุ๊บ คือเปิดประตูใจปุ๊บ พระเยซูคริสต์เคาะอยู่หน้าประตู แล้วก็เข้าไปทันทีเลย ตอนนี้เราเรียกว่าหลังเชื่อแล้ว ดูสิ เกิดอะไรขึ้น
และทันทีที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด วางใจในพระองค์ว่าพระองค์ทรงช่วยได้มั้ง ต้องมีคำว่า “มั้ง” เพราะว่าตอนนั้น เรายังไม่รู้เรื่อง เกิดอะไรขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็ได้เข้ามาภายในร่างกายของเรา คือในวิญญาณของเรา เข้ามาทำอะไร? ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าเข้ามาบัพติศมา คือนำเราเข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ คือบัพติศมาในวิญญาณ
บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าทันที เห็นไหม เกิดใหม่มาเป็นวิญญาณที่มีความเชื่อศรัทธา จากวางใจต้อนรับ เชื่อพระเยซูไหม? เชื่อข่าวดีไหม? เชื่อ แต่เชื่อจากความคิดเฉยๆ มั้ง แต่พอเปิดใจต้อนรับปุ๊บ พระเจ้าใส่ขบวนการการบังเกิดใหม่ เข้ามาในตัวเรา ที่ชัดเจนเลย จากการเป็นลูกที่ไม่เชื่อฟัง กลายมาเป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า เต็มไปด้วยความเชื่อฟังในวิญญาณทันที โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ เต็มไปด้วยความเชื่อ
จากการที่เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระคริสต์ มาเกิดใหม่เป็นลูกที่เชื่อฟังพระคริสต์ จากการเป็นลูกที่เกลียดชัง ต่อต้านพระคริสต์ มาเกิดใหม่ เป็นผู้ที่รักพระคริสต์ เห็นหรือเปล่า ก่อนหน้านั้น ก่อนเชื่อใครมาพูดเรื่องพระเยซู เราก็ไม่ชอบ ไม่ชอบมากไม่ชอบน้อย แสดงออกโดยปฏิกิริยามากน้อยไม่เท่ากัน แต่ข้างในพระคัมภีร์บอกว่าต่อต้านพระคริสต์ เกลียดชังข่าวประเสริฐ เราจะเห็นได้ทันทีเลยว่าสถานะนี้ เปลี่ยนไป โดยมนุษย์ไม่ได้ทำอะไรเลย ทำแค่อย่างเดียว คือตัดสินใจวางใจ เริ่มต้นเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเท่านั้น พระเยซูบอกว่าภาระของเราก็เบา จงมาหาเราเถิด จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกนั้นพระองค์ทำเอง
หลังจากนั้นแล้วทำอะไร? แล้วพระเจ้าก็จะประทานความเชื่อศรัทธาให้เรา เมื่อเราเปิดใจ พระคัมภีร์บอกว่าเป็นความเชื่อศรัทธาชนิดที่เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าให้เราเชื่อเฉยๆ แต่เป็นความเชื่อชนิดที่เป็นของพระเจ้า พระเจ้าเต็มไปด้วยความเชื่อ เรารู้แล้ว พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยถ้อยคำของพระองค์ เต็มไปด้วยความเชื่อ เราเป็นเชื้อสายของพระองค์ มีวิญญาณข้างใน เป็นความเชื่อศรัทธาที่เป็นของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกมันยิ่งใหญ่มาก มหาศาล
พระเยซูเปรียบเทียบว่าที่ให้ไป คุณภาพเป็นเหมือนความเชื่อของพระเจ้าทันที อยู่ในวิญญาณเรา ให้มาแค่เมล็ดมัสตาร์ดเอง นิดเดียวเอง แต่มันเจริญเติบโต บังเกิดใหม่ กลายเป็นชีวิตนิรันดร์
เมล็ดมัสตาร์ดแห่งความเชื่อศรัทธา ที่พระเจ้าได้ใส่ลงมาในวิญญาณ และในใจของเรา ทำให้เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง จากนั้น ในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว พระเจ้าจะเป็นผู้ดูแลวิญญาณของเรา ที่พระองค์ได้ทรงไถ่ไว้ทั้งหมด เราจึงเรียกข่าวดีนี้ว่ารับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อศรัทธา
ความรอดในพระเยซูคริสต์คืออะไร? เรามาดูกัน โรม 1:16 บอกไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 1:16 “ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่มีความละอาย ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้น เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่วางใจ ได้รับความรอด พวกยิวก่อน และพวกคนต่างชาติด้วย”
ข่าวประเสริฐ ข่าวดีเป็นฤทธิ์อำนาจให้กับคนที่วางใจในข่าวดีนี้ ได้รับความรอด เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ที่คู่มากับการอัศจรรย์นั่นเอง ความรอดที่พระเจ้าประทานให้ เปรียบได้กับกล่องของขวัญ 1 กล่องที่มีสิ่งของมากมายอยู่ข้างในนั้น พอบอกถึงความรอดปุ๊บ จงนึกถึงกล่อง จงนึกถึงอะไรบางอย่างที่มีของอยู่ในนี้เยอะแยะเลย กล่องของขวัญที่มาในรูปของความรอดในพระคริสต์ ก็จะมีอะไร? บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าก็จะมีพระพรฝ่ายวิญญาณในสวรรคสถานนานัปการ มันอยู่ข้างในความรอด ในกล่องนี้ เอเฟซัส 1:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญเทิดทูนพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงประทาน (ให้ของขวัญ) พระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน”
ถามว่ามีอะไรบ้าง? ยกตัวอย่างในความรอดนี้ มีสถานะในวิญญาณของเราที่พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ ด้วยในวิญญาณของเรา เราเรียกตัวเราเอง พระคัมภีร์เรียกว่าพระวิหารของพระเจ้า คือบ้านของพระเจ้าที่พระองค์เข้ามาอาศัยอยู่ทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับข่าวประเสริฐ แล้วยังมีอะไรอีกในความรอดนี้ ในพระพรนานัปการนี้
ยกตัวอย่างเช่น การอภัยโทษจากความบาปทั้งสิ้นตลอดไป ไม่ถือโทษเราอีกเลย ตลอดไป รอดพ้นจากการถูกพิพากษาให้พินาศ อยู่ในบึงไฟนรก หลังความตาย มีการได้รับการบังเกิดใหม่ ในฐานะลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม คือสามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้อย่างมั่นใจว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีมลทินใดๆ บาปใดๆ เลย เป็นคนดีพร้อมเท่าๆ กันกับพระเยซูคริสต์
ในความรอดนี้ มีอะไรอีก มีฐานะเป็นผู้รับมรดกนิรันดร์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ จะได้ครอบครองโลกใหม่และสรรพสิ่งบนโลกใหม่นี้ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ และหลังจากร่างกายเดิมนี้แล้ว จะได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ที่เต็มด้วยสง่าราศี และอะไรอีกมากมาย และหนึ่งในพระพรนานัปการนี้ ก็คือของประทานแห่งความเชื่อศรัทธาในพระเจ้านั่นเอง เต็ม 100% เลย เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา
ไม่ต้องพยายามไปหาเพิ่มพูนความเชื่อ ท่านบอกว่าอย่างนี้ต้องพยายามทำ เพิ่มความเชื่อ ไม่จริงเลย แต่ก่อนนี้ผมก็ไม่รู้ ผมก็นึกว่าต้องทำอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อจะได้เพิ่มพูนความเชื่อ แต่ที่ไหนได้ วันแรกที่รับเชื่อพระเจ้านั้น ความเชื่อเต็มบริบูรณ์ ครบ 100 มาอยู่ในวิญญาณเลย อยู่ในใจแล้ว เพียงแต่รับรู้หรือเปล่า? และเป็นความเชื่อเต็มขนาดไหน? พระคัมภีร์บอกความเชื่อนี้เต็ม 100 เท่ากับพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย เอเมนไหม? มันรับยากนะ เดินอยู่บนโลกนี้ บอกเรามีความเชื่อเท่าพระเยซูคริสต์ แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้นจริงๆ
ได้เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์ มีความรักในพระเจ้า ที่เหมือนความรักของพระเจ้าที่เป็นอมตะนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย พระเยซูรักพระเจ้าอย่างไร? เราก็รักพระเจ้าอย่างนั้น พระเยซูคริสต์เชื่อพระเจ้าอย่างไร? เราก็เชื่อพระเจ้าอย่างนั้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย ไม่มีใคร หรืออะไรบนโลกใบนี้สามารถมาเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ที่พูดมาทั้งหมด เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวันแห่งความรอดเท่านั้น ที่พูดมาทั้งหมด อัศจรรย์เยอะแยะ แต่เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น
ยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ คือความรอดในพระคริสต์นี้ ที่พระคัมภีร์เรียกตรงนี้ว่าพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ ที่เราคริสเตียน ผู้เชื่อได้รับเรียบร้อยไปแล้วทั้งหมด เพียงแต่กำลังเรียนรู้ มารู้ทีละอย่าง สองอย่าง สามอย่าง สี่อย่าง รู้วันแรก คือได้รับความรอด คืออะไร? ไม่รู้ รู้แต่ว่าได้รับความรอดแล้ว แล้วค่อยๆ มาเรียนรู้ทีหลัง ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้รับเรียบร้อยแล้ว พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าข่าวดีเป็นฤทธิ์เดช เป็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ในวิญญาณของคนๆ นั้น ที่ต้อนรับ วางใจในพระเยซูคริสต์ และมันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ที่ตะกี้นี้บอกมาทั้งหมด ที่พูดมาทั้งหมด พระพรนานัปการในสวรรคสถาน เราได้รับ เป็นอัศจรรย์ เกิดขึ้นในวิญญาณของเรา ภายในร่างกายของเรา พร้อมๆ กันทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มันเกิดขึ้นทันทีเลย ไม่ต้องรอ
คริสเตียนจึงมีความเชื่อศรัทธาที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นของประทาน ต้องพูดย้ำบ่อยๆ เพราะว่าเราจะได้ไม่ถูกหลอก เป็นของประทาน คือเป็นธรรมชาติที่เกิดใหม่ อยู่ภายในวิญญาณ ผมจะเติมลงไปตรงนี้ เป็นความเชื่อศรัทธา เพราะว่าภาษาไทยบางทีแยกไม่ออก ระหว่างความไว้วางใจ การเริ่มต้นเชื่อ แบบมนุษย์ คือเชื่อแบบความคิดที่เราเริ่มต้นต้อนรับพระเยซูคริสต์นี้ กับความเชื่อศรัทธาที่เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ที่เป็นเหมือนของพระเจ้า มันแยกกันไม่ออก บางทีเขาใช้คำว่าเชื่อ หรือเราพูดสั้นๆ ว่าเปิดใจเชื่อพระเยซูสิ แล้วพระเจ้าจะเสด็จเข้าไปประทานความเชื่อให้ มันก็เชื่อเหมือนกันใช่ไหม? แต่จริงๆ ไม่เหมือนกัน
“เชื่อศรัทธา” ที่ผมเติมให้กับ “เชื่อเฉยๆ” ก็คือเชื่อแบบมนุษย์ มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ แต่เชื่อศรัทธาที่พระเจ้าให้นั้น เป็นนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ก็คือเป็นลูกแห่งความเชื่อศรัทธาในพระคริสต์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ซึ่งไม่ใช่ความเชื่อแบบโลก ที่มนุษย์คิด ที่มนุษย์อุปทานเอาเอง หรือที่มนุษย์พยายามสร้างขึ้นมาเอง ตามระบบของโลกนี้ เต็มไปหมดเลย เรียกว่าความเชื่อๆ อยากจะมีความเชื่อ มีพระเยซูคริสต์ อยากจะร่ำรวย ต้องมีความเชื่อ เพิ่มพูนความเชื่อสิ โดยการฟังเรื่องเราวเกี่ยวกับพระเยซู เกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง สั่งการให้เจริญรุ่งเรืองเลย สั่งการเยอะๆ จะได้มีความเชื่อ นั่นเป็นความเชื่อแบบมนุษย์บนโลกใบนี้ พยายามสร้างขึ้นมา เรียกว่า Positive Thinking ก็คือการพูดในสิ่งที่อยากได้ พูดไปสิๆ แล้วมันเป็นจริงไหม? มันไม่จริง ถ้ามันเป็นจริง ทุกวันนี้ทุกคนก็ไม่ป่วยแล้ว ทุกคนก็ไม่จนแล้ว ทุกคนก็ไม่มีปัญหา โลกนี้มีความสุขหมดเลย ทุกคนวันๆ ก็ไปนั่งพูดๆ สร้างความเชื่อขึ้นมา มันสร้างได้ที่ไหนล่ะ มันเป็นของประทาน ความเชื่อศรัทธาจริงๆ ที่สั่งอะไร แล้วมันเกิดขึ้น
พระเยซูบอกแค่ความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ที่มาจากพระเจ้า ท่านสั่งภูเขาให้ลงทะเล มันก็ลง สั่งให้ต้นไม้มันเน่า มันก็เน่า ถ้าท่านมีนะ พระเยซูบอก สาวกถามพระเยซูว่าทำอย่างไรถึงจะสั่งอย่างพระองค์ได้ พระองค์บอกถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ความเชื่อตรงนี้ คือความเชื่อศรัทธา ชนิดที่เป็นของพระเจ้า The kind of faith that belongs to God ถ้าท่านมีความเชื่อชนิดที่เป็นของพระเจ้าแบบนี้ เพียงแค่เมล็ดมัสตาร์ดเท่านั้นเอง ท่านสั่งภูเขาให้ลงทะเล มันก็เชื่อฟังท่าน ไม่ได้หมายถึงให้ไปสั่ง แล้วก็ไม่ได้หมายถึงว่าสอนให้สาวกไปสั่ง แต่กำลังจะบอกว่าถ้าท่านมีนะ ก็แสดงว่ามีไหม?
“ถ้าฉันมี 10 ตา”
มีกี่ตา? 2 ตา มี 10 ตาไหม? ไม่มี “ถ้า” หมายถึงไม่มี อย่าถูกหลอก แล้วความเชื่อที่สร้างขึ้นมาเอง โดยความคิด ความพยายามของมนุษย์ที่เข้าใจผิดเหล่านี้ มันทำไมความเชื่อนี้ มันเปลี่ยนไปมา ตามระบบของโลกใบนี้ เปลี่ยนไปมาตามความรู้สึกนึกคิด ตามอารมณ์ ตามสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ตามระบบของโลกที่ตามองเห็น สัมผัสได้นั่นเอง มันไม่ใช่ความเชื่อศรัทธาชนิดที่อยู่ข้างในวิญญาณของเรา ที่เป็นของพระเจ้า
ธรรมชาติวิญญาณของเราก่อนเชื่อ นี่ย้อนกลับไปถึงก่อนเชื่อ ธรรมชาติในวิญญาณ ทุกคนเกิดมาเป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟัง เป็นเชื้อสายของอาดัมที่ไม่เชื่อฟัง ก็คือทำบาป ต่อต้าน ละเมิดคำสั่งของพระเจ้า โดยธรรมชาติ
และโดยธรรมชาติหลังเชื่อ เกิดใหม่ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง เป็นเชื้อสายในพระคริสต์ ที่เชื่อฟัง ทำตามพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร? คิดอย่างไร? สิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร? โลกจะบอกอย่างไร? ความเชื่อศรัทธา ความเป็นจริงในธรรมชาติ เราเป็นเช่นนี้ เอเมน ไม่ว่าตอนนี้ท่านเอเมน เดี๋ยวออกจากนี้ไป อารมณ์เสีย ลูกร้องไห้ หิวข้าว รถเมล์ไม่ยอมจอดให้ท่าน ขึ้นรถเมล์ถูกคนเหยียบเท้า ถูกคนกล่าวหาท่าน โดยที่ท่านไม่ได้ทำ ท่านเริ่มหงุดหงิด ความเชื่อแบบมนุษย์หายไปใช่ไหม? พระเจ้ายังสถิตอยู่กับท่านหรือเปล่า? สถิตอยู่ แต่ความเชื่อแบบมนุษย์มันหายไปแล้ว เอ๊ะอะโวยวาย แต่ความเชื่อของพระเจ้า ก็คือพระเจ้ายังทรงสถิตอยู่กับท่านไหม? อยู่หรือไม่อยู่? อยู่ นี่แหละคือความเชื่อศรัทธาในความจริงของพระเจ้า มนุษย์ไม่สามารถประพฤติหรือปฏิบัติอะไรก็ตาม มากขนาดไหนก็ตาม เพื่อจะเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ได้ คือเปลี่ยนแปลงจากความเป็นลูกไม่เชื่อ มาเป็นลูกที่เชื่อ มนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยการประพฤติ ไม่ว่าจะมากขนาดไหนก็ตาม นอกจากวิญญาณเดิมจะต้องตายก่อน แล้วมาเกิดใหม่ ด้วยวิญญาณใหม่ในพระคริสต์ มาเป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์ โดยการบังเกิดใหม่เท่านั้น
และเมื่อเป็นลูกแห่งการเชื่อฟังแล้ว ข้างในก็เป็นลูกพระเจ้าที่เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธา พอเรารู้ตัวว่าเรารับรู้ความจริงนี้ว่าเราเป็นลูกแห่งความเชื่อศรัทธา การศึกษาถ้อยคำพระเจ้าก็ดี การอ่านพระคัมภีร์ก็ดี การฟังถ้อยคำพระเจ้าก็ดี การมาโบสถ์ก็ดี การอธิษฐานกับพระเจ้าก็ดี การปฏิบัติเหล่านี้เป็นสิ่งดี มีประโยชน์ และเป็นสิ่งที่พึงกระทำทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกัน ที่ทำสิ่งเหล่านั้น เราต้องรับรู้ความจริงนี้ ไปพร้อมๆ กัน มิฉะนั้น เราจะถูกหลอก
รับรู้ความจริงด้วยว่าการปฏิบัติเหล่านี้ ที่เราพูด ยกตัวอย่างมาสักครู่นี้ เป็นเพียงการรับรู้ความจริงในวิญญาณของเรา ในสถานะวิญญาณของเราว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้วนะ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว เป็นเหมือนพระคริสต์แล้ว เต็มไปด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า 100% เหมือนพระคริสต์แล้ว การประพฤติปฏิบัติทุกอย่างที่ทำนั้น ไม่มีส่วนใดๆ ในการเพิ่มพูนความเชื่อศรัทธาให้มากขึ้นเลย ต้องรับรู้ขณะนี้ ไม่อย่างนั้น เราจะนึกว่าเราจะไปศึกษาถ้อยคำพระเจ้า เราจะเพิ่มพูนความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าให้มากขึ้น ไม่ใช่ แล้วทำไปเพื่ออะไร? คือความเชื่อศรัทธาของเรา มันเต็มเปี่ยม 100% อยู่แล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดใช่ไหม?
แต่การปฏิบัติตัวให้ใกล้ชิด ติดสนิทกับพระเจ้า ให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้านั้น เป็นเพียงการตอกย้ำ เพื่อเพิ่มพูนความมั่นใจในพระพรนานัปการที่เราได้รับจากพระเจ้าแล้ว คือการปฏิบัติตัวตามถ้อยคำพระเจ้า เราไม่ได้ปฏิบัติตัว เพื่อให้เพิ่มพูนความเชื่อ แต่ปฏิบัติตัวตามถ้อยคำพระเจ้านั้น คือปล่อยให้ความจริงในตัวของเราว่าเป็นผู้เชื่อศรัทธา เป็นผู้เชื่อฟัง ปล่อยมันออกมา จากข้างในไปข้างนอก ไม่ใช่จากข้องนอกมาข้างใน และการที่เรามั่นใจในความจริงเหล่านี้ เพิ่มมากขึ้น มันก็จะค่อยๆ ซึมเข้าไป เปลี่ยนแปลงโปรแกรมความคิดของเรา ในสมองเสียใหม่ จากระบบของโลกนี้ ให้เปลี่ยนแปลงไปตามความเชื่อศรัทธา วิญญาณข้างในที่เราเปลี่ยนแปลงเรียบร้อยไปแล้วเท่านั้นเอง
สิ่งที่เราเคยรู้ สิ่งที่เราเคยทำ สิ่งที่เราเคยคิด เมื่อครั้งก่อนเชื่อ ตอนที่อยู่ในอาดัม ตอนที่อยู่ในบาป อยู่ในสถานะลูกที่ไม่เชื่อฟังนั้น โปรแกรมเดิมเหล่านี้ จะค่อยๆ ถูกล้างออกไปจากความคิดในสมองของเรา จากการที่เรามีความมั่นใจในสถานะทางวิญญาณ ในความจริงเหล่านี้มากขึ้น สถานะทางวิญญาณ ก็คือวิญญาณเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว ซึ่งเราได้เรียนรู้เรื่องนี้มาหลายตอนแล้วว่าวิญญาณเราอยู่ที่ไหน? หลังจากที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ซีรี่ย์นี้ไปอ่านดูได้ ไปฟังดูได้ แล้วถ้าเรายิ่งมั่นใจในสถานะทางวิญญาณที่แท้จริงของเรามากเท่าไร? เรารู้ความจริงในตัวตนของเราว่าในพระคริสต์เราเป็นใครมากเท่าไร? เราก็จะยิ่งมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น
ถามว่าภูมิคุ้มกันจากอะไร? ก็จากการล่อลวงของมาร มารจะมาล่อลวงขโมยความจริงนี้ ผ่านทางระบบของโลกนี้ทั้งหมดเลย มันพยายามทำการยุแหย่ จูงใจ
และมารใช้ระบบของโลกนี้ ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกฎของความบาปและความตาย มาผลักดัน โกหก หลอกลวงให้เราทำตาม
โลกใบนี้ที่เรามองเห็น มันตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย ตกอยู่ในคำสาปแช่ง มันต่อต้านพระเจ้าอยู่แล้ว มารมันใช้ตรงนี้มาหลอกเรา จะขโมยความจริงจากเรา ก็คือโลกใบนี้ปกคลุมไปด้วยคำสาปแช่ง ปกคลุมไปด้วยระบบของการต่อต้านความจริงของพระเจ้า เป็นศัตรูต่อต้านกับความจริงของพระเจ้า ก็คือเป็นศัตรูต่อต้านกับความต้องการของเรา ซึ่งเป็นลูกที่เชื่อฟังในวิญญาณของเราเรียบร้อยแล้ว มันจะต่อต้านกับเราตลอด วิญญาณเราเชื่อฟัง มันก็จะต่อต้านเรา ไม่ให้เราเชื่อฟัง ซึ่งเราเป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าโดยกำเนิด ต้องการทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่แล้ว ตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในแล้ว
แต่ภายนอกมันต่อต้าน พยายามให้เราไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าเราเต็มไปด้วยความเชื่อ 100% มันบอกยังไม่หรอก เธอยังไม่มีความเชื่อพอ ต้องเพิ่มพูน ต้องเสริมความเชื่อ โดยการรับพระวิญญาณเพิ่ม โดยการไปให้เขาวางมือเพิ่ม โดยการไปทำอะไรเพิ่ม เพื่อจะได้มีความเชื่อเต็มๆ หลอกเราอย่างนี้
เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เรา อยู่กับพระองค์อย่างเป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% เรียบร้อยแล้ว ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนเป็นอื่น เป็นลูกที่เชื่อฟัง ดีพร้อม เป็นนิรันดร์
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มารทำ คือขโมยความจริงนี้ ที่เราพูดมาทั้งหมด คือความจริงข้างในวิญญาณของเราว่าเราเป็นใครแล้ว พระเยซูคริสต์ทำให้เราพร้อมบริบูรณ์แล้ว มารไม่มีอำนาจเลย ไม่ต้องไปกลัวมาร มันใช้อย่างเดียว ใช้การขโมย ฆ่าและทำลาย มันมาปิดบังตา ไม่ให้เรารู้ความจริง ก็คือมาขโมยเอาความจริง ต้องระวังในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือระวังมารมาขโมยความจริง ซึ่งความจริงนี้สำคัญที่สุด พระเยซูบอกความจริงนี้ ทำให้ท่านเป็นไทย เป็นอิสระ
ยกตัวอย่าง เหมือนเราเรียนรู้ในอดีต เรื่องเกี่ยวกับโลก เมื่อหลายพันปีก่อน นักปราชญ์ เขาเรียนรู้เรื่องโลกแบน ใช้เวลาเยอะเลย ศึกษา หนังสือเป็นตั้งๆ ค้นคว้าว่าโลกแบน แล้วก็เชื่อกันหมดว่าโลกแบน แล้วก็ค้นคว้า เสียเวลาเยอะแยะมากมายเลย แต่ความจริง คือโลกกลม ทั้งๆ ที่โลกกลม แต่ถูกขโมยความจริงว่าโลกแบน เสียเวลาไปหมด ไม่มีประโยชน์เลย นี่คล้ายๆ อย่างนั้น
ถ้ามาเทียบกับในเรื่องของความเชื่อว่าพระเยซูทำให้เราเรียบร้อยแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ในวงจรของคริสเตียนที่เราเชื่อกันแล้ว วงจรนี้เราจะเห็นอยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น เราจะได้ยินอยู่บ่อยๆ หรือแม้กระทั่ง เราก็เคยทำอย่างนั้น ก็คือเข้าสู่โต๊ะมหาสนิท เราก็บอกว่าให้พี่น้องเตรียมใจ เข้าสู่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงสำรวจจิตใจของท่านว่าท่านทำบาปผิดอะไรมาหรือเปล่า? จงสำรวจว่าท่านทำผิดบาปอะไรที่ยังไม่ได้ขออภัยจากพระเจ้า ยังไม่ได้สารภาพบาปต่อพระเจ้าหรือไม่? ให้สารภาพบาปนั้นเสียก่อน แล้วถึงเข้าสู่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ฟังดูดีไหมในทางระบบของโลกใบนี้ ฟังดูดีนะ ท่านต้องชำระตัวเองให้หมดจดเสียก่อน แล้วถึงจะเข้าโต๊ะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้
พอเรารู้ความจริง ตะกี้ความจริงบอกว่าตั้งแต่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระคัมภีร์บอกเราสะอาดหมดจดแล้ว เหมือนพระเยซูคริสต์เลย แล้วได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณ เรียบร้อยไปแล้ว สะอาดหมดจด แล้ว ทำไมให้เรามานั่งคิด สารภาพบาป แล้วพระคัมภีร์คนอ่าน ก็อ่านนะว่าพระเยซูมอบสิ่งนี้ให้ แล้วตอนท้ายบอกว่าจงทำสิ่งนี้ เพื่อระลึกถึงเรา อ้าว! ให้ทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อระลึกถึงพระโลหิตของพระเยซู สั่งว่าชำระเราเรียบร้อยแล้ว ให้ระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่มาทำสิ่งที่ยังไม่เกิด นี่คือความจริง เห็นไหม? ก็ถูกหลอก แล้วก็หลอกไปเรื่อย ฟังดูมันเหมือนนิดเดียว แต่ เชื้อขนมปังนิดเดียว มันทำให้ฟูมากขึ้น เหมือนเชื้อโรคนิดเดียว ทำให้เราสามารถตายได้ อย่างนี้เป็นต้น ทำให้เราไขว้เขวเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ตกลงพระเยซูที่บอกทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน มันสำเร็จจริงไหม?
จากการมาทำพิธีมหาสนิท เพื่อระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นเหมือนขนมปังก้อนเดียวกัน เป็นวิญญาณเดียวกัน เราเป็นอยู่แล้ว เราชนะเรียบร้อยแล้ว มาฉลองกันเถิด
กลายเป็นมานั่งเศร้า “ลูกบาปเหลือเกิน ลูกสกปรก โสโครก ชำระล้างลูกด้วยเถิด เมตตาลูกด้วยเถิด ขอพระองค์เมตตา ลูกบาปเหลือเกิน”
แล้วพระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว เป็นการดิสเครดิต เป็นการไม่เชื่อพระเยซู เป็นการดูถูกพระเยซูว่าพระเยซูทรงโกหก ไหนบอกว่าทำสำเร็จแล้วไง สำเร็จแล้ว ลูกจะเป็นอย่างนี้หรือ?
หรือไม่อีกเรื่องหนึ่งที่ชัดๆ ก็คือพี่น้องให้เราต่อสู้กับกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ให้เราฆ่ามันให้ตายทุกวัน ฆ่าอะไร? ฆ่ากิเลสตัณหาของท่านให้ตายทุกวัน แต่ความจริงในพระคัมภีร์บอกว่าให้เราต่อสู้กับกิเลสตัณหาของมัน คือเห็นชัดเลย มันคือระบบของโลกนี้ ต่อสู้กับระบบของโลก ต่อสู้กับภายนอก ไม่ใช่ต่อสู้กับภายในเอง ในตัวเราเองสะอาดหมดจด เป็นลูกแห่งความเชื่อฟัง ต้องการทำตามพระเจ้า ต้องการทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่แล้ว แต่มัน คือระบบของโลกนี้ คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของมัน ถูกใช้โดยมาร พยายามที่จะมาต่อต้าน เป็นศัตรูต่อวิญญาณภายในของเรา เอเมน นี่คือความจริง
พอเราถูกหลอก ถูกขโมยเอาความจริงไป วันๆ หนึ่ง เราก็ต่อสู้กับตัวเอง เกลียดตัวเอง ทำไมตัวเองทำอย่างนี้ๆ ไม่รู้ความจริงว่ามันมาจากข้างนอก มันไม่ได้มาจากข้างใน เพราะฉะนั้น การใช้เวลาในการอธิษฐาน ในการศึกษาพระคัมภีร์ ในการแสวงหาพระเยซูคริสต์อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันดีแต่ต้องบนพื้นฐานของความจริงเท่านั้น ความจริง คือพระเยซูคริสต์ ทำไปอยู่ภายใต้การนำ แรงจูงใจของพระเยซูคริสต์เท่านั้น คือในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกทำอะไรก็ให้ทำจากใจ ไม่ใช่จากความคิด จากใจ ใจของเราเป็นอะไร? ใจที่บริสุทธิ์ สะอาด ผุดผ่องเหมือนพระเยซูคริสต์ ใจที่เต็มไปด้วยความจริงตรงนี้ จึงทำให้สมองสามารถที่จะจูนกับความจริงตรงนี้ แล้วก็ทำทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจ ไม่ใช่ออกจากความคิด
ออกจากความคิด มันก็จะได้รับอิทธิพลจากระบบของโลกใบนี้ มองเอา คิดเอา รู้สึกเอา พอรู้สึกอารมณ์ไม่ดี …
“ทำไมรู้สึกพระเจ้าหายไป พระเจ้าอยู่ไหน พระเจ้าช่วยด้วย พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับลูกด้วย พระองค์ทำไมทิ้งลูกไป”
นี่ไม่ใช่ความเชื่อศรัทธาที่มาจากใจ แต่มาจากภายนอก “ทำไมปล่อยให้ลูกเจ็บป่วยอย่างนี้ ลูกอธิษฐานเพิ่มพูนความเชื่อตั้งเยอะแยะแล้ว คนโน้นเขาเพิ่มพูนความเชื่อ เขายังได้รับการหายโรค ทำไมลูกไม่หาย ลูกต้องเพิ่มพูนอะไรเพิ่มเติมอะไรอีก ลูกต้องไปหาอะไร? หาอาจารย์คนใดที่เก่งๆ ที่วางมือรักษาโรคได้ ลูกต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมอีกไหม? ลูกทำอะไรผิดไปไหม? ลูกต้องๆๆๆๆๆ ทำอะไรอีกเพิ่มเติม เพื่อจะได้หายโรค เพื่อจะได้มีความเชื่อ หายโรค เหมือนกับคนนั้น ที่พระเยซูสั่งให้เขาหาย เขาก็หาย ลูกอยากจะเป็นอย่างนั้น” … ถูกหลอกอย่างนั้น มันก็ว้าวุ่นไปหมด
พระคัมภีร์จึงบอกให้เราเอาความจริงคาดเอว แล้วต่อสู้อย่างดีเลิศกับตัวเอง ไม่ใช่ ต่อสู้ดีเลิศกับมัน เราไม่ต้องฆ่าตัวเองให้ตายแล้ว เพราะตัวเราเอง ก่อนเชื่อเราตายไปแล้ว ตอนนี้เราบังเกิดใหม่ ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณ แม้ว่าร่างกายที่ได้รับการชำระแล้วนี้ ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ เหมือนกับเกิดใหม่ คือได้รับการชำระใหม่หมดเรียบร้อยแล้ว ได้รับการยอมรับของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น ต่อสู้กับมันกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้
พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่า fight the good fight of faith สู้อย่างทรหด รักษาความเชื่อศรัทธาที่อยู่ในใจให้เป็นไปตามนั้น ไม่ว่าจะเจออะไรข้างนอกต่างๆ ที่มันเป็นระบบของโลกที่ต่อต้านความจริงของพระเจ้า ทั้งหมด
ดังนั้น คริสเตียนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จึงมี 2 ทางให้เลือก คือจะเลือกเชื่อถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นในวิญญาณของเราแล้ว หรือจะเชื่อระบบของโลกนี้ มี 2 ทาง ระบบของโลกนี้ที่มารครอบครองอยู่ และคอยกระตุ้นชักจูง ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจบนโลกใบนี้ มันล่อลวงตลอดเวลาเลย บางคนฟังถ้อยคำพระเจ้าไป ได้ยินอาจารย์คนนั้นพูด อาจารย์คนนี้พูดว่า …
“คุณเตรียมตัวพร้อมหรือยัง? พร้อมจะตายหรือยัง? สงครามกำลังจะมา คุณเตรียมตัวพร้อมหรือยังว่าพระเยซูกำลังจะกลับมาแล้ว คุณต้องสำรวจชีวิตตัวเอง ดำเนินชีวิตตัวเองให้พร้อม เมื่อพระเยซูมา คุณจะได้ถูกรับไปสู่สวรรค์”
ถูกหรือผิด? ฟังดูถูกนะ เราก็เตรียมตัวให้พร้อม ถามว่าความจริงที่เรียนมาตัวนี้ คุณพร้อมหรือยังที่จะไปสวรรค์ ตอบทุกคน? พร้อมทุกเมื่อ พร้อมตั้งแต่วันแรกที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พร้อมแล้ว เหมือนโจรบนไม้กางเขน เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ก็พร้อมแล้ว ทุกอย่างเกิดอัศจรรย์ขึ้นในวิญญาณแล้ว เกิดใหม่แล้ว พร้อมจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว การไปอยู่กับพระเจ้า เป็นเพียงการสละร่างกายนี้ ไปสู่โลกวิญญาณ ทุกอย่างเหมือนเดิม เราพร้อมแล้ว ขอบคุณพระเจ้า
บางคนมาขู่เราอีก ระวังนะ พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูจะกลับมาใหม่ กลับมาเหมือนกับขโมยมา คือไม่มีใครรู้เลย แล้วจริงๆ พระเยซูมา ไม่มีใครรู้ พระองค์จะย่องมา ขอให้พระองค์ย่องมาในขณะที่ท่านพร้อม เพราะฉะนั้น ไปสำรวจว่าท่านทำอะไรไม่พร้อมบ้าง? ทำบาปอยู่ไหม? มีชีวิตอยู่เป็นอย่างไร? ทำตามถ้อยคำพระเจ้า อธิษฐานอยู่ไหม? เวลาพระเยซูมา อยากจะเห็นท่านอธิษฐานอยู่ … ถูกหรือผิด? เห็นไหม? ตอนนี้ท่านก็รู้แล้ว
พระเยซูมา เป็นเหมือนดั่งขโมยมา มาเมื่อไร ฉันไม่รู้ ฉันไม่สนใจด้วยว่าพระเยซูจะมาเมื่อไร? แต่ฉันสนใจว่าฉันพร้อมเรียบร้อยแล้ว มาเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า
เพราะฉะนั้น โลกกำลังวิ่งสู่การสูญสิ้นอย่างไร? สงครามโลกครั้งที่สามจะเกิดขึ้นอย่างไร? อะไรต่างๆ จะพร้อมหรือไม่? เราพร้อมอยู่ตลอดเวลา พร้อม 24 ชั่วโมง
ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 พระเจ้าได้สัญญาว่าพระองค์จะให้วิญญาณใหม่ ใจใหม่ และมาสถิตอยู่กับมนุษย์ โดยพระวิญญาณ นี่คือคำสัญญาของพระเจ้าว่าจะทำอย่างนี้ ตั้งหลายพันปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมา เอเสเคียล 36:26-27 บอกไว้อย่างนี้ …
เอเสเคียล 36:26-27 “พระเจ้าตรัสว่า “เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”
หลังจากที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้ว ตามสัญญา คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สำเร็จแล้ว พระเจ้าได้ทำตามสัญญา คือได้ใส่ใจใหม่ ใจเนื้อ ใจที่เชื่อฟัง แทนใจเก่าที่เป็นบาป ดื้อด้านเหมือนหิน กลายมาเป็นวิญญาณและจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่จากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า มีพระลักษณะของพระเจ้า เป็นธรรมชาติแล้ว ขอบคุณพระเจ้า และเราคริสเตียนผู้เชื่อในข่าวดีนี้ พระเจ้าได้ให้วิญญาณใหม่ ใจใหม่ แล้วยังเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ผู้เชื่อ โดยพระวิญญาณแล้วเช่นเดียวกัน เอเมน
เพราะฉะนั้น คริสเตียนก่อนเชื่อท่านเป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟัง เป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า โดยกำเนิดเกิดมาเป็น แต่เดี๋ยวนี้หลังเชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง เรียกว่าลูกแห่งความเชื่อศรัทธาแล้ว ท่านได้เป็นความรักเหมือนพระเจ้า และเป็นผู้ที่รักพระเจ้า ด้วยความรักที่เป็นอมตะ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกเลยตลอดไป ขอบคุณพระเจ้า เพราะฉะนั้น จงมั่นใจว่าท่านรอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ ให้พินาศในบึงไฟอย่างแน่นอน หลังความตาย อย่ากลัวสูญเสียความเชื่อ หรือความรอดเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับท่านก็ตาม ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม ไม่ว่าความรู้สึกของท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าความคิดท่านจะคิดอย่างไรก็ตาม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้เลย เอเมน
พระเยซูจึงบอกว่า “จงหายเหนื่อยและเป็นสุขเถิด” เมื่อมาเชื่อพระองค์แล้ว ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เอเฟซัส 6:24 จึงได้บันทึกอย่างนี้ อ่านดังๆ เลย …
เอเฟซัส 6:24 “พระคุณดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย ที่รักพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยความรักที่เป็นอมตะ ไม่มีวันเสื่อมสลายสูญหาย”
“ฉันรักพระเยซู รักพระเจ้า ด้วยความรักที่เป็นอมตะ ไม่มีวันเสื่อมสลาย สูญหาย เอเมน”
พระเจ้าอวยพรครับ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
มนุษย์จะไปสวรรค์ หลังความตายได้ ขึ้นอยู่กับ?
โลกบอกว่า … “ความประพฤติดีของตนบนโลกนี้”
พระเจ้าบอกว่า … “ความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น”
โรม 1:15-16 … “15 ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรมด้วย 16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย”
มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับความรอดโดยความเชื่อในข่าวดี เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำตามพิธีกรรมใดๆ หรือกระทำสิ่งใดๆ เพิ่มเติมอีกเลย จริงๆ
พระเจ้าอวยพรครับ