วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1433

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  กันยายน  2023

เรื่อง “มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว” ตอน 1

โดย นคร   เวชสุภาพร

            วันนี้เราจะมาเรียนเรื่อง “มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว” ท่านเชื่อหรือไม่? เรานั่งอยู่ที่นี่ เราเชื่อนะ  แต่เราลองคิดดูสิ มนุษย์เราเชื่อไหมว่านี่เรื่องจริง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า “แล้ว” ยิ่งทำให้เกิดความสงสัย แคลงใจ แล้วก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ อะไรนะ มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพแล้ว ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ก็หมายถึงมนุษยชาติตอนนี้ทั้งหมด ได้เข้าไปอยู่ในตรีเอกานุภาพของพระเจ้าแล้ว ถึงถามว่าท่านรู้หรือไม่? เพราะมันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว  เขาถึงใช้คำนี้ …

            “ท่านรู้หรือไม่?”

            และนี่คือภารกิจหลักของพระเยซูคริสต์คือการช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ  ให้พร้อมเข้าสู่การเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ  แล้วทำไมเป็นภารกิจของพระเยซูคริสต์ที่ต้องกระทำบนโลกนี้ ก็เพราะว่ามนุษย์กำลังอยู่ในที่ๆ ไม่ใช่ตรงนี้  คือไม่ได้เข้ากันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์  ไม่ได้เข้าอยู่ เรียกว่าตายจากพระเจ้าไป เริ่มต้นมนุษย์อยู่กับพระเจ้า  แต่ตอนนี้ มนุษย์ได้หลุดออกจากพระสิริของพระเจ้า  เรียกว่าพินาศ  ตายในวิญญาณ  ไม่มีพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขานั่นเอง  จึงเป็นภาระของพระเจ้าพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ มาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศนี้ แล้วความพินาศนี้ ส่งผลอย่างไร? ก็คือความตายในฝ่ายวิญญาณ  และถ้าไม่มีใครมาช่วย เกิดอะไรขึ้น ความตายฝ่ายวิญญาณนี้ ร่างกายสิ้นสุดลง ที่ร่างกายตาย  วิญญาณก็ไม่มีพระเจ้าอยู่ ก็ไปอยู่ในโลกวิญญาณ  ที่ไม่มีร่างกายเรียกว่าวิญญาณพเนจร ไม่มีพระเจ้าอยู่ พระเจ้าเป็นเจ้าของสวรรค์ พระเจ้าอยู่ในสวรรค์ ก็ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า และอยู่ถึงเมื่อไร? วิญญาณไม่มีการสูญสิ้น ก็อยู่ตลอดไป อยู่โดยไม่มีพระเจ้า และไม่มีร่างกาย ร่างกายลงไปสู่ดิน สูญสิ้นไปแล้ว วิญญาณเร่ร่อน พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  พระองค์คือพระเมสิยาห์  หรือแปลว่าพระคริสต์ ภาษากรีก หรือแปลภาษาไทยว่าพระผู้ช่วยให้รอด

            รอดจากความพินาศที่ตะกี้นี้ผมบอก มันสำคัญมาก  มันอันตรายมาก มันน่าหวาดเสียว น่ากลัวมากๆ เลย สำหรับถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงวิญญาณ เกี่ยวกับความพินาศของมนุษย์ ถ้าไม่มีใครมาช่วย เป็นอย่างไร?  เรานึกว่าตายแล้ว สูญสิ้นกัน มันไม่ใช่  ถ้าตายแล้วสูญสิ้นกัน ไม่ยาก มนุษย์ต้องพยายามแสวงหาสวรรค์ เพราะมนุษย์รู้ลึกๆ ข้างในใจของตัวเองว่าตายแล้ว มันไม่สูญสิ้น  ตายแล้วมันต้องไปที่ไหนสักแห่ง  แล้วรู้ว่าไม่ได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน  ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด อยู่เพียงผู้เดียว คือพระเจ้า แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะไปหาพระองค์ได้  พระเยซูจึงเป็นผู้ที่พระเจ้า ทรงกำหนดแต่งตั้งไว้ การแต่งตั้ง ถึงเรียกว่าพระคริสต์

            พระคริสต์ หมายถึงพระเจ้าทรงแต่งตั้งบุคคลนี้ไว้  พระเมสิยาห์ แปลว่าพระคริสต์ พระเมสิยาห์ แปลว่าผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรเอาไว้แต่งตั้ง กำหนดภารกิจหน้าที่นี้ไว้  เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ตามสัญญาที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษของมนุษย์ตั้งแต่โบราณมา ตั้งแต่สมัยอดีต หลายยุคหลายสมัย หลายพันปีมาแล้วว่าจะประทานพระบุตรของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ประทานเด็กคนหนึ่งมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้หลุดรอดพ้นจากความพินาศ จากการถูกลงโทษ จากความบาป ความตายนี้แหละ คือเนื่องจากความพินาศนิรันดร์ให้มนุษย์กลับมาคืนดีกับพระเจ้า กลับเข้ามาอยู่ในสวรรค์ เรากับพระเจ้า ตามหัวข้อเรื่องบอกไว้วันนี้ พระเยซูจึงมารับภาระตรงนี้ สำคัญมากอย่างเดียวเลย

            ในหนังสือโคโลสี 1:25-27 ได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแผนการอันลึกลับ อันล้ำลึก ที่พระเจ้าวางไว้หลายๆ พันปี ตั้งแต่เริ่มต้นที่มนุษย์ตกลงไปในคำสาปแช่ง  ถูกหลอกให้หลุดออกจากพระสิริของพระเจ้าไป  ตกอยู่ในความพินาศ โคโลสี 1:25-27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:25-27 “25 ข้าพเจ้ามาเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักร (ธรรมมิกชนผู้เชื่อ) ตามภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้าทำในหมู่พวกท่าน (ชนต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวยิว) คือการให้พระวจนะของพระเจ้า (ข่าวดีของพระเยซูคริสต์) ประจักษ์แจ้งอย่างสมบูรณ์ 26 พระวจนะนี้ คือข้อล้ำลึก ซึ่งถูกปิดบังไว้ (จากเหล่าทูตสวรรค์และมวลมนุษย์) ตลอดหลายยุค หลายชั่วอายุ แต่บัดนี้ ทรงสำแดงแก่พวกธรรมมิกชนของพระองค์แล้ว 27 พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่แห่งเกียรติสิริของความล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั้นคืออะไร? คือพระคริสต์สถิตในท่านเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ (ที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์)

            “ข้าพเจ้า” หมายถึงอัครทูตเปาโลที่เป็นคนยิว  ที่เคร่งศาสนายิว รู้จักบัญญัติยิวดี ศึกษา เรื่องพันธสัญญาของพระเจ้าที่สัญญาไว้  รู้เรื่องพระเมสิยาห์ดี  “ข้าพเจ้ามาเป็นผู้รับใช้ของคริสตจักร” คริสตจักร หมายถึงธรรมิกชน ผู้เชื่อทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้าทำ ในหมู่พวกท่าน … “หมู่พวกท่าน” คืออาจารย์เปาโลเป็นอัครทูตของพระเจ้า ที่พระเจ้าพระเยซูคริสต์ได้ใช้มาประกาศข่าวดีเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์ ให้กับคนที่ไม่ใช่ยิว ทั้งโลกเลย รวมถึงเราด้วย คนที่ไม่ใช่ยิวทั้งโลกเลย คือการให้พระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าตรงนี้หมายถึงถ้อยคำของพระเจ้า ที่พูดถึงเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์มาทำอะไรบนโลกนี้ พระองค์คือพระมาซีฮาห์  มาบนโลกใบนี้อย่างไร? นี่คือพระวจนะ คือถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าที่สัญญาให้กับมนุษย์ว่าเราจะส่งบุตรของเรามาช่วย เราจะส่งเด็กของเราคนหนึ่งมาเกิดในท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อช่วยพวกเจ้าให้รอด นี่คือพระวจนะ คือถ้อยคำ

            พระวจนะนี้ ก็คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์อันนี้  เป็นข้อล้ำลึก เป็นเรื่องลี้ลับ มีแต่คนรู้ระแคะระคายว่าพระเจ้าบอกไว้อย่างนี้ๆ  แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร? จะมาเมื่อไร?  เป็นเด็กคนนี้ใช่หรือเปล่า? รอตั้งแต่เด็กคนแรกของโลก ตั้งแต่อาดัมกับเอวามีลูกคนแรก คือคาอินกับอาแบล แล้วก็รอ น่าจะใช่คนนี้ รอลูกชายที่จะเกิดมา แล้วก็รอกันมาตลอด ใช่ คนนี้แน่เลย  พอโมเสสเกิด สงสัยคนนี้แน่ ไม่ใช่ ตายแล้ว ก็ตายเลย ไม่เห็นเกิดใหม่ตามที่พระคัมภีร์สัญญาไว้ในสมัยโบราณ ที่เขาบอกกันมาว่าเด็กคนนี้จะมาช่วย  ก็ตายเหมือนกับเราทั้งหลาย แล้วจะช่วยเราได้อย่างไร? กษัตริย์ดาวิดมา มีความยิ่งใหญ่ สร้างอาณาจักรบนโลกใบนี้ สงสัยคนนี้แน่เลย ก็ไม่ใช่ ตายแล้วก็ตายเลย ไม่ได้บังเกิดใหม่ จนกระทั่งพระเยซูมาเกิด พระเมสิยาห์มาเกิด บางคนก็บอกใช่แน่ๆ ใช่จริงๆ บางคนก็บอกก็เหมือนกับที่แล้วๆ มา คนโน้นคนนี้มาเกิด แล้วก็ตาย แล้วอ้างว่าเป็นพระเมสิยาห์  ไม่ใช่หรอก นี่มันเป็นอย่างนั้น

            เพราะฉะนั้น พระวจนะ คือข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นข้อล้ำลึกที่ถูกปิดบังไว้จากเหล่าทูตสวรรค์และมวลมนุษย์ทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตมา อย่างที่บอก สงสัยจะคนนี้มั้ง โธ่เอ๋ย พระคัมภีร์บอกว่าแม้ทูตสวรรค์ยังไม่รู้เลยว่าเป็นคนไหน? เป็นอย่างไร? ยกเว้นว่าพระเจ้าจะบอกใบ้ให้ แค่นั้นเอง  เพราะเป็นความลับที่พระองค์ทรง เก็บซ่อนเอาไว้ ตลอดหลายชั่วอายุ แต่บัดนี้ ทรงสำแดงแก่ธรรมิกชนของพระองค์แล้ว

            “บัดนี้” คือเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สำแดงแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ที่สัญญาไว้ว่าจะมาเกิด มาช่วยเหลือมนุษย์ ให้มนุษย์ได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพได้แล้ว พอเกิดจริงๆ แล้ว สำแดงออกมาแล้ว โดยตัวของพระองค์เองเลย คือโดยพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี และ 3 ปีหลังประกาศสิ่งนี้เลยว่าพระองค์ คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ ที่มวลมนุษยชาติได้รอคอย  มาแล้วจริงๆ  และได้สำแดงอัศจรรย์อีกหลายๆ อย่าง แล้วก็สอนเยอะแยะ หลายๆ อย่าง พระองค์เองมาเป็นผู้ประกาศตรงนี้แหละ สำแดงแก่ธรรมิกชน 2,000 ปีมาแล้ว

            พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้เขารู้ว่าความมั่งคั่งยิ่งใหญ่ แห่งเกียรติสิริและความล้ำลึกของแผนการนี้ ในหมู่คนต่างชาตินั้น คืออะไร? พระเจ้าประสงค์ ก็คือพระเจ้าต้องการให้พวกเขา … พวกเขา คือชาวยิว ที่รู้ลึกซึ้งเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยอาดัมแล้ว เขาติดตามเรื่องนี้มาตลอด  ไม่เหมือนเราที่ไม่ใช่ชาวยิว  เราไม่รู้เรื่องเลย บรรพบุรุษของเรา  ที่เป็นชาวอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่ชาวยิว ไม่รู้เรื่องพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาว่าจะส่งเด็กมา  อาจจะได้ยินระแคะระคายแว่วๆ มา แต่ไม่ละเอียด เหมือนกับชาวยิวเขา พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้ชาวยิวได้รู้ว่าอย่าคิดเองว่าฉันเลือก แต่เฉพาะชาวยิวเท่านั้น  ชาวยิวเขาไม่รู้เรื่อง อย่างที่บอก เป็นความล้ำลึก เป็นแผนการของพระเจ้าที่ซ่อนไว้ว่าจะช่วยคนทั้งโลกเลย ไม่ใช่ช่วยเฉพาะชาวยิวเท่านั้น อย่าเข้าใจผิด  สำแดงให้เลยว่าช่วยคนทั้งโลก คือชาวที่ไม่ใช่ยิวด้วย ก็คือมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้

            เลือกมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในพระคริสต์นั่นเอง ซึ่งตรงนี้ ก็คือความล้ำลึกในหมู่คนต่างชาติ  ก็คือแผนการอันล้ำลึกที่ถูกซ่อนไว้ในพระเจ้า ที่ไม่มีใครรู้เลย แผนการนี้ คือสำหรับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ที่เรียกว่าคนต่างชาติ นั่นคือพระคริสต์สถิตในท่าน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ที่ท่านจะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราพูดถึงพระเจ้าพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ที่เต็มด้วยสง่าราศี บังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย  เราเข้าไปมีส่วนร่วมในพระสิริ ในพระเกียรติ ในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน

            นี่คือความหวังอันเลิศประเสริฐศรีของมนุษยชาติ ทั้งโลกเลย เมื่อใครก็ตามได้เข้ามาอยู่ในพรคริสต์ คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเขาคนนั้นทันที เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ที่เขาจะได้รับเกียรติสิรินี้  ร่วมกับพระเยซูคริสต์ตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะที่มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้ ขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เมื่อเขาใช้สิทธิของเขา ในพระเยซูคริสต์ เขาเชื่อในข่าวดีนี้ ทันทีทันใด  เขาเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์ก็มาสถิตอยู่กับเขา เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เริ่มต้นทันที  แล้วเขาก็จะเริ่มต้นชีวิตด้วยพระสิรินี้ไปกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บนโลกใบนี้ ไปจนกระทั่งถึงโลกหน้า หลังความตาย วิญญาณเขาก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ และเขาจะได้รับร่างกายใหม่ มาแทนที่ร่างกายที่ต้องตาย  และสูญสิ้นไปนั้น  เขาจะได้รับร่างกายใหม่  ที่พระเจ้าสัญญาไว้  เป็นร่างกายที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ร่างกายฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เต็มด้วยสง่าราศี สิริเหมือนพระเยซูคริสต์ และจะร่วมครอบครองอยู่ในสวรรค์ อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นแทนที่โลกเดิมที่จะสูญสิ้นไป ชั่วนิรันดร์กับพระองค์ เอเมน

            พระเยซูคริสต์ ก็คือพระเมสิยาห์ เป็นผู้ช่วยให้รอด ซึ่งมวลมนุษย์ที่เฝ้ารอคอยมาเป็นเวลานานนั้น ได้พบได้เห็น  และพระองค์ได้เสด็จมาเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อนนี้  เรารู้แล้ว  และข้อสำคัญ ก็คือ 2,000 ปีก่อนนี้ ที่พระองค์เสด็จมา พระองค์ได้ทำการงานของพระบิดา ที่กำหนดไว้ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขนนั้น ก็คือการไถ่บาป ให้กับมวลมนุษย์ ทำให้มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว

            มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพแล้ว โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ท่านเชื่อหรือไม่? ท่านรู้หรือไม่?  นี่คือถามมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้  ท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ เรารู้แล้ว เราขอบคุณพระเจ้าที่เรารู้จริงๆ เลย  เราจึงตัดสินใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้

            ข้อล้ำลึกที่ถูกปิดบังไว้  ได้ถูกเปิดเผยมา 2,000 ปีแล้ว  แผนการลับของพระเจ้า  ที่จะช่วยเหลือทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิว คือมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ให้ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์ทันทีบนโลกใบนี้เลย ในขณะที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย ให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ ได้นั้น  มันได้ถูกเปิดเผยตั้งแต่วันแรกที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วแล้ว

            มนุษย์ทั้งปวง คนใดคนหนึ่ง ที่ได้ยินข่าวดีนี้ ตัดสินใจใช้สิทธิของตน เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขา แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเสด็จเข้ามา ทำขบวนการการบังเกิดใหม่ ในร่างกายในวิญญาณของเขา ทำให้เขาบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม แล้วพระเจ้า พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาค ก็จะเสด็จเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายนั้นทันที ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ต้องรอตาย แล้วค่อยพิสูจน์ ทันที เดี๋ยวนี้เลย ท่านก็จะเดินกับพระเยซูคริสต์ และพระเจ้า 3 พระภาค ไปด้วยกันบนโลกใบนี้ทันที และไม่ใช่โลกนี้อย่างเดียว อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไปถึงโลกหน้านิรันดร์เลย เอเมน

            ดูตอนพระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี เป้าหมายของพระองค์ ก็คืออันนี้แหละ ที่พระองค์ทรงถูกพระเจ้าส่งมาทำ ก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ทำให้สำเร็จนั้น ไม่กี่ชั่วโมง พระองค์อธิษฐานตรงนี้ ยอห์น 17:20 …

        ยอห์น 17:20  “แต่​ลูก​ไม่​ได้​อธิษฐาน​ให้​คน​พวกนี้​ (คืออัครสาวกตอนเริ่มต้น 12 คน) เท่านั้น ลูก​ยัง​อธิษฐาน​ให้คน​ที่​จะ​เชื่อ​ใน​ตัว​ลูก ​โดย​ผ่าน​ทาง​คำประกาศของ​พวกเขา​ด้วย”

            “ลูกไม่ได้อธิษฐานให้กับคนพวกนี้”  คนพวกนี้ คือสาวก 12 คนที่เดินติดตามพระองค์ อัครสาวก 12 คน ตอนก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน “ลูกไม่ได้แค่อธิษฐานให้ 12 คนนี้เท่านั้น แต่ลูกยังอธิษฐานให้กับคนที่จะเชื่อในตัวลูก” ลูก คือพระเยซูคริสต์ คนที่จะเชื่อในคำพูดของพระเยซูคริสต์ว่าใครจะเข้าสวรรค์ได้  ใครจะผ่านไปหาพระบิดาได้  มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องเชื่อและผ่านทางเราเท่านั้น  ไม่ใช่ความประพฤติ ไม่ใช่การกระทำดี รักษาบทบัญญัติ รักษาศีลธรรม ไม่ใช่ วางใจในเราเท่านั้น  โดยผ่านทางคำประกาศ คำสอนของพวกเขา ก็คือข่าวดีที่ประกาศกันต่อๆ มานั่นเอง

            พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์คนใดก็ได้ที่เชื่อในข่าวดีนี้  ประกาศกันมา 2,000 ปีแล้ว พระเยซูกำลังบอก มนุษย์คนใด ก็ได้ที่เชื่อในข่าวดี ที่ได้ยิน เหมือนเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่ในที่นี้ ก็ได้ยินข่าวดีนี้ แล้วก็เชื่อในข่าวดีนี้ เปิดใจต้อนรับสิทธิในข่าวดีนี้  เราก็ได้รับสิ่งนี้ สิ่งนี้ คือยอห์น 17:21 ข้อต่อมา …

        ยอห์น 17:21  “ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับพระองค์ พระบิดาอยู่ในตัวลูก และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ส่งลูกมา”

            “ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด” เขาทั้งหมด คือพวกชาวยิว และพวกที่เชื่อในคำประกาศข่าวดีของชาวยิวมาถึง 2,000 ปีแล้ว คริสเตียนทั้งหลาย ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิว ขอให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็คือให้เขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระคริสต์ วิญญาณของเขา สะอาด บริสุทธิ์ อยู่ในพระคริสต์เหมือนๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือไม่ใช่ยิว ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนจีน คนอเมริกัน หรือเอสกิโมอยู่ทางขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ เมื่อเชื่อในข่าวดี ในพระเยซูคริสต์แล้ว รวมเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ ซึ่งเขาจะไปครอบครองอยู่ในสวรรค์ร่วมกัน เป็นครอบครัวของพระเจ้าร่วมกัน เป็นพี่น้องกันนั่นเอง

            “เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับพระองค์ พระบิดาอยู่ในตัวลูก” พระเจ้าพระบิดา อยู่ในพระเยซูคริสต์ และลูกอยู่ในพระองค์ ลูกก็อยู่ในพระบิดา เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว  เห็นไหม? เราทั้งหลายผู้เชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกันกับพระเจ้ากับพระบุตร พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน  และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขา ขอให้ผู้เชื่อทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือไม่ยิวก็ตาม ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย

            พวกเรา ก็หมายถึงพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพ อย่างที่เราคุ้นหูกัน ยิ่งใหญ่สูงสุดแล้ว พวกเขาผู้เชื่อทั้งหลายทั้งหมด เข้าไปอยู่ในตรีเอกานุภาพ หมายถึงการเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ทันที บนโลกใบนี้เลย แล้วจะเป็นอย่างนี้ ไปจนถึงนิรันดร์ จึงใช้หัวข้อเรื่องนี้แหละ มนุษย์ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพแล้ว

            เพราะฉะนั้น เป้าหมายของการประกาศข่าวดีของพระเยซู ก็คือเวลาพระองค์จะพูด จะสอน จะประกาศ เป้าหมายเดียวของพระองค์ ก็คือการได้เป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับตรีเอกานุภาพ ท่านจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา … “เรา” หมายถึงพระเยซูคริสต์ นี่คือหัวกะทิสำคัญของข่าวดี ประกาศตั้งแต่พระเยซูประกาศเอง 3 ปีก่อนที่จะถูกตรึง ก่อนที่จะทำให้สำเร็จ และเมื่อทำสำเร็จแล้ว ก็ให้สาวกประกาศกันต่อๆ มา จนถึงเราทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว

            เราจึงเห็นได้ชัดเจนว่าพระองค์ประกาศ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ ยกคำอุปมา ตัวอย่าง ชี้ให้เห็นโลกวิญญาณ ให้เข้าใจได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะรับรู้และเข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขณะที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้นั้น ยังทำการงานนี้ไม่สำเร็จ ยังไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน มนุษย์ตกอยู่ในความตาย  ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในตัว จึงไม่สามารถเข้าใจโลกฝ่ายวิญญาณได้ พระองค์จึงพยายามยกอุปมา ยกตัวอย่างอะไรต่างๆ  เพื่อชี้ให้เห็นเป้าหมายเดียว คือการที่จะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้านั่นเอง  การเข้ามาสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพนั่นเอง  เหมือนคนอธิษฐานเมื่อตะกี้นี้

            ไม่ว่าจะเป็นพิธีมหาสนิท ที่พระองค์ทรงกระทำก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ที่วันนี้เราจะทำร่วมกัน มหาสนิทก็เหมือนกัน ทำเพื่อให้เล็งเห็นถึงการเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในทางด้านวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบัพติศมาในนามของพระองค์ หรือเรื่องที่พระองค์ทรงยกตัวอย่าง เรื่องท่านต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในเรา

            ยกตัวอย่างว่าพระองค์เป็นลำต้นของเถาองุ่น ท่านเป็นกิ่งก้านที่อยู่ในต้นไม้อื่น ท่านจำเป็นต้องให้พระเจ้าถอนท่านจากต้นไม้อื่น มาเสียมเข้า มาต่อเข้ากับเถาองุ่นของพระองค์ ก็คือต้นองุ่นของพระองค์ แล้วท่านถึงจะเกิดผล เป็นความรอดนิรันดร์ จากความพินาศ  ถ้าท่านยังอยู่ในต้นเก่า คือต้นอาดัม ต้นแห่งความพินาศอยู่นั้น กิ่งก้านนั้น จะถูกตัดเอาไปเผาไฟ อย่างนี้เป็นต้น

            แล้วก็พูดถึงเรื่องอะไร? พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเข้ามาอาศัยอยู่ เข้ามาต่อติดอยู่ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เข้ามาต่อกับลำต้นของพระองค์ ก็คือวิญญาณของเราเล็กๆ เข้ามาต่อกับวิญญาณใหญ่ๆ ของพระเจ้า ก็คือลำต้น

            หรือแม้กระทั่งพระองค์ทรงยกตัวอย่าง  เรื่องเกี่ยวกับการกินเนื้อและดื่มเลือดของพระองค์  พระองค์พูดอย่างนี้ …

            “ท่านทั้งหลายต้องกินเนื้อของเรา และดื่มเลือดของเรา ท่านถึงจะมีส่วนเข้าสวรรค์”

            เข้าใจได้อย่างไร? ก็เหมือนมหาสนิทเลย กินขนมปัง ซึ่งเป็นร่างกายของเรา ดื่มน้ำองุ่น ซึ่งเล็งถึงโลหิตของเรา ให้เราดื่มเลือดของพระองค์ กินเนื้อของพระองค์ จะได้มีส่วนในสวรรค์ ก็หมายถึงการเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็คือมนุษย์เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพนั่นเอง  และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมด ล้วนเป็นภาพอุปมาของคำอธิษฐานในยอห์น บทที่ 17 ที่ตะกี้เราอ่าน  เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 มันเป็นไปตามที่พระองค์ทรงอธิบาย ยกอุปมาไว้นั่นแหละ  และทั้งหมดนี้ พระองค์ได้ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน มา 2,000 ปีแล้ว ขอบคุณพระเจ้า

            “สำเร็จแล้ว” คำนี้สำคัญมากๆ  พระเจ้าพระเยซูคริสต์ ได้ประกาศที่ไม้กางเขน ลมหายใจสุดท้ายของพระองค์ว่าภารกิจที่พระองค์ถูกกำหนดให้มาทำบนโลกใบนี้ เพื่อมาช่วยมนุษย์ให้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพนั้น ที่รอคอยกันมาเป็นเวลาพันๆ ปี ตั้งแต่บรรพบุรุษนั้น บัดนี้ในอีก 1 นาทีข้างหน้านี้  ไม่ถึงเสี้ยววินาทีข้างหน้านี้  ทำสำเร็จแล้ว และพระองค์ก็สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน นั่นแหละ คือการกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว

            ข่าวดี ก็คือการได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า  ตรีเอกานุภาพนั้น ก็สำเร็จแล้วด้วย เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            “การได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพสำเร็จแล้ว”

            สำเร็จแล้ว สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ยิวทั้งหลาย พระองค์จึงสั่งสาวกให้ออกไปประกาศข่าวดีนี้ว่ามันสำเร็จแล้ว ข่าวดีนี้ได้ถูกประกาศออกไปให้กับมนุษย์ทุกคน ให้มนุษย์ทุกคนได้รับทราบข่าวดี แล้วก็ตัดสินใจเข้ามาอาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพได้แล้ว ตัดสินใจเข้ามาเลย เป็นสิทธิ์ของคุณ ยอห์น 12:32 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 12:32 “แต่เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว เราจะชักนำคนทั้งปวงมาหาเรา”

            นี่คือพระเยซูประกาศตอนยังกระทำไม่สำเร็จ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้  3 ปี กำลังจะไปทำให้สำเร็จ อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ “เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน คือถูกตรึงบนกางเขนแล้ว เราจะชักนำคนทั้งปวงมาหาเรา” ก็คือเราเป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติ พันธุ์ใหม่ ที่จะตายบนไม้กางเขน  และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย  เราจะนำพามวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เข้ามาหาเรา  เข้ามาเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับเรา ก่อนจะเป็นขึ้นจากความตาย เข้ามาอยู่กับเรา เมื่อเราถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วตาย สิ้นพระชนม์ ท่านก็จะได้ตายไปกับเรา เราถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ท่านก็จะได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ร่วมกับเรา  เมื่อเราถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย  เต็มไปด้วยสง่าราศี พระสิริของพระเจ้า ท่านก็จะได้เป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับสง่าราศีและพระสิริของพระเจ้าเหมือนกับเรา เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ หมายถึงเกิดขึ้นแล้วกับมนุษย์ทั้งโลก มนุษย์ทั้งโลกได้ถูกยกขึ้น ถูกตรึงที่ไม้กางเขน โดยตัวแทน คือพระเยซูคริสต์ มนุษย์ทั้งหลายได้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์แล้ว แล้วมนุษย์ทั้งหลาย ก็ได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ไปเรียบร้อย 2,000 ปีแล้ว “แล้ว” จึงสำคัญมาก มันสำเร็จแล้ว

            ฉะนั้น มนุษย์ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อได้ยินข่าวดี ข่าวประเสริฐ ถามว่าเขาได้เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้วหรือยัง? ตอบ แล้ว  ถูกไหมครับ?

            ถ้าท่านไม่เห็น ผมจะยกตัวอย่างนี้ ให้เห็นชัดเลย การประกาศเลิกทาสของรัชกาลที่ 5 พระปิยะมหาราช ประกาศที่กรุงเทพ ประกาศยกเลิกกฎหมายทาส ทั่วราชอาณาจักรไทย คนที่เป็นทาสทั่วราชอาณาจักรไทย ทันทีทันใด เมื่อประกาศ ปั๊บ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเป็นไทหรือยัง?  เป็นอิสระแล้วหรือยัง? เห็นไหมครับ? แต่เขาใช้สิทธิของเขาหรือยัง?  อาจจะยังไม่ใช้ เพราะเขาไม่ได้ยินข่าวดีนี้ จากกรุงเทพยังไปไม่ถึง หรือเขาได้ยินข่าวดีนี้แล้ว แต่เขาไม่เอา เขาอยู่เป็นทาสต่อไปดีกว่า หรือไม่รู้สิทธิว่าเป็นไท แล้วมันดีอย่างไร? หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่เชื่อนั่นเอง เขาก็ไม่ใช้สิทธิของเขานั่นเอง

            เพราะฉะนั้น สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ  อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้แล้วทันที เมื่อใช้สิทธิของเขา ท่านเชื่อหรือไม่? ท่านเชื่อก็ได้รับ ท่านไม่เชื่อ ท่านก็อยู่ที่เดิมของท่าน ทั้งๆ ที่ท่านได้ถูกทำให้เป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว

            วันนี้เราก็จะมาทำสิ่งนี้แหละ ซึ่งพระเยซูบอกว่าพิธีมหาสนิทนี้ ให้เราทำอยู่เสมอๆ บ่อยๆ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมากระทำ ภารกิจของพระองค์ ที่ตะกี้เราเรียนรู้กันทั้งหมด ภารกิจของพระองค์ ก็คือมาทำให้มนุษย์พร้อมที่จะเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือเข้าไปอยู่กับพระองค์ และพระองค์เข้ามาอยู่ในเรา  และพระเจ้าตรีเอกานุภาพ ก็เข้ามาอยู่ในเรา และเราก็อยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือเป้าหมาย เป็นภาพที่พระองค์ให้เราทำ  เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ และพระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน

            เพราะฉะนั้น การทำพิธีมหาสนิท จึงเป็นการฉลองด้วยความยินดี รำลึกถึงการกระทำของพระเยซูบนไม้กางเขน ที่สำเร็จแล้ว ได้รับเรียบร้อยแล้ว  และเล็งถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  คือวิญญาณของมวลมนุษยชาติ  ได้สามารถเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณพระเจ้าตรีเอกานุภาพได้แล้ว เกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณจริงๆ เป็นภาพที่เล็งให้เห็นถึงการเข้าส่วนร่วมในทางวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราทำนี้ ไม่ได้ทำเพื่อจะให้มันเกิดอะไรขึ้น แต่มาทำเพื่อระลึกถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว

            “เราไม่ได้ทำ เพื่อจะมีสิ่งอะไรเกิดขึ้น แต่เราทำ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เอเมน”

            สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราในโลกวิญญาณ  แล้วมันเกิดขึ้น ก็คือวิญญาณของเราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า นี่เป็นการเล็งให้เห็นถึงภาพ แปลว่าอย่างนี้ พูดง่ายๆ เหมือนกับการมาฉลองการเกิดใหม่

            ขนมปังที่เรากำลังจะกินอยู่นี้ เล็งถึงพระกายของพระองค์ นึกถึงพระกาย ก็คือร่างกายของพระเยซู และเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายพระเยซู เพราะขนมปังที่เรากำลังถืออยู่ในมือนี้ เป็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในก้อนใหญ่ๆ นึกภาพออกใช่ไหม? เราถือกันคนละชิ้นเล็กๆ ชิ้นเล็กๆ เหล่านี้มาจากก้อนใหญ่ๆ คือร่างกายของพระเยซู มันเล็งถึงตรงนั้น ก็หมายถึงว่าวิญญาณที่อยู่ในตัวเรา ที่เราใช้สิทธิของเรา ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้วตอนนี้ วิญญาณของเราเข้าไปต่อติดอยู่กับวิญญาณใหญ่ๆ เรียกว่าพระคริสต์ เราเป็นชิ้นหนึ่งเล็กๆ ที่เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ แต่ชิ้นเล็กๆ จะเข้าไปอยู่ในนั้นได้ ต้องสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เป็นเซลล์ชนิดเดียวกันกับก้อนใหญ่ ถึงจะเข้าอยู่กันได้ ซึ่งเราได้รับเรียบร้อยแล้ว โดยการชำระ โดยการไถ่บาป  โดยการเป็นขึ้นจากความตาย ที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเรา เมื่อระลึกถึงอย่างนี้แล้ว ก็จะไม่ลืม ให้เรากินขนมปังพร้อมกัน

            น้ำองุ่นนี้ก็เช่นเดียวกัน น้ำองุ่นเล็งถึงเลือดของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน พระคัมภีร์บอกว่าเลือดนี้ชำระบาปให้กับเราทั้งหลาย ทำให้เราทั้งหลายสะอาด บริสุทธิ์ หนังสือฮีบรูบอกว่าเราได้ถูกชำระด้วยโลหิตพระเยซูคริสต์ ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ หลั่งครั้งเดียว ก็ชำระเราพ้นจากบาปผิดทั้งหมด ทั้งสิ้น ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคตนิรันดร์เลย เล็งให้เห็น หมายถึงว่าเลือดของพระเยซูที่หลั่งที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วนั้น นี่เป็นการเล็งให้เห็น ให้เราดื่มน้ำองุ่นนี้ ก็เล็งให้เห็นว่าเราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป แม้กระทั่งบาปในอนาคตเรายังถูกลบล้างหมดสิ้นเลย ด้วยน้ำองุ่นนี้ ด้วยเลือดของพระเยซูคริสต์ ตามพระคัมภีร์เลย ให้เราดื่มน้ำองุ่นพร้อมกัน

            พระเยซูได้กระทำสำเร็จแล้ว ก็คือการตายและเป็นขึ้นจากความตาย ก็คือการนำบรรดามนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ เข้ามาอยู่ในพระองค์ ดึงมนุษย์ทั้งหลายเข้ามาอยู่ในพระองค์ พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่มนุษย์คนนั้น เมื่อได้ยินความจริงนี้ เรียกว่าข่าวดีนี้ เรื่องราวนี้ เรื่องของพระเยซูคริสต์นี้ที่กำลังกระทำบนไม้กางเขน  แล้วก็ยอมรับ เปิดใจ ใช้สิทธิของตนเอง ที่พระเยซูทรงกระทำให้ แค่นั้นพอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม ที่จะได้รับสิทธินี้ เพราะสิทธินี้ เป็นของท่านแล้ว 2,000 ปีแล้ว ท่านมาใช้สิทธิ์ ก็ใช้สิทธิ์ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับตะกี้นี้ที่ผมบอกว่ารัชกาลที่ 5 ประกาศเลิกทาสแล้ว ท่านเลิกทาสเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ได้เป็นทาสแล้ว ท่านไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่ม ท่านไม่ต้องไปจ่ายค่าสินไหมเพิ่มให้กับใครก็ตามที่จะมาเรียกร้องกับท่าน ท่านไม่ต้องจ่ายอะไรให้กับเขาอีกแล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไรให้กับเขาอีกแล้ว ท่านไม่ต้องไปถูบ้าน เช็ดบ้านให้กับเขาอีก ก่อนที่จะเป็นอิสระ อีก 5 วันถึงจะเลิกได้ ถึงจะเป็นอิสระได้ ท่านสามารถเดินออกจากบ้านเขาได้ทันทีเลย ตามกฎหมายที่ได้ประกาศแล้วใช่หรือไม่?

            เช่นเดียวกัน ในทางวิญญาณที่พระเยซูปลดปล่อยให้เราเป็นอิสรภาพแล้ว เช่นเดียวกัน เหมือนกันไม่มีผิดเลย เพราะฉะนั้น สิ่งเดียวที่ท่านควรทำ คือเดินออกจากการเป็นทาสออกมา แล้วก็ไชโยโห่ฮิ้ว แล้วขอบคุณพระปิยะมหาราช กฎหมายใหม่นั้น ขอบคุณในกฎหมายเลิกทาส แล้วก็ฮาเลลูยา แล้วก็เอ็นจอย ชีวิต ชื่นชมยินดีกับชีวิตใหม่ เรียกว่าชีวิตที่เป็นอิสรภาพแล้ว ไม่ต้องไปมองข้างหลังแล้วว่า …

            “ฉันต้องทำอันโน้นอันนี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตื่นมาต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ทำตามสั่ง มีเจ้านายรออยู่ ไม่ใช่ ฉันเป็นอิสระแล้ว”

            แล้วก็เรียนรู้ว่าอิสรภาพนั้น เขาอยู่กันอย่างไร? เพราะเราไม่เคยอยู่มาก่อน เราเป็นทาสเขามาตลอด อยู่ในที่มืดตลอด อยู่ที่กักขังมาตลอด อยู่ในบ้านมืดๆ ทำงานเช้าเย็น เป็นหนูถีบจักรมาตลอดเลย ทำดี ตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้ว ฉันทำดีได้มากกว่าเดิมอีก ทำอย่างไร? เรียนรู้จากการทำ โดยมีพระเจ้า 3 พระภาคสถิตอยู่ในตัวฉัน เป็นผู้นำพาฉันเดินทางไปทุกวัน ทุกคืน ทุกแห่ง ทุกหน ไม่ใช่เป็นอิสระอย่างเดียว แต่เป็นอิสระ โดยมีพระเจ้านำทางอยู่ตลอดเวลา  นี่คือสิ่งที่เราควรรำลึกถึง ในขณะที่เราทำมหาสนิท

            เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มานั่งนึกถึงว่าเราทำอันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดี นึกถึงอดีตกันหมด  ไม่ว่าเราทำอะไรในอดีต ทั้งหมดเลย เมื่อสักครู่นี้  หรือจะไปคิดถึงอนาคตว่าเราอาจจะทำ มันได้ถูกยกเลิกหมดเรียบร้อยแล้ว ด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ และการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ด้วยขนมปังที่เรากินนั้น และน้ำองุ่นที่เราดื่มนั้น  เราจะได้ระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูได้กระทำให้เรา จะได้ไม่เสียเปล่า พระเยซูคริสต์กำชับเราเรื่องนี้ ให้เรารำลึกถึงพระองค์ ไม่ใช่ระลึกถึงตัวเองว่าเราไปทำอะไรมา  และชีวิตมอบให้พระเยซูซะเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ในอดีต เขาทำกันตามบ้าน เขาไม่ได้ทำตามคริสตจักรอย่างนี้ ในอดีต ตอนสมัยเริ่มต้น 2,000 ปีที่แล้ว คริสตจักรจัดกันตามบ้าน การทำมหาสนิท คืออาหารมื้อหนึ่งจริงๆ เลี้ยง

เหมือนเราจะไปกินข้าวเที่ยงร่วมกัน คล้ายๆ อย่างนั้น เขาทำเพื่ออะไร? เพื่อฉลอง เหมือนมีงานปาร์ตี้ ปาร์ตี้อะไร? ปาร์ตี้ได้เกิดใหม่ ได้เข้ามีส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ ได้เป็นไทแล้ว เป็นอิสรภาพจากการเป็นทาสของความบาปและความตาย ไชโยโห่ฮิ้ว จบด้วยเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู สรรเสริญพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน ท่านรู้หรือไม่ว่า … “ท่านกำลังนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณ และความจริงอยู่แล้ว

ท่านไม่ต้องแสวงหาแล้ว ท่านพบแล้ว”

            ยอห์น 4:23-24 … “พระเยซูพูดกับคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียนยังไม่ได้บังเกิดใหม่ว่า … 23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว  และบัดนี้ก็ถึงแล้ว  คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง  จะนมัสการพระบิดา  ด้วยจิตวิญญาณและความจริง  เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้น  นมัสการพระองค์ 24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ  และผู้ที่นมัสการพระองค์  ต้องนมัสการด้วยวิญญาณ  และความจริง”

            คำว่า “นมัสการ”  หมายถึงยอมจำนน  ถ่อมใจ  มอบชีวิต  เชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข  เหมือนดังทาส   อาการที่แสดงออก คือเห็นด้วยกันกับความจริงคือถ้อยคำพระเจ้า  ที่ได้บอกเรา  คือเราพูดตามถ้อยคำพระเจ้า  หรือเมื่อได้ยินได้ฟังถ้อยคำของพระเจ้า  เราเห็นด้วย  และกล่าวว่าเอเมนอย่างไม่มีเงื่อนไข   ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม  เช่น…

– จงวางใจในพระบุตร แล้วจะได้รับชีวิตนิรันดร์บังเกิดใหม่ เมื่อพระองค์บอกว่า …

“เราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ  เป็นลูกของพระองค์  อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว”

            ในวิญญาณเราก็บอกว่าเอเมน  คือเห็นด้วย ใช่  จริง  แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจ  จับต้องมองไม่เห็นก็ตาม   และเราก็แสดงออกในการเห็นด้วยนี้  ด้วยการพูดตามถ้อยคำของพระเจ้า  ที่เป็นความจริงนี้คิดตามถ้อยคำนี้ 

– ร้องเพลงนมัสการขอบคุณตามถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นความจริงนี้ 

– อธิฐานในวิญญาณขอบคุณ  พูด ให้คนอื่นฟังถึงอัศจรรย์  ที่เราได้บังเกิดใหม่  เป็นลูกของพระเจ้า  ที่พระองค์ทรงประทานให้นี้ 

– ปฏิบัติตัวด้วยความประพฤติ  ที่เป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำนี้ คือประพฤติตัว  สมกับที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เหล่านี้เป็นต้น

            มนุษย์เราไม่สามารถเป็นข้า (ทาส) สองเจ้า  บ่าวสองนายได้  ต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง …

1. บูชานมัสการตัวเอง  ตามระบบของโลก  ที่มองเห็นจับต้องได้ (ต้องพึ่งการกระทำของตนเอง)

2. บูชานมัสการพระเจ้า  ผู้สถิตอยู่ในสวรรค์  ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น (ต้องพึ่งการกระทำของพระเยซูเท่านั้น)

            ความจริง คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เชื่อวางใจและพึ่งพาพระองค์เท่านั้น เช่น …

– พระเจ้าบอกว่า  “เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าได้ย้ายเรา  จากวิญญาณเก่าที่อยู่ภายใต้ความบาป  และความตาย  มาสู่วิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า”

แล้วในวิญญาณเราก็จะบอกว่าอาเมน แม้ความคิดและความรู้สึกจะไม่เข้าใจ

– พระเจ้าย้ายเรา  จากความมืด  มาสู่ความสว่างแห่งพระบุตรของพระเจ้าแล้ว  อาเมน

– พระเจ้าย้ายเราจากคนบาป  มาเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  อาเมน

– พระเจ้าย้ายเรา  จากการเป็นทาสของมาร  มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  อาเมน

– พระเจ้าย้ายเรา  จากความตาย  มาสู่ชีวิตแล้วอาเมน

– พระเจ้าบอกว่า  “ในขณะนี้  ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้  ในโลกฝ่ายวิญญาณเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  เราสะอาด  บริสุทธิ์หมดจดแล้ว  เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  เราเป็นวิหารของพระเจ้า  เป็นที่สถิตของพระเจ้าพระบิดา  พระบุตร  พระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว  เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว  อาเมน”

            พระเจ้าพูดอย่างไร  เราก็อาเมนตามนั้น  แม้เราจะไม่เข้าใจก็ตาม  แต่เราสามารถเชื่อตามที่พระเจ้าบอกด้วยความเต็มใจ  โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะวิญญาณของเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นวิญญาณที่เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า เป็นธรรมชาติใหม่ในวิญญาณของเรา

            นี่แหละ คือการนมัสการพระเจ้า  ด้วยจิตวิญญาณและความจริง

            ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ … ไม่มีใคร หรือมนุษย์ผู้ใดสามารถนมัสการพระเจ้าได้อย่างนี้ เพราะว่าเป็นคนบาป วิญญาณตายจากพระเจ้า นอกจากการได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ผ่านทางความจริง คือพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1432

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  กันยายน  2023

เรื่อง “การบัพติศมาในน้ำกับการบัพติศมาในวิญญาณ”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            ใครบ้างที่ได้รับบัพติศมาแล้ว ยกมือขึ้น?

            ใครที่ยังไม่ได้รับบัพติศมา ยกมือขึ้น?

            ใครที่ได้รับบัพติศมาในวิญญาณบ้าง ยกมือขึ้น?

            นี่คือสาเหตุที่จะมาพูดในวันนี้  คนที่ไม่ได้ยกมือตะกี้นี้ ที่บอกว่าใครบ้างที่ยังไม่ได้รับบัพติศมา ยกมือขึ้น? นั่นแหละ คือหัวข้อเรื่องบรรยายในวันนี้แหละ เดี๋ยวก็จะรู้ทำไมถึงถามอย่างนี้  หัวข้อเรื่อง ก็คือ “การบัพติศมาในน้ำกับการบัพติศมาในวิญญาณ” ซึ่งไม่เหมือนกัน

            เห็นไหม เราคุ้นๆ กัน พอพูดถึงบัพติศมาปุ๊บ ทุกคนคิดถึงน้ำหรือวิญญาณ? น้ำ ไม่มีใครคิดถึงวิญญาณเลย  แต่จริงๆ ในพระคัมภีร์มีความหมาย 2 อัน คำว่า “บัพติศมา” นี้  มีทั้งในน้ำ และในวิญญาณ  และอะไรสำคัญกว่า และวันนี้จะรู้

            ถ้าถามผู้เชื่อ คริสเตียนทั่วๆ ไปว่า … “ท่านเคยได้รับบัพติศมาในน้ำหรือยัง?”

            คำตอบที่คุ้นๆ กัน ก็คือ … “อ๋อ! ฉันลงน้ำแล้ว”

            ถูกไหม?  “บัพติศมาหรือยัง? หรือว่าลงน้ำหรือยัง?” ส่วนใหญ่ก็จะตอบอย่างมั่นใจว่า “รับแล้ว” “ลงแล้ว” แต่ถามว่า “ท่านเคยรับบัพติศมาในพระวิญญาณหรือยัง?” คนที่เป็นคริสเตียนมา 10 ปี 20 ปี บางทีไม่กล้ายกมือ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสเตียนที่มาเชื่อใหม่ เชื่อไปอาทิตย์หนึ่งแล้ว หรือเพิ่งเชื่อเมื่อ 3 วันที่แล้ว  ไม่กล้ายกมือว่าบัพติศมาในวิญญาณแล้ว  ไม่มั่นใจนั่นเอง ไม่รู้ความจริง ถูกไหม? แม้กระทั่งถามเดี๋ยวนี้ว่าท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว มั่นใจว่าตัวเองเป็น คริสเตียนแล้ว ลงน้ำแล้ว อยากถามว่าท่านบัพติศมาในพระวิญญาณแล้วหรือยัง?  ท่านก็งงๆ นิดๆ  ไม่กล้าตอบ ถูกไหมครับ?

            ถ้าถามตอนนี้ล่ะ  … “ท่านบัพติศมาในพระวิญญาณแล้วหรือยัง? ใครบัพติศมาแล้ว ยกมือขึ้น?”

            เห็นไหม? ยกมือหมดเลย  เพราะมั่นใจแล้วว่าแน่นอนเลย วันนี้แหละ จะพาไปตระเวนดูข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ ชัดๆ อีกทีหนึ่ง

            เรื่องการบัพติศมา คริสเตียนบางคนยังมีความเข้าใจกันอยู่ คือไปเข้าใจว่าการบัพติศมานี้ หมายถึงการบัพติศมาลงน้ำ คือการเปิดใจต้อนรับพระเยซู การรับพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือการลงน้ำ บัพติศมา เราจะมาเรียนรู้ความหมายที่ถูกต้อง คำตอบที่ถูกต้องจากพระคัมภีร์  เพราะว่าในพระคัมภีร์ พูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน  อย่างที่เคยบอกถ้อยคำในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลตั้งแต่หน้าแรก จนถึงหน้าสุดท้าย จะเล็งไปถึงโลกวิญญาณทั้งสิ้น  จะเป็นภาพของโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น  แต่พระเจ้าพยายามที่จะอธิบายให้เราพอเข้าใจได้ในเรื่องโลกวิญญาณ  เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน  ก็คือเรื่องบัพติศมาในน้ำ  ก็ต้องเล็งถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

            อย่างแรกเลย เราต้องเข้าใจกันก่อนว่า … “จริงๆ แล้วการบัพติศมาในน้ำ ไม่ได้ช่วยให้คนใดคนหนึ่งรอดจากบาปเลย”  เพราะหลายท่านเคยได้ยินมา เคยเชื่อมา เคยรับรู้มาว่าเป็นการช่วยให้เรารอด  ย้ำอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เราจะไปขุดคุ้ยความจริงกัน การบัพติศมาในน้ำ ไม่ได้ช่วยคนใดคนหนึ่งรอดเลย การบัพติศมาในวิญญาณเท่านั้น ที่ช่วยให้รอด

            บัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป ใส่ลงไป  แค่นั้นเอง  พอใช้คำว่า “บัพติศมา” เราไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง เราก็รู้สึกฟังดูแล้ว มันศักดิ์สิทธิ์  บัพติศมา ต้องทำเป็นพิธีกรรมทางศาสนา  เราก็เลยให้ความสำคัญชัดเจนกว่าสิ่งที่มองไม่เห็นในโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นจริงๆ ตามถ้อยคำพระเจ้า ที่เรากำลังจะเรียนรู้

            ดังนั้น บัพติศมา ก็คือการใส่ลงไป  การจุ่มลงไป เท่านั้นเอง  ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นตามองเห็น วัตถุบนโลกใบนี้  ซึ่งจะเล็งถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณนั่นเอง

            พูดง่ายๆ ว่าบัพติศมา แปลว่าจุ่มลงไป  ก็เหมือนกับเราจุ่มหรือใส่กระเทียมลงไปในน้ำส้มสายชู เพื่อทำกระเทียมดอง  เพราะฉะนั้น ใครจะทำกระเทียมดอง ต้องบัพติศมากระเทียมลงไปในน้ำส้มสายชู ท่านจะเริ่มเข้าใจขึ้นแล้ว  เริ่มรู้สึกคุ้นเคย  และรู้สึกธรรมดาแล้วว่าบัพติศมาในน้ำ  ไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่คิด ชัดเจนเลย

            แล้วคราวนี้ถามว่า … “ถ้าเผื่อมันไม่ได้สำคัญถึงขนาดนั้น  มาช่วยเราให้รอด  แล้วเราจะบัพติศมาในน้ำไปทำไม?”

            วันนี้เดี๋ยวจะได้รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร?

            บัพติศมา เรารู้แล้วใช่ไหมว่าแปลว่าจุ่มลงให้มิด ใส่ลงไป  เหมือนทำกระเทียมดอง  ท่านจะได้คุ้นเคยกับคำเหล่านี้ พอบัพติศมาปุ๊บ สบายใจ  แปลว่าจุ่มลงไป ใส่ลงไป ตามตามองเห็น แต่พระคัมภีร์ถ้าทำอย่างนี้ เล็งถึงว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณจริงๆ เราเริ่มต้นด้วยหนังสือ 1 โครินธ์ 1:13  ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบัพติศมาในน้ำ การลงน้ำ การใส่เข้าไปในน้ำ เราจะเรียนรู้ก่อนว่าทัศนคติ หรือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนี้ มันหมายถึงอะไร?  มันสำคัญแค่ไหน? การบัพติศมาในน้ำของผู้เชื่อ ซึ่งผู้ที่จะอธิบายได้ดี ก็คืออัครทูตเปาโล ที่ถูกเรียกมา เพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้กับชาวต่างชาติต่างๆ ที่ไม่คุ้นเคยกับการบัพติศมาลงน้ำมาก่อน แล้วเข้าใจผิด เหมือนเราทั้งหลายที่ตอนนี้ บางท่านเข้าใจผิดว่าบัพติศมานั้น ช่วยให้เขารอดจากการเป็นคนบาป  ดูสิว่าอาจารย์เปาโลพูดถึงเรื่องนี้อย่างไร? …

        1 โครินธ์ 1:13 “พระคริสต์ถูกแบ่งแยกแล้วหรือ? เปาโลถูกตรึงตายบนไม้กางเขน เพื่อพวกท่านหรือ? ท่านได้รับบัพติศมาเข้าในนามเปาโลหรือ?”

            ข้อความนี้เปาโลกำลังพูดกับคริสเตียนที่เชื่อ โดยผ่านทางการประกาศข่าวประเสริฐของเปาโล เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ฟังแล้วรู้สึกอย่างไร? รู้สึกว่าเปาโลมีความรู้สึกหงุดหงิดกับชาวโครินธ์ ผู้เชื่อใหม่ ที่ไม่เข้าใจเรื่องบัพติศมาในน้ำ ที่ทะเลาะกัน อวดกัน ถึงเรื่องเกี่ยวกับการรับบัพติศมาในน้ำ  โดยผ่านทางใคร? ซึ่งทำอย่างนั้น เป็นการพูดง่ายๆ ว่ายกย่องตามตาที่มองเห็นว่า …

            “ใครเป็นคนทำพิธีลงน้ำให้ฉัน? นี่ ฉันลงน้ำ โดยคนนี้ๆ”

            ยกย่องมนุษย์คนที่ทำพิธีลงน้ำให้เรามากกว่ายกย่องพระเยซูคริสต์ …

        1 โครินธ์ 1:14-16  “14 ขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ใครในพวกท่าน ยกเว้นคริสปัสกับกายอัส 15 จึงไม่มีใครพูดได้ว่าเขาได้รับบัพติศมาเข้าในนามของข้าพเจ้า 16 (ใช่ ข้าพเจ้าให้บัพติศมา แก่คนในครอบครัวของสเทฟานัสด้วย นอกเหนือจากนั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าได้ให้บัพติศมาแก่ใครอีก)”

            เราจะเห็นชัดเจนเลยว่ามนุษย์ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตามองเห็นข้างนอกมาก  ไม่คำนึงถึงเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าบอกมนุษย์ตัดสินกันที่ภายนอก  เพราะมันเห็น แต่พระองค์ทรงตัดสินที่ภายใน ผู้เชื่อหรือคริสเตียนเท่านั้น ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา ไม่ใช่ตามองเห็น เปาโลพูดอย่างไร? …

            “ขอบคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ใครในพวกท่าน ให้บัพติศมา ก็คือทำพิธีบัพติศมาในน้ำให้กับใครเลย ยกเว้นคริสปัทกับกายอัส ยกเว้น 2 คนเอง”

            ข้อ 15 ชัดเจนมาก  … จึงไม่มีใครพูดได้ว่าเขาได้รับบัพติศมาในนามของข้าพเจ้า คือที่ข้าพเจ้าไม่ทำ ก็เพราะรู้เลยว่าจะเอาไปอวดอ้างกันใช่ไหม? ก็เลยไม่ทำบัพติศมาในน้ำให้ใครเลย นอกจาก 2 คนนี้  แล้วก็พูดไปบ่นไป … พวกท่านคิดอย่างนี้ เคยสอนแล้วนะ โลกวิญญาณเกิดขึ้นได้อย่างไร? ท่านเชื่อและรอดด้วยวิธีใด บัพติศมาในพระวิญญาณแปลว่าอะไร?  แต่ท่านมานั่งให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นโลกวัตถุ แอบอ้างกัน จนทะเลาะ วิวาทกัน แบ่งเป็นกลุ่มเป็นก้อนว่า …

            “ฉันได้รับบัพติศมา โดยเปโตรนะครับ สายตรง จากอิสราเอลเลย”

            “ฉันได้รับบัพติศมาจากอปอลโล สายไม่ตรงนะ  ไม่ใช่อัครทูตแรกๆ”

            “หรือฉันไม่ได้รับบัพติศมา โดยผ่านทางเปาโลเป็นคนทำ”

            เปาโลเลยบอก นึกขึ้นมาได้อีกคนหนึ่ง คือคนในครอบครัวสเทฟานัส มีอีกคนหนึ่ง เป็น 3 คน

            เรื่องราวอาจจะเกิดขึ้นจากคริสปัสกับกายอัส หรือสเทฟานัส 3 คนนี้อาจจะไปอวด อาจจะนะ ไม่ได้พูดถึง สมมติ หรือไม่ก็อาจจะมีคนพูดก็ได้ …

            “3 คนนี้ยอดเยี่ยมเลย เป็นคริสเตียนชั้นพิเศษ เพราะได้รับบัพติศมา จากอัครทูตเปาโล โดยตรงเลย คนนี้ ได้จากติตัส  ได้จากทีมงานของเปาโลเท่านั้น”

            “นอกเหนือจากนั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าได้ให้บัพติศมาแก่ใครอีกเลย”

            ไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ใครอีกเลย? แล้วพระเจ้าเรียกเปาโลมาทำอะไร? ฟังในข้อ 17 จะรู้ชัดเจนเลยว่า ที่ผมบอกว่าบัพติศมาในน้ำ  ไม่ได้ช่วยคนให้รอด แต่บัพติศมาในพระวิญญาณช่วยให้รอด ทางโลกวิญญาณช่วยให้รอด …

        1 โครินธ์ 1:17   “เพราะพระคริสต์ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อให้บัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ด้วยวาทะคมคายตามสติปัญญาของมนุษย์ เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์อำนาจ”

            “เพราะพระคริสต์ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามา เพื่อให้บัพติศมา” พูดง่ายๆ ว่าในน้ำ  ในบริบทกำลังพูดถึงบัพติศมาในน้ำ  ที่คนเอาไปโอ้อวดกันว่าใครให้ใคร ใครใหญ่กว่าใคร บัพติศมาในน้ำของเปโตร หรือเปาโล ตรงนี้ที่กำลังพูดถึง

            เปาโลบอกว่าพระเจ้าไม่ได้ส่งข้าพเจ้าให้มาบัพติศมาในน้ำ  แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ ก็คือเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ใช่ด้วยวาทะคมคาย ตามสติปัญญาของมนุษย์ คือไม่ใช่ด้วยสติปัญญา ความรู้แบบมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์อำนาจ  ไม้กางเขนของพระคริสต์ คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระคริสต์ที่ช่วยคนให้รอดนั้น เปาโลพูดไว้ในหนังสือโรม บทที่ 1 ว่าข่าวประเสริฐ เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจทางฝ่ายวิญญาณที่ช่วยคนให้รอด ผู้เชื่อแล้วได้รับความรอด มันหมายถึงอย่างนั้น

            พระเจ้าส่งให้ข้าพเจ้ามาประกาศข่าวประเสริฐ  เป็นฤทธิ์เดชอำนาจทางฝ่ายวิญญาณ ที่ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐ เขาจะได้รับความรอด  ไม่ใช่รอดโดยการลงน้ำ  นี่พระคริสต์ส่งข้าพเจ้ามาทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ รอดด้วยความเชื่อ ในเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก็คือเชื่อ ในการถูกตรึง สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ การเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งเป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ ชัดเจนเลยนะ

            มาดูอัครทูตเปโตรก็พูดเรื่องนี้ชัดเจนเหมือนกัน 1 เปโตร 3:21 …

        1 เปโตร 3:21 “และบัพติศมา ซึ่งเป็นภาพของการช่วยให้รอด ทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่รอด โดยการขจัดความสกปรกของร่างกายภายนอก แต่โดยได้รับการชำระภายใน ได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ และใจใหม่ ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ผ่านความเชื่อของท่าน ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์”

            “และบัพติศมาในน้ำ ซึ่งเป็นภาพของการช่วยให้รอด ทางฝ่ายวิญญาณ” เห็นชัดแล้วนะ บัพติศมาในน้ำ พอนึกภาพออกนะ  เราลงไปในน้ำ แล้วขึ้นมา  นั่นแหละ บัพติศมาในน้ำ  เล็งให้เห็นภาพ ในโลกวิญญาณ  ก็คือการช่วยให้รอด ทางฝ่ายวิญญาณของเรา คราวนี้เรามาเห็นความจริง เดี๋ยวเราจะเรียนรู้ต่อไปว่าภาพนี้ ในโลกวิญญาณ เป็นเช่นไร?

            ซึ่งการลงน้ำ บัพติศมานี้ เป็นเพียงแค่ขจัดความสกปรกทางฝ่ายร่างกายภายนอก คือยกตัวอย่างให้เห็นว่ามันเป็นการชำระ แค่ภายนอก แต่มันเป็นภาพของการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ  ได้รับวิญญาณใหม่และใจใหม่ ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อของท่าน เชื่อในการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เห็นไหม? ก็คือเชื่อในข่าวประเสริฐ  หัวใจของข่าวประเสริฐ  ของข่าวดีของพระเยซู ก็คือการตาย การถูกฝังไว้ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู

            การบัพติศมาในน้ำ ในภาพของวิญญาณ ก็คือการตาย การถูกฝัง และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ทำให้เรารอด จากการเป็นคนบาป เพราะฉะนั้น ท่านรอด ไม่ใช่ด้วยการประพฤติภายนอก แต่เป็นความเชื่อภายใน ที่ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่นั่นเอง ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้

            ซึ่งวัตถุประสงค์ในการลงน้ำ  คือรูปแบบการแสดงว่าเราเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เชื่อว่า … วางใจว่า … พระองค์เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราวางใจในพระองค์ เราเข้าร่วมขบวนการ การตาย การถูกฝัง  และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ ได้รับการบังเกิดใหม่ มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ เราจึงไปบัพติศมาในน้ำ  เพื่อประกาศว่าเรานั้น เชื่อในโลกวิญญาณ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ก่อนลงน้ำ

            จะพูดช้าๆ ให้ชัดๆ ก็คือการประกาศความเชื่อ  ที่ได้ทำไปแล้ว ก็คือได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ จากการวางใจในข่าวดี แล้วมีความยินดี  แล้วคนรอบข้างที่เป็นคริสเตียนเหมือนกัน ที่ได้เชื่อก่อนหน้านี้ เขาดีใจกับเราไหม?  เขาก็ดีใจกับเราด้วย ยินดีกับเราด้วย ที่เราได้รับเชื่อแล้ว ขอบคุณพระเจ้า เขาก็เลย มาร่วมกับเรา ฉลองความยินดี การบังเกิดใหม่ การได้รับความรอดนั้น นี่คือวัตถุประสงค์ของการลงน้ำ  หรือการบัพติศมาในน้ำ  และอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการขอบคุณพระเจ้า  ขอบคุณพระเจ้าที่ลูกได้รับเรียบร้อยแล้ว ทางโลกฝ่ายวิญญาณ  ลูกได้รับการบัพติศมาในพระวิญญาณแล้ว

            แสดงว่าอะไรมาก่อน บัพติศมาในพระวิญญาณก่อนแล้ว เกิดใหม่แล้ว นี่มาฉลองวันเกิด วัตถุประสงค์ คือมาฉลองวันเกิด

            เวลาเราฉลองวันเกิด เราเกิดแล้วหรือยัง? Happy Birthday To You แปลว่าเกิดแล้ว  เห็นหรือยัง? นั่นแหละ ถ้าพูดอย่างนี้จะชัดเจน นี่คือวัตถุประสงค์ของการลงน้ำ บัพติศมา คือฉลองวันเกิดในฝ่ายวิญญาณว่าเราได้บังเกิดแล้ว  เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพ ทั้ง 3 พระภาคแล้ว พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว เอเมน นี่คือเหตุผล

            ดูข้อพระคัมภีร์นี้อีกข้อหนึ่ง ที่ทำให้เราเห็นชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และเขาทำกันตั้งแต่สมัย 2,000 ปีก่อนหน้านี้แล้วว่าเขาก็รู้กันอย่างนี้ว่าการบัพติศมา ในพระวิญญาณบริสุทธิ์  ทำให้เราบังเกิดใหม่นั้น มันต้องมาก่อน  มันต้องเกิดก่อน ถึงจะช่วยให้เขารอด การบัพติศมาในน้ำ เป็นแค่การแสดงการยินดี ขอบคุณแบบมนุษย์เท่านั้นเอง

            กิจการ 10:44-48 ตอนที่อัครทูตเปโตรออกไปประกาศข่าวดี ที่พระวิญญาณทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ตอนแรกๆ เลย ตอนเริ่มต้น เขาจึงเรียกกิจการของอัครทูต ก็คือกิจการของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่กระทำผ่านทางอัครทูต ตอนเริ่มต้นประกาศข่าวดีใหม่ๆ ในยุคแรกเลย …

        กิจการ 10:44-48 “44 ขณะเปโตรยังกล่าวถ้อยคำเหล่านี้อยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาเหนือคนทั้งปวงที่ได้ยินเรื่องราวนี้ 45 เหล่าผู้เชื่อที่เข้าสุหนัตแล้ว ซึ่งมากับเปโตรพากันประหลาดใจที่พระเจ้าทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา เป็นของประทานแก่คนต่างชาติด้วย 46 เพราะพวกเขาได้ยินคนเหล่านั้น พูดภาษาแปลกๆ และสรรเสริญพระเจ้า แล้วเปโตรกล่าวว่า 47 “ใครจะห้ามคนเหล่านี้ไม่ให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ? พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นเดียวกับเราแล้ว” 48 ดังนั้น เปโตรจึงสั่งให้คนเหล่านั้น รับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ จากนั้นพวกเขาเชิญเปโตรให้พักอยู่ด้วยสองสามวัน”

            “ขณะที่เปโตรยังกล่าวถ้อยคำพระเจ้าอยู่นี้” คือประกาศข่าวดีให้กับคนต่างชาติ  ซึ่งก่อนหน้านี้พระเจ้าทำการอัศจรรย์  พระวิญญาณทำการอัศจรรย์อย่างมาก  ให้ชาวต่างชาติได้เชื่อในข่าวดีนี้ ก่อนแล้วว่าพระองค์ทำการอัศจรรย์นี้ รวมทั้งเปโตร ก็ได้รับการอัศจรรย์ ท่านไปอ่านดูนะในกิจการ บทที่ 10 นี้ ยาวเลย อัศจรรย์ใหญ่มาก ก่อนหน้านี้ ก่อนที่เปโตรจะมาประกาศข่าวดีนี้ อัศจรรย์เหล่านั้น เตรียมให้คนฟังและคนประกาศ เต็มไปด้วยความเชื่อ เปโตรประกาศด้วยความเชื่อ คนรับ ก็รับข่าวดีนี้ด้วยความเชื่อ เพราะว่าก่อนหน้านี้ ก็ได้รับการอัศจรรย์จากพระเจ้า เตรียมตัวไว้เรียบร้อยแล้ว จึงเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น พอคนทั้งปวงได้ยินเรื่องเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เสด็จลงมาเหนือคนทั้งปวงที่ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้ามาบัพติศมา พอเขาเต็มไปด้วยความเชื่อ เต็มไปด้วยความวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาเปิดใจเต็มที่ พอเปิดใจเต็มที่ใครเข้ามา พระเยซูคริสต์บอกเราเคาะที่ประตูแล้ว พอเขาเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เข้าไปในวิญญาณของเขา เรียกว่าบัพติศมาเขาในพระวิญญาณของพระคริสต์ พระวิญญาณของพระเจ้านั่นเอง

            เหล่าผู้เชื่อที่เข้าสุหนัต ก็คือพวกชาวยิวที่มาเป็นทีมงานของเปโตร … เปโตรประกาศ ทีมงานเป็นชาวยิวไปด้วย เห็นพระวิญญาณบัพติศมาพวกเขา เหมือนกับที่บัพติศมาชาวยิว กลุ่มแรกเลย กลุ่มแรกตอนที่พระเยซูให้ไปรอที่ห้องชั้นบน 120 คน ลักษณะเดียวกันเลย ก็คือบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เขาทั้งหลาย พอได้รับบัพติศมาปุ๊บ พระวิญญาณนำให้เกิดการอัศจรรย์ขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นกับทุกๆ คน ไม่จำเป็นเลยนะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระทำการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในขณะนั้น  ต้องการประกาศข่าวประเสริฐ ในยุคแรก ในเริ่มต้น เป็นเรื่องของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องของเรา

            เรื่องของเราได้ทุกคน  ก็คือใครก็ได้เปิดใจต้อนรับความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณจะเข้ามาทำสิ่งนี้เลย  คือเข้ามาบัพติศมาเขาในพระวิญญาณ เข้าไปในพระเยซูคริสต์เลย แล้วอะไรเกิดขึ้น? พอพระวิญญาณเข้าไปทำการอัศจรรย์ เขาเหล่านั้น พูด ในนี้บอกว่าเหล่าผู้ที่เชื่อ เข้าสุหนัตแล้ว ซึ่งมากับเปโตร พากันประหลาดใจที่พระเจ้าเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา เป็นของประทานแก่คนต่างชาติด้วย

            คนต่างชาติ ในสายตาของยิว ก็คือคนที่มีมลทิน คนชั้น 2 คนที่พระเจ้าไม่เอาแล้ว เขาแปลกใจมาก เพราะแปลกใจกว่านั้น ก็คือเป็นการอัศจรรย์ เพื่อยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ให้กับพวกเขาชาวยิวว่านี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า นี่คือของจริง ก็คือเพราะพวกเขาได้ยินคนเหล่านั้น พูดภาษาอื่นๆ ก็คือภาษาของคนต่างชาติอื่นๆ ภาษาต่างประเทศอื่นๆ นั่นเอง

            ถ้าเป็นปัจจุบัน เขาได้ยินพวกนั้น สรรเสริญพระเจ้าด้วยภาษาอื่นๆ ที่เขาไม่รู้จัก ยกตัวอย่างเช่น เราเป็นคนไทย ที่เราไม่รู้จัก เขาสรรเสริญพระเจ้าด้วยภาษาโรมัน ด้วยภาษาลาติน ด้วยภาษาเอธิโอเปีย เราไม่รู้เรื่องเลย ถูกไหมครับ? แต่ปรากฏว่าอันนี้เขาพูดภาษาไทยด้วย  เราเป็นคนไทย เราฟังออก เขาพูดภาษายิว  เขาเป็นชาวต่างประเทศ ไม่รู้จักภาษายิว แต่เขาพูดภาษายิว คนยิวตกใจ อ้าว! ทำไมพูดภาษายิวได้ นึกออกใช่ไหม? คนยิวเหล่านี้ ก็เป็นพยานยืนยันให้เขาได้เห็นชัดว่านี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า เป็นวิธีการของพระเจ้า โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่กระทำ เป็นพิเศษในขณะนั้น ในสิ่งที่เราเรียนรู้ในวันนี้ ก็คือข้อสุดท้าย ที่บอกในข้อ 47 เปโตรก็บอกว่า …

            “ใครจะห้ามคนเหล่านี้ ไม่ให้บัพติศมาในน้ำได้”

            ข้อห้ามของการลงน้ำ บัพติศมาในน้ำ ก่อนที่จะมีข่าวประเสริฐ ก็คือไม่ใช่ของชาวยิว  เป็นของชาวต่างชาติ กว่าจะลงได้ที ต้องคัดมากมายเลยว่าคนจะมาเข้ารีตหรือไม่ ถึงจะลงน้ำได้

            นี่พูดถึงก่อนที่จะมีข่าวประเสริฐ แต่พอมีข่าวประเสริฐแล้ว ไม่ใช่แล้ว การลงน้ำ บัพติศมา คือการเล็งถึงการบังเกิดใหม่  ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่บังเกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณนั่นเอง

            “ใครจะห้ามคนเหล่านี้  ไม่ให้รับบัพติศมาในน้ำ  พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นเดียวกันกับเราแล้ว  ดังนั้น เปโตรจึงสั่งให้คนเหล่านี้รับบัพติศมาในนามของพระเยซูคริสต์”

            ก็คือจากนั้นแล้ว เปโตรก็บอกว่าโอเค เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ บัพติศมาในน้ำได้  พอนึกภาพออกไหมครับ

            แต่จริงๆ แล้วตรงนี้ ตั้งใจจะเน้นให้แค่นี้ว่าเขาบัพติศมาในพระวิญญาณก่อน แล้วลงน้ำทีหลัง  เพราะฉะนั้น อะไรที่ช่วยให้เขารอด  คือบัพติศมาในพระวิญญาณ

            คราวนี้เรามาดูบัพติศมาในโลกของวิญญาณบ้าง?  ตะกี้นี้เรื่องของโลกวัตถุ ลงน้ำ ในโลกฝ่ายวิญญาณ การบัพติศมาในวิญญาณ เกี่ยวข้องกับการที่ตะกี้นี้บอก ก็คือการตาย  การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และการเป็นขึ้นจากความตาย  การบังเกิดใหม่ทางวิญญาณนั่นเอง

            ถามว่า … “เกิดใหม่ได้อย่างไร ทางวิญญาณ?”

            ก็ผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เข้าสู่ขบวนการการตาย การฝังไว้ในอุโมงค์  และการเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมพระเยซูคริสต์ บัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อตะกี้เราอ่าน เราชัดเจนเลยนะ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้กระทำสิ่งนี้  ง่ายๆ ชัดๆ นำเราเข้าสู่เตียงผ่าตัด เพื่อจะนำวิญญาณของเรา เข้าไปสู่ความตาย  เข้าไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

            เราจะอ่านที่โรม บทที่ 6 ซึ่งเป็นข้อพระคัมภีร์ใหม่ที่ชัดเจนมากในเรื่องเกี่ยวกับการบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เทียบกันกับการบัพติศมาในน้ำที่เราเพิ่งจะเรียนรู้กันมาเมื่อสักครู่นี้ว่าการบัพติศมาในน้ำ เล็งให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร? ในโรม บทที่ 6 นี้ ชัดเจนเลย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เรา ผู้เป็นคริสเตียนใหม่ๆ ไม่เข้าใจในสิ่งเหล่านี้ ที่ตอนแรกๆ ที่ผมถาม “ใครรับบัพติศมาแล้วให้ยกมือขึ้น” อะไรต่างๆ เหล่านั้น ที่เรายังไม่เข้าใจเรื่องบัพติศมาในพระวิญญาณ เราคงชัดเจน เข้าใจแค่บัพติศมาในน้ำเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือโลกวิญญาณที่พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้ เปาโลต้องการให้เรารับรู้ และอธิบายอย่างชัดเจนมากๆ ให้กับผู้เชื่อที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนผู้เชื่อใหม่ ได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ท่านควรจะรู้มากๆ เลย โดยเริ่มต้นด้วยคำว่า …

            “ท่านไม่รู้หรือ?”

            “ท่าน” ในที่นี้ คือใคร?  ก็คือผู้เชื่อ ก็คือคริสเตียนที่รับเชื่อแล้ว ยังไม่รู้เรื่องนี้เลย จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ไหม? ก็ต้องจำเป็นแล้วล่ะ  ถ้าขึ้นคำนี้ว่า …

            “ท่านไม่รู้หรือว่า?” ท่านมัวแต่ไปเถียงกัน ไปให้ความสำคัญ ไปโอ้อวดกัน ไปฝากชีวิตไว้กับการบัพติศมาในน้ำว่าพิธีนั้นต้องยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  ต้องทำอย่างไร? ต้องทำอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น  ไม่อย่างนั้น ท่านจะไม่ได้รับความรอดนะ ท่านมัวแต่ไปเถียงกันเรื่องวัตถุสิ่งของที่มองเห็นได้ ซึ่งมันเป็นภาพ เล็งให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณมากกว่า ท่านควรจะมาดู ฟัง เข้าใจถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่าตรงนั้น มันทำ แค่เป็นลักษณะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อท่านได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และเกิดอะไรขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ  ท่านเป็นใครในพระคริสต์ ท่านเกิดอะไรขึ้น

            คำว่า “ตาย” คำว่า “ถูกฝัง” คำว่า “ลงไปในน้ำ แล้วเป็นขึ้นจากความตายขึ้นมาเหนือน้ำนั้น” มันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของท่านบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตของท่าน  นี่คือความจริง

            เราเริ่มทีละข้อเลยนะ โรม 6:3-6 …

        โรม 6:3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น”

            “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ ก็คือคริสเตียน ก็ได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ ที่ไม้กางเขน ในการบัพติศมานั้น”

            นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณทันที ในขณะที่คนใดคนหนึ่งเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐ ทันทีทันใดนั้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น  เหมือนกิจการ บทที่ 10 ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์รออยู่แล้ว พระเยซูรออยู่แล้ว พระวิญญาณของพระคริสต์รออยู่แล้ว  เคาะประตูอยู่แล้ว  ท่านเปิดใจเชื่อในข่าวดีนี้  ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปสถิตทันที ผ่าตัดวิญญาณท่าน อันดับแรก คือนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ ที่ไม้กางเขนทันที ในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นอย่างนี้ …

        โรม 6:4 “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย  เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”

            บัพติศมาที่กำลังพูดนี้ คือบัพติศมาในวิญญาณ ตอนแรกเราพูดกันไปแล้ว เรื่องลงน้ำ ทะเลาะกันเรียบร้อยแล้ว เปาโลไปเคลียร์กันเรื่องทะเลาะกัน ในเรื่องลงน้ำ บัพติศมา ตอนนี้กำลังพูดถึงบัพติศมาในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

            “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตายในฝ่ายวิญญาณนั้น เพื่อเราเองจะได้มีชีวิตบังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิรของพระบิดา”

            ก็คือเมื่อผ่าตัดวิญญาณเราเข้าไปสู่พระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์อยู่ในลักษณะอย่างไร?  ได้รับอะไร เราก็ได้รับอย่างนั้นด้วย

            อันดับแรก พระเยซูคริสต์อยู่ที่ไม้กางเขน เราก็อยู่ที่ไม้กางเขนด้วย  พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน เราก็ตายด้วย พระเยซูถูกนำไปฝังไว้ที่อุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย  วันที่ 3 ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าได้ทรงประทานชีวิตนิรันดร์ กลับคืนสู่พระองค์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง  โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้าไปชุบพระเยซู ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามหาศาลมาก ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวา ประทานสิทธิอำนาจที่เรียกว่าเกียรติและสิริของพระองค์อันยิ่งใหญ่มหาศาลมากมาย เป็นผู้สำเร็จราชการ ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  คือนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  ในวันที่ 3 นั้น พระเจ้าได้กระทำสิ่งนี้ แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่  ที่อยู่เหนือทุกสิ่งเหล่านี้ ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ของพระองค์ที่ได้รับจากพระเจ้า  พระองค์ก็แบ่งปันให้กับเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อและได้อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในพระองค์ด้วย ที่ได้ตายไปพร้อมกับพระองค์ เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าด้วย ในสวรรคสถาน ในวิญญาณ ก็คือภาพของโลกวัตถุที่มองเห็นได้ คือการบัพติศมาในน้ำ เมื่อเราลงไปในน้ำเมื่อไร?  ก็คือเราได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ จุ่มเราลงไป ผ่าตัดเราลงไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระวิญญาณ หรือวิญญาณของพระคริสต์ ลงไปในน้ำ ก็คือลงไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เมื่อลงไปในน้ำ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ปุ๊บ ตาย ถูกฝัง และพระคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่ ก็คือเราขึ้นจากน้ำมาเมื่อไร? เราก็ประกาศชัยชนะว่าเราเป็นขึ้นจากความตายแล้ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าที่สวรรคสถานแล้ว เราเชื่อและวางใจในพระเจ้าว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ เราขอบคุณพระเจ้า เอเมน  แต่มันไม่ได้หมายถึงว่าเราได้รับตอนนั้นนะ เราได้รับตั้งแต่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นแล้ว …

        โรม 6:5 “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย  แน่นอนเราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”

            อันนี้ชัดเจนเลย … “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย” มีส่วนร่วมด้วยวิธีการบัพติศมา เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มีส่วนร่วม จำได้ไหมที่ตะกี้ ผมพูดในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับเรื่องบัพติศมาในวิญญาณ เหมือนกระเทียม เมื่อลงไปในน้ำส้มสายชู มันก็กลายเป็นกระเทียมดอง เราคนบาป ลงไปในพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เหมือนกัน

            แน่นอนเราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากความตายด้วย ตายพร้อมพระองค์ และก็เป็นขึ้นจากความตาย พร้อมพระองค์ การเป็นขึ้นจากความตาย เรียกว่าการบังเกิดใหม่  ขึ้นจากน้ำมา ก็เล็งให้เห็นภาพการเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา  ที่เราได้รับก่อนหน้านี้แล้ว …

        โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            เพราะว่าการกระทำอย่างนั้น ตัวเก่าของเรา ที่บัพติศมาอยู่ในอาดัม ตัวเก่าของเราที่เป็นคนบาป อยู่ในอาณาจักรของความมืด  ความตายนั้น  มันได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว  เราถึงได้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยชีวิตใหม่ ชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า  อยู่ในแสงสว่างของพระเจ้า เห็นชัดเจนเลยนะ

            ตัวเก่าตาย โดยการถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้วที่ไม้กางเขน  เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัด จะได้ตายไปซะ ตัวเก่าของเราตายไปแล้วนะ เพื่อเราจะไม่ได้เป็นทาสบาปอีกต่อไป  เพื่อเราจะไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป  เราได้ตาย และเป็นขึ้นจากความตายแล้ว นี่เรื่องจริงที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ท่านตายแล้วหรือยัง? คริสเตียนตายแล้วหรือยัง? ตายแล้ว แต่เป็นขึ้นจากความตายแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ในโคโลสี 2:12 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        โคโลสี 2:12 “ท่านถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีบัพติศมา และทรงให้ท่านเป็นขึ้นจากตายกับพระองค์ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย”

            ท่านถูกฝังไว้กับพระเยซูคริสต์ ในพิธีบัพติศมาในวิญญาณ เพราะให้ท่านเป็นขึ้นจากความตายกับพระองค์ ผ่านทางความเชื่อของท่าน เห็นไหมครับ ผ่านทางความเชื่อของท่าน ท่านเป็นขึ้นจากความตาย เพราะท่านเชื่อในข่าวประเสริฐ  วางใจในพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเจ้า  เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ผู้ทรงทำให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย  พร้อมพระเยซูคริสต์นั่นเอง ชัดเจนเลย  พูดง่ายๆ ว่าเราเป็นขึ้นจากความตาย  เพราะเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดนั่นเอง ไม่ใช่ลงน้ำ

            คือมันเป็นอย่างนี้ เราสามารถเป็นขึ้นจากความตายได้ด้วยวิธีการเปิดใจ เปิดใจด้วยวิธีใด? ด้วยวิธีอธิษฐาน … อธิษฐานด้วยวิธีใด? ด้วยวิธียอมรับในความจริง ที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศข่าวดีให้กับเรา ผ่านทางใครก็ไม่รู้ ข่าวดีมาถึงเราเรื่องพระเยซูคริสต์ แล้วเราก็เปิดใจยอมรับเท่านั้นเอง พอยอมรับแล้ว อะไรเกิดขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาทำการผ่าตัดวิญญาณ ย้ายวิญญาณของเรา เข้ามาอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่  การได้รับชีวิตใหม่ในพระองค์นั่นเอง เข้ามาสู่ขบวนการการบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ย้ายเราจากที่อยู่ในอาดัม มาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในพระคริสต์ ก็คือพระคริสต์ก็อยู่ในตรีเอกานุภาพ เราก็ได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณ พระเจ้าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา  และเราก็อยู่กับ 3 พระภาคนี้  เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือความหมายของการบัพติศมาในวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทางโลกฝ่ายวิญญาณ

            เพราะฉะนั้น อีกไม่กี่วันนี้ เราจะมีพิธีรับบัพติศมาในน้ำ ท่านพอจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ แล้วนะ เราจะมาฉลองกัน ร่วมกันแสดงความยินดีกับพี่น้องของเราที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ที่ได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ที่ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าที่สวรรคสถานแล้ว ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ตรีเอกานุภาพแล้ว  เขาลงน้ำไปด้วยวิญญาณทั้ง 4 วิญญาณเลย  แต่ร่างกายเดียว ร่างกายท่านลงไปในน้ำจริง  แต่ลงไปด้วย 4 วิญญาณ คือวิญญาณของตัวท่านเอง 1 แล้ววิญญาณของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ 4 วิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกัน  ท่านลงไป ท่านจงรู้เถิดว่าท่านกำลังจะฉลองสิ่งนี้  พระเยซูคริสต์บอกใครที่เปิดใจต้อนรับพระองค์ เชื่อในข่าวดีของพระองค์ พระองค์จะเข้าไปอยู่ในเขา  และเขาจะมาอยู่ในพระองค์ และพระองค์อยู่ในตรีเอกานุภาพ  ก็คือพูดง่ายๆ ว่าตรีเอกานุภาพก็อยู่ในเราเรียบร้อยแล้ว  เกิดขึ้นเมื่อไร?  เมื่อตอนเปิดใจต้อนรับ เมื่อยอมรับข่าวประเสริฐ เมื่อตอนเรียกว่าอธิษฐาน …

            “พระเจ้าลูกต้องการความช่วยเหลือแล้ว ลูกได้ยินข่าวประเสริฐมาตั้งนานแล้ว  ลูกเปิดใจ ช่วยลูกด้วยเถิด ย้ายลูกมาอยู่ในพระคริสต์ (คล้ายๆ อย่างนั้น) ลูกไม่เอาแล้ว ลูกไม่อยากอยู่ในอาดัมแล้ว  จุ่มลูกลงไปในพระคริสต์ จุ่มลูกลงไปตายพร้อมกับพระคริสต์ เพื่อจะได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระคริสต์ เพื่อว่าวิญญาณของมนุษย์ที่ตายอยู่ จะได้รับการบังเกิดใหม่  เป็นอภิมหาบริสุทธิ์ สะอาดที่สุดเลย  เพราะพระเจ้าได้เข้ามาสถิตอยู่ด้วยทั้ง 3 พระภาค พระวิญญาณของพระเจ้าได้เข้ามาบัพติศมาผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ผู้นั้นได้สะอาด  หมดจด บริสุทธิ์ ชำระตั้งแต่ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ได้เกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมที่จะเป็นที่อยู่อาศัย เป็นบ้านของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระบุตร และพระวิญญาณ  เข้ามาสถิตอยู่ด้วย  ในวิญญาณที่เกิดใหม่นั่นแหละ และวิญญาณที่เกิดใหม่นี้ เราก็ต้องดีใจ ดีใจมากๆ เลย  และไม่ใช่ท่านดีใจอย่างเดียว  อย่างที่บอก พวกเราทั้งหลาย ก็ดีใจ ทั้งคริสตจักรของพระเจ้า โบสถ์ของพระเจ้า พี่น้องที่อยู่ข้างๆ  ก็ดีใจด้วย  ก็เลยจัดงานฉลองกัน ก็เลยเกิดพิธีมหาสนิท เป็นการระลึกถึงพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว

            แต่เข้ามาฉลองในพิธีบัพติศมาในน้ำ แต่เราก็อย่าไปติดยึดจนกระทั่งบัพติศมาในน้ำเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการบัพติศในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตัวนี้จะทำให้ข่าวประเสริฐไขว้เขวไป กาลาเทีย 3:26-27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้อีกด้วยว่า …

        กาลาเทีย 3:26-27 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์  27 เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่าน ด้วยพระคริสต์”

            พูดง่ายๆ ว่าเราจึงดีใจ จึงมาฉลองกัน  ทำบัพติศมาในน้ำ  เพราะว่าท่านได้เข้ามาเป็นหนึ่งในพวกเรา เป็นครอบครัวร่วมกันในโลกฝ่ายวิญญาณ  เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ ในวิญญาณเราเป็นพี่น้องกัน และเป็นพี่น้องกันไปตลอดชาติหน้าด้วย ตลอดนิรันดร์เลย

            “ท่านทั้งหลาย ล้วนเป็นบุตรของพระเจ้าในวิญญาณนั่นเอง โดยความเชื่อในพระคริสต์ เพราะพวกท่านทั้งปวง ผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์”

            ได้คลุมกาย ก็คือพระเจ้าที่บอกว่าได้อยู่ในพระคริสต์ 3 พระภาคสถิตอยู่ในท่าน ก็คือคลุมทั้งกาย ทั้งวิญญาณของท่าน  ท่านไปที่ไหน 4 วิญญาณอยู่กับท่าน และ 4 วิญญาณนี้ ครอบคลุมร่างกายที่เรามองเห็นอยู่นี้ เป็นร่างกายเดิมนี้  แต่เป็นสิริและเกียรติของพระเยซูคริสต์ หรือพระคริสต์ พระเจ้า 3 พระภาคคลุมอยู่ตลอดเวลา

            “ผู้ใดรับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์” ก็คือผู้ที่ได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณ  ไม่เกี่ยวกับเรื่องในน้ำ  ในน้ำ เป็นการฉลอง บัพติศมาในทางวิญญาณ ก็คือท่านได้ถูกใส่ลงไปอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว เป็นกระเทียมดอง ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้ว เมื่อเป็นกระเทียมดองแล้ว  สามารถทำให้มันกลับไปเป็นกระเทียมสด ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ ยังไงก็ทำไม่ได้ นั่นแหละ ภาพในวิญญาณของท่านได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ กับตรีเอกานุภาพแล้ว  ไม่มีใครสามารถทำให้ท่านเปลี่ยนไปเป็นอื่นได้ นอกจากอยู่ใน 3 พระภาคนั้น  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าอย่างนั้นตลอดไป ถ้าพูดภาษาตลกๆ ก็คือท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า  ที่พระเจ้าทำให้ท่านเป็นอย่างนี้ตลอดไป ยินดีเลยครับ  ท่านบริสุทธิ์ ดีพร้อม สะอาด สมควรอยู่ในสวรรค์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์อย่างนี้ ตลอดไป  ไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว …

        1 โครินธ์ 12:13 “เพราะเราทั้งหมดก็รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน  ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก  เป็นทาสหรือเป็นไท  และเราทั้งหมดก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

            เพราะเราทั้งหมด ก็ได้รับบัพติศมาฝ่ายวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกันนั่นเอง เรารู้แล้วว่าคำว่า “บัพติศมา” นี้ ตรงไหนต้องใส่อะไร? ตอนแรกๆ ตอนที่เปาโลพูดใน 1 โครินธ์ บัพติศมานั้น ในน้ำ แต่ตอนนี้ พวกเราทั้งหมดก็รับบัพติศมาในวิญญาณ โดยพระวิญญาณเดียวกัน  เข้าเป็นกายเดียวกัน  เป็นหนึ่งเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น นี่คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่เปาโลประกาศ และอัครทูตประกาศมาจนถึงทุกวันนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับท่านในโลกฝ่ายวิญญาณ  แทนที่ท่านจะต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ ความทุกข์ยากลำบาก ความเสียหายของโลกใบนี้  ความสาปแช่งบนโลกใบนี้  เหตุอะไรที่เกิดขึ้น ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งตายแล้วจะไปไหน?  ตายแล้วจะต้องถูกการพิพากษา สู่ความพินาศนิรันดร์ ท่านไม่มีความหวังอะไรเลย  แม้อยู่บนโลกใบนี้ ก็ไม่มีความหวัง ไม่แน่นอน หลังความตาย ก็ไม่มีความหวัง ไม่แน่นอนเหมือนกัน ทำไมท่านจะปล่อยให้ชีวิตอยู่อย่างนั้น ในเมื่อพระเยซูเคาะอยู่ที่หัวใจท่านตลอดเวลา เปิดใจแค่นั้นเอง แล้วเราจะเข้าไป ทำอะไร? เราจะเข้าไปผ่าตัดวิญญาณของท่าน  นำท่านมาบังเกิดใหม่ ร่วมกับเรา  มานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน  มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา  และเราทั้ง 3 พระภาค คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพ จะเข้าไปอยู่กับท่าน จนถึงนิรันดร์ ช่วยท่านตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ นำพาท่าน ช่วยท่านทุกอย่าง จนกระทั่งหลังจากความตายแล้ว ยังเตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้กับท่าน  และนำท่านต่อไป สู่สวรรคสถานของพระเจ้านิรันดร์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            จงวางใจในเรา แล้วท่านจะได้อยู่ในสวรรค์ อย่าพึ่งการกระทำตามกฎบัญญัติ เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์

            มัทธิว 5:17-18 …  “17 อย่า​คิด​ว่า​เรา​มา​เพื่อ​ล้มล้าง​กฎ​บัญญัติ​ หรือ​คำ​สั่งสอน​ของ​ผู้เผย​เผยพระวจนะ  (คำกล่าว​ของ​พระ​เจ้า) เรา​มิได้​มา​เพื่อ​ล้มล้าง​สิ่ง​เหล่า​นั้น แต่​เพื่อ​เป็น​ไป​ตามที่​บันทึก​ไว้​ใน​พระ​คัมภีร์  18 เรา​ขอบอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่าตราบ​ที่​สวรรค์​และ​โลก​คง​อยู่ แม้แต่​ตัว​หนังสือ​เล็ก​สุด​หรือ​จุดๆ หนึ่ง​ จะ​ไม่​ถูก​ตัด​ออก​ไป​จาก​กฎ​บัญญัติ จนกว่า​ทุก​สิ่ง​ที่​บันทึก​ไว้​จะ​สัมฤทธิผล”

            พระเยซูคริสต์ประกาศความจริงในโลกวิญญาณ ว่าอย่าคิดว่าเรามา เพื่อลบล้างความศักดิ์สิทธิ์ เที่ยงธรรมของบทบัญญัติ หรือให้ความสำคัญกับบทบัญญัติน้อยลง แต่เรามาเพื่อย้ำยืนยัน ให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์เที่ยงธรรมของบทบัญญัติ และให้ความสำคัญที่สุดกับบทบัญญัติ คือท่านคิดว่าการรักษาบทบัญญัติให้มากที่สุด เท่าที่พยายามทำได้นั้น ก็เพียงพอแล้ว เป็นการทำให้พระเจ้าพึงพอใจแล้ว ที่จะนับท่านเป็นผู้ชอบธรรม

            แต่เราบอกความจริงว่าถ้าท่านพึ่งพากำลังของตนเอง ในการประพฤติตามกฎบัญญัติ เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น ท่านต้องรักษาบทบัญญัติประพฤติตามทุกข้อ ทุกจุด ทุกขีด ไม่ว่าจะเป็นข้อที่ท่านคิดเองว่าเล็กน้อยเท่าไหร่ก็ต้องรักษาให้ได้ครบถ้วน 100% ตามที่ได้เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัตินั้น ถึงจะเป็นที่พอใจของพระเจ้า และรับท่านเป็นผู้ชอบธรรมได้ ซึ่งโดยความเป็นจริงนั้น  ไม่มีมนุษย์คนใด ที่จะสามารถทำได้เลย ไม่มีมนุษย์ผู้ใด ไม่เคยทำผิดเลยแม้แต่ข้อเดียว ไม่มีมนุษย์ผู้ใด ไม่เคยทำบาปเลยแม้แต่ครั้งเดียว

            พระเจ้าส่งเรามา เพื่อช่วย และชี้ให้ท่านเห็นถึงความจริงนี้ เพื่อท่านจะได้ถ่อมใจลง ไม่พึ่งพาความชอบธรรมที่มาจากการประพฤติ ปฏิบัติตามกฎบัญญัติต่างๆ ของตน แต่กลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาเรา วางใจในเราว่าเราเป็นผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วยท่าน เพื่อพระเจ้าจะพอใจรับและนับท่านเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ ผ่านทางความเชื่อในเรา นี่แหละเรียกว่าโดยพระคุณ

            กาลาเทีย 3:10-11 … “10 ด้วย​ว่า​ทุก​คน​ที่​พึ่ง​การ​ประพฤติ​ตาม​กฎ​บัญญัติ​ก็​ถูก​แช่ง​สาป เพราะ​มี​บันทึก​ไว้​ว่า  “ทุก​คน​ที่​ไม่​ทำ​ตาม​ทุก​ข้อ​ที่​เขียน​ไว้​ ใน​หมวด​กฎ​บัญญัติ​ต่อ​ไป​เรื่อยๆ ก็​ถูก​แช่งสาป” 11 เป็น​ที่​เห็น​ชัด​แล้ว​ว่าต่อ​หน้า​พระ​เจ้า​แล้ว​ ไม่​มี​ใคร​พ้น​จาก​ความ​ผิด​ได้​โดย​กฎ​บัญญัติ เพราะ​ว่า “ผู้​ชอบธรรม​จะ​มี​ชีวิต​ได้​โดย​ความ​เชื่อ”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1431

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  27  สิงหาคม  2023

เรื่อง “คริสเตียน! ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพอยู่ภายในร่างกายของท่านแล้ว”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            ใครเป็นคริสเตียนแล้วยกมือขึ้น?  ทั้งหมดเป็นคริสเตียนแล้ว คริสเตียนมีอีกชื่อหนึ่ง ชื่อว่าผู้เชื่อ ในพระคัมภีร์ส่วนใหญ่จะใช้คำว่า “ผู้เชื่อ” มากกว่าคำว่า “คริสเตียน” หาคำคริสเตียนไม่เจอเลยนะ  แต่ผู้เชื่อ เต็มไปหมด เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินคำว่าผู้เชื่อ ให้นึกถึงปัจจุบัน เรียกคริสเตียน … คริสเตียน ก็คือผู้เชื่อ เชื่อในพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยมวลมนุษยชาติ ให้รอดพ้นจากความบาปและความตายฝ่ายวิญญาณ นี่คือความหมายสั้นๆ ของคำว่าคริสเตียน

            วันนี้หัวข้อเรื่อง ผมตั้งชื่อว่า “คริสเตียน ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพอยู่ภายในร่างกายของท่านแล้ว”

            จากซีรี่ย์ที่เพิ่งจบไป  คือ “คำอธิษฐานมัทธิว 6:9-15 พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” นี่คือซีรี่ย์ครั้งที่แล้ว 7 ตอนที่ผ่านมา เราได้รับคำตอบชัดเจนแล้วว่าพระเยซูไม่ได้กำลังสอนให้เราทำตาม แต่กำลังชี้ให้เห็นทางโลกฝ่ายวิญญาณว่ามนุษย์ไม่มีทางที่จะทำได้ ตามคำอธิษฐานนี้หรอก เพราะฉะนั้น มีเพียงหนทางเดียว ที่จะนำพามนุษย์ทั้งหลายไปสู่สวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ ก็คือต้องพึ่งและวางใจในพระองค์ คือพระเมซิยาห์ คือพระคริสต์เท่านั้น

            ครั้งที่แล้วตอนจบ เราได้เรียนรู้คำอธิษฐานที่แท้จริงของพระเยซูในยอห์น บทที่ 17 ซึ่งพระองค์ได้ทูลขอต่อพระบิดา ให้คุ้มครองบรรดาผู้เชื่อในพระองค์ ให้ได้รับการบังเกิดใหม่ ให้ได้รับการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ให้บริสุทธิ์ สะอาด เหมือนพระองค์ ไปอยู่กับพระองค์ พระองค์อธิษฐานก่อนที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ

            เรามาทบทวนนิดหนึ่ง ยอห์น 17:21 หัวข้อเรื่องที่สำคัญ ความหมายสำคัญ รวบรวมสรุปจากการบรรยายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว …

        ยอห์น 17:21 “ลูกขอให้พวกเขาทั้งหมด เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับพระองค์พระบิดา อยู่ในตัวลูก และลูกอยู่ในพระองค์ ขอให้พวกเขาอยู่ในพวกเราด้วย

            “พวกเขา” ก็คือบรรดาผู้เชื่อ คริสเตียน “พวกเรา” ก็คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งรวมเรียกว่าพระเจ้าตรีเอกานุภาพ

            พระเยซูอธิษฐานกับพระบิดา ในยอห์น บทที่ 17 นี้ เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนที่จะทำภารกิจในการไถ่มนุษย์ทุกคนให้รอดพ้น จากความบาปและความตาย จากความพินาศในความบาป โดยการหลั่งพระโลหิต สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 และพระเยซูได้ทำภารกิจตามเป้าหมายนี้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว  และก็มีมนุษย์จำนวนมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาสู่ความจริงนี้ คือเข้ามาอาศัยอยู่ในพวกเรา  ก็คืออาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพนี้จริงๆ 2,000 ปีมาแล้ว เยอะแยะไปหมดเลย

            คำว่า “พวกเขาอยู่ในพวกเรา” สำเร็จและเพิ่มพูนจำนวนขึ้นเรื่อยๆ มา 2,000 ปีแล้ว พวกเรา ก็คือที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่บอกเป็นคริสเตียนแล้ว  เป็นผู้เชื่อแล้ว  ก็คือเราได้เข้าไปอยู่ในตรีเอกานุภาพนี้แล้ว เอเมน  ตามที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศ และได้อธิษฐานในยอห์น บทที่ 17 นี้ ถ้ามันไม่เป็นความจริง มันจะลากยาวมาถึงขนาดนี้ มาถึงเดี๋ยวนี้  ที่กำลังพูดอยู่นี้ เกือบ 2,000 ปีแล้วนะ  แล้วมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ  ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การที่มนุษย์คนหนึ่ง  ที่เรียกว่าคริสเตียน หรือผู้เชื่อนั้น จะเข้าไปอาศัยอยู่ในพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าเฉยๆ แต่พระเจ้า ตรีเอกานุภาพเลย ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้มีพระนามว่าพระเจ้าองค์เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใด คือไม่มีชื่อเลย  เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย และสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นผู้ตั้งชื่ออะไรต่างๆ  แล้วจะไปตั้งชื่อผู้สร้างตัวเขาเองได้อย่างไร? ไม่มีทาง พระองค์มีอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง  แต่ก่อน แต่ไรแล้ว  เพราะฉะนั้น เรื่องนี้มันน่าคิดนะว่าถ้าไม่เป็นจริง แล้วจะลากความจริงนี้ มาถึงเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร 2,000 ปีแล้ว

            เพราะฉะนั้น ก็เลยอยากจะถามพี่น้องที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อว่าท่านคิดอย่างไรในเรื่องนี้ ลองไตร่ตรองเรื่องนี้ดูดีไหม ที่พูดนี้ด้วยความรักและห่วงใยนะ ลองคิดดูไหมว่า คริสเตียน หรือผู้เชื่อ ทำไมรักษาความเชื่อ รักษาการเป็นคริสเตียนนี้ มาต่อเนื่อง ถึงทุกวันนี้ เกือบ 2,000 ปีแล้ว มากขึ้นทุกวันๆ ทั่วโลก เป็นไปตามคำอธิษฐานของพระเยซูเลย ลองคิดดู ฝากไว้ด้วยนะครับ ซึ่งทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำภารกิจนี้ รวมเรียกว่าข่าวดี ที่พระองค์มาประกาศ คือมาประกาศข่าวดี … ข่าวดี คือไม่ใช่ข่าวร้าย ข่าวดี ก็คือมนุษย์สามารถไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ง่ายๆ อย่างนี้เอง ถึงเรียกว่าข่าวดี

            ข่าวดี พระองค์ทรงประกาศมาแล้ว 2,000 ปี ถ้าเผื่อข่าวดีนี้ไม่จริง แล้วมันจะส่งต่อมาถึงเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร? ลองคิดดู ข่าวดี มีเงื่อนไข เพียงอย่างเดียวที่มนุษย์ต้องทำ ที่จะได้รับสิทธิทั้งหมดที่พระเยซูกระทำที่ไม้กางเขน สิ่งเดียว นั่นคือมนุษย์คนใดก็ตามเมื่อได้ยินข่าวดีนี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องทำ ก็คือ เชื่อและวางใจในถ้อยคำ การประกาศข่าวดีที่มาถึงท่าน มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ง่ายนิดเดียว อย่างนี้จริงๆ นี่คือข่าวดี ถ้ายากเย็นเข็ญใจ กว่าจะเข้าสวรรค์ได้ มาเชื่อพระเยซูต้องทำอย่างโน้นต้องทำอย่างนี้  มันไม่ใช่ข่าวดีแล้ว  มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา รู้ว่าจะไปสวรรค์ทีหนึ่ง ต้องทำอันนั้นอันนี้ ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ตายไปแล้ว ก็กลับมาทำใหม่อีก ต้องเกิดใหม่อีกไม่รู้กี่ชาติ นี่คือธรรมดาของความคิดของมนุษย์ ไม่ใช่ข่าวแปลก แต่ข่าวดี คือไม่ต้องทำอะไรเลย จริงหรือ? ก็จริงนะสิ นี่คือข่าวดี

            พระเยซูประกาศข่าวดีให้กับมนุษย์ทุกคนมา 2,000 ปีแล้วว่าทุกคนสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพ อันยิ่งใหญ่สูงสุด คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ง่ายๆ อย่างนี้ คือเพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในการทำงานของพระองค์ บนไม้กางเขนที่ได้หลั่งพระโลหิต สิ้นพระชนม์  และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 แค่นี้เอง เชื่อและวางใจในพระองค์ แค่นี้เอง ก็ได้รับแล้ว พระเยซูบอกไว้ล่วงหน้าแล้ว มันง่ายจนเกินไป สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไปที่คิดตามประสาคนที่อยู่ในกฎของความบาปและความตาย  กฎของการกระทำ ซึ่งปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้ ทำให้ถูกอิทธิพลของกฎของการกระทำ คือคิดไม่ออกว่าได้มาฟรีๆ ได้มาอย่างไร? ต้องทำดี ถึงจะได้ดีสิ นี่แค่เชื่อ แล้วได้ดีได้อย่างไร? พระเยซูจึงบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาของความคิดของมนุษย์ทั่วไป  พระองค์จึงบอกว่าทางของพระองค์ จึงเป็นทางแคบ ทางง่ายๆ มันแคบ เพราะมันง่ายเกิน  เพราะมนุษย์ตกอยู่ในความยุ่งยาก ลำบากในการค้นหาทางที่จะไปสวรรค์ ยากเย็นเข็ญใจ พอข่าวดีมาถึงว่าง่ายๆ อย่างนี้ ไม่เชื่อหรอก เพราะว่ามันง่ายไป ใช่ไหม? พระเยซูพูดไว้ก่อนล่วงหน้า เกือบ 2,000 ปีแล้วว่าข่าวดีนี้ประกาศไป มันจะเป็นอย่างนี้  มันจะเป็นทางแคบ  เพราะว่ามันง่ายเกิน

            เพราะฉะนั้น ท่านจะอาศัยอยู่ในโลกนี้  อยู่ในกฎของความบาปและความตาย  อยู่ในความมืด วิญญาณของท่านโดดเดี่ยว ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย บนโลกใบนี้  การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อยู่ตัวคนเดียว วิญญาณเดียว โดดเดี่ยวอยู่ในความมืด  อยู่ในความพินาศ  และจะต้องอยู่ไปตลอดนิรันดร์  เพราะวิญญาณไม่มีการสิ้นสุด  หรือจะอาศัยอยู่ในตรีเอกานุภาพ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทั้ง 3 พระภาค ตั้งแต่บัดนี้ จนกระทั่งถึงนิรันดร์ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวท่านเอง มนุษย์ทุกคน ซึ่งการตัดสินใจนี้ ท่านต้องตัดสินใจขณะที่ยังมีชีวิตดำเนินบนโลกใบนี้  คือยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น คือการตัดสินใจ แค่เชื่อในนามของพระเยซู ในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้ บนไม้กางเขน เกือบ 2,000 ปีมาแล้ว เท่านั้นจริงๆ  เพราะพระเยซูพูดคำนี้บ่อยๆ ตอนที่พระองค์มาประกาศบนโลกใบนี้ ด้วยตัวของพระองค์เอง 3 ปีก่อนที่จะทำภารกิจนี้ พระองค์พูดคำนี้บ่อยๆ เลย …

            “เราขอบอกความจริงกับท่าน เราบอกท่านจริงๆ  ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ เราคือความจริง เราคือพระเยซูคริสต์ เราคือความจริง”

            ใครก็ได้ที่เชื่อในข่าวดีนี้  และใช้สิทธิของเขา ก็คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาก็จะได้รับสิทธิที่พระองค์ทรงกระทำให้ทั้งหมดนี้

            วันนี้ เราจะมาเรียนรู้คำอธิษฐานของเปาโล อัครทูตของพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูได้ใช้มา ครั้งที่แล้ว เราฟังคำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะทำภารกิจ บนไม้กางเขนให้สำเร็จ วันนี้เรามาเรียนรู้คำอธิษฐานของอาจารย์เปาโล อัครทูต ซึ่งอธิษฐานหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน ไม่กี่ปี เราจะเรียนรู้กันว่าคำอธิษฐานนั้น เป็นเช่นไร?  เป็นข่าวดีไหม? เหมือนกันไหม?

            อัครทูตเปาโล คือชาวยิวที่กลับใจและวางใจเชื่อในข่าวดี มาเป็นคริสเตียน แล้วพระเจ้าได้ใช้เขาให้เป็นอัครทูต เพื่อนำข่าวประเสริฐ มาประกาศข่าวดีให้กับคนต่างชาติ  คนต่างชาติ ก็คือคนที่ไม่ใช่ชาวยิว  เป็นกลุ่มที่ 2 ที่พระเจ้าวางเอาไว้ว่าจะได้รับความรอด จะได้รับข่าวดี … ข่าวดีนี้ เริ่มต้นที่ชาวยิวก่อน และมาถึงชาวต่างชาติ มาเป็นกลุ่มที่ 2 มนุษย์มีแค่ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่ง คือชาวยิว กลุ่มที่สอง คือไม่ใช่ชาวยิว

            ในยอห์น บทที่ 17 พระเยซูอธิษฐานให้กับผู้ที่เชื่อในข่าวดี ซึ่งข่าวดีนั้น ยังกระทำไม่สำเร็จ  ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อ นึกออกไหม? ก็แสดงว่าพระเยซูกำลังอธิษฐานให้กับมนุษย์ ที่จะเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำบนไม้กางเขน ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะได้รับอย่างนี้ แต่ว่าคราวนี้ ตอนนี้ ที่เรากำลังจะมาเรียนรู้นี้ อัครทูตเปาโลอธิษฐานให้ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผู้ที่เชื่อในข่าวดีว่าพระเยซูทรงกระทำสำเร็จไปแล้ว กี่ปีแล้วก็ตาม  ผู้ที่ได้เชื่อแล้ว โดยการประกาศของเปาโลเอง  เปาโลอธิษฐานให้กับคนที่มาเป็นคริสเตียน ที่มารับเชื่อใหม่ๆ อย่างไร? เรามาเปรียบเทียบดูสิว่าเหมือนที่พระเยซูอธิษฐานก่อนหน้านั้นไหม? ที่เราเรียนรู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วในเอเฟซัส บทที่ 1 เริ่มต้นจากข้อ 17 …

        เอเฟซัส 1:17 “ข้าพเจ้าเพียรทูลขออยู่เสมอ ให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  คือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีวิญญาณแห่งสติปัญญา และวิญญาณการสำแดงความรู้เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ เพื่อท่านจะได้รู้จักลึกซึ้ง และสนิทสนมกับพระองค์เป็นการส่วนตัว   และท่านจะได้มีความรู้ที่แท้จริงเรื่องพระองค์”

            “ข้าพเจ้าเพียรทูลขออยู่เสมอ” เราได้เรียนรู้อะไรในประโยคนี้  ก็แสดงว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพียรทูลขออยู่เสมอ ก็คือขออยู่ตลอดเวลา ให้กับคริสเตียน ผู้ที่ได้เชื่อในข่าวดีนี้ ที่ได้เกิดใหม่แล้ว เอาละสิ เราอยากจะรู้ไหม? อยากสิ ก็คืออธิษฐานให้เรา เราที่นั่งอยู่ขณะนี้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญแน่ๆ ที่ผู้เชื่อควรได้รับรู้ อย่างลึกซึ้ง คือรู้จักอย่างลึกซึ้ง สนิทสนมกันอย่างลึกซึ้งกับการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ให้ได้รู้ลึกซึ้งว่าขณะนี้ที่เราเชื่อและเป็นคริสเตียนแล้ว เราได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว  พระคริสต์ได้อยู่ในฉัน และฉันอยู่ในพระคริสต์ ตามที่พระเยซูได้อธิษฐาน ในยอห์น บทที่ 17 นั่นแหละ ให้รู้ลึกซึ้งว่ามีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไร? มันสำคัญมาก เราจะได้เรียนรู้ความจริงว่าในโลกวิญญาณนั้น เมื่อเราเชื่อเป็นคริสเตียนแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์อย่างไร? เราสนิทสนมกับพระองค์มากเท่าไร?  ที่พระองค์ทรงเรียกเราว่าเป็นเหมือนสามีภรรยา สนิทกันถึงขนาดนั้น  เราได้แต่งงานกับพระเยซูแล้ว เราเป็นเจ้าสาวของพระเยซู มันเป็นเช่นไรนะ อยากรู้ไหม? ใครช่วยเราได้? คำอธิษฐานนี้ไง

            ในเมื่อเปาโลยังอธิษฐานให้กับเราอย่างนั้นเลย แล้วเราไม่ควรจะอธิษฐานให้กับตัวเองอย่างนั้นหรือ? แล้วเราไม่ควรจะอธิษฐานให้กับพี่น้องที่อยู่ในพระคริสต์เดี๋ยวนี้ อย่างนั้นหรือ? แสดงว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมาก เอเฟซัส 1:18 ต่อไป …

        เอเฟซัส 1:18  “ข้าพเจ้ายังอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาของวิญญาณ (ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของท่าน) สว่าง เพื่อจะได้รับการสำแดงความรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระองค์ได้เรียกท่านเข้ามานั้น  และรับรู้เรื่องมรดก ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง และมีค่าที่สุดของพระองค์  ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว (โดยผ่านทาง-เชื่อและรับสิทธิ์ของท่านที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

            “ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับท่าน ผู้ซึ่งได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว” คือท่าน เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ท่านได้เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ เป็นเดอะเซ้นต์ ไปที่ไหน? เหมือนในหนัง ที่เขามีแสงสว่างกลมๆ อยู่ข้างบน ท่านไปที่ไหน? ในวิญญาณท่านเป็นอย่างนั้น เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าแล้ว อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าแล้ว ในนี้บอกว่า …

            “ข้าพเจ้าอธิษฐานขอพระเจ้า ให้ตาวิญญาณของท่าน” ตาวิญญาณ คือมนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็เป็นวิญญาณ วิญญาณมีการรับรู้ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? เปาโลจึงบอกว่าเอาเป็นตาแล้วกัน เพราะว่าร่างกายมนุษย์ เราจะมองเห็นอะไร? รับรู้อะไรลึกซึ้งมากขึ้น ไม่ใช่คลำเอา  คลำเอาพอรู้บ้างว่าเป็นอย่างนี้  แต่พอเปิดตาออกมา เห็นชัดขึ้น คล้ายๆ อย่างนั้น ให้ตาฝ่ายวิญญาณ ที่รับรู้ความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งโลกวิญญาณนี้ เป็นจริงๆ สำคัญกว่า เป็นสิ่งที่แน่นอน  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เหมือนโลกวัตถุ แต่มีอยู่จริงๆ เลย เพียงแต่ตามองไม่เห็น

            ให้ตาฝ่ายวิญญาณมองเห็น รับรู้ความจริงในโลกวิญญาณว่ามันเป็นเช่นนี้เอง มันเป็นอย่างนี้เอง ตาฝ่ายวิญญาณได้เปิดออกกว้างขึ้น สว่างมากขึ้น เห็นชัดขึ้น โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในเรา

            “เพื่อท่านจะได้รับรู้ถึงความหวัง และมีความมั่นใจ ในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ของพระเจ้า” เห็นไหมครับ? “ที่พระองค์ได้เลือกท่านเข้ามานั้น” เรียกเราเข้ามาอยู่ในสวรรค์แล้ว  เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระองค์แล้ว และรับรู้เรื่องมรดกที่เต็มไปด้วยสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ อันรุ่งเรือง  และมีค่าที่สุดของพระองค์ที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  มีค่ามากมาย ในพระคัมภีร์ ในหนังสือ 2 โครินธ์บอกว่าเรามีทรัพย์อันมีค่าล้ำมหาศาล สุดจะพรรณนาได้ ในภาชนะดิน ก็คือในร่างกายอันต่ำต้อย อันธรรมดาของเรา ที่โดนอันนั้นทีก็เจ็บ โดนอันนี้ทีก็เจ็บ  ที่จะต้องแก่ไปทุกวันๆ  แต่ข้างในวิญญาณเรา มีของอันล้ำค่า คือตรงนี้แหละ

            มรดก คือการได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว วิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวจริงๆ ของเรา ที่เรานั่งอยู่ ขณะนี้ คริสเตียนท่านใดก็ตาม รับรู้ความจริงนี้เถิด วิญญาณของท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว

            และที่เรียกกันว่าได้รับชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ที่เป็นอมตะ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และคำว่าสง่าราศีนี้ เราเรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว ก็คือฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล  เป็นแสงสว่าง เป็นความรัก เป็นลูกของพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในมหาจักรวาลนี้ เราเป็นส่วนหนึ่งในนั้น เราเป็นความรัก เป็นแสงสว่าง เป็นฤทธิ์เดช เหมือนพระเจ้าของเรา  เหมือนพระเยซูของเราเลย เอเมน

            ไม่ใช่ว่าเราจะได้รับเมื่อตอนที่เราจากโลกนี้ไป แต่ในขณะที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เชื่อในพระองค์ปุ๊บ ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันที ในวิญญาณของเรา ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย รับตั้งแต่บัดนี้เลย

            มรดกนี้เริ่มต้นรับเมื่อไร? เราเรียนรู้ไปแล้วนะ ใครก็ตามบนโลกใบนี้ ที่เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้  อัศจรรย์เข้าไปทันทีเลย ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้เลย แล้วก็จะค่อยๆ เจริญเติบโต รับมากขึ้น ไปเรื่อยๆ ในมรดกนี้ จนกระทั่งครบถ้วนบริบูรณ์  จนถึงนิรันดร์เลย  คือหลังจากที่ทิ้งร่างเดิม อันต่ำต้อยนี้ เรือนดินนี้ แล้วก็สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซู ตะกี้บอกวิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูไปแล้ว  แต่เมื่อเราทิ้งร่างกายเก่านี้ เรือนดินนี้ คราวนี้ วิญญาณที่บอกเป็นเหมือนพระเยซูนี้  ก็จะไปสวมร่างใหม่  ที่เป็นเหมือนพระเยซูด้วย เอเมน และด้วยร่างกายใหม่นั้น  เราก็จะสามารถเห็นได้จริงๆ เลย เห็นจากตาวิญญาณ และตาจากร่างกายใหม่นั้น เห็นสง่าราศีของพระเจ้า ที่เต็มไปด้วยความจริง  เป็นแสงสว่าง เห็นชัดเจน เต็มไปด้วยสง่าราศี เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ เต็มไปด้วยความรัก เป็นจริงๆ เลย และไม่ใช่แค่นั้น เราจะเห็นตัวเราเองด้วย  ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่อยู่ในร่างกายใหม่ ร่างกายสวรค์ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น วันนั้นจะเหมือนเราดูตัวเราเองในกระจกเงา เต็มไปด้วยสง่าราศี ท่านเห็นตัวท่านเองไหม? ไม่เห็น แต่วันนั้น ท่านจะเห็นตัวท่านเอง เหมือนดูในกระจกเงา

            ทุกวันนี้ ท่านเห็นในกระจกเงาไหม?  เห็นอะไร? เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยความแก่ ค่อยๆ เหี่ยว ค่อยๆ เสื่อมโทรมไป เห็นร่างกายเดิมของท่าน แต่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อท่านสวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ซึ่งเป็นมรดก ซึ่งพระเจ้าเตรียมไว้กับท่านเรียบร้อยไปแล้ว ผู้เชื่อทั้งหลาย ท่านจะเห็นสง่าราศีของพระเจ้า ตามความเป็นจริง เห็นสง่าราศีของพระเยซูตามความเป็นจริง และเห็นสง่าราศีของตนเอง ตามความเป็นจริง เหมือนที่ทุกวันนี้ ท่านมองดูในกระจกเงานั่นแหละ ขอบคุณพระเจ้า

            พระคัมภีร์บอกว่า “เราจะเจริญเติบโตทางวิญญาณนี้ เข้าสู่สง่าราศี จากพระสิริหนึ่งสู่พระสิริหนึ่ง ค่อยๆ กระเถิบขึ้นไป ทีละนิดทีละหน่อย เจริญเติบโตด้วยการรับรู้ความจริงที่พระวิญญาณของพระเจ้านำเราไป สอนเราไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน บนโลกใบนี้นั่นเอง เอเมน

        เอเฟซัส 1:19  “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลทางฝ่ายวิญญาณ ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา และเพื่อเราผู้ซึ่งได้เชื่อ (รับสิทธิ์ของเราที่พระเยซูได้ไถ่บาปให้)”

            อธิษฐานให้กับผู้เชื่อว่า “เพื่อท่านจะได้เริ่มต้นเรียนรู้ ถึงฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด” เรียนรู้ทางวิญญาณ พระวิญญาณจะเป็นผู้สอนเรา บอกเรา ว่าเราเป็นใครแล้วตอนนี้ ในวิญญาณของเรา เรียนรู้ถึงฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่มหาศาล ที่ไม่มีขีดจำกัด และหาที่เปรียบไม่ได้ของพระเจ้า จะเปรียบอะไรล่ะ? ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ คือพระเจ้าตรีเอกานุภาพ อาศัยอยู่ในวิญญาณของเรา  จะเอาอะไรเปรียบ ใหญ่สูงสุดแล้ว คิดออกไหม? คิดไม่ออก พระวิญญาณจะเป็นผู้สอน นำพาเรา ค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละนิดทีละหน่อย ซึ่งฤทธิ์อำนาจนี้ ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาล ทางฝ่ายวิญญาณ  ที่กระทำการงานอยู่ภายในเรา ก็คือผู้เชื่อศรัทธา  และเพื่อเรา  ผู้ซึ่งได้เชื่อ  ก็คือผู้ที่ได้ใช้สิทธิของเรา ที่พระเยซูไถ่บาปให้กับเราที่ไม้กางเขน  เราใช้สิทธินี้แล้ว  เราต้อนรับสิทธิในข่าวดีนี้แล้ว ถ้าเราไม่ต้อนรับล่ะ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราไม่ใช้สิทธิ์ของเรา แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น  มันก็ไม่เกิด ทั้งๆ ที่มันเป็นของเราแล้ว

            พูดง่ายๆ ก็คือพระวิญญาณจะสอนเรา เรียนรู้จากโลกวิญญาณนี้ว่าวิญญาณนี้ ตอนนี้ จากฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ภายในเราแล้ว ไม่ว่าเราจะเห็นหรือไม่เห็น รู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ ไม่ตรงกับถ้อยคำนี้  ความรู้สึกนั้น ก็ไม่เกี่ยว ความคิดนั้น ก็ไม่เกี่ยว เกี่ยวอย่างเดียว คือความเชื่อเท่านั้นเองว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนี้

            ยกตัวอย่างว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกว่า “เราอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเรา” ท่านรู้สึกไหมว่าพระคริสต์อยู่ในเรา ไม่รู้สึก แต่บางครั้งรู้สึกนะ ใช่หรือเปล่า โดยเฉพาะเวลาฟังคำเทศนาอย่างนี้ ฟังถ้อยคำพระเจ้าอย่างนี้ ท่านรู้สึกไหมว่าพระคริสต์อยู่ในเรา รู้สึกนิดๆ ท่านจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ไม่เป็นไร แต่ท่านต้องเชื่อว่าถ้อยคำนี้เป็นจริง เพราะว่าบันทึกไว้  พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในใจของท่าน จะเป็นผู้ยืนยันกับท่าน เสียงเล็กๆ ที่อยู่ในใจท่าน ตามถ้อยคำพระเจ้าว่าเอเมน

            เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา  เราอยู่ในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ  และพระเจ้าตรีเอกานุภาพอยู่ในเราแล้ว เอเมน ไม่ว่าวันนี้ กำลังฟังอยู่นี้ เชื่อตามนี้ รู้สึกตามนี้ว่ารู้สึกฉันยิ่งใหญ่เหลือเกิน  พระเจ้าอยู่ในฉัน ฉันอยู่ในพระเจ้า ฉันอยู่ในตรีเอกานุภาพ พระเจ้าตรีเอกานุภาพอยู่ในฉันขณะนี้ ที่ฟังอยู่นี้  เต็มไปด้วยความรู้สึกอย่างนี้เลย พองตัวเลย ขนลุกขนชันขณะนี้  แบบอินมากเลย เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่งเที่ยง บรรยายเสร็จ ออกไปข้างนอก รถท่านถูกเฉี่ยว แดดก็ร้อนด้วย ข้าวก็ยังไม่ได้กิน เพราะบรรยายนานไป หิวอีกต่างหาก แถมไปคริสตจักรเด็ก ไปรับลูกมา ลูกร้องไห้งอแงงอีก ขึ้นรถไป ความรู้สึกยังอยู่ไหม? พระเจ้ายังอยู่กับเราไหม? พระเจ้าเป็นความสว่าง เป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นสันติสุข พระเจ้าตรีเอกานุภาพอยู่ในฉันแล้ว  ยังอยู่ไหม? พูดเลย ไม่อยู่แล้ว ไม่อยู่ในความรู้สึกแล้ว  แต่ยังคงอยู่ในวิญญาณของฉัน ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนั้น นี่เขาเรียกว่าผู้ชอบธรรม คริสเตียนจะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธา  ไม่ใช่ตามองเห็น  ไม่ใช่รู้สึก รู้สึกหรือไม่รู้สึกไม่รู้แหละ แต่ความจริงเป็นอย่างนี้ ฉันวางใจในพระเจ้า  เอเมนไหม? ในเอเฟซัส 1:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญ​พระ​เจ้า​ผู้​เป็น​พระ​บิดา​ของ​พระ​เยซู​คริสต์ องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา ผู้ได้ให้​พระ​พร​ฝ่าย​วิญญาณ​นานัปการใน​อาณาจักรฝ่ายวิญญาณ (สวรรค์) ทั้งหลายแก่​เราแล้วในพระคริสต์”

            “ผู้ได้ให้พระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ สวรรค์” เห็นไหมครับ คำที่ควรจำได้ คือได้ให้พรทางฝ่ายวิญญาณนานัปการ ก็คือพระพรฝ่ายวิญญาณทั้งหมดเลย ไม่ว่าเราจำเป็นต้องทำ ต้องใช้อะไรในเรื่องโลกวิญญาณ เกี่ยวข้องหมด พระเจ้าได้ให้หรือยัง? ได้ให้แล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไรที่อยากจะได้ในโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านไม่ต้องทำแล้ว  เพราะพระเจ้าให้แล้ว

            ยกตัวอย่างเช่น ท่านไม่ต้องทำให้วิญญาณท่านบริสุทธิ์กว่านี้อีกแล้ว เพราะว่าวิญญาณท่านบริสุทธิ์ที่สุดแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องทำความดีให้ครบถ้วนบริบูรณ์ เพื่อจะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เพราะท่านได้เป็นผู้ชอบธรรมในวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว  เพียงแต่การปฏิบัติ ความประพฤติของท่าน ท่านทำให้ดีที่สุด  เพื่อที่จะถวายเกียรติต่อพระเจ้า ในร่างกายของท่าน  เพื่อให้สมกับที่วิญญาณของท่านเป็นคนชอบธรรม ดีพร้อมแล้วนั่นเอง  ทำให้สม ไม่ได้ทำให้เป็น เพราะมันเป็นไปแล้ว ด้วยความเชื่อและด้วยฤทธิ์อำนาจของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ทำให้ท่านเป็นผู้ชอบธรรม  ไม่ใช่เพราะท่านประพฤติดี ถึงเป็นผู้ชอบธรรม ไม่ใช่ ท่านเป็นผู้ชอบธรรม เพราพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตาย แล้วท่านเชื่อ เอเมน …

        เอเฟซัส 1:20  “ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้า ได้กระทำในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ”

            โอ้โห! ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเลย ซึ่งฤทธิ์เดชอำนาจที่กระทำการงานอยู่ในพวกเราผู้เชื่อ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังงานอันยิ่งใหญ่ มหาศาล ที่จริงมันมากกว่านี้อีก ไม่รู้จะอธิบายเป็นภาษาไทยได้อย่างไรแล้ว ภาษาเดิมเยอะกว่านี้อีกนะ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังอันยิ่งใหญ่มหาศาล อภิ ไม่รู้ว่าจะบอกว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? มันเหลือที่มนุษย์จะนำอะไรมาพูดถึง นึกถึงระเบิดปรมาณู ยิ่งใหญ่ นึกถึงบิ๊กแบงที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบบอกว่าบิ๊กแบงเป็นจุดกำเนิดของโลก การกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งหลายของโลกนี้ และในมหาจักรวาล เกิดจากการระเบิดเพียงครั้งเดียว  คือตูม  เกิดหมดทุกอย่าง ฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ขนาดนั้น หรือฤทธิ์อำนาจแห่งแสงสว่างที่เราเห็นทุกวันนี้ หรือสิ่งที่มีชีวิต สวยงามทุกวันนี้  พลังงานที่ทำให้เกิดขึ้น มีสัตว์แปลกๆ มีม้าน้ำ มีตัวอะไรแปลกๆ มีผีเสื้อ มีเสือ มีสัตว์ในทะเลอะไรต่างๆ เหล่านั้น เหล่านั้น คือรวมเป็นฤทธิ์เดชอำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้าทั้งสิ้น ฤทธิ์อำนาจนี้ กระทำการงานอยู่ในตัวพวกเราผู้เชื่อ และดูว่าในนี้เขียนว่าอะไร?

            “ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำในพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้งให้พระเยซูนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ในย่านฟ้าอากาศ ในสวรรค์ต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  เป็นฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ฝ่ายวิญญาณที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  คือไม่มีใครในโลกนี้เลยที่เป็นมนุษย์ และตาย แล้วเป็นขึ้นจากความตาย เป็นขึ้นมาใหม่ ได้รับร่างกายใหม่ ได้รับสง่าราศี ไม่มีเลย  มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น  ก็คือพระเยซูคริสต์ และแถมปรากฏพระองค์เองให้เห็นเลย หลังจากเป็นขึ้นจากความตาย ให้สาวกหรือมนุษย์พิสูจน์พระองค์เองว่าเป็นขึ้นจากความตายจริงไหม? อีก 40 วัน พิสูจน์เลย ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ ก็คือฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ของตรีเอกานุภาพ พระคัมภีร์ได้บันทึกว่าตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อเป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ รับโทษบาป อะไรต่างๆ เหล่านั้น  เพื่อมนุษย์จะได้สามารถตายต่อบาปของตัวเองได้ และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และในวันที่ 3 พระเจ้าได้ชุบพระเยซูด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของตรีเอกานุภาพนั่นเอง

            เพราะ 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกัน ฤทธิ์อำนาจที่ยิ่งใหญ่นี้ ลงไปที่พระเยซูคริสต์ ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ก็คือประทานชีวิตนิรันดร์ให้พระเยซูกลับคืนมา มีสง่าราศีเหมือนเดิม ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย คือได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นแบบสวรรค์ เป็นต้นแบบของร่างกายของคริสเตียน ผู้เชื่อทั้งหลายที่จะได้รับในอนาคต หลังจากสิ้นลมแล้ว หลังจากทิ้งร่างเก่านี้แล้วนั่นเอง ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่อันนี้ กระทำการงานอยู่ในตัวเราทั้งหลาย ผู้เชื่อศรัทธา ทุกวันนี้อยู่ในตัวเรา เดินไปไหนฤทธิ์อำนาจนี้กระทำการงานอยู่ในตัวเรา ผู้เชื่อศรัทธา ท่านลองคิดดูสิว่ามันยิ่งใหญ่มหาศาลขนาดไหน? และไม่ใช่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตายแค่นั้น แต่ฤทธิ์อำนาจนี้ได้กระทำการ ก็คือได้แต่งตั้ง หรือกระทำการงานด้วยฤทธิ์อำนาจนี้ ให้พระเยซู มีฤทธิ์อำนาจสูงสุด เรียกว่านั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าพระบิดา ในสวรรคสถาน  ก็หมายถึงผู้สำเร็จราชการที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดที่เรียกว่าพระเจ้าพระบิดา หัวหน้าตรีเอกานุภาพ  เป็นผู้สำเร็จราชการ ผู้ที่ใช้สิทธิอำนาจทั้งหมดของพระองค์ที่เบื้องขวา

            และฤทธิ์อำนาจนี้อยู่ในตัวเราทั้งหลายผู้เชื่อ เราก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาเช่นเดียวกัน เพราะเราได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ ตามที่บอกไว้เมื่อตะกี้นี้ ฤทธิ์อำนาจนี้ได้ทำให้เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ  เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ก็คือเราเข้ามาอยู่ในพระองค์และพระองค์ก็มาอยู่ในเรา เห็นหรือยัง? ฤทธิ์อำนาจนี้ ทำการงานในพระองค์ คือกระทำการงานในเราด้วยเช่นเดียวกัน  พระองค์เป็นเช่นไร เราก็เป็นเช่นนั้น  พระองค์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ เราก็ถูกตรึงด้วย พระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย พระองค์เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย  พระองค์ทรงถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระบิดา ในสวรรคสถาน เราก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวานั่นด้วย เอเมน ซึ่งเราเรียกกันว่าบัพติศมา ก็คือเราได้รับบัพติศมา เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์อยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย พระเยซูได้รับอะไร? เราก็ได้รับด้วย

            พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นเสมือนหนึ่งอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกาย ท่านเดินไปที่ไหน? ตาท่านไปด้วยไหม? ไปด้วย ไม่ใช่เท้าท่านไปอย่างเดียว มือไปด้วยไหม? ไปด้วย เพราะมือก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของท่าน เราก็เช่นเดียวกัน เราเป็นส่วนหนึ่ง เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง ในร่างกายของพระคริสต์ พระคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวา เราก็นั่งอยู่ในนั้นด้วย เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา ก่อนหน้าที่เราจะอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่ที่ไหนครับ? เราอยู่ในอาดัม เราอยู่ในความมืด  เราดำเนินชีวิตอยู่ในอาณาจักรของความมืด อยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ เรียกว่าความมืด เรียกว่าอยู่ในอาณาจักรของอาดัม อยู่ในกฎของความบาปและความตาย  อยู่ในความพินาศ พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น ในทางวิญญาณ เรามองไม่เห็น แต่พระคัมภีร์บอกเรา แต่พอเรามาเชื่อข่าวดีปุ๊บ  พระคัมภีร์บอกว่าเราได้บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือพระเจ้าได้ย้ายวิญญาณเรา ออกมาจากอาดัม อยู่ในความมืด อยู่ในความบาป ย้ายออกมาอาศัย บัพติศมาอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น พี่น้องที่ยังไม่ได้ย้ายทางวิญญาณ ย้ายซะนะครับ ก็คือย้ายมาเป็นคริสเตียน ย้ายมาเป็นผู้เชื่อในข่าวประเสริฐนี้ แล้วจะได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ แทนที่จะอยู่ในอาณาจักรของความมืด ด้วยความห่วงใย …

        เอเฟซัส 1:21 “ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณ ที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบันบนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไป ในอนาคตด้วย”

            “ในตำแหน่งนี้” คือเบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ผู้สำเร็จราชการของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณ ตรงนี้ไม่ค่อยจะแปลกใจ สำหรับมนุษย์ทั่วๆ ไปนัก เมื่อได้รู้ความจริงว่าพระเยซู มีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  แต่ว่าเราได้เรียนรู้เมื่อตะกี้นี้หลายข้อ ก่อนหน้านี้แล้วว่าเราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ พระคริสต์ไปไหน เราไปด้วย พระคริสต์ได้อะไร เราได้ด้วย พระคริสต์อยู่ในตำแหน่งไหน? เราอยู่ในตำแหน่งนั้นด้วย เพราะฉะนั้น ตรงนี้ เราสามารถบอกว่าและในตำแหน่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราผู้เชื่อ เราผู้ได้ต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้เป็น คริสเตียน เรามีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด  เหนือเหล่าวิญญาณที่ปกครองอยู่ในสถานที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ เหนือเหล่าวิญญาณที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ  เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม ไม่กล้าพูดเลยนะ แต่มันเป็นจริงหรือเปล่า? เป็นจริง

            เพราะฉะนั้น ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไร? ความจริงนี้ ก็จะปรากฏในชีวิตของเรา เราจะเข้าใจ และเราจะดำเนินชีวิตแบบนั้นมากขึ้น ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ความจริงนี้มากขึ้นเท่าไร? เหมือนที่เปาโลพยายามที่จะอธิษฐานบ่อยๆ เสมอๆ ให้เราได้รู้จักตรงนี้มากขึ้น เพื่อว่าเราจะไปใช้สอยได้ มันเป็นของเราก็จริง แต่ถ้าเราไม่รู้ เราก็ทิ้งมันไว้อย่างนั้นแหละ  เรามีทรัพย์สมบัติมหาศาลอยู่ในธนาคาร เราไม่รู้เรื่อง เราไม่เคยเบิกมาใช้เลย ทั้งๆ ที่เรามีบัตร ATM ทางฝ่ายวิญญาณเยอะแยะไปหมด  เราไม่เคยกดอะไรออกมาใช้เลย เพราะว่าเราไม่รู้ความจริง  เรารู้เพียงแต่ว่าเราได้รับเบิ้ยเลี้ยง วันละ 100 บาท เราก็ใช้ 100 บาทไป  เราไม่รู้ว่านอกจากเบี้ยเลี้ยงนั้น นอกจากความรอดนิรันดร์แล้ว พระองค์ยังทรงให้ ATM อยู่ในตัวเรา ATM ฝ่ายวิญญาณ เรามีพลังอำนาจสูงสุด  ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือพลังอำนาจการครอบครอง เหนือวิญญาณอะไร ไม่ว่าจะมารซาตาน หรือวิญญาณชั่วอะไรต่างๆ วิญญาณดีด้วย  เรามีอำนาจอยู่เหนือทั้งหมดเหล่านั้นเลย  ห่างไกลจากเรามากเลย  พระเยซูคริสต์อยู่สูงเท่าไร? เราก็สูงเท่านั้น

            เพราะฉะนั้น วิญญาณเหล่านี้ทำอะไรเราไม่ได้เลย แม้แต่นิดหนึ่ง ไม่ต้องกลัวเลย  ไม่ต้องกลัวผีเข้า กลัวผีหลอก … ผีหลอก โอเคใช่ เพราะมันหลอกเราตลอด มันทำอะไรไม่ได้ มันถึงหลอกเราเรื่อย แต่ถ้าเรารู้ มันหลอกได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าเรารู้กลโกงของที่ตอนนี้ชอบโทรมาบอกว่ามาจากกรมตำรวจบ้าง? กรมสรรพากรบ้าง? พวกคอลเซ็นเตอร์ แบบหลอกลวง โทรมา แต่เรารู้ความจริง มีข่าวมาบอกเราแล้วว่าระวังคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ เราเรียนรู้แล้ว พอโทรมา เราจะทำตามมันไหม? อาจจะทำ ถ้าเผื่อเราฟังข่าวนั้นไม่เยอะ แต่ถ้าเราฟังข่าวนั้นเยอะๆ เรารู้ว่าอันนั้นเป็นของปลอม พอโทรมา เราบอกกรุณาไปไกลๆ เราไม่เชื่อหรอก เพราะเขาไม่มีสิทธิอำนาจนั้น ทำอะไรเราไม่ได้ แต่เขาหลอกเราได้ มารก็หลอกเราอย่างนี้ แล้วเรายังมีสิทธิอำนาจอยู่เหนือพลังอำนาจที่ครอบครองโลกนี้อยู่ ก็คืออะไรรู้ไหม? อย่าไปนึกถึงมารซาตาน

            มารซาตานไม่มีพลังอำนาจใดๆ เลยที่จะครอบครองโลกใบนี้  ไม่มีทางเลยนะ  ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันไม่มีพลังอำนาจครอบครองมนุษย์เลย  ถ้ามนุษย์คนนั้นไม่ยอม แต่มันใช้พลังอำนาจ อิทธิพลของกฎของความบาปและความตาย มันมีพลังอยู่บนโลกใบนี้ มนุษย์เป็นคนเอาเข้ามาเอง ก็คืออาดัมเอาเข้ามาเอง ทำให้มนุษย์ต้องทำตามกฎของความบาปและความตาย  คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตามกฎแห่งกรรมนี่แหละ และมารมันก็ใช้กฎนี้ เป็นตัวยึดเรา ฟ้องเรา ให้เรารับโทษ …

            “แกทำ แกเป็นคนบาป แกถูกสาปแช่ง”

            แต่พระเยซูย้ายเราออกมาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ อยู่ในพระองค์แล้ว  เราจึงมีอำนาจ หลุดพ้นจากกฎเหล่านี้ กฎเก่า กฎของความบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ว่ากฎของความบาปและความตายนี้ มารจะใช้ผ่านทางอะไรก็ตาม ผ่านทางความรู้ ผ่านทางผู้คน ผ่านทางศาสนา ผ่านทางกฎระเบียบอะไรต่างๆ ก็ตาม ผ่านทางความคิดของเราเองก็ตาม หรือผ่านทางนาม ในนี้บอกว่าเรามีอำนาจสูงสุด ในพระคริสต์นี้ อยู่เหนือทุกนาม ที่เอ่ยชื่อขึ้นมา ตั้งขึ้นมา  และเหนือสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้านี้ เรามีอำนาจอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะตั้งชื่ออะไรออกมา ไม่ว่าจะเป็นชื่อของวัตถุเคารพ ชื่อของผู้คน ชื่อของระบบ ชื่อของหลักการความเชื่อ ชื่อของศาสนา ชื่อของอะไรก็ตาม ทั้งหมด ที่จะมาบังคับเรา  เรามีอำนาจในพระคริสต์ อยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เรียบร้อยแล้ว  และฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ที่ยิ่งใหญ่สูงสุด ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้อยู่ในเราทั้งหลายผู้เชื่อนั้น จะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบันบนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อไปในอนาคต ในสวรรค์นิรันดร์ด้วย  ก็คือไม่ใช่มีสิทธิอำนาจ เฉพาะอยู่ในสวรรค์กันอย่างเดียว  แต่ขณะอยู่บนโลกใบนี้ เราก็มีสิทธิอำนาจอยู่เหนือเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว เอเมน ขอบคุณพระเจ้า …

        เอเฟซัส 1:22  “และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัด ทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อ-และใช้สิทธิ์ ในการไถ่บาปที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้)”

            “อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร” ก็คือเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิของเรา ในการที่พระเยซูคริสต์ไถ่บาปให้กับเรา  ก็คือคริสเตียนนั่นเอง  คริสตจักร ก็คือคริสเตียน คริสตจักร ก็คือผู้เชื่อ คริสตจักร ก็คือผู้ที่ได้เลือก ที่จะเชื่อในพระเยซู และได้ถูกย้ายมาบัพติศมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์นั่นเอง  และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัด ไม่ใช่สิ่งเดียว สิ่งสารพัด หมายถึงทุกสิ่ง  แล้วพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัด ทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ เห็นไหมครับ คือการมีสิทธิอำนาจสูงสุดเลย พระเจ้าได้ให้เราเยอะแยะเลย  ทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ ให้ทั้งหมดเหล่านี้ อยู่ใต้เท้าของพระคริสต์ และอยู่ใต้เท้าของเราด้วย

            “พระเจ้าแต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร” ก็คือเป็นหัวหน้าพวกเราทั้งหลาย  ผู้เชื่อศรัทธานี้  พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ด้วย  พระเยซูได้อะไร? เราได้ด้วย  พระเยซูยิ่งใหญ่ขนาดไหน? เรายิ่งใหญ่ด้วย เราเป็นผู้ร่วมขบวนการกับพระเยซูนั่นเอง พระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทุกสิ่งแล้ว ในพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ได้สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว

            ดูใน 2 เปโตร 1:3-4 ว่าเปโตรก็พูดอย่างนี้เหมือนกันว่าฤทธิ์อำนาจนี้ได้ให้อะไรกับเราบ้าง เยอะแยะมากมาย …

        2 เปโตร 1:3-4 “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เราที่จำเป็นแล้ว ในการมีชีวิตที่ชอบธรรมและดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์)  ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริ และความดีงามของพระองค์เองให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริและความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทราม (ความพินาศในวิญญาณ) ในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาปในวิญญาณ)”

            “ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้ว” เรา ก็คือคริสเตียน ผู้เชื่อ ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้จัดเตรียมทุกสิ่งในโลกวิญญาณ ให้กับเราเรียบร้อย สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต ที่ชอบธรรม ดีงาม เหมือนพระเจ้า เห็นไหมครับ? ก็คือฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ที่เป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูแล้ว โดยได้รับแล้ว ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ คือในพระคริสต์

            ผ่านการรับรู้ เราเริ่มรับรู้เมื่อไร? เราเริ่มรับรู้ตั้งแต่ก่อนเชื่ออีก เราเริ่มรับรู้ เมื่อเขาประกาศข่าวดีให้กับเรา เริ่มรับรู้แล้ว เรารับ เราเอา แต่บางคนรับรู้ แล้วไม่เอาก็มี หมายถึงเริ่มต้นรับรู้ พอเราเริ่มต้นรับรู้แล้ว เราเอา เราตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ได้รับข่าวดี อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที และจากนั้น เราก็เริ่มเรียน รับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ในการเป็นผู้ชอบธรรม ดีงาม เหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ในพระคริสต์

            “ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริ และความดีงามของพระองค์ ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติ พระสิริ และความดีงามของพระองค์ในพระคริสต์ ให้เราเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระสิริ ความยิ่งใหญ่ ความดีงามของพระคริสต์ ของตรีเอกานุภาพ เราเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน

            พระองค์เรียกเรา เลือกเราเข้าไปอยู่ในนั้น  … และเราก็ตอบรับพระองค์ว่า “เอาครับ”

            พระองค์เชิญเราเข้าไปนั่งกินบนโต๊ะของพระองค์ … เราบอก “เอาครับ”

            พระองค์เชิญเราเข้าพระราชวังของพระองค์ในสวรรค์ … เราบอก “โอเคเลย เราก็เข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว เอเมน”

            ในข้อ 4 บอกว่า “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญา อันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา  เพื่อว่าโดยทางสัญญานี้  พวกท่านจึงมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า”  เห็นหรือยัง?

            พระเจ้าเป็นอย่างไร? ตรีเอกานุภาพเป็นอย่างไร?  ฉันก็ได้เป็นอย่างนั้นด้วย เอเมนไหม? “พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า” คือได้บังเกิดใหม่  เกิดใหม่มาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์ เกิดใหม่เป็นหน่อเชื้อ เขาเรียกว่าเลือดเนื้อเชื้อไขจากพระเจ้า มีลักษณะเหมือนพระเจ้า พ้นจากอาณาจักรมืดเดิมที่ท่านอยู่ เรียกว่าพ้นจากความพินาศ ความเสื่อมทรามในโลก เห็นไหมครับ? ในโลกที่เรากำลังดำเนินอยู่ ซึ่งเกิดจากท่านเป็นคนบาป  พ้นจากบาปแล้ว  ไม่ได้อยู่ในบาปอยู่แล้ว แต่อยู่ในพระคริสต์แทน ไม่ได้อยู่ในบาปอยู่แล้ว  แต่มาอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้าแทน  ไม่ได้อยู่ในอาดัม แต่มาอยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้อยู่ในอาณาจักรของความมืด  แต่มาอยู่ในอาณาจักรของความสว่างเรียบร้อยแล้ว เอเมน …

        เอเฟซัส 1:23 “ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ ให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้ทำให้”

            เราทั้งหลายผู้เชื่อได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์อยู่ในพระบิดา พระบิดาอยู่ในพระเยซูคริสต์ รวมกันเป็นเราอยู่ในพระเจ้าตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเป็นไข่แดงอยู่ในนั้นเลย   เราเป็นไข่อยู่ในหิน  ปกป้องคุ้มครองดูแลเรา วิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่ไว้ด้วยความรัก  ดั่งแก้วตาดวงใจ จำที่พระเยซูอธิบายให้ฟังได้ไหม?  เรา ก็คือผู้ที่เชื่อในพระองค์ เราก็เป็นกิ่งก้าน เถาองุ่น ลำต้นขององุ่น ก็คือลำต้นของพระเยซูคริสต์ เราเป็นกิ่งก้านที่ไปต่อติดกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นกิ่งก้านองุ่น ต้นก็คือพระเยซู เราเป็นศิลาก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ที่เข้าไปต่อติดอยู่กับพระเยซูคริสต์

            เคยเห็นศิลปะของตะวันออกกลาง ที่เขาทำรูปใหญ่ๆ จากกระดูกของอูฐ อูฐเยอะ เขาเอากระดูกอูฐแตกๆ เล็กๆ เอง เอามาปะๆ เป็นภาพ เหมือนภาพจิ๊กซอ ภาพใหญ่ๆ เป็นรูปอะไรต่างๆ ก็ว่าไป  เราก็เหมือนกับกระดูกเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ในภาพที่เรียกว่าคริสตจักรของพระเจ้า ในภาพที่เรียกว่าพระเยซูคริสต์ ในภาพที่เรียกว่าพระเจ้าตรีเอกานุภาพ หรือเปรียบเทียบกับทางครอบครัวของพระเจ้า  เราก็เปรียบเหมือนเป็นพี่น้อง ไม่ได้เปรียบหรอก เป็นจริงๆ  พระเยซูบอก  ในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น เราเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ทางวิญญาณกับพระเยซู ในครอบครัวของพระเจ้า  เราเป็นสายเลือดเดียวกันกับพระเยซู ในทางวิญญาณ ในครอบครัวของพระเจ้า ชื่อเราจดอยู่ในทะเบียนครอบครัวของพระเจ้า มีพระเยซูเป็นหัวหน้าครอบครัว  เราทั้งหลายก็เป็นน้องๆๆๆๆ และเราอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ตรีเอกานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด ร่วมครอบครองกับพระองค์ในสวรรค์ ตั้งแต่บัดนี้ บนโลกใบนี้ จนถึงโลกหน้านิรันดร์ ได้รับร่างกายใหม่ ครอบครองร่วมกับพระองค์ ไปถึงนิรันดร์กาล พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน ท่านเชื่ออย่างนี้หรือไม่?

            พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์เท่าไร? เราก็บริสุทธิ์เท่านั้น?

            พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์เท่าไร? เราก็บริสุทธิ์เท่านั้น

            พระเยซูคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรมเท่าไร? เราก็เป็นผู้ชอบธรรมเท่านั้น

            พระเยซูคริสต์ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เลย? เราก็ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เหมือนพระองค์เลย

            2 เปโตร 1:4 … “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว”

            ก็คือโดยพระเยซูคริสต์ ท่านจึงได้พระสิริของพระเจ้าที่หายไป  ที่เสียไป  เนเจอร์ หรือธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าที่หลุดหายไป  ตั้งแต่ที่อาดัมทำบาป ผลของความบาปนั้น คือความตายทางฝ่ายวิญญาณตรงนี้  บัดนี้ พระเยซูมาแก้ไขให้ใหม่แล้ว โดยเชื่อในข่าวดีของพระเยซู  วิญญาณเราได้รับการรักษาให้หาย กลับคืนมาใหม่ กลับคืนสู่เนเจอร์ ธรรมชาติของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า และกลับคืนสู่พระสิริ ความสง่างาม ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามาอยู่ เป็นธรรมชาติ เป็นตัวตนแท้ๆ  ของวิญญาณของเรา เดี๋ยวนี้ทันที

            เมื่อเราเปิดใจยอมรับ พระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด จากโทษของหนี้บาปเวรกรรม  คือยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณ ย้ายวิญญาณเราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์บนไม้กางเขน เพื่อที่จะตาย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นชีวิตนิรันดร์ ที่กำเนิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระคริสต์เลย

            พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์เท่าไร? เราก็บริสุทธิ์เท่านั้น

            พระเยซูคริสต์ เป็นผู้ชอบธรรมเท่าไร? เราก็เป็นผู้ชอบธรรมเท่านั้น

            พระเยซูคริสต์ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆ เลย? เราก็ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไร้มลทินใดๆเหมือนพระองค์เลย เราเป็นชีวิตนิรันดร์  วิญญาณที่เกิดใหม่ของเรา เต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์เลย

            1 ยอห์น 4:17 … “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา  (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​  ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่​เหมือน​กับ​วิญญาณ และจิตใจของ​พระคริสต์”

            คริสเตียนท่านเชื่ออย่างนี้หรือไม่ครับ?  พระเจ้าอวยพรครับ