วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1422

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  มิถุนายน  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 3

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราอยู่ในซีรี่ย์ที่มีหัวข้อเรื่องว่า “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15” “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?”  ตอนที่ 3 เหมือนเคย

            หลังจากที่ผ่านไปแล้ว 2 ตอน เราก็ได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วว่าในบริบทของคำอธิษฐานตรงนี้ ท่านฟังมา 2 ตอนแล้ว ท่านสามารถที่จะตอบได้แล้วว่าคำอธิษฐานตรงนี้ พระเยซูไม่ได้มาสอนให้เราทำตาม  เพราะมนุษย์ไม่มีใครสามารถทำได้ครบหรอก

            “พระเยซูไม่ได้มาสอนให้เราทำตาม”

            เพราะว่าจิตใจของมนุษย์ไม่สามารถให้อภัยด้วยความบริสุทธิ์ จากใจจริง เพราะในวิญญาณนั้นเป็นคนบาป ข้างในธรรมชาติ  เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เป็นธรรมชาติอยู่ภายในวิญญาณในใจ พระเยซูยกตัวอย่าง ก็คือหลุมศพ ฉาบด้วยปูนขาว คือการกระทำดีภายนอก พระองค์ต้องการชี้ให้เห็นความจริง ให้เห็นถึงความบาปที่อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งพระองค์กำลังพูดกับชาวยิวที่กำลังฟังอยู่ บอกกับชาวยิวที่หลงตัวเองว่าเป็นคนพิเศษจากพระเจ้า  โดยการรักษาบทบัญญัติ  เพราะว่าที่พระเจ้าได้ให้อภัยกับท่าน ไม่ใช่เพราะท่านรักษาบทบัญญัติได้ครบหรอก แต่เป็นเพราะพระเมตตาของพระเจ้าที่ให้ท่านสามารถที่จะกลบเกลื่อนบาปโทษของความบาปของท่านได้แบบชั่วคราว แบบปีต่อปี ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็ยังคงสถานะธรรมชาติในวิญญาณเป็นคนบาป ที่ได้รับการอภัยโทษชั่วคราว ปีต่อปีจากพระเจ้า โดยผ่านทางการถวายโลหิตของสัตว์ เรียกว่าสัตวบูชา ตามพันธสัญญาเดิม  ที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับบรรพบุรุษของเขา

            บรรพบุรุษของอิสราเอล คือชาวยิวที่เป็นต้นพันธสัญญา  คืออับราฮัม พระเจ้าบอกว่าที่อับราฮัมทำตามบทบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้ทำให้อับราฮัมและลูกหลานของอับราฮัม คือชาวยิวนั้น เป็นผู้ชอบธรรมนะ แต่พระองค์ทรงตรัสบอกว่าความชอบธรรมของอับราฮัม พระองค์ทรงนับจากที่เขาเชื่อต่างหาก ไม่ใช่เขาประพฤติ อับราฮัมนับเป็นความชอบธรรมจากความเชื่อ ไม่ใช่ความประพฤติ เขาเป็นต้นกำเนิดของชาวยิว ที่ทำตามบทบัญญัติเหล่านั้น  แต่บทบัญญัติเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม แต่พระเจ้าเมตตาให้อภัยเขาชั่วคราว  และนับเขาเป็นผู้ชอบธรรม เพราะความเชื่อเหมือนอับราฮัม

            ด้วยความเชื่อศรัทธาว่าในโลกที่มองไม่เห็น  มีพระเจ้าจริงๆ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายที่มองเห็นทั้งหมดนี้ และมองไม่เห็นด้วย สรรพสิ่งทั้งหลายที่มองเห็นทั้งหมดและมองไม่เห็นนั้น ถูกสร้างขึ้น โดยผู้หนึ่งที่เรียกว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด และใครเชื่อแบบนี้ พระเจ้านับเขาว่าเป็นผู้ชอบธรรม นี่ท่านจะได้รู้แบล็คกราว์นของคำว่า “เป็นผู้ชอบธรรม” ในช่วงนั้น  แต่วิญญาณเขาก็ยังเป็นวิญญาณบาปอยู่ เพียงแต่พระเจ้านับเขาเป็นผู้ชอบธรรม เพราะด้วยความเชื่อ

            ซึ่งพระเมตตาตามพันธสัญญาเดิม ที่ให้ไว้กับอับราฮัมนี้ พระเยซูกำลังบอกว่ามันกำลังจะถูกยกเลิก มันกำลังจะสิ้นสุดลง  มันกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเร็วๆ นี้ ในอีกไม่นานนี้ เปลี่ยนจากการกลบเกลื่อนชั่วคราว จากการลงโทษเนื่องจากบาปปีต่อปี มาเป็นการลบ ไม่ใช่กลบเกลื่อนแล้วนะ ลบเอาโทษของความผิดบาป ออกไปเลยแบบถาวรนิรันดร์  ซึ่งต้องผ่านทางการบังเกิดใหม่  พระเยซูกำลังมาพูดให้เขาฟังอย่างนี้  กำลังอธิบายให้เขาฟังว่าสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง คือท่านต้องบังเกิดใหม่แล้ว เหลืออยู่ทางเดียว คือเกิดใหม่ในวิญญาณของท่าน พระเจ้าจะให้วิญญาณใหม่ ให้ใจใหม่กับท่านที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ เหมือนตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย พระองค์กำลังจะอธิบายให้เขาฟังว่าสิ่งนี้มันกำลังจะเกิดขึ้น พระเยซูกำลังประกาศว่าเพราะฉะนั้น ท่านอย่าพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง ก็คือทำตามบทบัญญัติ ที่ท่านทำมาตั้งแต่อดีต และทำจนกระทั่งแทนที่จะรู้ว่าตัวเองนั้นได้รับการอภัย เพราะความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า ไม่ใช่เพราะการกระทำ พอทำมานานๆ แทนที่ท่านจะนมัสการขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมีพระเมตตา อภัยให้กับท่าน เพราะว่าท่านนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม เพราะความเชื่อว่ามีพระเจ้า นมัสการพระเจ้า กลายเป็นท่านกำลังนมัสการตัวเอง พึ่งพาตัวเอง  และภูมิใจในตัวเองว่า …

            “ฉันทำดี พระเจ้าจึงให้ฉันเป็นผู้ชอบธรรม”

            ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่าเปลี่ยนจากบุคคล มาเป็นบูชากฎ เปลี่ยนจากบูชานมัสการพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า มาเป็นขอบคุณกฎ กฎ คือฉันทำได้ พึ่งพาตนเอง พอฉันทำได้ ก็เย่อหยิ่ง แล้วก็บูชากฎ นี่แหละคือรูปเคารพที่อยู่ในใจพวกเขา

            พระเยซูกำลังจะมาบอกว่าให้เขาหันกลับ กลับใจจากรูปเคารพเหล่านี้ จากการพึ่งพาตนเองเหล่านี้ ไม่พึ่งพาตนเอง แล้วก็กลับมาหาพระเจ้าว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ กลับมาวางใจ พึ่งในพระองค์ ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ส่งมา  เป็นทางใหม่ ทางเดียวนี้เท่านั้น  ที่ท่านจะสามารถได้รับการอภัยโทษรอดพ้นจากความบาป และรอดพ้นจากการถูกลงโทษ เนื่องจากบาป หลังความตายได้ ถ้าท่านยังบูชาตัวเองและนมัสการการกระทำดีของตัวเอง ท่านไปไม่รอดแน่

            เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระเยซูอธิบายในบริบทนี้  ที่บอกว่าไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเอง  แต่ให้พึ่งพาพระองค์เท่านั้น พระเยซูกำลังเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น ว่ากันตามจริงแล้ว พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม จนมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ ตั้งแต่หน้าแรก จนถึงหน้าสุดท้าย เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น

            จะตีความหมายอะไร? ต้องคิดถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ฉะนั้น พระเยซูกำลังเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเกี่ยวกับการเข้าแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า เข้าอาณาจักรของพระเจ้า  ไม่ได้หมายถึงการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถ้าท่านเข้าใจตรงนี้ ท่านจะตีความหมาย และรู้ความหมายของสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้นั้น ได้ชัดเจนถูกต้องมากขึ้น เช่น พระเยซูบอกว่า …

            “จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน”

            พระองค์กำลังเล็งถึงอะไร? โลกฝ่ายวิญญาณ คำว่า “แสวงหาความชอบธรรม” ตรงนี้ ก็หมายถึงแสวงหาการบังเกิดใหม่ ความชอบธรรมตรงนี้ไม่ได้แปลว่าแสวงหาการกระทำ แสวงหาความดีงาม ความชอบธรรมตรงนี้ หมายถึงการบังเกิดใหม่ ความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า ความชอบธรรมที่เป็นของพระเจ้า  ที่พระเจ้าประทานให้ ผ่านทางพระองค์ ก็คือการบังเกิดใหม่นั่นเอง

            เพราะการบังเกิดใหม่นี่ ทำให้เรามีเชื้อสายเป็นลูกของพระเจ้า เป็นวิญญาณของพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่ ตรงนี้เรียกว่าวิญญาณของคนชอบธรรม ท่านพอมองเห็นไหมครับ? สิ่งเหล่านี้ มันต้องมาจากความรู้พื้นฐานว่าพระเยซูกำลังเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณ  ไม่ใช่ความประพฤติ การปฏิบัติ ท่านจะเขวไปอีกทางหนึ่งเลย  ซึ่งพระองค์กำลังจะมาบอกว่าอย่าไปพึ่งพาการไปปฏิบัติ อย่าไปเพ่งมองดูแต่การปฏิบัติ แต่จงมาเพ่งมองดูที่ความเชื่อว่าพระองค์เป็นใคร? และมาทำอะไร? เห็นไหม? โลกวิญญาณทั้งสิ้น อย่างที่พระองค์ทรงตรัสอีกว่าถ้าทำต้นไม้ให้ดีก่อน ผลก็ออกมาดี แต่ถ้าทำต้นไม้เลว ผลออกมาก็เลว ผลจะเลวหรือจะดี เกิดจากชนิดของต้นไม้

            ต้นไม้ คืออะไร? ถามแล้วตอนนี้ ผมบอกใบ้ให้ท่าน ท่านเริ่มจะรู้แล้วตอนนี้  พระองค์พูดถึงเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  ต้นไม้ ก็คือวิญญาณ ถ้าวิญญาณข้างในดี ผลออกมา ก็ดี ถ้าวิญญาณข้างในไม่ดี ผลออกมา ก็ไม่ดี ผล คือความรอด ในวิญญาณของท่าน ไม่ดีแน่ ท่านจะเริ่มเข้าใจ สิ่งที่พระเยซูพูดมากขึ้น เข้าใจหลักการพื้นฐานตรงนี้  ช่วยท่านเยอะ มันเป็นกฎของวิญญาณ กฎก็คือกฎ กฎแปลว่าอะไร? กฎแปลว่าพระเจ้าวางไว้ แล้วพระองค์ทรงดูแลให้เป็นไปตามกฎ ใครประพฤติตามกฎ เขาก็ได้ตามกฎ ใครไม่ประพฤติตามกฎ เขาก็ไม่ได้ตามกฎ

            กฎในสวรรค์ ก็คือใครจะอยู่ในสวรรค์ได้ ต้องดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย 100% เพราะฉะนั้น ใครที่ผิดพลาด  จากกฎฝ่ายวิญญาณนี้ แม้แต่นิดเดียว คือมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่บริสุทธิ์นิดเดียว ก็ต้องได้รับโทษตามกฎนี้เหมือนกัน คือเข้าสวรรค์ไม่ได้ ไม่ว่าจะไม่บริสุทธิ์ แค่ 1%  หรือไม่บริสุทธิ์ 50% ไม่มีใครดีกว่าใคร? ก็คือไม่บริสุทธิ์เท่ากัน ถูกไหม? จะบาป ฆ่าคนตาย หรือฆ่าช้างตาย มีค่าเท่ากัน ถ้ายกตัวอย่างนี้ยิ่งชัดเลย ท่านจะฆ่าวัวตาย  หรือตบยุ่งตาย มีค่าเท่ากัน นี่เอามาเทียบในสายตามนุษย์นะ  ท่านจะฆ่าคนตาย หรือบอกว่าไอ้บ้า มีค่าเท่ากัน คือวิญญาณท่านต้องสะอาดบริสุทธิ์ 100% ถึงจะเข้าสวรรค์ได้

            นี่คือกฎบัญญัติในโลกวิญญาณ ที่บันทึกไว้  และมีบันทึกไว้ว่าคนที่จะเข้าสวรรค์ได้ จะต้องได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น ที่จะทำให้คนนั้นบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้ เขาต้องเป็นลูกพระเจ้า  เป็นวิญญาณนิรันดร์ที่เกิดจากพระเจ้า มีความคิดจิตใจที่บริสุทธิ์ ต้องดีพร้อมเหมือนพระเยซู ซึ่งมีใครทำได้บ้าง พึ่งพาตนเอง ทำไม่ได้ ไม่มีทางเลย นอกจากเชื่อในพระเยซู ก็คือเชื่อในพระเมสิยาห์ ก็คือเชื่อในผู้พูด ก็คือพระเยซูที่มาชี้ให้เขาเห็น  ก็คือถ้าเชื่อในพระเยซู เขาก็จะตายกับพระเยซู ถูกฝังไว้กับพระเยซู และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซู ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้  กระบวนการเหล่านี้ คือการบังเกิดใหม่เหล่านี้ทั้งหมด ด้วยพระองค์เอง ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เขาทั้งหลายต้องพึ่งในพระเจ้าเท่านั้น นี่คือในบริบทนี้ พระองค์กำลังชี้ให้ชาวยิวได้เห็น ได้เข้าใจในโลกฝ่ายวิญญาณ

            การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็มีกฎหมาย ที่เราต้องปฏิบัติตาม กฎของโลกวัตถุ ก็เป็นกฎ แต่มันแตกต่างจากโลกฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งไม่ใช่บอกว่าฉันเชื่อพระเจ้าแล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องอยู่ในกฎของโลกวัตถุนี้อีกต่อไป  กฎบัญญัติทางโลกวิญญาณกับกฎบัญญัติแบบโลกนี้ มันคนละเรื่องกันเลย แต่พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นถึงกฎทางโลกวิญญาณเท่านั้น

            ทางโลกวิญญาณ ใครที่เชื่อพระเยซู วางใจในพระเยซู ก็ได้รับการอภัยจากความผิดบาปหมดทั้งสิ้นแล้ว ไม่มีการกล่าวโทษอีกแล้ว ถ้าเชื่อพระเยซู ความรอด จากโทษของความบาป ความผิด  ที่เราได้รับนั้น เป็นความรอดนิรันดร์ วางใจในพระเยซู ได้ความรอดนิรันดร์ รอดตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนถึงหลังความตาย  จนถึงนิรันดร์ เอเมนไหม? พูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ เราไปสวรรค์แน่นอน เราอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ด้วย  แต่ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้  เรายังอยู่ภายใต้กฎระเบียบ เขาเรียกว่ากฎของวัตถุ ตามธรรมชาติของโลก และตามกฎหมายบ้านเมือง ใครที่ทำผิดกฎเหล่านี้ ต่อให้เป็นผู้เชื่อที่อยู่ในกฎของโลกวิญญาณแล้วก็ตาม ก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ตามกฎธรรมชาติของโลกใบนี้ด้วย  ไม่มีใครพิเศษกว่ากันเลย  เท่ากันหมด  ไม่ว่าจะเป็นคนเชื่อพระเจ้า  หรือไม่เชื่อ  หรือแม้กระทั่งไม่เชื่อพระเจ้า ทำดีมากหรือทำดีน้อยบนโลกใบนี้ ฟังให้ดีนะ แล้วอะไรดีล่ะ  นั่งเรือไป เรือแตก ไม่มีชูชีพ  อยู่กลางทะเล  ถ้าไม่มีใครมาช่วย ไม่ช้าไม่นาน  ก็ต้องจมน้ำตาย  ถูกไหม?  หรือว่าคนทำดีนั้น ได้นานกว่า หรือว่าคนที่จม จมเหมือนกันนะ ถูกไหม?  หรือว่าถูกฟ้าผ่าตาย  ฟ้าผ่าเฉพาะคนที่สาบานไว้ว่า …

            “นี่คือความจริง ถ้าไม่เชื่อ ฉันขอให้ฟ้าผ่าตาย”

            เดินออกไปเลย ฟ้าผ่า นี่สงสัยสาบานไว้  ไม่ว่าจะคนดีหรือไม่ดี ถ้าทำผิดกฎของวัตถุของโลกใบนี้ เอามือถือเดินออกไปกลางฝนฟ้ากำลังคะนอง เป็นสื่อล่อ แล้วก็ถูกฟ้าผ่าตาย  แล้วเราก็ไปตรวจดูกันใหญ่เลยว่าเขาทำดีหรือไม่ดี? เขาทำบุญไว้เยอะหรือไม่เยอะ? หนักกว่านั้น คือเขาเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้า? เขาเชื่อทำไมเขาเป็นอย่างนี้? เขาอธิษฐานเยอะแยะ ทำไมเขาถูกฟ้าผ่าตาย? คุ้นๆ ไหม?

            หรือตกต้นไม้ตายยิ่งชัดใหญ่เลย คริสเตียนที่ไม่ระวัง ไม่เคารพต่อกฎของโลกวัตถุนี้ ก็คือกฎของแรงดึงดูดของโลก ปีนต้นไม้ขึ้นไป โดยไม่มีเชฟตี้ ไม่มีอะไรเลย เชื่อพระเจ้าอย่างเดียว  แล้วตกมาตายไหม?  มีโอกาสตกไหม? ตกแน่นอน กับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเลย ปีนต้นไม้ขึ้นไป แต่เคารพในกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก รู้ว่าสิ่งเหล่านี้อันตราย  มีคนเตือนไว้ เคารพต่อสิ่งเหล่านี้ ก็เลยเซฟตี้ไว้ เอาเข็มขัดนิรภัย รัดไว้ด้วย ตกลงมา ตายไหม?  ไม่ตาย เพราะเข็มขัดช่วยไว้  หรือพระเจ้าช่วย? ใครช่วยไว้ เข็มขัด เพราะเขาทำถูกกฎไง?  นี่ชัดเจนเลย

            หรืออย่างคนที่อยู่ในประเทศไหนก็ได้  ที่มีกฎบัญญัติว่าอย่างไร? ก็ทำตามกฎบัญญัติเหล่านั้น เขาก็ไม่ต้องรับโทษใช่ไหม? แต่ถ้าอยู่ในประเทศนี้ หรือประเทศไหนก็ได้ เขามีกฎอย่างนี้อยู่ แล้วเราไม่เคารพกฎเขา เราไปทำละเมิดกฎเขา โดนหรือไม่โดน? โดน แล้วเราไปอ้างว่าเราเป็นคริสเตียนนะ ได้หรือเปล่า? มันคนละกฎกัน เขายังไปสวรรค์อยู่ แต่เขามีความทุกข์มากขึ้นบนโลกใบนี้ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เพราะมันมีตัวอย่างเยอะแยะ ถือโอกาสมาทำความเข้าใจกับท่าน ให้ท่านได้เห็น บางทีท่านอาจจะวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เชื่อ กับคริสเตียนในปัจจุบัน มันสับสน ระหว่างโลกวิญญาณกับโลกวัตถุ สับสนระหว่างกฎของวิญญาณกับกฎของวัตถุ มาตีสลับกัน จนกระทั่ง ยุ่งมาก ท่านเลยไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร? ทำไมคริสเตียนเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นกับเขา ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงโควิด 19 ที่หนักๆ ที่ผ่านมา ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรง ทำให้เราได้เห็นอะไรบางอย่าง ที่มีผู้ที่แยกไม่ออกระหว่างโลกวิญญาณกับโลกวัตถุชัดเจนเลยนะ เวลาเกิดวิกฤตอะไร จะเห็นชัดเจนว่าโลกวิญญาณ โลกวัตถุมันสลับวุ่นวายกันหมด เช่น กฎหมายออกมาบอกว่าให้รักษาระยะห่าง ให้ social distancing ให้สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ช่วงที่โควิดกำลังระบาดหนักๆ ตายกันเป็นเบือ ให้ละเว้นการไปในที่ชุมชน  มีคนจำนวนมากๆ  เราเคยได้ยินใช่ไหม? ซึ่งจากข่าวที่ออกมา เราก็ได้เห็นผู้เชื่อ หรือคริสเตียนหลายแห่ง ที่ไม่ยอมทำตามกฎนี้  โดยใช้เรื่องพระเจ้า ใช้เรื่องโลกวิญญาณเข้ามาเป็นข้ออ้างว่า …

            “นี่ฉันเชื่อพระเจ้า พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองฉันได้”

            คริสตจักรบางแห่ง ก็ถูกตัดสินลงโทษ ตามกฎหมาย นี่ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณนะ  คริสตจักรบางแห่งถูกตัดสินว่าการประกาศให้สมาชิกในคริสตจักร  ไม่ทำตามกฎหมายบ้านเมือง  ที่เขาออกมา มันเดือดร้อนคนอื่นเขาด้วย ถูกลงโทษนะ ยกตัวอย่างอย่างนี้เป็นต้น

            เราเคยได้ยินใช่ไหม? ที่ออกข่าวมา คริสเตียนหลายคน ในหลายคริสตจักรต้องเสียชีวิต เพราะความเชื่อแบบผิดๆ  ผิดอย่างไร? ก็คือบอกว่า …

            “พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครองดูแลฉันได้ ในนามพระเยซู พระเจ้าทรงรักษาฉันให้หายได้ ในนามพระเยซูฉันสั่งอะไรออกไป ฉันมีฤทธิ์เดชอำนาจในนามพระเยซู ฉันสั่งไวรัสโควิดอย่ามาแตะต้องฉันเด็ดขาด”

            เราเรียนรู้ตรงนี้มาเยอะแล้ว เราก็พอจะเข้าใจ เราอาจจะคิดว่ามันเป็นไปได้เหรอ? แล้วมันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปแล้วจริงๆ ซึ่งผมเองก็พบกับตัวอย่างนี้เหมือนกัน ในช่วงที่ระบาดหนักๆ  ก็พบกับคริสเตียนกลุ่มหนึ่งที่รู้จักกัน ก็ได้พูดคุยกัน พอคุยกันไปได้สักพัก ผมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ แล้วเขาไม่ใส่

            ผมก็เลยถามว่า … “ทำไมไม่ใส่หน้ากากอนามัย”

            เขาบอก … “ไม่ใส่หรอก เชื่อในพระเจ้า เรามีฤทธิ์อำนาจใหญ่กว่าเชื้อโรคโควิด โควิดทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”

            ผมก็เลยเงียบๆ ผมไม่ได้ตามเขา ผมก็ใส่ของผมไป ผมก็พูดไป ท่านลองคิดดูสิ ซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้น เขาอาจจะไม่ติดก็ได้ แต่สิ่งที่เขาทำ อาจจะทำให้คนที่ไม่ติด ไม่ควรจะติด กลับกลายเป็นติดก็ได้ อาจจะ นี่ผมกำลังพูดถึงว่าอาจจะ เขาอาจจะนำเชื้อไป โดยที่ตัวเองไม่มีอาการ อาจจะนำเชื้อไปให้คนทางบ้านก็ได้  เราไม่รู้ ช่วงที่โควิดกำลังรุนแรง แล้วทางรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญทั้งโลก เตือนแนะนำให้ทำอะไรบ้าง? ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง

            เพราะฉะนั้น เราควรจะรู้ว่ากฎของวิญญาณ เขาเป็นอย่างหนึ่ง กฎของโลกวัตถุนี้เป็นอย่างหนึ่ง  อย่างในพระคัมภีร์ในหนังสือ 1 เปโตร สอนเราว่าอย่าทนทุกข์ทรมาน เพราะทำชั่ว หรือจากการประพฤติที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมือง แต่ถ้าทนทุกข์เพราะพระคริสต์ ถูกข่มเหงเพราะพระคริสต์ ก็ไม่เป็นไร ก็ยินดี มันจำเป็น มันเกิดขึ้น อย่างนี้ เห็นชัดเลยนะ ยกตัวอย่างให้ท่านดูใน 1 เปโตร 4:15-16 ท่านจะเห็นชัดเจนระหว่าง 2 กฎนี้ …

        1 เปโตร 4:15-16 “15 ถ้าท่านทนทุกข์  ก็อย่าให้ทนทุกข์  ในฐานะที่เป็นฆาตกร  ขโมย  หรืออาชญากรประเภทต่างๆ  หรือแม้แต่เป็นคนชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น 16 แต่ถ้าท่านทนทุกข์ในฐานะที่เป็นคริสเตียน ก็อย่าละอาย แต่จงสรรเสริญพระเจ้าที่ท่านได้รับการเรียกขานตาม”

            เห็นไหมมันแยกกัน 2 กฎชัดเจนเลย นี่กำลังพูดถึงคริสเตียนผู้เชื่อแล้ว  อยู่ในกฎโลกวิญญาณ แต่ขณะเดียวกัน อยู่ในโลกวัตถุ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎของโลกใบนี้ด้วย

            ในนี้บอกว่า “ถ้าท่านทนทุกข์ ก็อย่าให้ทนทุกข์ ในฐานะเป็นฆาตกร” คริสเตียนเป็นฆาตกรได้ด้วย  “หรือเป็นขโมย หรืออาญชากรประเภทต่างๆ” คริสเตียนประพฤติอย่างนี้ได้หรือ? ตอบสิ ได้หรือไม่ได้? ได้ ก็นี่เขียนไว้  ถูกหลอกจากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ก็สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ และทำให้มันเกิดทุกข์ แม้แต่เป็นคนชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น เห็นไหม? คริสเตียนยังปฏิบัติอย่างนี้เลยนะ ปฏิบัติแล้วเกิดอะไรขึ้น? ในโลกวิญญาณเขายังเป็นคริสเตียน  เขาได้รับความรอดนิรันดร์ ไปอยู่ในสวรรค์แน่นอน 100% แต่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความทุกข์ที่ไม่จำเป็น ทุกข์เกินความจำเป็น  อยู่บนโลกใบนี้ ก็มีความทุกข์ตามปกติอยู่แล้ว แต่นี่ไปทำสิ่งต่างๆ ที่ละเมิดกฎของโลกใบนี้ ยกตัวอย่างเช่น การฆ่าคนตาย การขโมย การเป็นอาชญากรประเภทต่างๆ หรือแม้แต่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นเขา อย่างนี้ก็ทำให้มันทุกข์มากขึ้น ท่านพอเห็นหรือยัง? อาจารย์เปโตรบอกว่าถ้าท่านทุกข์มากขึ้น เพราะว่านี่โลกวิญญาณแล้วนะ  ถ้าถูกข่มเหง ข่มเหงแปลว่าอะไร? ข่มเหงเพราะความเชื่อเป็นลูกพระเจ้า วิญญาณของท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณของท่านอยู่กับพระเจ้าแล้ว วิญญาณของท่านเป็นศัตรูกับระบบของโลกใบนี้กับวิญญาณที่อยู่ในโลกใบนี้ ซึ่งเป็นวิญญาณมืดบอด วิญญาณบาปที่อยู่ตรงกันข้ามกัน ท่านอาจจะถูกข่มเหงรังแก ก็คือการเป็นศัตรูกัน จากภายในในโลกวิญญาณ  เห็นไหมมันต่างกันแล้ว  ท่านอาจจะถูกข่มเหงจากผู้คนรอบข้าง  ที่เขายังไม่เชื่อ อาจจะมาจากครอบครัว คนใกล้ชิด คนที่อยู่ในที่ทำงานเดียวกัน  เพื่อนฝูงที่เคยรักกัน  พอรู้ว่าเราเปลี่ยนแปลงมาเชื่อพระเยซู เริ่มรู้สึกทำอะไรแปลกๆ กับเรา อะไรต่างๆ อย่างนี้ เรียกข่มเหง นี่เรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น

            คราวนี้เรากลับมาตามหัวข้อเรื่อง กลับมาที่มัทธิว 6:9-15 ที่เรากำลังทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามบริบทอยู่นี้ ซึ่งมันเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวกับโลกวัตถุ ครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้กันถึงข้อพระคัมภีร์ก่อนหน้า ก็คือบทที่ 5 จำได้ใช่ไหมที่ผมบอกว่าถ้าเราจะวิเคราะห์หรือตีความ ข้อพระคัมภีร์ตรงไหน?  แล้วเราอยากจะรู้ลึกซึ้ง ในบริบทว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? เพื่อจะได้ตีความหมายได้ถูกต้อง  เราต้องย้อนกลับไปดูที่ก่อนข้อความนั้น  ในบริบทเขาพูดถึงอะไร?  และหลังจากข้อความนั้น ในบริบทเขาพูดถึงอะไร? มันจะมีความกระจ่างมากขึ้น

            ตอนนี้เราจะวิเคราะห์เรียนรู้กันในข้อพระคัมภีร์หลังบทที่  6 ครั้งที่แล้วเราวิเคราะห์กันตามข้อพระคัมภีร์ก่อนบทที่ 6 ก็คือบทที่ 5 วันนี้หลังบทที่ 6 ก็คือบทที่ 7 ซึ่งพระเยซูก็ได้เตือนพวกเขา ก็คือชาวยิวเหมือนเดิม ในบริบทเดียวกันกับมัทธิว 6:9-15 นี่แหละ เหมือนกัน ถ้าสรุป 2 ตอน ก็คือสรุปสั้นๆ บริบทนี้คืออะไร?  พระเยซูกำลังเตือนว่าอย่าพึ่งพาในการกระทำของตนเอง  จงกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาในพระองค์ เป็นพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าทรงประทานให้ ง่ายนิดเดียว แค่นี้เอง เกี่ยวกับโลกวิญญาณใช่ไหม? ใช่ ไม่ใช่กำลังมาบอกท่านว่าให้ท่านไปทำงานต่างๆ ให้พึ่งพระเยซู อันนั้นพึ่งทางวิญญาณ ทำงานต่างๆ พึ่งในพระเยซู พึ่งในคำอธิษฐาน ไม่ใช่กฎ แต่กฎคือตรงนี้  พระองค์กำลังพูดถึงกฎทางโลกวิญญาณ ซึ่งแก้ไขไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้

            เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะวิเคราะห์ เราต้องฝังฐานไว้เลยว่าพระองค์กำลังพูดกับชาวยิว ที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ บอกเขา เตือนเขาว่า …

            “อย่าพึ่งพาในการกระทำด้วยตนเอง รักษาบทบัญญัติ แต่จงกลับใจใหม่ หันมาพึ่งเรา เราเป็นพระเมสิยาห์”

            แค่นี้  แล้วท่านจะรู้ว่ามันควรจะตีความหมายอย่างไร? ในมัทธิว บทที่ 7 ผมเลือกข้อนี้มา มันชัดหน่อย มัทธิว 7:21 …

        มัทธิว 7:21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น (คือวางใจในเรา ที่พระเจ้าส่งมา) ที่จะได้เข้า”

            พระเยซูกำลังพูดถึงพวกเขา “พวกเขา” คือชาวยิว ที่ไม่ยอมรับความจริง ทั้งๆ ที่ใจ ก็รู้ว่าสิ่งที่พระองค์พูดนั้นมันจริง  ยังไม่ยอมรับ และพวกชาวยิว หรือเป็นคนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็น คริสเตียนเลย ยังไม่ได้ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น ถึงจะเข้าสวรรค์ได้ คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ก็คือคนที่วางใจในเรา ที่พระเจ้าส่งมา

            คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา ซึ่งพระประสงค์ของพระบิดา ที่เขายังไม่ได้กระทำเลย ตอนที่พูดอยู่นี้ พระประสงค์ของพระบิดานั้น มีอยู่สิ่งเดียว พระองค์ทรงตรัสไว้ อธิบายให้ฟังชัดเจน คือให้พวกเขาวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระเมสิยาห์  เป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระบิดาประทานให้มา ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ตามพันธสัญญาที่ให้ไว้ ตั้งแต่นานมาแล้ว

            นี่คือสิ่งที่พระเยซูอธิบายให้เขาฟัง ในบริบทนี้นะ นี่ไม่ได้ยกข้อความในพระคัมภีร์มา เขาถามพระเยซู โต้ตอบกัน ตอนที่พระเยซูอธิบายให้เขาฟัง ชี้ให้เขาเห็น  เขาถามว่าเราจะต้องทำอะไรบ้าง? ในการที่จะได้เข้าสวรรค์กับพระเจ้า พระเยซูพูดกับเขาบอกว่า …

            “สิ่งเดียวเท่านั้นที่ท่านต้องทำ  เพราะพระเจ้าต้องการให้ท่านทำ ก็คือวางใจในพระบุตร จงวางใจในเรา อย่างเดียวเท่านั้นเอง”

            สิ่งที่ผมกำลังมาชี้ให้ท่านเห็น ข้อสำคัญ คือไม่ได้พูดกับคนที่เป็นคริสเตียน ฟังให้ดีๆ ตะกี้นี้ที่อ่าน ไม่ได้พูดกับคนที่เป็นคริสเตียน  หรือคนที่ได้วางใจในพระมาซิฮาห์แล้วว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ถูกไหม?  พูดง่ายๆ คือไม่ได้พูดกับคนที่เป็นคริสเตียนเลยนะ …

            “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกว่าพระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์”

            พูดกับชาวยิว และเป็นคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เชื่อวางใจในพระมาซีฮาห์  คือพระเยซูคริสต์  พระบุตรของพระเจ้า ที่ได้ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตและเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ซึ่งพระองค์ยังไม่ได้ทำให้สำเร็จเลย  แต่กำลังจะไปทำ ตอนนี้ไปพูดให้เขาฟัง ให้เขาเตรียมพร้อมไว้  เพราะฉะนั้น คำพูดที่พูดเมื่อสักครู่นี้ กำลังพูดกับคนที่ไม่เชื่อ แล้วมันน่าเศร้าไหมล่ะ คนที่เชื่อแล้ว นำไปใช้ มันจะเกิดอะไรขึ้น? ท่านลองคิดตามไปนะ

            เราจะมาอ่านต่อไป มัทธิว 7:22-23 ท่านจะเห็นภาพชัดเจนเลยว่าถ้าเราเอามาใช้ผิด มันจะเกิดอะไรขึ้น? …

        มัทธิว 7:22-23 “22 หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ ขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ’ 23 เมื่อนั้นเราจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่เคยได้รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น’”

            เห็นไหม? พูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ แล้วคนที่เชื่อแล้วไปอ่าน แล้วบอกว่า .. “นี่พูดกับฉัน” … แล้วมันเกิดอะไรขึ้น พระเยซูกำลังไล่ฉันไปให้พ้น  กลับบ้านไป เสียใจใหญ่เลย ชักไม่แน่ใจในความรอดของตนเองแล้ว เรามาวิเคราะห์กัน

            “หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า …”

            ตามบริบทนี้ หลายคน ก็คือคนยิว กำลังพูดกับคนยิว เราจะเอามาใช้กับพวกเราที่ไม่ใช่ยิว ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ บริบทนี้ กำลังพูดกับใคร? “ชาวยิวหลายคนจะพูดกับเราในวันนั้น” ท่านจะได้แปลตรงนี้ได้ถูกต้องเสียก่อน แล้วจะเอาไปใช้ ดัดแปลงมาใช้กับเราทีไม่ใช่ชาวยิวทีหลัง ค่อยว่ากัน เพื่อท่านจะได้รู้ความหมายที่พระเยซูกำลังพูดนั้นหมายถึงอะไร? …

            “หลายคน คือชาวยิวจะพูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’”

            นี่ก็ชี้ให้เห็นถึงชาวยิวอีกแหละ “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” มาจากคำว่า “พระเจ้า พระเจ้า พระเจ้า พระเจ้าจอมเจ้านาย” ก็ชาวยิวเขารู้จักพระเจ้าผู้นี้ แต่เราชาวต่างชาติไม่รู้จัก  ก็กำลังพูดถึงชาวยิวไง พระเจ้าเจ้าข้า พระเจ้าจอมเจ้านาย นี่คือคำเดิม ภาษาเดิม  ที่บันทึกในพระคัมภีร์ คำนี้เป็นคำของคนยิว ที่เขาเรียกพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม … “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” คือเขารู้จักพระเจ้าองค์นี้ดี  แล้วเขาก็บอกพระเจ้าบอกว่า …

            “พวกข้าพระองค์เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ ขับผีในนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ?”

            พวกเขากำลังบอกพระเจ้าว่าอย่างไร? … “พระเจ้าเราได้ทำตามบัญญัติมากมายเลย รักษาบทบัญญัติตั้งเยอะแยะมากกว่าคนอื่น มากกว่าคนบาปตั้งเยอะแยะ เราเป็นฟาริสี เราเป็นธรรมาจารย์ เรารักษาบทบัญญัติอย่างดีงาม เราอดอาหารเยอะกว่าเขาตั้งเยอะ เราถวายสิบลดมากกว่าเยอะ เราเคร่งครัดในบทบัญญัติต่างๆ เราดูดีมากเลย ในสายตาของคนบนโลกใบนี้ เขากำลังพูดอย่างนั้น พูดกับใคร? พูดกับพระเจ้า พูดตอนไหน? เราจะมาค้นคว้าในข้อที่ 23 บอกว่า …

            “เมื่อนั้น เราจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น’”

            เมื่อนั้น ก็คือเมื่อวันพิพากษามาถึง หลังความตาย  เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง  และวิญญาณเขาไม่ได้บังเกิดใหม่  เป็นวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์ เรียกว่าเป็นวิญญาณของคนชั่วคนบาป  ไม่ได้ทำชั่ว แต่ทำชั่วที่อยู่ในใจอยู่ในวิญญาณของเขา เมื่อถึงวันพิพากษาเขาจะมาอ้างตัวว่าเขาทำอันโน้นอันนี้ เขาพึ่งพาตนเอง  พึ่งพาบทบัญญัติ พระเยซูบอกสายไปแล้ว ทำไมเขาเรียกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาพบพระเยซูแล้ว วันพิพากษา วันที่วิญญาณเขาออกจากร่าง เขาพบพระเยซูแล้ว เขารู้ว่า …

            “นี่เป็นจริงนี่นา”

            “อะไรเป็นจริง ก็ฉันบอกแล้วว่าฉันเป็นผู้นั้น เป็นพระเมสิยาห์ พระเจ้าส่งฉันมา ฉันเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยท่าน แล้ววันพิพากษา ฉันจะเป็นผู้พิพากษาเองว่าท่านไปรอดหรือไม่รอด บอกแล้วตั้งแต่วันนั้น ตอนนี้เพิ่งรู้ใช่ไหม?”

            รู้เพราะว่าวิญญาณออกจากร่างแล้ว ตายไป ก็จะเห็นพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ปฏิเสธไม่ได้แล้ว ตกใจ ตกใจแล้วทำอย่างไร? อ้างในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ แล้วพึ่งพาตนเอง พึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง ตอนที่มีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น จึงเกิดสิ่งที่ตะกี้นี้ผมบอก คือกฎก็ต้องเป็นกฎ มันไม่รู้จะทำอย่างไร?  แม้จะกระทำดีมากมายสักเท่าไร?  คนที่ไม่ได้พึ่งพาในพระบุตร พระเยซูคริสต์ ก็คือยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่บังเกิดใหม่ ยังทะนงตนที่จะพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะได้ไปสวรรค์ เมื่อถึงวันนั้น วันพิพากษาหลังความตาย พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น

            “สิ่งเหล่านี้” คืออะไร? คือฟีลิปปี 2:10-11  นี่บันทึกไว้ชัดเจนเลย …

        ฟีลิปปี 2:10-11 “ทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลกและใต้แผ่นดินโลก จะคุกเข่าลง นมัสการพระนามของพระเยซู และทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติสิริ  แด่พระเจ้าพระบิดา”

            ทุกชีวิต เมื่อจากโลกนี้ไป จะเห็นเลย ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ แต่มันสายไปแล้ว ยอมรับว่าอะไร?  เพราะเห็นกับตา เห็นกับตัวตน เห็นตาต่อตา เห็นหน้าต่อหน้าแล้วว่าเป็นพระเยซู เป็นความจริง สายไปแล้ว นี่คือกฎ กฎนี้ใช้กับมนุษย์ทุกคน  ไม่มีพิเศษ  แม้ว่าพระองค์จะทรงรักชาวยิว มากขนาดไหนก็ตาม  แม้ว่าพระองค์จะเตือนแล้วเตือนอีก มากขนาดไหนก็ตาม พระองค์ทรงรักและเป็นห่วงพวกเขา  แต่ถ้าเขาไม่ทำตาม ไม่เชื่อฟัง  เขาก็ได้รับในสิ่งที่มันจำเป็นต้องเกิดขึ้นตามกฎ เมื่อถึงวันพิพากษาหลังความตาย มนุษย์ทุกคน ไม่ใช่ชาวยิวอย่างเดียวคราวนี้ ทุกคนจะต้องคุกเข่าลง และยอมรับ ยอมจำนนว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้าจริง ซึ่งถึงวันนั้น มันก็สายไปแล้ว แม้เขาเหล่านั้นที่ยังไม่เชื่อ จะยังคงอ้างความดีที่พวกเขาทำมาในอดีต  แต่มันก็ไม่เกิดผลใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพระองค์ทรงเตือนแล้วไง

            ในบริบทนี้ คือพวกเขาเหล่านั้น ก็คือชาวยิวที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ เขาเหล่านั้น ยังคงหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะพึ่งพาในความดีที่ตนเองกระทำ ในการรักษาบทบัญญัติของพระเจ้าให้ได้ พึ่งในการรักษากฎบัญญัติ กฎหมายทางศีลธรรม จริยธรรม เพื่อจะได้ผ่านการพิพากษา และเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ ซึ่งพระเยซูก็เตือนแล้วว่ามันเหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ สาวกถามว่าแล้วใครเล่าที่จะรอดได้ พระองค์ตอบว่าอย่างไร? เอาอูฐลอดรูเข็ม ลอดไม่ได้หรอก ไม่มีใครทำได้เลย พวกเราก็ทำไม่ได้ “พวกเรา” คือสาวกพระเยซู พวกเปโตร แล้วใครจะทำได้ล่ะ พระเยซูตอบว่า …

            “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลัง แต่ฝ่ายพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง”

            ก็คือพระเจ้าทำได้ครับ ก็คือมาวางใจในเรา แล้วเจ้าจะเกิดใหม่ พอแล้ว จบ เจ้าเกิดใหม่เองไม่ได้หรอก เอาอูฐลอดรูเข็มง่ายกว่า

            เพราะฉะนั้น เมื่อวันพิพากษา หลังความตายมาถึง แม้คนพวกนี้ ตามบริบทนี้ คือชาวยิวที่เย่อหยิ่งจองหอง ยังพึ่งพาตนเอง ยังทะนงตนในการรักษาบทบัญญัติของตนเอง  ยังไม่ยอมที่จะมาวางใจในพระเยซูคริสต์ แม้คนพวกนี้ คือพวกชาวยิวยังไม่เป็นคริสเตียน ที่ยังไม่เชื่อ

            “แม้คนเหล่านี้ จะคุกเข่าลงกราบ และยอมจำนนว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ”

            แม้คนเหล่านี้ คือพวกชาวยิวที่เย่อหยิ่งจองหองเหล่านี้  ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนเหล่านี้ จะคุกเข่าลงกราบวันแห่งการพิพากษา วันที่วิญญาณเขาออกจากร่าง  เขาได้เห็นพระเยซูด้วยตาเป็นๆ แล้ว เขาตกใจมาก เขารู้แล้ว ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ พระเยซูก็จะพูดกับเขา ซึ่งพระองค์ไม่อยากจะพูดสิ่งนี้เลย แต่มันเป็นกฎ ต้องชี้ให้เห็น เวลาเราจะเตือนใคร ตามกฎ เราต้องชี้ให้เห็นจริงๆ ไม่ใช่ไปว่าเยาะเย้ยหรอก แต่กำลังเตือนเขา ระวังนะ เดี๋ยวก็จมน้ำตายหรอก ระวังนะ เดี๋ยวก็ตกลงมาตายหรอก ระวังตัวด้วย เอาเชฟตี้ไว้หน่อยไหม? เหมือนกัน แต่เขาไม่เชื่อเรา แล้วเกิดเหตุขึ้น  เพราะเราเกลียดเขาเหรอ เปล่า พระเยซูก็พูดกับเขาว่า …

            “เราไม่รู้จักเจ้าเลย ไปให้พ้น”

            ไปให้พ้น ก็คือเจ้าไม่สามารถอยู่กับเราได้  เราเข้ากันไม่ได้ เจ้าไม่บริสุทธิ์ เพียงพอในการอยู่กับเราในสวรรค์ เจ้าไม่เคยมีความสัมพันธ์ สนิทสนมเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราเลย เจ้าไม่เคยบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ก็คือไม่เคยเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด  พระเมสิยาห์เลย  ไม่เคยพึ่งพาในพระองค์ พระเจ้า พระเมสิยาห์เลย  ก็ไม่มีใครช่วยท่านได้เลย  เพราะว่าท่านต้องการที่จะพึ่งตนเอง  มันเป็นไปไม่ได้  ท่านเหมือนคนป่วยที่ทะนงตนว่าไม่ป่วย จะรักษาตนเอง  ในที่สุดก็ตาย แต่ถ้าท่านเป็นคนป่วย และรู้ตัวเองว่าป่วย และช่วยตัวเองไม่ได้  ท่านก็แสวงหาหมอ

            หมอ ก็คือพระเยซูคริสต์ ท่านก็จะมาหาพระเยซู พระเยซูก็จะรักษาท่านให้หาย พระเยซูก็บอกแล้วว่าโรคที่ท่านเป็นอยู่นั้น ท่านพึ่งพาตนเองรักษาไม่หายหรอก เพราะท่านเป็นโรคเรื้อรังทางวิญญาณ เรียกว่าโรคบาป  ถ้าท่านรู้ตัวว่าท่านบาป ท่านไปหาหมอ เราเป็นหมอผู้เดียวที่จะรักษาท่านให้หายจากโรคบาปได้  แต่ถ้าท่านเย่อหยิ่ง ท่านคิดว่าท่านรักษาตนเองได้ กินยา เดี๋ยวก็หายแล้ว ท่านมีอาการดีขึ้นกว่าคนอื่นที่เป็นโรคบาป ท่านเป็นนิดเดียว เดี๋ยวท่านก็รักษาได้  ในที่สุด ท่านก็จะตาย เราเตือนท่านแล้ว

            พระเยซูเตือนแล้วเตือนอีกว่าให้วางใจในพระองค์เถิด การจะเข้าสวรรค์ได้นั้น การบังเกิดใหม่ในวิญญาณนั้น ต้องดำเนินการในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ บนโลกใบนี้และวางใจในเราขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่เท่านั้น เพราะว่าหลังจากความตายแล้ว หลังจากวิญญาณท่านออกจากร่างแล้ว มันสายไป ท่านต้องให้หมอรักษาตอนที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านตายแล้ว ค่อยมาให้หมอรักษาได้ไหม? ไม่ได้ เพราะท่านตายแล้ว  วิธีเดียว ก็คือท่านต้องตัดสินใจ เลิกที่จะพึ่งพาความพยายามของตนเองในการที่จะรักษาบทบัญญัติ เลิกที่จะพึ่งพาความดี ตามกฎบัญญัติที่มนุษย์มองเห็นกันนี้ ท่านทำดีได้ แต่ท่านอย่าพึ่งพาในความดีที่ท่านทำว่าความดีเหล่านี้จะช่วยท่านให้ผ่านพ้นกฎทางวิญญาณ คือหลังความตาย จะไปอยู่ในสวรรค์ มันไม่ได้ มันคนละกฎกัน  เพราะถ้าท่านทำดี ท่านอาจจะได้ผลดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกฎของวิญญาณ

            กฎของวิญญาณ คือกฎวิญญาณที่ให้ชีวิตไม่ตาย อยู่ในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านต้องตัดสินใจให้เร็วที่สุด ในขณะที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ เพราะถ้าท่านขืนรอ จนกระทั่งท่านหมดลมหายใจ  มันสายไปแล้ว นี่พระเยซูกำลังเตือนชาวยิว  ซึ่งเป็นผู้ที่ยังไม่เชื่อ  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับเรา ที่ไม่ใช่ยิวเลย  คนที่ไม่ใช่ยิวมาอ่านดู ก็อาจจะไม่รู้เรื่อง เพราะหลายอย่าง เป็นสิ่งที่ชาวยิวเขานับถือ เขาเชื่อศรัทธา เขาดำเนินชีวิตมาอย่างนั้น เราต้องรู้ตรงนี้ก่อน  เราจะรู้เคล็ดลับแล้วว่าความจริง ก็คือนี่ไม่ได้พูดกับคนที่เป็นคริสเตียน

            และถ้าเราเอามาใช้กับปัจจุบัน คนที่เป็นคริสเตียนแล้วก็ไม่เกี่ยวเรื่องนี้ รอดแล้วก็รอดเลย เห็นหรือยังครับ นี่กำลังพูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อ ที่เป็นชาวยิวก่อน แล้วค่อยเอามาใช้กับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว  และไม่เชื่อด้วย ในคนต่างชาติ ทีหลัง เราซึ่งเป็นคนต่างชาติที่เป็นคริสเตียน เชื่อแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย แม้แต่นิดหนึ่ง ถ้าเราเอาเหล่านี้มาใช้ มันเป็นขยะในชีวิตเรา แล้วลากเราไปสู่ความทุกข์ ที่ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น  พระเจ้าอวยพรครับ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ท่านไม่รู้หรือว่า…? ท่านอยู่ในพระคริสต์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ในสากลโลกทั้งที่เห็นและมองไม่เห็น

            โคโลสี 1:16 … “เพราะโดยพระองค์ (พระเยซูคริสต์) ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น ทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้ และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์  หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ  หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์”

            “เทพ” คือวิญญาณนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณที่มองไม่เห็น เป็นวิญญาณที่มีสิทธิอำนาจครองบัลลังก์ วิญญาณที่ทรงเดชานุภาพ วิญญาณที่เป็นผู้ครอบครอง วิญญาณเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์ เพื่อพระองค์

            สิ่งเหล่านี้  คือสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งหมด ไม่ว่าจะมีอำนาจขนาดไหน เป็นวิญญาณทูตสวรรค์แบบดีหรือแบบเลวก็ตาม ทั้งหมดพระเยซูคริสต์เป็นผู้สร้างเขาขึ้นมา

            เพราะฉะนั้น พระองค์ผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านี้ ทรงยิ่งใหญ่กว่าแน่นอน และเราอยู่ในพระคริสต์ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในสากลโลก ทั้งที่เห็นและมองไม่เห็น

            เอเมน ขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1421

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  มิถุนายน  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เข้าสู่คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15 ซีรี่ย์นี้ที่เริ่มต้นสัปดาห์ที่แล้ว เป็นตอนที่ 1 วันนี้เป็นตอนที่ 2 “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”  “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 2

            เราได้เรียนรู้กันตอนที่ 1 สัปดาห์ที่แล้ว จำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด ขอให้จำตรงนี้ได้ว่าในคำอธิษฐานที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว  ซึ่งเป็นแผนการของพระเจ้า  ที่จะประกาศข่าวดี ข่าวประเสริฐ  เรื่องเกี่ยวกับความรอด พระเมสิยาห์ พระเยซูคริสต์ ให้กับชาวยิวก่อน  แล้วค่อยตามมาประกาศผ่านทางเปาโล ให้กับชาวต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิวทั่วโลก จนมาถึงเราทุกวันนี้

            “ต่างชาติ ที่ไม่ใช่ยิว”

            อันนี้ ทีหลัง เพราะฉะนั้น เรารู้แล้วว่าที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้  เป็นถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ที่กำลังพูดกับชาวยิวก่อน เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ แล้วพอชาวยิวได้รับเรียบร้อยแล้ว พระองค์จึงค่อยมาประกาศกับพวกเราชาวที่ไม่ใช่ยิว ทีหลัง ซึ่งพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ในหนังสือโรมก็มี หนังสือกาลาเทียก็มี เอเฟซัสก็มี บอกว่า เป็นแผนการล้ำลึกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว

            ในหนังสือโคโลสีบอกว่าเป็นแผนการอันลึกล้ำที่มีค่ามากมายสูงสุด สำหรับมนุษย์ทั้งหลาย  ที่พระองค์ทรงแอบซ่อนเอาไว้ในพระคริสต์ ไม่มีใครรู้เลย และพระองค์มาเปิดเผยตอนไหน? ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ และสิ้นพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แผนการนี้จึงได้ถูกประกาศ เปิดเผยออกมา แผนการ ก็คือความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ที่พระองค์ทรงประทานให้กับมนุษยชาติ ให้กับชาวยิวก่อน แล้วก็ให้กับคนต่างชาติทีหลัง ทำไมผมต้องเน้นตรงนี้ เพราะว่าตรงนี้เป็นพื้นฐาน ที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ ควรจะเรียนรู้ ไม่อย่างนั้นเราจะสับสนวุ่นวาย อ่านตรงนี้ก็นึกว่าเป็นของเรา อ่านตรงนั้น ก็นึกว่าเป็นของเรา  แล้วมันไม่ใช่  มันก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด

            ถ้าเรารู้ขั้นตอนว่ามันเป็นอย่างนี้ เวลาอ่านพระคัมภีร์เดิม ก็รู้ว่าพระคัมภีร์เดิมเน้นไปที่ใคร? เน้นไปที่ชาวยิว เราจะรู้ทันทีแล้ว โดยพื้นฐาน

            แล้วพระคัมภีร์ใหม่ หลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระคัมภีร์เน้นที่ใคร? เน้นที่ชาวต่างชาติ

            เราอ่าน เราจะได้รู้ว่าอันนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ไม่ได้เน้นถึงเรา เราจะมาใช้สำหรับเราได้ แต่มันไม่ใช่โดยตรงนะ อะไรต่างๆ เหล่านี้  เหมือนกัน เหมือนข่าวประเสริฐในพระคัมภีร์ใหม่ หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  ก็เช่นเดียวกัน เป็นของเรา  แต่ชาวยิวมาอ่าน ก็ต้องระมัดระวังนะว่านี่เป็นของเรา ชาวยิวก็ต้องอีกแบบหนึ่ง แต่พื้นฐานเดียวกัน คือพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เพื่อช่วยให้มนุษยชาติรอดพ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ที่มาจากบรรพบุรุษ นี่คือพื้นฐาน

            เราทบทวนครั้งที่แล้วหน่อย เราเรียนรู้อะไรได้บ้าง? จากครั้งที่แล้ว นอกจากว่าพูดกับชาวยิวแล้ว อันนี้ต้องจำได้แล้วนะ พอใครพูดถึง หรือได้ยินถึงคำอธิษฐานของพระเยซูที่เขาว่ากัน ในมัทธิว  6:9-15 นี้เมื่อไร?  เราจะได้รู้ว่าอันนี้กำลังพูดกับชาวยิวนะ แล้วรู้อะไรอีก สัปดาห์ที่แล้วเราเรียนรู้แล้วว่าพระเยซูกำลังสอนให้ชาวยิวทำ? ชาวยิวทำอยู่แล้ว  เพราะฉะนั้น พระองค์ไม่ได้มาสอนให้ทำ แต่พระองค์กำลังมาเตือนชาวยิวว่าอย่าทะนงตน พึ่งตนเอง ในการรักษาบทบัญญัติของพระเจ้าให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งท่านทำอยู่นั้น ท่านไม่มีทางทำสมบูรณ์ครบถ้วน เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า มันเป็นไปไม่ได้เลย  เพราะเป้าหมายของพระเจ้าที่จะช่วยท่านรอด คือท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเลยนะ  ท่านทำด้วยตัวเองไม่ได้หรอก

            พระองค์ทรงยกตัวอย่างสั้นๆ อุปมาเหมือนอูฐลอดรูเข็ม  เอาอูฐลอดรูเข็ม มันเป็นไปไม่ได้  ท่านไม่มีทางที่จะทำจนสมบูรณ์ครบถ้วนได้ เป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างนั้น ตามเกณฑ์ของพระเจ้าแน่นอน และถ้าท่านพึ่งในตนเอง ท่านก็มีค่าเท่ากับกำลังฝืนใจตนเอง เพราะใจมันเป็นบาปอยู่ พระองค์กำลังมาชี้ว่าในใจของท่าน ในวิญญาณของท่านเป็นบาป ท่านก็รู้อยู่ เพราะว่าท่านทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ท่านก็เย่อหยิ่งบอกว่า …

            “ทำได้  ฉันจะทำ”

            พระเยซูกำลังมาชี้อย่างนั้น และเลยบอกว่าท่านทำไปให้ตาย ก็เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม พยายามเท่าไรมันก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว กลับใจใหม่เถิด พอพูดอย่างนี้ปุ๊บ คนที่ฟังอยู่ โดยเฉพาะคนที่เชื่อพระองค์นะ คนที่ไม่เชื่อ ก็เย่อหยิ่ง จองหอง

            “ฉันทำได้”

            กลับไปด้วย เหมือนมีอะไรติดคอหอยอยู่ กลืนไม่ลง รู้ว่าพระองค์พูดจริง ฉันทำไม่ได้  แต่ในใจเย่อหยิ่งจองหอง  เพราะเป็นคนบาป  รับไม่ได้  กลับไปด้วยความฉุนเฉียว โกรธพระเยซูอีก  พวกที่เชื่อฟังพระเยซูในช่วงนั้น ก็คือพวกที่เรียกว่าสาวก  สาวกไม่รู้พูดอะไรมา ก็เชื่อไว้ก่อน อย่างเช่นพวกเปโตร ยอห์น ที่เดินตามพระเยซู เมื่อได้ยินดังนั้นว่าเอาอูฐลอดรูเข็ม ไม่มีทางเข้าสวรรค์ได้ ด้วยการพึ่งพาตนเอง รักษาบทบัญญัติอย่างนี้ ฟาริสีเอย สะดูสีเอย ธรรมาจารย์เอย นักเคร่งศาสนาต่างๆ เหล่านี้ พระเยซูบอกไม่มีทางได้หรอก พวกเปโตร คนเก็บภาษี มัทธิว เป็นชาวบ้าน ชาวช่อง เป็นชาวประมง เขาเชื่อพระเยซูว่าเป็นพระมาซิฮาห์ แต่เขาไม่เข้าใจที่พระเยซูพูด ขนาดฟาริสี ธรรมาจารย์ นักเคร่งศาสนาที่เขามองเห็นด้วยตา คนนี้เคร่งมากๆ เลย รักษาบทบัญญัติอย่างดี อย่างละเอียดเลย พระเยซูบอกว่ายังทำไม่ได้หรอก เข้าสวรรค์ไม่ได้  แล้วพวกเขาจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? เขายังทำไม่ได้ ขนาดนั้นเลย รักษาบทบัญญัติ ยังไม่ได้เลย รักษาวันสะบาโตยังไม่ได้เลย อดอาหารถึงขนาดนั้นยังไม่ได้ ไปวิหารก็ไปบ้าง ไม่ไปบ้าง แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร? ใครจะเข้าสวรรค์ได้ ก็เลยถามพระเยซูเป็นส่วนตัว …

            “พระเยซูถ้าอย่างนั้น ใครจะเข้าสวรรค์ได้ล่ะ ถ้าทำถึงขนาดนั้น เอาอูฐลอดรูเข็มยังทำไม่ได้เลย”

            พระเยซูบอกว่า … “แต่ว่าถ้าไปด้วยกันกับพระเจ้า มันเป็นไปได้ เพราะสำหรับพระเจ้าแล้ว ทุกสิ่งเป็นไปได้”

            นี่มันคู่กัน ท่านจำแค่ 2 อย่าง พระองค์กำลังมาบอกว่าทำด้วยตัวเอง เป็นไปไม่ได้หรอก แต่ถ้าไปด้วยกันกับพระเจ้า  ตามแผนการของพระเจ้า พระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง คือพระเจ้าสามารถทำให้ท่านสามารถเกิดใหม่ได้ไง นี่คือสรุปสั้นๆ นะ

            ถ้าท่านทำด้วยตัวเอง รักษาบทบัญญัติด้วยตัวเอง ท่านไม่มีทางที่จะเกิดใหม่ได้หรอก ท่านก็อยู่ในความบาปนั่นแหละ เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม  แต่ท่านมาเชื่อในพระเจ้า ไปกับพระเจ้า พระเจ้าวางแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว คือมาวางใจในเรา ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่  เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเลย  ไม่ต้องทำอะไรเลย เอเมน นี่คือเบื้องหลังในสิ่งที่พระเยซูกำลังทำ

            ถ้าท่านพึ่งในพระเจ้า พระเจ้าก็สามารถทำให้ท่านบังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง  ทำให้ท่านสามารถเกิดใหม่ได้ ก็แสดงว่าผู้คนที่จะเข้าสวรรค์ได้ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่ ซึ่งพระเยซูก็พูดตรงนี้ ในการเตือน การสอนนี้เช่นเดียวกัน ท่านต้องเกิดใหม่ ท่านถึงจะบริสุทธิ์ ดีพร้อมได้ ท่านทำด้วยตัวเอง ท่านไม่มีทางเกิดใหม่ได้ นั่นคือสิ่งที่เป็นเป้าหมาย

            และทุกอย่างที่พระองค์กำลังพูดกันอยู่นี้ ที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ พระองค์กำลังพูดถึงสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ อย่าสับสน เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพราะว่าตัวตนของมนุษย์แท้ๆ จริงๆ  ที่จะอยู่นิรันดร์ อยู่ตลอดไปเลย ไม่ว่าจะอยู่ในสวรรค์หรือในนรก ก็ตาม อยู่ที่ไหนก็ตาม ที่เรามองเห็นกันอยู่ มันเป็นร่างกาย แต่ตัวจริงๆ ที่เรามองไม่เห็น คือวิญญาณของเรา เป็นตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของมนุษย์ทุกคน เราจำเป็นต้องรู้สิ่งเหล่านี้ และตัวตนจริงๆ และในวิญญาณของเราจริงๆ นั้น เป็นบาปอยู่ เรียกว่าเป็นคนบาป คนอธรรม เป็นคนสกปรก เป็นหลุมศพ พระเยซูยกตัวอย่าง จึงจำเป็นต้องพึ่งพระองค์ ซึ่งเป็นพระเมสิยาห์ ซึ่งแปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงประทานให้มาช่วยเท่านั้น ท่านถึงจะรอดได้

            เพราะวิญญาณท่านเป็นบาปอยู่ ทำอย่างไรมันก็บาป  ท่านไม่มีทางทำอะไร แล้วพระเจ้าอภัยบาปให้กับท่านได้หมด อภัยบาปในที่นี้ ก็คือยกหนี้บาป ก็คือการลบเอาบาป  ออกไปจากวิญญาณของท่าน  ท่านทำไม่ได้หรอก ด้วยตัวเอง  ทำให้ตายอย่างไร? พระเจ้าอยากจะช่วย ก็ช่วยไม่ได้  เพราะวิญญาณท่านบาปอยู่ มีทางเดียวเท่านั้น คือท่านต้องตายจากบาปนั้นและเกิดใหม่ ซึ่งพระองค์ก็ทรงสอน  ทรงเตือน ทรงชี้ให้เห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าเขาเป็นยิว พระองค์จึงพูดยกตัวอย่างบนพื้นฐานของธรรมเนียมปฏิบัติ บทบัญญัติ และประเพณีวัฒนธรรมของยิว ซึ่งเขาคุ้นเคยกันอยู่แล้ว  ไม่ว่าจะเป็นอุปมาอูฐลอดรูเข็มก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอุปมาต่างๆ ที่พระองค์ทรงยกตัวอย่างก็ตาม หรือบัญญัติต่างๆ ที่พระองค์ทรงยกขึ้นมาก็ตาม ทั้งหมดนั้นเป็นประเพณี การกระทำ เป็นศาสนายิว บัญญัติของยิวที่ยิวเขาคุ้นเคยอยู่แล้ว ชาวต่างชาติอย่างเราไม่รู้เรื่อง  ไม่เข้าใจ  เพราะว่าไม่ได้พูดกับคนต่างชาติ แต่พูดกับชาวยิว

            อันนี้ก็เป็นหลักฐานอีกอันหนึ่งว่าสิ่งที่เรากำลังวิเคราะห์กัน มันเป็นจริงว่ากำลังพูดกับชาวยิว  เพราะฉะนั้น พูดสิ่งต่างๆ นี้  เรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณีชาวยิวทั้งหมดเลย การพูดทุกอย่าง  เป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวยิวทั้งสิ้น รวมทั้งคำอธิษฐานที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ คือมัทธิว 6:9-15  ก็เช่นกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับชาวยิว  เพราะฉะนั้น ถ้าเราบอกว่ามาคุยกับเรา เราก็จะไม่รู้เรื่องใหญ่เลย  เพราะว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย บัญญัติต่างๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เราถืออยู่ ไม่เกี่ยวกัน

            พระองค์จึงเอามาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้ของชาวยิว ที่มีประเพณีบนพื้นฐานของบทบัญญัติ ที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส เราก็ไม่รู้จักอีกแหละว่าโมเสสเป็นใคร? แต่ชาวยิว พอบอกโมเสสเขารู้ พอบอกอับราฮัม เขารู้ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพระองค์กำลังชี้ให้ชาวยิวเขาได้เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่เขาจะพึ่งพาตนเองในการรักษาบทบัญญัติเหล่านั้น ให้ได้ครบถ้วนตามเกณฑ์ที่พระเจ้าวางไว้  เพื่อจะเข้าสู่สวรรค์ ซึ่งกำลังมาตั้งอยู่ เห็นไหม? ก็แสดงว่าชาวยิวเหล่านี้ เขารอคอยสวรรค์มาตั้งอยู่ตั้งนานแล้ว ถูกไหม? พระองค์จึงมาบอกว่าที่รออยู่นั้นกำลังมา

            เคยสั่งของทางอีเมล์ไหม?  แล้วเขาก็จะมาบอกเราว่าที่สั่งไว้ กำลังจะมา  แล้วในที่สุด พอถึงวันมา เขาจะมาบอกเราอีกว่าสิ่งที่รอมาแล้ว พระเยซูกำลังบอก กำลังมา ซึ่งสวรรค์ที่กำลังมา และในที่สุด พอถึงวันมา ก็จะมาบอกเราอีกว่ามาแล้ววันนี้ จะส่งให้  พอใกล้ๆ ถึงเวลาส่ง จะมีคนโทรศัพท์มาบอก …

            “รับของด้วยนะครับ อยู่บ้านไหมครับ สิ่งที่รอมาแล้ว”

            พระเยซูบอกสวรรค์ที่กำลังมา จะเข้าสวรรค์ได้ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติของท่าน ชาวยิว  ไม่ใช่ด้วยการรักษาบทบัญญัติของท่าน ที่บรรพบุรุษของท่านสั่งมาตั้งนานแล้ว ให้ประพฤติอย่างนี้ ตามที่พระเจ้าได้สั่งไว้ ตอนนี้ สิ่งที่รอคอยมาถึงแล้ว ซึ่งมันดีกว่าตั้งเยอะ คือต้องผ่านทางพระเมสิยาห์  คือพระคริสต์

            พระเมสิยาห์ แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงตั้งไว้  ซึ่งภาษากรีก คือพระคริสต์ พระเมสิยาห์ เป็นภาษาฮีบรู ซึ่งแปลเป็นไทย แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  พระคริสต์ แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด ต้องผ่านทางพระมาซิฮาห์ คือพระองค์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น  ถึงจะเข้าสู่สวรรค์ได้

            แล้วพระองค์ก็ทรงยกตัวอย่างเช่น ท่านบอกว่าท่านรักษาบทบัญญัติได้ นี่คือบทบัญญัติของชาวยิว  คือไม่ฆ่าคน แต่พระเยซูบอกว่าท่านบอกว่าท่านทำได้ ท่านรักษาบทบัญญัติได้ ท่านไม่ฆ่าคนเลย  แต่เราบอกว่าไม่ใช่ไม่ฆ่าคนอย่างเดียว  ท่านต้องไม่คิดเกลียดชัง ริษยาคนอื่น เพราะการเกลียดชัง ริษยาคนอื่น  ก็เท่ากับฆ่าคนตาย เป็นบาปเท่าๆ กัน เป็นคนบาปเหมือนกัน พระองค์ทรงชี้ให้เขาเห็นว่าท่านทำได้  แต่ในวิญญาณท่านเหมือนกัน คือท่านคิด ก็คือข้างในท่าน มีความโกรธ เกลียด ข้างนอกท่านอาจจะบังคับตัวเองไม่ฆ่าคน แต่ในใจคิดริษยา ก็เท่ากับทำบาป ฆ่าคนตายเหมือนกัน

            พระเยซูต้องการทำอะไร? ต้องการชี้ให้เขาเห็นว่ามนุษย์เป็นคนบาป จากภายในวิญญาณ  เป็นเหมือนหลุมศพ ที่ฉาบด้วยปูนขาวอยู่ภายนอก คือข้างนอก ทำดูดี รักษากฎบัญญัติได้ แต่ข้างใน ทำอย่างไร มันก็เป็นหลุมศพ สกปรก เป็นคนบาป ที่ท่านบอกว่าไม่ว่ากฎระเบียบอะไร ท่านทำได้ทุกอย่าง ท่านกำลังเย่อหยิ่งจองหอง  เพราะท่านทำไม่ได้อยู่แล้ว  ท่านไม่สามารถทำตามกฎเกณฑ์ทั้งหมด ที่พระเจ้าวางไว้ ท่านเอง ก็รู้อยู่ บทบัญญัติของชาวยิว มีไว้ตั้ง 600 กว่าข้อ ก็ทำไม่ได้ครบอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังดื้อ ที่จะเถียงพระเยซูว่า …

            “ฉันทำได้”

            แทนที่จะมาเชื่อฟังพระองค์ พระองค์บอกว่าทำไม่ได้ ก็ทำไม่ได้ เย่อหยิ่งไง ยังฝืน ทั้งๆ ที่ในใจตัวเองก็รู้ว่าทำไม่ได้

            เพราะฉะนั้น พระเยซูบอกว่ากฎเกณฑ์เหล่านี้ ที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ให้ท่านยึดถือเอาไว้  เหตุผล ก็คือไม่ใช่ เพื่อช่วยท่านให้รอด จากการเป็นคนบาป แต่เพื่อชี้ให้ท่านเห็นว่าท่านเป็นคนบาป มันกลับกัน หัวเป็นท้าย ท้ายเป็นหัวเลยนะ พระเจ้าให้บทบัญญัติเหล่านี้กับท่าน ไม่ใช่ เพื่อให้ท่านทำ แล้วท่านจะได้กลายเป็นคนชอบธรรม เป็นคนไม่บาป เปล่า พระองค์เอาบทบัญญัติ ให้ท่านถือไว้ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าท่านเป็นคนบาปจริงๆ เพราะท่านทำไม่ได้  พอนึกออกนะ

            พระองค์ทรงตั้งใจจะให้กฎเกณฑ์เหล่านี้  ชี้ให้มนุษย์เห็นว่าตนนั้นเป็นคนบาป ไม่สามารถพึ่งพาตนเอง ทำให้ได้ครบตามที่ใจต้องการ ทุกคนรู้หมด นี่สามารถเอามาใช้ได้กับคนต่างชาติ คือมนุษย์ทุกคน เป็นอย่างนี้หมด  เพราะฉะนั้น บทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้กับมนุษย์ ถ้าเป็นอิสราเอล ก็บทบัญญัติ  613 ข้อ ที่โมเสสบันทึก ให้เขียนออกมา บทบัญญัติของชาวต่างชาติ  ก็คือจิตใต้สำนึกของเราข้างใน รู้ว่าดี แต่ทำไม่ได้  แต่เย่อหยิ่งว่า …

            “ฉันทำได้ ฉันจะรักษาบทบัญญัติให้ได้”

            แต่ในที่สุด ก็รู้ว่าทำไม่ได้ครบ แล้วก็อ้อมแอ้มๆ ตัวเองบอกว่าหยวนน่า อย่างน้อย ก็ยังทำดีกว่าคนอื่น ใช่ไหม? คุ้นๆ ไหม?

            อ้าว! ก้มหน้านิดหนึ่ง แล้วก็พูด … “อย่างน้อย ก็ยังดีกว่าคนอื่น ฉันก็ยังทำได้เยอะกว่าเขา”

            พูดว่า … “ไม่ได้พูดกับฉันหรอก กำลังพูดถึงชาวยิว”

            อย่างนี้ต้องไปโบ้ยให้ชาวยิว  อ้าว! พูดกับชาวยิวจริงๆ แล้วชาวยิวก็พูดอย่างนี้จริงๆ พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกนักเคร่งศาสนา เขาได้ยินอย่างนี้ เขารู้ตัวว่าเขาเป็นคนบาปอย่างนั้นจริงๆ เขาก็อ้อมแอ้มๆ บอก …

            “ก็ยังดีน่า” ยังดีอย่างไร? “อย่างน้อย ฉันก็ยังทำดีกว่าพวกเขา พวกคนเก็บภาษี คนเป็นโสเภณี คนเป็นชาวประมง ไม่รักษาบทบัญญัติ ฉันยังทำดีกว่าเขาเลย”

            นี่เขาพูดอย่างนี้จริงๆ แทนที่จะรู้ตัวเองว่าพระองค์มาบอกว่าบาปเท่าๆ กัน ผิดข้อเดียว ก็เท่ากับบาปเท่าๆ กันหมด

            เพราะฉะนั้น บทบัญญัติเหล่านี้ มันจึงเหมือนกระจกเงา เหมือนกับเครื่องเอ็กซ์เรย์ … กระจกเงา เอ็กซ์เรย์มีไว้ทำอะไร? กระจกเงา มีไว้มองดู เพื่อจะได้รู้ว่าหน้าเรามีโรค มีสิว มีอะไรสกปรก มีหนองอะไรต่างๆ จะได้เห็น แต่กระจกรักษาเราไม่ได้ เหมือนไปเอ็กซ์เรย์ปอด  เอ็กซ์เรย์หัวใจดูว่ามันเป็นอะไร? เป็นมะเร็งที่ปอดหรือเปล่า?  เป็นมะเร็งที่ปอด เอ็กซ์เรย์ทำให้หายได้ไหม? ไม่ได้ แต่มันมีประโยชน์ไหม? มีประโยชน์ มันช่วยชี้ให้เราเห็นว่าเราเป็นคนป่วย บทบัญญัตินี้ ก็เป็นเหมือนสิ่งเหล่านี้ เหมือนเอ็กซ์เรย์ เหมือนกระจกเงา ชี้ให้เราได้เห็นว่าเราเป็นคนบาป เราต้องการหมอ เราเป็นคนป่วย เราต้องการหมอ หน้าเราเป็นหนองอยู่ เราต้องไปหาหมอรักษาสิว  ปอดเราเป็นมะเร็ง เราต้องการหมอรักษามะเร็ง ไม่ใช่ไอ เพราะเป็นหวัด แต่ไอ เพราะเป็นมะเร็ง อย่างนี้เป็นต้น

            นี่คือหน้าที่ของบทบัญญัติที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับชาวยิว แล้วพระเยซูก็จะพูดอย่างนี้เสมอ บทบัญญัติ กฎเกณฑ์นี้เขียนไว้ สำหรับชาวยิว ก็คือเขียนอยู่ในแผ่นหินใช่ไหม? แล้วก็มาเป็นหนังสัตว์ 613 ข้อ สำหรับชาวยิว รักษาไม่ได้หมดหรอก อันนี้แน่นอน อันนี้เขียนแค่บางส่วนนะ  613 ข้อ คนต่างชาติเขียนที่ไหน? เขียนไว้ในจิตใต้สำนึก เต็มไปเลย  และจิตใต้สำนึกตรงนี้  ก็จะมีมนุษย์ในบางช่วง ในบางยุค  ก็พยายามจะเขียนออกมา เป็นกฎศีลธรรม กฎทางศาสนาต่างๆ ให้เรายึดถือไว้ แล้วทำได้ไหม?  ไม่หมด ยังไง มันก็ไม่หมด เพราะว่าวิญญาณมันบาปอยู่

            พระเยซูยกตัวอย่างใช่ไหม? บอกพวกท่านชาวยิว ทำเป็นเก่ง รักษาบทบัญญัติได้ …

            “ฉันไม่ได้ฆ่าคน”

            บอกแล้วใช่ไหม? แค่คิด ริษยาเขา ก็เท่ากับฆ่าคนตาย

            “ฉันไม่ได้ล่วงประเวณี สามารถรักษาบทบัญญัติ ไม่ล่วงประเวณีได้”

            พระเยซูบอก … “ท่านอาจจะบังคับตนเองไม่ทำอย่างนั้นได้บ้าง  แต่อยากจะบอกว่าแค่ท่านคิด หรือมีความรู้สึกอะไรอย่างนั้น  ประมาณนั้น ก็เท่ากับท่านทำแล้วล่ะ”

            ไม่มีใครทำได้  พระองค์ก็เลยบอกว่าเพราะฉะนั้น ถ้าท่านคิด หรือรู้สึกล่วงประเวณี  ก็เท่ากับได้ทำการล่วงประเวณีแล้ว เพราะฉะนั้น วิธีแก้ พระองค์เลยคิดย้อนกลับไป เหมือนพูดแย้งกลับไปแทงใจดำว่าเพราะฉะนั้น ถ้าท่านจะทำ ไม่ล่วงประเวณี ถ้าท่านจะทำไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ถ้ารู้ว่าต้องคิดหรือรู้สึก ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว  ท่านไม่อยากล่วง ท่านก็ต้องกำจัดเอาอวัยวะนั้นทิ้ง ตาทำให้ท่านคิดล่วงประเวณี ท่านต้องควักลูกตาออก มือสัมผัสแล้วเกิดอารมณ์กำหนัด ตัดมือทิ้ง นั่นแหละ ถ้าท่านจะพึ่งพาตนเอง  มันต้องทำอย่างนั้นแหละ

            นี่แหละ คือสิ่งที่พระเยซูพูดออกมา เพราะต้องการชี้ให้เขาเห็น  เพราะฉะนั้น ถ้าท่านอยากจะไปสวรรค์ ก็มีคนไปสวรรค์ได้ ก็พิการหมดแหละทุกคน  ต่อให้พิการหมด ก็ยังไปไม่ได้  มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณจะตัดมือทิ้ง ควักลูกตาออก มันช่วยอะไรวิญญาณไม่ได้เลย ต้องพึ่งในพระมาซีฮาห์เท่านั้น พระเจ้าทรงเข้าใจ และรักท่านมากมาย จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือฉัน คือพระเยซู มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพื่อมากำจัดบาป  เพื่อมาลบล้างบาป เพื่อมาเอาบาปออกไปจากวิญญาณของท่าน โดยการทำให้วิญญาณของท่านตายต่อบาป และเกิดใหม่  เป็นผู้ชอบธรรมอย่างไรล่ะ ปรบมือขอบคุณพระเจ้า

            นี่กำลังพูดกับชาวยิว ซึ่งทำไมต้องชาวยิวก่อน เพราะชาวยิว พระองค์ทรงเตรียมแผนการนี้ให้เขาตั้งแต่แรก ตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้ว ซึ่งต่างชาติยังไม่รู้เรื่องเลย แต่บรรพบุรุษของชาวยิวรู้เรื่องเหล่านี้หมด ควรจะเข้าใจแล้วว่านั่นมันเป็นอย่างนี้นะ นี่พระองค์ทรงพูดเหมือนเดิมกับหลายพันปีก่อน ก่อนที่พระองค์จะทรงมาเกิดเป็นมนุษย์  พระเจ้าเผยแผนการนี้ เป็นคำเผยพระวจนะมาตลอด หลายพันปีว่ามันจะเป็นอย่างนี้แหละ พระองค์ก็เลยเหมือนกับว่าไม่พอใจนิดๆ ว่ามันน่าจะเชื่อและวางใจในเราเถิด ไม่ได้พูดกับชาวต่างชาติ  แต่มาพูดกับชาวยิวที่คุ้นเคย น่าจะเป็นอย่างนั้น

            ซึ่งเรื่องที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่ คือมัทธิว 6:9-15 ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งในทำนองนี้ ซึ่งเขียนบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ที่เราถือกันอยู่นี้ ต่อจากที่ตะกี้นี้ผมเล่าให้ฟังทั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งในนี้ ในช่วงเวลาที่พระเยซูกำลังประกาศนี้ ก็คือพระองค์มาชี้ให้เห็นว่าท่านทั้งหลาย ไม่สามารถรักษาบทบัญญัติให้ครบถ้วนบริบูรณ์ได้ โดยไม่มีผิดพลาดเลย แม้แต่จุดเดียว  ท่านทั้งหลายไม่มีทางทำให้ตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ ดังนั้น อย่าเย่อหยิ่ง จองหอง อวดดีในการกระทำดี คือรักษาบทบัญญัติด้วยตนเองอย่างมากมาย แล้วก็เปรียบกับคนอื่นว่าคนอื่นทำได้น้อย ฉันทำได้เยอะ แต่ท่านจงกลับใจใหม่ หันมาวางใจในพระองค์เท่านั้น อย่าวางใจในตนเอง

            นี่คือบทสรุปของข้อความที่พระเยซูกำลังพูด ที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่นี้ สรุปสั้นๆ เป็นอย่างนี้ อย่าเย่อหยิ่ง พูดกับใครครับ? ไม่ได้พูดกับเรานะ  พระองค์ไม่ได้กำลังว่าเรา เราไม่เย่อหยิ่งอยู่แล้ว เพราะเราไม่รู้เรื่อง  แต่พวกชาวยิวรู้เรื่องหมด ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกคงแก่เรียน เคร่งศาสนายิว รักษาบทบัญญัติมาตั้งแต่บรรพบุรุษเขารู้ดีมากๆ เลย รู้เยอะๆ เลย  แต่เขาเหมือนแกล้งไม่รู้ เขาเย่อหยิ่ง พระเยซูเลยพูดสิ่งเหล่านี้ให้เขาฟัง เตือนแล้ว เตือนอีก กำลังพูดกับชาวยิว

            เพราะฉะนั้น พอเรารู้เป็นชาวยิว เราจึงรู้ว่ามันเป็นไปได้ มันน่าจะพูดแดกดัน หรือจี้ใจดำอย่างนี้  แต่สำหรับชาวต่างชาติ  พระองค์ทรงเมตตากรุณามากเลย เพราะว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย สำหรับชาวยิวแล้ว ชาวต่างชาติ คือหมู คือสุนัข สังคมเขารังเกียจ เขาถือว่าเราเป็นมนุษย์ประเภท 2  ประเภทด้อยค่า พวกบาบาเลียน คือพวกป่าเถื่อน ไม่มีศาสนา คำว่าศาสนาของเขา หมายถึงไม่มีพระเจ้า เพราะฉะนั้น เราควรรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้

            สิ่งหนึ่งที่เราควรรู้ ก็คือเราควรรู้ว่าในช่วง 3 ปีนี้ พระเยซูประกาศอยู่นี้  ที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ เป็นช่วงที่ยิวยังอยู่ในพันธสัญญาเดิม นี่เป็นยุคตาต่อตา ฟันต่อฟัน ยุคที่ชาวยิวต้องรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า ถึงจะได้รับการอภัยโทษ เป็นผู้ชอบธรรมได้ ยุคที่พระเยซูยังไม่ตายที่ไม้กางเขน ยังกระทำงานนี้ไม่สำเร็จ ถูกไหม? พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จริง แต่ไม่ได้ไปตายที่ไม้กางเขน  ในช่วง 3 ปีนี้ ซึ่งพอท่านฟังอย่างนี้ปุ๊บ วิเคราะห์อย่างนี้แล้ว  ท่านก็จะคิดเหมือนผมคิด เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วพันธสัญญาใหม่ หรือเราเรียกกันว่าพระคัมภีร์ใหม่ สำหรับคนที่เป็นคริสเตียน เป็นคนต่างชาติ  ที่เราถือกันอยู่ ที่เราใช้กันอยู่นี้  ที่เขาเขียนไว้ว่าพระคัมภีร์ใหม่ จริงๆ แล้วพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ น่าจะเริ่มที่หนังสือกิจการ ไม่ใช่เริ่มต้นที่หนังสือมัทธิว

            เพราะว่ามัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น  4 เล่มนี้ เป็นหนังสือเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ ในช่วง 3 ปีของพระเยซูคริสต์ ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ และประกาศข่าวดีของพระองค์บนโลก ยังไม่ได้ตายบนไม้กางเขน  ยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย  เพราะฉะนั้น มนุษย์ทั้งหลายทั้งหมด รวมทั้งชาวยิวด้วย ก็ยังอยู่ในพันธสัญญาเดิม อยู่ในพันธสัญญาตาต่อตา ฟันต่อฟัน ต้องรักษาบทบัญญัติอยู่ ถูกไหม? มันน่าจะเป็นอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น น่าจะเริ่มต้นที่พระเยซูตายบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งก็คือหนังสือกิจการนั่นเอง ไม่ใช่เริ่มต้นที่พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์ และดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ 33 ปี เป็นมนุษย์เฉยๆ หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  พระองค์เป็นพระเจ้า พระบุตร กลับมาเป็นพระเจ้าแล้วครับ แต่ตอน 33 ปี พระองค์ยังคงเป็นมนุษย์อยู่ เป็นเหมือนผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับพระองค์ ประกาศข่าวดี ในฐานะพระเมซิยาห์ พระเจ้าที่เตรียมท่านไว้ เห็นไหมครับ? สิ่งเหล่านี้ถ้าเราเรียนรู้และมีพื้นฐานตรงนี้อยู่ ทำให้เราอ่านพระคัมภีร์ และสามารถที่จะเข้าใจบริบท เข้าใจว่ามันคืออะไร?

            ไปอ่านพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูจะทำงานให้สำเร็จ ตั้งแต่ปฐมกาลถึงหนังสือกิจการ ไม่ใช่ถึงหนังสือมัทธิว  เป็นเกี่ยวกันกับช่วงที่พระเจ้าใช้กฎหมายเดิม กฎหมายเก่า เรียกว่าบทบัญญัติเก่าอยู่เลย รวมทั้งชาวยิวเช่นเดียวกัน  เพราะฉะนั้น เริ่มต้นใหม่ที่กิจการ เวลาเราอ่านพระคัมภีร์เดิม เราจะได้รู้ว่าเราจะวิเคราะห์ข้อความในพระคัมภีร์เดิม นี่พูดถึงเราแล้วนะ เราในปัจจุบัน ตอนนี้เราอยู่ในยุคพระคัมภีร์ใหม่  เพราะฉะนั้น เราอ่านข้อความต่างๆ ในหนังสือพระคัมภีร์ ในยุคพระคัมภีร์เดิม เราก็ควรที่จะแปลความหมายบนพื้นฐาน สายตามองของพระคัมภีร์ใหม่ที่เราเข้าไปร่วมด้วย มันถึงจะได้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นมันจะสะเปะสะปะ กฎหมายเขาเลิกไปแล้ว เราก็ไปเอามาใช้ กฎหมายใหม่มี ไม่ใช้ อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            คราวนี้ พอมายุคพันธสัญญาใหม่ พระคัมภีร์เรียกว่ายุคพระคุณ เห็นไหม? ต่างกันไหม? ยุคพระเดช คือตาต่อตา ฟันต่อฟัน  ตอนนี้มายุคพระคุณแล้ว มันต่างกันลิบลับ  มาถึงพระคัมภีร์ใหม่ พันธสัญญาใหม่ เรียกว่ายุคพระคุณ  คือยุคหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นจากความตาย นี่เรียกว่ายุคพระคุณ พระเยซูก็จะมาชี้ให้ชาวยิว และพวกเราชาวต่างชาติด้วย ได้เห็นถึงบทบัญญัติในพระคัมภีร์ บทบัญญัติ คือกฎทางฝ่ายวิญญาณ ในพระคัมภีร์ใหม่ ในยุคใหม่ ในยุคพระคุณ ที่พระองค์ทรงทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน  พระองค์ทรงชี้ให้เรา สอนให้เราชาวต่างชาติ เหมือนกับที่ทรงชี้ให้ชาวยิว ได้รับรู้ ก่อนที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน ที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่ ท่านก็ถามว่า …

            “อ้าว! พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  แล้วเป็นขึ้นจากความตาย เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว แล้วจะมาชี้ให้เราพวกต่างชาติ  มาสอนเรา เหมือนกับสอนชาวยิวได้อย่างไร? ไม่ได้เดินอยู่บนโลกใบนี้แล้ว”

            เดี๋ยวก่อน เพราะท่านคิดเหมือนกับที่ชาวยิวเขาคิด  แต่พอดูในยุคพระคัมภีร์ใหม่ ท่านอ่านในพระคัมภีร์ใหม่ ท่านจะรู้ว่าพระเยซูชี้ให้เราคริสเตียน ผู้เชื่อ ชาวต่างชาติ  ได้รู้ถึงความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ  ในกฎใหม่ต่างๆ เหล่านี้ ในลักษณะของคนต่างชาติ  บนพื้นฐานของคนต่างชาติ  โดยผ่านทางอัครทูต ผู้รับใช้ต่างๆ ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ภายใน แล้วก็ประกาศ สอน เหมือนเดิม  พระองค์เป็นผู้ทำการงานในอัครทูตเปาโล สอนเราเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต ให้สมกับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เมื่อวางใจ เมื่อเชื่อในพระองค์ ต้อนรับพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ ที่จะมาเกิดใหม่ พระองค์ก็จะสอนวิธีว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร? ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็คือให้ทุกคนรักกัน มีความสามัคคีกัน ไม่โกรธกัน ไม่เคืองกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ให้อภัยกัน ไม่อิจฉากัน

            และก็จะจบลงตรงนี้ สังเกตนะว่าพระเยซูสอน ในยุคพระคุณให้กับคริสเตียนแล้วนะ หลังที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว คริสเตียนได้บังเกิดใหม่แล้ว พระองค์ทรงสอนอย่างไร?  ซึ่งตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้  ที่เราวิเคราะห์กัน กำลังพูดกับชาวยิวในยุคพันธสัญญาเดิม  เรื่องเกี่ยวกับคำอธิษฐานของพระองค์ ที่เรากำลังวิเคราะห์กันอยู่นี้ ในเอเฟซัส 4:32 ท่านสังเกตดูนะ …

        เอเฟซัส 4:32 “จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกัน เหมือนที่พระเจ้าทรงได้อภัยแก่ท่านในพระคริสต์แล้ว”

            ผู้ที่เชื่อพระเยซูและบังเกิดใหม่แล้ว พระเยซูบอกว่า “จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกัน เหมือนที่พระเจ้าทรงได้อภัยแก่ท่านในพระคริสต์แล้ว”

            จากข้อนี้ ถามท่านว่าใครให้อภัยใครก่อน? ก่อนที่เราจะให้อภัยคนอื่น พระเจ้าให้อภัยเราก่อนแล้ว ถูกหรือเปล่า? พระเจ้าได้ให้อภัยเรา  และรับเราเป็นลูกก่อนแล้ว แล้วเราจึงอภัยให้กับคนอื่นได้ เพราะเราได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว โดยการอภัยจากพระเจ้าก่อน รับเราก่อน ให้เราได้เกิดใหม่ เกิดจากหน่อเชื้อนิรันดร์ วิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า วิญญาณเราจึงได้เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  ได้เป็นผู้ให้อภัยเหมือนพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว ทั้งๆ ที่ความประพฤติของเรายังผิดๆ ถูกๆ อยู่เลย ใช่หรือไม่ใช่? ชัดไม่ชัด? ชัด อะไรมาก่อน? พระองค์ทรงอภัยให้เรา  รับเราเป็นลูกก่อน ไม่ว่าเราจะประพฤติอย่างไรก็ตาม  ถูกหรือไม่ถูก? แล้วอ่านข้อความเมื่อสักครู่นี้เห็นชัดไหม? ชัดเจนเลย โคโลสี 3:13  ที่ผมยกขึ้นมานี้ ก็เช่นเดียวกัน  ยิ่งเห็นชัดใหญ่เลยว่าใครให้อภัยใครก่อน พึ่งพาในตนเองไหม?  ไม่ได้พึ่งเลย เพราะเป็นยุคใหม่ ยุคพระคุณ ผ่านทางการช่วยเหลือของพระเมซิยาห์ คือพระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตาย  โคโลสี 3:13 …

        โคโลสี 3:13 “จงอดทน อดกลั้นต่อกันและกัน และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน ก็จงยกโทษให้กัน ท่านจงยกโทษให้กัน เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยกโทษให้ท่านแล้ว”

            นี่กำลังพูดกับเราคนต่างชาติชัดๆ เลย คนต่างชาติที่กลับใจใหม่ หันมาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์ แทนที่จะวางใจในตนเอง พึ่งพาในการรักษาบทบัญญัติ ก็คือรักษาศีลธรรมตามศาสนา รักษาหลักข้อเชื่อตามหลักศาสนา รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้หมด หันมาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ให้ชำระบาปให้ พระเยซูก็ชำระบาปให้แล้ว พอชำระบาปให้แล้ว เราก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเยซูก็ทรงสอนเราอย่างนี้ว่า …

            “เมื่อเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็จงอดทนอดกลั้นต่อกันและกัน และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน ก็จงยกโทษให้กัน เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยกโทษให้ท่านแล้ว

            ใครยกโทษก่อน? พระเจ้ายกโทษให้เราเรียบร้อยแล้ว เราจึงได้เป็นลูกพระเจ้า พอเป็นลูกพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระเจ้า พระเจ้าจึงบอกว่านั่นแหละ เราสามารถทำได้ จากวิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว ข้างนอกก็ฝึกฝนในการให้อภัย ฝึกฝนแปลว่าทำได้หมดไหม?  ไม่หมด ไม่หมดไม่เป็นไร? เพราะวิญญาณเราเกิดใหม่แล้ว  เห็นไหม ต่างกันกับพันธสัญญาเดิมพูดกับชาวยิวใช่ไหม?

            ชาวยิว คือท่านต้องให้อภัยคนอื่นก่อน แล้วพระเจ้าจึงจะอภัยให้ท่าน แล้วทำได้ไหม? ไม่ได้ สังเกตเมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่าน …

            “และไม่ว่าท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน”

            อยากถามว่าตอนนี้พระเยซูพูดกับใคร? ทดสอบการแปลพระคัมภีร์หน่อยว่าท่านต้องรู้ว่าเรื่องนี้กำลังคุยกับใคร?  พระเยซูพูดผ่านทางเปาโล พูดกับคนที่เป็นคริสเตียนว่า …

            “ท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน”

            “คริสเตียนมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน” ก็แสดงว่าคริสเตียนยังคงมีความประพฤติที่ครบถ้วนบริบูรณ์ไหม? ไม่ นี่พระเยซูพูดเองนะ ท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจประการใดต่อกัน จงฝึกฝนในการอภัยให้กัน  เพราะว่าพระเจ้าได้ให้อภัยท่าน วิญญาณเกิดใหม่ ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในท่านแล้ว  ท่านมีกำลังตรงนี้แล้ว ฝึกฝน ทำได้หรือไม่ได้ ทำได้มากหรือได้น้อย  ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรท่านก็เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์อภัยให้ท่านแล้ว นี่เขาถึงเรียกว่าพระคุณ ความรอดจึงเป็นความรอดนิรันดร์ ความรอดฟรีๆ รอดแล้วรอดเลย  ก็เป็นเพราะอย่างนี้

            โดยพระคุณของพระเจ้า เราจึงได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ก็เป็นความรักเหมือนพระองค์ ก็เป็นความเมตตากรุณา เป็นคนที่ให้อภัยเสมอ เป็นธรรมชาติอยู่ในวิญญาณตลอดเวลาเช่นเดียวกัน มันเป็นธรรมชาติ ที่เราเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา มันเป็นอย่างนี้  และวิญญาณตัวนี้ ที่เป็นธรรมชาติ บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมนี้ ก็คือเป็นวิญญาณที่จะอยู่ไปนิรันดร์  เมื่อจากโลกนี้แล้ว วิญญาณออกจากร่าง ทิ้งร่างนี้ไว้ วิญญาณไป วิญญาณธรรมชาติเป็นอะไร?  เป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้านั้น ควรจะอยู่ที่ไหน? ท่านคิดเอาเองแล้วกัน

            วิญญาณท่านออกจากร่าง ท่านควรจะไปอยู่ที่ไหน?  มันชัดเจนเลย แทบจะไม่ต้องบอกแล้ว ท่านตอบเองได้เลยว่าก็อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อยู่ตั้งแต่เมื่อไร? ก็อยู่ตั้งแต่เดี๋ยวนี้  ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็อยู่แล้ว  เพียงแต่ตอนจากร่างนี้ไปปุ๊บ พระเจ้าสัญญาว่าจะเตรียมร่างกายใหม่ไว้ให้กับท่าน เหมือนเสื้อผ้าสวมใส่ ซึ่งเป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์อีกต่างหาก ขอบคุณพระเจ้า เอเมน มันง่ายนิดเดียวเลย ความรอด ข่าวประเสริฐของพระเจ้า มันง่ายอย่างนี้จริงๆ ง่ายจนกลายเป็นทางแคบ คนส่วนใหญ่คิดว่ามันง่ายเกินไป มันไม่น่าใช่ มันต้องยากๆ หน่อย มันต้องฝึกฝน ทรมานตัวเอง  ต้องอันโน้นอันนี้ ต้องให้ดีพร้อม ผิดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ คิดพลาดก็ไม่ได้ คิดก็ต้องสะอาดหมดจด จับความคิดให้มันสะอาดหมดจด ทำก็ต้องทำให้ดี พลาดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ กินเหล้านิดหนึ่งก็ไม่ได้ คิดกันใหญ่เลย สูบบุหรี่หน่อยหนึ่งก็ไม่ได้  อันโน่นก็ไม่ได้ อันนี่ก็ไม่ได้  ก็คิดพยายามที่จะทำๆ รักษาบทบัญญัติ รักษาเคร่งในศาสนา มันไม่สามารถเปลี่ยนวิญญาณได้เลย นี่ชัดเจน

            แล้วสมมติว่าถ้าใครที่ต้องการชัดเจน ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ก็คือยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังคงอยู่ใต้บทบัญญัติเดิมอยู่ ยังคงพึ่งพาตนเองอยู่ ยังคงพึ่งในการกระทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม สมบูรณ์แบบ เพื่อจะไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าหลังความตาย ซึ่งพระองค์ก็บอกแล้วบอกเล่าว่าไม่มีใครทำได้ บอกกับชาวยิวก่อน แล้วก็มาบอกกับเราทีหลัง ที่ไม่ใช่ชาวยิว มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราเองก็รู้ตัวว่ามันเป็นไปไม่ได้  แต่ถ้าผู้ใดรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ และได้ยินข่าวประเสริฐ ที่พระเยซูพูดนี้ จะผ่านทางเปาโล หรือผ่านทางผู้เชื่ออื่นๆ ที่รู้จักข่าวดีนี้

            พูดง่ายๆ ว่าข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์นี้ รอดโดยพระคุณนี้ มาถึงเขา และเขาเชื่อ ผู้ใดเชื่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ผู้นั้น ก็ได้รับการชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ ผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูที่หลั่งที่ไม้กางเขน  และได้รับการอภัยในความบาปผิดทั้งหมด ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หมดเกลี้ยงเลย โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำ และความประพฤติของเขาเลย ตามที่เราได้เรียนรู้มา เขาไม่ต้องพึ่งพาการกระทำอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว พระเยซูทำให้สำเร็จหมดเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าพระองค์ทรงรัก และพระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ฟรีๆ ตามยอห์น 3:16 พระเยซูตรัส ประกาศดังลั่นเลย  ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ …

            “เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกนี้ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์  เพื่อว่าผู้คนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่ไปสู่ความพินาศ หลังความตาย แต่จะเข้าสู่สวรรค์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ ก็คือชีวิตของพระเจ้านั่นเอง”

            ในกาลาเทีย 3:10-11 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        กาลาเทีย 3:10-11 “10 เพราะว่าคนทั้งหลาย ซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง 11 เป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่ โดยความเชื่อ”

            เห็นไหมครับ พอเราอ่านตรงนี้ บนพื้นฐาน เรียนรู้ว่ายุคไหนเป็นยุคไหน? เราจะรู้ว่าที่กำลังอ่านอยู่นี้ กำลังพูดกับใคร? อ้าว! ไม่ใช่ชาวยิวแล้วนะ พูดกับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว  เพราะว่าเขียนหลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ยุคนี้แล้ว ยุคคนต่างชาติ  พูดกับคนต่างชาติ เห็นไหมเราจะได้เข้าใจมากขึ้น พูดอย่างไร? พูดอะไร?  ก็พูดเหมือนตอนพูดกับชาวยิว  แต่คนละยุคกัน พูดประกาศ เพื่อเตือน  ไม่ใช่มาสอนให้ทำ มาเตือน มาบอก มาชี้ให้เห็นในโลกวิญญาณว่าทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง ก็เหมือนกับตอนที่พูดกับชาวยิวว่าอภัยให้กับคนอื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน  ท่านทำไม่ได้หรอก  นี่ก็เหมือนกัน

            “เพราะว่าคนชอบธรรม” ก็คือคนที่จะบริสุทธิ์ ดีพร้อม จะไปอยู่ในสวรรค์ได้นั้น คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ  ใครเป็นคนพูด? พระเยซูพูด พูดกับใคร? พูดกับคนต่างชาติที่มีชีวิตอยู่ หลังจากที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตายแล้ว ประกาศผ่านทางอัครทูตคนหนึ่งที่เป็นชาวยิว ที่กลับใจใหม่ มาเชื่อพระเยซูคริสต์ และพระเยซูแต่งตั้งเขาเป็นอัครทูต เพื่อนำเอาข่าวประเสริฐนี้ไปประกาศให้กับคนต่างชาติ พระองค์ทรงประกาศผ่านทางเขา  พระองค์ให้ชีวิตใหม่กับเขา และเข้าไปสถิตอยู่กับเขา นำพาชีวิตของเขา เท่ากับพระองค์ทรงประกาศให้กับคนต่างชาตินั่นเอง

            เห็นไหมครับ? บทบัญญัติเดิม พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทุกคนที่ไม่ได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ทุกจุด ทุกขีดในหนังสือธรรมบัญญัตินั้น ก็ถูกสาปแช่ง คือพินาศในบึงไฟนรก หลังความตายนั่นเอง แต่บทบัญญัติใหม่ในพระเยซูคริสต์ คืออะไร? ท่านอยากรู้ไหมว่าพระเยซูมาบอกว่าตอนนี้มีบทใหม่แล้ว ตอนที่พูดกับชาวยิว ตอนพันธสัญญาเดิม ท่านทำไม่ได้หรอก ท่านถูกสาปแช่งแล้ว แต่ยังไม่ได้มีกฎใหม่  ก็เลยบอกว่าวางใจในเราสิ แล้วได้เกิดใหม่ จบแค่นั้น

            แต่หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย มาพูดกับชาวต่างชาติ เพิ่มเติมขึ้น  เพราะว่าพระองค์ทรงทำสำเร็จแล้ว  โรม 8:1-2 บอกชัดเจนเลยว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตายแล้ว บัดนี้ อยู่ในกฎใหม่แล้ว มาเลยๆ พี่น้อง หมายถึงมนุษย์ที่เป็นชาวต่างชาติ  ได้ยินได้ฟังคำนี้แล้ว พระเยซูบอกเข้ามาเลยๆ มาอยู่ที่นี่ เข้าสวรรค์ พ้นจากความพินาศ …

        โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการพิพากษาลงโทษให้พินาศ หลังความตาย แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อจะพ้นจากโทษของความบาป)”

            “เหตุฉะนั้น บัดนี้ ไม่มีการพิพากษาลงโทษให้พินาศ หลังความตาย แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์” … ก็คือคนที่เปิดใจรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วย เป็นพระมาสิฮาห์ ชำระบาปให้กับเขา เห็นหรือยัง? ก่อนหน้าที่พูดกับชาวยิว ไม่มีตรงนี้ว่าได้อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้บอก แต่ตอนนี้ได้บอกแล้ว

            แล้วก็บอกเหตุผล ข้อ 2 ว่า “เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต” … ก็คือกฎใหม่นั้น ซึ่งตอนพูดกับชาวยิวตอนนั้น ยังไม่มีกฎใหม่นี้อยู่ แต่กฎใหม่กำลังจะมา กฎใหม่มาพร้อมสวรรค์ที่พระองค์บอกว่าสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่ ก็คือกฎใหม่ในการเข้าสวรรค์กำลังจะมา แต่ยังไม่มา ยังขาดอีก 3 ปี แต่ตอนนี้หลัง 3 ปีแล้ว  ทำสำเร็จแล้ว ก็เลยบอกว่า … “กฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย” กฎแห่งความบาปและความตาย ก็คือกฎเดิม ตอนนั้นที่คุยกับชาวยิว ชาวยิวถืออยู่ กฎแห่งการรักษาบทบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น กฎแห่งการพึ่งพาตนเองในการกระทำดี

            สำหรับชาวต่างชาติ ก็คือการกระทำดีตามศาสนา ตามศีลธรรม ตามจิตใจที่บอกอยู่ในใจว่าทำอย่างนี้ดี ต้องพึ่งในการกระทำของตนเอง สำหรับชาวยิว ก็คือกฎแห่งการรักษาบทบัญญัติของโมเสส กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่เราเชื่อและได้บังเกิดใหม่นั้น ทำให้เราเป็นอิสระ ถ้าเป็นชาวยิว ก็เป็นอิสระจากกฎของบทบัญญัติของโมเสส ถ้าเป็นคนต่างชาติ ก็เป็นอิสระจากกฎของศีลธรรมที่อยู่ในใจเรา เรารู้ จะศีล 5 ศีล 7 ศีล 8 ศีล 20 ศีล 217 ศีลเท่าไรก็แล้วแต่ เรารู้ว่าเรารักษา ศีล 5 ยังไม่ได้เลย คนได้ศีล 5 ก็พยายามทำศีล 8 ต่อไป พอได้ศีล 8 ก็ทำศีล 20 ต่อไป  คนได้รับศีล 20 ทำอย่างนี้อีกต่อไป ทำเป็น 217 คนทำ 217 ก็ต้องทำอย่างนี้อีก ต้องละไว้ตรงนี้อีก  เพื่อที่จะไปสวรรค์หลังความตาย แต่พระเยซูคริสต์บอกมาวางใจในพระองค์ และได้บังเกิดใหม่ เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้ ไปอยู่ในสวรรค์ เดี๋ยวนี้เลย บนโลกใบนี้

            พระเยซูจึงประกาศเตือนอย่างชัดเจนในมัทธิว 6:14-15 ในตอนท้ายของบทนี้  ไว้อย่างนี้ว่า …

        มัทธิว 6:14-15 “14 เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยให้ท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

            ถ้าท่านอภัย ทำได้ พระเจ้าก็จะอภัยให้ท่าน ชำระท่านให้สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้ แต่ถ้าท่านไม่ทำ  ทำไม่ได้ ท่านก็ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยความบาปผิดให้กับผู้อื่น  ซึ่งทำไม่ได้อยู่แล้ว  พระบิดาก็ไม่ให้อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน

            แต่ในยุคพระคุณ ที่เราเรียนรู้เมื่อสักครู่นี้  พระองค์กำลังบอกว่าให้กลับใจใหม่ มาเชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์เถิด วางใจในพระองค์แล้ว ต่อให้ท่านอภัยให้กับคนอื่นไม่ได้ กำลังฝึกฝนในการอภัยให้คนอื่นไม่ได้ ยังรู้สึกคิดริษยา อิจฉาอยู่ แล้วก็อภัยไม่ได้ พยายามแล้ว พยายามอีก นอนไม่หลับ อยากจะอภัย ก็อภัยไม่ได้ แต่วางใจในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ  หลังความตาย ก็ไปอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้า เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์พร้อม โดยความเชื่อ ในพระคุณของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น สรุปวันนี้ ก็คือพระเยซูกำลังเตือนชาวยิวว่าอย่าคิดว่าตัวเองแน่ และสามารถรักษาบทบัญญัติ เพื่อเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า ท่านจะไปไม่รอด จงหันมาพึ่งพา วางใจในพระองค์ พระเมสิยาห์เถิด นี่สำหรับชาวยิว

            แล้วสำหรับชาวที่ไม่ใช่ยิว ชาวต่างชาติ พระองค์กำลังเตือนว่าอย่าคิดว่าตัวเองทำได้ ในการรักษาศีลธรรม ความดีงาม  แม้ว่าคนทั้งหลายจะเห็นว่าดีก็ตาม  อย่านึกว่าท่านรักษา เคร่งในศาสนาที่ท่านยึดถืออยู่ และเป็นสิ่งที่ดี สำหรับสังคม ใครๆ ก็รู้ว่าดี ถูกต้อง แต่มันก็ช่วยไม่ได้ในเรื่องกฎของวิญญาณ เพราะว่าท่านไม่สามารถทำดีจนครบถ้วนบริบูรณ์  ตามสายพระเนตร ตามเกณฑ์ของพระองค์ได้  เพราะว่าใจของท่าน วิญญาณของท่านเป็นบาปตั้งแต่กำเนิด  ต้องได้รับการรักษา ต้องได้รับการเปลี่ยนวิญญาณใหม่ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น ท่านจึงจะสามารถรอดพ้นจากการพิพากษาลงโทษในความพินาศหลังความตายได้

            สรุป พระองค์ไม่ได้มาสอนให้เราทำบทบัญญัติเหล่านั้น ไม่ได้มาสอนให้เรารักษาบทบัญญัติเหล่านั้น  ไม่ได้มาสอนชาวยิวให้รักษาบทบัญญัติของโมเสส ไม่ได้มาสอนชาวต่างชาติ ให้มารักษาบทบัญญัติทางศาสนาของแต่ละกลุ่ม แต่ละก้อน แต่ละประเทศ แล้วแต่ แต่ละความเชื่อ แต่พระองค์มาเตือนให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้ ในการพึ่งตนเอง  เพื่อที่จะไปสวรรค์หลังความตาย แต่เตือนให้กลับใจใหม่ หันมาวางใจในพระองค์ และข่าวประเสริฐของพระองค์เถิด แล้วเราค่อยต่อสัปดาห์หน้าให้ลึกขึ้นกว่านี้ พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            แผนการของพระเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก คือมนุษย์ทั้งหลายจะได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์

 ปราศจากบาป สะอาดสมบูรณ์ดีพร้อมตลอดไป โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ

            โคโลสี 1:14 … “ในพระบุตร (พระเยซูคริสต์)  เราได้รับการไถ่บาป (ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์) และได้รับการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นที่เราทำ (เราได้รับการไถ่ หมดเวรหมดกรรม เพราะได้อยู่ในพระคริสต์ ไม่ใช่เพราะการประพฤติดี หรือการอธิษฐานสารภาพบาปทุกครั้งที่เราทำบาป เพราะพระเยซูชำระหนี้บาปของเราหมดเรียบร้อยแล้ว)”

            เมื่อเรายอมให้พระเจ้าเข้ามาบัพติศมาเรา เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำเพื่อเรา บนไม้กางเขนแล้ว ความบาปของเราได้รับการลบออกไปทั้งหมดเลย โดยการบังเกิดใหม่

            เราได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์ดีพร้อม เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเยซูคริสต์เลย เราจึงเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ในสวรรค์ได้

            และในพระเยซูคริสต์นี้ เรายังได้รับการอภัยในความบาปทุกครั้ง ที่เราอาจถูกล่อลวง จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ให้กระทำในร่างกายนี้อีกด้วย

            ทั้งหมดนี้  เป็นพระคุณความรักจากพระเจ้า ที่ทรงกระทำให้เราเปล่าๆ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ แค่ยอมมารับสิทธิของตนเท่านั้น โดยไม่ได้เกี่ยวกับการประพฤติดี หรือการอธิษฐานสารภาพบาปของเราเลย

            ก่อนที่เราจะสารภาพบาปนั้น  พระเจ้าได้ประทานอภัยโทษให้กับเราล่วงหน้าแล้ว เพราะพระโลหิตของพระเยซู  ได้ชำระหนี้บาปเวรกรรมทั้งสิ้นของเราหมดแล้ว

            ฮีบรู 10:14 … “และโดยพระประสงค์นี้  (แผนการของพระเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก) เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด สมบูรณ์ ดีพร้อมแล้วตลอดไป โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์ (สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน) เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ”

            พระเจ้าได้ตรัสว่า … สดุดี 103:11-12 … “11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น  12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด พระองค์ก็ทรงยกเอา การล่วงละเมิดของเรา ออกไปไกลเพียงนั้น”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่  1420

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  11  มิถุนายน  2023

เรื่อง “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15”

“พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?” ตอน 1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            คำบรรยายในวันนี้ มีชื่อว่า “คำอธิษฐาน มัทธิว 6:9-15” ตอน 1 “พระเยซูกำลังสอนให้เราทำตามหรือ?”

            หัวข้อคำบรรยายวันนี้ ก็คือคำอธิษฐาน ในพระคัมภีร์มัทธิว บทที่ 6:9-15 ซึ่งเรามักจะได้ยินและคุ้นๆ กัน หลายคนท่องจำได้อยู่แล้ว เป็นคำอธิษฐานตามแบบอย่างพระเยซูคริสต์ หัวข้อเขาเขียนไว้ในพระคัมภีร์ เพราะในพระคัมภีร์ข้อนี้ ขึ้นต้นอย่างนี้ว่า …

            “ฉะนั้น ท่านควรอธิษฐานดังนี้ว่า …”

            นี่คือคำพูดของพระเยซูที่บันทึกเอาไว้นะ เพราะฉะนั้น ถ้าอ่านแค่เฉพาะข้อความตรงนี้ แน่นอน เราก็ต้องเข้าใจว่าพระเยซูกำลังสอนให้เราอธิษฐานตามแบบนี้แน่ๆ แต่ว่าอย่างที่เราเน้นกันมาตลอดว่าการศึกษาพระคัมภีร์ให้เข้าใจความหมาย ควรจะอธิบายความหมายตามบริบทที่ถูกต้อง เราต้องรู้ที่มาที่ไปว่าคำพูดนี้อยู่ในบริบทอะไร? กำลังพูดกับใคร? พูดที่ไหน? พูดเพื่ออะไร?  จุดประสงค์อย่างไร? อยู่ในสถานะอะไรในขณะนั้น ระหว่างคนพูดกับคนฟัง? เราควรจะรู้ถึงเรื่องเหล่านี้ เราจึงจะได้ความหมายที่แท้จริงของความหมายเหล่านั้น

            และวันนี้ เราจะมาศึกษาคำอธิษฐานของพระเยซู ที่บันทึกไว้ในหนังสือมัทธิว 6:9-15 นี้อย่างชัดๆ ว่าพระเยซูกำลังพูดกับใคร? สอนให้เราทำตามหรือ? เอาแบบละเอียดเลย เพราะว่ามีพี่น้องผู้เชื่อใหม่หลายท่านก็มาถาม เพราะเนื่องจากได้ฟังถ้อยคำพระเจ้า ในคำบรรยายของเราที่นี่หลายๆ เรื่อง ตั้งแต่เรื่องความเป็นจริงของข่าวประเสริฐ  การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และการอัศจรรย์เกิดขึ้นทั้ง 10 อย่าง เกิดขึ้นอย่างไร? พระคุณความรอดของพระเจ้าที่เราได้รับมาฟรีๆ แล้ว มันเป็นเช่นไร? ก็เลยนึกถึงคำอธิษฐานนี้ ที่เขาเคยจำได้ ตั้งแต่เริ่มเชื่อใหม่ๆ และเคยได้ยิน ได้ฟังอยู่บ่อยๆ รู้สึกมันแย้งกันกับสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้ เขาสงสัย เลยเข้ามาถามว่าจริงๆ แล้วตรงนี้ มัทธิว 6:9-15 มันหมายถึงอะไรกันแน่

            เราจะใช้เวลานี้ในการศึกษา เจาะลึกเข้าไปอย่างลึกซึ้งเลย จะศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ก็ต้องลงรายละเอียดถูกไหมครับ? ให้ถึงรากฐานความจริง เพราะฉะนั้น วันนี้จึงเป็นแค่ตอนที่ 1 ของเรื่องนี้เท่านั้น ยังมีอีกหลายตอน ฟังให้จบ เอาให้มันชัด เอาให้มันชัวร์เลย เพราะเป็นเรื่องสำคัญ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่เรากำลังประกาศอยู่  คำว่า “เรากำลังประกาศอยู่”  เรา  หมายถึงคริสเตียนทั้งโลก กำลังประกาศถึงเรื่องความรอดในพระเยซูคริสต์กันอยู่ มันเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ ด้วย จึงเอาให้อย่างละเอียด

            จริงๆ แล้วตัวอย่างการอธิษฐาน ในหนังสือมัทธิวตรงนี้ มันเป็นช่วงที่พระเยซูกำลังตระเวนประกาศความจริงให้กับชาวยิว จะได้เห็นชัดว่าพูดกับใคร? เราจะเริ่มรู้ ประกาศทำไม? เพื่ออะไร? เป้าหมายที่พระเยซูประกาศตรงนี้ นี่คือหนึ่งในจำนวนประกาศ ข้อพระคัมภีร์นี้ เป้าหมายก็เพื่อจะให้ชาวยิว วางใจและพึ่งในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมสิยาห์  “เมสิยาห์” แปลว่าพระคริสต์ “พระคริสต์” แปลว่าผู้ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เพื่อมาช่วยให้รอด พระผู้ช่วยให้รอดนั่นเอง

            เป้าหมาย คือให้วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ แทนที่จะพึ่งพาการรักษาบทบัญญัติ ด้วยตนเอง เหมือนกับที่ชาวยิวกำลังปฏิบัติกันอยู่ในขณะนั้น ตามความเชื่อเดิมๆ ในเวลานั้น ซึ่งบทบัญญัติเหล่านี้ ถือมาตั้งแต่สมัยโมเสส ตั้งแต่บรรพบุรุษของชาวยิว เพื่อเมื่อไปละเอียดๆ มากๆ จะได้รู้ว่าพูดไปๆ กลับกลายเป็นตัวฉัน  ท่านใช่ชาวยิวหรือเปล่า? ตอนนี้พระเยซูกำลังพูดกับใคร? ชาวยิว ผมพยายามให้เน้นตรงนี้ ถ้าเผื่อท่านจำตรงนี้ได้ ท่านจะสามารถอธิบายความหมายเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน แจ่มใสเลย จะไม่มีข้อสงสัยในใจของท่านอีกต่อไป

            พระเยซูบอกกับชาวยิว ตอนนี้เรามาเป็นบุคคลที่ 3 นั่งฟังอยู่ ยังไม่ได้พูดถึงเรานะ เอเมนไหม?

            พระเยซูกำลังบอกว่าพระองค์ไม่ได้มา เพื่อลบล้างธรรมบัญญัติ ท่านจะเริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหม? ธรรมบัญญัติเกี่ยวอะไรกับเราหรือเปล่า? “เรา” ไม่ใช่ชาวยิว ตอบว่าไม่เกี่ยว พระองค์กำลังพูดกับชาวยิว ชาวยิวถือธรรมบัญญัติของโมเสส เราไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโมเสสเลย เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง? เริ่มรู้แล้วใช่ไหม? เริ่มน่าสนใจแล้วใช่ไหม? แต่พระองค์มาเพื่อยืนยันกฎบัญญัติของพระเจ้า ตั้งแต่สมัยโมเสส ที่มนุษย์ ก็คือพวกชาวยิวทุกคน ต้องทำตามให้ครบ ทุกจุด ทุกขีด ถึงจะสะอาดบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเจ้าได้ และสามารถได้รับความรอด ได้เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในสวรรค์ได้ ต้องรักษาบทบัญญัติเหล่านี้ ถึงจะเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรได้  เพราะต้องสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าสวรรค์อยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ นี่คือเป้าหมายของพระเยซูที่พูดกับชาวยิวทั้งหมด ในขณะนั้น

            สรุปรวมความ ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่าท่านต้องดีพร้อม บริสุทธิ์ ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเท่านั้น ถึงจะอยู่ในสวรรค์ ตามสายพระเนตรของพระเจ้า ที่ตัดสินท่าน ต้องเป็นอย่างนี้ แต่ความจริง คือไม่มีชาวยิว หรือแม้กระทั่ง คนที่ไม่ใช่ยิว ผู้ใดเลย ที่จะสามารถรักษากฎบัญญัติได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทุกจุด ทุกขีด ไม่พลาดเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีมนุษย์คนไหน ไม่ว่าจะยิวหรือไม่ยิว ก็ตาม ที่จะสามารถทำตัวเอง ให้ดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดหนึ่ง  ไม่ทำบาปเลยแม้แต่นิดหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้เลย

            พระเยซูยกตัวอย่างว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย เหมือนกับท่านเอาอูฐลอดรูเข็ม เอาแค่ไข่ไก่ลอดรูเข็ม ก็ไม่ได้แล้ว แต่นี่พระองค์บอกเอาอูฐทั้งตัวลอดรูเข็ม มันเป็นไปไม่ได้เลย กำลังพูดกับใคร? ชาวยิว ชาวยิวฟังตกใจ

            เราจึงได้ข้อสรุปว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะพึ่งพาตนเอง ในการทำให้ตัวเองนั้นสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ โดยการรักษากฎบัญญัติ  สำหรับชาวยิว ก็คือบทบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสสบันทึกเอาไว้ แต่สำหรับเรา ที่ไม่ใช่ชาวยิวล่ะ เปรียบเหมือนอะไร? ก็เหมือนกับกฎหมายทางศีลธรรม กฎหมายทางศาสนา กฎแห่งกรรม การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อะไรต่างๆ เหล่านั้น นี่เราเอามาเปรียบเทียบให้ดู ไม่มีใครสามารถรักษากฎเหล่านี้ ตามศาสนาได้อย่างดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้า ไม่มีผิดเลยแม้แต่นิดเดียว

            สรุป ก็คือไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถเข้าสวรรค์ได้ด้วยการกระทำของตนเองนั่นเอง พระเยซูกำลังเน้น แล้วบอกกับชาวยิวต่อว่าไม่มีใครทำได้เลย เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม ถ้าคุณจะรักษาบทบัญญัติ เพื่อจะได้รับความรอด จากการลงโทษหลังความตาย ไปสวรรค์ได้ ไม่มีทาง เป้าหมายของพระองค์ ก็คือมีเพียงทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้ท่านบริสุทธิ์ ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าได้ ตามเกณฑ์ที่พระเจ้ากำหนดไว้ นั่นก็คือผ่านทางพระองค์เอง ซึ่งพระองค์เป็นพระเมสิยาห์ พระเจ้าทรงประทานให้มา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดจากโทษของความบาปนั่นเอง มีทางเดียวเท่านั้น คือต้องพึ่งในพระองค์ พระเยซูคริสต์ โดยการเชื่อในข่าวดีของพระองค์ เพื่อได้รับการบังเกิดใหม่ จะได้สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าได้ ซึ่งตรงนี้ ใครเป็นคนทำแล้ว? พระเจ้าทำ เราทำด้วยตัวเองไม่ได้ พระองค์ยกตัวอย่าง เหมือนกับท่านทำด้วยตัวเอง เพื่อจะไปสวรรค์ เท่ากับเอาอูฐลอดรูเข็ม ทำไม่ได้ แต่ถ้ามาพึ่งในพระองค์ พึ่งในพระเจ้า วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ล่ะก็ พระองค์ตรัสตรงกันข้ามกับเมื่อสักครู่นี้

            บอกว่า … “ถ้าท่านวางใจในเรา ท่านจะบังเกิดใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ โดยพระเจ้าเป็นผู้กระทำ”

            พระองค์ตรัสว่า … “สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ เอเมน

            นี่คือเป้าหมายที่พระองค์กำลังพูดอยู่ ตลอด 3 ปีนี้ พระองค์พูดอย่างนี้  … “เขาจะทำด้วยตนเองนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม ต้องมาพึ่งเรา วางใจในเราว่าเราเป็นคนนั้นแหละ ที่ท่านรอคอย คือเป็นพระเมสิยาห์ เป็นพระเจ้า  ที่พระองค์ส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะช่วยท่านทั้งหลาย  และโดยพระเจ้า โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระองค์นี่แหละ สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ คือท่านเข้าสวรรค์ได้  สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ โดยผ่านทางเรา” เอเมนไหมครับ?

            คำถามที่ว่า “พระเยซูกำลังสอนให้เราอธิษฐานตามแบบอย่างนี้ จริงหรือ?” ลองมาพิสูจน์กันตอนนี้ ลองอ่านกันดูนะ ท่านพอจะรู้ระแคะระคายแล้วว่าถ้อยคำที่เรากำลังจะอ่านนี้ เราคุ้นหูกันดี ตอนนี้ ท่านรู้แล้วว่าไม่ใช่ข้อความที่มาถึงเรา เรากำลังแอบอ่านหนังสือที่พระเยซูเขียนหรือพูดกับชาวยิว เรากำลังไปแอบอ่าน ท่านจะได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าที่เราอ่าน พูดถึงใคร? ไม่อย่างนั้นจะยุ่งไปหมด เราแอบอ่านของเขา เราก็ไปนั่งรวมกับเขาด้วย แล้วก็แยกกันไม่ออกว่าใคร? เราเป็นเขา เขาเป็นเรา มั่วไปหมด

            คราวนี้ อ่านให้ท่านฟัง แล้วท่านคิดตามนะว่าเราไปแอบฟังเขา พระเยซูพูดกับชาวยิวอย่างนี้ว่า … มัทธิว 6:9-15 …

        มัทธิว 6:9-15 “9 ฉะนั้น  ท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ 10 ขอให้อาณาจักรของพระองค์ ได้รับการสถาปนาไว้ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์  สำเร็จในโลก  เช่นเดียวกับในสวรรค์ 11 ขอโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้  12 ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เช่นกัน 13 และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากมารร้าย 14 เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน  พระบิดาของท่านในสวรรค์ จะทรงอภัย ให้ท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”

            พระเยซูกำลังพูดกับใคร? ชาวยิว ตั้งแต่ข้อ 9-13 ที่เราอ่านกันเมื่อสักครู่นี้  เป็นคำอธิษฐานของชาวยิวโดยปกติอยู่แล้ว  แต่พระเยซูได้เพิ่มข้อ 14 กับข้อ 15 เข้าไป เพื่อให้ชาวยิวเขาได้เห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ ด้วยการพึ่งพาตนเอง จะได้รับการอภัยโทษ หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว หลังจากตายแล้ว จะได้เข้าสวรรค์ เป็นไปไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมา นี่พูดถึงปัจจุบันนี้นะ ตั้งแต่เราเป็นคริสเตียนมา แต่ไหนแต่ไรมา คริสเตียนแทบทุกคนทั้งโลกเลย ถูกสอนให้ท่องคำอธิษฐานนี้ ให้จำจนขึ้นใจ หลายคนท่องคำอธิษฐานนี้ทุกคืน

            สังเกตนะว่าผมใช้คำว่า “ท่องคำอธิษฐาน” ผมไม่ได้ใช้คำว่า “อธิษฐานแล้ว” แต่ก่อนไม่รู้เรื่อง ก็ใช้คำว่าอธิษฐานตามอย่างพระเยซู ตอนนี้ เรารู้แล้วว่าไม่ใช่ ผมเลยเปลี่ยนเป็นคำว่า “ท่องคำอธิษฐาน” คริสตจักรบางแห่งให้สมาชิกท่องถ้อยคำนี้ ก่อนประชุมนมัสการ ทุกๆ วันอาทิตย์ตอนเช้า พูดเสมือนหนึ่งเป็นคำอธิษฐานของตนเอง เป็นคำปฏิญาณของตนเอง ท่านเริ่มคิดตามแล้วนะ ท่านเริ่มเข้าใจของท่านแล้วนะ

            คำถาม ก็คือจากที่เราได้เรียนรู้ไปบ้างแล้ว ถึงเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับการพึ่งตนเอง กับพึ่งพระเยซู ในการที่จะรอดจากโทษของความบาป หลังความตาย มาจนถึงทุกวันนี้แล้ว เราได้เรียนรู้กันที่นี่ มาพอสมควรแล้ว พออ่านถ้อยคำตรงนี้ เมื่อสักครู่นี้แล้ว มีคำถามหรือมีความสงสัยตรงไหนไหมครับ? สงสัยเต็มไปหมดเลย เยอะเลย เพราะเราเริ่มเรียนรู้แล้ว

            ยกตัวอย่าง ในข้อที่ 12 บอกว่า … “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เช่นกัน”

            คิดตามช้าๆ “ขอทรงยกหนี้บาป ก็คืออภัยโทษจากบาป ให้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย” ขอพระเจ้านะ “เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ ทำผิดต่อข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน”

            แปลว่าอันไหนเกิดก่อน? คิดตาม อย่าลืมว่าเราไปแอบอ่านหนังสือของเขา ถ้าแปลตรงๆ ตามตัวหนังสือ

            ตรงนี้ต้องแปลว่า … “เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์แล้ว ดังนั้น ข้าพระองค์จึงขอให้พระองค์ยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเช่นกัน”

            ถูกต้องไหมครับ? ถูก อ่านตามนี้ มันแปลว่าอย่างนี้แหละ ถูกต้องสำหรับตรงนี้ แต่ดูต่อไปนะ ใครที่ตอบว่าไม่ถูก ย้ำกันอีกทีว่าข้อ 14 กับข้อ 15 ได้บอกอย่างชัดเจน บางคนอาจจะแปลไม่ถูก

            ในข้อ 14 ข้อ 15 พระเยซูจึงชี้ลงไปให้เห็นชัดๆ เลย ตรงๆ เลยว่าอูฐลอดรูเข็ม มันคืออะไร?  ข้อ 14 กับข้อ 15 ที่พระเยซูเติมลงไป แล้วบอกพวกเขา

            “เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านที่อยู่ในสวรรค์ จะทรงอภัยให้ท่านด้วยเช่นกัน”

            เห็นภาพหรือยัง? มันมีเงื่อนไขขึ้นมาทันที … “แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยความผิดบาปของผู้อื่นก่อน พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านด้วยเช่นกัน”

            ก็คือขึ้นอยู่กับพระเจ้า หรือขึ้นอยู่กับตัวเราเอง พึ่งพระเจ้า หรือพึ่งตนเอง ต้องพึ่งตนเอง ถูกไหมครับ?  ถ้าเราทำไม่ได้ พระเจ้าก็ไม่ให้อภัยเรานะ ถ้าพระเจ้าบอกว่าท่านต้องทำอย่างนั้นก่อน เราถึงจะทำอย่างนี้ให้ ก็แสดงว่าเราต้องพึ่งตนเอง

            สรุป แปลว่าใครต้องอภัยใครก่อน? ถ้าอ่านตามแค่นี้ ก็กลายเป็นว่าพระเยซูกำลังสอนให้เราต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน พระเจ้าถึงอภัยให้กับเรา ใช่ไหม? แปลตรงๆ ชัดๆ เลย

            พระเยซูกำลังบอกว่า … “ถ้าท่านอยากได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้า ท่านต้องอภัยให้กับคนอื่นก่อน เพราะฉะนั้น ท่านต้องพึ่งพาตนเอง”

            ใช่ไหม? ใช่สิ่งที่เราเรียนรู้ไหมว่าพระเยซูมาประกาศ เพื่ออะไร? ตะกี้นี้เราบอกต้นๆ แล้ว แล้วที่เราเรียนรู้เรื่องข่าวดีมาตลอด ข่าวประเสริฐของพระเจ้ามาตลอดว่าความรอดจากบาปนั้น การอภัยโทษ จากการลงโทษเนื่องจากบาปนั้น ที่เราได้รับจากพระเจ้านั้น เป็นพระคุณของพระเจ้า ที่ประทานให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ  โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะฉะนั้น มันขัดแย้งกับตะกี้นี้ไหม? ขัดแย้งกันมาก พระเยซูผู้เดียวกันนั้น ขัดแย้งกันได้อย่างไร?  เห็นอะไรบางอย่างไหม? เอเฟซัส 2:8-9 ยืนยันตามนั้นว่านี่คือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ นี่คือข่าวดีที่พระเยซูนำมา เพื่อโลกใบนี้ ไม่ใช่มาให้กับชาวยิวอย่างเดียว  แต่มาให้กับมวลมนุษย์ทั้งหลายทั้งหมดบนโลกใบนี้ ซึ่งไม่ใช่ชาวยิวด้วย หลักการของข่าวประเสริฐที่พระเยซูนำมา ก็คือเอเฟซัส 2:8-9 อ่านดูนะ …

        เอเฟซัส 2:8-9  “8 เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ  เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ หรือพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวด และแอบอ้างความดีตัวเอง ในความรอดของตนได้”

            นี่คือสำหรับเราทั้งหลาย ที่ไม่ใช่ชาวยิว ที่เป็นคริสเตียน และจริงๆ แล้ว ก็สำหรับชาวยิวที่กลับใจใหม่ ไม่พึ่งพาตนเอง มาพึ่งพระเยซู เป็นคริสเตียนด้วยเช่นเดียวกัน เห็นไหมครับ? แล้วเรานึกว่าเป็นของเรา พระเยซูมาสอนให้เราปฏิบัติ มันก็แย้งกันยุ่ง วุ่นวายไปหมด

            ย้ำกันอีกว่าเวลาจะอ่านพระคัมภีร์ จะศึกษาพระคัมภีร์ ถ้าจะให้เข้าใจความหมายที่ถูกต้องจริงๆ  เราต้องศึกษา ดูที่ไป ที่มาของบริบทนั้นๆ ด้วยว่าถ้อยคำตรงนี้ กำลังพูดกับใคร? พูดถึงใคร?  พูดในสถานการณ์แบบไหน? วัตถุประสงค์เพื่ออะไร?  ไม่ใช่ไปหยิบยกมาข้อ สองข้อ แล้วก็ตีความหมาย 2 ข้อนั้นไป ไม่ได้พูดกับเรา เราก็ไปเอามาใช้ ไม่ใช่สถานะเรา เราก็ไปเอามาใช้ มันก็วุ่นวาย ใช่ไหม?

            ลองคิดดูถ้าเกิดผมพูดอย่างนี้ ง่ายๆ เลย ยกตัวอย่างให้ดู สมมติผมยกข้อ 2 ขึ้นมาพูดว่า …

            ข้อที่ 2 การโลภก็ดี  การล่วงประเวณีก็ดี การวิวาทกันก็ดี การริษยากันก็ดี  การอิจฉากันก็ดี การเป็นศัตรูกันก็ดี การโกรธกันก็ดี การเมาเหล้าก็ดี  การนับถือรูปเคารพก็ดี

            อ่านข้อ 2 ถ้าท่านอ่านเพียงแค่นี้ แล้วก็แปลเลย การกระทำสิ่งเหล่านี้ มันทำไม? มันดีหมด ใช่ไหม? แต่ถ้าอ่านตามบริบทจริงๆ ก่อนข้อ 2 มา

            ผมอาจจะบอกว่า … “จงทำตัวให้สมกับฐานะที่ท่านเป็นบุตรพระเจ้า อย่าทำตัวตามอย่างระบบของโลกนี้  ที่เขาทำกัน การโลภก็ดี  การล่วงประเวณีก็ดี การวิวาทกันก็ดี การริษยากันก็ดี  การอิจฉากันก็ดี การเป็นศัตรูกันก็ดี การโกรธกันก็ดี การเมาเหล้าก็ดี  การนับถือรูปเคารพก็ดี”

            ข้อ 3 มา ผมพูดต่อว่า … “ข้าพเจ้าขอเตือนท่านว่าคนที่ประพฤติเช่นนั้น  ไม่ได้เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าเลย ทั้งๆ ที่ท่านได้รับความรอดแล้ว”

            สรุปแล้ว ดีหรือไม่ดี? ไม่ดี อย่าทำ แต่ถ้าอ่านข้อเดียวตะกี้นี้ มาตีความเลย มันไปกันแบบคนละทางเลย กลายเป็นผมส่งเสริมให้คนโลภ อะไรอย่างนี้ เพราะข้อนี้ เขาเอาไปอ้าง …

            “อ้าว! ก็อาจารย์บอกว่าโลภก็ดี ไหว้รูปเคารพก็ดี เมาเหล้าก็ดี”

            นี่ยกตัวอย่างให้แบบชัดๆ เลย ความหมายมันเปลี่ยนไปเลย อีกตัวอย่างหนึ่ง อันนี้ชัดมากเลย ผมเห็นหลายคนเข้าใจผิด

            สมมติว่ามีประกาศ อ่านประกาศ ตอนนี้โซเซียลมีเดียมีเห็นชัดเลย …

            “ประกาศ เรียนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า สายสีส้ม ให้ใช้บริการฟรีได้ในเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากเปิดสายนี้ใหม่ ฉลองสายใหม่ให้ทดลองใช้ 1 เดือนฟรี (แล้วก็พูดอะไรอีกเยอะแยะ) เพราะฉะนั้น ท่านผู้ที่ใช้บริการรถไฟฟ้า เชิญใช้บริการฟรี ภายในเดือนมิถุนายน”

            โอ้โห! ดีใจกันใหญ่เลย เอาอะไรไปพูด จับไม่ได้หมด เอาตอนสุดท้ายไปพูด …

            “เชิญครับ ใช้บริการรถไฟฟ้าฟรี ภายในเดือนมิถุนายน”

            ไม่ได้อ่านตอนต้น … “ประกาศให้กับผู้ที่ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้ม” เท่านั้น มันจะมีสีอื่นอีกเยอะแยะ กลับไปบ้าน ไปพูดกับคนโน้น คนนี้ ไป ใช้บริการฟรีหมด เขาไปใช้สีเหลือง สีม่วง ตกใจ เสียเวลาไปตั้งเยอะ คิดว่าจะไปใช้ฟรี ที่ไหนได้ ต้องจ่ายตังค์เหมือนเดิม

            เคยคุ้นๆ ไหม? อันนี้ก็เสียหายไม่เยอะนะ แต่ชี้ให้ท่านเห็นชัดๆ ที่เสียหายเยอะ ที่ถูกหลอกมาก  เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว ก็คือลักษณะอย่างนี้แหละ ผมเองก็เคยเข้าใจผิด ยกตัวอย่าง อันนี้คนก็เข้าใจผิดเยอะ ใน 1 เปโตร 2:24 อันนี้ชัดเจนเลย ลองอ่านดู …

        1 เปโตร 2:24 “พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลาย ไว้ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”

            “ด้วยรอยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้การรักษาให้หาย” เอาไปท่อง บอกต่อๆ กันไป  ผมเองก็ไปบอกคนอื่นเขาเยอะแยะ  ผมเองก็ทำให้เขาเข้าใจผิด เหมือนผมไปประกาศเรื่องรถไฟฟ้าสีส้ม เหมือนกัน เพราะจิตใจมันอยากได้อยู่แล้ว มันอยากจะหายป่วยอยู่แล้ว  อยากจะได้สิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว เป็นทุน ดังนั้น ก็เลยทึกทักเอา ใช่แล้ว มีคนเขามาบอกว่า …

            “โดยรอยบาดแผลของพระเยซูคริสต์ เราได้รับการรักษาให้หายแล้ว คุณนครได้รับการรักษาให้หาย ดูข้อพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้”

            “ใช่”

            “ใน 1 เปโตร 2:24 เขียนไว้ใช่ไหม?”

            ไปเปิดดู “ใช่” แล้วจะเถียงได้อย่างไรว่ามันไม่ใช่ แล้วรู้ไหมว่า 1 เปโตร 2:24 มาจากไหน? จริงๆ รู้ แต่แกล้งไม่รู้ รู้ได้อย่างไร? ก็ 1 เปโตร 2:24 ก็มาจาก 1 เปโตร 2:23 แล้ว 1 เปโตร 2:23 มาจากไหน? ก็มาจาก 1 เปโตร 2:22 แล้ว 1 เปโตร 2:22 มาจากไหน? ก็มาจาก 1 เปโตร 2:21 แล้ว 1 เปโตร 2:21 มาจากไหน? ก็มาจาก 1 เปโตร 2:20 แล้ว 1 เปโตร 2:20 มาจากไหน? ก็มาจาก 1 เปโตร 2:19 แล้วถ้าไม่เข้าใจ ก็อ่านย้อนขึ้นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็จะเจอเองว่าเขากำลังพูดกับใคร? …

            (1) เขากำลังพูดกับคริสเตียน … “เราก็เป็นคริสเตียน” … “ใช่”

            (2) แล้วเขาพูดกับคริสเตียนเรื่องอะไร? เรื่องเกี่ยวกับความรอด ทางวิญญาณ การตาย แล้วได้ไปสวรรค์ การตายแล้วได้รับร่างกายใหม่ ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถาน

            (3) แล้วพูดเรื่องเกี่ยวกับความทุกข์ทรมาน บาดแผลนี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร? เกี่ยวกับเรื่องว่าคริสเตียนสมัยนั้น ถูกข่มเหง รังแก ถูกต่อต้าน บางคนถูกเฆี่ยน ถูกเอาไปทรมานอะไรต่างๆ ต้องทนทุกข์ลำบาก เขาจึงให้กำลังใจว่าพระเยซูก็ทนทุกข์ลำบากอย่างนี้แหละ แต่พระองค์ทรงทนทุกข์ เพื่อแบกรับเอาบาปของเราไปรักษาแล้ว ให้หายจากโรคของความเป็นคนบาป โรคที่อยู่ในวิญญาณ คือเกิดมาเป็นคนบาป รักษาเราให้หาย ให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า

            เขาพูดถึงเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องร่างกายนี้เลย แม้แต่นิดเดียว คิดดูสิ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ท่านก็รู้อยู่แล้ว ท่านก็เคย เสียหายเกิดขึ้น

            อีกข้อหนึ่ง ก็ชัดเหมือนกัน คล้ายๆ กัน 2 โครินธ์ 5:7 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:7 “เราจึงดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น”

            พอต่อจาก 1 เปโตร 2:24 ก็เลยบอกว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้เลยว่าให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น เพราะฉะนั้น ตามองเห็นว่า …

            “มีอาการหวัด มีอาการน้ำมูกไหล ปวดหัว”

            จะต้องบอกว่า… “ไม่ใช่ ไม่ปวด ปวดได้อย่างไร เราใช้ความเชื่อ ความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น คือความไม่เห็น ก็คือการหายโรคนั่นแหละ ปวดก็บอกว่าไม่ปวด เป็นก็บอกว่าไม่เป็น ถ้าท่านรักษาความเชื่ออย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเกิดขึ้นตามที่ท่านเชื่อนั่นนะ ก็คือท่านปวด ท่านก็บอกว่าไม่ปวดๆ แล้วเดี๋ยวมันไม่ปวดจริงๆ หายจริงๆ  และบางครั้ง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้จริงๆ เขาเรียกว่าอุปทาน  แต่มันไม่ได้เป็นจริงตามถ้อยคำพระเจ้า  ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้ 2 โครินธ์ 5:7 อยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นจริงๆ กำลังพูดถึงเรื่องอะไร?  ก็ต้องมาจาก 2 โครินธ์ 5:6 พวกเราตีความหมาย รู้เลย อยากรู้ความหมาย ตรงนี้พูดถึงใคร? พูดถึงอะไร? เป็นความหมายอย่างไร? กลับไปดูที่ 2 โครินธ์ 5:5 ข้อ 5 มีความหมายว่าอย่างไร? กลับไปดูข้อ 4 … ข้อ 4 มาจากข้อ 3 … ข้อ 3 มาจากข้อ 2 … ข้อ 2 มาจากข้อ 1 … ข้อ 1 มาจาก 2 โครินธ์ บทที่ 4 ถ้าอยากรู้ว่าบทที่ 5 หมายถึงอย่างไร ก็กลับไปอ่านบทที่ 4 ถ้ายังไม่รู้อีก ไปอ่านบทที่ 3 จะรู้ว่าบทที่ 4 หมายถึงอะไร? มาถึงบทที่ 5 ข้อ 7 นี้หมายถึงอะไร?

            พูดสั้นๆ ตรงนี้ ก็คืออาจารย์เปาโลกำลังเปรียบเทียบถึงร่างกายของเรา ร่างกายของเรา มันต่ำต้อย มันทุกข์ มันลำบาก มันเจ็บไข้ได้ป่วย มันต้องตาย มันเสื่อมโทรมไปทุกวัน มันกำลังตายไปทุกวัน  แต่เราไม่ท้อใจ เรามองดูที่ตัวตนที่วิญญาณข้างใน  ที่เราได้บังเกิดใหม่ โดยพระเยซูคริสต์ ให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มันเจริญเติบโตทุกวัน กำลังก้าวไปสู่การเจริญเติบโต เข้าไปรับร่างกายใหม่ ที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เมื่อเราจากร่างกายนี้  ทิ้งร่างกายนี้ไปแล้ว อย่าไปสนใจมัน ร่างกายต่ำต้อยเหล่านี้ แต่ให้มองไปที่วิญญาณข้างในที่บังเกิดใหม่ และร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นั้น ให้ดำเนินชีวิตอย่างนี้

            นี่มันคนละเรื่องกันเลยกับความเข้าใจผิด  เสียหายไหม? เสียหาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียหายข่าวประเสริฐ เพราะเราใช้ไป แล้วมันไม่เกิดผล คนอื่น ทั้งตัวเราเองก็สงสัยใคร? ก่อนเลย สงสัยตัวเราเองก่อน …

            “เราเชื่อไม่พอ เราต้องเชื่อมากกว่านี้ เชื่อมากกว่านี้ จะได้เห็นในสิ่งที่มองไม่เห็น”

            ไปกันใหญ่ พอสงสัยตัวเองไม่พอ สงสัยใครอีก พยายามทำความเชื่อเยอะๆ ก็บอกว่าให้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ  พยายามเชื่อๆ พยายามอธิษฐานมากๆ พยายามท่องถ้อยคำพระเจ้ามากๆ จำได้ขึ้นใจ พยายามหลับตาเห็นว่า …

            “ฉันหายๆ ฉันได้ๆ ฉันรวยๆ ฉันแข็งแรงๆ ฉันพยายามทำงานให้สำเร็จ”

            พยายามๆ พยายามเองไม่พอ เขาบอกให้มาโบสถ์ ก็มาโบสถ์ เขาบอกมาโบสถ์วันอาทิตย์อย่างเดียวไม่พอ มาทำงานรับใช้ที่โบสถ์เยอะๆ มารับใช้ด้วย ไปสัมนาที่ไหน ก็จะไป ฟื้นฟูที่ไหนก็จะไป ครอบครัว งานการประจำ ไม่สนใจ สนใจแต่เรื่องนี้ อยากจะได้ๆ ทำอะไรอีก เขาบอกยังไม่ได้  แสดงว่าทำอะไรไม่พอ ถวายไม่พอ ถวายๆ สิบลดถวายไม่ครบ ได้แค่ 7 ลด 8 ลดเอง ให้ครบสิบ เช็คดูสิ อะไรมันขาดอยู่ อันนี้ขาดอยู่ ไม่ได้ ก็ทำด้วยความเชื่ออีก  เขาบอกความเชื่อยังไม่พอ เพราะว่ามีคำสาปแช่งหลงเหลืออยู่ คำสาปแช่งที่มาจากบรรพบุรุษ ไปทำอะไรผิดไว้ไหม? เช็คดูอีก เช็คๆ ก็ยังไม่ได้อีก ไม่ได้ จนกระทั่ง จนหมดแล้ว ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว สงสัย ขั้นต่อไปที่เราควรสงสัย ก็คือใคร? ก็คือพระเจ้า …

            “พระเจ้าทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมพระองค์ทำกับลูก ลูกทำหมดทุกอย่างแล้ว ทำไมไม่ได้”

            ก็เพราะพระเจ้าไม่ได้สัญญาไว้อย่างนี้ เกิดเหตุไหมล่ะ เสียชื่อข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ คนอื่นมองมา ก็เลยกล่าวหาพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์พูดโกหก …

            “ไหนล่ะ บอกโดยรอยแผลเฆี่ยน พระเยซูรักษาโรคหาย คริสเตียนป่วยกันตั้งเยอะแยะ ทุกคนก็ป่วยกันหมด  อยู่โรงพยาบาล ประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิต ไหนล่ะ บอกว่ารอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์จะทำให้หายโรค ไหนล่ะ โดยความเชื่อแล้ว จะได้รับสิ่งที่อยากจะได้ ในนามพระเยซู ไหนบอกอธิษฐานในนามพระเยซูแล้วจะได้ ตามถ้อยคำ ไม่เห็นได้เลย ไม่จริงนิ”

            “อะไรไม่จริง”

            “ถ้อยคำเหล่านี้มันไม่จริง”

            ซึ่งมันไม่ใช่ถ้อยคำของพระเยซูจริงๆ เราไปทึกทักเอาเอง อันนี้เสริมให้เรื่องนี้เข้าไป เพราะพูดแล้วสนุก จะได้รู้ว่าเวลาตีความผิด มันทำให้ข่าวประเสริฐเสียหายมาก

            ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ถ้าเรายังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง แล้วเอาไปสอนแบบผิดๆ เอาไปแนะนำแบบผิดๆ  ก็จะทำให้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ถูกบิดเบือนไป และตรงนี้แหละ คือสิ่งที่ทำให้ทุกคนที่รู้ความจริง เกิดความขัดเคือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัครทูตที่เริ่มต้น ประกาศความจริงเรื่องข่าวประเสริฐ มาถึงพวกเราชาวที่ไม่ใช่ยิว ชาวต่างชาติ คืออาจารย์เปาโลเคืองมาก โกรธมาก ถึงขนาดต่อว่าอย่างรุนแรง สำหรับผู้คนที่สอนผิดๆ

            ยกตัวอย่างเช่น คริสเตียนที่เป็นชาวยิวไปสอนคริสเตียนที่ไม่ใช่ชาวยิวว่า …

            “เมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านต้องรักษาบทบัญญัติด้วย ไปด้วยกัน ท่านต้องถวายสิบลด ท่านต้องเข้าสุหนัต ท่านต้องทำพิธีอีกหลายๆ อย่าง เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ในสายพระเนตรพระเจ้าไว้”

            ซึ่งมันไม่จริง อาจารย์เปาโลโกรธมาก ถึงขนาดบอกเลยว่าคนที่สอนเหล่านั้น น่าจะจับไปตอนซะ การเข้าสุหนัต มันไม่จำเป็นต้องไปบอกให้คนที่เป็นคริสเตียน จากคนต่างชาติ มารักษาเข้าสุหนัตเหมือนชาวยิว  แต่ไปสอนเขาอย่างนั้น อาจารย์เปาโลเลยบอกว่าน่าจะจับคนสอนไปตอนซะ อย่างนี้ รุนแรงไหม?

            โอเค กลับมาที่คำอธิษฐานเมื่อสักครู่นี้ ในมัทธิว 6:9-15 ต่อ ตรงที่บอกว่า …

            “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นกัน”

            คริสเตียนหลายคนท่องคำอธิษฐานตรงนี้ โดยที่ไม่ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริง ท่านลองคิดดูสิ พระเยซูอภัยบาปของเราทั้งสิ้นเรียบร้อยแล้ว แล้วเราไปท่องว่า …

            “โอ้! พระเจ้า ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกโทษนาย ก. นาย ข. กำลังพยายามยกโทษให้คนนี้ ขอทรงยกโทษให้ลูกด้วยเถิด”

            ทั้งๆ ที่การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ได้อภัยในความบาปผิดทั้งสิ้นของเราแล้ว ไม่ว่าเราจะยกโทษให้คนอื่นหรือไม่ทำ ก็ตาม ให้ไปก่อนแล้ว แล้วเราก็มานั่งท่องทุกวัน คิดดู อะไรเกิดขึ้น

            จริงๆ แล้วคำอธิษฐานตรงนี้ พระเยซูกำลังประกาศให้กับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกฟาริสี ที่เคร่งศาสนา เคร่งการรักษาบทบัญญัติ แล้วก็เย่อหยิ่งจองหองว่า …

            “ฉันรักษาบทบัญญัติเหล่านี้ได้ ฉันบริสุทธิ์กว่าเธอ ฉันชอบธรรมมากกว่าเธอทั้งหลาย ที่ไม่ได้อธิษฐาน ไม่ได้รักษาบทบัญญัติดีเท่าฉันเลย”

            กำลังเตือนพวกชาวยิว ประกาศให้รู้ความจริงเหล่านี้ ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  ก่อนที่พระองค์จะสละพระชนม์ชีพ เพื่อไถ่บาปให้มนุษย์ ก่อนหน้านั้น ท่านต้องพึ่งธรรมบัญญัติจริง  แต่จงเตรียมตัว เพราะสวรรค์มาถึงแล้ว ก่อนที่จะมาถึงคำอธิษฐานตรงนี้ ในตอนเริ่มต้นของคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูได้พูดลักษณะแบบเดียวกันนี้ เป้าหมายเดียวกันนี้ ในมัทธิว 6:9-15 ถ้าเราอยากรู้ตอนเริ่มต้น ก่อนหน้านี้ ก็ต้องไปอ่าน ง่ายๆ ตอนนี้รู้แล้ว ก็คือมัทธิว บทที่ 5 ลองดูสักนิดหนึ่งว่ามันเป็นจริงไหมว่าพระองค์กำลังพูดถึงเป้าหมายของพระองค์ ที่ประกาศให้กับชาวยิวนี้ คืออะไร? มัทธิว 5:17-18 …

        มัทธิว 5:17-18 “17 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อล้มล้างหนังสือบทบัญญัติ  หรือหนังสือผู้เผยพระวจนะ  เราไม่ได้มาล้มล้าง  แต่มาเพื่อทำให้สำเร็จครบถ้วน 18 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดสักตัวหนึ่ง หรือขีดๆ หนึ่ง ก็จะไม่มีทางสูญหายจากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะสำเร็จครบถ้วน”

            ชาวยิว โดยเฉพาะฟาริสีที่เคร่งศาสนา ฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ พวกเคร่งศาสนา ถือบัญญัติอย่างเคร่งเลย เย่อหยิ่งจองหอง พอพระเยซูประกาศเตือนอย่างนั้น เถียงอยู่ในใจ …

            “อ๋อ! จะมาล้มเลิกให้ผู้คนเขาไม่ต้องรักษาบทบัญญัติเหล่านี้แล้วใช่ไหม? มาล้มเลิกหรือ? มายกเลิกหรือ?”

            เหมือนไหม? เหมือนกับคนปัจจุบันไหม? ที่เราบอกว่าพระเยซูมาประทานความรอดให้กับเราฟรีๆ โดยไม่ต้องประพฤติอะไรเลย …

            “อ๋อ! จะมาสอนให้คนทำไม่ดีหรือ?”

            มันคนละเรื่องกัน เรากำลังพูดถึงความรอดในโลกวิญญาณ การไปสวรรค์หลังความตาย การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ เราไม่ได้มาสอนเรื่องศาสนา เรื่องการกระทำอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ นี่เหมือนกันเลย ชาวยิวตอนนั้น ก็คิดอย่างนี้

            “อ๋อ! คิดมาเลิก”

            พระองค์เลยตรัสดังนี้ว่า …

            “อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้มบทบัญญัติ อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกศีลธรรมอันดีงาม ที่ท่านถืออยู่ ไม่ใช่ กำลังมาบอกความจริง”

            พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว พระองค์ยืนยันว่า …

            “บทบัญญัติทั้งหมดของพระเจ้า ยังคงอยู่ครบถ้วน มันดีอยู่ ที่ไม่ดี คือตัวคุณ”

            “คุณ” คือใคร? ก็คือชาวยิว กำลังพูดกับชาวยิว ไม่ดีนี้ คือตัวของคุณ ข้างในคุณ ในวิญญาณของคุณ ไม่ได้มาล้มเลิกบทบัญญัติเลย  แต่กำลังจะมาบอกว่าบทบัญญัตินั้นสำคัญ และต้องอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ มนุษย์ทุกคนต้องรับโทษ จากความผิดบาป ที่ตนกระทำ เนื่องจากโทษนั้น คือต้องตกนรกนั้น ก็มาจากบทบัญญัติที่บอกว่าดี เพราะว่าบทบัญญัตินั้นดี แต่ท่านทำไม่ได้  ท่านไปโทษว่าบทบัญญัตินั้น ไม่ดี ไม่ใช่ บทบัญญัติดี ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ท่านไม่สามารถรักษาให้มันครบบริบูรณ์ได้  นี่ต่างหากที่ทำให้ท่านตกนรก ไม่ใช่เรามายกเลิกบทบัญญัติ ไม่ใช่ ถ้าเรามาบอกท่านว่าถ้าท่านรักษาบทบัญญัติ รักษาอย่างไร มันก็ไม่ได้ครบถ้วนหรอก  ไม่ได้มาบอกว่ากฎทางศีลธรรมต่างๆ เหล่านั้นไม่ดี ไม่ต้องรักษา ไม่ใช่อย่างนั้น  ก็ย้ำอีกว่านี่คือคำตรัสของพระเยซูที่กำลังพูดกับชาวยิว โดยเฉพาะพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ เย่อหยิ่งจองหอง และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กำลังสอนอยู่นี้  ก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน

            ถ้อยคำของพระเจ้าที่เรากำลังศึกษากันในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และก็พูดกับชาวยิว ก่อนที่พระเยซูจะถูกตรึงที่ไม้กางเขน ก็คือก่อนการไถ่บาปให้มวลมนุษยชาติ ก็แปลว่าตอนนั้น มนุษย์ทั้งหมด รวมทั้งยิวด้วย ยังคงเป็นทาสของความบาปอยู่ อยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ยังคงต้องรักษากฎบัญญัติทุกข้อ ยังคงต้องพึ่งการกระทำของตัวเอง ยังคงต้องถวายสัตวบูชา เพื่อขออภัยในความผิดบาปของตน เพื่อจะได้รับการอภัยโทษจากความผิดบาป เมื่อทำผิดบาปไป ถูกไหม?

            พระเยซูจึงสอนให้อธิษฐานอย่างนี้  … อย่างที่เรากำลังศึกษาวิจัยกันอยู่นี้  ที่บอกว่า …

            “ขอทรงยกหนี้ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกหนี้ ให้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเช่นเดียวกัน ก่อนแล้ว”

            ก็คือต้องพึ่งในตนเอง ถ้าตนเองทำไม่ได้ พระเจ้าก็ไม่ทำให้ เป็นความรอด เป็นการอภัยโทษ ที่มีเงื่อนไข แต่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแล้ว ไม่มีเงื่อนไขแล้ว ให้ฟรีๆ ต่างกันนะ ซึ่งความหมาย ก็คือผู้ใดที่อยู่ภายใต้กฎบัญญัตินี้ ผู้นั้น ต้องทำให้ได้ตามนี้ ผู้ใดที่อยู่ใต้กฎบัญญัตินี้ ก็คือมนุษย์ทุกคน รวมทั้งชาวยิวเหล่านี้ ที่ฟังอยู่ พระเยซูกำลังบอกว่าผู้ใดอยู่ภายใต้กฎบัญญัตินี้ ผู้นั้น ก็ต้องทำให้ได้ตามบทบัญญัตินี้ ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่น ให้ได้ก่อน แล้วพระเจ้าจึงจะอภัยให้กับท่าน  แต่ถ้าท่านไม่สามารถอภัยให้กับผู้อื่นได้ พระเจ้าก็จะไม่อภัยให้กับท่านเช่นเดียวกัน  ชาวยิวเข้าใจไหม?  เข้าใจนะ ไม่ใช่เขาไม่เข้าใจ ม้วนตัวเลย เข้าใจทุกคนแหละ ขึ้นอยู่กับคนนั้นถ่อมใจรับไหมว่านี่เป็นความจริง  พระเยซูประกาศความจริงให้เขานะ

            หลายคนเข้าใจและยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป พระเยซูบอกว่าคนเหล่านี้เป็น Poor in Spirit คือในวิญญาณ รู้ตัวเองว่าขัดสน ขาดแคลน  ผิดพลาด ทำไม่ได้ คนเหล่านี้ สวรรค์เป็นของเขา อีกไม่นานเขาจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เพราะเขารู้ตัวว่าเขาทำไม่ได้  แต่ก็จะมีอีกพวกหนึ่งที่เย่อหยิ่ง จองหอง ที่ไม่ยอมรับ ก็คือพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ ยังมั่นใจว่า …

            “โอ๊ย! ฉันทำดีกว่าพวกนี้ โอ้! ฉันรักษาบทบัญญัติได้ดีกว่าพวกชาวประมง  คนเก็บภาษี โสเภณี  อีกไกล  ฉันทั้งรักษาบทบัญญัติ ทั้งอดอาหารอธิษฐาน ทั้งถวายสิบลด ทั้งไปวิหารเป็นประจำ ถวายอะไรต่างๆ เป็นประจำ ฉันดีงามกว่าเยอะ ฉันรอดแน่ พึ่งในตัวเอง คนเหล่านี้จะไปไม่รอด ซึ่งที่พระเยซูสอนเช่นนี้ ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนรู้ตัว … ทุกคนคือใคร?  คือชาวยิว  ที่รักษาบทบัญญัติอย่างเคร่งครัด ให้รู้ตัวว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย  ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถทำได้

            คำว่า “ให้อภัย” ไม่ใช่หมายถึงการให้อภัยในเรื่องใหญ่ๆ เท่านั้น พระเยซูพูดตรงนี้เลยนะ พวกฟาริสี ธรรมาจารย์ เขาบอกให้อภัย เราก็ให้อภัย เรื่องใหญ่ๆ เราให้อภัยได้  พระเยซูบอกนึกว่าทำได้หรือ? นึกว่ารักษาบทบัญญัติได้หรือ? มันไม่ใช่เฉพาะเรื่องใหญ่ๆ ที่ท่านคิดเท่านั้น แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พระเยซูยกตัวอย่างอะไร? แม้กระทั่งโกรธนิดหนึ่ง  ก็ไม่ได้ ก็ถือว่าไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ พูดง่ายๆ ว่าพระองค์ทรงชี้ไปที่ใคร? ท่านไม่ฆ่าคน แต่ท่านบอกไอ้บ้า เท่ากับฆ่าคนตาย ไอ้โง่ เท่ากับฆ่าคนตาย ไม่มีใครทำได้  ก็ฆ่าคนตายหมดทุกคนแหละ พูดง่ายๆ ทุกคนก็เป็นคนบาป

            “โอ้! ฉันรักษาบทบัญญัติได้ดีมาก  ดีกว่าพวกนี้อีก  พวกนี้เป็นหญิงโสเภณี พวกนี้ไม่รักษาความบริสุทธิ์  ฉันบริสุทธิ์ ไม่มีล่วงประเวณีใดๆ”

            พระเยซูบอก “เธอไม่ล่วงประเวณีก็ดีแล้ว แต่รู้ไหม แค่คิดกำหนัด ก็เท่ากับล่วงประเวณีแล้ว”

            ชี้ลงไปในใจของเขาเลย ท่านไม่โลภ ก็ดีแล้ว  แต่ที่ท่านอธิษฐานขอต่อพระเจ้า นั่นแหละ ท่านกำลังโลภอยู่ จะอยากได้ใช่ไหม?  แค่อยากได้ นี่พระเยซูกำลังชี้ ให้พวกเขาเห็น ซึ่งเราสามารถเอามาใช้ได้ด้วยว่าชี้ให้มนุษย์ เห็นว่าข้างในมันเป็นคนบาป  มันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก

            และเมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถทำได้  ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ ก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้น ก็คือมาพึ่งเรา ผู้ที่พูดอยู่ คือพระมาซีฮาห์  คือพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้  ที่พระเจ้าสัญญาไว้ให้กับท่าน และบรรพบุรุษของท่าน  ตั้งแต่ในอดีตมาแล้ว ให้ท่านรอคอยผู้นั้น  ตอนนี้ผู้นั้นมาถึงแล้ว มาอยู่ที่นี่แล้ว  และให้ท่านได้บังเกิดใหม่ จงเลิกล้มทางเก่าที่จะพึ่งพาตนเอง โดยการรักษาบทบัญญัติ แล้วกลับใจใหม่ หันมาหาเรา วางใจในเรา เชื่อว่าเราเป็นพระเมสิยาห์  พระผู้ช่วยให้รอด ทางเดียวเท่านั้น ที่ท่านจะได้รับความรอด  ไปพบพระบิดาได้ในสวรรค์ เหมือนกับยากอบ 2:10  ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ว่า …

        ยากอบ 2:10 “เพราะผู้ใดทำตามบทบัญญัติทั้งหมด แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิดเท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด”

            ให้มาพึ่งพระเยซูคริสต์ พอยากอบ 2:10 บอกว่า … “เพราะผู้ใดทำตามบทบัญญัติทั้งหมด แต่พลาดไปจุดเดียว ก็มีความผิดเท่ากับละเมิดบทบัญญัติทั้งหมด”

            ต่อให้รักษาทั้งหมดเลย แค่คิดไม่ดีนิดเดียว ก็เท่ากับผิดทั้งหมด เพราะความคิดนั้น มันมาจากใจ ใครที่คิดอิจฉาริษยา นินทาชาวบ้านเขานิดเดียวเท่านั้นเอง มันมาจากใจทั้งสิ้น  โรม 3:20 บันทึกอย่างนี้ว่า …

        โรม 3:20  “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม  ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ  บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป”

            “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม”  ก็คือ “ดังนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ในสายพระเนตรของพระเจ้าได้เลย  โดยการรักษาบทบัญญัติ”

            บทบัญญัติ คือบทกฎหมายทางศีลธรรม ทางศาสนา เพียงแต่ทำให้รู้ว่าตนนั้น มีบาป อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก บทบัญญัติที่มีไว้ เพื่อให้รู้ว่าเราเป็นคนบาป  เราทำไม่ได้  ถ้าพูดถึงโมเสส และกฎของโมเสส ที่ชาวยิวรักษาอยู่ มีไว้ดี แต่เป็นกระจกให้กับชาวยิวได้มองเห็นตนเองว่าเราทำไม่ได้ครบถ้วน ถ้าเราทำไม่ได้ครบถ้วน เราก็เป็นคนบาป ก็ไม่มีทางบริสุทธิ์ได้เลย  ไม่มีทางรักษาได้ครบ 100 เลย เป็นไปไม่ได้ ถ้าเอามาเทียบกับคริสเตียน มนุษย์ที่ไม่ใช่ชาวยิว ก็เหมือนกัน เราอาจจะไม่มีบทบัญญัติเหมือนเขา เป็นบทบัญญัติโมเสส แต่เรามีบัญญัติของบรรพบุรุษของเรา ที่ไม่ใช่ชาวยิว  ก็คือมีบทบัญญัติทางศาสนา  กฎระเบียบทางศีลธรรม ความเชื่อต่างๆ เต็มโลกใบนี้ทั้งหมด ถึงทุกวันนี้ก็มีเยอะแยะไปหมด

            กฎบัญญัติเหล่านี้ถูกเขียนออกมา จากบทบัญญัติของพระเจ้าที่เขียนอยู่ในใจของมนุษย์ว่าเราเป็นคนบาป  เรารู้ว่าเราทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ดี แต่มีอีกหลายๆ สิ่งที่มันดี ที่เราควรจะทำ และเราไม่ได้ทำ  เหมือนที่ยกตัวอย่างเมื่อตะกี้นี้บอก เราอยากอภัยให้ แต่อภัยไม่ได้ มันมาจากไหน?  เราไม่อยากทำอย่างนี้ แต่เราถูกบังคับให้ทำ โดยข้างใน  บทบัญญัติเหล่านี้จึงเป็นตัวชี้ ให้เห็นว่าเราเป็นคนบาป

            เพราะฉะนั้น เราเป็นคนบาป เราก็ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีทางที่จะได้รับการอภัยโทษ จากพระเจ้าได้ เมื่อเราจากโลกนี้ไป เราก็ต้องได้รับโทษแห่งการเป็นคนบาป  แต่พระเจ้าทรงประทานพระเยซูคริสต์มา เพื่อสิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิตบนไม้กางเขน  เพื่อชำระบาปให้กับเรา  โดยไม่ต้องทำ ชำระที่วิญญาณ วิญญาณของเราที่จะอยู่ไปนิรันดร์ เมื่อเราทิ้งร่างกายนี้แล้ว วิญญาณออกจากร่างไป วิญญาณมันบริสุทธิ์ แล้วก็ไปรับร่างกายใหม่ จากพระเจ้า ร่างกายสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ เพราะมันบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า กำลังพูดถึงวิญญาณ เห็นไหม? ความประพฤติมันไม่ได้เกี่ยวเลย มันเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณ

            แล้วเราค่อยมาต่อสัปดาห์หน้า ค่อยๆ ว่ากันไปถึงเรื่องนี้ว่าพระเยซูกำลังประกาศให้ชาวยิว ชี้เน้นเรื่องอะไร?  และเราที่ไม่ใช่ชาวยิว แต่เป็นคริสเตียน เราควรจะตอบสนองต่อถ้อยคำเหล่านี้  และนำมาใช้ในชีวิตของเราอย่างไร ถึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ในการเป็นลูกของพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ทรงไถ่ไว้เรียนร้อยแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ เป็นการประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา  พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ถ้าผู้ใดได้ถูกย้ายเข้ามา อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์  เขาก็ได้บังเกิดเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์

            2 โครินธ์ 5:17 AMP …  “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์  [ถูกต่อกิ่งเข้ากับพระองค์  โดยความเชื่อในพระองค์  ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด] เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ [เกิดใหม่และทรงสร้างใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์]  สิ่งเก่าๆ [ความประพฤติในอดีตทั้งหมด และสถานะวิญญาณที่ตาย และเป็นศัตรูกับพระเจ้าก่อนหน้านี้] ได้ล่วงไปสูญสิ้นไปแล้ว  ดูเถิด ทุกสิ่งเป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            ดังนั้น ถ้าผู้ใดได้อยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็ได้รับบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ด้วยความเชื่อในพระองค์ ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้น เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

            สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นศีลธรรม การกระทำการงาน หรือว่าสถานะในวิญญาณที่มืดบอดนั้น หรือตัวเก่าของเรา ได้ตายไปแล้ว มันได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ได้ผ่านไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด สิ่งใหม่ๆ ทั้งสิ้นได้ปรากฏขึ้นมา เพราะการบังเกิดใหม่นี้ นำมาซึ่งชีวิตใหม่

            พระเจ้าอวยพรครับ